ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


Retargeting คืออะไร มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง

การวางแผนทำ retargeting

ในโลกของการตลาดดิจิทัล ที่ธุรกิจต่างแสวงหาวิธีการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธีการต่างๆ ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ วิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมและได้รับความสนใจอย่างมาก คือ การใช้วิธี ที่ชื่อว่า Retargeting แต่ว่าวิธีนี้คืออะไร และมีประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณอย่างไรบ้าง มาหาคำตอบได้ในบทความนี้ได้เลยครับ

Retargeting คืออะไร

Retargeting คือ ส่วนหนึ่งของการทำ Marketing ประเภทหนึ่ง ทำได้โดยกำหนดเป้าหมายไปยังผู้ใช้ที่เคยมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มของเราก่อนแล้ว เทคนิคนี้ใช้คุกกี้บนเบราว์เซอร์หรือการยิงโฆษณาซ้ำๆ เพื่อติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้และแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เมื่อกลุ่มเป้าหมายเลื่อนผ่านเว็บไซต์ต่างๆ

การโฆษณาที่มีการ Retargeting หมาย ถึง ความสามารถในแสดงข้อความ หรือรูปภาพบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย ทาง google และเว็บไซต์ต่างๆ เป้าหมายหลักของการทำ Retargeting คือ การหาโอกาสให้ลูกค้ากลับมาแสดงความสนใจในแบรนด์สินค้าของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ามามีส่วนร่วม ในการใช้บริการหรือซื้อสินค้าของเรา

ประโยชน์ของการทำ Retargeting

การอ่านข้อมูล สำหรับทำ retargeting

Retargeting คือ วิธีการหนึ่งที่มีประโยชน์ เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับกลยุทธ์ Digital Martketing ที่หลายธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้ เพื่อเป็นการปรับปรุงยอดขาย และเพื่อให้เราเข้าใจตลาดที่เหมาะกับธุรกิจเรามากขึ้น และต่อไปนี้คือประโยชน์หลักๆ ของการทำ Retargeting ที่หลายธุรกิจทำแล้วเห็นผลได้ชัดเจน มีดังนี้

  • เพิ่ม ROI หรือเพิ่มผลตอบแทนให้เราเพิ่มขึ้น Retargeting นอกจากจะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าที่มีความสนใจในแบรนด์ของท่านแล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้ที่อาจเป็นลูกค้า ให้กลายเป็นลูกค้าที่พร้อมจ่ายเงินซื้อสินค้าของท่าน ซึ่งส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุน หรือ ROI ดีขึ้น

  • สร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ได้ดีขึ้น Retargeting ช่วยให้แบรนด์ของคุณอยู่ในใจของผู้ใช้งานเว็บไซต์ แม้ว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะออกจากเว็บไซต์ของคุณไปแล้วก็ตาม สิ่งนี้ช่วยสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ที่ดีขึ้น ซึ่งสามารถนำไปสู่การเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์และการกลับมาซื้อซ้ำ

  • เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า เราสามารถปรับแต่งสื่อโฆษณาให้เหมาะกับความสนใจของผู้ใช้ได้ นับว่าเป็นการ Retargeting เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีส่วนร่วมและการโต้ตอบของลูกค้า สิ่งนี้สามารถช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และสร้างผู้สนับสนุนแบรนด์ของท่าน

  • เพิ่มการซื้อหรือใช้บริการของลูกค้า Retargeting คือ การกำหนดเป้าหมายไปยังผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณอยู่แล้ว และเพิ่มความน่าสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ สิ่งนี้จะเพิ่มโอกาสในการ เปลี่ยนผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าให้กลายเป็นลูกค้าที่ยอมจ่ายเงินซื้อสินค้าของท่าน ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลให้ธุรกิจมีรายได้เพิ่มขึ้น

Retargeting ต่างจาก Remarketing อย่างไร

กระประชุมเพื่อวางแผนทำ retargeting

Retargeting และ Remarketing เป็นสิ่งที่คล้ายกันมากๆ โดยทั้งสองอย่างนี้ มีจุดประสงค์เพื่อเป็นการทำการตลาดที่ต้องการหาลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสินค้าของเราเหมือนกัน แต่ทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันอย่างไร โดยเราจะอธิบายง่ายๆ ได้ดังนี้

Retargeting คือ กระบวนการแสดงโฆษณาที่ตรงกับกลุ่มผู้ใช้ ที่เคยมีส่วนร่วมกับแบรนด์หรือเว็บไซต์ของคุณ ผ่านการเก็บข้อมูลก่อน แล้วค่อยทำโฆษณา ส่วนใหญ่มักจะทำใน Facebook Ads และ Google Ads โดยอาศัยการทำงานของคุกกี้ ตามเว็บไซต์ต่างๆ

แต่ในทางกลับกัน Remarketing หมายถึง กระบวนการเก็บข้อมูลผู้ที่สนใจ ผ่านกระบวนการต่างๆ จากนั้นก็มาทำการตลาดอีกครั้งในภายหลัง ที่เราเห็นได้บ่อย คือ การส่งอีเมลการตลาดให้ลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าแล้ว โดยหวังว่าลูกค้าจะกลับมาซื้อผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของทางบริษัทอีกครั้ง ทั้ง Retargeting และ Remarketing มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ากลับมายังเว็บไซต์ของคุณ แต่ทั้งสองวิธี ก็มีกระบวนการที่แตกต่างเช่นกัน

กลยุทธ์ Retargeting

การขายของออนไลน์ผ่านการทำ retargeting

Retargeting คือ วิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการตลาดดิจิทัลที่ช่วยให้ นักการตลาดดิจิทัลสื่อสารกับผู้คนที่แสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ หากนักการตลาดทุกท่านต้องทำ retargeting อย่างมีประสิทธิภาพ คุณต้องมีกลยุทธ์ทั้ง 4 ข้อดังนี้

1. เลือกเป้าหมายที่เหมาะสม

1. จัดกลุ่มตามพฤติกรรม ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณหรือโต้ตอบกับเนื้อหาของคุณเหมือนกัน การจัดกลุ่มบุคคลตามพฤติกรรมของพวกเขา คุณสามารถสร้างกลยุทธ์ เพื่อกำหนดเป้าหมาย ที่ตรงเป้าหมายมากขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถจัดกลุ่มผู้คนตามสิ่งที่พวกเขาทำบนเว็บไซต์ของคุณ หรือผู้ชมเว็บไซต์ของท่านมีส่วนร่วมกับเนื้อหาของคุณมากน้อยเพียงใด

2. จัดกลุ่มตาม pain point บางคนอาจสนใจผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ แต่ก็มีความกังวลหรือปัญหาเฉพาะที่ขัดขวางไม่ให้พวกเขาตัดสินใจซื้อ การจัดกลุ่มผู้คนตาม pain point คุณสามารถระบุข้อกังวลเฉพาะของกลุ่มเป้าหมายในโฆษณาแบบ Retargeting ได้ และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนกลุ่มคนเหล่านี้ให้กลายมาเป็นลูกค้าของคุณได้

3. จัดกลุ่มตามระดับความเข้าใจเนื้อหา ไม่ใช่ทุกคนที่ดูวิดีโอแล้วมีความรู้หรือความเข้าใจในระดับเดียวกัน การจัดกลุ่มผู้คนตามการมีส่วนร่วมกับเนื้อหา เป็นเหตุผลที่ทำให้ คุณสามารถสร้างโฆษณาที่ตรงเป้าหมายเฉพาะกลุ่มและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งตอบสนองความต้องการเฉพาะของกลุ่มลูกค้านั้นๆ

เมื่อคุณแยกเป้าหมายได้แล้ว คุณยังสามารถขยายการเข้าถึงของคุณได้ด้วยการสร้างผู้ชมที่คล้ายกันหรือผู้ชมที่กำหนดเอง ตามผู้ที่เคยโต้ตอบกับแบรนด์ของคุณได้แล้ว ด้วยกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมและกลยุทธ์ Retargeting ที่ดี จะทำให้คุณเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้

2. เข้าใจประเภทของกลุ่มเป้าหมาย

ทำความเข้าใจการเดินทางของลูกค้า หากต้องการสร้างแคมเปญที่กำหนดเป้าหมายใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ คุณต้องเข้าใจขั้นตอนต่างๆ ของการเดินทางของลูกค้า ลูกค้าในแต่ละขั้นตอนจะมีความต้องการและความคาดหวังที่แตกต่างกัน ดังนั้นคุณต้องปรับแต่งโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายใหม่ของคุณให้เหมาะสม

ใช้เฟรมเวิร์กที่เหมาะสม นักการตลาดใช้เฟรมเวิร์ก Funnel เพื่ออธิบายการเดินทางของลูกค้า อย่างไรก็ตาม โมเดลนี้มีข้อจำกัดอยู่ นั่นเป็นเหตุผลที่นักการตลาดจำนวนมากกำลังใช้เฟรมเวิร์กใหม่ที่เรียกว่า "ลูป" ลูปเป็นวงจรต่อเนื่องที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าลูกค้าจะถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทาง ลูกค้าใหม่จะยังคงเข้าสู่วงจรต่อไป ทำให้เกิดวงจรการเติบโตที่ไม่มีวันสิ้นสุด

เมื่อเข้าใจการเดินทางของลูกค้าที่ถูกต้อง คุณก็จะสามารถสร้างแคมเปญที่กำหนดเป้าหมายซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนให้กับธุรกิจของคุณ

3. มีเนื้อหาที่ตรงใจ

เมื่อการ Retargeting สามารถเข้าถึงผู้ชมที่มีสนใจในธุรกิจของคุณได้แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องสร้างเนื้อหาที่เหมาะกับแต่ละขั้นตอน โดยจะมีวิธีการอะไรบ้าง ก็สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ดังนี้

ติดตามลูกค้าผ่านเว็บไซต์ เว็บไซต์ของคุณเปรียบเสมือนหน้าร้านที่ทุกคนสามารถเห็นได้ การใช้คุกกี้และพิกเซล สามารถแอบติดตามผู้เยี่ยมชมของเรา และใช้ข้อมูลเหล่านี้กำหนดเป้าหมายใหม่ในภายหลังได้

การมีส่วนร่วมกับวิดีโอ คุณสามารถใช้ Retargeting เพื่อกำหนดเป้าหมายผู้ที่ดูวิดีโอได้ คุณสามารถเลือกแสดงโฆษณาต่อผู้ที่ดูวิดีโอเป็นจำนวนวินาทีหรือเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด

แบบฟอร์มการลูกค้า คุณสามารถรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่สนใจธุรกิจหรือสินค้าของคุณ จากนั้นก็ส่งต่อไปข้อมูลต่างๆ ไปยังทีมขายของคุณเพื่อติดตามผลลัพธ์

ประสบการณ์ใช้งานบนเว็บไซต์ นี่คือฟีเจอร์การโฆษณาของ Facebook ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ คุณสามารถกำหนดเป้าหมายใหม่ต่อไปได้ หลังจากกลุ่มเป้าหมายมีการโต้ตอบบนอินสแตนซ์ของคุณ

4. นำเสนอสินค้าที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

Retargeting คือ เทคนิคที่ใช้ในการตลาดดิจิทัลเพื่อแสดงโฆษณาที่ตรงเป้าหมายต่อผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ มีสามช่องทางหลักๆ ได้แก่ Google, Facebook, Instagram และอีเมล

Google และโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการทำ Retargeting เนื่องจากมีผู้ใช้งานจำนวนมากเข้าใช้งานทุกวัน เราจะแนะนำให้ธุรกิจต่างๆ เริ่มต้นด้วยเว็บไซต์ของตนเอง เนื่องจากจะช่วยให้สามารถติดตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเองได้โดยใช้รหัสที่แตกต่างกัน ทำให้ง่ายต่อการแยกกลุ่มผู้ชม

เทคนิคการทำ Retargeting

Retargeting คือ เครื่องมือที่ทรงพลังในการตลาดดิจิทัลยุคปัจจุบัน แต่ต้องมีเทคนิคที่ผ่านวางแผนไว้อย่างดีจึงจะเห็นผล ซึ่งในขั้นตอนนี้ เราจะมาแชร์เทคนิคของการทำ Retargeting ให้เห็นผล มาดูกันว่าเราจะใช้เครื่องมือนี้มีอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไรได้บ้าง

  • การสร้างโฆษณาที่ดึงดูดใจ กุญแจสำคัญของการทำ retargeting คือ การสร้างโฆษณาที่น่าดึงดูด ซึ่งการสร้างโฆษณาที่กระตุ้นความสนใจของผู้ใช้ทำได้โดย ใช้รูปภาพที่สะดุดตา การเขียนพาดหัวเรื่องที่น่าสนใจ และคำกระตุ้นการตัดสินใจที่ชัดเจนเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ของคุณ

  • ตั้งค่าความถี่ของโฆษณา ในการทำ retarget กับกลุ่มเป้าหมายเดิม เราควรตั้งค่าการแสดงโฆษณาให้กับลูกค้า ไม่น้อยและไม่บ่อยจนเกินไป เราอาจหาความถี่ของโฆษณา จากผลลัพธ์ conversion rate และ click through rate ที่เกิดขึ้น เพื่อดูการตั้งความถี่โฆษณาที่ดีที่สุด สำหรับสินค้าของท่าน

  • ตรวจสอบประสิทธิภาพ การติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญในการทำ retargeting คือ สิ่งสำคัญเพื่อทำความเข้าใจว่า อะไรได้ผล-อะไรไม่ได้ผล และติดตาม click rate, conversion rate และเมตริกอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญของคุณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

  • การกำหนดกลุ่มผู้ชม การแบ่งกลุ่มผู้ชมของคุณตามพฤติกรรมและความสนใจ สามารถช่วยคุณสร้างแคมเปญที่ตรงเป้าหมายได้มากขึ้น


หาก Retargeting ผิดวิธี จะเกิดผลลัพธ์อย่างไร?

Retargeting คือ กลยุทธ์ทางการตลาดที่เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน แต่ถ้าดำเนินการไม่ถูกต้อง ก็อาจมีผลในเชิงลบต่อแบรนด์ของคุณได้เช่นกัน หรืออาจเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ปัญหาต่างๆ รวมถึงผลกระทบด้านลบต่อชื่อเสียงของแบรนด์และการเสียเงินโฆษณาฟรีๆ โดยในหัวข้อนี้เราจะมาดูสาเหตุที่เป็นไปได้ หากการทำ retargeting ของท่านไม่ประสบผลสำเร็จ

  • การกำหนดเป้าหมายเดิมมากเกินไป
    การทำ Retargeting กับลูกค้ากลุ่มเดิมมากเกินไป เป็นปัญหาทั่วไปที่พบได้บ่อยมากในการทำการตลาดออนไลน์ สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้หรือกลุ่มลูกค้าเห็นโฆษณาของเรามากเกินไป ซึ่งนำไปสู่ความประทับใจเชิงลบต่อแบรนด์ การตั้งค่าความถี่สูงสุดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะไม่ได้รับโฆษณาหรือแบรนเนอร์เดียวกัน บ่อยเกินไป

  • โฆษณาที่กำหนดเวลาไม่ดี
    เวลาเป็นสิ่งสำคัญในการแบ่งกลุ่มลูกค้า การแสดงโฆษณาผิดเวลาอาจเป็นอันตรายพอๆ กับการไม่ทำโฆษณาเลยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ทำการซื้อไปแล้ว การ Retarget ด้วยผลิตภัณฑ์เดียวกัน อาจทำให้เสียเงินโฆษณาโดยเปล่าประโยชน์ได้

  • โฆษณาไม่น่าดึงดูด
    การสร้างแบรนเนอร์แคมเปญโฆษณาที่ไม่น่าดึงดูด อาจเป็นปัญหากับ Retarget ได้ เพราะหากโฆษณาไม่ได้ปรับให้เหมาะกับความสนใจหรือพฤติกรรมของผู้ใช้ โฆษณาเหล่านั้น อาจไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ได้ สิ่งสำคัญคือต้องสร้างโฆษณาที่น่าสนใจ ซึ่งแสดงความต้องการและความสนใจของผู้ใช้โดยตรง

  • ไม่ทำโฆษณาสำหรับผู้ใช้มือถือ
    ด้วยจำนวนผู้ใช้ที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่าน Smartphone ที่มากขึ้นเรื่อยๆ การไม่ปรับตัวให้เหมาะกับผู้ใช้มือถืออาจเป็นข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดในหัวข้อนี้เลยก็ได้ ในปัจจุบันแคมเปญ Retargeting ทุกตัวควรปรับให้เหมาะกับอุปกรณ์ Smartphone ได้แล้ว


เครื่องมือในการทำ Retargeting

1. Google Ads

รูปภาพหน้าต่าง Google Ads

Google Ads มีตัวเลือกการทำ Retargeting ที่มากมาย มีให้เลือกใช้งานตั้งแต่ Display remarketing, Search remarketing, Video remarketing และ Customer list remarketing ซึ่งการวัดผลของ Google Ads ก็สามารถใช้เมตริกต่างๆ เช่น อัตราการคลิกผ่าน (CTR), Conversion rate, ราคาต่อหนึ่งคลิก (CPC), Cost per Action (CPA) และผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) คุณยังสามารถตั้งค่าวัดค่า Conversion เพื่อติดตามผลต่างๆ เช่น การซื้อสินค้าหรือการส่งแบบฟอร์มต่างๆ ได้อีกด้วย

2. Facebook Ads

Retargeting facebook คือ เครื่องมือยอดนิยมสำหรับการทำ Marketing ผ่านโฆษณาจาก Facebook ที่มีตัวเลือกในการทำ Retargeting มากมาย มีตั้งแต่ Website custom audiences, โฆษณาแบบไดนามิก, และการทำ Retargeting ผ่าน Facebook Pixel ที่ผู้ใช้งานสามารถกำหนดแคมเปญต่างๆ ได้เอง ผ่านคุกกี้ของกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ต่างๆ ได้ทันที

หน้าต่างเรียนรู้การใช้ Facebook Ads

ตัวอย่างการทำ Retargeting

เรามี Case Study หนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จจากกลยุทธ์ Retargeting ของ Amazon เกี่ยวข้องกับการใช้อีเมล เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาและดำเนินการซื้อให้เสร็จ

Amazon ได้กล่าวว่า มีลูกค้าจำนวนมากทิ้งสินค้าใน ‘รถเข็น’ โดยไม่ได้ดำเนินการซื้อให้เสร็จสิ้น ดังนั้นทาง Amazon จึงเริ่มส่งอีเมลส่วนบุคคลไปยังลูกค้าเหล่านี้ภายใน 24 ชั่วโมง อีเมลจะทำการแจ้งเตือนเกี่ยวกับสินค้าที่เหลืออยู่ในรถเข็น พร้อมกับเสนอสินค้าที่ลูกค้าอาจสนใจ

เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าต่อให้จบ ทาง Amazon ได้เสนอส่วนลดหรือโปรโมชันแบบจำกัดเวลาไว้ในอีเมล การทำแบบนี้ ทำให้ Amazon สามารถ Retargeting ไปยังลูกค้าที่เคยทิ้งสินค้าในรถเข็นได้สำเร็จ ส่งผลให้คอนเวอร์ชั่นและรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก

ในการ Retargeting ขอ Amazon ในครั้งนี้ ไม่เป็นเพียงการเพิ่มยอดขายได้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การช็อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น ในท้ายที่สุด ก็จะช่วยเพิ่มระดับความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้าให้มากขึ้นไปอีก

ข้อสรุป

Retargeting คือ กลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพที่ให้ประโยชน์มากมาย เช่น การเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ การมีส่วนร่วมของผู้ชม และเพิ่ม Conversion rate แคมเปญที่ทำการ retarget ได้ดีจะสามารถส่งผลผลต่อรายได้และความภักดีของลูกค้าเพิ่มขึ้น แต่ถ้าหากทำไม่ถูกวิธีก็อาจนำไปสู่ผลลัพธ์เชิงลบตามมาได้