ค่านิยมความสวยงามในรูปร่างแต่ละคนล้วนไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นหุ่นสาวอวบ หุ่นนุ่มนิ่ม หรือหุ่นผอมเพรียว และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบหรืออยากมีหุ่นผอมเพรียวปราศจากไขมันส่วนเกิน แต่รู้สึกว่าการควบคุมอาหารและออกกำลังกายนั้นยังไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการได้มากพอ หรือต้องการเส้นทางลัดเพื่อให้ได้หุ่นเป๊ะตามที่คาดหวัง การใช้เทคโนโลยีดูดไขมันอาจตอบโจทย์ของคุณได้แน่นอน
โดยในบทความนี้เราจะมาแนะนำให้ได้รู้จักกับการดูดไขมัน ว่ามีขั้นตอนเป็นอย่างไร นิยมดูดไขมันในส่วนไหนบ้าง เจ็บมากขนาดไหน อันตรายหรือไม่ รวมไปถึงข้อสงสัยต่าง ๆ อีกมากมายที่พร้อมจะเฉลยลงที่นี่!
การดูดไขมัน คือ?การดูดไขมัน หรือ
Liposuction คือการดูดไขมันส่วนเกินในบริเวณที่ต้องการออกมา เพื่อให้ไขมันที่มีการสะสมเฉพาะที่ในบริเวณนั้นลดน้อยลง โดยการดูดไขมันจะเป็นการใช้เครื่องมือที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายท่อยาว ๆ ใส่เข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อทำการดูดไขมันเหล่านั้นออก
และถ้าหากถามว่าการดูดไขมันดีไหม ก็ขอตอบเลยว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว สำหรับผู้ที่ต้องการมีหุ่นเพรียวสวย กระชับ และได้สรีระที่ตรงตามต้องการ ทั้งยังไม่ต้องกลุ้มใจอีกต่อไปว่าทำไมออกกำลังกายและคุมอาหารเท่าไหร่ไขมันที่สะสมถึงไม่หายไปสักที
สำหรับผู้ใดที่กำลังเผชิญปัญหาแบบนี้ หรือมีความต้องการดังที่ได้กล่าวไป ก็อาจเรียนรู้ข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมได้จากทางคลินิกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการดูดไขมัน
ดูดไขมันมีประโยชน์อย่างไรบ้าง- สามารถช่วยลดไขมันส่วนเกินสะสมที่ไม่สามารถเผาผลาญออกด้วยการออกกำลังกายได้
- ช่วยทำให้สัดส่วนดูเล็กลง และกระชับมากขึ้น ไม่หย่อนย้อย
- ช่วยให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
- ช่วยให้การเคลื่อนไหวร่างกายนั้นสะดวกกว่าเดิม
- สามารถแต่งตัวและหาเสื้อผ้าใส่ได้ง่ายดายขึ้น
ตำแหน่งใดบ้างที่นิยมดูดไขมันในการดูดไขมันนั้นสามารถที่จะทำได้หลากหลายตำแหน่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการดูดไขมันหน้าท้อง ต้นขา น่อง การดูดไขมันเหนียง สะโพก ปีกหลัง การดูดไขมันต้นแขน แผ่นหลัง กก้น รวมไปถึงการดูดไขมันข้อเท้า
ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วตำแหน่งที่หลาย ๆ คนมักนิยมดูดไขมันกันนั้นจะได้แก่
1.ดูดไขมันทั้งตัวการดูดไขมันทั้งตัวคือการดูดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ในทุกส่วนของร่างกายออกภายในการดูดไขมันครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นส่วนหน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน หรือส่วนอื่น ๆ โดยการดูดไขมันทั้งตัวนั้นจะสามารถดูดออกหมดภายในการทำกี่ครั้งก็ขึ้นอยู่กับขนาดตัวในแต่ละเคสไป
2.ดูดไขมันหน้าท้องทุกคนอย่าลืมว่าเทคโนโลยีการดูดไขมันจะช่วยลดได้เพียงไขมันใต้ผิวหนังเท่านั้น ไม่สามารถที่จะลดไขมันในช่องท้องได้ ดังนั้นผลลัพธิ์หลังจากที่ทำการดูดไขมันหน้าท้องก็อาจจะแตกต่างกันออกไป ถ้าหากมีเพียงไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ก็จะเห็นผลลัพธิ์ได้ชัดเจน แต่ถ้าหากมีไขมันมากภายในช่องท้อง ก็อาจทำให้มองเห็นผลลัพธิ์จากการดูดไขมันได้ไม่ชัดเจน
3.ดูดไขมันต้นแขนก่อนที่จะทำการดูดไขมันต้นแขนนั้นแพทย์จะทำการวินิจฉัยก่อนว่าต้นแขนมีขนาดใหญ่จากสาเหตุใด เพราะถ้าหากมีขนาดใหญ่จากกล้ามเนื้อหรือผิวหย่อนคล้อย ก็ไม่สามารถที่จะดูดไขมันต้นแขนได้ เพราะการลดขนาดต้นแขนด้วยการดูดไขมันจำเป็นจะต้องมีต้นแขนที่ใหญ่จากการเกิดไขมันสะสมเท่านั้น
4.ดูดไขมันเอวเอสการดูดไขมันเอวเอสนั้นจำเป็นต้องทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจในการออกแบบสัดส่วน เพื่อให้ได้รูปร่างเอวที่มีส่วนเว้าโค้งอย่างพอดีและเป็นธรรมชาติ โดยการดูดไขมันเอวเอสจะเป็นการดูดไขมันส่วนเกินตั้งแต่ช่วงเอวด้านหน้าไปจนถึงบริเวณเหนือสะโพก
5.ดูดไขมันต้นขาก่อนที่จะทำการดูดไขมันต้นขานั้นแพทย์จะทำการวินิจฉัยถึงสาเหตุที่ทำให้ต้นขามีขนาดใหญ่เสียก่อน เพราะหากมีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อขา หรือไขมันที่แทรกในกล้ามเนื้อ ก็ไม่สามารถที่จะดูดไขมันเพื่อลดขนาดต้นขาได้ แต่ถ้าหากมีสาเหตุมาจากไขมันที่สะสมใต้ผิวหนัง ก็สามารถที่ลดขนาดต้นขาด้วยการดูดไขมันได้
ดูดไขมันอันตรายไหมการดูดไขมันในปัจจุบันนั้นมีความปลอดภัยค่อนข้างมาก เนื่องจากมีเทคนิคที่ดีสำหรับการดูดไขมัน มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ดีและปลอดภัย มีห้องปฏิบัติการที่ปลอดเชื้อ มีการใช้ยาสลบที่ปลอดภัย ทั้งยังมีการลดความเจ็บปวดด้วย Tumescent อีกด้วย
ดูดไขมันเจ็บไหมการดูดไขมันก็นับเป็นการผ่าตัดชนิดหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าหนีความเจ็บปวดไม่พ้นแน่นอน แต่ทั้งนี้ระดับความเจ็บปวดจากการดูดไขมันก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดูดไขมันที่เลือกใช้ วิธีที่ใช้ในการระงับความเจ็บปวด ความมือเบาของแพทย์แต่ละคน ความหนาแน่นของไขมันในบริเวณนั้น ๆ รวมไปถึงระดับความอดทนของคนไข้แต่ละคน
ดูดไขมันที่ไทยหรือเกาหลีดีในสมัยปัจจุบันนี้คลินิกที่ประเทศไทยก็มีมาตรฐานเทียบเท่ากับเกาหลีได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทันสมัย เทคนิคในการดูดไขมัน ความสามารถในการออกแบบสัดส่วน รวมไปถึงเทคนิคในการซ่อนแผลดูดไขมัน
Tumescent คืออะไรTumescent คือสิ่งที่ช่วยลดความเจ็บปวดขณะที่ทำการดูดไขมัน ช่วยให้เสียเลือดน้อยลง ช่วยให้การดูดไขมันทำได้ง่ายขึ้น และยังลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือดขณะที่ดูดไขมันอีกด้วย โดย Tumescent จะประกอบไปด้วยน้ำเกลือ ยาชา และยาที่ทำให้เส้นเลือดหดตัว
วิธีการเตรียมตัวสำหรับดูดไขมัน- นอนหลับและพักผ่อนให้เพียงพอ
- งดการรับประทานยา หรือสมุนไพรบางชนิด อย่างน้อย 7 วันก่อนทำการดูดไขมัน เช่น ยาแก้ปวด วิตามินD วิตามินC วิตามินA หรือน้ำมันตับปลา เป็นต้น
- งดรับประทานอาหาร และงดดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มทุกชนิด อย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนที่จะทำการดูดไขมัน (กรณีที่ทำการดูดไขมันแบบใช้ยาสลบ)
- งดแต่งหน้า ทาครีม และล้างสีเล็บ เพื่อให้แพทย์สามารถสังเกตอาการต่าง ๆ และสภาวะขาดออกซิเจนได้ (กรณีที่ทำการดูดไขมันแบบใช้ยาสลบ)
- งดสวมใส่เครื่องประดับ หรือฟันปลอม (กรณีที่ทำการดูดไขมันแบบใช้ยาสลบ)
- ใส่เสื้อผ้าที่หลวม และสวมใส่สบาย
- หากมีอาการฟันโยกควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อน (กรณีที่ทำการดูดไขมันแบบใช้ยาสลบ)
- ไม่ควรขับรถกลับเอง
วิธีดูดไขมัน1.ทำการใส่ Tumescent การใส่ Tumescent เป็นการทำเพื่อลดความเจ็บปวดและการเสียเลือดให้ลดน้อยลงขณะที่ทำการดูดไขมัน รวมไปถึงเป็นการขยายพื้นที่ให้เส้นเลือดกับเส้นประสาทลอยอยู่ในน้ำ เพื่อลดการกระทบกระเทือนที่อาจเกิดจากเข็มดูดไขมัน
2.แยกเซลล์ไขมันกรณีที่ใช้เครื่องดูดไขมัน Body-jet จะเป็นการใช้พลังงานน้ำฉีดเข้าไปเพื่อสลายเซลล์ไขมัน ส่วนกรณีที่ใช้เครื่องดูดไขมัน Ultraz หรือ Vaser จะเป็นการใช้แรงสั่นสะเทือนของพลังคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์เพื่อสลายไขมัน
3.นำไขมันออกมาทำการดูดไขมันออกมาด้วยเครื่องมือ และเก็บไว้ในถังเก็บไขมัน
หลังดูดไขมัน เป็นอย่างไรหลังจากที่ทำการดูดไขมันเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มักจะพบกับ 3 อาการหลัก ๆ ด้วยกัน ดังนี้
1.อาการวิงเวียน หน้ามืดอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือคลื่นไส้อาเจียน เกิดมาจากปัจจัย 2 สิ่งคือ การสูญเสียน้ำในร่างกาย หรือเกิดจากฤทธิ์ยาชาที่ใช้ ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถหายไปภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากที่ดูดไขมัน
2.อาการปวดอาการปวดเกิดจากการที่เนื้อเยื่อได้รับความกระทบกระเทือนขณะที่ทำการดูดไขมัน โดยระยะเวลาคงอยู่ของอาการปวดจะขึ้นอยู่กับเครื่องดูดไขมันที่ใช้ ดังนี้
- กรณีที่ใช้เครื่องดูดไขมัน Body-jet จะมีอาการปวด 1-2 วันโดยประมาณ
- กรณีที่ใช้เครื่องดูดไขมัน Ultraz หรือ Vaser จะมีอาการปวด 5-7 วันโดยประมาณ
3.อาการบวมอาการบวมนั้นในกรณีที่ใช้เครื่องดูดไขมัน Body-jet จะมีอาการบวมค่อนข้างมาก โดยระยะเวลาของอาการจะคงอยู่ประมาณ 3-7 วัน ส่วนในกรณีที่ใช้เครื่องดูดไขมัน Ultraz หรือ Vaser นั้นจะมีอาการบวมที่น้อยกว่า เนื่องจากน้ำที่ค้างอยู่ใต้ผิวมีปริมาณน้อย
อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังดูดไขมัน- หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือการหายใจผิดปกติ
อาการหายใจผิดปกติและอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจเกิดได้จากการใช้ยาชาเกินขนาด
การติดเชื้อจากการดูดไขมันนั้นมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อยมาก เนื่องจากยาชาที่มีการใส่อยู่ใน Tumescent มีฤทธิ์เป็นกรด จึงทำให้ช่วยฆ่าเชื้อได้บางส่วน แต่ก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ถ้าหากเลือกใช้บริการคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่สะอาด
อาการผิวเป็นคลื่นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น ดูแลตัวเองหลังจากทำการดูดไขมันไม่ถูกวิธี แพทย์ทำการดูดไขมันเยอะเกินไป หรือดูดไขมันผิดตำแหน่ง
อาการเป็นก้อนไตแข็งใต้ผิวหลังจากทำการดูดไขมันสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งห้อเลือด การเกิดพังผืด และ Seroma ซึ่งโดยปกติแล้วอาการนี้จะค่อย ๆ หายไปได้เอง
Seroma เป็นภาวะที่ร่างกายผลิตน้ำขึ้นมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างใต้ผิวที่เกิดจากการดูดไขมัน ในกรณีที่มีน้ำสะสมอยู่น้อยร่างกายจะสามารถดูดซึมเองได้ แต่ในกรณีที่มีน้ำสะสมอยู่มาก จะต้องให้แพทย์ช่วยทำการเจาะออก
สรุปเรื่องดูดไขมันการดูดไขมันในยุคสมัยปัจจุบันนี้มีความปลอดภัยที่สูงกว่าการดูดไขมันในสมัยก่อนมาก ทั้งยังได้รับการยอมรับและได้มาตรฐานแม้ว่าจะทำในประเทศไทย จึงสามารถตอบโจทย์ให้แก่ผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินสะสมแล้วหาทางลดด้วยการออกกำลังกายไม่สำเร็จสักที