ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - nemophilanie

หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7
101
   เครื่องชงกาแฟสด ในท้องตลาดมีหลายแบบตามลักษณะการทำงาน แต่ละแบบมีจุดเด่นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบ ดีไซน์ การใช้งาน รวมไปถึงงบประมาณ ซึ่งมีตั้งแต่รุ่นพื้นฐานราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักพันไปจนถึงเครื่องที่มีฟังก์ชันพิเศษ ราคาก็ขยับไปหลักแสนบาทก็มี เครื่องชงกาแฟที่ราคาไม่แพง แต่วัตถุดิบที่ใช้ในการชงกาแฟเครื่องนั้นอาจมีราคาต่อแก้วแพงกว่า โดยเฉพาะเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ที่เป็นเครื่องที่มีเทคโนโลยีในการผลิตสูงกว่าเครื่องชงกาแฟประเภทอื่น ต้องคำนึงเรื่องฟังก์ชั่น แรงดันน้ำ อุณหภูมิน้ำ ระบบหัวชง ฯลฯ ก่อนเลือกซื้อ
   ถ้าเรามองหา เครื่องชงกาแฟสดออฟฟิศ หรือไว้ใช้งานในบ้านเพื่อความสะดวกในการชงกาแฟ เครื่องแบบที่เหมาะคือ เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ หรือ เครื่องชงกาแฟแคปซูล ส่วนเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ที่มีราคาค่อนข้างสูง จะเหมาะกับร้านกาแฟ หรือร้านอาหารมากกว่า โดยเครื่องทั้งสองแบบนั้นก็มีลักษณะเด่นและการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยมีข้อสังเกตสำหรับพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ ดังนี้
•   เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ เป็น เครื่องชงกาแฟสด ที่ชงกาแฟได้คุณภาพและรสชาติใกล้เคียงกับเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ แต่มีขั้นตอนการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติ ใช้งานง่ายขึ้น เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติความสดของกาแฟ ต้องการลองกาแฟจากเมล็ดกาแฟที่หลากหลาย เหมาะกับผู้ที่ต้องการงบประมาณกาแฟต่อแก้วที่ไม่สูงนัก ข้อดีคือเลือกเมล็ดกาแฟที่ชื่นชอบได้ ได้รสชาติกาแฟสดเพราะชงสดจากเมล็ดกาแฟบดแก้วต่อแก้ว ทำเมนูกาแฟเอสเพรสโซ่รสชาติเข้มข้นได้ตามต้องการ และมีการตีฟองน้ำเพื่อเป็นเมนูคาปูชิโน่หรือลาเต้ ราคาเครื่องชงกาแฟชนิดนี้จะสูงกว่าแบบแคปซูล เพราะเทคโนโลยีการผลิตเครื่องซับซ้อนกว่า แต่ราคาต่อแก้วของเครื่องดื่มจะถูกกว่ากาแฟแคปซูล การใช้งานเครื่องชงกาแฟง่ายพอ ๆ กันกับแบบแคปซูล ใช้เวลาไม่กี่นาทีสำหรับการชงกาแฟต่อแก้ว
•   เครื่องชงกาแฟแคปซูล มีราคาเริ่มต้นไม่แพงประมาณหลักพันบาท เหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องชงกาแฟเล็ก ใช้งานง่าย สะดวก ราคาประหยัด ชงกาแฟต่อแก้วได้เร็ว ใช้เวลาไม่กี่นาที ต้นทุนกาแฟต่อแก้วของกาแฟจะสูงกว่าเครื่องชงอัตโนมัติ แต่สำหรับคนที่ซื้อกาแฟสดจากร้านค้าทั่วไปดื่มทุกวันในราคาแก้วละ 50 บาทขึ้นไปอยู่แล้ว เมื่อเปรียบเทียบกันกาแฟแคปซูลจะคุ้มกว่า เพราะต้นทุนอยู่ที่ 20-40 บาท/แก้ว เครื่องชงกาแฟชนิดนี้ต้องใช้แคปซูลกาแฟในการชงเท่านั้น ได้รสชาติหอมกรุ่นกาแฟแท้ ละใช้งานควบคู่กับแคปซูลกาแฟมี่มีรสชาติหลากหลาย มีกลิ่นหอมและความกลมกล่อม ทั้งยังสามารถนำกาแฟที่ได้ไปปรุงเป็นเมนูกาแฟที่ชื่นชอบได้ เหมาะกับการตั้งใช้งานที่บ้านหรือเครื่องชงกาแฟในออฟฟิศ
   
จากข้อมูลข้างต้น หวังว่าหลายท่านคงได้ข้อมูลเพียงพอในการเลือกซื้อระหว่าง เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ กับ เครื่องชงกาแฟแคปซูล ซึ่งทั้งสองแบบก็มีจุดเด่นแตกต่างกัน เลือกได้จากความสะดวกและงบประมาณที่เหมาะสม

ชมรายละเอียดที่
https://www.nespresso.com/pro/th/th/order/machines/pro
https://www.nespresso.com/pro/th/th/order/machines/pro

102
การชงกาแฟต้องใช้ทักษะในการดึงรสชาติและกลิ่นอันซับซ้อนให้โดดเด่นออกมาอย่างสมดุล เพิ่มเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกาแฟสด ทั้งความกลมกล่อมของรสชาติที่เข้มข้นผสมผสานความนุ่มนวลอย่างลงตัวและกลิ่นหอมทำให้คอกาแฟทั่วโลกต่างหลงใหลในเสน่ห์ของเครื่องดื่มชนิดนี้เป็นอย่างมาก แม้ว่าปัจจุบันมีคาเฟ่มากมายอยู่ทุกมุมเมืองจึงหากาแฟดื่มได้ง่ายขึ้น แต่ก็จะดีกว่ามากหากสามารถชงดื่มได้เองทุกเวลาที่ต้องการโดยไม่ต้องออกไปซื้อข้างนอก สำหรับคนที่กังวลใจว่ากาแฟสดชงยากและกลัวไม่อร่อย ขอแนะนำ กาแฟแคปซูล ทางเลือกใหม่ของคอกาแฟตัวจริง

ทำความรู้จักกับ กาแฟแคปซูล กาแฟสดเทรนด์ใหม่เพื่อชีวิตทันสมัย
กาแฟแคปซูล คือ กาแฟที่ผ่านการคั่วบดแล้วและถูกบรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีลักษณะคล้ายถ้วยขนาดเล็ก ปิดสนิทด้วยฝาฟอยล์ซึ่งช่วยกักเก็บรสชาติและความหอมของกาแฟสดไว้ได้นานไม่จางหาย แพ็กเกจที่ปรากฏจึงอยู่ในรูปแบบของแคปซูล โดยหนึ่งแคปซูลใช้ได้หนึ่งครั้งและต้องใช้คู่กับเครื่องชงกาแฟเท่านั้น ด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ทันสมัยทำให้กาแฟแคปซูลยังคงรักษาคุณค่าทางอาหารเพื่อให้ร่างกายได้รับ ประโยชน์ของกาแฟ อย่างเต็มที่ ทั้งยังเก็บรักษาง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน

กาแฟแคปซูล ชงง่ายตอบทุกไลฟ์สไตล์คอกาแฟ
ไม่ว่าชอบดื่มอเมริกาโน่ เอสเพรสโซ่ มอคค่า ลาเต้ หรือเมนูอื่นใด ไม่ว่าจะต้องการความเข้มขม ความเปรี้ยวหรือชอบกลิ่นแบบไหน เพียงเลือก แคปซูลกาแฟ ที่ตรงกับใจแล้วนำมาใส่ในเครื่องชงกาแฟ กดเลือกเมนูที่ต้องการ รอประมาณ 1 นาที ก็จะได้ดื่มกาแฟแก้วโปรดทันที ไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน ไม่เสียเวลา เหมือนมีบาริสต้าส่วนตัวที่พร้อมชงกาแฟแสนละมุนกลมกล่อมให้ดื่มตลอดเวลา     

ข้อดี / ประโยชน์ของกาแฟ แคปซูล
-   ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับคุณภาพของกาแฟที่ได้รับกับราคากาแฟสดที่จำหน่ายทั่วไป ทั้งนี้ แคปซูลกาแฟ มีราคาเริ่มต้นไม่ถึง 30 บาท 
-   ชงง่ายด้วยขั้นตอนเดียวเพียงแค่กดปุ่มเลือกเมนู ต่างจากการชงกาแฟสดแบบอื่นซึ่งต้องใช้เวลา
-   สะดวกกว่าเพราะอุปกรณ์หลักมีเพียง แคปซูลกาแฟ และเครื่องชงเท่านั้นจึงไม่ต้องวุ่นวายกับการเตรียมอุปกรณ์ก่อนชงหรือการเก็บล้างหลังจากชงเสร็จ
-   มีกาแฟให้เลือกมากมาย สามารถเลือกดื่มได้ตามต้องการจึงไม่จำเจกับกาแฟรสชาติเดิม ๆ เช่น ช่วงเช้าดื่มกาแฟเข้มข้นกลมกล่อมเพื่อปลุกร่างกายและสมองให้ตื่นตัว ช่วงบ่ายอาจจะเลือกเป็นกาแฟที่มีกลิ่นและรสเปรี้ยวของผลไม้เพื่อชาร์จพลังงาน เติมความสดชื่น 
-   คอกาแฟสามารถเลือกดื่มกาแฟที่มีคุณภาพดีทั่วทุกมุมโลกได้ตามใจในราคาจับต้องได้

ส่วนข้อเสียของกาแฟแคปซูลคือต้องใช้คู่กับเครื่องชงกาแฟแคปซูลเท่านั้น แต่เมื่อเปรียบเทียบข้อเด่นข้อด้อยแล้วก็ต้องยอมรับว่ากาแฟแคปซูลคือไอเทมที่ทำให้คอกาแฟรุ่นใหม่สามารถดื่มกาแฟสดง่ายและได้อรรถรสมากขึ้น ทั้งยังสะดวกเพราะปัจจุบันสามารถเลือกซื้อกาแฟแคปซูลแบบออนไลน์ หรือจะแวะมาที่ Nespresso Boutique ณ ห้างสรรพสินค้าทันสมัยใกล้บ้านก็ได้เช่นกัน

ชมเพิ่มเติมที่
https://www.nespresso.com/th/th/order/capsules/vertuo
https://www.nespresso.com/th/th/order/capsules/vertuo

103
             กาแฟสด ถือเป็นเครื่องดื่มที่นิยมในหมู่หนุ่มสาวในวัยทำงาน เพราะนอกจากช่วยเรียกความกระปรี้กระเปร่าได้ทั้งวันแล้ว กาแฟยังเป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานกับร่างกายได้ด้วย เครื่องชงกาแฟ สดจึงเป็นอุปกรณ์คู่ครัวที่นิยมมีติดตั้งไว้ที่บ้านจะได้ปรุงกาแฟไว้ดื่มคู่กับอาหารเช้าด้วยรสชาติที่ไม่ซ้ำวัน ดังนั้นวันนี้จะมาแชร์ วิธีใช้เครื่องชงกาแฟ ง่าย ๆ ที่จะ ทำให้การชงกาแฟสดดื่มเอง เป็นเรื่องที่ทำได้อย่างสะดวกสบายในทุกวัน
 
            แม้ว่าในปัจจุบันคอกาแฟสามารถเลือกซื้อ กาแฟสด ได้จากร้านกาแฟแบรนด์ดังหรือตามคาเฟ่ที่มีตั้งอยู่ทั่วไปได้ไม่ยาก ทว่าการจะเสาะหาบาริสต้าที่สามารถชงกาแฟได้ถูกปากทุกวันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแถมยังต้องเสียค่ากาแฟไม่ต่ำกว่าแก้วละ 50 บาทอีก ดังนั้น เครื่องชงกาแฟ จึงกลายเป็นอุปกรณ์คู่ครัวที่คนส่วนใหญ่นิยมติดตั้งไว้ที่บ้าน โดยเฉพาะแบรนด์ Nespresso ที่ได้พัฒนาให้มี วิธีใช้เครื่องชงกาแฟ ที่สะดวกและมีขั้นตอนง่าย ๆ อีกทั้งมีเครื่องชงกาแฟแบบอัตโนมัติให้เลือกหลากหลายรุ่น อย่างเช่น เครื่องชงกาแฟ Nespresso INISSIA C40 สีแดง และเครื่องตีฟองนม Aeroccino 3 ก็เป็นที่นิยมไม่น้อยเนื่องจากน้ำหนักเบาเพียง 2.4 กิโลกรัม สามารถทำความร้อนได้ภายใน 25 วินาที แถมยังชงกาแฟได้หลากหลายรสชาติ เพิ่มความแปลกใหม่ไม่จำเจ ซึ่งจะทำให้มีกาแฟดื่มได้ทุกวันอย่างไม่น่าเบื่อ วันนี้เราจะมาแนะนำ 2 สูตรที่ควรลองกัน

•   สูตร CAFFÉ LATTE CHOCOLATE COOKIE
   เป็นสูตรกาแฟที่ผสมผสานกับคุกกี้ช็อกโกแลตได้อย่างลงตัวกับวัตถุดิบคือ แคปซูลกาแฟ VIVALTO LUNGO หรือ VIVALTO LUNGO DECAFFEINATO นมสด 200 มล. คุกกี้ 1 ชิ้น และไซรัปคุกกี้ช็อกโกแลต 10 มล. ไปเริ่มทำกันเลย
1.                  ชงกาแฟโดยใส่ แคปซูลกาแฟ ในช่องใส่แคปซูล กดปุ่มสกัดกาแฟจนได้ปริมาณกาแฟร้อนที่กำหนด แล้วพักไว้
2.                  ทำฟองนมจากที่ทำฟองนม Aeroccino หรือตีฟองนมจากหัวฉีดไอน้ำของเครื่องชงกาแฟ Nespresso ก็ได้
3.                  เทไซรัปคุกกี้ช็อกโกแลตลงในถ้วยกาแฟ ตามด้วยกาแฟที่ชงไว้ ถัดมาให้เทนมสดตามและท้อปปิ้งด้วยฟองนมที่ตีไว้ ตกแต่งหน้ากาแฟด้วยคุกกี้
 
•   สูตร ALMOND ORGEAT CAPPUCCINO
   กาแฟสดผสมอัลมอนด์ที่จะทำให้ได้รสชาติของกาแฟที่กลมกล่อมหอมอร่อยขึ้น วัตถุดิบคือ แคปซูลกาแฟ Livanto 2 แคปซูล นมสด 130 มล. น้ำเชื่อมรสอัลมอนด์หรือน้ำข้าวบาร์เล่ย์อัลมอนด์ ผงโกโก้ สารสกัดอัลมอนด์ ¼ ช้อนชา และบิสกิตอัลมอนด์ สามารถปรุงได้โดย
1.                  เทน้ำเชื่อมรสอัลมอนด์หรือน้ำข้าวบารเล่ย์อัลมอนด์ 2 ช้อนชาลงในถ้วยกาแฟที่เตรียมไว้
2.                  ชงกาแฟ 2 แคปซูลโดยใส่ แคปซูลกาแฟ ในช่องใส่แคปซูล กดปุ่มทำงานจะได้กาแฟปริมาณ 80 มล. เทตามลงไปในถ้วยกาแฟ
3.                  ทำฟองนมโดยผสมสารสกัดอัลมอนด์กับนมสดในเครื่องทำฟองนมหรือจะตีฟองนมจากหัวฉีดไอน้ำของเครื่องชงกาแฟ Nespresso ก็ได้ จากนั้นให้ตักฟองนมปาดลงบนหน้ากาแฟ
4.                  ท้อปปิ้งด้วยผงโกโก้ ตามด้วยบิสกิตอัลมอนด์ จะได้ ALMOND ORGEAT CAPPUCCINO รสชาติกลมกล่อม
 
วิธีการชงกาแฟที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งหลังจากได้เริ่มใช้เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติของ Nespresso ได้แล้ว ก็จะสามารถรังสรรค์เมนูอื่น ๆ ที่ชื่นชอบได้อีก โดยสามารถเลือกจากแคปซูลกาแฟหลากหลายรสชาติ เพื่อให้การดื่มกาแฟในแต่ละวันเต็มไปด้วยความน่ารื่นรมย์

104
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นย่อมหลีกเลี่ยงเรื่องริ้วรอยไม่ได้ เพราะการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิวลดลง ผิวจึงหย่อนคล้อยได้ง่าย เซรั่มลดริ้วรอย ของ ELCA เป็นสกินแคร์ที่พัฒนามาช่วยฟื้นบำรุงและแก้ไขปัญหาผิวหน้าได้อย่างตรงจุด เพราะเซรั่มมีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์สำคัญ(Active Ingredients) สูง จึงมีประสิทธิภาพเต็มเปี่ยมในการฟื้นฟูบำรุงผิวได้ล้ำลึก
เซรั่มลดริ้วรอยที่ดีควรมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่พร้อมเสริมความยืดหยุ่นให้ผิวกระชับขึ้น ซึ่งอาจจะมีส่วนผสมของเรตินอล เปปไทด์ และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดการใช้เซรั่มลดริ้วรอยให้ได้ผลดีนั้นควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของเราด้วย

ผิวแห้ง
เลือกใช้เซรั่มเนื้อบางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะ มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เลี่ยงเซรั่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้นกว่าเดิม
ผิวมัน
เพื่อลดปัญหาการอุดตันของรูขุมขนต้นเหตุสำคัญของสิวอักเสบจึงควรเลี่ยงเซรั่มที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ให้ใช้เซรั่มที่มีเนื้อบางเบาซึมซาบง่าย และควรมีคุณสมบัติช่วยควบคุมปริมาณน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบในรูขุมขน และช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว         
ผิวแพ้ง่าย
หากผิวระคายเคืองง่ายให้เลี่ยงเซรั่มที่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารเคมีสังเคราะห์อื่น ๆ ที่เสี่ยงต่อการระคายเคืองหรือก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เลือกใช้เซรั่มที่มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง  เพิ่มความชุ่มชื้น ปลอบประโลม และให้การปกป้องเซลล์ผิวหน้าจากสิ่งแปลกปลอมภายนอกได้

นอกจากเลือกใช้เซรั่มให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว การใช้เซรั่มอย่างถูกวิธีจะช่วยให้เห็นประสิทธิภาพชัดเจนมากขึ้น โดย
1.   หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าเรียบร้อยแล้ว  ใช้เซรั่มบำรุงผิว
2.   ควรใช้เซรั่มในขณะที่ผิวหน้ายังคงมีความชื้นอยู่เพราะจะช่วยให้สารบำรุงต่าง ๆ ซึมลึกเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
3.   ใช้เซรั่มเพียง 2 - 3 หยด ทาให้ทั่วผิวหน้าโดยใช้ปลายนิ้วเกลี่ยพร้อมนวดเบา ๆ เพื่อกระตุ้นให้เซรั่มซึมเข้าสู่ผิวทั่วใบหน้าได้เร็วขึ้น   
4.   หลังจากลงเซรั่มแล้ว 5 นาที จึงค่อยตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์หรือสกินแคร์ตัวถัดไป

เมื่อ เซรั่มช่วยลดริ้วรอย จึงควรเลือกใช้ด้วยความพิถีพิถัน นอกจากต้องเหมาะกับสภาพผิวหน้าของเราแล้ว ยังต้องให้ประสิทธิภาพสูงเพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อย่างเห็นผล หากถามว่า เซรั่มตัวไหนดี ขอตอบตรงนี้เลยว่า THE CONCENTRATE จาก La Mer เป็นการลงทุนเพื่อผิวหน้าที่คุ้มค่าสุด ด้วยเนื้อสัมผัสบางเบาแต่มีความเข้มข้นสูง พร้อม Concentrated Miracle Broth ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายในการฟื้นบำรุง ดูแล และปลอบประโลมผิว ช่วยคืนสมดุลให้ผิวสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังปกป้องผิวจากมลภาวะที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย พิสูจน์พลังแห่งการปรนนิบัติผิวจาก THE CONCENTRATE เซรั่มฟื้นบำรุงผิวยอดขายอันดับ 1 ของ La Mer ได้ที่เคาน์เตอร์ La Mer หรือคลิก www.lamer.co.th/

ชมรายละเอียดที่
https://th.hellomagazine.com/beauty-health/top-facial-serum-brands/

105
   มือใหม่ที่เริ่มหันมาดูแลผิวอาจจะมีการเลือกใช้สกินแคร์ไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าควรเลือกแบบไหนให้เหมาะกับผิวตนเอง กลัวซื้อมาแล้วไม่เหมาะกับผิว ใช้แล้วเกิดอาการแพ้ ไม่ตอบโจทย์ แถมแต่ละชิ้นราคาไม่ใช่ถูก ๆ อีกด้วย ใครที่กำลังกลุ้มใจกับการเลือกซื้อ มอยส์เจอไรเซอร์ อยู่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะวันนี้เรามีเทคนิคง่าย ๆ ในการเลือกใช้ให้เหมาะกับผิว และ moisturizer แนะนํา ถ้าพร้อมแล้ว ตามไปดูกันได้เลย!

เทคนิคเลือก มอยส์เจอไรเซอร์ ให้เหมาะกับผิว!
การเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผิวมีอยู่หลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อผลิตภัณฑ์ หรือส่วนผสมที่ดูแลผิว เพื่อให้ได้สูตรที่ตอบโจทย์กับผิวมากที่สุด
-   ผิวแห้ง ควรเลือกแบบเนื้อครีมมอยส์เจอไรเซอร์ เนื่องจากจะมีความหนาแน่นและสารให้ความชุ่มชื้นที่เข้มข้น เพื่อให้ผิวสามารถกักเก็บน้ำและมีความชุ่มชื้นขึ้นมาได้
-   ผิวมัน ควรเลือกแบบเนื้อเจล เซรั่ม หรือเนื้อแบบอิมัลชัน เนื่องจากคุณสมบัติซึมง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะมากจนเกินไป ช่วยปรับสภาพผิวให้คงสมดุลน้ำและลดความมันลงได้
-   ผิวแพ้ง่าย สามารถเลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ได้ทุกแบบ แต่ควรเลือกสูตรที่ไม่มีส่วนผสมของพาราเบน น้ำหอมและแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
-   ผิวผสม สามารถเลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ได้ทุกแบบเช่นเดียวกับผิวแพ้ง่าย

เคล็ดลับลงมอยส์เจอไรเซอร์อย่างไรให้ได้ผล
1.   ทำความสะอาดมือทุกครั้ง เพื่อไม่ให้มีเชื้อโรคมารบกวนผิวและขัดขวางการทำงานของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
2.   ลงผลิตภัณฑ์ทันทีหลังจากล้างหน้าเสร็จไม่เกิน 3 นาที เนื่องจากหลังล้างหน้ารูขุมขนจะเปิดกว้างใน 2-3 นาทีแรก และผิวหน้าจะมีความชุ่มชื้นหลงเหลืออยู่ พร้อมรับการบำรุงได้อย่างเต็มที่
3.   นวดให้ซึมเข้าสู่ผิว โดยการใช้นิ้วมือบวดเบา ๆ เป็นวงกลมให้ทั่วผิวหน้าและลำคอ เพื่อช่วยให้เนื้อผลิตภัณฑ์ซึมได้ง่ายขึ้น
4.   ใช้เป็นประจำเช้า-เย็น เพื่อการบำรุงอย่างมีประสิทธิภาพควรใช้เป็นประจำ ไม่ทิ้งช่วง และไม่เปลี่ยนผลิตภัณฑ์บ่อย ๆ

การเลือก Moisturizer ให้เหมาะกับผิวไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เริ่มที่การสังเกตสภาพผิวของตนเองก่อน จากนั้นเลือกในแบบที่เราแนะนำ และพิจารณาส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมว่ามีสารสกัดหรือส่วนผสมใดที่แพ้หรือไม่ สำหรับใครที่ยังเลือกไม่ได้ว่า มอยเจอร์ไรเซอร์ตัวไหนดี ที่จะตอบโจทย์และเห็นผลลัพธ์ได้จริง moisturizer แนะนํา ของ ELCA CRÈME DE LA MER จากเคาน์เตอร์แบรนด์ดังอย่าง La Mer ผลิตภัณฑ์ที่คัดสรรส่วนผสมของสารสกัดอันทรงคุณค่า ช่วยให้ผิวได้รับการดูแลอย่างล้ำลึกที่แท้จริง ผลิตภัณฑ์เป็นเนื้อครีม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง สภาพเซลล์ผิวเสื่อมโทรมดูไม่มีชีวิตชีวา มีริ้วรอยดูไม่เปล่งปลั่ง สามารถใช้ได้แม้ผิวแพ้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง


ชมเพิ่มเติมที่
https://praew.com/praew-special/518840.html
https://paplearn.wixsite.com/home/post/รวม-10-มอยส์เจอร์ไรเซอร์-สำหรับผิวแพ้ง่ายใช้ได้

106
คุณกำลังประสบปัญหาผิวลอกหรือแห้งเป็นขุยโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวใช่หรือไม่
ผิวที่แห้งและคันเป็นสิ่งที่คุณมักเจอเสมอในแต่ละวันใช่หรือไม่
ถ้าใช่! คุณควรหันมาดูแลสุขภาพผิวให้ดีขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่เป็นผิวหน้า เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่ดูแลจะทำให้เกิดปัญหาริ้วรอย ปัญหาความหมองคล้ำ และทำให้ดูแก่ก่อนวัยได้ ซึ่งตัวช่วยสำคัญสำหรับการบำรุงผิวก็คือผลิตภัณฑ์ มอยส์เจอไรเซอร์ นั่นเอง

มอยส์เจอไรเซอร์ คืออะไร
     มอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer) เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทาผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น มีทั้งแบบที่เป็น ครีม เจล โลชั่น และขี้ผึ้ง โดยสารเหล่านี้จะทำหน้าที่เคลือบผิวเพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำ ซึ่งจะมีผลให้ผิวเกิดความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น ผิวจึงดูเรียบเนียน เต่งตึง แข็งแรง และมีสุขภาพดี
โดยส่วนผสมสำคัญที่อยู่ในมอยส์เจอไรเซอร์และคอยทำหน้าที่สร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวนั้นแยกออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1.   ประเภทที่มีคุณสมบัติทำให้ผิวฉ่ำน้ำ จะมีสารที่ช่วยดูดซับน้ำจากชั้นลึกของผิวหนังกำพร้าให้ขึ้นถึงผิวชั้นบน ให้ความชุ่มชื้นบริเวณผิวหนังกำพร้าหรือผิวหนังชั้นบนสุด และช่วยปกป้องผิวหนังจากเชื้อโรคและสารเคมีด้วย สารในกลุ่มนี้ เช่น กลีเซอรีน ไฮยาลูรอนิค ยูเรีย เป็นต้น
2.   ประเภทที่มีคุณสมบัติช่วยเคลือบผิว กลุ่มนี้จะใช้หลักการทำงานโดยสร้างฟิล์มบาง ๆ ที่ชั้นบนสุดของผิวเพื่อชะลอการสูญเสียน้ำ กลุ่มสารที่มีคุณสมบัตินี้ เช่น น้ำมันมะกอก ซิลิโคน ลาโนลิน เป็นต้น
3.   ประเภทที่มีคุณสมบัติทำให้ผิวนุ่ม มักจะเป็นกลุ่มสารไขมันที่สามารถดูดซึมได้ ซึ่งจะทำให้ผิวมีความนุ่ม เรียบเนียน และประสานผิวที่ตกสะเก็ด สารในกลุ่มนี้ เช่น เชียบัตเตอร์ คอลลาเจน สควาเรน เป็นต้น

ควรเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ตัวไหนดี
การเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์นั้นควรต้องพิจารณาให้มีความเหมาะสมกับสภาพผิวเป็นหลัก โดยมีแนวทางการเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ ดังนี้
-   หากเป็นคนที่มีผิวมัน โดยเฉพาะผิวหน้าที่มักเป็นสิวง่าย ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความมันน้อย เนื้อบางเบาหรือเนื้อเจลที่แห้งเร็ว ซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย โดยเป็นกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์ฐานน้ำหรือ Water Based ซึ่งมักอยู่ในรูปครีมเหลว
-   กรณีผิวแห้ง ควรเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์แบบเนื้อครีม ซึ่งจะเข้มข้นและช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ยาวนานขึ้น โดยเป็นกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์ฐานน้ำมัน หรือ Oil Based
-   กรณีผิวปกติ สามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบฐานน้ำและน้ำมัน แต่ควรเลือกปรับเปลี่ยนตามสภาพอากาศ เช่น ช่วงฤดูหนาวควรเลือกใช้เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ฐานน้ำมันเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับผิวมากขึ้นกว่าปกติ
-   กรณีผิวผสม ควรเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนของน้ำและน้ำมันในสัดส่วนที่เท่ากัน เพื่อคงความสมดุลของสภาพผิวไว้อย่างสม่ำเสมอ
สำหรับการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ในการดูแลผิวนั้น สามารถใช้ได้ทั้งช่วงเช้าและก่อนนอน แต่กรณีที่ต้องอยู่ในสภาพอากาศแห้งตลอดเวลา เช่น ทำงานในห้องปรับอากาศทั้งวันควรเติมมอยส์เจอไรเซอร์ให้ผิวในระหว่างวันด้วย

แต่หากต้องการการบำรุงที่เข้มข้นพร้อมประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย แนะนำ Crème de la Mer มอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวหน้าจาก La Mer ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวทันทีที่ใช้และยังช่วยให้ริ้วรอยจากผิวที่แห้งกร้านแลดูจางลงได้ภายใน 7 วัน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://praew.com/praew-survey/518840.html และ https://praew.com/praew-survey/518840.html

107
ปัญหาผิวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นสะสมมาจากหลายปัจจัย เช่น พักผ่อนน้อย ดื่มน้ำน้อย รังสี UV ในแสงแดด ความเครียด การแก้ไขที่ปลายเหตุอย่างเดียวจึงอาจจะไม่เพียงพอ แต่ต้องบำรุงผิวควบคู่กันไปด้วย ผิวจะได้แข็งแรงไม่เสียง่าย แต่จะเลือกบำรุงด้วย ครีมมอยส์เจอไรเซอร์ หรือเซรั่มดี วันนี้จะมาตอบชัด ๆ ให้หายสงสัยกัน

เซรั่ม และ มอยเจอร์ไรเซอร์ คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร
เซรั่ม และ มอยเจอร์ไรเซอร์ ถึงจะช่วยดูแลผิวเหมือนกัน แต่ไม่สามารถใช้แทนกันได้ เพราะคุณสมบัติของเซรั่ม คือเนื้อสัมผัสที่บางเบา จึงบำรุงได้ล้ำลึก เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น เซรั่มลดริ้วรอย เซรั่มเพิ่มความกระจ่างใส เซรั่มลดสิว ฯลฯ ส่วน มอยเจอร์ไรเซอร์ เนื้อสัมผัสจะหนัก และเน้นเรื่องความชุ่มชื้นเป็นหลัก มีหลายแบบให้เลือกเพื่อเหมาะกับประเภทผิว ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวขาดน้ำหรือผิวไร้สมดุลไม่แนะนำห้ขาดการบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์
ถ้าถามว่าจะเลือกใช้อะไรดี ต้องบอกว่าสกินแคร์ทั้งสองอย่างสำคัญทั้งคู่ เพราะเซรั่มจะช่วยลดเลือนความหมองคล้ำ จุดด่างดำ รอยสิว ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ในขณะที่มอยเจอร์ไรเซอร์ จะช่วยมอบความชุ่มชื้น ลดความหยาบกระด้างในชั้นผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส ไม่แห้งกร้าน เพราะผิวแห้งขาดน้ำก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวหมองคล้ำและใบหน้าดูมีอายุได้เช่นกัน ฉะนั้นใครที่ไม่อยากดูแก่ก่อนวัยหรือหน้าหมองคล้ำ มอยเจอร์ไรเซอร์ก็ถือเป็นสกินแคร์ช่วยบำรุงผิวที่ดีที่ไม่ควรมองข้าม

เลือก เซรั่ม และ มอยเจอร์ไรเซอร์ แบบไหนดี
การจะเลือกเซรั่มและ มอยส์เจอไรเซอร์ อย่างไรดีนั้น ก็ควรเช็กสภาพผิวของตนเองก่อนเพื่อเลือกสูตรที่เหมาะสม โดยการเช็กสภาพผิวนั้นก็ไม่ยากเลย หลังจากทำการล้างหน้าให้สะอาดแล้ว ให้ใช้ผ้าซับผิวหน้าเบา ๆ และทิ้งไว้ 30 นาทีจากนั้นให้ลองใช้กระดาษซับมันซับบริเวณแก้มหรือบริเวณทีโซน หากมีความมันออกมาในปริมาณมาก หมายความว่าเราอาจมีสภาพผิวมันได้ หากมีบ้างเล็ก ๆ หมายความว่าเราอาจจะมีผิวผสม แต่หากซับความมันแทบไม่มีเลย หรือผิวแห้งผาก หมายความว่าเรามีสภาพผิวแห้งนั่นเอง

สกินแคร์ทั้งหลายควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว เช่น คนผิวแห้ง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูง ส่วนคนผิวมันเป็นสิวง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เนื้อบางเบา หลีกเลี่ยงส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อป้องกันการอุดตัน แต่สำหรับ Estee Lauder Perfectionist Pro สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ช่วยเพิ่มความกระจ่างใส ให้ผิวสว่างมีออร่า และยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ทำให้รูขุมขนแลดูเล็กลงด้วย เมื่อใช้คู่กับ Estee Lauder Resilience Multi-Effect ก็จะยิ่งทำให้ขาวไว เพราะมีส่วนผสมของ Tri-Peptide Complex ที่ช่วยฟื้นบำรุงผิวให้ดูเนียนสวย สุขภาพดี และยังมี SPF 15 ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วย

108
ปัญหาผิวหมองคล้ำ ผิวหย่อนคล้อย ทำให้สาว ๆ หมดความมั่นใจที่จะออกไปพบเจอผู้คน กลุ้มใจว่าควรใช้อะไรดี ลองมาดู เซรั่มหน้าใส และเซรั่มที่ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอย เซรั่มทั้งสองชนิดนี้ช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างไร เรามาดูกัน

เซรั่ม คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเข้มข้นแต่มีเนื้อสัมผัสบางเบา เพราะมีโครงสร้างโมเลกุลเล็กมาก สามารถแทรกซึมเข้าสู่ใต้ผิวหนังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้การผลิตเซรั่มยังมีออกมาหลายสูตรเพื่อช่วยแก้ทุกปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด แต่ละสูตรจึงเน้นส่วนผสมที่ต่างชนิดกัน

ส่วนผสมที่สำคัญของเซรั่มมีอะไรบ้าง
โดยทั่วไปแล้วเซรั่มจะมีส่วนผสมหลัก ๆ ได้แก่
-   Hyaluronic Acid กรดไฮยาลูรอนิก มีคุณสมบัติในการปกป้องและรักษาความชุ่มชื้นใต้ชั้นผิว
-   Niacinamide ช่วยแก้ปัญหารอยสิวและปัญหารูขุมขนกว้าง ปรับสมดุลของน้ำมันบนชั้นผิวหนัง    
-   Tea Tree Oil เป็นออยล์ที่มีคุณสมบัติควบคุมความมันและช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้ด้วย
-   AHA คือ กรดผลไม้ที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่
-   BHA (กรดซาลิซิลิก) เป็นสารที่ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เซรั่มหน้าใส ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมนี้อยู่ด้วย
-   Vitamin C เป็นสารสำคัญที่ทำให้ผิวหน้าขาวใส
-   Retinol เป็นส่วนผสมที่สำคัญต่อการลดริ้วรอย เร่งสร้างคอลลาเจนในชั้นใต้ผิวหนัง
-   Antioxidant เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่มีริ้วรอย

เซรั่มชนิดไหนเหมาะกับผิวเราที่สุด เลือกอย่างไรดี
แต่ละคนมีปัญหาผิวและสภาพผิวหน้าที่แตกต่างกัน แล้วเราควรจะใช้เซรั่มตัวไหนดี  การเลือกใช้เซรั่มให้ได้ผลควรเลือกดูที่ส่วนผสมให้เหมาะกับผิวหน้าของเรา
-   ผิวมัน เป็นสิว ส่วนผสมในเซรั่มที่เหมาะกับผิวมันควรเป็น Tea Tree Oil, กรดซาลิซิลิก (BHA)
-   ผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ควรเลือกเซรั่มที่มีส่วนผสมของ Vitamin C และ AHA
-   ผิวแห้ง มีริ้วรอย ควรเลือกเซรั่มที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid และ Retinol เพิ่มความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ
-   ผิวบอบบาง แพ้ง่าย สำหรับผู้ที่มีผิวหน้าบอบบางแพ้ง่ายควรเลือกใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของ Niacinamide หรือวิตามินบี 3 เสริมความแข็งแรงให้ผิว

ทาเซรั่มอย่างไรให้บำรุงล้ำลึก
การทาเซรั่มควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ เพื่อให้เนื้อเซรั่มซึมดี บำรุงถึงผิวชั้นใน
-   ล้างหน้าให้สะอาดไม่ให้มีสิ่งสกปรกใด ๆ ตกค้าง
-   หลังล้างหน้ารีบทาเซรั่มขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ เซรั่มจะซึมเข้าสู่ผิวได้ดี
-   หลังจากทาเซรั่มให้พักไว้สักครู่ รอให้เซรั่มซึมลงผิวแล้วจึงทาครีมบำรุงอื่น ๆ

หากเราเข้าใจสภาพผิวของตัวเราเองและเลือกใช้เซรั่มที่ตรงจุด หากยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะใช้ เซรั่มตัวไหนดี แนะนำเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดเข้มข้นเพื่อการบำรุงล้ำลึกสำหรับแต่ละสภาพผิวได้จาก ESTEE LAUDER ผลิตภัณฑ์ที่ทั่วโลกให้ความไว้วางใจ

109
หากให้เลือกเครื่องสำอางชิ้นโปรด เชื่อว่าหนึ่งในตัวเลือกคือ รองพื้น เพราะแค่รองพื้นกระปุกเดียวสามารถเนรมิตผิวเนียนใส ไร้จุดบกพร่อง ออกแบบผิวหน้าให้เนียนกริบได้ทันตา นี่จึงกลายเป็นเครื่องสำอางที่หลายคนขาดไม่ได้ หากไม่ได้ทาแล้วรู้สึกไม่มั่นใจโดยเฉพาะคนมีปัญหาสิว เพราะคงไม่ดีแน่หากมีร่องรอยสิวกวนใจ นอกจากทำให้หมดความมั่นใจแล้วยังส่งผลต่อบุคลิก และสำหรับใครที่มีปัญหาสิวคงมีคำถามว่า รองพื้นยี่ห้อไหนดี ของ ELCA ที่เป็นตัวเลือกที่ใช่และจัดการปัญหาสิวได้อย่างอยู่หมัด

ทำความรู้จักรองพื้นแต่งหน้าคืออะไร
รองพื้น คือ เครื่องสำอางประเภทหนึ่งที่ใช้กับใบหน้า ส่วนใหญ่มีส่วนผสมของซิลิโคนผสมเม็ดสีและน้ำมันแร่ ซึ่งของเหลวที่อยู่ในน้ำมันคือรองพื้นเฉดสีต่าง ๆ แต่ละแบรนด์มักออกแบบเฉดสีรองพื้นมาค่อนข้างหลากหลายเฉดสีเพื่อให้สาว ๆ เลือกใช้ให้แมทช์กับผิวหน้า โดยการเลือกซื้อรองพื้นอันดับแรกต้องเลือกจากเฉดสีรองพื้นที่ต้องเข้ากับเฉดสีผิว รวมถึงต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว เช่น ผิวมัน ผิวผสม และผิวแห้ง ที่สำคัญคือการปกปิด เพราะยิ่งรองพื้นปกปิดได้ดีเท่าไหร่ ริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้าจะถูกอำพรางได้ดีมากขึ้นเท่านั้น สำหรับรูปแบบของรองพื้นมีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบน้ำ แบบแท่ง หรือแบบครีม สามารถเลือกใช้ได้ตามใจชอบ

รองพื้นยี่ห้อไหนดี ช่วยกลบปัญหาสิวได้อย่างอยู่หมัด
สำหรับคนที่มีปัญหาสิวแน่นอนว่าต้องตามหารองพื้นที่ตอบโจทย์เรื่องการปกปิด แต่ในขณะเดียวกันต้องทาแล้วเบาสบาย ไม่ทำให้ผิวอุดตันจนเป็นสิวหนักขึ้น รองพื้นที่แนะนำ ได้แก่ Estee Lauder Double Wear Stay-in-Place Makeup Foundation SPF10 PA++ รองพื้นตัวดัง ยอดขายอันดับ 1 ของ Estee Lauder รองพื้นรูปแบบเนื้อครีม ออกแบบมาเพื่อการปกปิดระดับปานกลางและปกปิดอย่างเต็มที่ กลบปัญหาสิวได้อย่างมั่นใจ เมื่อทาแล้วรู้สึกเบาสบาย ไม่หนักหน้า ไม่อุดตัน ทาแล้วติดทนนานแม้ต้องทำกิจกรรมต่อเนื่องตลอดวัน เนื้อกึ่งแมตต์ทำให้ลุคธรรมชาติ มีสารปกป้องผิวจากแสงแดด ที่สำคัญไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม น้ำมัน ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนัง ผิวบอบบางใช้ได้

ใครที่มีปัญหาสิวแต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกรองพื้นยี่ห้อไหนดี แถมยังเป็น รองพื้นติดทน กลบปัญหาสิวได้อย่างอยู่หมัด ห้ามพลาดเป็นเจ้าของรองพื้น Estee Lauder Double Wear Stay-in-Place Makeup Foundation SPF10 PA++ ที่สุดของรองพื้นที่เน้นความเบาสบาย แต่ทาแล้วปกปิดร่องรอยบกพร่องบนใบหน้าได้อย่างดีเยี่ยม ที่สำคัญติดทนนานตลอดวัน ไม่หวั่นแม้วันที่อากาศร้อนชื้นหรือวันที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง บอกเลยว่านี่คือรองพื้นที่สาว ๆ ต้องมี เพื่อการเป็นเจ้าของผิวสวยไร้ที่ติ

110
เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร โดยมากแล้วผู้คนนิยมขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งการขอสินเชื่อแต่ละครั้งผู้ยื่นกู้ต้องจัดเตรียมเอกสารมากมาย พร้อมกับคำถามในใจว่าการยื่นกู้จะได้รับการอนุมัติหรือไม่ หาก  ขอสินเชื่อไม่ผ่านทำไงดี ไม่มีสลิปเงินเดือนจะขอกู้ได้ไหม เราลองมาดู 5 วิธีขอสินเชื่อเงินด่วน ของ KTB ให้ผ่านฉลุยกัน

ประวัติการเงินดี มีสิทธิ์ได้รับการอนุมัติสูง
สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อแพลนที่จะขอสินเชื่อคือตรวจสอบประวัติการเงินของตนเองโดยเฉพาะเครดิตบูโร หากพบว่าติดแบล็กลิสต์หรือมีประวัติค้างชำระควรต้องจัดการปัญหาให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยยื่นกู้

เบิกทางยื่นกู้ให้ดี ต้องมีเอกสารพร้อม
อีกประการที่จะต้องเตรียมคือเอกสารต่าง ๆ ต้องพร้อมก่อนยื่นกู้ ซึ่งนอกจากทำให้มีโอกาสได้รับการอนุมัติสูงแล้วยังไม่เสียเวลาในการดำเนินการด้วย โดยเอกสารที่ต้องใช้มี 3 กลุ่ม ได้แก่                                                                                                                 
1.   เอกสารข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, บัตรข้าราชการ ทั้งของตนและคู่สมรส (ถ้ามี)                                                                                                                                                 
2.   เอกสารค้ำประกัน เช่น สำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ สำเนาหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย หลักฐานการจ่ายชำระเงินดาวน์ หากขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจต้องเตรียมแผนธุรกิจมายื่นด้วย
3.   เอกสารแสดงรายได้
•   สำหรับมนุษย์เงินเดือนหรือผู้มีรายได้ประจำไม่ค่อยจะมีปัญหาเนื่องจากมีสลิปเงินเดือน แต่ควรจะมีเงินเหลือติดบัญชีอยู่บ้างไม่ใช่ว่าพอเงินเดือนโอนเข้าแล้วถอนออกทันทีไม่มีเหลือ โดยเอกสารที่ต้องใช้ ได้แก่ สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองการทำงาน สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน และสำเนาหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)
•   สำหรับผู้ที่ทำงานอิสระจำเป็นต้องมีเอกสารทางการเงินแทนสลิปเงินเดือนเพื่อยืนยันกับทางธนาคารว่าตลอด 6 - 12 เดือน ที่ผ่านมามีรายรับเข้าตลอด
•   สำหรับเจ้าของกิจการหรือประกอบธุรกิจส่วนตัวต้องใช้เอกสารสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียน ใบทะเบียนการค้า สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีชื่อผู้กู้และผู้กู้ร่วม สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน (ทั้งในนามบุคคลและกิจการ) ซึ่งกรณีนี้การเดินบัญชีถือเป็นเรื่องสำคัญต้องมีเงินเข้าสม่ำเสมอทุกเดือนเพื่อให้ธนาคารเห็นว่ามีรายได้มากพอที่จะชำระหนี้ได้

เคลียร์หนี้เก่าให้เบาบาง เพื่อขยับทางให้หนี้ใหม่
การขอสินเชื่อ ให้ผ่านแบบง่าย ๆ นั้นผู้ยื่นกู้ควรมีภาระหนี้สินไม่เกิน 30% ของรายได้ต่อเดือน หากเกินกว่านี้สถาบันการเงินจะมองว่ามีโอกาสในการผิดชำระหนี้สูงจึงมักไม่ค่อยปล่อยอนุมัติ ดังนั้นถ้าสำรวจตนเองแล้วพบว่าต้องจ่ายทั้งค่าบ้าน ค่ารถ ค่าบัตรเครดิต ผ่อนของ หรืออื่น ๆ รวมแล้วเกินกว่า 30% ควรต้องวางแผนจัดการเรื่องเงินใหม่ ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและพยายามเคลียร์หนี้ให้เหลือยอดน้อยที่สุดแล้วค่อยยื่นกู้

ขอสินเชื่อให้ดูดี ไม่ควรยื่นขอถี่จนเกินไป
บางคนเลือกแก้ปัญหาด้วยการยื่นขอสินเชื่อถี่ ๆ เมื่อขอสินเชื่อไม่ผ่าน คิดว่าไม่เป็นอะไรสักวันคงได้รับการอนุมัติ แต่ในความเป็นจริงแล้วการขอสินเชื่อบ่อย ๆ สถาบันการเงินจะมองว่าเรากำลังร้อนเงินและส่งผลต่อเนื่องไปถึงการขอสินเชื่อในครั้งต่อไป เนื่องจากเมื่อเราสมัครขอสินเชื่อข้อมูลทุกอย่างที่ยื่นจะถูกดึงเข้าระบบของสถาบันการเงิน ทั้งนี้ผู้กู้สามารถสอบถามได้ว่าติดขัดปัญหาอะไร แล้วค่อยหาทาง แก้ไขหรือเว้นระยะห่างสักประมาณ 1 เดือน แล้วค่อยเดินเรื่องใหม่ จำไว้ว่าการยื่นขอสินเชื่อบ่อยไม่ได้อยู่ในเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติของธนาคาร

อนุมัติง่ายหากเลือกสินเชื่อที่เหมาะกับวัตถุประสงค์และความสามารถในการชำระหนี้
สินเชื่อแต่ละประเภทถูกกำหนดวัตถุประสงค์การใช้งานแตกต่างกัน ทั้งยังมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันด้วย เช่น สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน เป็นต้น ซึ่ง การขอสินเชื่อเงินด่วน ของ KTB ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจำเป็นและความสามารถในการชำระหนี้คืน ซึ่งโดยส่วนใหญ่ธนาคารจะอนุมัติวงเงินให้ไม่เกิน 40% ของรายได้ นั่นหมายความว่าจำนวนเงินกู้ที่ธนาคารจะอนุมัติให้นั้นจะมียอดผ่อนชำระไม่เกิน 40% ของรายได้ในแต่ละเดือน

และนี่คือวิธีขอสินเชื่อเพื่อให้อนุมัติง่ายและไวขึ้น อย่างไรก็ตามผู้กู้ต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติของแต่ละธนาคารด้วยเพราะบางแห่งกู้ยาก บางแห่งอาจกู้ง่าย บางแห่งดอกเบี้ยสูง บางแห่งดอกเบี้ยต่ำ ที่สำคัญควรศึกษาและวางแผนให้ดีก่อนยื่นขอสินเชื่อในแต่ละครั้ง

111
   สินเชื่อ ก็คือเงินกู้หรือเงินยืมที่ต้องจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ยซึ่งเป็นผลตอบแทนให้แก่สถาบันทางการเงินที่เราได้ยืมกู้มา ดังนั้นก่อนจะยื่นกู้ควรศึกษารายละเอียดสินเชื่อแต่ละประเภทของให้ดีเสียก่อน  โดยสินเชื่อทั่วไปนั้นสามารถแบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่
1.   สินเชื่อส่วนบุคคล เป็นที่นิยมเนื่องจากไม่ต้องมีหลักประกันและนำเงินไปใช้ได้อเนกประสงค์ วงเงินกู้ 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน ผ่อนชำระในอัตราที่เท่ากันทุกเดือน
2.   บัตรเครดิต เป็นการยืมเงินจากอนาคตมาใช้ในการซื้อสินค้าหรือบริการ เมื่อครบกำหนดชำระหากจ่ายไม่ครบจำนวนหรือจ่ายเพียงขั้นต่ำ ทางสถาบันการเงินหรือธนาคารจะคิดดอกเบี้ยตามอัตรากำหนด
3.   บัตรกดเงินสด สามารถกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มด้วยวงเงินเฉลี่ยตามรายได้ สะดวก สมัครใช้บริการง่าย ไม่ต้องมีหลักประกันหรือบัญชีเงินฝากกับทางธนาคาร แต่จะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่ออื่น ๆ
4.   สินเชื่อบ้าน คือการกู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินสำหรับการซื้อบ้าน ใช้ระยะเวลาการผ่อนชำระยาวนานกว่าสินเชื่อประเภทอื่น ทั้งยังเป็นสินเชื่อที่ต้องใช้หลักประกันซึ่งอาจจะเป็นตัวบ้านหรือที่ดินที่ขอกู้
5.   สินเชื่อธุรกิจ เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่อง หรือขยายกิจการ
   สำหรับคนที่ต้องการเงินสักก้อนมาใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล ต่อเติมบ้าน ซ่อมรถ ลงทุนทำธุรกิจ ขยายธุรกิจขนาดเล็ก หรือใช้ในชีวิตประจำวันอื่น ๆ แนะนำ “สินเชื่อส่วนบุคคล” น่าจะตอบโจทย์ความต้องการได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็น สินเชื่อเงินกู้ด่วนอนุมัติไว ทั้งยังสมัครขอสินเชื่อได้ง่าย เพียงมีสัญชาติไทย อายุ 20 ปีขึ้นไป หากเป็นพนักงานประจำต้องมีอายุงานมากกว่า 1 ปี และเงินเดือน 15,000 บาทขึ้นไป ซึ่งในปัจจุบันการทำธุรกรรมการเงินนั้นไม่จำเป็นต้องไปที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินแล้ว ทุกอย่างสะดวกสบายด้วยความทันสมัยของโลกยุคดิจิทัล การ กู้เงินออนไลน์ ก็เช่นกัน หากต้องการ สินเชื่อเงินด่วนอนุมัติเร็ว สามารถขอ เงินกู้ฉุกเฉิน ได้ทางแอปพลิเคชันธนาคาร ยกตัวอย่างเช่น  Krungthai NEXT ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันของธนาคารกรุงไทยที่ให้บริการธุรกรรมทางการเงินครบถ้วนในที่เดียว รวมทั้งการ กู้เงินออนไลน์ ด้วย โดยมีขั้นตอนง่าย ๆ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันและสมัครเปิดใช้บริการ เข้าไปที่คำสั่ง “บริการ” แล้วกดสมัครสินเชื่อ เลือกประเภทสินเชื่อที่ต้องการ ระบบจะช่วยคำนวณการผ่อนชำระเพื่อประกอบการตัดสินใจ จากนั้นกรอกข้อมูลส่วนตัว วงเงินที่ต้องการ ระยะเวลาในการผ่อนชำระ ทำตามขั้นตอนไปเรื่อย ๆ เมื่อครบถ้วน ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอีกครั้งแล้วกด “ส่งใบสมัครขอสินเชื่อ ”
   หาก สินเชื่อด่วน ที่สมัครผ่านการอนุมัติ เลือก  “ยอมรับข้อเสนอ” จากนั้นระบุบัญชีที่ต้องการรับเงินและผ่อนชำระ เลือกวันผ่อนชำระ ยืนยันข้อมูลอีกครั้ง อ่านรายละเอียดสัญญาให้ครบถ้วนก่อนกดปุ่ม “ยอมรับเงื่อนไขสัญญา ” เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการธนาคารจะโอนเงินเข้ามายังบัญชีที่ได้แจ้งไว้ในขั้นตอนการสมัคร ซึ่ง เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ จาก Krungthai NEXT อนุมัติเร็ว ให้วง เงินกู้ด่วน 5 เท่าของรายได้ แต่รวมแล้วไม่เกิน 1 ล้านบาท ไม่ต้องค้ำ ไม่มีบัญชีเงินเดือนกับกรุงไทยก็ใช้บริการได้
   แต่เมื่อได้รับสินเชื่อตามที่ขอกู้แล้วภาระหนี้สินย่อมเกิดขึ้น ผู้กู้ต้องมีวินัย มีความรับผิดชอบในการผ่อนชำระ และวางแผนการเงินให้ดีเพื่อจะได้ไม่มีหนี้เพิ่ม

ชมรายละเอียดที่
https://sunroomsmd.com/index.php?topic=9870.new#new
https://sunroomsmd.com/index.php?topic=9870.new#new

112
บัตรกดเงินสด ผลิตภัณฑ์การเงินที่นอกจากจะช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินของทุกคนได้เป็นอย่างดีแล้วยังขึ้นชื่อว่าสมัครง่าย อนุมัติไว มีวงเงินสำรองใช้พกติดตัวไปตลอดอีกด้วย แต่ก่อนจะ กู้เงิน ด้วยบัตรกดเงินสดมีสิ่งที่ควรรู้อยู่ 5 ข้อหลักดังต่อไปนี้

1.   จุดประสงค์การใช้เงินกู้ของผู้ สมัครสินเชื่อเงินเร่งด่วน บัตรกดเงินสด
หากผู้กู้ต้องการใช้เงินกู้ในวงเงินไม่เกิน 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน และประเมินว่าสามารถชำระหนี้ได้ครบตามกำหนดหรือเร็วกว่ากำหนด บัตรกดเงินสดคือหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจเนื่องจากวงเงินกู้สูงสุดของบัตรกดเงินสดมักจะอยู่ที่ 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน สมัครง่าย เงื่อนไขไม่ยุ่งยาก อนุมัติไวเมื่อเทียบกับสินเชื่อเงินสดประเภทอื่น ๆ เช่น สินเชื่อบุคคล แต่เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของบัตรกดเงินสดมักสูงกว่าสินเชื่อเงินสดประเภทอื่นจึงควรปิดหนี้ให้เร็วที่สุด เหมาะกับการใช้งานเป็นวงเงินสำรองฉุกเฉิน แก้ไขปัญหาสภาพคล่องในระยะเวลาสั้น ๆ
2.   ปิดบัญชีหนี้แล้ววงเงินยังคงอยู่
ซึ่งบัตรกดเงินเหมาะกับการใช้เป็นวงเงินสำรองฉุกเฉิน ส่วนหนึ่งเพราะการ สมัครสินเชื่อ บัตรกดเงินสดทำได้ง่าย และทำเพียงครั้งเดียวก็ได้วงเงินกู้ติดตัวไปตลอดอายุบัตร ยกตัวอย่างเช่น ผู้กู้ถือบัตรกดเงินสดวงเงิน 50,000 บาท กดเงินออกมาใช้ 20,000 บาท ยังมีวงเงินเหลือใช้อีก 30,000 บาท เมื่อปิดบัญชีหนี้วงเงิน 20,000 บาทแล้ว บัตรกดเงินสดก็จะกลับมามีวงเงิน 50,000 บาทเหมือนเดิม สามารถกดออกมาใช้ได้อีกตลอดอายุบัตร
3.   นอกจากดอกเบี้ยยังมีค่าธรรมเนียมต้องพิจารณา
บัตรกดเงินสดมักมีค่าธรรมเนียมยิบย่อยซ่อนอยู่ ก่อนสมัครจึงควรเปรียบเทียบอัตราค่าธรรมเนียมของแต่ละบัตรโดยละเอียดก่อน เช่น ค่าธรรมเนียมกดเงินสด ค่าธรรมเนียมรายปี การเลือกบัตรกดเงินสดที่ฟรีค่าธรรมเนียมรายปีหรือคิดค่าธรรมเนียมกดเงินสดน้อยกว่าจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
4.   บัตรกดเงินสดใช้งานอย่างอื่นได้
บัตรกดเงินสดในปัจจุบันถูกออกแบบให้ใช้งานได้หลากหลาย นอกจากใช้กดเงินสดจากวงเงินกู้ออกมาใช้จ่ายได้แล้ว บัตรบางใบก็ยังสามารถใช้ซื้อของออนไลน์ ใช้ผ่อนชำระสินค้า 0% ยาวนาน 12 เดือนได้อีกด้วย ผู้กู้จึงมีทางเลือกมากขึ้น สามารถเลือกสมัครบัตรที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้อย่างง่ายดาย
5.   เครดิตผู้กู้ต้องดีมีความสามารถในการชำระหนี้
แน่นอนว่าการขอ กู้เงินด่วนธนาคาร หรือการขอ สินเชื่อ ผู้กู้จำเป็นต้องแสดงให้สถาบันการเงินเห็นว่าผู้กู้มีความสามารถในการชำระหนี้ ดังนั้นผู้กู้จึงควรประเมินสถานะการเงินของตนเองก่อนสมัครด้วยว่าพร้อมหรือไม่ เช่น มีรายได้ประจำมาเกิน 3 - 6 เดือนหรือยัง รายได้ขั้นต่ำถึงเกณฑ์ที่สถาบันการเงินกำหนดหรือไม่ ซึ่งการสมัครบัตรกดเงินสดมีเงื่อนไขรายได้ขั้นต่ำแตกต่างกันไป บางแห่งไม่กำหนดรายได้ขั้นต่ำต่อเดือน บางแห่งกำหนดว่าต้องมีรายได้ต่อเดือน 10,000 บาทขึ้นไป ยิ่งไปกว่านั้นผู้กู้ไม่ควรค้างชำระหนี้ในระบบของผลิตภัณฑ์การเงินอื่น ๆ มาก่อน เช่น ค่ารถ ค่าบ้าน ค่าบัตรเครดิต เพราะจะทำให้สถาบันการเงินมองว่าประวัติทางการเงินของผู้กู้ไม่น่าเชื่อถือ อาจไม่ได้รับอนุมัติวงเงิน

แต่ก่อนจะทำการ กู้เงินธนาคาร นั่นคือวินัยทางการเงิน หากผู้กู้รู้จุดประสงค์ของการใช้เงินกู้อย่างชัดเจน มีวินัยในการใช้จ่าย และชำระหนี้ตามเงื่อนไข บัตรกดเงินสดและสินเชื่อเงินสดต่าง ๆ ก็จะกลายเป็นเครื่องมือเสริมสภาพคล่องทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ

113
   หลายคนมองว่าการทำประกันชีวิตเป็นเรื่องไม่จำเป็น แต่ที่จริงแล้วการทำประกันถือเป็นการลดความเสี่ยง หากวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเจ็บป่วย หรือเกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างการเสียชีวิต เราและคนข้างหลังจะได้รับการดูแลจากประกันที่ซื้อไว้ และที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้คือ ประกันชีวิตแบบไหนดี2566 สามารถนำมา “ลดหย่อนภาษีได้” ซึ่งวันนี้เราจะมาเฉลยว่า ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่

1.   ประกันชีวิตทั่วไป
   ประกันชีวิตแบบทั่วไปมีสิทธิประโยชน์หลายอย่างให้กับผู้ทำประกัน มีทั้งแบบตลอดชีพ, แบบชั่วระยะเวลา, แบบสะสมทรัพย์ และแบบควบการลงทุน
   1.1 ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เน้นคุ้มครองในระยะยาว จ่ายเบี้ยเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น จ่ายเบี้ยแค่ 20 ปีแรก แต่คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี
   1.2 ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา เน้นคุ้มครองระยะเวลาสั้น ๆ หากครบกำหนดแล้วผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ได้รับทุนประกันคืน
   1.3 ประกันแบบสะสมทรัพย์ เน้นเรื่องการออมเงิน ได้ผลตอบแทนตามอัตราที่กำหนดไว้ซึ่งจะมากกว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไป
   ประกันทั้ง 3 ประเภทนี้สามารถ ลดหย่อนภาษี2566 ได้ตามจำนวนที่จ่ายเงิน สูงสุด 100,000 บาท (ประกันต้องมีระยะเวลาคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป) และหากมีประกันชีวิตของคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ก็จะลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
   1.4 ประกันชีวิตแบบควบการลงทุน เน้นให้ความคุ้มครองชีวิตพร้อมกับให้โอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุน เบี้ยประกันจะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของบริษัทประกัน, ส่วนความคุ้มครอง และส่วนที่นำไปลงทุน โดย ประกันลดหย่อนภาษี เฉพาะค่าใช้จ่ายส่วนที่ 1 และ 2 สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท (ต้องมีระยะเวลาความคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป) แต่ส่วนที่ 3 ที่นำไปลงทุนจะไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้

2.   ประกันชีวิตบำนาญ
   เป็นประกันที่เน้นความคุ้มครองในรูปแบบรายได้หลังเกษียณ ผู้เอาประกันต้องจ่ายเบี้ยไปจนถึงอายุที่กำหนด แล้วบริษัทประกันจะจ่ายเงินให้เราเมื่อเราเกษียณ โดยสามารถใช้ ลดหย่อนภาษีประกันชีวิต ได้สูงสุด 15% ของรายได้ แต่มากสุดไม่เกิน 200,000 บาท รวมสิทธิลดหย่อนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ เช่น กองทุน RMF, กองทุน SSF ฯลฯ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
   
การเลือกซื้อประกันชีวิตให้เหมาะกับความต้องการของตัวเองโดยดูจากระยะเวลาคุ้มครองและผลตอบแทนที่จะได้รับเป็นสิ่งที่คสรคำนึงถึงเป็นอันดับแรก แต่สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันชีวิตที่ไว้ใจได้ เราขอแนะนำ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ สมาร์ท เซฟเวอร์ 15/5 จากธนาคารกรุงไทย ที่เป็น ประกันลดหย่อนภาษีปี 2565 ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าตลอดทั้งสัญญาสูงสุด 587.5% ของทุนประกัน จ่ายเบี้ยประกันเพียง 5 ปี ก็ได้รับความคุ้มครองยาว ๆ 15 ปี

114
   ลิปบาล์มมีจุดเด่นในเรื่องการบำรุงริมฝีปากให้ชุ่มชื้น แก้ปัญหาปากคล้ำดำ ให้ริมฝีปากสุขภาพดี ในขณะเดียวกันก็มีทั้งสูตรที่เพิ่มสีสันและไม่มีสีให้ได้เลือกใช้ตามใจ
   แม้ว่าลิปสติกจะมีสีสันให้เลือกมากมาย แต่อย่างวันพักผ่อนหรือวันสบาย ๆ ไม่ได้แต่งหน้าอะไรมาก ก็ไม่อยากจะใช้เครื่องสำอางมาก อยากคงความเป็นธรรมชาติเอาไว้ การทาเพียงลิปมันก็ช่วยให้โดดเด่นขึ้นมาทันที เพียงแค่ต้องเลือกทาลิปมันประจำ จะเป็นสูตรไหนก็ได้ แต่ต้องมีคุณสมบัติบำรุงให้ชุ่มชื้น หรือหากใครมีปัญหาปากคล้ำมาก แนะนำลองให้ใช้ ลิปมันมีสี ให้ใบหน้าดูสดใสขึ้นมาบ้างพร้อมกับได้รับการบำรุงไปในตัว ถือเป็นประโยชน์ของลิปประเภทนี้เลยล่ะ ฉะนั้นเพื่อให้เหล่าคนรักสวยรักงามได้คำตอบที่ชัดเจนว่าควรเลือกใช้ลิปบาล์มยี่ห้อไหนดี และทั้งสองแบบนี้ต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะมาคลายข้อสงสัยกัน

เทียบ ลิปมันมีสี และลิปมันทั่วไปต่างกันอย่างไร
•   ลิปบาล์มมีสีจะให้สีตรงตามเนื้อลิปแบบไม่ผิดเพี้ยนมาก
•   ลิปบาล์มมีสีบางสูตรแท่งสีขาว แต่เมื่อทาไปแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีอื่น
•   ลิปมันบางสูตรจะไม่มีสี มีเพียงความมันวาวและกลิ่นหอม

   แต่ทั้งสองให้การบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ริมฝีปากได้ดีเหมือนกัน ยิ่งใช้ต่อเนื่องจะทำให้ริมฝีปากเป็นสีชมพูแบบธรรมชาติ ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามใจชอบ แต่เพื่อให้คุณตัดสินใจง่ายมากขึ้น เราไปดูกันว่าลิปแต่ละแบบมีคุณสมบัติและมีความน่าสนใจที่ต่างกันอย่างไร

คุณสมบัติและจุดเด่นของลิปมันแบบมีสี
   ทำความสะอาดได้ง่าย แม้ว่าลิปมันมีสีจะเพิ่มสีสันให้ริมฝีปาก แต่เมื่อต้องการลบหรือทำความสะอาด ก็สามารถเช็ดหรือล้างออกได้ง่ายโดยไม่ต้องถูแรง ๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดผิวระคายเคือง
   มีสีสันพร้อมทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้น เพื่อให้ใบหน้าของคุณดูดีมีสุขภาพ การเลือกทาลิปมันแบบมีสีช่วยได้มากทีเดียว เพราะคุณสมบัติเด่นไม่เพียงให้สีสันแบบธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ยิ่งหมั่นทาบ่อย ๆ ยิ่งส่งผลดีต่อริมฝีปาก
   ใช้แทนหรือใช้ร่วมกันกับการทาลิปสติกได้ ในบางครั้งลิปมันแบบมีสีมีตัวเลือกน้อย หากต้องการความหลากหลายของเฉดสีสามารถใช้ร่วมกับลิปสติกได้โดยที่สีไม่ผิดเพี้ยน นอกจากจะให้สีที่ถูกใจแล้ว ยังส่งผลดีต่อริมฝีปากในระยะยาวอีกด้วย
   สีที่มากับลิปมันให้เฉดสีที่ทำให้ใบหน้าโดดเด่นขึ้นได้ เช่น สีพีช ชมพู แดง เป็นต้น แม้ว่าลิปประเภทนี้จะให้สีอ่อน แต่หากคุณแต่งหน้าเบา ๆ ในวันสบาย ๆ ก็จะได้ลุคผิวดูมีสุขภาพดี

   การเลือกใช้ลิปมันแบบมีสีตอบโจทย์คนที่ต้องการความสดใสแบบธรรมชาติได้ดีทีเดียว และหากใครยังไม่แน่ใจว่า ลิปบาล์มมีสียี่ห้อไหนดี เราขอแนะนำลิปบาล์มมีสีจากแบรนด์ Bobbi Brown รุ่น EXTRA LIP TINT มีประสิทธิภาพในการบำรุงให้ความชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน พร้อมกับให้สีอย่างเป็นธรรมชาติ


ชมรายละเอียดที่
https://women.kapook.com/view274438.html
https://women.kapook.com/view274438.html

115
เครื่องดื่มยอดฮิตที่ครองใจคนแทบทุกเพศทุกวัยอย่างกาแฟ ตื่นเช้ามาต้องได้ดื่มกาแฟสักหนึ่งแก้วเพื่อความกระปรี้กระเปร่า  ซึ่งกาแฟที่ได้รับความนิยมก็มีทั้ง กาแฟดำ เอสเพรสโซ่ คาปูชิโน่ ลาเต้ และอเมริกาโน่ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ชนิดของกาแฟก็คือ ถ้วยกาแฟ ที่เหมาะสมกับกาแฟชนิดนั้น ๆ ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่า รูปทรง วัสดุ และสีสันของถ้วยกาแฟมีผลต่อกลิ่นและรสชาติของกาแฟอย่างไรบ้าง

วัสดุของแก้วกาแฟ
   แก้วกาแฟ ที่วางขายอยู่ทั่วไปส่วนใหญ่ใช้วัสดุ 4 ชนิด ได้แก่ พลาสติก สแตนเลส เซรามิก และแก้ว ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีผลต่อกลิ่นและรสชาติของกาแฟที่แตกต่างกัน 
1.   แก้วพลาสติก มีราคาถูก หาซื้อง่าย และมีความทนทานในระดับหนึ่ง แต่ข้อเสียคือ หากนำไปใส่กาแฟดื่ม พลาสติกจะดูดซับกลิ่น สี และรสชาติของกาแฟเข้าไป นานเข้าก็จะทำให้รสและกลิ่นของกาแฟปะปนกันไปหมด
2.   แก้วสแตนเลส มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงทนทาน ไม่เป็นสนิม แต่ข้อเสียคือ หากนำไปใส่กาแฟดื่มอาจจะไม่ได้อรรถรสจากกลิ่นของกาแฟเพราะอาจมีกลิ่นของโลหะ และหากเป็นแก้วที่ไม่ได้มาตรฐานก็อาจทำให้รสชาติของกาแฟผิดเพี้ยนไปเพราะเกิดการทำปฏิกิริยาระหว่างโลหะ
3.   แก้วเซรามิก เป็นภาชนะที่มีความเป็นกลางที่สุด ไม่ดูดซับกลิ่นและรสชาติของกาแฟ ทั้งยังดูดซับความร้อนได้ดี รักษาอุณหภูมิและกลิ่นของกาแฟได้ยาวนาน ทำให้การดื่มกาแฟมีอรรถรสมากขึ้น
4.   แก้วใส เก็บความร้อนได้ดี แต่ไม่เท่าแก้วเซรามิก เหมาะสำหรับกาแฟที่มีสีสันหรือต้องการโชว์ชั้นเลเยอร์ของกาแฟ มีความเป็นกลาง ไม่ดูดซับกลิ่นและรสชาติ

รูปทรงและสีสันของแก้วกาแฟ
   แม้ว่า แก้วกาแฟ ของ Nespresso จะมีให้เลือกมากมายหลากหลาย แต่รูปทรงที่ได้รับความนิยมสำหรับใช้ใส่กาแฟนั้นมีด้วยกัน 3 รูปทรงหลัก ๆ ซึ่งแต่ละรูปทรงก็จะมีผลต่อรสชาติของกาแฟที่แตกต่างกันและเหมาะจะใช้กับกาแฟต่างชนิดกันด้วย
1.   แก้วเอสเพรสโซ่ เป็นแก้วขนาดเล็กเตี้ย มีหูจับ หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า “แก้วช็อต” จุกาแฟได้เพียง 2 – 3 ออนซ์ จุดเด่นคือ เก็บความร้อนได้ดี ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมของกาแฟ อีกทั้งก้นแก้วที่เป็นรูปวงกลมยังช่วยให้ “ครีม่า” ที่เป็นชั้นโฟมหนานุ่มคงรูปสวยงามได้อีกด้วย เหมาะสำหรับกาแฟเอสเพรสโซ่ที่ใช้วิธีชงแบบ กาแฟดำ ไม่ใส่น้ำหรือนม ให้รสชาติที่เข้มและหนักแน่น
2.   แก้วลาเต้/คาปูชิโน่ แก้วขนาดกลาง ความจุ 6 – 8 ออนซ์ มีหูจับ ก้นแก้วโค้งมน ปากแก้วกว้าง เนื้อแก้วจะมีความหนาราว 5 มิลลิเมตร ช่วยให้จิบกาแฟพร้อมฟองนมได้สะดวก เพิ่มความกลมกล่อมและความอร่อยให้กาแฟ เหมาะสำหรับใช้กับลาเต้ร้อนและคาปูชิโน่ร้อน
3.   แก้วมัค แก้วทรงสูง มีหูจับ ความจุ 12 ออนซ์ จับถือได้ถนัดมือ ยกดื่มง่าย นิยมใช้เสิร์ฟกาแฟร้อนอย่างอเมริกาโน่ร้อนและลาเต้ร้อน
   นอกจากรูปทรงแล้วมีผลการวิจัยพบว่าสีสันของแก้วยังมีผลต่อรสชาติของกาแฟด้วยเช่นกัน โดยแก้วสีขาวขุ่นจะให้รสชาติที่ขมกว่า ส่วนแก้วสีฟ้าจะให้รสชาติที่หวานกว่าแก้วสีขาวถึง 5% ขณะที่แก้วใสจะให้รสชาติขมจาง ๆ มีความหวานมากกว่า
   
ทั้งหมดนี้คือสาระความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ถ้วยกาแฟ ชนิดต่าง ๆ ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ แม้ว่ามันอาจจะฟังดูเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ สำหรับคนบาง แต่สำหรับคนที่มีใจรักในการดื่มกาแฟแล้ว นี่ถือเป็นสิ่งที่จะมองข้ามไม่ได้เลยหากต้องการดื่มกาแฟให้ได้อรรถรสทั้งรสชาติ กลิ่น และสีสัน แถมยังแสดงให้เห็นถึงรสนิยมในการดื่มกาแฟที่มีระดับอีกด้วย

116
   หากคนเป็นคนยุคใหม่ที่รักความสะดวกแถมยังเป็นคอกาแฟตัวยงคงไม่มีอะไรจะโดนใจคุณไม่มากกว่านวัตกรรม เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสุดอัจฉริยะช่วยให้การชงกาแฟสดกลายเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับนวัตกรรมที่ว่านี้ของ Nespresso กัน
   นวัตกรรมสุดทันสมัยของ Nespresso เป็น เครื่องชงกาแฟสดอัตโนมัติ ที่ออกแบบมาเพื่อการชงกาแฟสดคุณภาพด้วย กาแฟแคปซูล ที่คัดสรรเมล็ดพันธุ์กาแฟ กรรมวิธีการคั่วบดและคำนวณปริมาณของเมล็ดกาแฟคั่วบดที่เหมาะสมมาให้อย่างลงตัว สะดวกสบายต่อการใช้งานเป็นที่สุด ไม่ต้องมานั่งกะตักผงกาแฟใส่แก้วเองแบบผิด ๆ ถูก ๆ อีกต่อไปเพียงแค่ใส่แคปซูลกาแฟลงเครื่องเป็นอันเสร็จ ประหยัดขั้นตอนการชงกาแฟไปได้เยอะทีเดียว
   ส่วน วิธีการใช้เครื่องชงกาแฟ Nespresso ก็ง่ายมาก เพียงแค่ใส่ กาแฟแคปซูล เติมน้ำเปล่าลงในแท็งก์เป็นอันเสร็จขั้นตอนแรกสำหรับเครื่องชงกาแฟดำแบบคลาสสิก แต่ถ้าเป็นรุ่นที่มีระบบสตรีมนมมาในตัวแล้วเกิดอยากจะชงกาแฟผสมนมอย่างลาเต้หรือคาปูชิโน่ดื่มก็เพียงเติมนมสดลงไปเท่านั้นเอง จากนั้นก็กดปุ่มเปิดการทำงานของตัว เครื่องชงกาแฟแคปซูล ของ Nespresso ซึ่งจะใช้เวลาไม่กี่วินาทีในการเซตเครื่อง เพราะด้วยเทคโนโลยีที่มีระบบทำความร้อนเร็วและแรงดันน้ำสูงถึง 19 บาร์ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอต้มน้ำเดือดนาน ๆ อีกต่อไป
   หลังจากที่เครื่องพร้อมใช้งานเราก็เพียงแค่กดปุ่มเลือกเมนูกาแฟที่ต้องการได้เลย ในรุ่นคลาสสิกจะมี 2 ฟังก์ชั่นให้เลือกนั่นก็คือชงได้ทั้งแบบเอสเปรสโซ่และลุงโก้ ส่วนในรุ่นที่มีระบบสตรีมนมจะมีฟังก์ชั่นให้เลือกมากมายถึง 6 เมนู เพียงแค่เรากดตามเมนูที่ต้องการ ใช้เวลารอ 5 นาที เครื่องชงกาแฟแคปซูล Nespresso ก็จะรังสรรค์เมนูกาแฟนั้น ๆ ออกมาให้เราอย่างสมบูรณ์แบบทั้งรสชาติ รูปลักษณ์ สีและกลิ่นได้อย่างลงตัวโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
   นวัตกรรมเครื่องชงกาแฟสด Nespresso จึงเหมาะมาก ๆ กับคอกาแฟยุคใหม่ที่ต้องการความง่ายและความสะดวกในการชงกาแฟสดดื่มเอง แถมยังลูกเล่นด้วยรูปลักษณ์ดีไซน์ตัวเครื่องที่โดดเด่นทันสมัย เหมาะกับการวางเป็นของตกแต่งบ้านไปในตัวช่วยให้บ้านดูมีอะไรขึ้นมาทันที
   ด้วยความอัจฉริยะและ วิธีใช้เครื่องชงกาแฟ ที่ง่ายแถมยังดีไซน์สวยทันสมัยจึงทำให้นวัตกรรมเครื่องชงกาแฟ Nespresso ตอบโจทย์คอกาแฟรุ่นใหม่ที่รักในความเรียบง่ายสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่งจึงไม่ควรพลาดที่จะมีติดบ้านไว้ด้วยประการทั้งปวง

ชมข้อมูลเพิ่ม
https://www.nespresso.com/th/th/order/machines/vertuo

117
หลายคนที่พบเจอปัญหาสิว แม้จะหายแล้วก็มักจะทิ้งรอยดำรอยแดงเอาไว้กวนใจเสมอ ๆ สามารถแก้ได้โดยการใช้รองพื้นปกปิดรอยสิว ที่สามารถปกปิดและเนรมิตผิวสวยในเวลาไม่กี่นาที หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่ารองพื้นคืออะไร เลือกใช้อย่างไร และเลือกอย่างไรให้เหมาะกับผิว ลองตามมาดูกันได้เลยค่ะ

รองพื้น คืออะไร
รองพื้น คือเครื่องสำอางที่ใช้ปรับผิวให้ดูเรียบเนียน สม่ำเสมอ และช่วยอำพรางจุดบกพร่อง เช่น รอยแดง รอยสิว หรือจุดด่างดำ มีให้เลือกหลายเนื้อสัมผัส ทั้งเนื้อครีม เนื้อน้ำ เนื้อเจล แบบแท่ง ฯลฯ ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน และเหมาะสำหรับสภาพผิวที่ต่างกันด้วย

คนมีสิว เลือกรองพื้นแบบไหน ต้องดูจากส่วนประกอบสำคัญ
สำหรับคนที่ผิวเป็นสิว ควรเลือกที่เป็น Water-Based Foundations หรือรองพื้นที่มีเบสเป็นน้ำ เนื้อสัมผัสจะบางเบา สบายผิว แต่ให้การปกปิดดี กลบรอยดำรอยแดงได้ในระดับหนึ่ง พยายามหลีกเลี่ยง รองพื้นปกปิดรอยดำ ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะนอกจากเนื้อสัมผัสจะหนักแล้ว ยังทำให้เกิดการอุดตันเป็นต้นเหตุของสิวต่อไป นอกจากนี้ควรเลือกสูตรที่เป็น Non-comedogenic ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ดี

เลือกสีรองพื้นอย่างไรให้เหมาะกับตนเอง
การเลือกสีรองพื้นนั้น หลายคนมักจะเทียบกับผิวที่มือ แต่สีผิวที่มือกับหน้าของเราอาจจะไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงควรลองกับใบหน้าโดยตรงจะดีที่สุด โดยเลือกสีให้ใกล้เคียง หรือเข้มกว่าเล็กน้อย เวลาลงแป้งเพิ่มจะได้ดูไม่ลอย และที่สำคัญที่สุดคืออย่าลืมทาบริเวณคอด้วยเช่นกัน

หากเรารู้จักเลือกรองพื้นให้เหมาะกับผิวของตนเองแล้ว งานผิวสวยใส สุขภาพดีก็เป็นเรื่องง่าย  และยังให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติอีกด้วย สำหรับใครที่มีปัญหาผิวเป็นสิวและลังเลว่าควรใช้รองพื้นยี่ห้อไหนดี ขอแนะนำ Double Wear รองพื้นที่ขายดีอันดับ 1 ของ Estee Lauder รองพื้นติดทน ตลอดวัน ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันและน้ำหอม ไม่ก่อให้เกิดสิว จะรอยไหนก็ปกปิดได้หมด ผิวจึงดูเนียนสวยแบบไร้ที่ติ ใครที่มีปัญหาสิวหรือรอยสิวดำฝังลึก แต่งหน้าอย่างไรก็ไม่มั่นใจเพราะรอยสิวตัวดี ต้องลองตัวนี้เลย!


ชมรายละเอียดที่
https://sistacafe.com/summaries/95902
https://sistacafe.com/summaries/95902
https://sistacafe.com/summaries/95902

118
ปัจจุบันการดื่มกาแฟสดกำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะการชงกาแฟสดสำหรับดื่มเองจากที่บ้านและที่ทำงาน เพราะลดเวลาการเดินทางแถมยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายกาแฟที่ซื้อนอกบ้าน เนื่องจากราคากาแฟสดมีราคาปรับตัวขึ้นค่อนข้างสูง จึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องรู้จัก เครื่องชงกาแฟสด เราจะขอพาทุกท่านมาดูกันว่าเทรนด์ยุคนี้มีความนิยมเครื่องชงกาแฟแบบใดบ้าง

เครื่องชงกาแฟสด ที่เป็นกระแสในปัจจุบัน
1.   เครื่องชงกาแฟ เอสเพรสโซ่
เป็นเครื่องชงที่พบได้ทั่วไปตามร้านคาเฟ่หรือร้านกาแฟชั้นนำ มีราคาให้เลือกใช้งานตั้งแต่หลักหมื่นจนไปถึงหลักแสน ยังไม่รวมถึงอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ที่ต้องใช้ในการชงกาแฟออกมา เช่น เครื่องบดเมล็ดกาแฟ, ก้านชง, เทมเปอร์ ซึ่งเป็นเครื่องที่มีอุปกรณ์จำนวนมากที่สุดในบรรดาเครื่องชงกาแฟทั้งหมด แต่ใช่ว่ามีอุปกรณ์มากกว่าแล้วจะสามารถชงกาแฟสดได้อร่อยเสมอไป เพราะต้องอาศัยการคั่วเมล็ดกาแฟ, การบดที่ได้ขนาด และฝีมือในการชงด้วย
2.   เครื่องชงกาแฟแคปซูล
เป็นเครื่องชงกาแฟที่ได้รับความนิยมเช่นกัน เพราะมีขนาดเล็กกะทัดรัด มีราคาในช่วงหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น สามารถชงกาแฟสดได้ไม่แพ้เครื่องชงกาแฟแบบเอสเพรสโซ่ ในกระบวนการชงกาแฟจะต้องมีแคปซูลกาแฟสำเร็จรูปที่บรรจุผงกาแฟที่ผ่านการคั่วบดเป็นผงแล้วปิดผนึกด้วยพลาสติกชนิดพิเศษ เพื่อรักษากลิ่นและรสชาติไว้ วิธีใช้งานเพียงนำแคปซูลกาแฟใส่ลงในเครื่อง เมื่อน้ำเดือดถึงอุณหภูมิตามที่กำหนด ระบบจะดันน้ำให้เจาะทะลุพลาสติกที่ปิดแคปซูลออกมาเป็นกาแฟ เหมาะสำหรับคนที่เร่งรีบในตอนเช้าและต้องการกาแฟสดเพื่อกระตุ้นการทำงานของสมองและสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้กับร่างกาย ราคาต่อแก้วค่อนข้างถูก ได้รสชาติที่แน่นอน มีกาแฟให้เลือกหลากหลายรสชาติ
3.   เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ
เป็นเครื่องชงกาแฟที่เห็นวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าหรือย่านชุมชนที่มีคนอาศัยจำนวนมาก ลักษณะเครื่องจะเป็นตู้ พร้อมเมนูหน้าเครื่องให้ผู้ซื้อได้เลือก การชงมีทั้งแบบกาแฟสดและกาแฟผง ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันและการใช้งาน ลักษณะการทำงานจะเหมือนเครื่องชงเอสเพรสโซ่ร่วมกับ เครื่องชงกาแฟแคปซูล เพียงแต่เปลี่ยนจากคนชงมาเป็น เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ ของ Nespresso ข้อดีคือสะดวก รวดเร็ว เครื่องมีเมนูให้เลือกได้หลากหลาย ส่วนข้อเสียราคาเครื่องค่อนข้างแพง เพราะลักษณะการผลิตออกในเชิงพานิชย์ ทำให้ราคากาแฟต่อแก้วอาจสูงกว่ากาแฟชนิดอื่น ๆ วัตถุดิบภายในเครื่องต้องมีคนคอยเปลี่ยนและตรวจเช็กตลอดเวลา ในเวลาเร่งรีบอาจค่อนข้างหาดื่มได้ยาก

เครื่องทำกาแฟสด ของ Nespresso ทั้ง 3 ชนิด มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แต่ที่เหมือนกันก็คือเอาใจคอกาแฟให้ได้ลิ้มรสชาติกาแฟแท้ที่ชื่นชอบ หวังว่าทุกท่านจะได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจที่จะเลือกซื้อไม่มากก็น้อย แนะนำให้พิจารณาเพิ่มเติมถึงพื้นที่ในการใช้งาน ราคา การบริการหลังการขายและความสะดวกในการใช้งาน

119
กาแฟเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก เพราะมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะความหอมและรสชาติที่จะมีลักษณะพิเศษตามพื้นที่ในการปลูก ทำให้คนจำนวนมากหลงใหลในรสชาติของกาแฟ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยต่าง ๆ ว่า การดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากจะช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและมีความสดชื่นแล้ว ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากที่หลายคนไม่เคยรู้ โดยเฉพาะ ประโยชน์ของกาแฟดำ ที่ปราศจากสารปรุงแต่ง

ประโยชน์ของกาแฟดำ ด้านสุขภาพ
1.   กาแฟดำช่วยลดน้ำหนัก
ต้องบอกว่า กาแฟดำประโยชน์ เป็นตัวช่วยในเรื่องของการกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญในร่างกายเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการดื่มกาแฟดำก่อนออกกำลังกาย 1- 2 ชั่วโมง หรือใช้ กาแฟแคปซูล ที่เป็นกาแฟดำ ยิ่งถ้าได้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องนาน 30 นาทีติดต่อกัน จะยิ่งช่วยให้เกิดการเผาผลาญพลังงานของร่างกายเพิ่มมากขึ้น
2.   กาแฟดำประโยชน์ ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง
เนื่องจากกาแฟมีสารต้านอะนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง แต่ต้องดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ หรือไม่เกินวันละ 2 แก้วโดยประมาณ โดยจะต้องเป็นกาแฟดำเท่านั้น หากดื่มกาแฟที่ใส่น้ำตาลหรือครีมเทียมที่มากเกินไป ก็อาจทำให้เป็นผลเสียมากกว่าผลดี
3.   ช่วยกระตุ้นความทรงจำ
เคยสังเกตกันหรือไม่ว่าทำไม่ในช่วงเช้าหลายคนจึงเลือกที่จะดื่มกาแฟ เพราะสารคาเฟอีนในกาแฟจะส่งผลต่อการกระตุ้นสมองและความทรงจำยามเช้าได้อย่างดีเยี่ยม
4.   กาแฟดำช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
ในกาแฟมีสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า นิโคติน ซึ่งเป็นวิตามินบีรวมชนิดหนึ่ง ที่ช่วยในเรื่องของการลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ จึงทำให้คนป่วยหรือคนทั่วไปที่ดื่มกาแฟดำ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดน้อยมาก แต่ทั้งนี้ในคนที่เป็นโรคหัวใจก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ
5.   ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน
กาแฟดำแบบที่ทั้งมีและกาแฟไร้คาเฟอีน จะช่วยในเรื่องของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดมีระดับที่เหมาะสม อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างสารอินซูลินอีกด้วย
6.   กาแฟช่วยลดความเครียด
ใครจะไปคาดคิดว่าเพียงแค่การดื่มกาแฟระหว่างวันในช่วงเวลาทำงาน นอกจากจะช่วยกระตุ้นในเรื่องของสมอง เพิ่มความสดชื่นตื่นตัวแล้ว ยังช่วยลดความเครียด ช่วยให้ผ่อนคลายลงได้ เพราะตัวกาแฟเองไปช่วยกระตุ้นสารแห่งความสุขให้หลั่งออกมา

แม้กาแฟจะมีศิลปะการชงให้มีหลายรสชาติ หากต้องการที่จะดื่มกาแฟเพื่อประโยชน์หลาย ๆ อย่าง ควรเลือกดื่มกาแฟดำ เพราะมีประโยชน์มากกว่า โดยเฉพาะกาแฟสดที่นอกจากจะหอมกรุ่นในขั้นตอนการชงแล้ว ยังได้สารอาหารที่มีประโยชน์ได้อย่างครบถ้วน แค่ถ้าช่วงเช้า ๆ ใครที่หากาแฟสดไม่ได้ ยังมีทางเลือกคือเครื่องชง กาแฟแคปซูล ที่มีแคปซูลกาแฟให้เลือกหลายรส จากหลายแหล่งปลูกชื่อดังจากทั่วโลก เพื่อคงความเป็นรสชาติกาแฟแท้ รวมถึงกาแฟไม่มีคาเฟอีน ของ Nespresso เพียงใช้เวลาไม่นานด้วยระบบชงอัตโนมัติที่ทั้งสะดวกและมีคุณภาพ ก็ทำให้ได้กาแฟสดที่หอมกรุ่นได้ในทุกเช้า

120
แม้ เมนูกาแฟ ดำจะเป็นที่โปรดปรานคนที่ชอบกาแฟเข้มข้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมนูกาแฟ ใส่นม ก็เป็นตัวเลือกที่หลาย ๆ คนสนใจไม่แพ้กัน ด้วยความหวานกลมกล่อมดื่มง่าย และสำหรับใครที่เป็นคอกาแฟสายนี้ บอกเลยว่าต้องไม่พลาดกับหลากหลายเมนูที่รับรองว่าไม่ขม แถมยังรสชาติอร่อยโดนใจ
3 เมนู กาแฟใส่นม ที่สายหวานต้องลอง
1. Mild Cappuccino
หากพูดถึง เมนูกาแฟ ผสมนมที่ได้รับความนิยม ต้องมีคาปูชิโน่อย่างแน่นอน สำหรับเมนูนี้เริ่มต้นจากการเตรียมฟองนมด้วยเครื่อง Nespresso Aeroccino เมื่อได้ฟองนมแล้วให้เทฟองนมลงแก้วที่เตรียมไว้ จากนั้นเป็นขั้นตอนชงกาแฟด้วยเครื่องจาก Nespresso ใส่กาแฟแคปซูล Chiaro จากนั้นให้นำกาแฟที่ได้ผสมกับฟองนม สำหรับแก้วนี้ นอกจากรสชาติอ่อนนุ่มแล้ว ยังคงไว้ซึ่งความเข้มข้นของกาแฟ รับรองว่าถ้าได้ลองต้องมีติดใจ
2. Iced Chocolate Coffee
เอาใจคนรักช็อกโกแลต กาแฟแก้วนี้ไม่ได้มีจุดเด่นแค่กลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้นของกาแฟเท่านั้น แต่ยังผสมผสานด้วยรสช็อกโกแลต และความเย็นชื่นใจ เริ่มต้นความอร่อยด้วยการเตรียมฟองนมจากเครื่อง Aeroccino และแยกฟองนมไว้ จากนั้นเลือกแคปซูลกาแฟ Kazaar ก่อนเติมน้ำแข็งลงไปตามเหมาะสม และไฮไลต์คือการเติมไอศกรีมสัก 1-2 ลูกลงไป ตามด้วยฟองนมนุ่ม ๆ กาแฟเย็น ของ Nespresso ที่ทำง่ายและหอมอร่อยสดชื่นแบบนี้ ดื่มเมื่อไหร่ก็อารมณ์ดีขึ้นแน่นอน
3. Latte Macchiato
เพียงมีเครื่องชงกาแฟ Nespresso ก็สามารถเนรมิตกาแฟลาเต้เย็น ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที รสชาติที่โปรดปรานได้ตามต้องการ รสชาติไม่เป็นรองแก้วอื่น สูตรลาเต้เย็น และลาเต้ร้อนแก้วนี้ทำได้ง่าย ๆ เริ่มต้นจากการเตรียมฟองนมด้วยเครื่อง Aeroccino และแยกฟองนมไว้ ตามด้วยการกดกาแฟแคปซูลรสชาติที่ชื่นชอบปริมาณ 1.5 ออนซ์ และค่อย ๆ เทกาแฟใส่ในแก้วที่มีฟองนม หากต้องการเติมความหวาน ก็สามารถเติมน้ำตาลเพิ่มได้ หรือหากต้องการรสชาติแปลกใหม่ ก็สามารถเติมคาราเมลลงไปเพื่อเพิ่มความกลมกล่อมได้เช่นกัน
สำหรับใครที่ไม่ชอบดื่มกาแฟที่มีความขมติดปาก แต่นิยมกาแฟรสกลมกล่อม กาแฟใส่นม ถือเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย เพราะนอกจากรสชาติถูกปากแล้ว ยังได้สัมผัสรสชาติเมล็ดกาแฟสุดพรีเมียมจาก Nespresso ที่มีกลิ่นหอมและมอบความกลมกล่อม เพราะฉะนั้นหากอยากลิ้มลองรสชาติแปลกใหม่แบบไม่มีซ้ำ แนะนำให้หาเครื่องชงกาแฟสด Nespresso ไว้ติดบ้านหรือสำนักงาน รับรองว่าจะได้ลิ้มรสกาแฟได้แบบไม่มีเบื่อ

ชมเพิ่มเติมที่
https://www.nespresso.com/th/th/nespresso-iced-coffee
https://www.nespresso.com/th/th/order/machines/vertuo

121
กาแฟคั่วอ่อน เป็นกาแฟที่เป็นที่รู้จักมากขึ้นในคนไทย กาแฟร้อนที่บาริสต้าชงด้วยความพิถีพิถันใช้เวลานานมีความขมน้อย รสเปรี้ยวโดด ติดหวานเล็กน้อย เป็นรสชาติที่ควรลิ้มลองดูสักครั้ง เหมาะกับคนที่ไม่ชอบ กาแฟ สายขม
เมล็ดกาแฟต้องผ่านการคั่วบดก่อนจึงนำมาชงสกัดได้ โดยระดับการคั่วกาแฟมีหลายแบบ โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ กาแฟคั่วอ่อน, กาแฟคั่วกลาง และ กาแฟคั่วเข้ม เริ่มจากกาแฟคั่วแบบอ่อนซึ่งผ่านความร้อนไม่นาน ยังคงมีรสเปรี้ยวและหวานของผลไม้หลงเหลืออยู่ กลายเป็นคาแรกเตอร์เฉพาะตัวที่แสดงความเป็นกาแฟแท้ออกมามากที่สุด นิยมชงกาแฟดริปและชงแบบร้อนอร่อยที่สุด ส่วน กาแฟคั่วกลาง ใช้ความร้อนนานขึ้น ลดความเปรี้ยวลง รสสัมผัสหนักขึ้น ทั้งขมและหอมมากขึ้น สุดท้ายเป็น กาแฟคั่วเข้มคือ เมล็ดกาแฟที่คั่วนานจนไม่เหลือความเปรี้ยวแล้ว กลิ่นหอมไหม้โดดเด่น ระดับความเข้มของกาแฟ ของ Nespresso ทั้งขมและเข้มข้น เหมาะกับการชงกาแฟเย็นผสมนมและครีมอร่อยหวานมัน
หากไม่มีเวลาปลีกตัวไปนั่งชิมกาแฟดริปในร้าน เราแนะนำขั้นตอนการทำ กาแฟคั่วแบบอ่อน แบบกาแฟดริปร้อน ๆ ชงได้ง่าย มาฝากกันดังนี้
อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบด้วย    
- ดริป : ทรงกรวยหรือทรงสี่เหลี่ยมคางหมู
- เหยือกปากกว้างใช้กรองน้ำกาแฟจากดริปเปอร์
- กระดาษกรองแบบฟอกขาว
- กาน้ำร้อนสำหรับดริปกาแฟ
- เครื่องบดเมล็ดกาแฟ แบบเครื่องบดอัตโนมัติหรือแบบมือหมุนก็ได้
- ตาชั่งกาแฟและนาฬิกาจับเวลา
- น้ำชงกาแฟ
- เมล็ดกาแฟคั่วแบบอ่อน
วิธีทำ เริ่มจากการต้มน้ำร้อนอุณหภูมิ 92-95 องศาเซลเซียส สัดส่วนกาแฟ 1 กรัม ต่อน้ำ 15 กรัม โดยใช้กาแฟ 20 กรัม และน้ำ 300 กรัม สามารถปรับสัดส่วนน้ำได้ให้รสชาติบางหรือเข้มขึ้น ควรบดเมล็ด กาแฟ ระหว่างรอน้ำเดือดเพื่อให้กลิ่นหอมของกาแฟยังคงชัดเจน จากนั้นนำกระดาษกรองมาพับขอบสวมบนดริปเปอร์แล้ววางเหยือกรองน้ำกาแฟด้านล่าง
เทผงกาแฟที่บดแล้วบนดริปเปอร์และเทน้ำรอบแรกลงไป ใช้ปริมาณน้ำเป็น 2 เท่าของผงกาแฟ เทวนลงไปช้า ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ จับเวลาประมาณ 30 วินาที จากนั้นเทน้ำที่เหลือรวมเวลาทั้งหมด 3 นาที เมื่อน้ำไหลลงเหยือกด้านล่างทั้งหมดแล้ว ใช้ช้อนคนน้ำกาแฟและทิ้งไว้ให้เย็นลงเล็กน้อย หากกาแฟรสเบาไป ให้ต้มน้ำร้อนขึ้นหรือบดละเอียดขึ้น ถ้ากาแฟรสเข้มไปให้ปรับตรงข้ามกัน การดริปกาแฟจะใช้ กาแฟคั่วกลาง ก็ได้ ควรปรับอุณหภูมิน้ำเป็น 85-89 องศาเซลเซียสจะเหมาะสมกว่า ส่วน กาแฟคั่วเข้ม ไม่แนะนำเพราะรสชาติขมมากเกินไป
การดริปกาแฟต้องใช้ความละเมียดละไมและความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน หากชิมรสชาติแล้วไม่ถูกใจ ลองปรับสูตรตัวแปรไปทีละอย่าง เช่น สัดส่วนของกาแฟต่อน้ำ ระดับการบดกาแฟ และอุณหภูมิ เพื่อให้ได้รสชาติตรงกับความต้องการ การดริปกาแฟกินเองที่บ้านเลือกเมล็ด กาแฟคั่วอ่อน ได้ตามชอบ คุณเองก็ทำได้ ลองแล้วจะติดใจ

122
รองพื้นมีประโยชน์ที่ช่วยทำให้สีผิวสม่ำเสมอ ช่วยอำพรางรอยสิว รอยดำ รอยแดง รอยแผล กระ ปาน ทำให้ผิวเรียบเนียน ช่วยลดความเสื่อมสภาพของผิว รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาของสภาพผิวด้วย จากประโยชน์ของรองพื้นที่กล่าวมาทำให้การเลือกรองพื้นให้เหมาะกับตัวเองนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

รองพื้น คือ เครื่องสำอางที่ใช้ปรับผิวหน้าก่อนการแต่งหน้า มีส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ น้ำหรือน้ำมัน ขี้ผึ้ง เม็ดสี และส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติของรองพื้น เช่น ช่วยให้ รองพื้นติดทนนาน ช่วยให้รองพื้นเกลี่ยง่าย ช่วยป้องกันแสงแดด ช่วยบำรุงผิว เป็นต้น

แนะวิธีเลือกรองพื้นให้เหมาะกับตัวเอง
รองพื้นมีหลากหลายเนื้อสัมผัสและมีระดับการปกปิดที่แตกต่างกัน เรามาดูวิธีการเลือกรองพื้นให้เหมาะกับตัวเองกัน โดยการตอบคำถามต่อไปนี้ก่อนที่จะไปดูว่า ควรเลือก รองพื้นยี่ห้อไหนดี
1.   สีผิวที่แท้จริงของตัวเองเป็นอย่างไร
   สีผิวที่แท้จริงหรือ Undertone เป็นสีผิวชั้นในที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ วิธีที่จะรู้โทนสีผิวของตัวเองทำได้ด้วยการหงายมือและดูสีของเส้นเลือดใต้ผิวหนัง
-   หากเส้นเลือดเป็นสีเขียว-เขียวเข้ม Undertone คือ Warm Tone
-   หากเส้นเลือดเป็นสีน้ำเงิน-ม่วง Undertone คือ Cool Tone
-   หากเส้นเลือดเป็นสีน้ำเงิน-เขียว Undertone คือ Neutral Tone
   การรู้ Undertone จะทำให้เลือกสีของรองพื้นที่เข้ากับสีผิวของตัวเอง เมื่อใช้แล้วผิวจะดูเป็นธรรมชาติ
2.   สภาพผิวเป็นอย่างไร
โดยทั่วไปเนื้อสัมผัสของรองพื้นที่เหมาะกับสภาพผิวแต่ละประเภท ได้แก่
-   Liquid Foundation รองพื้นเนื้อเหลวเหมาะกับทุกสภาพผิว รวมถึงผิวที่มีปัญหาสิว
-   Cream Foundation รองพื้นเนื้อครีมเหมาะกับผิวแห้งและผิวที่มีปัญหาสิว
-   Mousse Foundation รองพื้นเนื้อมูสเหมาะกับผิวธรรมดาถึงผิวแห้งและผิวที่มีปัญหาริ้วรอย
-   Powder Foundation รองพื้นเนื้อแป้งเหมาะกับทุกสภาพผิว ยกเว้นผิวแห้ง
3.   ต้องการระดับการปกปิดแค่ไหน
ระดับการปกปิดของรองพื้นแบ่งได้ดังนี้
-   ปกปิดระดับสูงสุด (Full Coverage) เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปกปิดปัญหาผิวที่มีอยู่ค่อนข้างมาก ถ้าอยากได้รองพื้นปกปิดรอยดำรอบสิวแบบแน่น ๆ ก็ต้องเป็นระดับ Full Coverage นี้เลย
-   ปกปิดระดับปานกลาง (Medium Coverage) เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปกปิดปัญหาผิวระดับปานกลาง เช่น รอยแดง รอยดำ รอยสิว
-   ปกปิดระดับบางเบาถึงปานกลาง (Sheer to Medium Coverage) เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวน้อย
-   ปกปิดระดับบางเบา (Sheer Coverage) เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีปัญหาผิว
4.   ทดลองทาสีรองพื้นอย่างไร
เมื่อรู้สีผิวที่แท้จริง รู้สภาพผิว และรู้ความต้องการการปกปิดของตัวเองแล้ว ขั้นต่อมาคือการทดลองทาสีรองพื้น โดยเลือกสีรองพื้นมาทดลองทา 3 สี ได้แก่ สีที่ตรงกับสีผิวของตัวเอง สีที่เข้มกว่าสีผิวของตัวเอง 1 ระดับ และสีที่สว่างกว่าสีผิวของตัวเอง 1 ระดับ นำมาทาบริเวณคางและกราม โดยให้อยู่ในที่ที่มีแสงธรรมชาติ จากนั้นเลือกสีที่เหมาะกับทั้งผิวหน้าและลำคอ

การเลือกรองพื้นที่เหมาะกับตัวเองช่วยให้สีผิวดูเป็นธรรมชาติ ช่วยแก้ไขปัญหาผิว แล้วควรเลือก รองพื้นยี่ห้อไหนดี ถ้าไม่อยากเสียเงินซื้อรองพื้นผิดมาไม่เข้ากับผิว เราขอแนะนำรองพื้นจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง ESTEE LAUDER ที่ช่วยให้เลือกรองพื้นที่ใช่ได้ง่ายมาก เพียงเข้าไปที่ https://m.esteelauder.co.th/foundation-finder แล้วตอบคำถามไม่กี่ข้อ คุณก็จะได้รองพื้นที่เหมาะกับตัวเอง
ESTEE LAUDER รองพื้นในตำนานที่ช่วยปกปิดรอยสิว รอยแดง รอยดำ และริ้วรอยได้เป็นอย่างดี รองพื้นติดทน ตั้งแต่เช้าถึงเย็น มีหลายเฉดสีให้เลือก เหมาะกับการแต่งหน้าออกงานและแต่งหน้าประจำวัน รองพื้นที่ช่วยให้ผิวหน้าสวยเนียนได้อย่างเป็นธรรมชาติแม้ไม่ใช่อาชีพ ทดลองของจริงได้ที่เคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ แล้วคุณจะหลงรักผิวหน้าของตัวเอง


ชมรายละเอียดเพิ่ม
https://sistacafe.com/summaries/95902

123
สำหรับหลาย ๆ คนแล้ว กาแฟสด สามารถปลุกความสดชื่นในแต่ละวันได้ดี ยิ่งหากคุณเป็นคอกาแฟที่ต้องดื่มเป็นประจำแล้วล่ะก็การได้ลิ้มลองกาแฟรสชาติใหม่ ๆ ถือเป็นการแสวงหารสชาติที่ใช่เลยทีเดียว

ใครที่เริ่มคิดอยากมีเครื่องชงกาแฟไว้ที่บ้านหรือเอาเครื่องชงกาแฟสำนักงาน แต่ติดปัญหาตรงที่ไม่รู้ วิธีใช้เครื่องชงกาแฟ ราคาหลักหมื่นเพราะมีขั้นตอนมาก หากไม่เชี่ยวชาญมากพอรสชาติกาแฟที่ได้อาจผิดไปจากที่คิด วิธีแก้ไขปัญหาอย่างง่าย ๆ ก็คือลองมาเปิดใจให้กับเครื่องชงกาแฟแบบใช้ แคปซูลกาแฟ จาก Nespresso นั่นเอง
โดยมี วิธีใช้เครื่องชงกาแฟ แคปซูล Nespresso ได้ง่าย ๆ ดังนี้
ขอยกตัวอย่าง วิธีใช้เครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก รุ่น Essenza Mini รุ่น Inissia และรุ่น Pixie ซึ่งเป็น 3 รุ่นยอดนิยมที่มีขนาดกะทัดรัดและใช้งานง่ายด้วย 2 ปุ่มกด
1.   เติมน้ำสะอาดใส่แท็งก์ให้ถึงระดับที่กำหนดไว้
2.   เสียบปลั๊ก กดปุ่มเปิดเครื่องแล้วรอจนกว่าสัญญาณไฟนิ่ง ระหว่างนี้หา ถ้วยกาแฟ ตามขนาดเมนูที่ต้องการชง เช่น เมนูเอสเพรสโซ่ใช้ ถ้วยกาแฟ ขนาดมากกว่า 40 มล. และเมนูลุงโกใช้ ถ้วยกาแฟ ขนาดมากกว่า 110 มล.
3.   ใส่ แคปซูลกาแฟ ลงในช่องบรรจุ กดปุ่มให้เครื่องทำงาน สำหรับเมนูกาแฟร้อนเมื่อเครื่องทำงานเสร็จกาแฟพร้อมเสิร์ฟได้ทันที สำหรับเมนูกาแฟเย็นให้นำกาแฟที่ได้ผสมน้ำเย็นเล็กน้อยแล้วเทลงในแก้วทรงสูงที่ใส่น้ำแข็งไว้เต็ม เพียงแค่นี้จะได้ดื่มกาแฟเมนูโปรดง่ายและรวดเร็ว
สำหรับเมนูกาแฟนมสามารถใช้เครื่องทำฟองนมรุ่น Aeroccino 3 ได้ด้วยการกดปุ่มเดียว โดยรุ่นนี้สามารถทำฟองนมได้ทั้งสูตรร้อนและสูตรเย็น น้ำหนักเบาเพียง 0.7 กรัม และยังใช้ทำฟองนมได้มากถึง 120 มล. เลยทีเดียว

เนื่องจากเครื่องชงกาแฟแคปซูลจาก Nespresso มีหลายรุ่นมาก ๆ เพราะต้องการตอบโจทย์คนที่ใช้งานหลาย ๆ แบบ การเลือกซื้อจึงควรเริ่มจากการกำหนดเมนูกาแฟสุดโปรดกับ ปริมาณการชงต่อวันให้ได้เสียก่อน เช่น สมาชิกในบ้านมีทั้งหมด 4 คน ดื่มกาแฟดำ 2 คน ดื่มกาแฟนม 2 คน ปริมาณการชงต่อวันอยู่ที่ 4 - 5 แก้ว เครื่องชงกาแฟรุ่นที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้มีมากมาย เช่น Nespresso Atelier, New Lattissima One และ Creatista Plus ช่วงราคาของทั้ง 3 รุ่น อยู่ระหว่างหลักพันถึงหลักหมื่น โดยจับคู่การใช้งานกับ แคปซูลกาแฟ จาก Nespresso ราคาเฉลี่ยประมาณ 22 บาท ต่อแคปซูล ซึ่งมีจำนวนสูตรให้เลือกมากกว่า 30 สูตรด้วยกัน จึงเชื่อว่าคนรักกาแฟจะสนุกกับการได้ลิ้มลองกาแฟสูตรใหม่ ๆ ไปพร้อมกับเครื่องชงกาแฟจาก Nespresso อย่างแน่นอน


ชมเพิ่มเติมที่
https://www.nespresso.com/pro/th/th/order/machines/pro
https://www.nespresso.com/pro/th/th/order/machines/pro
https://www.nespresso.com/pro/th/th/office-coffee-machines

124
   ริมฝีปากเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ควรใส่ใจดูแลให้ชุ่มชื้นและอวบอิ่มอยู่ตลอด เพราะหากริมฝีปากแห้งลอกเป็นขุยแล้วละก็ดูป่วยไม่สบายไม่สดใสเลยทีเดียว ดังนั้นลิปบาล์มติดตัวไว้เติมระหว่างวันจึงต้องพกอยู่เสมอ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีทั้งแบบลิบบาล์มธรรมดาและ ลิปบาล์มมีสี แล้วเราจะเลือกแบบไหนดี มาดูกัน

ลิปบาล์มมีสี กับลิปบาล์มทั่วไปต่างกันอย่างไร
   ลิปบาล์มหรือลิปมันนั้นคือขี้ผึ้งหรือน้ำมันสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว เช่น วิตามินอี วิตามินบี เชียร์บัตเตอร์ ฯลฯ โดยประโยชน์ของลิปบาล์มนั้นจะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้น บำรุงริมฝีปากให้ริมฝีปากอวบอิ่มเป็นธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันลิปบาล์มก็จะมีในรูปแบบทั้งที่เป็นลิปสติกแท่ง ตลับ เป็นเนื้อครีม ขึ้นอยู่กับความชอบและความสะดวกของแต่ละบุคคล
   นอกจากลิปบาล์มหรือลิปมันแบบธรรมดาแล้ว ก็ยังมีลิปบาล์มหรือ ลิปมันมีสี อีกแบบ ให้สีที่สวยงามเหมือนกับการทาลิปทินท์หรือลิปมีสีแบบทั่วไปเลย แต่คุณสมบัติทั่วไปก็คือลิปมัน ใช้แล้วปากชุ่มชื้น เคลือบริมฝีปากให้เงาและอวบอิ่ม พร้อมฟื้นบำรุงให้ริมฝีปากสุขภาพดีไม่แห้งกร้านและลอกเป็นขุย

จุดเด่นของลิปบาล์มแบบมีสีที่แตกต่างจากลิปบาล์มทั่วไป
   ซึ่งลิปบาล์มมีสีสันต่างจากลิปบาล์มทั่วไปตรงที่ให้สีสันสวยสดใสเป็นธรรมชาติ ปากไม่ได้มันวาวอย่างเดียว แต่จะมีสีระเรื่อ ๆ ตามแต่เฉดสีที่เลือก โดยส่วนใหญ่จะเป็นสีชมพู สีแดง สีส้ม สีพีช ทาแล้วปากไม่ซีด หลาย ๆ คนอาจจะไม่ชอบทาลิปมันธรรมดาเพราะกลัวว่าปากจะมันแผลบเหมือนไปกินอะไรมา ลิปบาล์มมีสีจะตอบโจทย์มากกว่า เพราะทาแล้วปากจะดูชุ่มชื้นพอดีมีสีสันที่สวยใสสุขภาพดี ดูเป็นธรรมชาติ
   การมีลิปบาล์มมีสีติดไว้ใช้สักอันจะช่วยเพิ่มสีสันให้แม้ในวันที่ไม่ได้แต่งหน้าแบบจัดเต็ม อีกทั้งช่วยบำรุงริมฝีปากให้สุขภาพดีอวบอิ่ม เราขอแนะนำให้คุณเลือกใช้ลิปบาล์มมีสี BOBBI BROWN EXTRA LIP ช่วยบำรุงฟื้นฟูริมฝีปากให้ชุ่มชื้น ลดปัญหาปากแห้ง ริมฝีปากสวยดูสุขภาพดี แถมยังมีหลายสีให้เลือกใช้ พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่สำคัญยังติดทน แห้งเบาสบายไม่เลอะริมฝีปาก

   ใกล้หน้าหนาวเข้ามาแล้ว ลิบบาล์มเป็นไอเทมจำเป็นที่ต้องมีไว้ใช้ดูแลริมฝีปากให้ชุ่มชื้นไม่แห้งกร้านหรือลอกเป็นขุย ใครยังไม่มีรีบไปหามาใช้กันให้ทันก่อนความหนาวมาเยือน


ชมข้อมูลเพิ่มเติมที่
https://women.kapook.com/view274438.html
https://women.kapook.com/view274438.html

125
เมนูกาแฟผสมนมอย่างคาปูชิโน่และ ลาเต้ จัดว่าเป็นเมนูกาแฟยอดฮิตของคนรักกาแฟเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นกาแฟขายดีอันดับต้น ๆ ของร้านกาแฟแทบจะทุกแห่ง ซึ่งแต่ละร้านมักจะมีสูตรเด็ดเป็นซิกเนเจอร์ของร้านไว้ดึงดูดคอกาแฟ แต่จะดีกว่าไหมถ้าหากเราจะชงกาแฟนมทั้ง 2 เมนูนี้ไว้ดื่มเองที่บ้านด้วยนวัตกรรมกาแฟจาก Nespresso ซึ่งวันนี้นำไอเดีย สูตรชงกาแฟ ของ Nespresso คาปูชิโน่และลาเต้แบบง่าย ๆ มาฝาก

•   สูตรชงกาแฟสดแรกที่จะนำมาแชร์ในวันนี้นั่นก็คือ “เมนูลาเต้” ซึ่งเป็นกาแฟสดผสมนมในอัตราส่วนที่นมและฟองนมมากกว่ากาแฟ จึงทำให้เอกลักษณ์ของกาแฟมีความเข้มข้นน้อยแต่จะหนักไปที่ความหอมหวานของนมและรสสัมผัสนุ่ม ๆ ของฟองนมเนื้อเนียนละเอียดแทน วิธีทำก็ง่ายมาก ๆ เริ่มจากเตรียมฟองนมโดยใช้นมสดปริมาณ 120 มิลลิลิตร มาตีด้วย เครื่องตีฟองนม Aeroccino 3 จนขึ้นฟูเนื้อเนียน จากนั้นเตรียมชงกาแฟด้วย เครื่องชงกาแฟ แคปซูลจาก Nespresso แนะนำให้เลือกใช้แคปซูลกาแฟในคอลเลกชั่น Barista Creations รุ่นไหนก็ได้ เพราะเป็นคอลเลกชั่นที่ออกแบบกาแฟมาให้เหมาะกับการชงผสมนม เมื่อได้ช็อตกาแฟออกมาแล้วจะเติมไซรัปหรือน้ำตาลเพิ่มความหวานเล็กน้อยก็ได้ ก่อนผสมนมสดและตักฟองนมนุ่ม ๆ โป๊ะปิดท้ายจะได้เมนูกาแฟ ลาเต้ แก้วโปรดสุดพิเศษแล้ว
•   สูตรกาแฟสด ต่อมาก็คือ “เมนู คาปูชิโน่ ” เมนูนี้ไม่ได้มีความแตกต่างจากเมนูลาเต้เท่าไรนัก เพราะเป็นกาแฟที่มีฟองนมแต่จะให้ความเข้มข้นของกาแฟมากกว่าลาเต้ วันนี้เราจะเพิ่มความพิเศษให้คาปูชิโน่แก้วนี้ด้วยการเพิ่มผงเฮเซลนัทลงไปด้วย เริ่มจากการเตรียมฟองนมก่อนเช่นเดิม จากนั้นชงช็อตเอสเพรสโซ่ด้วย แคปซูลกาแฟ Livanto ซึ่งเป็นแคปซูลกาแฟที่ได้แรงบันดาลใจจากอิตาลีตอนเหนือ มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของคาราเมลและธัญพืชเข้ากันได้ดีกับเฮเซลนัท หลังจากที่ชงช็อตเอสเพรสโซ่ออกมาแล้วเพิ่มความหวานด้วยน้ำตาลเล็กน้อย จากนั้นให้ตักฟองนมที่เตรียมไว้ออนท็อปแล้วตามด้วยผงเฮเซลนัทเป็นอันเสร็จ จะได้เฮเซลนัท คาปูชิโน่ รสกลมกล่อมสุดคลาสสิกราวกับว่ามีบาริสต้ามาชงให้ดื่มกันถึงที่เลยทีเดียว

ทั้ง 2 สูตรกาแฟ ของ Nespresso คาปูชิโน่และ ลาเต้ ที่เรานำมาฝากไม่ยากจนเกินไป ทำได้ที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องง้อร้านกาแฟอีกต่อไปเพราะแค่มีนวัตกรรมกาแฟจาก Nespresso ติดบ้านไว้ใคร ๆ ก็สามารถเป็นบาริสต้าได้ง่าย ๆ ใช้เวลาไม่กี่นาทีคุณจะมีกาแฟสดดี ๆ ไว้ดื่มแล้ว

126
แม้ เมนูกาแฟ แบบร้อนจะได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับเลยว่ากาแฟเย็นก็ได้รับความนิยมเช่นกัน เพราะความเย็นจากน้ำแข็งช่วยให้ปลุดความสดชื่นได้เป็นอย่างดี และตอนนี้ได้เวลาเติมความสดชื่นให้ร่างกายด้วย สูตรกาแฟเย็น ที่เพิ่มความเฟรชรีเซ็ตร่างกาย นอกจากชงง่ายแล้วยังอร่อย หอมเมล็ดกาแฟ เติมเต็มวันใหม่ให้สมบูรณ์แบบ เพียงมีตัวช่วยเป็นเครื่องชงกาแฟ Nespresso และเครื่องทำฟองนม Aeroccino
1. Latte Macchiato
สูตรลาเต้เย็น ที่ชงง่ายใช้เวลาไม่นาน แต่รสชาติอร่อยจนเหมือนมีบาริสต้ามาชงให้ที่บ้าน สำหรับสูตรนี้เริ่มต้นด้วยการเตรียมฟองนมก่อน โดยใช้เครื่องทำฟองนม Aeroccino ที่สามารถทำฟองนมได้มากสุดครั้งละ 240 มิลลิลิตร โดยเมนูนี้ต้องทำฟองนมเตรียมไว้ประมาณ 40 มิลลิลิตร จากนั้นนำใส่ไว้ในแก้ว เพื่อเตรียมสกัดกาแฟแคปซูลต่อไป
สำหรับขั้นตอนการเตรียมเมนูนี้ เพียงเลือกกาแฟแคปซูลรสชาติโปรด เมื่อสกัดกาแฟแล้วให้เทกาแฟลงในแก้วฟองนมที่เตรียมไว้ เติมน้ำแข็งในปริมาณที่ต้องการ เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ ลาเต้เย็น แสนอร่อย โดยสามารถเติมน้ำตาลเพิ่มความหวานได้ หรือหากต้องการให้มีกลิ่นช็อกโกแลตเล็กน้อยก็สามารถโรยผงช็อกโกแลตเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
2. Fizzy India
อีกหนึ่งสูตรกาแฟที่บอกเลยว่าไม่ธรรมดา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มองหารสชาติแปลกใหม่ แต่สามารถเติมความสดชื่นได้เป็นอย่างดีสำหรับแก้วนี้จะคล้าย ๆ อเมริกาโน่เย็น แต่มีลูกเล่นด้วยกลิ่นหอมจากกระวานและน้ำเลมอน เริ่มต้นด้วยการเตรียมเมล็ดกระวานประมาณ 4-5 เมล็ดลงในแก้วกาแฟ จากนั้นให้สกัดกาแฟจากเครื่องชงกาแฟ Nespresso และด้วยความที่เป็นเมนู Fizzy India จึงขอแนะนำให้เลือกกาแฟจากกลุ่ม Master Origin ซึ่งเป็นกลุ่มกาแฟอินเดีย เมื่อสกัดกาแฟเรียบร้อยแล้วให้ใส่ลงไปในแก้วที่มีเมล็ดกระวาน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เมล็ดกระวานนุ่มขึ้นและส่งกลิ่น
ได้เวลาเติมความหวานต่อด้วยการเติมน้ำเชื่อมลงไปในปริมาณที่ต้องการ ตามด้วยน้ำแข็งเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับ เมนูกาแฟ จากนั้นเติมน้ำเลมอนและน้ำมะนาวโซดาลงไป อย่าลืมตกแต่งด้านบนด้วยเปลือกเลมอนสักนิดรับรองว่ากาแฟจะดูน่าดื่มยิ่งขึ้น ทำง่ายขนาดนี้วันไหนเบื่อจาก อเมริกาโน่เย็น และอยากลิ้มลองรสชาติใหม่ ๆ แนะนำให้เลือกออกแบบเมนูนี้เลย
เครื่องชงกาแฟ Nespresso และเครื่องทำฟองนม Aeroccino เป็นตัวช่วยให้การชงกาแฟง่ายและรวดเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นใครอยากมีสักเครื่องไว้ติดบ้าน ควรหามาครอบครอง โดยเครื่องชงกาแฟ Nespresso มีให้เลือกหลายรุ่น มาพร้อมดีไซน์ร่วมสมัย และคุณสมบัติในการชงกาแฟให้อร่อยเหมือนมีบาริสต้าชงให้ที่บ้าน อีกทั้งยังมีแคปซูลกาแฟให้เลือกหลากหลายรสชาติ เชื่อว่าการออกแบบ สูตรกาแฟเย็น  และสูตรกาแฟร้อนต้องสนุกอย่างแน่นอน


ชมรายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.nespresso.com/th/th/nespresso-iced-coffee

127
   เวลาแต่งหน้าออกจากบ้าน สาว ๆ หลายคนประสบกับปัญหาทาลิปสติกแล้วสีไม่อยู่ทน โดยเฉพาะเวลาที่ใส่และถอดแมสก์ระหว่างวันที่มักทำให้ริมฝีปากซีดอยู่เสมอ วันนี้ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไปกับเทคนิคทาลิปสติกให้ติดทน เพื่อริมฝีปากสีสวยตลอดวัน
ก่อนทาลิปการบำรุงริมฝีปากเป็นประจำสำคัญมาก
   เพื่อให้ทาลิปติดทน ริมฝีปากจะต้องได้รับการบำรุงให้มีความชุ่มชื้น ไม่แห้งลอก สาว ๆ จำเป็นต้องดูแลริมฝีปากด้วยการสครับปาก แนะนำใช้ลิปสครับหรือใช้แปรงขัดเบา ๆ บริเวณริมฝีกปาก เพื่อช่วยกำจัดขุยเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วที่ริมฝีปากให้หมดจด ทำสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง และทาลิปบาล์มบำรุงก่อนนอนเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก ก่อนทาลิปสติกให้ใช้ลิปบาล์มที่ไม่มันมากจะทำให้ลิปสติกติดทน และยังช่วยให้ริมฝีปากอิ่มสวยอีกด้วย เอาละมาลองติดตามเทคนิคทาลิปเนื้อแมทกัน
1.   ใช้ลิปไพร์เมอร์ให้ริมฝีปากเรียบเนียน
   ลิปไพร์เมอร์ใช้กับริมฝีปากโดยเฉพาะ จะช่วยเตรียมริมฝีปากให้เรียบเนียน ชุ่มชื้น ไม่ตกร่อง ช่วยล็อคลิปสติกให้ติดทนขึ้นด้วย
2.   ลงลิปคอนซีลเลอร์สำหรับริมฝีปากหมองคล้ำ
   ทาลิปแล้วสีเพี้ยน เกิดจากสีปากที่หมองคล้ำ แนะนำให้ลงลิปคอนซีลเลอร์ จะช่วยกลบสีปากคล้ำให้อ่อนลง ทา ลิปเนื้อแมท ของ ELCA สีไหน ๆ ก็คมชัดและตรงเฉดมากขึ้น
3.   ใช้ลิปไลน์เนอร์เขียนขอบปาก
   ใช้ลิปไลเนอร์วาดลงบนขอบ จะทำให้ขอบปากดูคมชัด มีมิติ แล้วยังช่วยให้ลิปสติกติดทน ไม่ทำให้ลิปสติกไหลเลอะไปตามมุมปากอีกด้วย
4.   เลือกทาลิปสติกเนื้อแมทและไม่ทาจนเยิ้ม
   แนะนำให้ใช้พู่กันค่อย ๆ ทาเนื้อลิปสติกแล้วค่อย ๆ เกลี่ยเนื้อลิปสติกให้ทั่วเนื้อปาก อย่าจุ่มสีมากจนเกินไปเพราะหากทาจนเยิ้มลิปส่วนเกินจะติดแมสก์ได้ง่าย เทคนิคนี้นอกจากจะทำให้ลิปติดทนแล้ว ยังทำให้สีลิปที่อยู่บนปากมีความเนียนสวย ไม่อยากให้ลิปสติกเลอะหน้ากากอนามัยจนเป็นคราบ และแนะนำว่าควรเลือก ลิปเนื้อแมท ที่มีเม็ดสีเข้มข้น ทาแล้วจะทำให้สีสันติดทนบนริมฝีปาก
5.   ล็อกลิปสติกให้ติดทนด้วยแป้งฝุ่น พร้อมทาลิปสติกอีกรอบ
   สำหรับเทคนิคนี้เป็นการใช้กระดาษทิชชูแผ่นบางวางทางลงบนริมฝีปาก จากนั้นใช้แป้งฝุ่นโปร่งแสงค่อย ๆ ปัดลงบนทิชชูแล้วทาลิปสติกสีเดิมทับลงไปอีกหนึ่งรอบ เพื่อทำให้ลิปแมทติดทนนานตลอดวัน ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเติมปากทั้งวัน
   หมั่นบำรุงริมฝีปาก เลือกใช้ลิปเนื้อแมทดี ๆ และทำตามเทคนิคที่บอกไว้ เท่านี้ลิปก็ติดทน ไม่ติดแมสก์ มีสีสวยตลอดวันแล้ว ส่วน ลิปยี่ห้อไหนดี ต้องไอเทมนี้เลย MAC MATT LIPSTICK ลิปเนื้อแมท เนื้อสีแน่นติดทน สีปากชัด ไม่มีความวาว ลิปเนื้อ แมทรุ่นฮิตจาก MAC

128
เมื่อออกไปข้างนอกเพื่อทำกิจกรรมชีวิตประวัน อยากแต่งหน้าให้เนียน ๆ เรียกความมั่นใจกลับมาจาก ผิวที่เป็นสิว เรื่องนี้ง่ายมาก ๆ วิธีแก้ไขก็คือการใช้ รองพื้นปกปิดรอยสิว ให้หน้าเนียนไร้ที่ติ
รองพื้นเป็นเครื่องสำอางที่ช่วยปรับสภาพผิวให้หน้าเนียนขึ้น มีสีให้เลือกตั้งแต่เฉดสีอ่อนไปจนถึงเฉดสีเข้ม โดยการเลือกให้ใกล้เคียงกับผิวของเราจะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

รองพื้นมีแบบไหนบ้าง
รองพื้นแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะที่แตกต่างกันของเนื้อรองพื้น ดังนี้
1.   รองพื้นชนิดเจล
รองพื้นมีเนื้อเบาสบาย เหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันและดีต่อผิวแพ้ง่าย ควรเลือกชนิดที่มีคุณสมบัติเป็น รองพื้นติดทน เพื่อเพิ่มความมั่นใจตลอดวัน
2.   รองพื้นชนิดน้ำ
เป็นรองพื้นที่เหมาะกับผิวมีสิวมากที่สุด เพราะไม่อุดตันรูขุมขน และถ้าจะให้ดีควรเลือกสูตร Oil-free เพื่อคุมความมันได้ดียิ่งขึ้น
3.   รองพื้นชนิดครีม
เนื้อรองพื้นมีความข้นและหนากว่าชนิดน้ำจึงปกปิดดีกว่า แต่คนเป็นสิวควรระวังเรื่องการอุดตันรูขุมขน รองพื้นชนิดนี้มีความมันเหมาะกับคนผิวแห้งมากกว่า
4.   แป้งผสมรองพื้น
จัดเป็นรองพื้นชนิดหนึ่งในรูปของแป้งอัดแข็ง แต่ไม่เหมาะใช้กับผิวที่มีสิวเยอะ เพราะเนื้อแป้งอาจจะไปอุดตันรูขุมขนได้ หรือหากผิวแห้งจากการใช้ยาสิวก็อาจจะทำให้หน้าดูแห้ง

ใช้รองพื้นปกปิดรอยสิวอย่างไรให้ผิวเนียน
การใช้รองพื้นสำหรับคนเป็นสิวต้องระวังอย่าให้ผิวอุดตัน เพราะอาจทำให้สิวเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ขั้นตอนการลงรองพื้นเริ่มจาก
1.   เตรียมผิวด้วยโทนเนอร์ ยกเว้นถ้าสิวกำลังอักเสบมาก ๆ ให้ใช้ยาแต้มสิวแทน โดยทายาทิ้งไว้สักพักให้ตัวยาซึมลงผิวจึงค่อยเริ่มการแต่งหน้า
2.   ทาครีมกันแดด สิ่งที่ต้องระวังก็คือให้เลือกใช้ครีมกันแดดเนื้อบาง เพื่อไม่ให้อุดตันรูขุมขน เกลี่ยเนื้อครีมให้ทั่วแล้วทิ้งไว้สักพัก
3.   คนเป็นสิวควรลงรองพื้นชนิด Non-Comedone และใช้แปรงที่สะอาดในการเกลี่ยรองพื้น อาจใช้นิ้วมือก็ได้แต่ควรล้างมือให้สะอาดป้องกันสิ่งสกปรกซึ่งอาจก่อสิวเพิ่มขึ้น
4.   ลงคอนซีลเลอร์ในจุดที่ต้องการปกปิดเป็นพิเศษ โดยเลือกใช้คอนซีลเลอร์แบบ Non-Comedone เช่นเดียวกัน
5.   หลังจากเกลี่ยเนื้อรองพื้นทั่วแล้ว ใช้นิ้วหรือพัฟที่สะอาดกดเบา ๆ ให้ รองพื้นปกปิดรอยสิว ได้เนียนเรียบและให้รองพื้นเข้ากับผิวได้ดีขึ้น หากต้องการรองพื้นยี่ห้อไหนดี ๆ สักตัว ลอง Double Wear Stay-in-Place ที่มีเนื้อบางเบา แต่ปกปิดได้ดีและยาวนาน แม้ผิวเป็นสิวก็ไม่ต้องกังวลเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพจาก ESTEE LAUDER

หลังจากลงรองพื้นแล้วแนะนำลงแป้งฝุ่นทับบาง ๆ อีกชั้นเพื่อเซ็ตตัวรองพื้น พร้อมแต่งหน้าในส่วนอื่น ๆ และอย่าลืมพกแป้งฝุ่นไว้สำหรับคุมมันระหว่างอยู่นอกบ้าน เพื่อความสวยนวลเนียนตลอดวัน

129
กาแฟดำ ถือเป็นเมนูเครื่องดื่มสุดฮิตทั้งเมนูร้อนและแบบเย็น และยังสามารถสร้างสีสันด้วยกลิ่นและรสชาติหลากหลายหากเลือกเป็น กาแฟแคปซูล ซึ่งให้ความสะดวกรวดเร็วและกลายเป็นทางเลือกใหม่ของคอกาแฟในปัจจุบัน
ไม่ใช่แค่รสชาติที่หอมเข้มข้นเท่านั้น หากแต่ยังมี ประโยชน์ของกาแฟดำ อีกมากมายที่โดนใจคนรักสุขภาพ โดยเฉพาะในด้านการควบคุมน้ำหนัก

เปิดลิสต์คุณ ประโยชน์ของกาแฟดำ ต่อสุขภาพและการควบคุมน้ำหนัก
กาแฟดำเป็นเครื่องดื่มที่มีแคลอรีต่ำกว่ากาแฟนมจึงให้พลังงานน้อยกว่า อีกทั้งคุณประโยชน์ของกาแฟดำยังมีส่วนช่วยให้การลดน้ำหนักและการเผาผลาญพลังงานของร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
โดยมีงานวิจัยพบว่า ประโยชน์กาแฟดำช่วยกระตุ้นระบบประสาทและช่วยให้ร่างกายสามารถดึงเซลล์ไขมันไปสร้างเป็นพลังงานได้มากขึ้น และยังช่วยในการเพิ่มระดับอะดรีนาลีนในเลือด ซึ่งเมื่ออะดรีนาลีนเพิ่มขึ้นจะทำให้สามารถออกกำลังกายได้นาน นอกจากนี้กาแฟดำยังมีส่วนช่วยการเผาผลาญของร่างกายให้ดีขึ้นด้วย การดื่มกาแฟดำก่อนออกกำลังกายจึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
นอกจากการควบคุมน้ำหนักและการเผาผลาญพลังงานแล้ว กาแฟดำยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกหลายด้านที่สายเฮลตี้ควรต้องรู้ ได้แก่
-   ช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำ ทั้งนี้เนื่องจากกาแฟดำมีสารกระตุ้นจิตประสาท ซึ่งเมื่อทำปฏิกิริยากับร่างกายจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำได้ดีขึ้น
-   ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากสารประกอบในกาแฟดำจะช่วยลดการติดเชื้อในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง
-   มีสารต้านอนุมูลอิสระ ในกาแฟประกอบไปด้วยวิตามินบี 2 บี 3 บี 5 แมงกานีส โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยลดการเสื่อมของเซลล์ ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน จึงส่งผลให้ช่วยเสริมสร้างร่างกาย
-   ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและกรดยูริก ซึ่งการควบคุมน้ำตาลในเลือดเท่ากับเป็นการช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวาน ทั้งยังช่วยเพิ่มการสร้างอินซูลินไปพร้อมกันด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า หากดื่มกาแฟดำมากกว่าวันละ 4 แก้ว ไม่ว่าจะเป็นกาแฟแบบสำเร็จรูป กาแฟสด หรือ กาแฟแคปซูล ก็ตาม จะช่วยให้ระดับของกรดยูริกลดลง จึงช่วยบรรเทาอาการของโรคเกาต์ได้
-   ลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด การดื่มกาแฟดำเป็นประจำวันละ 1 – 2 แก้ว จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งยังช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและลดการอักเสบในร่างกายได้ด้วย
-   ช่วยให้อารมณ์คงที่ เพิ่มสารแห่งความสุข ลดความเครียด การดื่มกาแฟดำช่วยกระตุ้นระบบประสาท ช่วยรักษาระดับอารมณ์ให้คงที่ รวมถึงช่วยเพิ่มสารแห่งความสุข ลดอาการเหนื่อยล้า ลดอาการเครียดสะสม และยังมีส่วนช่วยลดภาวะซึมเศร้าด้วย

ปัจจุบันผู้คนหันมาดื่มกาแฟดำแบบ แคปซูลกาแฟ กันมากขึ้น เพราะนอกจากจะสะดวกรวดเร็วแล้ว ยังมีกลิ่นและรสชาติที่หลากหลาย นั่นจึงทำให้ แคปซูลกาแฟ เป็นตัวช่วยใหม่สำหรับการดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนักของผู้คนในยุคนี้อย่างแท้จริง

130
            มอยส์เจอไรเซอร์ คืออะไร หลายคนที่เป็นสายดูแลตัวเองอาจจะเคยใช้แต่อาจไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์ไหนคือมอยส์เจอไรเซอร์ วันนี้เรามาทำความรู้จักมอยส์เจอไรเซอร์กันว่าดีอย่างไร และควรใช้ตอนไหนถึงจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เรามาหาคำตอบกัน
 
มอยเจอไรเซอร์คืออะไร
            มอยส์เจอไรเซอร์ คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคุณสมบัติในการช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ในมอยส์เจอไรเซอร์ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยส่วนผสมตัวหลัก 3 กลุ่มคือ สารที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว สารป้องกันไม่ให้ผิวขาดน้ำหรือเป็นตัวกักเก็บน้ำไม่ให้ระเหยออกจากผิว และสารช่วยบำรุงผิวให้มีความนุ่มชุ่มชื้น ซึ่งนอกจากสาร 3 กลุ่มนี้แล้ว ในครีมมอยส์เจอไรเซอร์ยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการดูแลผิว เช่น วิตามินซี สารกลุ่มไวเทนนิ่ง สารควบคุมความมันบนผิว เป็นต้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสูตรของแบรนด์นั้น ๆ
 
มอยส์เจอไรเซอร์ ดีอย่างไร
•       ทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้ง เป็นขุย
•       ช่วยลดริ้วรอย ผิวที่อิ่มน้ำทำให้ผิวไม่แห้งกร้าน อันเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยได้ง่าย
•       ช่วยกักเก็บน้ำให้ผิว ช่วยให้ผิวตึงกระชับ
•       ทำให้ผิวนุ่มและเรียบเนียน
•       ทำให้ผิวกระจ่างใส
•       แต่งหน้าติดทนนาน เพราะผิวมีความชุ่มชื้นและฉ่ำน้ำ
 
ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ตอนไหน
            มอยเจอร์ไรเซอร์ล้วนอุดมไปด้วยสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผิว เราสามารถใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เวลาไหนก็ได้ตามที่ต้องการ แต่ในชีวิตประจำวัน เราไม่อาจจะทามอยเจอร์ไรเซอร์ตลอดทั้งวันได้แบบนั้น โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรทามอยเจอร์ไรเซอร์หลังจากล้างหน้าทุกครั้ง เพราะเป็นช่วงเวลาที่รูขุมขนกำลังเปิดพร้อมรับการบำรุง และควรทามอยเจอร์ไรเซอร์หลังจากล้างหน้าภายใน 3-5 นาที ซึ่งถือเป็นช่วงนาทีทองของการดูแลผิว หากมีสกินแคร์หลายตัว ก็ควรเรียงลำดับของการใช้เพื่อให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ในกลุ่มไหน รวมทั้ง moisturizer แนะนำ ว่าให้เรียงลำดับจากเนื้อของสกินแคร์จากเนื้อบางเบาไปหาเนื้อหนัก คือ เริ่มต้นจากเนื้อเอสเซนส์หรือน้ำตบ-เนื้อเซรั่มหรือเนื้อเจล-เนื้อโลชั่น-เนื้อครีม-เนื้อบาล์ม และเนื้อน้ำมัน
 
สำหรับใครที่อยากให้ผิวหน้านุ่มฉ่ำน้ำ และกำลังมองใช้มอยเจอร์ ไรเซอร์ตัวไหนดี มอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวหน้าจาก La Mer ที่ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น พร้อมบำรุงผิว ช่วยต่อต้านริ้วรอย มีให้เลือกใช้ตามสภาพผิวถึง 5 เนื้อสัมผัส เนื้อครีมเข้มข้นสำหรับคนผิวแห้ง เนื้อครีมสูตรบางเบาสำหรับผิวแห้งหรือผิวผสม เนื้อโลชั่นสูตรบางเบาเหมาะกับทั้งผิวมันและผิวผสม เนื้อครีมเจลสูตรเย็นเหมาะสำหรับคนผิวผสมหรือผิวมัน สามารถหาซื้อได้จากเคาน์เตอร์แบรนด์ La Mer ในห้างสรรพสินค้าและทุกช่องทางออนไลน์


ชมเพิ่มเติมที่
https://praew.com/praew-survey/518840.html

131
   หนึ่งในไอเทมที่ไม่มีไม่ได้สำหรับหน้าหนาวก็คือลิปมันหรือลิปบาล์ม ตัวช่วยป้องกันไม่ให้ริมฝีปากแห้งกร้านลอกเป็นขุย แต่ใครที่ใช้ลิปมันธรรมดาแล้วรู้สึกว่าใบหน้าดูซีดไร้สีสันไม่มีชีวิตชีวา เราขอแนะนำให้คุณเลือกใช้ ลิปมันมีสี เป็นตัวเลือก บทความนี้จึงจะมาพาทุกคนไปทำความรู้จักกับลิปมันมีสีว่าแตกต่างจากลิปมันหรือลิปบาล์มทั่วไปยังไง แล้วเราจะเลือกใช้แบบไหนให้จึ้งดี
   ลิปมันมีสีคืออะไร
   ลิปมันมีสีก็คือลิปมันหรือลิปบาล์ม ที่ช่วยเคลือบริมฝีปากเพื่อเติมเต็มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก ลิปมันหรือลิปบาล์มจึงแตกต่างจากลิปสติกทั่วไปตรงที่ไม่เน้นความคมชัดของสี แต่ช่วยเรื่องการบำรุงให้ชุ่มชื้นและอวบอิ่ม ซึ่งการทาลิปมันธรรมดาก็อาจจะทำให้ปากดูมันวาวแต่ไร้สีสัน สีปากคล้ำอยู่แล้วยังคงดูคล้ำ ด้วยเหตุนี้จึงมีบิ้วตี้ไอเทมอย่าง ลิปบาล์มมีสี เป็นลิปมันที่มีการเติมเม็ดสีลงไป ทำให้พอทาไปแล้วริมฝีปากจะเปลี่ยนสีตามเฉดต่าง ๆ หากแต่ยังคงความชุ่มชื้นที่เคลือบริมฝีปากเอาไว้ หลายคนจึงนิยมหันมาใช้แบบมีสีเพราะครบทั้งการบำรุงและให้สีสันสดใส
   ข้อดีของการทาลิปมันมีสี
   1. ช่วยให้ปากชุ่มชื้น
   ลิปมันมีสีมีคุณสมบัติช่วยบำรุงริมฝีปากให้ชุ่มชื้น ด้วยการสร้างชั้นฟิล์มบาง ๆ เคลือบริมฝีปากป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว อีกทั้งยังช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น ป้องกันไม่ให้ปากแห้งลอกเป็นขุย
   2. ช่วยให้ปากอวบอิ่มเป็นธรรมชาติ
   ลิปมันมีสีจะช่วยแต่งแต้มริมฝีปากให้มีสีระเรื่อเป็นธรรมชาติ ให้ปากมีสีสันไม่ซีดเซียวเหมือนคนป่วย ที่สำคัญยังทาแล้วทำให้ปากดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลแลดูสุขภาพดี
   3. พกพาง่าย
   ลิปมันมีสีส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบแท่งขนาดกะทัดรัดสามารถพกพาติดตัวไปใช้ได้สะดวกทุกที่ สามารถใช้เติมระหว่างวันได้

   ถ้าคุณกำลังตัดสินใจมองหาลิปมันหรือลิปบาล์มมีสีมาใช้ส่วนตัวสักแท่งแล้วไม่รู้จะเลือก ลิปบาล์มมีสียี่ห้อไหนดี นั้น เราขอแนะนำ BOBBI BROWN EXTRA LIP TINT ลิปมันสีสันธรรมชาติที่ช่วยแต่งแต้มริมฝีปากให้เปล่งประกายพร้อมคืนความชุ่มชื้นตลอดวัน แก้ปัญหาปากลอก ปากแห้งเป็นขุยได้ดีรุ่นนี้เป็นลิปมันมีสีทาบำรุงได้ทั้งกลางวันและกลางคืนจากแบรนด์ดังคุณภาพ Bobbi Brown

132
หากกล่าวถึงเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมสำหรับวัยทำงาน แน่นอนว่าต้องพูดถึงกาแฟด้วย เพราะกาแฟหนึ่งแก้วสามารถเพิ่มความสดชื่น แถมกลิ่นหอมยังทำให้รู้สึกผ่อนคลายก่อนทำกิจกรรมในวันนั้น ๆ และสำหรับใครที่เป็นคอกาแฟและอยากออกแบบ เมนูกาแฟ ตามใจตัวเอง แค่มีเครื่องทำกาแฟ Nespresso และแคปซูลกาแฟรสชาติที่ชื่นชอบก็สามารถสร้างสรรค์เมนูได้เอง เรามีสูตรกาแฟร้อนและ สูตรกาแฟเย็น 3 แบบ 3 สไตล์ที่ห้ามพลาดมาแนะนำ
1. Latte Macchiato
เมนูลาเต้ กาแฟใส่นม รสชาติไม่ธรรมดา ทำให้มีความพิเศษยิ่งขึ้น โดยชง Latte Macchiato เริ่มจากการเตรียมฟองนมด้วยเครื่องทำฟองนม Nespresso Aeroccino จากนั้นเทใส่แก้วที่เตรียมไว้ เลือกกาแฟแคปซูลรสชาติที่ชื่นชอบ ในปริมาณ 1.5 ออนซ์ จากนั้นให้เทลงในแก้วที่เตรียมฟองนมไว้แล้ว โดยการเติมความพิเศษด้วยฟองนมอุ่น ๆ จะช่วยออกแบบรสชาติให้กลมกล่อม เพิ่มความนุ่มละมุนของรสชาติได้เป็นอย่างดี
2. Hot Americano & Iced Americano
อีกหนึ่งเมนูยอดฮิตที่ถูกปากคนรักกาแฟ นั่นคือ อเมริกาโน่ร้อน และอเมริกาโน่เย็น แม้จะเป็นเมนูง่าย ๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นเมนูยอดนิยมสำหรับคนชอบดื่มกาแฟ เพราะจะได้ลิ้มรสชาติกาแฟสุดเข้มข้นที่เสิร์ฟพร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ โดยสูตรกาแฟแก้วนี้สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงเลือกแคปซูลกาแฟอย่าง Kazaar จำนวน 2 แคปซูล จากนั้นนำใส่ลงเครื่องทำกาแฟ Nespresso รอไม่นานเครื่องทำกาแฟจะผลิต เมนูกาแฟ อเมริกาโน่ออกมาที่ทั้งหอมและเข้มข้น หากรสชาติเข้มเกินไป ก็สามารถเติมน้ำเปล่าได้ตามเหมาะสม หรือหากไม่อยากดื่ม อเมริกาโน่ร้อน แนะนำให้เติมน้ำแข็ง เพื่อเป็นกาแฟเย็น ได้เช่นกัน
3. Flat White
Flatwhite เป็นกาแฟใส่นมผสมฟองนมขาวละมุนกลมกลิ่ม โดยการทำ flatwhiteคือ ของ Nespresso ชงง่ายด้วยการกดกาแฟแคปซูลปริมาณ 1.5 ออนซ์ จากนั้นเทนมเย็นประมาณ 100 มิลลิลิตร ลงในเครื่องทำฟองนม เมื่อได้ฟองนมสีขาวน่าทานแล้ว ให้เทฟองนมลงในแก้วกาแฟ จุดเด่นของเมนูนี้คือนอกจากได้ลิ้มรสฟองนมนุ่มละมุนลิ้นแล้ว ยังได้ลิ้มรสชาติกาแฟที่เข้มข้นมาพร้อมกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟ นี่จึงกลายเป็นอีกหนึ่งเมนูที่คอกาแฟห้ามพลาด
แค่มีเครื่องทำกาแฟ Nespresso และแคปซูลกาแฟรสชาติโปรดปรานก็สามารถออกแบบหลากหลาย เมนูกาแฟ ได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว และนอกจาก 3 เมนูนี้แล้ว เครื่องทำกาแฟ Nespresso ก็ยังสามารถชงกาแฟรสชาติอื่นได้ แต่ละเมนูมาพร้อมรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ เพราะเลือกใช้เมล็ดกาแฟเกรดพรีเมียมจากแหล่งปลูกที่ได้คุณภาพ

133
การได้ใช้เวลาสบาย ๆ ในวันหยุดโดยไม่ต้องเร่งรีบ สามารถพักผ่อนได้เท่าที่ต้องการ มีเวลาชงกาแฟหอม ๆ ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือจะดูซีรีส์เรื่องโปรด เป็นความสุขที่หลาย ๆ คนต้องการ สำหรับคอกาแฟนมหากมีเครื่องชงกาแฟและ เครื่องตีฟองนม ในบ้าน มาลองเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านให้เป็นคาเฟ่เนรมิตเมนูกาแฟง่าย ๆ ที่ใครชงก็อร่อย

เมนูกาแฟทุกเมนูมีเอสเพรสโซ่ช็อตเป็นตัวตั้งต้น แนะนำให้ใช้เป็นกาแฟอาราบิก้าคั่วกลางเข้มบด 1 ช็อต หรือหากใช้กาแฟแคปซูลก็สามารถเลือกรสชาติได้ตามชอบ ไม่ควรเติมหวานด้วยน้ำเชื่อมหรือไซรัป แต่ปรับรสชาติหวานได้ด้วยน้ำตาลทราย 
1.   มอคค่าร้อน กาแฟผสมโกโก้หรือช็อกโกแลต ลงตัวด้วยความหอม เข้มข้น กลมกล่อม
สูตรที่ 1 สำหรับเครื่องชงกาแฟทั่วไป   
ส่วนผสม : เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต (30 มล.) โกโก้ผสม 30 มล. และนมสดรสจืด 60 - 90 มล. (โกโก้ผสม เตรียมได้จากการผสมผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำร้อน 4 ออนซ์ และนมผสม 2 ออนซ์ สำหรับนมผสมเตรียมได้จากการผสมนมข้นหวานและนมข้นจืดในอัตราส่วน 2:1 โดยทั้งโกโก้ผสมและนมผสมสามารถทำเก็บไว้ใช้กับเมนูอื่นได้)
วิธีการชง : กดช็อตเอสเพรสโซ่ใส่แก้วกาแฟ ตามด้วยโกโก้ผสม ส่วนนมสดรสจืดนั้นนำไปเป่าร้อนด้วย เครื่องทำฟองนม แล้วเทใส่แก้วกาแฟ ตกแต่งด้วยผงโกโก้เล็กน้อย
สูตรที่ 2 สำหรับเครื่องชงกาแฟแคปซูล   
ส่วนผสม : เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต (40 มล. / แนะนำให้ใช้กาแฟแคปซูล Livanto) นมสดเย็น 20  มล. นมร้อน 80 มล. ผงช็อกโกแลต 8 กรัม และผงโกโก้
วิธีการชง : นำนมสดเย็นทั้งหมดมาทำฟองนมเตรียมไว้ก่อนโดยใช้ เครื่องตีฟองนม จากนั้นสกัดช็อตเอสเพรสโซ่ในถ้วยกาแฟที่มีผงช็อกโกแลตอยู่ เทนมร้อนแล้วตักฟองนมวางด้านบน ตกแต่งด้วยผงโกโก้ พร้อมเสิร์ฟ

2.   คาปูชิโน่ ร้อน กาแฟนมรสชาติกลมกล่อม เน้นฟองนมนุ่มละมุนลิ้น 
ส่วนผสม : เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต (30 มล.) นมร้อนครึ่งแก้ว และฟองนมครึ่งแก้ว
วิธีการชง : กดช็อตเอสเพรสโซ่ใส่แก้ว คาปูชิโน่ ตามด้วยนมร้อน ½ แก้ว และท็อปด้วยฟองนมด้านบนอีก ½ แก้ว โรยผงโกโก้เพื่อตกแต่ง หากใช้เครื่องชงกาแฟแคปซูลจะได้ช็อตกาแฟ 40 มล. เมื่อสกัดกาแฟช็อตลงถ้วยกาแฟเรียบร้อยแล้วตามด้วยฟองนม เพิ่มรสชาติด้วยน้ำตาลทราย ปิดท้ายด้วยการโรยผงโกโก้เพื่อตกแต่ง

3.   ลาเต้ กาแฟนมรสชาติเบา ฟองนมไม่มากเท่าคาปูชิโน่ รสชาติขมอ่อนกลมกล่อมด้วยนม
ส่วนผสมทำกาแฟลาเต้ : เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต (30 มล.) นมร้อนเกือบเต็มแก้ว และฟองนม
วิธีการชง : กดช็อตเอสเพรสโซ่ใส่แก้ว ตามด้วยนมร้อนเกือบเต็มแก้ว จากนั้นตักฟองนมท็อปด้านบนด้วยความหนาไม่เกิน 1 เซนติเมตร ตกแต่งทำลาเต้อาร์ตได้ตามชอบ หากใช้เครื่องชงแคปซูลแนะนำให้เลือกเป็นกาแฟลุงโกซึ่งจะได้ลาเต้แก้วใหญ่จุใจเพราะเมื่อสกัดแล้วให้น้ำกาแฟมากถึง 110 มล. หรือ 4 ออนซ์ จากนั้นเติมนมร้อนประมาณ 220 มล. ท็อปด้วยฟองนมบาง ๆ สามารถต่อยอดทำสูตรลาเต้เย็นเพิ่มความสดชื่นได้

เมนูกาแฟนมชงง่ายมากกว่าที่คิด แค่มีเครื่องชงกาแฟและ เครื่องทำฟองนม ที่บ้านไว้ก็สะดวกขึ้นมาก หากฝึกมือจนคล่องขึ้นแล้วรับรองอร่อยจนลืมกาแฟร้านข้างนอกแน่นอน

134
   ในยุคที่ไลฟ์สไตล์คนเมืองต่างก็ต้องเร่งรีบ ทำให้การดื่มกาแฟจึงเริ่มเปลี่ยนวิธีการมาดื่ม กาแฟแคปซูล กันมากขึ้น ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์เรื่องความรวดเร็วในการชงกาแฟสดเท่านั้น แต่ยังมีรสชาติและกลิ่นใกล้เคียงกับกาแฟคั่วสดเกรดพรีเมียม ที่บาริสต้าในร้านกาแฟเป็นคนรังสรรค์ โดยวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ ประโยชน์ของกาแฟดำ แคปซูล ให้มากขึ้น

 กาแฟแบบบรรจุแคปซูลคืออะไร?
    กาแฟแบบแคปซูลเป็นเมล็ดกาแฟแท้ที่ถูกคั่วบดละเอียดที่บรรจุอยู่ในแพ็กเกจทรงแคปซูล ปิดด้วยฝาซีลอย่างดี ทำให้สามารถกักเก็บรสชาติและกลิ่นของกาแฟได้ใกล้เคียงกับกาแฟคั่วสด ช่วยป้องกันความชื้น โดยเมล็ดกาแฟที่นิยมนำมาคั่วก็คือแบบ “อาราบิกา” และ “โรบัสต้า” ซึ่งมีทั้งในรูปแบบกาแฟดำและกาแฟนม ปรับรสชาติให้มีความหลากหลาย เข้ากับไลฟ์สไตล์การดื่มกาแฟของคนในปัจจุบัน ส่วนการชงใช้เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติที่ใช้แรงดันไอน้ำอัดผงกาแฟในแคปซูลและชงด้วยน้ำร้อน ใช้เวลาในการชงเพียง 2 – 3 นาทีก็ได้สูตรกาแฟที่ถูกใจออกมาดื่ม เมื่อรู้กันแล้วว่ากาแฟแบบแคปซูลคืออะไร ต่อไปเราก็จะไปทำความรู้จักกับ ประโยชน์ของกาแฟ แบบแคปซูลกัน

ข้อดีของการดื่มกาแฟแบบแคปซูล
   นอกจากเรื่องรสชาติและกลิ่นที่แทบไม่ต่างจากกาแฟคั่วบดพรีเมียมแล้ว ประโยชน์ของกาแฟ แบบแคปซูลยังมีอีกหลายอย่างที่เป็นจุดเด่นที่ทำให้กาแฟชนิดนี้ได้รับความนิยมไม่แพ้กาแฟซองหรือกาแฟคั่วสด
1. มีรสชาติให้เลือกหลากหลาย
   ปัจจุบันกาแฟแบบบรรจุแคปซูลมีผู้ผลิตหลายราย ซึ่งแต่ละรายก็มีสายพันธุ์กาแฟและรสชาติให้เลือกอย่างหลากหลายไม่จำเจ มีให้เลือกทั้งแบบกาแฟนมที่มีส่วนผสมของ นม ครีม และน้ำตาล หรือ “กาแฟดำ” ที่ไม่มีส่วนผสมของ นม ครีม และน้ำตาล หรือแคปซูลกาแฟคั่วอ่อน คั่วกลาง คั่วเข้มก็มีให้เลือก ซึ่ง กาแฟดําประโยชน์ ในทางโภชนาการจะค่อนข้างเหนือกว่ากาแฟที่เติมส่วนผสมอื่น ๆ
2. ไม่ต้องชั่ง ตวง วัด ด้วยตัวเอง
   การชงกาแฟสดให้ได้รสชาติกลมกล่อมนั้น จะต้องอาศัยทั้งเทคนิคการชง และต้องชั่ง ตวง วัด ปริมาณกาแฟให้พอเหมาะ ซึ่งคนที่ชงต้องมีฝีมือพอสมควร แต่สำหรับกาแฟแบบแคปซูล ขึ้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนไม่จำเป็น เพราะกาแฟถูกใส่มาในปริมาณที่เหมาะสมตั้งแต่โรงงานผลิต เพียงเปิดฝาแล้วนำใส่เครื่องชงกาแฟ หลังจากเครื่องสกัดน้ำกาแฟออกมาแล้วก็ดื่มได้ทันที
3. แคปซูลสามารถนำไปรีไซเคิลได้
   บรรจุภัณฑ์แคปซูลทำมาจาก “อะลูมิเนียม” เมื่อใช้แล้วจึงสามารถนำไปรีไซเคิลได้ แตกต่างจากกาแฟชงปกติที่บรรจุภัณฑ์ส่วนใหญ่จะทำมาจากพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ แถมการเปิดถุงแต่ละครั้งก็จะทำให้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟค่อย ๆ ลดลง นานเข้าก็จะทำให้กาแฟเสียรสชาติ

สายดื่มแบบไหนไม่ควรพลาดกาแฟแบบแคปซูล
   สำหรับคนที่รักการดื่มกาแฟสดเป็นชีวิตจิตใจแต่ไม่ชอบไปดื่มกาแฟที่ร้าน หากมี กาแฟแคปซูล และเครื่องชงกาแฟไว้ติดบ้านหรือที่ออฟฟิศ ก็สามารถชงดื่มเองได้ง่าย ๆ ใช้เวลาเพียง 2 – 3 นาทีก็ชงกาแฟอร่อยสูตรที่ถูกใจมาดื่มแบบชิล ๆ ไม่ต้องไปที่ร้านกาแฟ เหมาะสำหรับชงดื่มเอง ชงรับแขกที่บ้าน หรือชงดื่มตอนทำงานที่ออฟฟิศ และที่สำคัญคือ ในระยะยาวราคาถูกกว่าการซื้อกาแฟเป็นแก้ว ๆ จากร้านกาแฟ

   ทั้งหมดนี้คือรายละเอียดกาแฟแบบแคปซูลที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ สำหรับคนที่เป็นสายสุขภาพ อาจจะเลือกดื่มแบบกาแฟดำที่ไม่มีส่วนผสมของนมและครีม ซึ่ง ประโยชน์ของกาแฟดำ นอกจากจะให้รสชาติที่เข้มข้นตามธรรมชาติแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนัก เร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


ชมเพิ่มเติมที่
https://www.nespresso.com/th/th/black-coffee
https://www.nespresso.com/th/th/types-of-coffee

135
   คอกาแฟส่วนใหญ่ที่ลงทุนซื้อเครื่องชงกาแฟสดไว้ใช้งานที่บ้านหรือสำนักงานนั้นก็เพราะต้องการที่จะดื่มกาแฟได้ตามต้องการ อยากดื่มก็สามารถชงได้ทันที แต่หลายคนยังลังเล เลือกไม่ได้ว่าจะซื้อ เครื่องชงกาแฟสด เครื่องชงกาแฟแบบอัตโนมัติ หรือเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล รุ่นไหนดีที่เหมาะกับการใช้งานในบ้านรือสำนักงาน ดังนั้นวันนี้เรามาดู เครื่องชงกาแฟในออฟฟิศ และเครื่องชงกาแฟในบ้านว่าใช้แบบไหนถึงจะเหมาะ วันนี้เรามีจุดเด่นของเครื่องชงกาแฟทั้ง 3 แบบมาฝาก

เครื่องชงกาแฟสด
เครื่องชงกาแฟสด หรือ ESPRESSO MACHINE ทำงานโดยสกัดกาแฟเอสเพรสโซ่เข้มข้นโดยแรงดันและไอน้ำจากหม้อผ่านเมล็ดกาแฟบดที่อยู่ในตัวกรอง นอกจากนั้นผู้ใช้สามารถออกแบบรสชาติของกาแฟ ด้วยการกำหนดปริมาณน้ำ ปริมาณกาแฟ ความละเอียดของเมล็ดกาแฟ และน้ำหนักการอัดกาแฟได้ง่ายกว่าเครื่องชงกาแฟชนิดอื่น  มีจุดเด่นเรื่องความเข้มข้นสดใหม่และทำได้จำนวนหลายร้อยแก้วต่อวัน แต่ข้อเสียคือ เนื่องจากต้องเตรียมเมล็ดกาแฟและควบคุมการชงตั้งแต่ขั้นตอนแรกถึงขั้นตอนสุดท้าย เหมาะกับคนที่มีความรู้และฝีมือในการชงกาแฟ อีกทั้งหากต้องการชงกาแฟนมยังต้องเตรียมอุปกรณ์เพิ่มหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบดไฟฟ้า เครื่องตีฟองนม เหยือกเทฟองนม เครื่องวัดอุณหภูมิ รวมถึงส่วนผสมอื่น ๆ เพิ่มเติม จึงนิยมใช้ในร้านกาแฟมากกว่าบ้านหรือสำนักงาน

เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ
FULLY AUTOMATIC COFFEE MACHINE หรือ เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ หลักการทำงานคล้ายกับ เครื่องชงกาแฟสด แต่ไม่ต้องบดเมล็ดกาแฟด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติจึงมีจุดเด่นทั้งความสะดวกและความสดใหม่ของกาแฟ เพราะเครื่องชงกาแฟประเภทนี้มีระบบการทำงานตั้งแต่ขั้นตอนบดเมล็ดกาแฟและใส่ส่วนผสมต่าง ๆ ภายในเวลาไม่ถึงนาที ทำกาแฟได้กลมกล่อมเหมือนบาริสต้า แต่ข้อเสียคือ ราคาสูงตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสน ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้ที่บ้าน จึงนิยมซื้อหรือเช่าเป็น เครื่องชงกาแฟสดออฟฟิศ มากกว่า

เครื่องชงกาแฟแคปซูล
   เครื่องชงกาแฟแคปซูล หรือ CAPSULE COFFEE MACHINE ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะสะดวกสบาย ใช้งานง่าย เพียงแค่เติมน้ำ เติมนม เสียบปลั๊ก  นำกาแฟแคปซูลใส่ลงเครื่องชงกาแฟ เลือกเมนู รอไม่นานก็จะได้เมนูกาแฟที่ชอบมาอยู่ในมือ มีรุ่นให้เลือกตามลักษณะการใช้งาน ทั้งเครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ และตอบโจทย์คอกาแฟที่ชอบความหลากหลายเพราะมีกาแฟให้เลือกหลายรสชาติ อย่างกาแฟแคปซูลของ Nespresso ที่มีให้เลือกตั้งแต่ความเข้ม 0 ถึง 13 น้อยไปหามาก แถมยังมีหลายกลิ่นให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นขนม กลิ่นดอกไม้ กลิ่นไม้คั่ว กลิ่นผลไม้ จึงสามารถลิ้มลองรสชาติใหม่ ๆ ได้ไม่เบื่อ ส่วนข้อจำกัดของ เครื่องชงกาแฟแคปซูล คือ ต้องใช้กาแฟแคปซูลจากผู้ที่ผลิตเดียวกับเครื่องชงกาแฟเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำว่าให้เลือกที่มีกาแฟแคปซูลให้เลือกหลายรสชาติและออกรสชาติใหม่อย่างต่อเนื่อง
   
   เห็นได้ว่าเครื่องชงกาแฟแต่ละแบบมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน  ก่อนตัดสินใจซื้อควรพิจารณาความต้องการของตัวเอง ราคา และฟังก์ชันการใช้งาน รับประกันว่าได้เครื่องชงกาแฟถูกใจแน่นอน


ชมรายละเอียดเพิ่มที่
https://www.nespresso.com/pro/th/th/order/machines/pro
https://www.nespresso.com/pro/th/th/order/machines/pro
https://www.nespresso.com/pro/th/th/order/machines/pro

136
วัฒนธรรมการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมกันมาก เพียงแต่ในอดีตกาแฟรสชาติดีที่ถูกปากอาจหายากสักหน่อยเพราะเกิดจากการชงเมล็ดกาแฟด้วยน้ำร้อนและผสมด้วยนมข้นหวานหรือนมสดตามแต่ความชอบซึ่งถูกปากบ้างไม่ถูกปากบ้าง และในบางแก้วยังมีปริมาณความหวานที่มากเกินพอดี ทว่าในปัจจุบันการชงกาแฟรสชาติที่ชอบอย่างเมนู คาปูชิโน่ หรือ ลาเต้ สามารถทำได้ไม่ยาก โดยเมื่อทำด้วยเครื่องชงกาแฟแคปซูลที่วันนี้จะมาแนะนำคือ Nespresso New Lattissima One ที่คอกาแฟสามารถชงกาแฟรสชาติที่ชอบได้เองภายในปุ่มเดียว เครื่องนี้เหมาะสำหรับการชงกาแฟนมอย่างมากเพราะมีความจุของกระบอกใส่นมถึง 165 มิลลิกรัม สามารถทำความร้อนได้ภายใน 25 วินาที และมีระบบทำความสะอาดอัตโนมัติด้วย ราคาเครื่องละ 10,500 บาท แม้จะสูงไปบ้างแต่ถือว่าคุ้มค่าสำหรับคนที่ชื่นชอบกาแฟและดื่มกาแฟเป็นประจำ เพราะสามารถชงกาแฟนมได้เองจาก เครื่องตีฟองนม ที่บรรจุมาด้วย โดยในวันนี้จะมาแนะนำ 2 สูตรชงกาแฟ รสชาติดีที่ชงด้วยเครื่องชงกาแฟ Nespresso New Lattissima One

สูตรชงกาแฟ คาปูชิโน่ – CAPPUCCINO
เป็นกาแฟผสมฟองนมรสชาติกลมกล่อมหวานมันและมีสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น จากวัตถุดิบที่ประกอบไปด้วย Nespresso Espresso 1 แคปซูล นมเย็น 50 – 70 มิลลิลิตร น้ำตาล และผงโกโก้ โดยมีสูตรคาปูชิโน่เย็น ของ Nespresso วิธีการชงดังนี้
1.   เติมนมใส่เหยือกนมในปริมาณที่กำหนดสำหรับชงเมนูคาปูชิโน่ 1 ครั้ง จากนั้นนำเหยือกนมบรรจุกลับเข้าไปในตัวเครื่องชงกาแฟ
2.   นำแคปซูล Espresso ที่เลือกไว้ใส่ในช่องแคปซูลบนเครื่องชงกาแฟ New Lattissima One
3.   นำ ถ้วยกาแฟ ไปวางใต้ช่องจ่ายกาแฟแล้วทำการปรับช่องจ่ายนมให้อยู่ในตำแหน่งที่พอดี จากนั้นกดปุ่มให้เครื่องทำงาน
4.   เมื่อได้กาแฟแล้วสามารถเพิ่มความหวานด้วยน้ำตาลตามชอบปิดท้ายด้วยการโรยผงโกโก้เล็กน้อย

สูตรชงกาแฟ ลาเต้ มัคคิอาโต้ – LATTE MACCHIATO
กาแฟนมสูตรคลาสสิกสำหรับคนที่ชื่นชอบนมและกาแฟในแก้วเดียว โดยสามารถเลือกกาแฟแคปซูลของ Nespresso รสชาติใดก็ได้ที่ชื่นชอบ 1 แคปซูล พร้อมกับนมเย็นปริมาณ 100 มิลลิกรัม น้ำตาลปริมาณตามชอบ สำหรับวิธีการชงมีดังนี้
1.   นำเหยือกนมมาเติมนมในปริมาณสำหรับการชงเมนูลาเต้มัคคิอาโต้ 1 ครั้ง โดยจะมีสัญลักษณ์แจ้งไว้ตรงเหยือกบรรจุนม
2.   นำกาแฟแคปซูลที่เลือกไว้มาบรรจุยังช่องใส่แคปซูลกาแฟบนเครื่องชงกาแฟ
3.   นำ ถ้วยกาแฟ ขนาดพอดีสำหรับใส่กาแฟเมนูลาเต้มัคคิอาโต้มาวางตรงช่องจ่ายกาแฟ จากนั้นปรับช่องจ่ายนมให้อยู่ในตำแหน่งพอดีปากถ้วย
4.   กดปุ่มให้เครื่องทำการชง เมื่อได้กาแฟลาเต้มัคคิอาโต้แล้วให้เติมความหวานด้วยน้ำตาลตามชอบ

ขั้นตอนในการชงกาแฟจากเครื่องชงกาแฟแคปซูล Nespresso ด้วย สูตรชงกาแฟ ที่แนะนำมาทำได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัสและรวดเร็ว ดังนั้นสำหรับคอกาแฟต้องห้ามพลาดติดตั้งเครื่องชงกาแฟแคปซูล Nespresso ไว้ที่บ้านสักเครื่องจะได้ทำให้ทุกวันคือวันที่สดใสพร้อมทำงานได้ตลอดปี

137
สำหรับใครที่กำลังมองหาลิปสติกแท่งใหม่มาอัปลุคสวย ไม่ว่าจะเป็น ลิปเนื้อแมท, ลิปสติกแบบลิควิด หรือลิปกลอสใส ไม่แน่ใจว่าจะซื้อแบบไหนดีที่เหมาะกับตัวเรา ตามไปดูกันเลยว่าลิปสติกที่หลายคนเลือกใช้กันนั้นมีอะไรบ้าง
เนื้อลิปสติก 8 ประเภทหลักที่สาวๆ ใช้กัน มีดังนี้
1.ลิปสติกเนื้อแมตต์ (Matte Lipstick) ลิปสติกเนื้อแมท ให้สีคมชัด กลบริมฝีปากได้สนิท ลิปแมทติดทน ไม่ต้องเติมปากบ่อย เฉดสีลิปสติกโทนสุภาพและไม่มีความมันวาว สวยเรียบหรูดูดี เหมาะสำหรับสาวออฟฟิศที่แต่งหน้าไปทำงาน แนะนำโทนสีที่ให้ลุคสุภาพ เช่น ชมพูอมน้ำตาล สีส้ม หรือน้ำตาลอมส้ม ดูอ่อนหวานไปในตัว ลิปเนื้อแมท มีข้อเสียคือเนื้อแห้งเกินไปทำให้เป็นคราบ ควรทาลิปบาล์มบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นก่อน
2.ลิปสติกเนื้อครีม (Cream Lipstick) ลิปสติกเนื้อครีมเนียนนุ่ม สีสดชัดเจนและติดทนนาน 6 - 16 ชั่วโมง โดยมากมีส่วนผสมของสารบำรุง ได้แก่ วิตามินอี, เชียบัตเตอร์ และน้ำมันมะพร้าว ให้ความชุ่มชื้นกับริมฝีปากและให้ความมันวาวมากกว่าลิปเเมท เหมาะสำหรับการแต่งหน้าไปงานเลี้ยงหรือในโอกาสพิเศษ สีลิปจะอยู่สวยติดทนนานตลอดทั้งงาน สามารถเลือกโทนสีที่สวยงามโดดเด่นเข้ากับธีมงานเลี้ยงได้เป็นอย่างดี
3.ลิปสติกเนื้อชายน์ (Shine Lipstick) เนื้อลิปคล้ายกับลิปเนื้อครีม แต่มีความมันวาวและความใสบางเบา เนื้อสัมผัสชุ่มชื้นตลอดเวลาคล้ายลิปกลอส ช่วยให้ริมฝีปากดูชุ่มฉ่ำดูอวบอิ่มเสมอ ลิปเนื้อชายน์ดูเป็นธรรมชาติสีสันไม่สดจัดเกินไปชัด เหมาะกับวันที่อยากได้ลุคสบาย ๆ ดูเป็นธรรมชาติ เเต่สีไม่ค่อยติดทน อาจไม่เหมาะในการสวมใส่เเมสก์
4.ลิปสติกเนื้อเชียร์และซาติน (Sheer and Satin Lipstick) เป็นลิปสติกที่มีความมันวาว สัมผัสนุ่มลื่นเกลี่ยง่าย เพราะมีส่วนผสมของน้ำมันค่อนข้างมาก มอบความชุ่มชื้นบำรุงริมฝีปากให้อวบอิ่มและเงางามอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะกับสไตล์การแต่งหน้าแบบบางเบาในชีวิตประจำวัน นับเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่มีริมฝีปากแห้งหรือแตก ทาได้ง่าย ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นคราบ
5.ฟรอสตี้ลิปสติก (Frosty Lipstick) เนื้อลิปมีส่วนผสมของกลิตเตอร์เม็ดละเอียด มีความมันวาวเป็นประกายมุกจึงเรียกว่าลิปไข่มุก ใช้ลิปยี่ห้อไหนดี เลือกซื้อได้เลย ช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มมากขึ้น เหมาะกับสาวริมฝีปากบาง
6.ลิปทินต์เเละลิปกลอส (Tint and Gloss Lipstick) เป็นเนื้อลิควิดเหลวโปร่งใส มีความบางเบาสีสวยสดใสเหมาะกับสายหวาน มีส่วนผสมของน้ำหรือเจลเป็นหลักช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มและไม่แห้ง ให้ความฉ่ำแต่ไม่เหนียว เม็ดสีติดทน ช่วยกลบสีปากคล้ำได้ดี เหมาะทาเป็นเบสและลงลิปอื่น ๆ ทับตาม เติมความชุ่มฉ่ำให้เรียวปากและใบหน้าสวยโกลว์
7.ลิปบาล์ม (Balm Lipstick) ลิปสติกเนื้อบางเบาช่วยบำรุงริมฝีปากให้ชุ่มชื้น มีส่วนผสมของน้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติ เนื้อลิปติดทนนาน นิยมใช้ทาก่อนลงลิปสติกอื่น ๆ ช่วยแก้ปัญหาปากแห้งลอกหรือแตกได้ดี
8.ลิปไลเนอร์ (Liner Lipstick) เป็นรูปแบบดินสอหรือแท่งหมุน มักใช้สีที่ใกล้เคียงกับลิปสติกเพื่อเน้นขอบปากให้ดูคมชัดและทาลิปสติกได้ง่าย 

สำหรับสาวไทยที่ส่วนใหญ่ผิวขาวกับผิวสองสี การซื้อลิปสติกสีที่ชอบมาใช้และเลือกให้เข้ากับสีผิวนั้นไม่ใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะลิปสติกเนื้อแมทที่ทาแล้วกลบสีปากเนียนกริบ ทาแล้วเอาอยู่ใช้ได้ทุกโอกาส เพียงเลือก Lipstick จาก MAC Cosmetic ที่ตัวเองชอบเติมเสน่ห์บนริมฝีปากขับผิวและริมฝีปากให้แวววาวน่ามอง ไม่ว่าจะสีผิวแบบไหนทาแล้วต้องรอด รับรองปังแน่นอน

138
ผิวหน้าที่มีปัญหา เช่น ฝ้า กระ รอยสิว ทำลายความมั่นใจของหลาย ๆ คน ซึ่งรองพื้นจะเป็นสิ่งเรียกความมั่นใจให้กลับคืนมา ยิ่งมีปัญหามากก็ยิ่งต้องหารองพื้นขั้นเทพ รู้หรือไม่ว่าสมัยนี้เขามี รองพื้นปกปิดรอยสิว ซึ่งเหมาะสำหรับผิวมีปัญหาและต้องการปกปิดแบบเร่งด่วนเนียนกริบ ถ้าใครอยากรู้ว่ารองพื้นแบบนี้ปกปิดดีจริงแค่ไหน ติดตามจากบทความนี้ได้เลย แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับครีมรองพื้นทั่วไปกันก่อน

โดย รองพื้น คือ เครื่องสำอางที่ใช้ทาผิวในขั้นตอนแรก ๆ ของการแต่งหน้าเพื่อทำให้ผิวหน้าเนียนขึ้น ส่วนประกอบในรองพื้นที่ทำให้หน้าเนียนก็คือน้ำมันแร่หรือซิลิโคนผสมเม็ดสี มีไททาเนียมไดออกไซด์ ซิงค์ออกไซด์ เหล็กออกไซด์ และในรองพื้นบางชนิดมีส่วนผสมอื่นเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มคุณประโยชน์ให้มากขึ้น เช่น สารกันแดด สารบำรุงผิว หรือช่วยปกปิดผิวได้ดียิ่งขึ้นโดยเฉพาะผิวส่วนที่มีปัญหา เช่น สิว ฝ้า กระ ริ้วรอยต่าง ๆ

เลือกซื้อรองพื้นแบบไหนดี
ถ้าคุณมีผิวนวลเนียนอยู่แล้วแค่รองพื้นธรรมดาทั่วไปก็เพียงพอ แค่ดูโทนสีให้เข้ากับสีผิวจริงของตัวเองก็ใช้ได้ แต่สำหรับผู้ที่มีสิวเยอะ ขอแนะนำ รองพื้นปกปิดรอยสิว และวิธีเลือกซื้อง่าย ๆ ได้ของถูกใจใช้ดีแน่นอน วิธีง่าย ๆ คือ
-   ดูที่ส่วนผสมว่ามีสารอะไรบ้าง คนที่มีสิวเยอะบางทีอาจจะเกิดได้จากสารบางตัวในเครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิวที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ระคายเคือง ให้หลีกเลี่ยงสารที่อาจจะก่อให้เกิดการแพ้หรืออุดตัน  และสำหรับผิวมีปัญหาสิวแนะนำให้เลือกที่มีสารที่ช่วยคุมมัน เพื่อลดโอกาสการเกิดสิวอุดตัน สารช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย สารเพิ่มความชุ่มชื้น สารที่ช่วยให้เนื้อครีมเกาะติดผิวได้ดี เป็นต้น
-   สำหรับปัญหาเรื่องสิว ฝ้า กระ ควรเน้นรองพื้นที่ปกปิดดี คนที่เป็นสิวร้อยทั้งร้อยมีผิวมัน ซึ่งปัญหาก็คือเครื่องสำอางไม่ติดหน้า ดังนั้น ควรเลือกรองพื้นที่มีคุณสมบัติคุมมันได้ด้วย
-   เน้น รองพื้นติดทนนาน เพราะเมื่อหน้ามันมาก ๆ เครื่องสำอางมักจะไหลเยิ้ม
-   เทียบสีรองพื้นกับโทนสีผิวของตัวเอง การเทียบสีมีตัวแปรหลายอย่าง เช่น แสงภายในร้านกับแสงภายนอก  ดังนั้นควรเลือกสีรองพื้นที่อ่อนกว่าสีผิวตัวเองนิดหน่อยเป็นการเผื่อไว้ 

ข้อดีของการใช้รองพื้นก็คือผิวหน้าของคุณจะเนียนสวยอย่างมีสีสัน ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น และถ้าสามารถเลือกซื้อรองพื้นได้อย่างถูกต้องก็จะยิ่งเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้กับผิวหน้า หากสาว ๆ ที่รักสวยรักงามกำลังมองรองพื้นยี่ห้อไหนดี แนะนำผลิตภัณฑ์ ESTEE LAUDER ไม่ว่าจะเป็นรองพื้นเนื้อบางเบาที่เน้นโชว์งานผิวของคนที่ผิวสวยเป็นทุนอยู่แล้ว หรือรองพื้นแบบปกปิดมิดชิด กลบรอยสิว พรางรูขุมขน ESTEE ให้คำตอบที่ดีสำหรับทุกความต้องการเสมอ

139
หนึ่งในไอเทมยอดฮิตขาดไม่ได้ในกระเป๋าของสาว ๆ ก็คือลิปสติก ไม่ว่าจะแต่งหน้าเก่งระดับบิวตี้บล็อกเกอร์หรือมือใหม่หัดแต่งหน้าต่างก็ยกให้ลิปสติกเป็นตัวช่วยในการอัพลุควันนั้นทั้งนั้น คอมพลีคลุคสวยเพิ่มความสดใส
แต่รู้ไหมว่า การจะเลือกลิปสติกเพิ่มความปังต้องมีเคล็ดลับ วันนี้เราจึงจะมาแชร์เคล็ดลับดี ๆ เลือกสีลิปให้แมตช์กับสีผิว พร้อมแนะนำเลือก ใช้ลิปสติกยี่ห้อไหนดี ช่วยขับผิวสวยทั้งวัน

มือใหม่หัดแต่งหน้าต้องรู้ สีผิวของเราเป็นแบบไหน จะเลือกลิปยังไงให้สวยปัง

ก่อนจะไปเลือกสีลิปหรือเลือกว่าจะซื้อ ลิปแบรนด์ไหน ควรรู้ความแตกต่างระหว่างโทนสีผิวและอันเดอร์โทนก่อน โดยโทนสีผิวคือสีผิวภายนอกที่มองเห็นกันได้ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เช่น ผิวเข้มขึ้นจากแสงแดด หรือผิวซีดลงจากอากาศหนาว แต่สิ่งที่ต้องดู เพื่อเลือกสีเครื่องสำอางต่าง ๆ ให้เข้ากับตัวเราคืออันเดอร์โทน ที่เกี่ยวข้องกับจำนวนเมลานินใต้ชั้นผิวหนังแท้ โดยอันเดอร์โทนสีผิวของแต่ละคนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่ว่าโทนสีผิวจะเปลี่ยนไปยังไงก็ตาม
อันเดอร์โทนของเราจะแบ่งได้ดังนี้
1.   แบบอมชมพู (Cool)
2.   แบบอมเหลือง (Warm)
3.   แบบกลาง ๆ หรือโทนธรรมชาติ (Neutral)
ซึ่งอันเดอร์โทนนี่เองที่จะเป็นตัวช่วยในการเลือกเครื่องสำอาง ไปจนถึงสีเสื้อผ้าและเครื่องประดับ โดยวิธีดูอันเดอร์โทนมีหลายวิธี แต่เราเลือกวิธีง่าย ๆ มาฝากกัน คือการดูสีเส้นเลือดที่ข้อมือ
•   เส้นเลือดสีน้ำเงิน/สีม่วง เป็นอันเดอร์โทนแบบอมชมพู (Cool) ควรเลือกลิปสีโทนเย็นหรือเฉดสีอมม่วง/อมน้ำเงิน โดยสามารถทาได้ทั้งสีนู้ด (ซึ่งแนะนำให้เลือกที่เข้มกว่าริมฝีปาก 1 เฉด) สีสว่าง และสีแดง
•   เส้นเลือดสีเขียว/สีมะกอก เป็นอันเดอร์โทนแบบอมเหลือง (Warm) ควรเลือกลิปสีฝั่งโทนร้อน เช่น แดงอมส้ม ส้มอิฐ
•   เส้นเลือดสีเขียว/สีน้ำเงิน เป็นอันเดอร์โทนแบบกลาง ๆ (Neutral) สามารถใช้ได้ทั้งลิปโทนร้อนและโทนเย็น ตั้งแต่ส้มอิฐ แดงอิฐ ไปจนถึงชมพูสดหรืออมม่วง แต่ถ้ายิ่งผิวขาว การเลือกลิปสีชมพูโทนสว่างจะทำให้ผิวดูผ่องมากขึ้น

ได้เรียนรู้วิธีการเลือกลิปสติกให้แมตช์กับตัวเองแล้ว และถ้าใครกำลังมองหาว่าจะเลือก ลิปยี่ห้อไหนดี ของ ELCA ขอแนะนำ Luxe Lipstick สุดฮิตจาก Bobbi Brown ที่มีทั้งเนื้อซาตินและเนื้อแมตต์ที่เม็ดสีแน่น มีมากกว่า 10 เฉดสีให้เลือก จะผิวเฉดไหนลุคแบบใดก็สวยได้ไม่ดรอปตลอดวัน



ชมเพิ่มเติมได้ที่
https://praew.com/praew-special/518576.html

140
          “ไพรเมอร์” เป็นอีกหนึ่งเบสเมคอัพขาดไม่ได้ในวันที่ต้องการแต่งหน้าแบบจัดเต็ม เพราะนอกจากจะช่วยปรับผิว เติมเต็มรูขุมขน และร่องผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้นแล้ว ยังช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนานตลอดทั้งวันอีกด้วย แถมมีหลายสูตรให้เลือกทั้งไพรเมอร์เพิ่มความชุ่มชื้น ไพรเมอร์คุมมัน ไพร์เมอร์ปกปิดรอย ไพรเมอร์อำพรางรูขุมขน สามารถเลือกได้เหมาะสมกับปัญหาผิวมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีความคล้ายกับเบสเมคอัพด้านเนื้อสัมผัสและคุณสมบัติที่ ทำให้หลายคนสับสนว่าควรใช้ตอนไหนและเลือก ไพรเมอร์ยี่ห้อไหนดี ดังนั้นเพื่อช่วยให้ทุกคนคลายข้อสงสัยนี้ เรามีคำตอบมาฝาก
 
•       ขั้นตอนการใช้ไพรเมอร์
การใช้ไพรเมอร์ให้ใช้หลังทาสกินแคร์และครีมกันแดดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการแต่งหน้า ส่วนวิธีใช้แนะนำให้บีบในปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว เพราะถ้าใช้มากเกินไปจะทำให้รองพื้นจับตัวเป็นก้อนเป็ยขุย จึงควรบีบในปริมาณน้อย ๆ ก่อน หากไม่เพียงพอค่อยเพิ่มปริมาณในภายหลัง ส่วนการลงไพรเมอร์ให้เริ่มตรงกลางใบหน้า จากนั้ นให้ใช้นิ้ว ฟองน้ำ พัฟฟ์ หรือแปรงแต่งหน้าเกลี่ย โดยให้เกลี่ยอย่างเบามือในลักษณะเป็นวงกลมให้ทั่วใบหน้า
 
•       เคล็ดลับในการใช้ไพรเมอร์
ควรใช้ไพรเมอร์จำนวนให้พอดีกับใบหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้รองพื้นเป็นก้อนและเรียบเนียนสม่ำเสมอ หลังจากทาไพร์เมอร์ควรรอให้เนื้อครีมเซตตัวกับผิวประมาณ 3 – 5 นาที จากนั้นจึงค่อยตามด้วยรองพื้นหรือเครื่องสำอางอื่น จะช่วยให้เกลี่ยรองพื้นได้ง่ายและเครื่องสำอางติดทนนานมากขึ้น
 
•       วิธีเลือกสีของไพรเมอร์กับเหมาะสมกับผิวหน้า
สำหรับการเลือกไพรเมอร์มาใช้งานนั้น นอกจากเลือกให้เหมาะกับปัญหาผิวและสภาพผิวหน้าแล้ว เมคอัพเบสยี่ห้อไหนดี และสีของไพรเมอร์เป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน ซึ่งสีไพรเมอร์หลัก ๆ มีด้วยกัน 4 สี ได้แก่ สีม่วงอ่อนเหมาะกับคนที่มีปัญหาหน้าหมองคล้ำต้องการปรับผิวให้ดูกระจ่างใสมากขึ้น สีเขียวเหมาะกับคนที่มีปัญหาสิว รอยแดง รอยดำ ต้องการปรับผิวให้ดูเรียบเนียน สีชมพูอ่อนเหมาะกับคนที่มีผิวขาวมากจนเห็นเส้นเลือดบนใบหน้า ต้องการกลบรอยเส้นเลือด รวมทั้งปรับสีผิวให้ผิวอมชมพูระเรื่อมากขึ้น และสีส้มพีชเหมาะกับคนที่มีผิวสีคล้ำ ต้องการปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้น
 
            เป็นอย่างไรบ้างสำหรับข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับการใช้ไพรเมอร์ที่เรานำมาฝากในวันนี้ แต่หากใครที่เพิ่งหัดแต่งหน้าและยังไม่รู้ว่าจะเลือก ใช้ primer ยี่ห้อไหนดี บอกเลยว่าห้ามพลาดไพรเมอร์ของ Bobbi Brown ที่มีให้เลือกทั้ง Vitamin Enriched Face Base, Vitamin Enriched Eye Base, Intensive Serum Radiance Primer SPF25 PA++, Primer Plus Mattifier และ Protective face primer ซึ่งจะช่วยให้การแต่งหน้าง่ายขึ้นแน่นอน

141
    การที่ผู้ประกอบการมีปัญหาขาดสภาพคล่องหรือ หมุนเงินไม่ทัน เป็นหนึ่งในปัญหาพื้นฐานที่พบได้บ่อย ๆ เมื่อดำเนินธุรกิจมาซักระยะ ผู้ประกอบการต้องแก้ไขและวางแผนบริหารการเงินให้ดี เพื่อให้ธุรกิจการค้าขายที่ทำอยู่สามารถดำเนินต่อไปได้

หาก เป็นแม่ค้าหมุนเงินไม่ทัน จะทำอย่างไร ?
   หลายคนที่พบกับปัญหานี้มักจะนึกถึงวิธีแก้ไขที่ต้องการกู้เงินนอกระบบ ซึ่งเป็นวิธีการได้เงินสดมาใช้สำหรับการเดินหน้าธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่วิธีการนี้มักจะต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราสูงมาก แถมยังเสี่ยงโดนทวงหนี้อย่างไม่เป็นธรรม หากยังไม่สามารถจัดการกับสภาพคล่องได้อีกก็จะทำให้เกิดปัญหาหนักมากขึ้น
    วิธีหมุนเงินขายของ ที่เหมาะสมสำหรับการทำธุรกิจของคนยุคใหม่ จึงต้องอาศัยแนวทางและวิธีจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มจาก
1.   พิจารณาค่าใช้จ่ายประจำที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนอย่างรอบคอบรัดกุม
อันดับแรกทำบัญชีรายรับรายจ่ายขึ้นมา ซึ่งการทำบัญชีแบบนี้จะทำให้มองเห็นว่าในแต่ละเดือนมีรายจ่ายประจำอะไรบ้าง และส่วนใดที่สามารถลดหรือตัดออกได้ โดยเฉพาะกรณีที่รายได้จากการทำธุรกิจไม่เพียงพอต่อรายจ่ายที่เกิดขึ้น การตัดรายจ่ายต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องจำเป็น ก่อนที่จะคิดหาเงินหมุนเวียนเพิ่มเติม 
2.   กำหนดค่าตอบแทนของตัวเองให้ชัดเจน
เป็นอีกเรื่องที่คนทำธุรกิจหรือค้าขายทั่วไปมักไม่ได้กำหนดอัตราค่าตอบแทนของตนเองไว้ จึงทำให้เงินหมุนเวียนในธุรกิจและค่าตอบแทนของตัวเองปะปนกันอยู่ เมื่อมีความจำเป็นที่จะใช้เงินในเรื่องส่วนตัวก็จะนำเงินในการทำธุรกิจมาใช้จ่าย จึงทำให้เกิดปัญหา หมุนเงินไม่ทัน หรือเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องในการทำธุรกิจนั่นเอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องมีการกำหนดอัตราค่าตอบแทนของตัวเองให้ชัดแล้วแยกเงินส่วนตัวกับเงินในการทำธุรกิจออกจากกัน
3.   หาแหล่งเงินกู้สำหรับเพิ่มสภาพคล่องในการทำธุรกิจ
โดยเทคนิคการขอสินเชื่อ กรุงไทย สามารถเลือกสินเชื่อสำหรับ SME จากสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่มีให้เลือกมากมาย สินเชื่อจะมีเงื่อนไขให้สอดคล้องกับกิจการ เงินทุนในการทำธุรกิจ และช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กมีสายป่านที่ยาวขึ้นสำหรับการทำธุรกิจ โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงเกินไป อาทิ ธนาคารกรุงไทยได้ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อแม่ค้า สำหรับผู้ประกอบการ SME ไว้หลากหลายประเภท เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละธุรกิจที่มีความแตกต่างกัน อย่างเช่น  สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SME ในพื้นที่ EEC ก็จะออกแบบมาสำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก (ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา) เท่านั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการในพื้นที่นี้ให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยกำหนดวงเงินสินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์ กรุงไทย ค้ำประกันไว้สูงสุดถึง 1 ล้านบาท และสินเชื่อแบบที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันจะสามารถกู้ได้สูงสุดถึง 3 เท่าของมูลค่าหลักทรัพย์ ด้วยอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4% เป็นต้น

นอกจากสินเชื่อในแบบข้างต้น กรุงไทยยังมีสินเชื่อเพื่อ SME ที่แยกตามประเภทธุรกิจ เช่น สินเชื่อสำหรับเจ้าของร้านขายยาและคลินิกทั่วไป สินเชื่อสำหรับเจ้าของร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และร้านค้าทั่วไป ซึ่งสามารถสอบถามรายละเอียดได้เลย

ชมรายละเอียดที่
https://krungthai.com/th/financial-partner/learn-financial/1244
https://krungthai.com/th/content/sme/loan/smart-shop

142
ถ้าคุณใช้โทรศัพท์ระบบเติมเงิน E-Wallet หรือ Easy Pass คุณจะคุ้นเคยกับการ เติมเงินออนไลน์ ด้วย Mobile Banking หรือการเติมเงินผ่านแอปธนาคาร แต่ถ้าคุณไม่คุ้นเคยเพราะยังไม่เคยใช้บริการนี้เราจะเปิดข้อดีของการเติมเงินวิธีนี้กัน แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นเรามาดูข้อดีของโทรศัพท์ระบบเติมเงิน E-Wallet และ Easy Pass กันก่อน เผื่อจะมีบางคนสนใจใช้งานและเติมเงินออนไลน์ผ่านแอปธนาคารไปพร้อมกับเรา

โทรศัพท์ระบบเติมเงิน เป็นการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เราต้องจ่ายค่าบริการล่วงหน้า หรือ เติมเงินมือถือ เข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ มีความสะดวกและรวดเร็วในการเปิดใช้งาน สามารถควบคุมค่าบริการได้ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานน้อยหรือปริมาณการใช้งานไม่แน่นอนเพราะจ่ายค่าบริการตามที่ใช้จริง และไม่มีการกำหนดปริมาณใช้งานขั้นต่ำ แต่มีกำหนดระยะเวลาการ เติมเงินโทรศัพท์ ตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการ

E-Wallet หรือที่เรียกกันว่ากระเป๋าเงินออนไลน์ หรือกระเป๋าเงินดิจิทัล เป็นแอปพลิเคชันที่ใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ เติมบัตรโดยสาร และอื่น ๆ สามารถใช้ซื้อของออนไลน์ได้ และสามารถใช้ในต่างประเทศได้ (ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ) เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิต ใช้งานได้เหมือน Mobile Banking แต่พื้นที่ใช้งานน้อยกว่า มีข้อดีคือมีรายการส่งเสริมการขาย มีส่วนลด และหากในกรณีเกิดความเสียหาย ความเสียหายจะถูกจำกัดแค่ยอดเงินคงเหลือใน E-Wallet

Easy Pass เป็นบัตรที่ใช้ในระบบเก็บค่าผ่านทางพิเศษของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โดยผู้ใช้บริการสามารถขับรถผ่านช่องทางพิเศษที่มีป้ายแสดงคำว่า Easy Pass ได้ทันที สามารถใช้บัตร Easy Pass ได้ที่ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง และทางพิเศษของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย นอกจากนี้บัตร Easy Pass ยังสามารถใช้ชำระค่าบริการ M-Flow สำหรับสมาชิกได้ด้วย

ข้อดีของการ เติมเงิน ผ่านแอปธนาคารเมื่อเปรียบเทียบกับการเติมเงินวิธีอื่นพอจะสรุปได้ดังนี้
-   ไม่ต้องเดินทางเพราะอยู่ที่ไหนก็เติมเงินได้
-   ไม่ต้องพกเงินสดเพื่อใช้ในการเติมเงิน
-   ใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
-   ไม่มีค่าธรรมเนียม
-   ตั้งวันที่ทำรายการได้ล่วงหน้าเพื่อให้การใช้บริการเป็นไปอย่างต่อเนื่องหรือเพื่อใช้ควบคุมค่าใช้จ่ายรายเดือนได้

ขั้นตอนวิธีเติมเงินที่มีแค่ 3 ขั้นตอนง่าย ๆ
1.   เลือก “เติมเงิน” และเลือกค่ายโทรศัพท์มือถือ E-Wallet ที่เราต้องการ หรือเลือก Easy Pass
2.   ใส่หมายเลขอ้างอิง ได้แก่ หมายเลขโทรศัพท์มือถือ หรือหมายเลข E-Wallet หรือหมายเลข S/N ของบัตร Easy Pass ที่ต้องการเติมเงิน
3.   ระบุยอดเงินและกดยืนยัน แค่นี้เงินก็ถูกเติมเข้าไปในโทรศัพท์มือถือ หรือ E-Wallet หรือบัตร Easy Pass ของคุณแล้ว

การให้บริการ เติมเงิน ของแต่ละธนาคารอาจแตกต่างกัน เช่น Krungthai NEXT ของธนาคารกรุงไทย ให้บริการเติมเงินบัตร M-Pass และบัตรเงินสดประเภทเติมเงินของ PTT หรือ SCB Easy ของธนาคารไทยพาณิชย์ ให้บริการเติม VPlus Wallet ซึ่งเป็น E-Wallet ของวิลล่ามาร์เก็ท เป็นต้น

ไม่ใช่แค่การเติมเงินออนไลน์ Mobile Banking ยังมีบริการอื่นที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ทำได้อีก เช่น ชําระภาษีออนไลน์ การจ่ายบิล การกดเงินไม่ใช้บัตร การขอตรวจสอบเครดิตบูโร การซื้อประกันการเดินทาง ขึ้นเงินสลากกินแบ่ง การซื้อบัตรชมภาพยนตร์ เป็นต้น

การ เติมเงินออนไลน์ ด้วย Mobile Banking มีความสะดวก สามารถใช้บริการที่ไหนก็ได้ ใช้งานง่าย สามารถตั้งเวลาการเติมเงินได้ล่วงหน้า มีความรวดเร็ว ไม่ต้องเดินทางหรือเข้าแถวรอรับบริการ และไม่มีค่าธรรมเนียม เริ่มต้นการใช้งานก็ง่ายแค่คุณมีสมาร์ทโฟน มีอินเทอร์เน็ต โหลดแอปธนาคารมาแล้วก็ใช้งานได้เลย

143
   นักเดินทางที่ไปเที่ยวเมืองนอกบ่อยๆ เลือกสมัครบัตรเดบิต travel card กันมากเพราะตอบโจทย์ครอบคลุมทุกปัญหาการใช้จ่ายในระหว่างท่องเที่ยวต่างประเทศ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องที่ไม่มีบัตรเครดิต ต้องแลกสกุลเงินไปให้เพียงพอใช้จ่าย หรือเรื่องการพกเงินติดตัวจำนวนมากก็มีความเสี่ยงมากเหมือนกัน ตัดปัญหายุ่งยากเหล่านี้ด้วยบัตร travel card ใบเดียวซึ่งมีให้เลือกจากหลายธนาคารชั้นนำ มาอ่านทำความเข้าใจไปพร้อมกัน
   บัตรเดบิตใช้ดีอย่างไร
   บัตรเดบิต Travel Card คือบัตรที่โอนเติมเงินเข้าไปและแลกเป็นสกุลเงินต่างประเทศเพื่อใช้จ่ายสินค้าหรือซื้อของออนไลน์ก็ได้ เติมเงินได้เหมือนบัตรเติมน้ำมัน พกบัตรใบเดียวรูดจ่ายได้เหมือนบัตรเครดิต และกดเบิกเงินจากตู้ ATM ต่างประเทศได้เหมือนกับ บัตร atm ไม่ต้องเสียเวลาแลกเงินตามธนาคารซึ่งจ่ายค่าธรรมเนียมสูงหรือถ้าไปหาตามร้านรับแลกเงินอาจเสี่ยงได้แบงก์ปลอม เวลากลับมายังต้องแลกคืนและเสี่ยงถูกกดราคาอีก เพียงถือบัตรใบเดียวอยู่ในมือหมดกังวลเรื่องการใช้จ่ายในต่างประเทศ ไม่ต้องเก็บเงินไว้กับตัวจำนวนมาก อีกทั้งค่าธรรมเนียมยังมีราคาเป็นมิตรกว่าเพราะไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน 2.5% ด้วย
   บัตร Travel Card จะแยกออกเป็น 2 ประเภทหลักคือ
ประเภทเติมเงิน ต้องเติมเงินเข้าไปก่อนใช้งาน เช่น
-Krungthai Travel Card
-PLANET SCB
-YouTrip powered by KBANK
ประเภทเดบิตทั่วไป ตัดเงินออกจากบัญชีเงินฝากที่ผูกกับบัตรโดยตรง เช่น
-TMB All Free
บัตรของธนาคารไหนดีที่สุด
บัตรของแต่ละธนาคารมีคุณสมบัติและเงื่อนไขการใช้งานแตกต่างกัน ก่อนเลือก สมัครบัตรเดบิต บัตรใดควรเช็คข้อดีนำมาเปรียบเทียบกันให้ชัดเจนก่อนว่าบัตรใบไหนมีเงื่อนไขการใช้งานง่าย สะดวก และตอบโจทย์การใช้งานของคุณมากที่สุด รายละเอียดคร่าวๆ ของบัตร Travel Card ที่ได้รับความนิยม 4 บัตรดังนี้
1.บัตร PLANET SCB ของธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นบัตรเติมเงินใช้ได้ทั้งการแลกสกุลเงินต่างประเทศล่วงหน้าเก็บไว้ในบัตร หรือรูดใช้จ่ายแบบบัตรเครดิตของ VISA รองรับการแลกเปลี่ยนทุกสกุลเงิน
-จุดเด่นคือ ฟรีค่าธรรมเนียมรายปีตลอดชีพ แลกเงินและโอนเงินง่ายผ่านแอป SCB EASY ล็อกเรทแลกเงินต่างประเทศเก็บไว้ได้ 13 สกุลเงิน วงเงินในบัตรสูงสุดถึง 5 ล้านบาท กดเงินสดผ่านตู้ ATM ในต่างประเทศสูงสุด 100,000 บาทต่อวัน มีวงเงินประกันการเดินทาง 10 วันสูงสุด 1 ล้านบาท
-จุดด้อยคือ กดเงินสดในประเทศไทยไม่ได้
2.บัตร Krungthai Travel Card ของธนาคารกรุงไทย เป็นบัตรเติมเงินที่แลกเงินต่างประเทศล่วงหน้าเก็บไว้ได้ รองรับการแลกเปลี่ยน 19 สกุลเงินเท่านั้น แลกเงินและใช้งานผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT
-จุดเด่นคือ ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี วงเงินในบัตรสูงสุด ไม่เกิน 5 ล้านบาท บัตร Krungthai Travel Visa Platinum Card บัตรเดบิตประกัน อุบัติเหตุการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ วงเงินคุ้มครองสูงสุด 6 ล้านบาท ถอนเงินในต่างประเทศได้ 100,000 บาท ต่อวัน
-จุดด้อย คือ ถ้าไม่แลกสกุลเงินที่รองรับก่อน จะไม่สามารถรูดจ่ายได้ทันที
3.บัตร YouTrip powered by KBANK ของธนาคารกสิกรไทย เป็นบัตรเติมเงินที่รองรับ Mastercard รองรับทุกสกุลเงินต่างประเทศ
-จุดเด่นคือ ฟรีค่าธรรมเนียมสมัครบัตร และค่าธรรมเนียมรายปี สามารถรูดจ่ายและช็อปออนไลน์ได้ทุกสกุลเงินทั่วโลก ล็อกเรทได้ แลกเงินล่วงหน้าเก็บไว้ได้ 10 สกุลเงิน ยกเว้นค่าธรรมเนียมกดเงินสดจากตู้ ATM ที่ต่างประเทศ จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2565 ควบคุมการใช้งานง่ายผ่านแอป YouTrip มีระบบ SmartExchange แลกเงินเป็นสกุลอื่นตามเรทในเวลานั้น กรณีที่แลกเงินล่วงหน้าไปไม่เพียงพอ วงเงินรูดได้สูงสุด 500,000 บาทต่อวัน
-จุดด้อยคือ ไม่มีประกันการเดินทาง
4.บัตร TMB All Free ของธนาคารทหารไทย เป็นบัตรเดบิตสำหรับรูดใช้จ่ายเงินในต่างประเทศโดยหักจากบัญชีที่ผูกไว้ได้เลย ไม่ต้องแลกสกุลเงินก่อน
-จุดเด่นคือ เป็น บัตร atm เบิกเงินสดจากตู้ ATM ได้ทุกธนาคารทั่วไทย วงเงินรูดได้สูงสุด 500,000 บาทต่อวัน ค่าธรรมเนียมถอนเงินในต่างประเทศถูกที่สุด 75 บาทต่อครั้ง มีส่วนลดและสะสมแต้มสำหรับการใช้จ่ายในประเทศ มีประกันการเดินทางต่างประเทศให้ฟรี 10 วัน คุ้มครองสูงสุด 1 ล้านบาท
-จุดด้อยคือ มีการจ่ายค่าแรกเข้าและรายปี อัตราแลกเงินแปรผันตามวันที่ใช้ ต้องโอนเงินในบัญชีไว้ให้เพียงพอต่อการใช้จ่าย
สรุปว่าการใช้จ่ายผ่าน บัตรเดบิต travel card ประเภทเติมเงินมีข้อดีตรงที่สามารถล็อกเรทเงินที่จะแลกได้ โดยเลือกกดแลกเงินผ่านแอปไว้ล่วงหน้า ซึ่งแต่ละบัตรรองรับสกุลเงินต่างกัน ไม่ครอบคลุมสกุลเงินทั่วโลกเหมือนกับบัตรประเภทเดบิตซึ่งรูดเงินจ่ายได้ทันที ทำบัตรเดบิตออนไลน์ได้ ใช้ง่ายและสะดวกดีแต่อาจจ่ายแพงกว่าเนื่องจากเรทเงินจะแปรผันไปตามเวลาที่ใช้บัตรนั่นเอง

144
   แต่ละเมนูกาแฟต่างก็มีวิธีการทำ ส่วนประกอบเมนูกาแฟที่แตกต่างกันออกไป โดยในแต่ละเมนูนั้นจุดเด่นของรสชาติย่อมไม่เหมือนกันไปด้วย สำหรับใครที่อยากชงกาแฟอร่อยจนวางไม่ลงแล้วล่ะก็ เรามี สูตรกาแฟเย็น สุดปังมาแชร์ รับรองได้ว่าต้องโดนใจแน่นอน

สูตรลาเต้เย็น และสูตรมอคค่าเย็น ตามแบบฉบับกาแฟ Nespresso
•   สูตรแรกที่จะมาแชร์ก็คือ สูตรมอคค่าเย็น ส่วนประกอบของเมนูนี้คือ แน่นอนเลยว่าใช้โกโก้ปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ กาแฟแคปซูลเอสเปรสโซจำนวน 1 แคปซูล และนมสดร้อนปริมาณ 80 มิลลิลิตร วิธีการทำ เมนูกาแฟ นี้ก็คือนำกาแฟแคปซูลรสชาติที่ชอบ ใส่ลงเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ กดเมนูชงกาแฟเป็นแบบเอสเปรสโซ เมื่อได้กาแฟสดที่ต้องการแล้วสามารถนำไปผสมรวมกับนมสดร้อน ด้วยอัตราส่วนของกาแฟสดต่อนมสด (กาแฟ 1 ส่วนและนมสด 2 ส่วน) หรือถ้าใครที่ชงโดยเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติที่มีโปรแกรมของเมนูมอคค่าอยู่แล้วก็สามารถกดเลือกที่ปุ่มเมนูได้เลย หลังจากได้กาแฟออกมาแล้วให้เติมผงโกโก้หรือน้ำเชื่อมรสโกโก้ตามลงไป ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน เติมน้ำแข็งตามปริมาณที่เหมาะสมตามลงไป เพียงเท่านี้ก็ได้เมนูมอคค่าเย็นสุดอร่อยแล้ว
•   และอีกสูตรคือ สูตรกาแฟลาเต้เย็นสุดฟิน ที่เป็นเมนู กาแฟใส่นม ประยุกต์สูตรต่อยอดได้หลากหลายสไตล์ ผู้ที่ไม่ชอบกาแฟแบบเข้ม ขม ๆ สามารถดื่มเมนูนี้ได้ วิธีการทำก็แสนจะง่ายดายเพียงแค่ กดชงกาแฟแคปซูลจำนวน 1 แคปซูลให้ได้ปริมาณ 40 มิลลิลิตร นำนมสดร้อนที่ผ่านการสตรีมเติมลงไปในปริมาณ 80-120 มิลลิลิตร ผสมส่วนผสมทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน เติมน้ำเชื่อมหรือน้ำตาลตามต้องการเพื่อเพิ่มความหวาน เติมน้ำแข็งก้อนเล็กลงไปหรือนำไปเข้าตู้เย็นเพื่อลดอุณหภูมิของเครื่องดื่มกาแฟลาเต้ให้กลายเป็นลาเต้เย็น  เมื่อต้องการเสิร์ฟให้ทำฟองนมวางที่ด้านบน โรยผงอบเชยหรือผงช็อกโกแลตเล็กน้อยที่ด้านบนฟองนม เป็นอันเสร็จ

แต่ละ สูตรกาแฟเย็น ที่ได้แนะนำไปนั้นมีความอร่อยเฉพาะตัว ล้วนแล้วแต่เป็นเมนูกาแฟนมที่มีความอร่อย โดยสูตรชงกาแฟที่ได้แนะนำไปนั้นทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ให้ตรงกับความต้องการของตนเองหรือใครจะนำไปชง กาแฟใส่นม ตามเลยก็ได้เช่น รับรองว่าต้องติดใจอย่างแน่นอน


ชมรายละเอียดเพิ่ม
https://www.nespresso.com/th/th/nespresso-iced-coffee
https://www.nespresso.com/th/th/nespresso-iced-coffee

145
สกินแคร์ที่หลาย ๆ คนมองข้ามอย่าง มอยส์เจอไรเซอร์ เป็นสกินแคร์พื้นฐานที่เราแนะนำให้ทุกคนควรใช้เป็นประจำทุกวัน เพราะจริง ๆ แล้วผิวที่ข้ามขั้นตอนมอยส์เจอไรเซอร์ไปอาจจะพบปัญหาขาดความชุ่มชื้น อ่อนแอ ขาดความสมดุลในผิว และเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นสิว จุดด่างดำ หรือแม้กระทั่งริ้วรอยก่อนวัย และการลงมอยเจอร์ไรเซอร์ให้ถูกวิธีถูกขั้นตอน ก็จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์เข้าไปบำรุงผิวได้ดียิ่งขึ้น ผิวจึงดูเนียนสวย กระจ่างใส แต่หากลงผิดขั้นตอนประสิทธิภาพการบำรุงอาจเห็นผลลัพธ์ได้ไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้นลองมาดูว่าสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันถูกต้องแล้วหรือยัง วันนี้เรามีขั้นตอนการดูแลผิวทั้งในช่วงเช้าและกลางคืนอย่างถูกวิธีมาแนะนำ ตามไปดูพร้อมกันได้เลย

ขั้นตอนการบำรุงผิวในช่วงเช้า
1.   ล้างหน้าให้สะอาดก่อน เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกและความมันบนใบหน้า
2.   เช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์ เพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อาจจะยังตกค้างอยู่ในรูขุมขน และปรับสภาพผิวให้พร้อมต่อการบำรุงผิว
3.   เอสเซนส์ หรือน้ำตบ เป็นสกินแคร์ที่เนื้อบางเบาที่สุด จึงต้องลงเป็นอันดับแรก ช่วยคืนความชุ่มชื้นที่เสียไประหว่างล้างหน้า และช่วยให้ผิวดูดซึมสกินแคร์ตัวอื่น ๆ ที่จะลงต่อไปได้ดีขึ้น
4.   เซรั่มลดริ้วรอย สารอาหารดี ๆ ที่มีความเข้มข้นสูง จะเข้าไปช่วยบำรุงและแก้ปัญหาผิวได้อย่างล้ำลึก
5.   ปิดท้ายกับการการสร้างเกราะป้องกันผิวด้วยครีมกันแดด สำหรับสาวผิวมันควรเลือกแบบเนื้อบางเบาไม่เหนียวเหนอะ เพราะมอยเจอร์ไรเซอร์ก็มีความชุ่มชื้นอยู่แล้ว หากเลือกครีมกันแดดเนื้อเหนียวหรือมีความฉ่ำวาวอาจทำให้หน้ามันเยิ้มและเครื่องสำอางหลุดในระหว่างวันได้

ขั้นตอนการบำรุงผิวในช่วงกลางคืน
1.   ใช้เมคอัพรีมูฟเวอร์ และ ล้างด้วยโฟมล้างหน้า เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง และความมันที่ตกค้างอยู่บนใบหน้า
2.   เช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์ เพื่อปรับผิวและป้องกันเครื่องสำอางตกค้างในรูขุมขน
3.   เอสเซนส์ หรือน้ำตบ เพื่อเติมความชุ่มชื้นและเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุง
4.   เซรั่มลดริ้วรอย เพื่อบำรุงผิวอย่างตรงจุด
5.   ปิดท้ายด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ ของ ELCA เป็นสกินแคร์ที่มีเนื้อหนัก จึงต้องลงทีหลังสุด ช่วยเคลือบผิว เหมือนเป็นเกราะที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น และปกป้องผิวจากมลภาวะ

หากใครคิดว่ายุ่งยาก สามารถจำง่าย ๆ ว่าเนื้อใสและบางเบาลงก่อน เนื้อหนักลงทีหลัง แล้วค่อย ๆ ไล่ลำดับความข้นของผลิตภัณฑ์มาตามลำดับได้เลย อย่างเช่น คนที่มีปัญหาผิวแห้ง นอนน้อย ผิวดูโทรม และหมองคล้ำ ให้บำรุงผิวด้วย Estee Lauder Perfectionist Pro เพื่อเปลี่ยนผิวที่ดูซีดเซียวให้สดชื่นมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ จากนั้นตามด้วย Estee Lauder Revitalizing Supreme+ Bright มอยส์เจอไรเซอร์ ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอนิกและสารสกัดที่ช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม โอบอุ้มผิวให้ชุ่มชื้นต่อเนื่องและยาวนาน เผยผิวใหม่ที่แลดูสว่างกระจ่างใสสุขภาพดี

146
จากเครื่องดื่มที่มักจะถูกนึกถึงเมื่อต้องการคลายความง่วงนอนเพิ่มความตื่นตัวให้กับร่างกาย ในปัจจุบันกาแฟเป็นมากกว่านั้นเพราะเรามักจะพบเห็นผู้คนถือแก้วกาแฟอยู่ในมือแทบตลอดทั้งวัน หรือแม้แต่จำนวนร้านกาแฟที่มีเปิดให้บริการมากมายซึ่งพร้อมต้อนรับคอกาแฟด้วยสารพัดเมนู เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น Coffee Lover ก็ต้องมีเมนูกาแฟสุดโปรดในใจอย่างแน่นอน

สำหรับคนที่ชื่นชอบกาแฟรสเข้มข้นหนักแน่นก็ต้องเมนู เอสเพรสโซ่ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่กลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์จากเมล็ดกาแฟที่เลือกใช้ จึงเสิร์ฟเป็นกาแฟร้อนเพื่อให้ได้สัมผัสรสชาติความเข้มข้นเฉพาะตัวที่แท้จริงของกาแฟโดยไม่มีการปรุงแต่งหรือผสมอย่างอื่นลงไป ช็อตespresso ของ Nespresso จึงมีแค่เพียงกาแฟและน้ำร้อนเท่านั้น และเป็นเมนูตั้งต้นในการทำเมนูอื่น ๆ ต่อไป เช่น ช็อตเอสเพรสโซ่เมื่อผสมกับน้ำเปล่าจะได้เป็นอเมริกาโน่ หรือช็อตเอสเพรสโซ่เติมฟองนมแล้วได้ คาปูชิโน่ เป็นต้น

ไม่ว่าจะเป็นกาแฟดำหรือกาแฟนมสามารถชงดื่มเองที่บ้านได้ด้วยวิธีแสนง่าย ได้กาแฟสดที่รสชาติกลมกล่อม หอม อร่อย เหมือนมีคาเฟ่ส่วนตัวในบ้านแค่มี เครื่องชงกาแฟ แคปซูล Nespresso รุ่น New Lattissima One เพียงเครื่องเดียวก็สามารถชงกาแฟสารพัดเมนูได้ทั้งร้อนและเย็น ซึ่ง New Lattissima One เป็นรุ่นปรับปรุงใหม่เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการชงเมนูกาแฟนมนั้นมีปุ่มสัมผัสเพียงปุ่มเดียว กระบอกบรรจุนมใหญ่ขึ้นสามารถเปิดฝาจากทางด้านบนเพื่อให้สะดวกต่อการเติมนม สามารถถอดกระบอกนมไปแช่ตู้เย็นได้และใช้กับเครื่องล้างจานได้ มีระบบแจ้งเตือนล้างตะกรัน มีโหมดประหยัดพลังงานที่ปิดการใช้งานอัตโนมัติภายหลัง 2 นาที สำหรับเมนูเครื่องดื่มทั้งหมดจะถูกตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้าพร้อมกับการเซตค่าจากโรงงาน แต่สามารถปรับใหม่เพื่อให้เหมาะกับรสชาติที่ชื่นชอบได้

แนะนำวิธีใช้เครื่องชงกาแฟ Nespresso รุ่น New Lattissima One ชงกาแฟ 2 สูตรยอดนิยม
1.   สูตรชงกาแฟ เอสเพรสโซ่ ที่แสนง่ายโดย Nespresso รุ่น New Lattissima One เริ่มจากเปิดฝาด้านบนแล้วใส่ แคปซูลกาแฟ เอสเพรสโซ่ลงไปจากนั้นปิดฝา วาง ถ้วยกาแฟ ใต้ช่องจ่ายกาแฟ กดปุ่ม Espresso (40 มล.) กาแฟจะหยุดเองโดยอัตโนมัติ ง่าย ๆ และมีความรวดเร็วมาก แค่นี้ก็จะได้ดื่มด่ำความเข้มข้นกลมกล่อมของเอสเพรสโซ่แล้ว ซึ่ง แคปซูลกาแฟเอสเพรสโซ่ ของ Nespresso มีหลายรสชาติให้เลือกได้ตามความชอบจากเซตกาแฟแคปซูลที่มาพร้อมกับเครื่องเพื่อให้ค้นหารสชาติกาแฟที่ถูกใจที่สุด
2.   คาปูชิโน่ก็คือกาแฟเอสเพรสโซ่ที่มีฟองนมนุ่มละมุน วิธีการชงไม่ยากเลยเมื่อมี New Lattissima One สูตรชงกาแฟ คาปูชิโน่ เริ่มจากใส่นมลงในเหยือกนมจนได้ปริมาณในระดับ Cappuccino จากนั้นปิดฝานมแล้วเชื่อมต่อกับเครื่อง รอ 15 วินาที เพื่อให้เครื่องทำความร้อนจากนั้นเปิดฝาใส่แคปซูลกาแฟรสชาติที่ชอบ วาง ถ้วยกาแฟ คาปูชิโน่ใต้ช่องจ่ายกาแฟ ปรับตำแหน่งของถ้วยกาแฟและช่องใส่นมให้ได้ระดับที่เหมาะสมกัน กดปุ่มนมซึ่งนมทั้งหมดจะถูกใช้ในครั้งเดียว (เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วมีระบบ Rapid Cappuccino System แจ้งเตือนให้ทำความสะอาดเครื่อง) คาปูชิโน่ที่ได้ถ้วยนี้เป็นแบบเบสิกทั่วไป หากต้องการจะลองทำเมนูคาปูชิโน่สูตรต่าง ๆ หรือสร้างสรรค์เมนูคาปูชิโน่ที่เป็นแบบฉบับของตัวเองก็สามารถทำได้ง่ายขึ้นอยู่กับรสชาติกาแฟแคปซูลและส่วนผสมต่าง ๆ เช่น เมื่อใช้แคปซูลกาแฟ Cocoa Truffle เติมความหวานด้วยคาราเมล โรยด้วยผงโกโก้ คุณก็จะได้คาปูชิโน่กลิ่นช็อกโกแลตทรัฟเฟิลแล้ว

ให้ Coffee Lover ได้สัมผัสประสบการณ์กาแฟที่สมบูรณ์แบบทั้งกาแฟดำเข้มข้นที่ช่วยปลุกพลังสร้างความสดชื่นในทุกเช้าหรือผ่อนคลายไปกับความละมุนของกาแฟนม ออฟชั่นครบจบในเครื่องเดียวด้วย เครื่องชงกาแฟ  Nespresso รุ่น New Lattissima One

147
   อย่างที่หลาย ๆ คนทราบว่าการดื่มกาแฟดำนั้นดีต่อสุขภาพ เพราะกาแฟดำไม่ว่าจะเมนู espresso หรือ americano นั้นนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ คาเฟอีนยังเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน วันนี้เลยอยากจะชวนคอกาแฟสายเฮลตี้มาดื่มกาแฟดำแบบคั่วอ่อนที่บางคนอาจจะยังไม่เคยลองมาก่อน
   คนส่วนใหญ่มักจะมองว่ากาแฟดำนั้นจะดื่มยากเพราะทั้งขมและกลิ่นแรง เหตุผลเพราะว่าไม่เข้าใจประเภทของกาแฟที่นำมาชง แน่นอนว่ากาแฟดำส่วนใหญ่จะใช้ กาแฟคั่วเข้ม ชง ซึ่งระดับการคั่วเมล็ดกาแฟคั่วเข้มคือ คั่วจนเมล็ดกาแฟสุกแตกถึง 2 ครั้ง คล้ายการคั่วป็อปคอร์น ทำให้เมล็ดกาแฟมีสีน้ำตาลเข้มพร้อมมันเงา หอมกลิ่นไหม้อันเป็นเอกลักษณ์ เมื่อนำไปชงแล้วจะให้รสชาติขม เนื้อสัมผัสที่หนักแน่นเข้มข้น เหมาะกับการชงเป็นช็อต espresso คนที่ไม่ชินกับการดื่มกาแฟดำเพียว ๆ จึงรู้สึกฝืดคอเมื่อต้องดื่มต่างจาก กาแฟคั่วกลาง และคั่วอ่อน
   ส่วน กาแฟคั่วกลาง เป็นกาแฟที่คั่วจนมีเสียงแตกเพียงแค่ 1 ครั้ง ทำให้เมล็ดกาแฟมีสีน้ำตาลอ่อน ๆ รสชาติไม่ขมมากแต่จะมีความเปรี้ยวเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ แถมยังปนความหวานเบา ๆ เนื้อบอดี้กาแฟหนักเข้ากันได้ดีกับนมจึงเหมาะกับเมนู latte, cappuccino, mocha ฯลฯ ที่เป็นกาแฟผสมนมเป็นอย่างมาก แต่ถ้าชงเป็นกาแฟดำก็จะให้ความเข้มขมน้อยกว่าแบบ กาแฟคั่วเข้ม แต่ด้วยความที่เนื้อสัมผัสบอดี้ของกาแฟหนักทำให้บางคนยังรู้สึกว่าเข้มข้นและขมอยู่เล็ก ๆ ได้ แนะนำให้ไปชงเป็นกาแฟดำแบบ americano ดื่มแบบเย็นก็พอจะลดความเข้มข้นลงได้บ้าง
   เรามีทางเลือกใหม่ในการดื่มกาแฟดำด้วย กาแฟคั่วอ่อน ซึ่งเป็นกาแฟที่ผ่านการคั่วน้อยที่สุด เมล็ดกาแฟยังสีทองอ่อน ๆ ไม่มีกลิ่นคั่วไหม้ ระดับความเข้มของกาแฟ ของ Nespresso ยังไม่ทำให้รสชาติขม หากแต่มีความเป็นผลไม้ให้รสชาติเปรี้ยวฝาด เหมาะกับการชงกาแฟดำแบบร้อนเป็นที่สุด ดื่มแล้วให้ความสดชื่น ไม่ขมเข้ม แต่จะเปรี้ยวอ่อน ๆ ให้มิติใหม่ในการดื่มกาแฟดำที่ต่างไปจากเดิม
   ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ทำใจไม่ได้สักทีกับกลิ่นและความขมของกาแฟดำสุดเข้มข้น ลองหันมาใช้ กาแฟคั่วอ่อน ดูบางทีคุณอาจจะตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว
   
ชมเพิ่มเติมที่
https://www.nespresso.com/th/th/coffee-roast-levels

148
การเลือกลิปสติก นอกจากต้องเลือกโทนสีแมทกับผิวและเหมาะกับลุคแล้ว เนื้อลิปสติกที่ตอบโจทย์ก็มีผลต่อการใช้งานเช่นกัน เพราะหากเลือกเนื้อลิปสติกที่แห้งเกินไปอย่าง ลิปเนื้อแมท ระหว่างวันปากอาจตกร่อง หรือแห้งเป็นขุยก็ได้ หากเลือกเนื้อกลอสวาววับเกินไปอาจทำให้ปากดูบวมเจ่อ ก่อนตัดสินใจซื้อลิปสติกจึงควรทำความรู้จักเนื้อแต่ละประเภทเสียก่อน เพื่อความสวยปังของลุค
ทำความรู้จักเนื้อลิปสติกแต่ละแบบ
1. ลิปเนื้อแมท
ลิปแมทติดทน ของ ELCA สุดฮิต ทาแล้วแนบไปกับปาก จุดเด่นคือเม็ดสีชัดแน่น กลบสีปากเดิมได้ดีเยี่ยม เหมาะกับคนปากคล้ำและคนที่ชอบแต่งหน้าลุคสายฝอ แนะนำให้ทาลิปสติกบำรุงก่อนจะทาลิปแมท ปากจะได้ไม่ตกร่องระหว่างวัน
2. ลิปเนื้อครีม
หากกลัวว่าลิปเนื้อแมททาแล้วปากแห้งเกินไป แนะนำให้เลือกแบบเนื้อครีมที่มีความวาวเล็กน้อย ทาแล้วปากไม่แห้ง เม็ดสียังคงเด่นชัด มอบสัมผัสเนียนนุ่มขณะทา แต่สีหลุดออกง่ายกว่าลิปเนื้อแมท
3. ลิปเนื้อลิควิด
ลิปเนื้อเหลวที่มักมาในรูปแบบลิปจิ้มจุ่ม ใช้งานสะดวก จุดเด่นคือให้เม็ดสีชัด กลบสีปากเดิมได้ดี มีให้เลือกทั้งแบบที่ทาแล้วดูแมทแห้งและฉ่ำวาว
4. ลิปกลอส
หากชอบลุคฉ่ำวาว แนะนำให้เลือกลิปกลอส มาพร้อมคุณสมบัติช่วยมอบความชุ่มชื้น แวววาว เหมาะกับคนปากแห้ง สำหรับใครที่ริมฝีปากหนาแนะนำให้ทาแต่น้อย เพราะปากจะอวบอิ่มขึ้นจนอาจดูบวมเจ่อมากเกินไป
5. ลิปทินต์
ถ้าอยากแต่งหน้าทาปากให้ได้ลุคใส ๆ เชิญทางนี้ เพราะลิปทินต์ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นธรรมชาติ เนื้อใส บางเบา ทาแล้วไม่หนักปากจึงไม่กลบสีปากเดิม
แนะนำ ลิปยี่ห้อไหนดี ของ ELCA ที่ห้ามพลาด
- M.A.C Powder Kiss Lipstick
ลิปสติกเนื้อแมทแบบแท่ง รุ่นยอดนิยม มีให้เลือกมากถึง 19 โทนสี เม็ดสีแน่นจึงสามารถกลบสีปากเดิมได้ดี เนื้อลิปสติกนุ่ม ทาแล้วเบาสบาย ไม่หนักปาก แถมติดทนนานและมอบความชุ่มชื้นตลอดวัน
- M.A.C Powder Kiss Liquid Lipcolour
ลิปจิ้มจุ่มเนื้อแมท ใช้งานง่าย แม้จะเป็นเนื้อแมทแต่ทาแล้วไม่หนักปาก มอบความชุ่มชื้นทันทีที่ทา ริมฝีปากรู้สึกยืดหยุ่นตลอดวัน เหมาะกับคนต้องการกลบสีปากเดิม แต่ต้องการความเบาสบาย
ใครอยากมีปากสวยสีชัดอวบอิ่ม ห้ามพลาดเป็นเจ้าของลิปสติกจาก MAC Cosmetic แบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำทั้งสองรุ่น แต่ละรุ่นมาพร้อมโทนสีมากมายเพื่อให้เหมาะกับผิวคุณ และอย่าลืมสครับปากสัปดาห์ละครั้ง ปากจะได้ดูสุขภาพดี สีสว่าง ไม่แห้งแตก ทาลิปสีไหนออกมาก็สวยปัง

ชมข้อมูลที่
https://sistacafe.com/summaries/96021

149
ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหนของวัน เมื่ออ่อนล้า กาแฟ จะช่วยเยียวยาเราได้เสมอ กลิ่นหอมของกาแฟทำให้บางคนรู้สึกสดชื่น บ้างก็ว่าเป็นเพราะรสชาติของกาแฟที่ทำให้สมองตื่นตัว ดังนั้น ประโยชน์ของกาแฟ ที่ทุกคนรู้สึกได้นั่นคือช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ร่างกายตื่นตัว และ กระปรี้กระเปร่า กาแฟยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย โดยเฉพาะในกาแฟดำ

ประโยชน์ของกาแฟดำ
1.   คนที่ชอบออกกำลังกายหรือต้องการดูแลรูปร่างให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม ก่อนออกกำลังกายประมาณ 30 นาที ควรดื่มกาแฟดำสักแก้วจะช่วยให้เราออกกำลังกายได้นานและหนักขึ้น เนื่องจากกาแฟดำไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) มากขึ้น ส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น เลือดถูกสูบฉีดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้ดีขึ้น กระตุ้นให้ร่างกายดึงไขมันออกมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันและระบบเมตาบอลิซึมทำให้ร่างกายพร้อมต่อการออกกำลังกายที่ใช้เวลานาน เช่น การเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน รวมทั้งการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น แอโรบิก กระโดดเชือก ว่ายน้ำ เป็นต้น
2.   กาแฟดำมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงโดยเฉพาะกลุ่มสารฟลาโวนอยด์ ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 แมงกานีส โพแทสเซียม และแมกนีเซียม จึงทำให้ร่างกายได้รับ ประโยชน์ของกาแฟ ทั้งในเชิงสุขภาพและความงาม อาทิ ช่วยชะลอวัย ช่วยลดความเหี่ยวย่น ทำให้ผิวพรรณกระชับเต่งตึง ชะลอความเสื่อมของเซลล์ประสาท สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งปากมดลูกได้
3.   กาแฟช่วยลดความง่วง ปลุกความสดชื่น เพิ่มความตื่นตัวของสมอง เนื่องจากคาเฟอีน ในกาแฟดำช่วยให้เกิดการหลั่งของสารโดพามีน (Dopamine) กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลให้ร่างกายและสมองแอคทีฟขึ้นหลังจากดื่มกาแฟ นอกจากสารโดพามีนแล้วคาเฟอีนยังไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขต่าง ๆ ออกมา ดังนั้น ประโยชน์ของกาแฟดำ อีกประการคือช่วยเพิ่มความสุขและลดความเครียด ทั้งนี้ไม่ควรดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการใจสั่น ปวดศีรษะ หรือนอนไม่หลับ ซึ่งสามารถเลือกดื่มกาแฟแบบดีแคฟ ช่วยลดผลกระทบจากคาเฟอีนที่ทำให้ตื่นตัว กาแฟไม่มีคาเฟอีน นั่นเอง
4.   คาเฟอีนในกาแฟดำช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เมื่อดื่มกาแฟดำ 1 - 2 แก้วต่อวัน จึงช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจ ลดการอักเสบภายในร่างกาย และช่วยลดอาการปวดศีรษะ รวมทั้งอาการเมาค้างได้
5.   กาแฟดำมีคุณสมบัติช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคพาร์กินสันได้ ทั้งยังช่วยลดระดับของกรดยูริกในร่างกายจึงสามารถบรรเทาและลดการเกิดโรคเกาต์ได้

คงจะรู้ประโยชน์ของกาแฟดำ กันไปแล้ว Nespresso ตอบรับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันด้วย กาแฟแคปซูล ที่สะดวกต่อการชง ทั้งยังมีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัวของกาแฟดำ ซึ่งแตกต่างกันถึง 4 แบบ นั่นคือ ARPEGGIO, RISTRETTO, KAZAAR และ NAPOLI และยังมีทั้ง กาแฟดีแคฟ ฟินไปกับ กาแฟแคปซูล ในแบบของคุณได้ที่ Nespresso Boutique ทุกสาขา หรือที่ https://www.nespresso.com/th/th/what-is-decaf และ https://www.nespresso.com/th/th/what-is-caffeine

150
แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่การสวมหน้ากากอนามัยกลายเป็นหนึ่งในพฤติกรรมประจำวัน ทำให้สาว ๆ ที่ทาลิปเจอปัญหาว่าทาลิปสติกแล้วติดแมสก์ ถอดออกมาทีปากซีด ต้องคอยเติมระหว่างวัน วันนี้เราจึงจะแนะนำเคล็ดลับดี ๆ ว่าทาลิปอย่างไรให้ติดทน พร้อมแนะนำว่าจะเลือก ลิปยี่ห้อไหนดี เพื่อพร้อมสร้างลุคสวยเป๊ะตอนถอดแมสก์

แชร์เทคนิคสุดปัง ทาลิปอย่างไรให้ติดทนแต่ไม่ติดแมสก์
1.   สครับริมฝีปากพร้อมบำรุงให้ชุ่มชื้นเสมอ
ถ้าอยากทาลิปให้ติดทนแต่ไม่ติดแมสก์ แนะนำสาว ๆ เริ่มตั้งแต่การเตรียมริมฝีปากให้พร้อม โดยสครับริมฝีปากเพื่อผลัดเซลล์ผิวที่เก่าตายให้หลุดออก ให้ได้ปากเนียนนุ่มไม่เป็นขุย พร้อมไปกับการทาลิปบาล์มบำรุงริมฝีปากเพื่อให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
2.   ก่อนทาลิปเนื้อแมทต้องทาไพรเมอร์ก่อน ลิปไม่ตกร่องและติดทน
การเลือกเนื้อลิปสติกเป็นเรื่องสำคัญ โดยลิปสติกที่จะไม่ติดแมสก์มักจะเป็นลิปสเตน ลิปทินท์ หรือ ลิปเนื้อแมท ซึ่งจะเคลือบริมฝีปากได้เรียบเนียน ติดทนนาน หลังจากเลือกเนื้อลิปสติกได้ที่ตรงใจแล้ว สาว ๆ ควรเริ่มจากการทาลิปไพรเมอร์ก่อนเพื่อเป็นรองพื้นสำหรับริมฝีปาก ช่วยล็อกลิปสติกให้ติดทนนานขึ้น
3.   ปัดแป้งฝุ่นเซตสีลิปให้ติดทน
เทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยไม่ให้ลิปติดแมสก์คือการใช้แป้งฝุ่น โดยเมื่อทาลิปเสร็จแล้วให้นำทิชชูมาซับเนื้อลิปส่วนเกินออก จากนั้นใช้แปรงจุ่มแป้งฝุ่นแล้วกดลงบนริมฝีปากเบา ๆ เพื่อให้แป้งเซตลิปแมทติดทนกับริมฝีปาก จากนั้นจึงนำทิชชูออกและปิดท้ายด้วยการทาลิปสติกสีเดิมทับซ้ำลงไปอีกหนึ่งรอบในปริมาณพอดีไม่เยิ้ม

การทาลิปให้ติดทนตลอดทั้งวันไม่ยาก เพียงแค่สาว ๆ เตรียมบำรุงปากให้ชุ่มชื้น เลือกลิปที่เหมาะสม และลองใช้เทคนิคแป้งฝุ่นกับทิชชูง่าย ๆ ตามที่เราได้บอกไป แค่นี้ก็จะช่วยเสริมความมั่นใจ ไม่ว่าจะถอดแมสก์หรือใส่แมสก์ก็สวยปังไปตลอดแล้ว แถมยังช่วยให้สาว ๆ ใช้ลิปคู่ใจไปได้อีกนานด้วยนะ และถ้าใครกำลังมองหาว่า ลิปยี่ห้อไหนดี ที่จะสวยปังตลอดวัน เราขอแนะนำลิปสติกจาก Mac Cosmetics ทั้ง Matte Lipstick ลิปเนื้อแมท ที่มีพิกเม้นท์แน่น ให้เนื้อสีชัดไม่วาว กลบสีปากได้ด้วยการทาแค่ครั้งเดียวและมีหลายเฉดสีให้เลือก หรือ Powder Kiss Liquid Lipcolour ลิปเนื้อแมท แบบจิ้มจุ่ม ให้ความชุ่มชื้นเบาสบายรับกับริมฝีปาก สร้างลุคสวยธรรมชาติได้ตลอดทั้งวัน

หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7