ดริปวิตามินผิวกี่ครั้งเห็นผล ดูข้อดีและเสียให้รู้ว่าดีจริงไหมการดริปวิตามินผิวคืออะไร? การดริปวิตามินผิวคือการฉีดวิตามินเข้าไปยังร่างกายโดยตรงซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีดูแลผิวยอดฮิตที่หลายคนเลือกใช้ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูผิวจากภายใน เหมาะสำหรับคนที่อยากฟื้นฟูผิวหมองคล้ำให้กลับมาดูสดใส ดูสุขภาพดี แต่คำถามที่มักเจอกันบ่อยคือดริปวิตามินผิวกี่ครั้งเห็นผล ต้องดริปวิตามินบ่อยแค่ไหน ฉีดผิวควรเว้นกี่วัน แล้วมีข้อดีข้อเสียอะไรที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจบ้าง?
ถ้าอยากรู้ว่า
ดริปวิตามินผิวกี่ครั้งเห็นผล พร้อมเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียอย่างละเอียด ต้องไม่พลาดบทความนี้!
ดริปวิตามินผิว เห็นผลทันทีไหม?การดริปวิตามินผิว จะเห็นผลเรื่องความนุ่มลื่น ผิวชุ่มชื่นขึ้นหลังดริปครั้งแรก เริ่มเห็นผลหลังดริป 7-14 วัน
ส่วนผลลัพธ์เรื่องความกระจ่างใส มีออร่า แนะนำให้ดริปต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้งขึ้นไป วิตามินจะค่อยๆ ชะลอการทำงานของเม็ดสี ฟื้นฟูและบำรุงผิว ควรดริปต่อเนื่องทุกสัปดาห์ ติดต่อกัน 6-10 สัปดาห์ในช่วงแรก ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินอย่างต่อเนื่อง ผิวจะค่อย ๆ ดูขาวใสขึ้น มีออร่า เนียนนุ่มลื่น
ดริปวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล ผิวขาวใสจริงไหม?การดริปวิตามินผิวกี่ครั้งเห็นผลจะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ที่ดูแลเคส เบื้องต้นแนะนำให้ดริปวิตามินผิวติดต่อกัน 3-5 ครั้งขึ้น โดยทั่วไปหลังดริปครั้งแรกจะเริ่มรู้สึกว่าผิวนุ่มลื่นขึ้น ร่างกายสดชื่นขึ้น
ส่วนคนที่อยากขาว อยากปรับสีผิว คงสภาพผิวให้กระจ่างใสมีออร่า ควรดริปอย่างต่อเนื่องทุก 5 หรือ 7 วัน อย่างน้อย 10 ครั้งขึ้นไป คู่กับการพักผ่อนให้เพียงพอ ทากันแดด กินอาหารที่มีประโยชน์ จึงจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสดูมีออร่า ช่วยปรับสีผิวที่หมองคล้ำให้เปล่งปลั่งขึ้น ผิวแข็งแรงฟื้นตัวจากความหมองคล้ำได้ไว ความจำดีขึ้น กระตุ้นเซลล์ช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ตามปกติ ลดการทำงานของอนมูลอิสระ ดีท็อกซ์พิษจากผิว
ดริปวิตามินผิว ให้ผลลัพธ์ผิวขาวใสถาวรไหม?การดริปวิตามินผิวเป็นตัวช่วยเสริมให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้จริง แต่ไม่ได้ทำให้ผิวขาวถาวร เพราะสาเหตุหลักของผิวหมองจะมาจากแสงแดด เพราะเมื่อผิวเจอแดดแรง ๆ ร่างกายจะผลิตเม็ดสีเมลานิน ออกมาเพื่อปกป้องผิวตามธรรมชาติ ทำให้ผิวมีสีเข้ม ดูหมองหรือคล้ำลงได้ ดังนั้นนอกจากดริปผิวอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์แล้ว ควรทาครีมกันแดดที่มีค่าการป้องกันผิวด้วย SPF 50+ PA++++ ขึ้นไป ทาครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำความสะอาดผิวหลังเผชิญมลภาวะ ฯ
ข้อแนะนำ การดูแลตัวเองหลังดริปวิตามินผิวการดริปผิวคือคำตอบหนึ่งในการช่วยฟื้นฟูผิวโดยใช้กระบวนการของร่างกาย แต่การดริปวิตามินผิวเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอต่อการทำให้ผิวขาวใสยาวนาน แต่ต้องอาศัยการดูแลผิวหลังดริปอย่างต่อเนื่องด้วย การถามว่าฉีดวิตามินผิวกี่ครั้งเห็นผลจึงยังไม่พอแต่ต้องรู้ด้วยว่าจะดูแลผิวยังไงดี โดยคำแนะนำการดูแลผิวหลังฉีดผิวก็จะมีดังนี้
- ใช้ครีมกันแดด SPF 50+ PA++++ ทุกวัน ถ้าต้องทำกิจกรรมกลางแดดนานๆ ควรทากันแดดเพิ่มระหว่างวันด้วย
- ทาครีมบำรุงให้ผิวชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- ทำความสะอาดผิวทุกวัน หรือหลังจากเจอมลภาวะ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 6-8 แก้ว
- ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด
เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ดริปวิตามินผิวดีจริงไหม?ก่อนที่จะปรึกษาแพทย์ว่าดริปวิตามินผิวกี่ครั้งเห็นผล ก็ควรลองมาเช็กข้อดีข้อเสียกันอีกครั้ง เพื่อช่วยให้เลือกได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด
ข้อดีของการดริปวิตามินผิว
- ช่วยเสริมการบำรุงจากภายใน เหมาะกับคนที่อยากบำรุงผิวแต่มีเวลาน้อย รีบใช้ผิว
- เติมสารอาหารสำคัญเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ทันที เหมาะกับคนที่ต้องการให้เห็นผลลัพธ์เร็ว
- เป็นตัวช่วยเสริมควบคู่กับการดูแลผิวประจำวัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงให้เห็นผลชัดขึ้น
- วิตามินเข้มข้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายหลังช่วงพักฟื้น หรือช่วงที่รู้สึกอ่อนเพลียง่าย
- วิตามินกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูร่างกายหลังเจ็บป่วย
- วิตามินช่วยเสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ผิวแข็งแรง ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว
ข้อเสียของการดริปวิตามินผิว
- จำเป็นต้องทำต่อเนื่องตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- ต้องหาเวลาไปทำอย่างสม่ำเสมอ ก่อนเลือกคลินิกฉีดวิตามินผิว จึงควรดูคลินิกที่เดินทางง่าย ใกล้บ้าน มีหลายสาขา เป็นตัวเลือกแรก ๆ จะดีที่สุด
สรุปดริปวิตามินผิวกี่ครั้งเห็นผล? ทำยังไงให้ผิวขาวใสทนนานดริปวิตามินผิวกี่ครั้งเห็นผล? สามารถตอบได้เลยว่าจะเริ่มเห็นผลบางส่วนได้ทันทีเมื่อเริ่มทำ และจะเห็นผลชัดเจนเมื่อดริปต่อเนื่องประมาณ 6-10ครั้งขึ้นไป หลังจากนั้นควรดูแลตัวเองด้วยการทาครีมกันแดด SPF 50+ PA++++ ทุกวัน ทาครีมบำรุง ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้พอ และทานอาหารที่มีประโยชน์จึงเป็นสิ่งสำคัญและควรทำควบคู่กันด้วย