ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน การวางแผนการเงินจึงเป็นเรื่องที่คนวัยทำงานให้ความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะวิธีการออมเงินที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวและยังสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ด้วย หนึ่งในตัวเลือกที่ถูกพูดถึงมากขึ้นคือ
ประกันออมทรัพย์ ซึ่งหลายคนอาจจะยังสงสัยว่า ประกันในรูปแบบนี้เหมาะกับใคร และคุ้มค่าจริงหรือไม่เมื่อเทียบกับวิธีออมเงินแบบอื่น
เข้าใจพื้นฐานก่อนเริ่มวางแผน: ประกันออมทรัพย์คืออะไร?
ประกันที่ไม่ใช่แค่ความคุ้มครอง
แม้ว่าคำว่า “ประกัน” มักทำให้เรานึกถึงความคุ้มครองชีวิตหรือสุขภาพ แต่ประกันออมทรัพย์เป็นรูปแบบหนึ่งของการออมเงินที่มีองค์ประกอบของการคุ้มครองชีวิตควบคู่ไปด้วย จุดเด่นอยู่ที่ความสามารถในการสร้างวินัยการออม เพราะผู้ถือกรมธรรม์จะต้องจ่ายเบี้ยประกันเป็นระยะเวลาต่อเนื่องตามเงื่อนไข และเมื่อครบกำหนดจะได้รับเงินคืนพร้อมผลตอบแทนที่ระบุไว้ล่วงหน้า
กลไกการทำงานที่เข้าใจได้ง่าย
ผู้ซื้อจะชำระเบี้ยประกันในจำนวนที่กำหนดทุกปี เช่น 5,000 หรือ 10,000 บาท และเมื่อครบสัญญา เช่น 10 หรือ 15 ปี จะได้รับเงินคืนตามที่ระบุในตารางผลประโยชน์ โดยในระหว่างทาง หากผู้เอาประกันเสียชีวิตก่อนครบกำหนด ทายาทจะได้รับเงินคุ้มครองตามวงเงินประกันชีวิต นี่จึงเป็นจุดที่แตกต่างจากการออมทั่วไปอย่างเงินฝากหรือกองทุนรวม
ทำไมคนวัยทำงานถึงเริ่มสนใจประกันออมทรัพย์?
ลดหย่อนภาษีในช่วงที่ภาระภาษีเพิ่มขึ้น
เมื่อต้องเข้าสู่ระบบภาษีอย่างเต็มตัว คนวัยทำงานหลายคนเริ่มมองหาวิธีบริหารรายได้ให้เหลือใช้มากที่สุด โดยเฉพาะการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ซึ่งประกันออมทรัพย์ก็สามารถลดหย่อนได้ตามเกณฑ์ของกรมสรรพากร สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เงื่อนไขคือต้องถือกรมธรรม์อย่างน้อย 10 ปี และมีความคุ้มครองชีวิตควบคู่
ความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนทั่วไป
ในขณะที่บางคนเลือกลงทุนในหุ้นหรือคริปโตฯ ประกันออมทรัพย์กลับเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน แม้จะไม่หวือหวาแต่ก็มีความมั่นคง และเหมาะกับการวางแผนเป้าหมายระยะยาว เช่น การเก็บเงินเพื่อการศึกษาบุตร หรือเงินก้อนสำหรับเริ่มต้นธุรกิจในอนาคต
วางแผนยังไงให้ประกันออมทรัพย์ตอบโจทย์จริง?
เข้าใจเงื่อนไขระยะเวลาการจ่ายเงินและรับเงินคืน
สิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดีคือระยะเวลาที่ต้องจ่ายเบี้ย เช่น 5 ปี หรือ 10 ปี รวมถึงระยะเวลารอรับเงินคืน เช่น กรมธรรม์อาจมีอายุ 15 ปี แต่ต้องจ่ายเบี้ยเพียง 6 ปี แล้วหยุดจ่าย โดยรอรับผลประโยชน์หลังจากนั้น สิ่งเหล่านี้ต้องวางแผนให้เหมาะกับกระแสเงินสดในแต่ละช่วงวัย
เปรียบเทียบผลตอบแทนสุทธิหลังหักภาษีและค่าใช้จ่ายแฝง
แม้ประกันออมทรัพย์จะมีการระบุผลประโยชน์ล่วงหน้า แต่ผู้ซื้อควรคำนวณอัตราผลตอบแทนแท้จริง (IRR) เพื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น เช่น เงินฝากประจำหรือกองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าแบบไหน “คุ้มค่าที่สุด” ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
