ปัญหาเงินขาดมือในธุรกิจก่อสร้างผู้รับเหมาก่อสร้างจำนวนมากเผชิญปัญหาคล้ายกัน คือ เงินออกก่อน เงินเข้าช้า เพราะโครงสร้างงานก่อสร้างต้องจ่ายแรงงาน วัสดุ และผู้รับเหมาช่วงทันที แต่รายรับกลับถูกผูกไว้กับ งวดงาน–งวดเงิน ตามที่เจ้าของโครงการกำหนด บวกกับเงื่อนไข Retention (เงินประกันผลงานที่ถูกหักไว้ 5–10%) ยิ่งทำให้สภาพคล่องตึงมือ

เมื่อถึงจุดนี้ หลายกิจการจึงหันมาใช้
สินเชื่อเพื่อธุรกิจ โดยเฉพาะ สินเชื่อไม่มีหลักประกัน ที่อิงเอกสารสัญญาโครงการ (BOQ, Payment Certificate, TOR) แทนการใช้ทรัพย์สินส่วนตัวค้ำ เพื่อให้ธุรกิจเดินต่อได้โดยไม่สะดุด
วงเงินหมุนเวียน (OD) กับเงินลงทุน: ทำไมต้องแยกให้ชัด
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่ผู้รับเหมามักทำคือ ใช้วงเงินเดียวกันทั้งสำหรับ “ค่าใช้จ่ายหมุนเวียน” และ “การลงทุนระยะยาว” ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาระดอกเบี้ยที่ไม่จำเป็น
1. วงเงินหมุนเวียน (OD / Revolving Credit)เหมาะกับรายจ่ายระยะสั้น เช่น ค่าแรงประจำ, ค่าวัสดุประจำสัปดาห์, ค่าน้ำไฟไซต์งาน
ตั้งวงเงินโดยคำนวณจาก ค่าใช้จ่ายคงที่รายเดือน × 1–1.5 เท่า + Buffer 10–20%
จุดเด่น: เสียดอกเบี้ยเฉพาะยอดที่ใช้จริง และหมุนได้หลายรอบ
2. Working Capital (อิงสัญญาโครงการ)เหมาะกับโครงการที่มีตารางงวดงาน–งวดเงินชัดเจน
ใช้ Payment Certificate และเอกสารโครงการเป็นหลักฐานขอวงเงิน
วงเงินส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 1.5–2.0 ล้านบาทขึ้นไป สำหรับโครงการขนาดกลาง
ช่วยเชื่อมให้ธุรกิจรอเงินโครงการได้อย่างมั่นใจ
3. Advance Payment Bond (ถ้ามี)ถ้าเจ้าของงานจ่ายเงินล่วงหน้า ต้องมี หนังสือค้ำประกัน (Bond)
ควรแยกวงเงินนี้ออกจาก OD/Working Capital เพื่อไม่ให้กระทบสภาพคล่อง

Insight ผู้เชี่ยวชาญ: การแยกวงเงินให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ช่วยให้ธนาคารมั่นใจว่าธุรกิจมีระบบบริหารการเงินที่เป็นมืออาชีพ และลดความเสี่ยงการใช้ผิดประเภท ซึ่งเป็นหนึ่งในเกณฑ์สำคัญของการอนุมัติ สินเชื่อ SME วงเงินสูง
ตัวอย่าง: ผู้รับเหมางานโครงการถนนสมมติผู้รับเหมารับงานก่อสร้างถนน 2 โครงการ มูลค่า 12 ล้านบาท มีตารางเบิกงวดทุก 2 เดือน
Pain Point: ต้องจ่ายค่าแรงและค่าวัสดุรวมเดือนละ ~800,000 บาท
เบิกงวดได้ก็ต่อเมื่อวิศวกรออก ใบรับรองงวดงาน (Payment Certificate)
ยังมี Retention 10% ที่ถูกหักไว้ปลายโครงการ
Solution: ขอ OD 1 ล้านบาท → ครอบคลุมค่าแรง/วัสดุรายเดือน + buffer
ขอ Working Capital 2 ล้านบาท → ผูกวงเงินกับ Payment Certificate ของแต่ละงวด
แยก Advance Payment Bond ไว้ต่างหาก (หากเจ้าของงานจ่ายเงินล่วงหน้า)
ผลลัพธ์:
ธุรกิจสามารถเดินงานต่อเนื่อง ไม่เสียเครดิตกับผู้รับเหมาช่วงและแรงงาน พร้อมสร้างความน่าเชื่อถือในการยื่นงานใหม่ ๆ
ข้อควรระวังในการใช้
สินเชื่อเพื่อธุรกิจไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้าง
วงเงินอาจไม่สูงเท่าสินเชื่อที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำ
→ แต่ข้อดีคือเข้าถึงเร็ว ไม่ต้องผูกทรัพย์สินส่วนตัว
ต้องมีเอกสารครบถ้วน
เช่น สัญญา, BOQ, TOR, Payment Certificate, Statement และหลักฐาน Retention
ต้องรักษาวินัยทางการเงิน
หากธนาคารเห็นการหมุน OD หลายบัญชีโดยไม่โปะคืน → จะถูกมองว่าเสี่ยง
ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย
ถึงแม้ดอกเบี้ย OD จะคิดรายวัน แต่ถ้าไม่บริหารการโปะคืน → จะบานปลายได้ง่าย
กลยุทธ์เพิ่มโอกาสอนุมัติในปี 2568
ปี พ.ศ. 2568 ธนาคารไทยมีแนวทาง Responsible Lending ที่เข้มงวดขึ้น โดยเน้นประเมินจากความสามารถในการชำระหนี้จริง แทนที่จะพึ่งพาหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว ผู้รับเหมาควร:
จัดทำ กระแสเงินสด (Cash Flow) รายโครงการชัดเจน
แนบเอกสาร Payment Certificate ย้อนหลัง อย่างน้อย 2–3 งวด
แสดงหลักฐาน Retention ที่จะได้รับคืนเมื่อสิ้นสุดโครงการ
ใช้ Statement ธุรกิจแยกจากบัญชีส่วนตัว
✅ การเตรียมข้อมูลเหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการก่อสร้างเข้าถึง สินเชื่อเพื่อธุรกิจรับเหมา ได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขอวงเงินสูงแม้ไม่มีหลักประกัน
สรุป: แยกวงเงินให้ถูกประเภท = รอดเกมก่อสร้างธุรกิจก่อสร้างในปี 2568 ต้องการทั้งสภาพคล่องและความน่าเชื่อถือ การแยกวงเงินหมุนเวียนกับเงินลงทุนอย่างชัดเจน ช่วยให้ธุรกิจเดินงานได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุดกลางคัน และยังเพิ่มความมั่นใจแก่ธนาคารในการปล่อยกู้
OD เหมาะกับค่าใช้จ่ายระยะสั้น
Working Capital เหมาะกับโครงการตามสัญญา
Advance Payment Bond ต้องแยกออกมาเพื่อไม่ให้กดดันสภาพคล่อง
คลิ๊กที่นี่เพื่ออ่านเนื้อหาสินเชื่อกับธุรกิจ
ตัวอย่างสินเชื่อธุรกิจSMEไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน 
หากคุณคือผู้รับเหมาก่อสร้างที่กำลังหาทางออกเรื่องเงินทุน อย่ารอให้ปัญหาเงินสดสะดุดโครงการ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน สินเชื่อเพื่อธุรกิจ และหาทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณได้ที่
www.easycashflows.com