
ลองจินตนาการว่าคุณเพิ่งได้รับสัญญาโครงการก่อสร้างจากหน่วยงานภาครัฐ มูลค่าเกินร้อยล้านบาท ดีใจใช่ไหมครับ? แต่ปัญหาที่เจอบ่อยคือ “เงินทุนหมุนเวียน” ที่ต้องใช้ทันทีเพื่อซื้อวัสดุ จ่ายค่าแรง และวางระบบงานให้ทันตามแผนงาน โอกาสทองตรงนี้อาจสะดุด ถ้าไม่มีเงินทุนเพียงพอ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่
สินเชื่อเพื่อธุรกิจ แบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน กลายมาเป็น “พระเอกตัวจริง” ของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างในปี 2568 เพราะนอกจากช่วยเสริมสภาพคล่องแล้ว ยังให้วงเงินสูงและดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน
ทำไมผู้รับเหมาก่อสร้างถึงต้องใช้สินเชื่อมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน?
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการกับภาครัฐ มีข้อกำหนดที่เข้มงวด ทั้งเรื่องคุณภาพและการส่งมอบงานตรงเวลา หากเงินทุนไม่เพียงพอ การดำเนินงานอาจสะดุดจนกระทบชื่อเสียงและโอกาสในอนาคต
ข้อดีสำคัญของ
สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้แก่:
ได้วงเงินสูงกว่า: วงเงินกู้บางธนาคารให้ถึง 5 เท่าของมูลค่างาน
ดอกเบี้ยต่ำกว่า: ลดต้นทุนทางการเงินเมื่อเทียบกับสินเชื่อ SME แบบไม่มีหลักประกัน
เพิ่มความน่าเชื่อถือ: การมีหลักทรัพย์ค้ำประกันทำให้สถาบันการเงินมั่นใจมากขึ้น
บริการครบวงจร: เช่น Pre Finance สำหรับเริ่มโครงการ และ Post Finance หลังเบิกงวดงาน

ประเภทหลักทรัพย์ที่นิยมใช้ค้ำประกัน
ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง – อาคารพาณิชย์ โกดัง โรงงาน หรือสำนักงาน
พันธบัตรรัฐบาล – หลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง เหมาะกับผู้ที่มีพอร์ตลงทุน
เงินฝากธนาคาร – ทั้งเงินฝากประจำและเงินฝากออมทรัพย์
การค้ำประกันโดย บสย. – เหมาะสำหรับธุรกิจ SME ที่ต้องการเพิ่มความน่าเชื่อถือ

ผู้ให้บริการสินเชื่อที่น่าสนใจในปี 2568
SCB (ไทยพาณิชย์): วงเงิน O/D และ L/G สำหรับธุรกิจภาครัฐ วงเงินสูงสุด 100 ล้านบาท
KTB (กรุงไทย): วงเงินค้ำประกันได้สูงสุด 5 เท่าของมูลค่างาน บริการออก L/G ภายใน 1 วัน
TISCO (ทิสโก้): เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีรายได้ต่อปีเกิน 30 ล้านบาท ใช้หลักประกันได้หลายประเภท
Lease IT: มีสินเชื่อ Project Backup Finance และ Bid Bond เหมาะสำหรับผู้ต้องการความยืดหยุ่น
(ข้อมูลเพื่อการเปรียบเทียบเบื้องต้น หากต้องการรายละเอียดโปรดสอบถามผู้ให้บริการโดยตรง)

ตัวอย่างสถานการณ์จริง
คุณเอก เจ้าของบริษัทก่อสร้างระดับกลาง เพิ่งชนะการประมูลสร้างอาคารสำนักงานราชการมูลค่า 200 ล้านบาท เขาต้องใช้เงินสดกว่า 30 ล้านบาทในการเริ่มต้นงาน ตั้งแต่จัดซื้อวัสดุไปจนถึงค่าแรง แต่ไม่มีเงินก้อนใหญ่พอ
เอกเลือกใช้ สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยนำที่ดินของบริษัทไปวางเป็นหลักประกัน ได้วงเงินกู้ถึง 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อหมุนเวียนทั่วไป ทำให้โครงการเริ่มได้ตามกำหนดและสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาคู่ค้า
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q1: ถ้าไม่มีที่ดินหรืออาคาร จะกู้สินเชื่อแบบมีหลักประกันได้ไหม?
A: ได้ครับ สามารถใช้เงินฝาก พันธบัตร หรือใช้บริการค้ำประกันจาก บสย. แทนได้
Q2: ระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อใช้เวลานานแค่ไหน?
A: ปกติอยู่ที่ 7-14 วัน ขึ้นอยู่กับเอกสารและการประเมินหลักทรัพย์
Q3: ดอกเบี้ยเฉลี่ยปี 2568 เท่าไร?
A: อยู่ที่ประมาณ 5-7% ต่อปี ต่ำกว่าสินเชื่อไม่มีหลักประกันที่เฉลี่ย 9-12%
Q4: เหมาะกับผู้รับเหมารายเล็กหรือไม่?
A: เหมาะครับ แต่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่เพียงพอ วงเงินจะถูกประเมินตามมูลค่าหลักทรัพย์และสัญญาจ้างงาน
สรุป
ในปี 2568 ที่การแข่งขันด้านการก่อสร้างเข้มข้นขึ้น สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างถือเป็น “ตัวช่วยทางการเงิน” ที่สร้างความได้เปรียบ เพราะให้วงเงินสูง ดอกเบี้ยต่ำ และทำให้โครงการเดินหน้าได้ตามแผน
หากคุณคือผู้ประกอบการที่กำลังหาทางออกด้านการเงิน อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือ มาศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและขอคำปรึกษาได้ที่

?
www.easycashflows.comศึกษาเพิ่มเติมจากบทความฉบับเต็ม
สินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันข้อมูลอ้างอิง
ธนาคารแห่งประเทศไทย (2568). รายงานแนวโน้มสินเชื่อธุรกิจ SME ปี 2568.
https://www.bot.or.thกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ (2568). สถิติผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง.
https://www.dbd.go.th