MBTI อธิบายตัวคุณได้มากกว่าที่คิด พร้อมวิธีนำไปใช้ในชีวิตจริงคุณเคยสงสัยไหมว่า MBTI ที่เห็นกันบ่อยในโลกออนไลน์นั้นคืออะไร? และจริง ๆ แล้ว MBTI อธิบายตัวตนของผู้ที่ทำแบบทดสอบได้อย่างไร? ในยุคที่การพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ หลายคนเริ่มหันมาใช้เครื่องมืออย่าง MBTI เพื่อทำความเข้าใจบุคลิกภาพและแนวคิดของตนเองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แบบทดสอบ MBTI คือเครื่องมือที่ไม่ได้จำแนกเพียงบุคลิกภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาจุดแข็ง เสริมจุดอ่อน และวางแผนชีวิตได้อย่างมีทิศทางด้วย บทความนี้เราจึงจะพาทุกคนไปรู้จักว่า MBTI แปลว่าอะไร อธิบายตัวเราได้ยังไง แล้วเราจะนำผลลัพธ์ของ
ประเภทบุคลิกภาพที่ได้ไปใช้เพื่อพัฒนาตนเองได้อย่างไรบ้าง
MBTI อธิบายตัวเองได้อย่างไร? วิธีใช้ผล MBTI เพื่อพัฒนาตนเองหลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ MBTI มาบ้าง แต่ยังไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับการพัฒนาตัวเองอย่างไร Myers-Briggs Type Indicator หรือ MBTI คือแบบทดสอบที่ช่วยจำแนกลักษณะนิสัยของแต่ละบุคคลออกเป็น 16 ประเภท โดยอิงจาก 4 มิติของพฤติกรรม ได้แก่ การรับข้อมูล (Sensing/Intuition) การตัดสินใจ (Thinking/Feeling)การใช้พลังงาน (Introversion/Extraversion),และการใช้ชีวิต (Judging/Perceiving) ซึ่งผลที่ได้จาก MBTI อธิบายให้เราเข้าใจธรรมชาติของตัวเองได้ลึกซึ้งขึ้น ทั้งในแง่ของวิธีคิด การสื่อสาร จุดแข็ง จุดอ่อน และแนวโน้มพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
เมื่อเข้าใจตัวตนผ่านผล MBTI แล้ว เราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ต่อยอดเพื่อการเติบโตอย่างมีทิศทางได้ ไม่ว่าจะเป็นการดึงศักยภาพที่มีอยู่มาใช้ให้เต็มที่ การรู้เท่าทันจุดอ่อนของตัวเอง การปรับปรุงความสัมพันธ์กับผู้อื่น ไปจนถึงการเลือกเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมกับบุคลิกของเราโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถทำได้ผ่านแนวทางต่อไปนี้
1. รู้จุดแข็งและใช้ให้เต็มที่
เมื่อเราทราบว่าบุคลิกของเราอยู่ในกลุ่มใดตามผลที่ MBTI อธิบายไว้ เราจะเข้าใจว่าอะไรคือ “สิ่งที่เราทำได้ดีโดยธรรมชาติ” เช่น บุคคลประเภท ENFJ มักมีความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจและสื่อสารกับผู้อื่นได้ดี ขณะที่ ISTP มักเก่งเรื่องการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ การรู้จุดแข็งของตัวเองช่วยให้เราเลือกเส้นทางที่เหมาะสม และดึงศักยภาพออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงาน
2. ระวังจุดอ่อนและฝึกพัฒนา
MBTI คือเครื่องมือที่ไม่ได้บอกเพียงแค่ข้อดี แต่ยังช่วยชี้ให้เห็นจุดอ่อนที่เราควรระวังด้วย เช่น หากเป็นคนประเภท INTP ที่ชอบวิเคราะห์และคิดซับซ้อน อาจมีแนวโน้มหลีกเลี่ยงงานที่ต้องจัดการเรื่องอารมณ์หรือความรู้สึกของคนอื่น หรือหากเป็น ESFJ ที่ให้ความสำคัญกับคนรอบข้างมากเกินไป อาจทำให้ลืมดูแลความต้องการของตัวเองได้ และเมื่อเรารู้จุดที่มักพลาดแล้ว เราก็จะสามารถตั้งใจพัฒนาในจุดนั้นได้ เช่น ฝึกวางแผนให้รอบคอบขึ้น พัฒนาทักษะการฟัง หรือฝึกจัดการอารมณ์ให้สมดุลขึ้น
3. พัฒนาความสัมพันธ์กับคนรอบตัว
อีกหนึ่งจุดแข็งของ MBTI คือการช่วยให้เราเข้าใจว่าแต่ละคนมีวิธีคิดและมุมมองต่อโลกที่ต่างกันออกไป ไม่ใช่ใครผิดหรือใครถูก แต่เป็นเรื่องของธรรมชาติที่แตกต่าง เช่น คนประเภท Thinking (T) มักใช้เหตุผลนำ ขณะที่ Feeling (F) มักจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกก่อน การเข้าใจบุคลิกของตัวเองและผู้อื่นจะช่วยลดความขัดแย้งในการสื่อสาร เพิ่มความเข้าใจ และปรับวิธีการพูดคุยให้เหมาะกับอีกฝ่ายได้มากขึ้น ทั้งในความสัมพันธ์ส่วนตัว การทำงานเป็นทีม ตลอดถึงการบริหารคน
4. ใช้ MBTI วางแผนอาชีพหรือเป้าหมายชีวิต
การรู้จักบุคลิกภาพของตนเองผ่าน MBTI นับเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการวางแผนเป้าหมายระยะยาว เช่น INTJ ที่มีแนวโน้มชอบการวางแผนและการคิดเชิงกลยุทธ์อาจเหมาะกับงานที่ต้องวิเคราะห์ภาพรวมและวางทิศทาง ขณะที่ ESFP ที่รักความสนุกสนานและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน อาจรุ่งในสายงานที่ต้องใช้พลังงานและความคิดสร้างสรรค์มากกว่า การใช้ผล MBTI ในการสำรวจเส้นทางอาชีพที่สอดคล้องกับบุคลิก จะช่วยให้เราวางแผนพัฒนาตัวเองได้อย่างมั่นใจและมีทิศทางขึ้น
การรู้จักตัวเองเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเติบโต และ MBTI ก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของตนเองในหลายมิติ ทั้งความคิด อารมณ์ การตัดสินใจ และการสื่อสาร แม้ว่า MBTI อธิบายตัวตนไม่ได้ทั้งหมด แต่ MBTI คือเครื่องมือที่สามารถชี้แนวทางที่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาจุดแข็ง จุดที่ควรพัฒนา รวมถึงศักยภาพในอนาคตได้ หากคุณรู้ว่า
MBTI คืออะไร MBTI แปลว่าอะไร แล้วนำผลลัพธ์ไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม ควบคู่กับการสังเกตและการปรับตัวในชีวิตจริง คุณก็จะสามารถพัฒนาทั้งตัวเองและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้อย่างยั่งยืนและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น