ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


5 วิธีคิดของ Seth Godin ที่ช่วยในการทำให้ธุรกิจของคุณเหนือกว่าคู่แข่ง


ปัจจุบันมีนักการตลาดดิจิทัลที่มีความสามารถหลายคน แต่มีนักการตลาดดิจิทัลเพียงไม่มีกี่คนที่อยู่มาตั้งแต่ช่วงแรกของยุคดิจิทัลและสามารถพิสูจน์ตัวเองผ่านการทำงานในหลายรูปแบบ สำหรับวันนี้ Digital Marketing Agency มีนักการตลาด ที่อยากมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก นั้นก้คือ “Seth Godin” นักการตลาดดิจิทัลที่มีความสามารถมากมายและเป็นผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงธุรกิจ ผู้คนต่างสนใจในสิ่งที่เขากำลังพูดถึงและวิธีคิดต่าง ๆ ของเขา รวมทั้งจะมาแชร์  5 วิธีคิดของ Seth Godin ในการวางแผนการตลาด จากหนังสือ “This Marketing” ของเขาที่ได้รับการันตีว่าเป็นหนังสือขายดี และจะเป็นตัวช่วยในการทำให้ธุรกิจของคุณให้น่าสนใจมากขึ้น

Seth Godin คือใคร?
Seth Godin คือผู้ก่อตั้งบริษัท Yoyodyne ต่อมาเขาได้ขาย Yoyodyne ให้กับ 'Yahoo!' ในราคา 30 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานฝ่าย Direct Marketing Yahoo และ Seth Godin ถือเป็นบุคคลที่มีความสามารถไม่ว่าจะเป็นสร้างและพัฒนาเว็บไซต์ เป็นผู้ประกอบการ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ และยังเป็นนักเขียนมากกว่า 20 เล่ม ซึ่ง Seth Godin เขียนในแง่มุมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทางธุรกิจ ความเป็นผู้นำ การตลาดการโฆษณา

Seth Godin ได้รับปริญญาด้านคอมพิวเตอร์และปรัชญาจาก Tufts University และจบ MBA ด้านการตลาดจาก Stanford Graduate School of Business. เป็นผู้ก่อตั้ง Yoyodyne และ Squidoo ถือเป็นหนึ่งในบล็อกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Direct Marketing Hall of Fame ในปี 2013

หนังสือของ Seth Godin เล่ม  All Marketers Are Liars ได้รับเลือก ให้เป็นหนังสือสำคัญ 1 ใน 6 เล่มที่นักการตลาดทุกคนควรมีตู้หนังสือและหลาย ๆ เล่มของเขาได้รับการการันตีว่าเป็นหนังสือขายดี เช่น “Purple Cow” เป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำการตลาดอย่างไรให้ธุรกิจโดดเด่น เป็นหนังสือที่ขายได้มากกว่า 150,000 เล่มในการพิมพ์มากกว่า 23 ครั้งในสองปีแรกและ “The Dip” หนึ่งในหนังสือที่ดีที่สุด 20 เล่มโดยนักคิดที่มีอิทธิพลมากที่สุดในวงการธุรกิจ

รวมถึงหนังสือ “This Marketing”เอง ที่ Digital Marketing Agency เลือกนำมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักก็ถือเป็นหนังสือที่ขายดีติดอันดับของ Wall Street Journal Bestseller ที่พูดถึงพื้นฐานของการตลาดยุคใหม่ที่ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การเข้าใจพื้นฐานการตลาด จะสามารถช่วยพลิกแพลงกลยุทธ์ และเอาชนะใจผู้บริโภคได้


5 วิธีคิดของ Seth Godin ที่ทำให้ธุรกิจของคุณเหนือกว่าคู่แข่ง ผ่าน This Marketing

การตลาดเป็นเรื่องราวที่คุณจะบอกเล่า (Marketing Is about The Stories You Tell)

Seth Godin พูดว่า “Marketing is no longer about the stuff you make, but the stories you tel”การตลาดไม่ได้เกี่ยวกับการที่คุณขายอะไรแต่มันเกี่ยวกับเรื่องราวที่คุณบอกเล่า

เนื่องจากจุดประสงค์หลักที่อยู่เบื้องหลังการทำการตลาดคือการเชื่อมต่อและสื่อสารกับลูกค้า Seth Godin เชื่อว่าการเล่าเรื่องราวเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความผูกพันกับลูกค้า และช่วยสร้างความโดดเด่น ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งสร้างการมีร่วมกับแบรนด์ และเพิ่มยอดยอดขายให้คุณได้

หากคุณอยากสร้างเรื่องราวหรือ Stories Digital Marketing Agency แนะนำว่า คุณอาจสังเกตจากตัวตนของแบรนด์ สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของเรานั้นจะช่วยผู้บริโภคได้อย่างไร หรืออาจดูจาก Pain Point ปัญหาของลูกค้าที่เกิดจากสาเหตุบางอย่างที่ทำให้ลูกค้าไม่ชอบหรือทำให้ใช้ชีวิตลำบากขึ้น จนทำให้ลูกค้าต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการแก้ไขปัญหาที่ว่าคือการซื้อสินค้าหรือใช้บริการบางอย่างที่สามารถแก้ปัญหานั้นได้ โดยใช้จุดในการสร้างเรื่องเพื่อให้เข้าถึงลูกค้า สร้างความผูกพันว่าเราจะช่วยแก้ปัญหานั้นได้

อย่างเช่นผลิตภัณฑ์ของ Nike ที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก ฟิล ไนต์ นักวิ่งของมหาวิทยาลัยโอเรกอน ได้รู้จักกับ บิลล์ บาวเวอร์แมน ซึ่งเป็นโค้ชของเขาที่มหาวิทยา ด้วยทั้งคู่ต่างต้องการรองเท้าคุณภาพเยี่ยม น้ำหนักเบา และมีความทนทาน เพื่อใส่วิ่งแข่งขัน เขาต่างค้นคว้าและศึกษาการทำรองเท้าต่าง ๆ มากมายจน บิลล์ ได้มีการทดลองทำพื้นรองเท้ายางจากเครื่องอบขนมวาฟเฟิล นี่ถือได้เป็นจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของแบรนด์ Nike เพราะพื้นรองเท้าที่นุ่มสบายจากการทดลองของบิลล์ได้กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรองเท้าวิ่งไนกี้มาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้ง Nike เองเคยได้ร่วมออกแบบแบรนด์รองเท้าของเขาเพื่อเจาะกลุ่มนักกีฬากรีฑาในโอลิมปิกโดยเฉพาะ และได้สร้างเอกลักษณ์ให้แบรนด์ด้วยการเปิดตัวโลโก้เครื่องหมายถูกที่มีที่มาจาก เทพีไนกี้ (Nike) ตามตำนานเทพปกรณัมกรีก ที่ปีกของเทพีไนกี้เป็นสัญลักษณ์ของลักษณะอันรวดเร็วแห่งชัยชนะ และทั้งหมดนี้ทำให้ Nike มีคนติดตามเป็นแฟนพันธุ์แท้และเป็นลูกค้าสร้างความผูกพันธุ์กับแบรนด์

และนี่คือเหตุผลที่ Seth Godin พูดว่า “Marketing is no longer about the stuff you make, but the stories you tell”การตลาดไม่ได้เกี่ยวกับการที่คุณขายอะไรแต่มันเกี่ยวกับเรื่องราวที่คุณบอกเล่า


การตลาดแบบเพื่อน (Permission Marketing)

แนวคิดของกลยุทธ์นี้คือการเปลี่ยนคนแปลกหน้าเข้ามาในเพื่อน และจากเพื่อนให้กลายเป็นลูกค้าโดยการให้ลูกค้าเป็นผู้เลือกแบรนด์ และเข้าถึงด้วยตนเอง ซึ่งแบรนด์จะต้องวางตัวเป็นมิตรมากกว่าความต้องการขายเพียงอย่างเดียว เน้นสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า

อย่างเช่น เราทำธุรกิจฟิตเนส เราอาจมีการโฆษณาโดยอาจช่วยคำนวณค่า BMI ดัชนีมวลกาย และบอกถึงแคลอรีที่ร่างกายต้องการต่อวันหรือค่าความต้องการเผาผลาญแคลอรี และช่วยให้คำปรึกษา พอมีคนปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลฟิตเนส จึงค่อยบอกรายละเอียดคอร์สฟิสเนส อาจจะมีการทดลองเล่นฟรีได้หนึ่งวันก่อนตัดสินใจซื้อ

นี่คือการเปลี่ยนคนแปลกหน้าให้เป็นเพื่อนและจากเพื่อนให้กลายเป็นลูกค้า ค่อย ๆ สร้างความเชื่อใจ ยิ่งลูกค้าเชื่อใจ คุณเสนอสินค้าอะไร พวกเขาจะสนใจทันที ตามที่ Seth Godin พูดว่า  “Permission Marketing is just like dating. It turns strangers into friends and friends into lifetime customers. Many of the rules of dating apply, and so do many of the benefits.”
 
คิดค้นดำเนินการแล้วก็ขาย Idea  (Invent, Implement & Sell The Ideas)

“People do not buy goods & services. They buy relations, stories & magic” คำพูดของ Seth Godin หากมองดูแนวการตลาดในปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีการทำ Idea ตลาดที่คล้ายกัน คนมักที่จะทำซ้ำมากกว่าการที่จะคิด Idea ขึ้นมาใหม่ หากเรามีการคิด Idea ใหม่ ๆ จะทำให้เราโดดเด่นและเหนือคู่แข่งคนอื่นๆสร้างความแตกต่าง

และการที่เราพยายามจะสร้าง Idea ใหม่ ๆ ขึ้นมานั้น จะทำให้คนรู้สึกตื่นเต้นและติดตามในสิ่งนั้น เพราะทุกคนต่างชอบความแปลกใหม่ เช่นถ้าคุณทำแบรนด์สิ่งที่คุณควรทำคือการสร้าง Idea ออกแคมเปญใหม่ ๆ โดยอาจจะสะท้อนตัวตนแนวคิดและมุมมองของแบรนด์อย่างง่าย ๆ ขึ้นมา เพราะในปัจจุบันผู้คนไม่ซื้อสินค้าและบริการ พวกเขาซื้อความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่มีในนั้น และความหัศจรรย์แปลกใหม่

ขายในสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่ขายในสิ่งที่พวกเขาจำเป็น (Sell What People Want, Not What They Need )
โดยทั่วไปคนเราจะมีความต้องการที่มากกว่าความจำเป็น ทุกคนต่างมีความต้องการที่ไม่จำกัด เมื่อมีการตอบสนองในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เขาจะเปลี่ยนความต้องการนั้นเป็นสิ่งใหม่ ซึ่งนี้เป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์

เราจะช่วยยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้ดู ถ้าคุณคือผู้ตรงต่อเวลาสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมีคือนาฬิกา คุณสามารถใส่นาฬิกาอย่างไรก็ได้เพียงแค่นาฬิกานั้นสามารถบอกเวลาคุณได้ แต่ถ้าคุณมีความชื่นชอบในนาฬิกาความต้องการใส่ของคุณจะไม่ใช่แค่บอกเวลาได้แต่นาฬิกานั้นจะเป็นนาฬิกาที่คุณชื่นชอบหรือมีความพิเศษเช่น Rolex,Patek Philippe หรือ Audemars piguet ที่มีความมพิเศษในการจัดทำตัวเรือนคือการทำจากช่างที่มีฝีมือเชี่ยวชาญผ่านการฝึกฝนมาอย่างต่อเนื่องและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น มีเรื่องราวในตัวของแต่ละรุ่นความพิเศษที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมาโดยแบรนด์ และจำนวนการผลิตที่จำกัด แม้ว่านาฬิกาเหล่านี้จะมีราคาที่สูงแต่ก็ยังมีคนหลาย ๆ คนซื้อและให้ความสนใจ
ดังนั้นถ้าคุณจะต้องวางแผนการตลาดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งแผนการตลาดที่สำคัญพยายามมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ผู้คนต้องการนี้อาจทำให้คุณแตกต่างและโดดเด่นขึ้นมาได้

ทำให้ลูกค้ามีความสุข (Keep Your Customers Happy)
สิ่งแรกที่คุณควรทำคือกำหนดลูกค้าของคุณ ว่าลูกค้าของคุณคือใคร? ทุกคนสามารถมีทางเลือกที่แตกต่างกันได้แต่มีความต้องการที่เหมือนเหมือนกัน คุณควรรู้ว่าใครคือลูกค้าเป้าหมายและสิ่งที่เขาชอบคือออะไร

ยกตัวอย่างถ้าคุณคือแบรนด์ขายเสื้อผ้ากีฬา ลูกค้าของคุณคือนักกีฬาและคนที่ชื่อชอบการออกกำลังกาย สิ่งที่เขาต้องการคือชุดออกกำลังกาย แต่สิ่งที่จะทำให้เขามาซื้อเสื้อผ้าแบรนด์คุณอาจไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชอบความที่ผ้าระบายได้ดี บางคนชอบที่ดีไซน์ หรือบางคนอาจจะชอบที่บุคคลที่มีชื่อเสียงนำเสื้อผ้าแบรนด์คุณไปใส่ นี้อาจเป็นสิ่งที่คุณต้องคิดและวางแผน 

สิ่งที่สองที่คุณควรพิจารณาคือการปฏิบัติต่อลูกค้าที่แตกต่างกันด้วยวิธีที่ต่างกัน กลุ่มลูกค้าของคุณอาจมีหลายกลุ่ม สิ่งที่ไม่ควรทำคือปฏิบัติกับลูกค้าทุกคนในลักษณะเดียวกันเพราะลูกค้าแต่ละกลุ่มอาจต้องการการดูแลที่ไม่เหมือนกัน คุณควรแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ เพื่อที่จะเข้าถึงลูกค้าได้ตรงจุดกว่า เพื่อที่จะให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น ประโยชน์หลักของการแบ่งกลุ่มนี้คือการให้ความสำคัญกับพวกเขาได้ง่ายขึ้นและปฏิบัติต่อพวกเขาในแบบที่พวกเขาชื่นชอบ


ทั้งหมดนี้ถือเป็นแนวคิดหนึ่งที่ Digital Marketing Agency แนะนำซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกิจคุณโดดเด่นมากขึ้น และ Seth Godin เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีประสบการณ์มากที่สุด ซึ่งสามารถช่วยวางแผนการตลาดในรูปแบบที่แตกต่างออกไป คุณอาจไปศึกษาแนวคิดของเขาเพิ่มเติมได้จากหนังสือที่เขาเขียน ซึ่งได้รับการการันตีจากยอดขายและรางวัลต่าง ๆ มากมาย และคุณสามารถนำแนวคิดทั้งหมดนั้นมาประยุกต์ใช้ ให้เข้ากับธุรกิจของคุณ ให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพโดดเด่นและช่วยสร้างเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจคุณ