หากคุณเคยรู้สึกใจสั่น หายใจไม่ออก วิงเวียนศีรษะ เหมือนกำลังจะเป็นลมหรือหัวใจวาย ทั้งที่ไม่มีเหตุการณ์อันตรายใดๆ เกิดขึ้น อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของ โรคแพนิค (Panic Disorder) ไม่ใช่แค่ความวิตกกังวลธรรมดาหรือ "คิดไปเอง" อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด โดยโรค
แพนิคคือหนึ่งในความผิดปกติทางจิตเวชที่ได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ทั่วโลก มีการศึกษาและวินิจฉัยอย่างเป็นระบบ โดยอาการของโรคนี้ไม่ได้เกิดจากจินตนาการหรือความอ่อนแอทางจิตใจ แต่เป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติและสารเคมีในสมอง
อาการของโรคแพนิค ลักษณะเด่นของโรคแพนิคคือ การเกิดอาการแพนิคอย่างฉับพลัน (Panic Attack) ซึ่งเป็นภาวะที่บุคคลรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวลอย่างรุนแรงโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน อาการมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงภายในไม่กี่นาที โดยผู้ป่วยอาจมีอาการต่อไปนี้:
ใจสั่น หัวใจเต้นแรง หรือเต้นผิดจังหวะ
- ใจสั่น หัวใจเต้นแรง หรือเต้นผิดจังหวะ
- หายใจลำบาก รู้สึกเหมือนขาดอากาศ
- เหงื่อออก ตัวสั่น
- วิงเวียนศีรษะ รู้สึกเหมือนจะเป็นลมหรือหมดสติ
- เจ็บหน้าอก คล้ายอาการหัวใจวาย
- รู้สึกไม่อยู่กับตัว หรือโลกไม่จริง
- กลัวจะเสียการควบคุมตนเองหรือกลัวว่าจะตาย
อาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ แม้ในขณะที่กำลังนั่งอยู่เฉย ๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ผู้ป่วยโรคแพนิคหลายคนมีความหวาดกลัวว่าตัวเองอาจมีโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ หรือโรคทางกายอื่นๆ และอาจไปพบแพทย์หลายครั้งโดยไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
โรคแพนิคเกิดจากอะไร ?นักวิทยาศาสตร์พบว่าโรคแพนิคไม่ได้เกิดจากการ "คิดไปเอง" แต่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสมองและร่างกาย ดังนี้:
1. ความผิดปกติของสารเคมีในสมอง
สารสื่อประสาทอย่าง เซโรโทนิน (Serotonin) และนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์และความเครียด ผู้ป่วยโรคแพนิคมักมีระดับสารเหล่านี้ไม่สมดุล ทำให้สมองตอบสนองต่อความเครียดรุนแรงเกินปกติ
2. ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ
เมื่อร่างกายเผชิญกับภาวะตื่นตระหนก ระบบประสาทอัตโนมัติจะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยา "สู้หรือหนี (Fight or Flight)" ซึ่งส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น และหายใจถี่ผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยโรคแพนิค ระบบนี้ทำงานไวเกินไป แม้ในสถานการณ์ที่ไม่อันตราย
3. ปัจจัยทางพันธุกรรม
การศึกษาพบว่าแพนิคคือโรคที่มีแนวโน้มถ่ายทอดทางพันธุกรรม หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคนี้ ความเสี่ยงที่บุคคลจะเป็นโรคแพนิคก็สูงขึ้น
4. ปัจจัยทางจิตใจและสิ่งแวดล้อม
ความเครียดรุนแรง การเผชิญหน้ากับเหตุการณ์สะเทือนใจ เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือประสบการณ์วัยเด็กที่กระทบกระเทือนจิตใจ อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคแพนิคได้
การรักษาโรคแพนิคโรคแพนิคสามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยวิธีการต่อไปนี้:
1. การใช้ยา
- ยาต้านเศร้า (Antidepressants) เช่น SSRIs (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors) ช่วยปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง
- ยาเบนโซไดอะซีพีน (Benzodiazepines) ใช้ในระยะสั้นเพื่อลดอาการแพนิคทันที แต่ต้องระวังเรื่องการติดยา
2. จิตบำบัด (Psychotherapy)
การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy - CBT) เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยช่วยให้ผู้ป่วยรับมือกับความกลัวและเปลี่ยนแปลงแนวคิดที่กระตุ้นอาการแพนิค
3. การปรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์
- ฝึกเทคนิคการหายใจลึกๆ และการทำสมาธิเพื่อลดความวิตกกังวล
- ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อลดความเครียด
- หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และสารกระตุ้นที่อาจกระตุ้นอาการแพนิค
แพนิคคือโรค ไม่ใช่แค่คิดไปเองโรคแพนิคคือโรคจิตเวชที่มีสาเหตุทางชีวภาพและสามารถรักษาได้ การมองว่าอาการแพนิคเป็นเพียง "การคิดไปเอง" อาจทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสม
หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการคล้ายโรคแพนิค การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญ เพราะโรคนี้สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ และผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติเมื่อได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง