ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ploypola

หน้า: 1 [2] 3 4 5 6 7
51


ไมค์ไร้สายSaramonic blink 500 Pro ปุ่มไหนใช้ทำอะไรได้บ้าง อีกทั้งการส่งสัญญาณระหว่างตัวส่ง ตัวรับเป็นอย่างไร ต้องกดปุ่มไหนกันแน่!!! ใครที่มีไมค์รุ่นนี้ หรือ ว่ากำลังจะซื้อ วันนี้ Aquapro จะมาแนะนำ Saramonic blink 500 Pro วิธีใช้ ไมค์ง่ายๆ ที่แค่อ่านก็เข้าใจภายใน 5 นาที ใครที่งงวิธีใช้ อ่านคู่มือก็ไม่เข้าใจ ห้ามพลาดบทความนี้เลย!!!
 
Saramonic blink 500 Pro แต่ละปุ่มทำอะไรได้บ้าง?


ไมค์รุ่น Pro จะมีความแตกต่างกับในรุ่นปกติ ที่จะมีหน้าจอแสดงผลเพิ่มเข้ามา มีปุ่มต่างๆ อยู่ด้านข้าง ตัวส่ง และ ตัวรับสามารถแยกกันได้ง่าย นอกจากนั้นหากเป็นไมค์แบบที่มีเคสชาร์จ ก็จะทำให้สามารถใช้งานไมค์ได้ยาวนานขึ้น เคสยังสามารถบอกรอบการชาร์จต่างๆ ได้ด้วยไฟแสดงสถานะ และ มีปุ่ม Pair ในการจับคู่ไมค์ตัวส่ง และ ตัวรับ

  • ปุ่ม Mute หรือ ปุ่มเปิด - ปิด จะเป็นปุ่มเดี่ยวๆ ที่ใช้สำหรับการเปิด - ปิด ตัวอุปกรณ์ด้วยการกดค้าง และ ใช้ในการ Mute เสียง
  • ปุ่ม + / - ด้านข้าง เป็นปุ่มที่ใช้ในการเลื่อนซ้าย ขวา และ บนปุ่ม + จะมีคำว่า SET ใช้ในการกดค้างเพื่อทำการเลือกเมนู หรือ ยืนยันการเลือก


การเชื่อมต่อไมค์เข้ากับกล้อง หรือ มือถือ

การต่อไมค์สำหรับการใช้งานกับกล้อง


  • ขั้นตอนที่ 1 - จะใช้สาย TRS 3.5 mm ที่แถมมาในกล่อง โดยการเสียบเข้ากับกล้องได้เลย
  • ขั้นตอนที่ 2 - จากนั้นเสียบอีกด้านเข้าที่ช่อง Line out ของตัวรับสัญญาณกับกล้องตรงพอร์ต 3.5 mm
  • ขั้นตอนที่ 3 - ทำการหนีบไมค์เข้ากับกล้องเพื่อให้ใช้งานได้สะดวก แล้วเปิดกล้องเพื่อดูว่าเสียงเข้าไปหรือไม่

การต่อไมค์สำหรับการใช้งานกับมือถือ


  • ขั้นตอนที่ 1 - ใช้สาย TRRS 3.5 mm (สายแจ็คด้านหนึ่งจะมีหัวสามขีด) ถ้าเป็นสาย TRS จะเสียบเข้ากับมือถือไม่ได้ ทำการต่อสายด้านสองขีดเข้ากับตัวรับสัญญาณ และ สามขีดเสียบเข้าที่มือถือ
  • ขั้นตอนที่ 2 - สำหรับมือถือที่ไม่มีช่อง 3.5 mm ให้หาสายแปลงเพื่อเสียบเข้ากับมือถือ (Lighting)

Saramonic blink 500 Pro วิธีใช้ การตั้งค่าต่างๆ


ให้ทำการกดเปิดเครื่องที่ปุ่ม Mute ด้านข้างค้างเอาไว้ > ทำการกดปุ่ม + เพื่อทำการเลือกเมนู

  • Volume จะเป็นโหมดในการเลือกระดับเสียง จะทำการเลือกโดยกด + / - เพื่อเพิ่ม และ ลดระดับเสียง โดยมีระดับเสียงถึง 6 ระดับ
  • Output Mode ใช้ในการเลือกว่าจะให้เสียงเป็นแบบ Mono หรือ Stereo (การรับเสียงสองฝั่ง โดยจะแยกเสียงซ้าย และ ขวา)
  • Backlight Mode เป็นโหมดที่ใช้เพื่อปิดจอแสดงสถานะการใช้งาน เลือกได้ทั้ง On และ Off อีกทั้งยังสามารถตั้งค่าเวลาให้เครื่องปิดหน้าจอเองได้
  • Mute Key ใช้ในการปิดไมค์ชั่วคราว โดยให้กดที่ปุ่ม Mute ที่อยู่ด้านข้าง เมื่อกดแล้วจะมีไอคอนแสดงการปิดเสียงอยู่ที่หน้าจอ และ แถบเสียงที่หน้าจอจะไม่มีการเคลื่อนไหว
  • Language เป็นโหมดสำหรับเลือกภาษา สามารถเลือกภาษาที่ต้องการได้ (แต่ไม่มีภาษาไทยนะ)
  • Restore เป็นโหมดในการรีอุปกรณ์
  • Version เป็นโหมดสำหรับดูเวอร์ชั่นของไมค์

 
ซื้อเลย Saramonic Blink 500 คุ้มเว่อร์ๆ กับ Aquapro

คุ้มสุดซื้อ ไมค์Saramonic blink 500 Pro รวมทั้งกล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมอื่นๆ กับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ที่มาพร้อมกับ GoPro 10 โปรโมชั่น สุดคุ้ม ของแถมจุกๆ โปรส่งฟรี พร้อมโปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติมที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!! ติดตามได้ตาม link ด้านล่างเลย



ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro



52


บ้านเป็นสิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญในทุกๆ องค์ประกอบ  โครงสร้างบ้าน มีองค์ประกอบอย่างไร แต่ละส่วนทำหน้าที่อะไร และ ส่วนไหนที่เราจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ หากเลือกองค์ประกอบไม่ดี พอจะมาแก้ไขทีหลังก็อาจจะทำให้ยากลำบาก และ เสียค่าใช้จ่ายมากกว่าตอนสร้าง V.K.B เลยจะมาแนะนำ องค์ประกอบของบ้านที่ควรรู้ ที่จะทำให้คุณได้บ้านที่ดี ใครที่อยากมีบ้านอ่านเลย!!!
 
โครงสร้างบ้าน ต้องมีอะไรบ้าง?

โครงบ้าน


ส่วนของโครงบ้านที่เป็นส่วนหลักในการขึ้นโครงให้บ้านเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ในส่วนนี้จะเป็นการลงเสาเข็ม วางฐานบ้าน เสา และ คานต่างๆ โดยโครงบ้านจะนิยมสร้างกันอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่

  • โครงสร้างไม้ เป็นโครงสร้างที่จะเห็นกันในบ้านสไตล์ต่างจังหวัด เป็นวัสดุที่อากาศถ่ายเทได้ดี ออกแบบได้หลากหลาย ง่ายต่อการตัดแต่ง แก้ไขโครงสร้างมากกว่ารูปแบบอื่นๆ แต่การดูแลรักษาก็จะยาก ทั้งในเรื่องแมลง ความชื้น และ ความทนทาน
  • โครงสร้างปูน (โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก) มีความแข็งแรง ทนทานต่อสภาพอากาศ สร้างได้หลากหลายรูปแบบ นอกจากนั้นวัสดุยังหาได้ง่าย ราคาถูก แต่ก็จะต้องดูแลเรื่องสีเป็นพิเศษ เพราะสีอาจจะลอกหลุด หรือ ซีดตามอายุการใช้งานได้
  • โครงสร้างเหล็ก เป็นโครงสร้างที่ง่ายต่อการก่อสร้าง ใช้เวลาในการก่อสร้างน้อย มีน้ำหนักเบา มีความแข็งแรง และ ยืดหยุ่นสูง แต่อาจจะต้องดูแลรักษาให้ดี เนื่องจากเหล็กอาจจะเกิดการขึ้นสนิม หรือ สีลอก

หลังคา


หลังคาเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการป้องกันลม ฝน ช่วยในการระบายอากาศ ทำให้อากาศถ่ายเทได้ดี และ ยังเป็นฉนวนในการป้องกันความร้อน ช่วยป้องกันเสียงรบกวนได้อีกด้วย (บ้านในปัจจุบันนิยมติดฉนวนเพื่อลดความร้อนจากแสงแดด) หลังคามีรูปแบบที่หลากหลายทั้ง แบบทรงจั่ว , หน้าแหงน , ปั้นหยา และ รูปแบบอื่นๆ ซึ่งเราสามารถเลือกให้เข้ากับสไตล์บ้านที่ต้องการได้ วัสดุที่นิยมนำมาทำหลังคา เช่น กระเบื้องคอนกรีต , กระเบื้องเซรามิค  , แผ่นเมทัลชีท เป็นต้น

ฝ้าเพดาน


ฝ้าเพดานก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญในการช่วยลดความร้อน ลดเสียงรบกวน ช่วยในการปิดซ่อนพวกอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายไฟ ท่อต่างๆ ในปัจจุบันฝ้าก็จะมีรูปแบบหลากหลายมากขึ้น บางรูปแบบที่เป็นร่อง นอกจากนั้นก็ยังสามารถเลือกระดับของฝ้าให้สูงได้ ก็จะทำให้บ้านดูปลอดโปร่งขึ้น วัสดุที่นิยมนำมาทำฝ้าเพดาน เช่น แผ่นยิปซัม , ไฟเบอร์ซีเมนต์ , อะลูมิเนียม , ไวนิล เป็นต้น

ผนังบ้าน


ผนังภายนอกเป็นส่วนที่ใช้เพื่อป้องกันความปลอดภัยภายในบ้าน ป้องกันบ้านจากสภาพลม ฟ้า อากาศ ป้องกันเสียง และ ผนังภายในบ้านจะใช้ในการแบ่งส่วนต่างๆ ของบ้านให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น ผนังยังมีรูปแบบให้เลือกหลากหลายทั้งอิฐบล็อก , อิฐมวลเบา หรือ พวกผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (ผนังคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป) ชนิดของผนังที่นิยมใช้กัน อย่างผนังเบาที่ใช้ในการกั้นห้องภายในบ้าน เช่น Smart board , ยิปซั่มบอร์ด

รั้วบ้าน


รั้วก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ใช้ในการป้องกันตัวบ้าน และ ใช้ในการบอกอาณาเขตของที่ดิน มีรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งแบบ
  • รั้วไม้ และ รั้วไม้เทียม
  • รั้วเหล็ก
  • รั้วปูน

ประตู และ หน้าต่างบ้าน


ประตูใช้เป็นทางออกของห้องหนึ่งกับอีกห้อง ใช้ในการเชื่อมทางเดินระหว่างห้องต่างๆ เข้าด้วยกัน ส่วนหน้าต่างก็เป็นสิ่งที่จะช่วยในการระบายอากาศ ทำให้บ้านปลอดโปร่ง อีกทั้งยังทำให้แสงส่องเข้ามาภายในบ้านได้

ชนิดของประตูที่นิยมใช้กัน

  • ประตูแบบเปิด เป็นประตูรูปแบบพื้นฐานที่ใช้งานได้ง่าย มีทั้งแบบเปิดเดี่ยว (1 บาน) และ เปิดคู่ (2 บาน) นิยมใช้วัสดุที่ทำจาก ไม้ , สแตนเลส และ เหล็ก
  • ประตูแบบสวิง เป็นประตูที่จะมีอุปกรณ์สวิงยึดที่วงกบประตู สามารถเปิดออกได้ง่าย นิยมทำจากสแตนเลส และ อลูมิเนียม
  • ประตูบานเลื่อน เป็นประตูที่จะมีรางเลื่อน ทำให้ประตูจะเปิดออกไปด้านข้าง มีทั้งแบบบานเลื่อนเดี่ยว , บานเลื่อนคู่ และ บานเลื่อนสลับ วัสดุนิยมทำจากอลูมิเนียม , สแตนเลส , เหล็ก และ กระจก

ชนิดของหน้าต่างที่นิยมใช้กัน

  • หน้าต่างแบบเปิด เป็นหน้าต่างที่จะเปิดโดยการผลักออกไป นิยมทำจาก ไม้ . เหล็ก , อลูมิเนียม
  • หน้าต่างแบบเลื่อน หน้าต่างแบบเลื่อนออกด้านข้าง จะทำมาจากทั้งอลูมิเนียม . สแตนเลส , เหล็ก , PVC
  • หน้าต่างบานยก เป็นหน้าต่างที่เปิดแล้วยกขึ้นด้านบน นิยมทำจากอลูมิเนียม , สแตนเลส , PVC , เหล็ก

ส่วนอื่นๆ

นอกจากนั้นก็จะเป็นส่วนของพวกระบบต่างๆ ภายในบ้าน ระบบน้ำ ระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ ระบบสื่อสารต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนของภายในบ้านที่ถือว่ามีความสำคัญ นอกจากนั้นก็จะเป็นส่วนของการตกแต่งสี และ ลักษณะของผนัง พื้น และ ส่วนที่เป็นผิวสัมผัสเพื่อให้ภายในบ้านออกมาดูดี และ มีความสะดวกสบาย เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย!!!
 

บ้านก็เหมือนกับการลงทุนอย่างหนึ่ง และ เป็นสิ่งที่จะอยู่กับเราไปยาวนาน การลงทุนสร้างบ้านดีๆ สักหลังไปเลย จะคุ้มค่ากว่าการสร้างบ้านที่เน้นแค่ราคาถูกแต่ต้องแก้ไขปัญหาอยู่บ่อยๆ ครั้ง และ อาจทำให้อายุการใช้งานของบ้านไม่ยาวนานเท่า ใครที่อยากได้บ้านดีๆ มีมาตรฐานสักหลัง เลือก VKB สร้างบ้านให้คุณ เพราะเราเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการออกแบบ และ ก่อสร้าง รวมถึงให้คำแนะนำ บริหารโครงการ ที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณจะได้บ้านที่ดี และ ตรงตามรูปแบบที่ต้องการอย่างแน่นอน ใครอยากมีบ้านเลือก VKB เลย!!!
 
 
บ้านดีมีคุณภาพเลือกสร้างกับ V.K.B

ผู้ประกอบการที่ต้องการจัดสร้างบ้าน โกดัง หรือ โรงงาน บริษัท V.K.B contracting ของเราเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการออกแบบ และ ก่อสร้าง รวมถึงให้คำแนะนำ บริหารโครงการ ที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ด้วยทีมที่เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่างานที่ออกมาจะเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ และ มีคุณภาพ

  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ

บริการอย่างเต็มที่ และ เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ

 
สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com


53

อีกหนึ่งตัวช่วยเรื่องสิวก็คงหนีไม่พ้น "ยาคุมกำเนิด" เพราะว่าในยาคุมมีฮอร์โมนเพศหญิงที่ช่วยในการลดสิว และ ช่วยกดฮอร์โมนเพศชายที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว แต่ว่ายาคุมลดสิวในตลาดก็มีกันหลายแบรนด์ หลายยี่ห้อ จนเราไม่รู้จะเลือกตัวไหนดี วันนี้ Sistalk เลยได้รวบรวมยาคุมลดสิวตัวฮิตยอดนิยม ที่คนอยากหน้าใสต้องโดน!!!

>>อ่าน ยาคุมลดสิว ได้จริงไหม? ได้ที่นี่<<


ไม่อยากมีสิวต้องทานกี่เดือนถึงเห็นผล

การจะทานยาคุมให้เห็นผลควรจะทานอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 1 - 3 เดือน แต่ถ้าจะให้เห็นผลชัดจริงๆ ควรจะทานอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสมดุลของฮอร์โมน เมื่อร่างกายปรับตัวได้แล้วจะทำให้การสร้างไขมันที่ผิว หรือ ซีบัมลดลง รวมทั้งความมันบนใบหน้าก็จะลดลงด้วย ใครที่อยากลดสิว ลดความมันบนใบหน้าต้องกินให้ถูกวิธี และ กินอย่างต่อเนื่องด้วยนะคะ!!!



เลือก ยาคุมลดสิว ยี่ห้อไหนดี!!!

1.Diane


มาที่ยาคุมเลื่องชื่อในการรักษาสิว ไดแอนเป็นยาคุมที่มีปริมาณ EE 35 mcg ซึ่งถือว่าเป็นยาคุมฮอร์โมนสูง ช่วยลดการเกิดสิวฮอร์โมนได้ดี ตัวยาเป็น cyproterone acetate ที่ไม่ช่วยในการลดการบวมน้ำ ทำให้เมื่อทานไปอาจจะมีอาการตัวบวม น้ำหนักขึ้นได้ รวมทั้งใครที่พึ่งมาทานยาคุมตัวนี้แรกอาจจะมีอาการข้างเคียงอย่างเช่น คลื่นไส้ มึนหัว อาเจียนได้

ลักษณะของยาคุม - ยาคุมกล่องสีชมพูขาวเป็นยาแบบ 21 เม็ด
ราคา : 180 - 200  บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา) ราคาจับต้องได้ แต่ต้องระวังเรื่องน้ำหนักตัว

2.Sucee


ซูซี่เป็นยาคุมที่ช่วยในการลดฮอร์โมนเพศชายได้ดี ช่วยลดสิวฮอร์โมน ผิวมัน และ ขน เพราะมีปริมาณฮอร์โมน EE 35 mcg เมื่อทานไปเห็นผลได้รวดเร็ว แต่ก็อาจจะต้องระวังในเรื่องของบวมน้ำ ซูซี่ถือว่าได้รับความนิยมในการนำไปทานเพื่อรักษาสิว มีให้เลือกทั้งแบบ 21 เม็ด และ  28 เม็ดอีกด้วยสะดวกมากๆ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ หรือ เคยทานยาคุมมาก่อนแล้ว ก็ช่วยให้มีตัวเลือกที่เหมาะกับแต่ละคนได้ดีเลยค่ะ

ลักษณะของยาคุม - ยาคุมกล่องสีชมพูเป็นยาแบบ 21 เม็ด และ ยาคุมกล่องสีส้มเป็นแบบ 28 เม็ด (21 เม็ดยา + 7 เม็ดแป้ง)
ราคา : 100 - 130  บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา) (ราคาจับต้องได้ ราคาน่ารัก ช่วยรักษาสิวได้ดี)

3.Yasmin


ยาคุมตัวนี้เป็นอีกตัวยอดนิยมเนื่องจากเป็นยาคุมที่มีปริมาณEE ไม่สูงมากอยู่ที่ 30 mcg สามารถช่วยลดสิว ตัวยา Drospirenone ที่ช่วยในการลดการบวมน้ำ ทำให้กินแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนัก ตัวนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์มาก!!!

ลักษณะของยาคุม - ยาคุมกล่องสีเหลืองเป็นยาแบบ 21 เม็ด
ราคา : 350 - 380 บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา) ราคาอาจจะสูงขึ้นมานิดหนึ่ง แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนัก การบวมน้ำต่างๆ

4.Justima


จัสติมาเป็นยาคุมที่มีปริมาณฮอร์โมน EE 30 mcg เป็นยาคุมที่ช่วยลดสิวได้ดี มีตัวยาที่ช่วยในการลดการบวมน้ำ อีกทั้งยังช่วยในการลดผิวมัน และ ขน ถือว่าเป็นอีกตัวยอดฮิตสำหรับคนกลัวอ้วนเลย

ลักษณะของยาคุม - ยาคุมกล่องสีส้ม เป็นยาคุมแบบ 21 เม็ด
ราคา : 300 - 320 บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา) ราคาก็อาจจะสูงขึ้นมาหน่อย แต่สำหรับใครที่กลัวอ้วนสามารถทานได้

5.Melodia


เมโลเดียมีปริมาณฮอร์โมน EE 30 mcg เป็นยาคุมที่ช่วยในการรักษาสิว และ หน้ามันได้ดี ช่วยลดการบวมน้ำคล้ายๆ กับตัวของ Yasmin และ Yaz ทำให้ผลข้างเคียงน้อยลงกว่ายาคุมที่มีปริมาณฮอร์โมนสูงกว่า

ลักษณะของยาคุม - ยาคุมกล่องเหลืองขาว เป็นยาคุมแบบ 21 เม็ด
ราคา : 280 - 310 บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา) ถือว่าราคาไม่ได้แพงมาก ช่วยในการลดสิว ลดบวมได้ดี

6.Yaz


ยาคุมตัวนี้มีความคล้ายคลึงกับยาคุม Yasmin ช่วยในการรักษาสิวได้ดี มีปริมาณฮอร์โมน EE อยู่ที่ 20 mcg และ มีตัวยาแบบ 24 + 4 ซึ่งก็จะทำให้ผลข้างเคียงของยาคุมน้อยลง ที่สำคัญทานแล้วไม่บวมน้ำ นอกจากนั้นยังช่วยในการลดอาการ PMS ซึ่งเป็นอาการเหวี่ยงวีน ปวดท้อง คัดตึงเต้านม และ อาการอื่นๆ

ลักษณะของยาคุม - ยาคุมกล่องสีเหลืองเขียวเป็นยาแบบ 28 เม็ด (24 เม็ดยา + 4 เม็ดแป้ง) และ มีราคาสูงที่สุดในบรรดายาคุมทั้งหมด
ราคา : 380 - 420 บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา) ราคาอาจจะสูง เหมาะสำหรับคนที่กลัวผลข้างเคียง แต่อยากมีหน้าใสไร้สิว และ กลัวบวมน้ำ

7.Herz


เป็นยาคุมอีกหนึ่งตัวที่มีปริมาณฮอร์โมน EE 20 mcg และ มีตัวยาแบบ 24 + 4 คล้ายกับตัวยาส ช่วยในการลดสิว ผิวมันได้ดี ไม่ทำให้บวมน้ำ มีตัวยาแบบ 24 + 4 นอกจากเรื่องสิวแล้ว ก็ยังจะช่วยในเรื่องของการลดอาการ PMS ก่อนที่ประจำเดือนจะมา ได้ดี

ลักษณะของยาคุม - ยาคุมกล่องหลากสีเป็นยาแบบ 28 เม็ด (24 เม็ดยา + 4 เม็ดแป้ง)
ราคา : 290 - 320 บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา) เป็นยาคุมที่เหมาะสำหรับคนที่กลัวผลข้างเคียงยาคุม กลัวอ้วน


เทียบกันไปเลยตัวไหนมีอะไรบ้าง!!!


หากอยากลดสิวให้ได้ผลชัดๆ ก็ต้องเลือกยาคุมที่มีปริมาณฮอร์โมน EE สูงอย่าง Diane และ Sucee ส่วนใครที่อยากได้ยาคุมลดสิวแบบที่ไม่อ้วนก็ให้เลือก Yasmin , Yaz , Herz , Melodia และ Justima ส่วนเรื่องการลดสิว ผิวมันก็จะดรอปลงมาจากสองยี่ห้อแรก ถ้าใครอยากลดสิว หรือ มีสิวหนักๆ สองตัวแรกจะช่วยในเรื่องนี้ได้ดีกว่า!!!




ข้อควรระวังสำหรับการกินยาคุม

ยาคุมที่ทานสำหรับรักษาสิว จะมีฮอร์โมนที่จะไปกระตุ้นให้เกิดฝ้าบนหน้าได้ นั่นก็คือฮอร์โมนเอสโตรเจน ยิ่งฮอร์โมน EE ยิ่งสูงยิ่งทำให้เกิดฝ้าได้ง่าย ใครที่มีความกังวลในเรื่องนี้ควรทำการศึกษาตัวยา และ ปรึกษาแพทย์ เภสัชก่อนทาน


ใครที่เป็นมือใหม่หัดทานยาคุมแล้วกลัวอ้วน Herz ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่มือใหม่หัดเริ่มทานได้ นอกจากนั้นก็ยังเป็นตัวยาแบบ 24 + 4 ที่ช่วยลดอาการ PMS PMDD ที่สาวๆ มักจะเป็นในช่วง 1 - 2 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน ยาคุมจะไปช่วยปรับสมดุลทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายมีความคงที่มากขึ้น




Sistalk ตอบโจทย์ทุกเรื่องสุขภาพของสาวๆ

เรื่องของสาวๆ ก็ต้องให้สาวๆ คุยกันสิคะ หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหา มีข้อสงสัยไม่ว่าจะเรื่องของ สุขภาพ , การดูแลรูปร่าง , เรื่องลับๆ ของสาวๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของความรัก และ เทรนด์อื่นๆ ไม่อยากพลาด ต้องเข้ามาอ่าน มาติดตามบทความที่เรา Sistalk ได้รวบรวมมาให้ รับรองได้ว่าคุณจะได้ทั้งประโยชน์ สาระความรู้ และ อัปเดตเทรนด์ก่อนใคร เพราะเราเข้าใจผู้หญิงดี!!!

ใครไม่ Talk Sistalk นะคะซิส!!!!




สามารถติดต่อสอบถามข้อมูล Sistalk ตามช่องทางอื่นๆได้ที่

Facebook : sistalk.in.th

Instagram : sistalk.in.th

Twitter : @SistalkTH



54


ไม่อยากเป็นเซ็บเดิร์ม อยากหายจากเซ็บเดิร์มซักที!!! ยิ่งช่วงนี้ฝนฟ้าอากาศก็ไม่เป็นใจ หรือ เกิดจากการแพ้แมสด้ว แรกๆ ก็ปล่อยผ่านไปเพราะนึกว่าเดี๋ยวก็หาย แต่กลับลุกลามมากกว่าเดิม!!! นี่เป็นหนึ่งในอาการของโรคเซ็บเดิร์ม วันนี้ ResiSKIN จะมาแนะนำ วิตามินรักษาเซ็บเดิร์ม ต้องกินอะไรอาการเซ็บเดิร์มถึงจะดีขึ้น พร้อมทั้งเอาไอเทมที่จะช่วยกู็ฟื้นคืนผิวของคุณให้กลับมาดูดี และ สตรองอีกครั้ง!!!
 
เซ็บเดิร์มถึงไม่หาย เกิดจากอะไร?


เซ็บเดิร์ม คือ โรคผิวหนังเรื้อรังรูปแบบหนึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการแพ้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังตัวเอง จนเกิด ผื่นแดงๆ ผิวลอกเป็นขุย โดยจะมีลักษณะหลุดลอกเป็นแผ่นสะเก็ดๆ คล้ายกับมีรังแคอยู่บนผิวหน้า สาเหตุที่ทำให้เกิดเซ็บเดิร์มในตอนนี้ยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด ส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่ผิวถูกปัจจัยบางอย่างกระตุ้น เช่น

  • สภาพอากาศที่ไม่อำนวย
  • ความเครียด
  • พันธุกรรม สภาพผิวที่ไม่แข็งแรง
  • การทานยาบางชนิด พฤติกรรมการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์

เซ็บเดิร์มเป็นโรคผิวหนังที่รักษาไม่หาย!!! พอหายไปได้สักพักก็จะกลับมาเป็นอีกหากถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยต่างๆ แต่สามารถทำให้สงบ และ ไม่กำเริบขึ้นมาได้ หากรักษา และ ดูแลอย่างถูกวิธี เพราะบางครั้งเราอาจจะละเลยการดูแลตัวเองจนทำให้เกิดเซ็บเดิร์มได้ ไม่ว่าจะ เป็นเซ็บเดิร์มห้ามกินอะไร รวมถึงวิธีอื่นๆ แต่บางครั้งเซ็บเดิร์มก็อาจลุกลามมากกว่าเดิม เราก็ต้องเช็คดูว่าปัญหาผิวของเราอยู่ในระดับไหนหากมีอาการรุนแรง 

อยากหายต้องกิน วิตามินรักษาเซ็บเดิร์ม ตัวช่วยที่ทำให้ผิวแข็งแรง

Vitamin C


วิตามินซี เช่น ผัก และ ผลไม้ เช่น ฝรั่ง ส้ม กีวี มะละกอ มะนาว กะหล่ำ บรอกโคลี ผักคะน้า เป็นวิตามินที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันภายในร่างกายให้แข็งแรงจากสภาพแวดล้อมต่างๆ อีกทั้งยังช่วยในการลดการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสต่างๆ ที่มาทำร้ายผิว

  • ช่วยในการสร้างคอลลาเจนให้ผิวแข็งแรง
  • ทำให้ผิว และ แผลหายไว้ขึ้น
  • ทำให้ผิวดูเรียบเนียน ไม่มีจุดด่างดำ
  • ยังช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์

Vitamin B


วิตามินบี เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวต่างๆ เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ถั่ว ธัญพืชต่างๆ นม ไข่ และ พวกใบเขียว จะมีชนิด ที่แยกย่อยหลายชนิด แต่ละชนิดก็จะมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน โดยวิตามินบีรวม มีความสำคัญมากต่อร่างกาย ช่วยในการบำรุงร่างกาย และ ระบบประสาท เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ วิตามินแต่ละชนิดก็จะมีข้อดี และ การบำรุงที่แตกต่างกันออกไปในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • B1 - บำรุงระบบประสาท และ สมอง

  • B2 - ป้องกันสิว ช่วยในการมองเห็น บำรุงเล็บ และ ผิวหนังให้แข็งแรง
  • B3 - ต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยให้สมอง และ ระบบประสาททำงานได้ดี
  • B5 - ช่วยในการทำงานของฮอร์โมนต่อมหมวกไต  บำรุงผม บำรุงเล็บ และ ช่วยรักษาความเครียดได้ดี
  • B6 - การสร้างเมตาบอลิซึมในร่างกาย ควบคุมสมดุลเกลือแร่ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย รวมทั้งการดูดซึมไขมัน และ โปรตีน
  • B12 - ช่วยบำรุงประสาท ปรับสมดุลทางอารมณ์ ช่วยป้องกันเซลล์

Vitamin E


วิตามินอี เป็นวิตามินที่ร่างกายต้องได้รับอยู่เป็นประจำ ช่วยในการฟื้นฟูการถูกทำลายของเซลล์ และ เนื้อเยื่อ รวมทั้งยังช่วยในการต้านอนุมูลอิสระต่างๆ  วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน พบมากในพวกผัก ผลไม้ ธัญพืชต่างๆ

นอกจากวิตามินพวกนี้แล้วก็ยังจะมีพวก แร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยในการฟื้นฟูผิวจากเซ็บเดิร์มได้ไม่ว่าจะเป็น

  • Zinc ซิงค์เป็นแร่ธาตุอีกตัวหนึ่งที่ช่วยในเรื่องการทำงานของเอนไซม์ พบมากในเส้นผม เล็บ กระดูก พบมากในอาหารทะเล เนื้อสัตว์ ไข่แดง และ ธัญพืชต่างๆ
  • Pro biotic จะช่วยในการยับยั้งพวกจุลินทรีย์ต่างๆ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ลดการอักเสบได้ดี พบในอาหารที่ผ่านการแปรรูปที่มีจุลินทรีย์มีประโยชน์อย่าง โยเกิร์ต กิมจิ ชีส นมเปรี้ยวต่างๆ


ไอเทมที่จะช่วยฟื้นคืนผิวจากการเป็นเซ็บเดิร์มให้กลับมาดูดี


นอกจากการกินวิตามินที่ช่วยในการดูแลเซ็บเดิร์มแล้ว ก็อย่าละเลยการดูแลผิวภายนอกให้แข็งแรงพร้อมเผชิญกับมลภาวะ และ สภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวัน รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่จะมาทำร้ายผิวของคุณด้วย ผลิตภัณฑ์จาก ResiSKIN ครีมเวชสำอางสำหรับคนที่มีปัญหาผิวอย่างการเป็นเซ็บเดิร์ม ด้วยส่วนผสมสุดพิเศษอย่าง Extremolytes 7%

  • มีส่วนผสมของ Extremolytes 7% สารสกัดลิขสิทธิ์เฉพาะจากประเทศเยอรมัน ช่วยจบปัญหาผิว แห้ง แดง ผื่นคัน
  • ช่วยสร้างเกราะความชุ่มชื้นให้ผิว ปกป้องผิวจากมลภาวะที่ไม่เป็นมิตรต่อผิว
  • ผิวแข็งแรงและชุ่มชื้นขึ้นอย่างสังเกตเห็นได้ ภายใน 7 วัน
  • ปราศจากสารสเตียรอยด์ น้ำหอม และสารกันเสีย สามารถใช้ต่อเนื่องในระยะยาว หมดกังวลสำหรับคนผิวแพ้ง่าย

โบกมือลาปัญหาผิวเรื้อรังให้กลับมาดูดี และ แข็งแรงอีกครั้ง ResiSKIN จะช่วยให้อาการดีขึ้นภายใน 7 วัน และ เมื่อใช้ต่อเนื่อง 2 อาทิตย์จะไม่มีเซ็บเดิร์มให้เห็นเลย (อาการจะสงบลง) มาดูแลผิวให้ดูดีทั้งภายใน และ ภายนอก พร้อมดึงความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง เอาชนะทุกปัญหาผิว อักเสบ แพ้ แห้ง แดง ผื่นคัน ให้ผิวกลับมาแข็งแรงภายใน 7 วัน!!!
 
 
ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
Facebook : ResiSKIN รีซิสกิน
Line : @resiskin
Shopee : ResiSKIN by QUALISK
Lazada : Qualimed


55


การ ตรวจสอบอาคาร เป็นสิ่งที่เจ้าของอาคารควรจะทำตาม พ.ร.บ ควบคุมอาคาร โดยจะต้องมีผู้ตรวจสอบเข้าไปทำการตรวจสอบตัวอาคารว่าอาคารเป็นไปตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น วันนี้ V.K.B เลยจะมาแนะนำข้อมูลการตรวจสอบอาคารคร่าวๆ ที่ผู้ประกอบกิจการ เจ้าของอาคารไม่ว่าจะเป็น บ้าน โรงงาน หรือ โกดัง ไม่ควรมองข้าม!!!!
 
การตรวจสอบอาคาร คืออะไร?


การตรวจสอบอาคารเป็นการทำเพื่อตรวจสอบสภาพของอาคารโดยรวม ว่าตัวอาคารมีความแข็งแรงมั่นคง และ ระบบต่างๆ ภายในอาคารมีความปลอดภัยต่อการใช้งานหรือไม่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน การตรวจสอบอาคารมีความสำคัญมาก และ เป็นสิ่งที่เจ้าของอาคารควรจะทำเป็นประจำ
 
อาคารแบบไหนบ้างที่ต้องตรวจสอบ


  • อาคารสูง - เป็นอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 23 เมตรขึ้นไป โดยจะวัดความสูงตั้งแต่พื้นดินไปจนถึงพื้นของชั้นด่านฟ้า ส่วนอาคารทรงจั่ว หรือ ปั้นหยาจะให้วัดความสูงตั้งแต่พื้นดินไปจนถึงยอดผนังของชั้นสูงสุด โดยจะเป็นอาคารที่มีคนเข้าอยู่ และ ใช้สอยพื้นที่
  • อาคารขนาดใหญ่พิเศษ - อาคารที่มีพื้นใช้สอยทุกชั้นภายในอาคารหลังเดียวตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อใช้อาศัย หรือ ประกอบกิจการ
  • อาคารชุมนุมคน - อาคารที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป หรือ มีคนชุมนุมตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป เป็นอาคารที่ใช้สำหรับชุมนุมคน
  • โรงมหรสพ - อาคารที่ใช้สำหรับฉายภาพยนต์ แสดงละครแสดงดนตรี และ แสดงรื่นเริงอื่นๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดให้เข้าชมการแสดง โดยจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม
  • โรงแรม - อาคารที่มีจำนวนห้องพักตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป ตามกฎหมายอาคารประเภทโรงแรม (กฎกระทรวงฉบับที่ 55 ที่ออกตาม พ.ร.บ ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522)
  • อาคารชุด - อาคารที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป เป็นอาคารที่ใช้อยู่อาศัยร่วมกัน (อาคาร หรือ ส่วนหนึ่งของอาคารที่ใช้ในการอาศัยอยู่สำหรับหลายครอบครัว) โดยจะแบ่งออกเป็นพื้นที่แต่ละหน่วยแยกจากกัน
  • อาคารโรงงาน - อาคาร หรือ ส่วนใดส่วนหนึ่งที่ใช้เป็นโรงงาน (ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 ที่ออกตาม พ.ร.บ ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522) เป็นโรงงานที่มีความสูงมากกว่า 1 ชั้น และ มีพื้นที่ตั้งแต่ 5,000 ตารางเมตรขึ้นไป
  • สถานบริการ - อาคาร หรือ ส่วนใดส่วนหนึ่งที่ใช้เป็นสถานบริการตามกฎหมายสถานบริการ ที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป
  • ป้าย - ป้ายที่มีความสูงตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป หรือ มีพื้นที่ตั้งแต่ 50 ตารางเมตรขึ้นไป รวมถึงป้ายที่ติดตามหลังคา ด่านฟ้าของอาคารที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 25 ตารางเมตรขึ้นไป

 
ใครที่สามารถตรวจสอบอาคารได้?
ผู้ที่จะเข้าไปตรวจสอบอาคารจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเท่านั้น สามารถเป็นได้ทั้งบุคคลธรรมดา และ นิติบุคคล (บริษัทเอกชน หรือ กระทรวงที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ) โดยจะต้องมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จึงจะสามารถทำการตรวจสอบได้


กรณีเป็นบุคคลธรรมดา

  • มีสัญชาติไทย
  • ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม หรือ เป็นผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมตามกฎหมาย
  • ผ่านการอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบสภาพอาคาร และ อุปกรณ์ประกอบของอาคารตามที่คณะกรรมการควบคุมอาคารรับรอง
  • ไม่เคยถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ตรวจสอบในระยะเวลา 2 ปี ก่อนวันขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ตรวจสอบ

กรณีเป็นนิติบุคคล

  • ต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย โดยทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งต้องเป็นของผู้มีสัญชาติไทย และ มีผู้เป็นหุ้นส่วน ผู้ถือหุ้น กรรมการ เป็นผู้มีสัญชาติไทยไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนผู้เป็นหุ้นส่วน หรือ กรรมการทั้งหมด
  • ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกรหรือเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมตามกฎหมาย
  • สมาชิกในคณะผู้บริหารของนิติบุคคลต้องมีจํานวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบสภาพอาคาร และ อุปกรณ์ตามที่คณะกรรมการควบคุมอาคารรับรอง
  • สมาชิกในคณะผู้บริหารของนิติบุคคลตามข้อ 3 ต้องไม่เคยถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ตรวจสอบในระยะเวลา 2 ปีก่อนวัน ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ตรวจสอบ

คนที่จะมาเป็นผู้ตรวจสอบต้องขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการควบคุมอาคาร โดยจะได้รับหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ตรวจสอบจากคณะกรรมการควบคุมอาคาร จึงจะสามารถดำเนินการเป็นผู้ตรวจสอบได้

จะตรวจสอบอาคารต้องดูอะไรบ้าง?

ความมั่นคง และ แข็งแรงของอาคาร


  • โดยจะดูว่าตัวอาคารมีการดัดแปลง หรือ ปรับปรุงหรือไม่
  • ดูการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักบรรทุกบนพื้นอาคาร ว่าสามารถรับน้ำหนักได้เท่าเดิมหรือไม่
  • มีสภาพการใช้งานอาคารเป็นอย่างไร
  • มีการเปลี่ยนแปลงของวัสดุก่อสร้าง หรือ วัสดุตกแต่งอาคารหรือไม่
  • อาคารมีการชำรุด หรือ การทรุดตัวของฐานอาคาร โครงสร้างอาคารหรือไม่

ระบบ และ อุปกรณ์ประกอบอาคาร


  • ตรวจสอบระบบไฟฟ้า เช่น เครื่องปรับอากาศ ระบายอากาศ ลิฟต์ บันไดเลื่อน
  • ตรวจสอบระบบประปา เช่น ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบระบายน้ำฝน
  • ตรวจสอบระบบป้องกัน และ ป้องกันอัคคีภัย เช่น บันไดหนีไฟ ไฟทางออกฉุกเฉิน ไฟฟ้าสำรอง สัญญาณแจ้งเตือนไฟไหม้ ระบบจ่ายน้ำดับเพลิง

ระบบบริหารจัดการความปลอดภัยในอาคาร


  • แผนการป้องกัน และ ระงับอัคคีภัย
  • แผนการซ้อมอพยพผู้ใช้อาคาร
  • แผนการบริหารจัดการเกี่ยวกับความปลอดภัยในอาคาร
  • แผนการบริหารจัดการของผู้ตรวจสอบอาคาร

ต้องทำการตรวจสอบอาคารทุกกี่ปี?

ระยะเวลาใน "การตรวจสอบใหญ่" จะทำการตรวจสอบทุก 5 ปี และ จะทำการตรวจสอบประจำปี ปีละ 1 ครั้ง รวมทั้งในช่วงระหว่างปี จะมีการตรวจสอบเป็นระยะทุก 3 - 6 เดือน
 
ถ้าไม่ ตรวจสอบอาคาร จะถูกลงโทษหรือไม่?

หากไม่ทำการตรวจสอบอาคารตามกฎหมายจะถือว่ามีความผิด มีโทษต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ โดยจะปรับอีกวันละ 10,000 บาท จนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง นอกจากนั้นก็มีกรณีที่แตกต่างกันออกไป
  • ทําการก่อสร้าง / ดัดแปลง / เคลื่อนย้าย / ใช้ / เปลี่ยนแปลงการใช้อาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือ ทำให้ผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต - มีโทษจําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ และ ปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท ตลอดเวลาที่มีการกระทําการฝ่าฝืน หรือ จนกว่าจะปฏิบัติได้ถูกต้อง
  • ทําการรื้อถอนอาคารโดย ไม่ได้รับอนุญาต - มีโทษจําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 60,000 บาท  หรือ ทั้งจําทั้งปรับ
  • การฝ่าฝืนคําสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น โดยดําเนินการแก้ไขข้อมูล หรือ เอกสารที่เกี่ยวข้องในการอนุญาต โดยวิธีการแจ้ง - ปรับไม่เกิน 10,000 บาท

หากทำการฝ่าฝืนจะมีคำสั่งให้เจ้าของอาคาร หรือ ผู้ควบคุมงาน ระงับการกระทําดังกล่าว และ มีคําสั่งห้ามไม่ให้บุคคลใดใช้ หากมีการแก้ไข และ ดำเนินการให้ถูกต้องแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะทำการพิจารณา

  • กรณีสามารถแก้ไขได้ - เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะออกคําสั่งให้เจ้าของอาคาร หรือ ผู้ครอบครองอาคารแก้ไขให้ถูกต้อง
  • กรณีที่ไม่สามารถแก้ไขได้ - เจ้าพนักงานท้องถิ่นสามารถสั่งให้รื้อถอนอาคารทั้งหมด หรือ บางส่วนก็ได้ และ เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะดําเนินการแจ้งความเพื่อดําเนินคดี

 
อยากสร้างอาคารคุณภาพเลือก V.K.B

ผู้ประกอบการที่ต้องการจัดสร้างบ้าน โกดัง หรือ โรงงาน บริษัท V.K.B contracting ของเราเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการออกแบบ และ ก่อสร้าง รวมถึงให้คำแนะนำ บริหารโครงการ ที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ด้วยทีมที่เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่างานที่ออกมาจะเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ และ มีคุณภาพ
  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ

 
 
สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com


56


Saramonic Blink 500 Proไมค์ไร้สายที่มาแรงแซงโค้ง เป็นที่นิยมสำหรับหลายๆ คน เราอยากแนะนำอุปกรณ์เสริมอีกชิ้นที่จะช่วยให้คุณใช้งานไมค์ได้ยาวนานมากยิ่งขึ้นนั่นก็คือ Saramonic Blink 500 Pro HM แล้วอุปกรณ์เสริมตัวนี้ดีอย่างไร เหมาะกับใครบ้าง ถ้าอยากรู้ต้องไปอ่านบทความเลย!!!
 
ทำความรู้จักSaramonic Blink 500 Pro HM คืออะไร?


สิ่งนี้เป็น Handheld Microphone Adapter ที่ใช้งานคู่กับไมโครโฟน Saramonic Blink 500 Pro เป็นอะแดปเตอร์ไมโครโฟนมาพร้อมไฟบอกสถานะ การใช้งานเหมือนกับไมค์Saramonic Blink 500 Pro
 
สเปคของ Saramonic Blink 500 Pro HM ทำอะไรได้บ้าง?


  • มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป 206 × 38 × 25 mm และ มีน้ำหนักกำลังพอดีประมาณ 68.5 กรัม
  • เป็นด้ามจับถนัดมือ ทำให้งานสัมภาษณ์ง่ายขึ้น ถือได้ถนัดขึ้น แถมยังมีช่องสำหรับเสียบไมค์ทำให้ใช้งานได้ไม่ต้องกลัวหล่น
  • มาพร้อมไฟบอกสถานะการใช้งาน ทำให้รู้ได้ว่าสถานะการใช้งานระหว่างไมค์ และ อะแดปเตอร์เป็นอย่างไร
  • มีปุ่มที่ช่วยให้เชื่อมต่อได้ง่าย ทั้งปุ่มเปิด - ปิด และ ปุ่มเชื่อมต่ออย่างปุ่ม Pair ที่ทำให้จับคู่ไมค์ได้อย่างง่ายได้ขึ้น
  • แบตเตอรี่เป็นแบบ lithium สามารถใช้งานได้ถึง 1100 mAh ทำให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น
  • เมื่อแบตเตอรี่หมดสามารถทำการชาร์จได้ด้วย USB - C และ สามารถชาร์จกับแบตสำรองได้
  • Foam Windscreen สำหรับกันลมที่ช่วยลดเสียงรบกวน และ ทำให้เสียงที่ได้จากการใช้ไมค์มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น

 
อุปกรณ์ที่มาในชุด
  • Handheld Microphone Holder x 1 ชิ้น
  • โฟมกันลม (Foam Windscreen) x 1 ชิ้น
  • สายชาร์จแบบ USB - C x 1 ชิ้น

ฟังก์ชั่นการใช้งานเด่นๆ ของ Saramonic Blink 500 Pro HM

ทำให้ดูโปรมากยิ่งขึ้น


หากใช้งานแค่ตัวไมค์ปกติที่ต้องติดตามเสื้อผ้า เวลาที่จะสัมภาษณ์ และ ทำให้การพูดคุยดูมืออาชีพมากขึ้น เพราะไม่ต้องจับไมค์ใกล้ๆ ทำให้สามารถยื่นไมค์ไปใกล้ๆ ผู้พูด นอกจากนั้นยังมี Foam Windscreen โฟมกันลมที่ช่วยทำให้ได้เสียงที่คมชัดมากขึ้น และ ลดเสียงรบกวนภายนอก เช่น เสียงลม เสียงพูดคุยภายนอก

ใช้งานได้ง่าย และ รวดเร็ว


การถ่าย Vlog การสัมภาษณ์ต่างๆ ต้องอาศัยความรวดเร็ว คล่องตัวในการใช้งาน มาพร้อมเปิด - ปิดที่ใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังมีปุ่มเชื่อมต่อ (ปุ่ม Pair) ที่ทำให้ใช้งานได้ทันที มาพร้อมไฟแสดงสถานะ นอกจากนั้นในเรื่องของแบตเตอรี่ก็มีแบตในตัวถึง 1100 mAh สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้สาย USB - C ชาร์จเข้ากับแบตสำรองได้เลย
 
อะแดปเตอร์ตัวนี้เหมาะกับใคร?

อะแดปเตอร์ตัวนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการถ่าย Vlog ให้ดูโปรมากยิ่งขึ้น หรือ สัมภาษณ์ให้ดูมืออาชีพ ใครที่เป็นสายถ่ายวิดีโอ สายบรรยาย สายรายงาน ที่ต้องเน้นความคล่องตัวในการพูด หรือ ใครที่มีไมค์Saramonic Blink 500 Pro อยู่แล้วก็สามารถซื้ออะแดปเตอร์ตัวนี้ เพื่อทำให้ใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้น และ สะดวกต่อการพกพา ต่อการใช้งาน จับได้ถนัดมือมากขึ้น ใครที่เป็นสาย Vlog ควรมีอย่างยิ่ง!!!
 
 
ซื้อSaramonic Blink 500 Pro HM กับ Aquapro สุดคุ้ม!!!

คุ้มไม่ไหว!!! ซื้อ ไมค์Saramonic blink 500 Pro และ Saramonic blink 500 Pro HM รวมทั้งกล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมอื่นๆ กับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ที่มาพร้อมกับ GoPro 10 โปรโมชั่น สุดคุ้ม ของแถมจุกๆ โปรส่งฟรี พร้อมโปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติมที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!! ติดตามได้ตาม link ด้านล่างเลย


 
ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


57


เป็นสิวทำยังไงก็ไม่หายสักที จนหลายคนหมดความมั่นใจ และ หันไปเลือกใช้ ยาคุมลดสิว เพื่อช่วยรักษาสิวบนหน้าแทน ใครที่คิดจะทานยาคุมเพื่อรักษาสิวต้องรู้!!! Sistalk จะมาแนะนำวิธีทานยาคุมรักษาสิว พร้อมข้อมูลที่สาวๆ ไม่ควรพลาด เพราะหากเลือกไม่ดี หรือ กินผิดวิธีอาจจะไม่ได้ผล และ อาจทำให้คุณอ้วนขึ้นได้อีกด้วย ใครที่อยากหน้าใส ไร้สิว และ ตัวไม่บวมไม่ควรพลาดบทความนี้เลย!!!
 
ยาคุมลดสิว ได้จริงไหม?


"ยาคุมกำเนิด" เป็นยาที่ใช้ทานสำหรับเพื่อคุมกำเนิดในการยับยั้งการตกไข่ ทำให้ไม่เกิดการตั้งครรภ์ขึ้น ในยาคุมมีส่วนผสมของฮอร์โมน เอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่จะช่วยในเรื่องของการรักษาสิว และ จะช่วยในการลดการผลิตไขมันจากต่อมไขมันที่เป็นต้นเหตุของสิว ทำให้เกิดสิวได้ง่ายโดยเฉพาะในช่วงมีประจำเดือนที่เรียกว่า "สิวฮอร์โมนนั่นเอง" สิวฮอร์โมนจะพบตามบริเวณต่างๆ โดยเฉพาะ แก้มด้านล่างกราม และ รอบริมฝีปาก แต่ถ้าหากทานยาคุมกำเนิด ฮอร์โมนที่อยู่ในยาคุมที่เป็นฮอร์โมนเพศหญิงจะไปช่วยกดฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ปัญหาสิว ผิวมันน้อยลงนั่นเอง
 
 
ต้องทานอย่างไร ถึงจะเห็นผล?


จะต้องกินอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน จึงจะเห็นผลได้ชัด แต่ส่วนใหญ่สิวจะเริ่มน้อยลงเมื่อทานไปแล้ว 2 - 3 เดือน ยาคุมสำหรับลดสิวจะเป็นยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมเท่านั้น หากทานแบบชนิดฮอร์โมนเดี่ยวจะไม่ได้ผลแม้จะกินอย่างต่อเนื่องก็ตาม

**แต่ผลลัพธ์ที่ได้ และ ช่วงเวลาที่ใช้ในการรักษาสิวอาจจะแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล บางคนอาจเห็นผลเร็ว บางคนอาจจะเห็นผลช้ากว่า**

ยาคุมลดสิว ตัวไหนดี ตัวไหนทานแล้วมีผลข้างเคียง!!!

Diane


ไดแอนเป็นยาคุม 21 เม็ด กล่องสีชมพู ค่อนข้างเป็นที่รู้จักเพราะถือว่าเป็นยาคุมรุ่นแรกๆ ที่อยู่มานานแล้ว เป็นยาคุมชนิดฮอร์โมนสูง มีปริมาณEE 35 mcg ปริมาณเท่ากับ Sucee ช่วยในการรักษาสิวได้เร็ว ช่วยลดความมันบนใบหน้า และ ลดสิวฮอร์โมนได้ดี
ราคา : 180 - 200  บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา)

Sucee


ซูซี่เป็นยาคุมที่มีให้เลือกทั้ง 21 เม็ด (กล่องสีชมพู) และ 28 เม็ด (กล่องสีส้ม) เป็นยาคุมชนิดฮอร์โมนสูง มีปริมาณ EE 35 mcg ซึ่งจะช่วยในการยับยั้งฮอร์โมนเพศชาย ช่วยในการลดสิว ผิวมัน และ ขน มีทั้งแบบ 21 และ 28 เม็ด และ แบบ 28 เม็ดก็เหมาะมากสำหรับคนที่กลัวจะลืมทานยา แถมราคายังน่ารักอีกด้วย
ราคา : 100 - 130  บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา)

Yasmin


ยาคุมตัวนี้จะเป็นยาคุมแบบ 21 เม็ด กล่องสีเหลือง เป็นยาคุมที่มีฮอร์โมนปานกลาง มีปริมาณEE 30 mcg เป็นยาคุมที่สามารถช่วยรักษาสิว หน้ามันได้ และ เหมาะสำหรับคนที่กลัวว่ากินยาคุมแล้วจะอ้วน แต่ก็อาจจะมีราคาที่สูงเมื่อเทียบกันยาคุมตัวอื่น
ราคา : 350 - 380  บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา)

Justima


ยาคุมจัสติมาเป็นยาคุมกล่องสีส้มแบบ 21 เม็ด มีปริมาณฮอร์โมน EE 30 mcg เป็นยาคุมที่ช่วยลดสิว ผิวมัน และ ไม่ทำให้บวมน้ำ ใครที่กลัวน้ำหนักจะขึ้นสามารถทานได้ แถมยังเป็นยาคุมที่มีผลข้างเคียงน้อย
ราคา : 300 - 320 บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา)

Yaz


ยาคุมยาสเป็นยาคุมกล่องสีเขียวเหลือง ที่มีความคล้ายคลึงกับเฮอร์ซตรงที่เป็นยาคุม 28 เม็ด รูปแบบ 24 + 4 เหมือนกัน อีกทั้งยังมีปริมาณฮอร์โมน EE 20 mcg เท่ากันอีกด้วย ทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยาคุมได้น้อย อีกทั้งทานแล้วก็ยังไม่อ้วน​
ราคา : 380 - 400 บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา)

Herz


มาที่ยาคุมตัวสุดท้าย เฮอร์ซเป็นยาคุมแบบ 28 เม็ด เป็นยาในรูปแบบ 24 + 4 จะมีปริมาณ EE 20 mcg ซึ่งเป็นฮอร์โมนต่ำ ช่วยในการลดปัญหาสิว หน้ามัน ลดการบวมน้ำ ลดอาการ PMS ก่อนมีประจำเดือน ผลข้างเคียงต่ำอีกด้วย แถมราคาก็จับต้องได้สมเหตุสมผล
ราคา : 290 - 320 บาท (ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละร้านยา)
 
สำหรับเราถ้าใครเป็นมือใหม่เริ่มทานยาคุมลดสิว ขอแนะนำเป็นตัว Yas , Yasmin , Herz เลยเพราะเป็นยาคุมฮอร์โมนต่ำ มีผลข้างเคียงน้อย แต่ราคาอาจจะสูง ส่วนใครที่อยากได้ยาคุมราคาไม่แพง และ มีตัวเลือกหลากหลายกว่า Sucee น่าจะตอบโจทย์ในเรื่องนี้ เพราะมีทั้งแบบ 21 เม็ด และ 28 เม็ด เพราะทำให้สะดวกกว่า แถมราคาก็ยังสบายใจ ส่วนใครที่อยากเน้นตัวยาที่เป็นฮอร์โมนสูง รักษาสิวได้แบบเห็นผล และ สามารถรับผลข้างเคียงได้ (สาวๆ บางคนที่เป็นคนผอมแล้วอยากมีน้ำมีนวล) ก็ให้เลือกเป็น Diane
 
ทานยาคุมอย่างไรให้ปลอดภัย?
  • ก่อนทานยาคุมควรทำการปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกรก่อนทานยา เช่น หากเป็นมือใหม่ไม่เคยทานมาก่อน การปรึกษาจะทำให้สามารถเลือกยาคุมที่เหมาะกับเราได้
  • หากมีโรคประจำตัวควรแจ้งเภสัชกรก่อนซื้อ เพราะยาคุมอาจมีผลข้างเคียง ทำให้ผู้ป่วยบางโรคไม่ควรทาน เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ไมเกรน โรคเบาหวาน โรคตับ คนที่ยังไม่ถึงวัยเจริญพันธุ์ คนที่สูบบุหรี่ มีภาวะอ้วน รวมถึงผู้ที่ตั้งครรภ์ กำลังตั้งครรภ์ หรือ อยู่ในช่วงให้นมบุตร
  • หากใช้ยาร่วมกับยาอื่นๆ ควรแจ้งแก่เภสัชกร หรือ แพทย์ ยาบางตัวอาจจะไปลดประสิทธิภาพของยาคุม ทำให้ทานแล้วไม่เห็นผลดังนั้นควรจะแจ้งยาที่เราใช้ประจำ ว่าสามารถทานคู่กับยาคุมได้หรือไม่
  • หากเป็นมือใหม่ควรเริ่มทานเป็นยาคุมที่มีฮอร์โมนต่ำแล้วค่อยๆ เพิ่มไปที่ฮอร์โมนสูง หากไม่อยากให้มีผลข้างเคียงมาก ส่วนใครที่ทานแล้วมีอาการผิดปกติไปพบแพทย์ และ หยุดกินยาคุม

จะเห็นได้ว่ายาคุมมีประโยชน์มากกว่าแค่การคุมกำเนิด เพราะมีฮอร์โมนที่ช่วยทำให้ผิวใส ไร้สิว หน้าไม่มัน ใครที่เป็นสิวไม่หายสักทีแล้วอยากลองทาน ช่วยในการเลื่อนประจำเดือนได้ ช่วยลดอาการ PMS PMDDได้ เป็นต้น นอกจากนั้นก่อนทานอย่าลืมทำปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกรก่อนซื้อ รวมทั้งควรจะอ่านรายละเอียดบนฉลาก หรือ แผ่นผับที่มีในกล่องยาให้ครบว่า มีข้อควรระวัง หรือ วิธีในการทานอย่างไรบ้าง เพียงเท่านี้ก็ช่วยทำให้หน้าของเรากลับมาดูดี ฟื้นคืนความมั่นใจให้สาวๆ อีกครั้ง ใครที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ประจำเดือน ยาคุมกำเนิด ยาคุมฉุกเฉิน และ วิธีคุมกำเนิด รวมทั้งบทความอื่นๆ อย่าพลาดบทความที่ Sistalk จะเอามาฝากนะคะ แล้วเจอกันใหม่ค่ะสาวๆ !!!
 
 
เพราะ Sistalk ใส่ใจคุณ

เรื่องของสาวๆ ก็ต้องให้สาวๆ คุยกันสิคะ หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหา มีข้อสงสัยไม่ว่าจะเรื่องของ สุขภาพ , การดูแลรูปร่าง , เรื่องลับๆ ของสาวๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของความรัก และ เทรนด์อื่นๆ ไม่อยากพลาด ต้องเข้ามาอ่าน มาติดตามบทความที่เรา Sistalk ได้รวบรวมมาให้ รับรองได้ว่าคุณจะได้ทั้งประโยชน์ สาระความรู้ และ อัปเดตเทรนด์ก่อนใคร เพราะเราเข้าใจผู้หญิงดี!!!

ใครไม่ Talk Sistalk นะคะซิส!!!!

 
สามารถติดต่อสอบถามข้อมูล Sistalk ตามช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH


58


อาการไอ เจ็บคอ นับว่าเป็นอาการที่เราเจอกันบ่อยในช่วงนี้ อีกทั้งอากาศที่แปรปรวนบ่อยๆ  แต่ก็มีคนไม่น้อยเลยที่ไม่ชอบกินยา เพราะ Sistalk ใส่ใจคุณวันนี้เราเลยจะมาแนะนำ ผลไม้แก้เจ็บคอ ที่ทานได้ง่าย แถมอร่อยอีกด้วย คราวนี้ถึงแม้จะเจ็บคอก็สามารถทานได้ ใครที่เจ็บคอบ่อยๆ แล้วอยากรู้ว่ามีผลไม้ชนิดไหนบ้างต้องไปอ่านในบทความเลยนะคะซิส!!!
 
5 ผลไม้แก้เจ็บคอ ที่ช่วยให้หายเป็นปลิดทิ้ง!!!

ส้ม (Orange)


ส้มเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง อีกทั้งยังมีรสเปรี้ยวอมหวาน กินได้ง่าย ความเปรี้ยวของส้มจะช่วยในการบรรเทาอาการหวัด ช่วยให้ชุ่มคอ ช่วยแก้เจ็บคอได้ดี
สูตรแก้เจ็บคอ - เอาส้มมาคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นผสมน้ำมะนาวลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำตาล และ เกลือลงไปตัดรสเล็กน้อย ก็จะช่วยให้ชุ่มคอได้มาก สามารถใช้จิบระหว่างวันได้

มะนาว (Lime)


มีงวิตามินซีสูง ช่วยในการแก้เจ็บคอได้ดี ขับเสมหะ และ แก้ไออีกด้วย ฤทธิ์ของมะนาวจะช่วยให้ชุ่มคอ ใครที่เจ็บคอหนักๆ น้ำมะนาวช่วยได้
สูตรแก้เจ็บคอ - คั้นน้ำมะนาวประมาณ 2 - 3ช้อนโต๊ะ + เกลือเล็กน้อย (ใส่มากจะเค็มเอานะคะค่อยๆ ใส่ทีละน้อยๆ จะดีกว่า) หรือ จะคั้นน้ำมะนาวแล้วผสมเข้ากับน้ำอุ่น อาจจะใส่น้ำผึ้งเล็กน้อยก็จะกลายเป็นน้ำผึ้งมะนาวที่อร่อย และ หอมน้ำผึ้ง

มะขาม (Tamarind)


มะขามมีวิตามินซีสูงไม่แพ้ส้ม หรือ มะนาวเลย สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ และ หวัดได้ดี ช่วยในการขับเสมหะได้อีกด้วย
สูตรแก้เจ็บคอ - นำมะขามมาคั้นเอาน้ำโดยนำมะขามไปต้มก่อนจะได้คั้นน้ำง่ายๆ แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นเติมน้ำ และ ใส่ตาล เกลือลงไปเล็กน้อย คนจะส่วนผสมเข้ากันก็ดื่มได้เลย

ทับทิม (Pomegranate)


ทับทิมที่เป็นผลไม้วิตามินซีสูง นอกจากนี้ทับทิมยังมีวิตามินอื่นๆ และ กรดโฟลิกที่ช่วยในการป้องกันการติดเชื้อ แก้เจ็บคอ และ ช่วยลดการอักเสบ รวมถึงช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัดได้ดีอีกด้วย
สูตรแก้เจ็บคอ - ทับทิมเป็นผลไม้มีเม็ด หากจะกินแบบน้ำอาจจะต้องอาศัยเครื่องปั่นแบบแยกกาก หรือ ปั่นไปทั้งเมล็ด แล้วทำการกรองเศษเมล็ดออกด้วยผ้าขาวบาง ส่วนใหญ่จะเติมน้ำผึ้งลงไปเพิ่มเติมรสชาติ และ สรรพคุณทางยา

กีวี (Kiwi)


กีวีมีวิตามินหลายชนิด แถมแคลก็น้อย ช่วยในการป้องกันหวัด และ ช่วยป้องกันการติดเชื้อ รักษาการเจ็บคอ และ มีสารต้านอนุมูลอิสระ
สูตรแก้เจ็บคอ - กีวีสามารถนำไปทำน้ำได้หลากหลาย เพราะเนื้อสามารถกินได้ทั้งลูก สามารถนำกีวีมาปั่นผสมกับน้ำมะนาว และ น้ำเปล่าได้ นอกจากนั้นก็สามารถนำไปทำสมูทตี้ได้หลายสูตรตามความชอบเลย
 
ผลไม้ที่เราแนะนำเหล่านี้สามารถกินได้ทั้งแบบสด และ นำไปทำอาหาร หรือ ปรุงอาหารได้ ใครที่ไม่ชอบกินสดแต่ชอบดื่มเป็นน้ำให้ชุ่มคอ ใช้จิบระหว่างวันก็สามารถคั้นเป็นน้ำ ผสมน้ำอุ่น หรือ ชาได้ เช่น น้ำอุ่นใส่มะนาว ชาร้อนผสมส้ม แต่ถ้าหากคุณเป็นสายเฮลตี้จะคั้นแบบแยกกาก หรือ นำมาปั่นเป็นสมูทตี้แล้วเติมน้ำผึ้งนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติก็ได้ ช่วยให้ชุ่มคอ แก้เจ็บคอ แถมยังอร่อยอีกด้วย เห็นมั้ยละคะสาวๆ ว่าผลไม้ที่เรารู้จักกันก็สามารถช่วยลดการระคายคอ แก้เจ็บคอได้ดี ไม่จำเป็นต้องกินอะไรที่ขมๆ หรือ ไม่อร่อย ในเมื่อคุณสามารถเลือกผลไม้ที่อร่อยได้ แถมยังช่วยแก้ปัญหาการเจ็บคอให้หายเป็นปลิดทิ้ง ถ้าดีขนาดนี้ต้องบอกต่อเพื่อแล้วนะคะ รักใครต้องส่งบทความนี้ให้เขาอ่านนะคะซิส อย่าปล่อยให้อาการไอทำให้คนที่คุณรักต้องเจ็บคอ!!!
 
มาดูแลสุขภาพไปกับ Sistalk
เพราะในช่วงนี้สุุขภาพสำคัญมาก อย่าปล่อยให้อาการไอ เจ็บคอมาทำให้การใช้ชีวิตของคุณสะดุด จนเกิดเป็นการไอเรื้อรัง ส่วนใครที่ไม่รู้จะเลือกใช้ยาแก้ไอแบบไหนดี หรือ จะเลือกวิธีแก้ไอแบบไหนดีเรามีคำตอบ พบกับเรื่องสาระความรู้เกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ Sistalk นอกจากนั้นก็ยังจะมาช่วยไขข้อสงสัยไม่ว่าจะเรื่องของการดูแลรูปร่าง , ความรัก , เรื่องยาคุมกำเนิด , การปวดท้องประจำเดือน ใครที่ไม่อยากพลาด ต้องเข้ามาอ่าน และ อย่าลืมที่จะติดตามบทความของเรารับรองได้ว่าคุณจะได้ทั้งประโยชน์ สาระความรู้ และ อัปเดตเทรนด์ก่อนใคร เพราะเราใส่ใจ และ เข้าใจผู้หญิงเป็นอย่างดี!!!
ใครไม่ Talk Sistalk นะคะ!!!

 
 
สามารถติดต่อสอบถามข้อมูล Sistalk ตามช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH


59


GoPro กล้องขนาดเล็ก พกพาได้ง่าย ทนทานต่อแรงกระแทก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการกันน้ำ แม้ว่าโกโปรจะสามารถกันน้ำได้ แต่ถ้าปิดตัวเครื่องไม่ดี เช่น ในกรณีที่เผลอเปิดฝาแบตเตอรี่ไว้ หรือ ปิดไม่สนิท ก็อาจทำให้ GoPro น้ำเข้า ไปข้างในจนทำให้ เครื่องค้าง เปิดไม่ติดได้ แล้วแบบนี้จะต้องทำอย่างไร ส่งเคลมได้หรือไม่? ถ้าใครกำลังเจอกับปัญหานี้อยู่อ่านได้ในบทความเลย!!!
 
อาการ GoPro น้ำเข้า เป็นอย่างไร?

  • หน้าจอมีลายน้ำขึ้นมาด้านในอย่างชัดเจน ทั้งจอด้านหน้า และ ด้านหลัง
  • เมื่อเปิดที่ช่องใส่แบตเตอรี่ หรือ ช่องชาร์จจะมีน้ำค้างอยู่ข้างใน
  • ไม่สามารถสัมผัสหน้าจอได้ ทัสกรีนไม่ไป
  • เปิดใช้งานกล้องไม่ได้ หน้าจอดำ

 
วิธีแก้ไข GoPro น้ำเข้า เบื้องต้นด้วยตัวเอง

ปิดเครื่อง GoPro ทันที


เมื่อ GoPro มีน้ำเข้าไม่ควรที่จะเปิดเครื่องในขณะใช้งาน ให้ทำการปิดเครื่องทันที เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร และ ป้องกันการทำให้ระบบภายในเสียหาย

ถอดแบตเตอรี่ออก


เมื่อทำการปิดเครื่องเรียบร้อยแล้ว ต่อไปให้ทำการถอดแบตเตอรี่ออกจากตัวเครื่อง จากนั้นนำมาผึ่งบนทิชชู่ หรือ ผ้าแห้งๆ แล้วเปิดฝาแบตเตอรี่ที่ตัวเครื่องทิ้งไว้ เพื่อระบายความชื้นออก หากมี SD Card หรือ อุปกรณ์เสริมอื่นๆ ก็ให้ถอดออกด้วย เพื่อให้ทุกซอก ทุกมุมของกล้องมีอากาศถ่ายเท จะได้ทำให้กล้องแห้งไวยิ่งขึ้น

กำจัดคราบทราย


หากน้ำที่เข้าไปเป็นน้ำทะเล ก่อนอื่นให้ทำการล้างตัวเครื่องด้วยน้ำสะอาดก่อน หากไม่ล้างคราบเหล่านี้ออก อาจทำให้เมื่อโกโปรแห้ง ผงเกลือ และ ทรายอาจจะเข้าไปอุดตันในช่องต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาเรื่องของการใช้งานอื่นๆ ขึ้นมาได้

ไล่ความชื้นออกจากกล้อง


อาจจะทำการไล่ความชื้นด้วยการเอาไดร์เป่าผมมาเป่า เพื่อเป็นการไล่น้ำออกจากตัวเครื่อง หรือ อาจจะใช้สารกันชื้น ซองกันชื้นเพื่อไล่ความชื้นออกจากตัวเครื่องก็ได้ โดยทิ้งไว้เป็นเวลา 48 - 72 ชั่วโมง

ข้าวสารไล่ความชื้นได้


ให้นำกล้อง และ แบตเตอรี่ไปแช่ข้าวสาร แช่อุปกรณ์โดยให้ข้าวสารกลบอุปกรณ์ให้มิด ทิ้งไว้เป็นเวลาประมาณ 48 - 72 ชั่วโมง แล้วให้ลองเช็ครอบๆ ตามช่องแบตเตอรี่ ช่องชาร์จ และ เปิดเครื่องดู ว่าสามารถเปิดได้หรือไม่
 
ถ้าแก้ไม่หาย ส่งเคลมได้หรือไม่?

ถ้ามีน้ำเข้ากล้องขณะที่ยังอยู่ในประกัน ให้คุณทำการสอบถามอาการกับทางบริษัท GoPro ว่าสามารถเคลมได้หรือไม่ โดยคุณสามารถเข้าไปสอบถามได้ที่ www.gopro.com/help

  • เลือกที่ Contact Us
  • ใส่ชื่อ และ E-mail > กด Start chat
  • ใส่ข้อมูลอีกรอบ > กด Start chat
  • พิมพ์ปัญหา และ อาการของตัวเครื่องที่เกิดขึ้น เพื่อบอกกับเจ้าหน้าที่

Tip & Trick การป้องกันน้ำเข้าGoPro

  • ให้ทำการตรวจสอบจุดสำคัญต่างๆ ก่อนลงน้ำทุกครั้ง เช่น ช่องเสียบแบตเตอรี่ , ฝาข้างผิดแบตเตอรี่ , หน้าเลนส์กล้อง ว่าปิดสนิทหรือไม่ ก่อนที่จะลงน้ำทุกครั้ง
  • ให้ทำการใส่เคสกันน้ำ เพราะถึงแม้ว่าโกโปรจะสามารถใช้งานในน้ำได้ แต่ก็มีระยะการใช้งานในน้ำที่จำกัด และ เพื่อป้องกันโกโปรจากอันตราย เช่น กระแทกกับหิน หรือ แรงดันน้ำ การใส่เคสกันน้ำจะช่วยปกป้องกล้อง และ ยังทำให้สามารถดำน้ำได้ลึกขึ้นอีกด้วย
  • เมื่อขึ้นจากน้ำแล้ว ให้ลองเช็คอุปกรณ์ว่ามีน้ำเข้าไปหรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาน้ำเข้ากล้อง

ใครที่ไม่อยากให้น้ำเข้ากล้องจนเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาก็แค่ป้องกันเอาไว้ก่อน ส่วนใครที่กลัวปัญหา หรือ พึ่งซื้อกล้องมาใหม่ต้องอย่าลืมลงทะเบียนประกันเอาไว้ด้วยนะ โดยสามารถเข้าไปอ่านได้ที่ >> วิธีลงทะเบียนประกัน GoPro ทำอย่างไร? << หรือ ใครที่กำลังเจอกับปัญหานี้อยู่สามารถเข้าไป >> อ่าน วิธีเคลม GoPro ด้วยตัวเอง ได้เลยที่นี่ <<
 
 
ซื้อ GoPro กับตัวแทนอย่าง Aquapro ดีแน่นอน!!!

คุ้มสุดเมื่อซื้อโกโปร และ อุปกรณ์เสริมกับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ที่มาพร้อมกับ GoPro 10 โปรโมชั่น สุดคุ้ม ของแถมจุกๆ โปรส่งฟรี พร้อมโปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติมที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!! ติดตามได้ตาม link ด้านล่างเลย นอกจากนั้นร้านของเรายังมีความพิเศษแบบเฉพาะของทางร้าน

  • สินค้าหลากหลาย เลือกไม่ไหวจะเป็นสายไหนก็ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น กล้องGoPro , แบตเตอรี่ , ไม้เซลฟี่ ขาตั้ง , เคสกันน้ำ และ สินค้าอื่นๆ
  • โปรโมชั่นโดนใจ จัดเซตกล้อง GoPro และ อุปกรณ์สุดคุ้ม ให้คุณได้ช็อปทุกเทศกาล
  • ของแถมจุใจ เรียกได้ว่าเกินคุ้ม ใครที่ชอบของแถมต้องร้านของเราเลย
  • โปรจัดส่งฟรี* ส่งเร็ว เก็บค่าส่งไว้ช็อปต่อให้หนำใจ (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ร้านกำหนด)
  • ผ่อน 0%  นาน 10 เดือน (เฉพาะบัตรที่เข้าร่วมรายการเท่านั้น)
  • สินค้าพร้อมให้บริการ ไม่ต้องรอพรีให้เสียเวลา ทันใช้แน่นอน
  • บริการหลังการขายยอดเยี่ยม สำหรับสินค้าที่ชำรุด เสียหายจากการผลิต สามารถเข้ามาเปลี่ยนสินค้าใหม่ได้เลยภายใน 7 วัน
  • ซื้อสินค้าบนช่องทางออนไลน์ รอรับของสบายๆที่บ้าน ไม่ต้องเดินทางให้เหนื่อย
  • สามารถออกใบกำกับภาษีได้ ใครที่ต้องการเอกสารประกอบสามารถแจ้งกับที่ร้านได้เลย


นึกจะซื้อ GoPro นึกถึงร้าน AquaPro ทั้งครบ และ คุ้ม ส่งตรงถึงหน้าบ้านคุณ

 
ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


60


เฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นวัสดุที่มีความสวยงาม เป็นธรรมชาติ และ มีคุณสมบัติเฉพาะตัว รวมไปถึง วิธีทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้ ด้วยที่จะแตกต่างจากวัสดุชนิดอื่นๆ ถึงแม้ไม้จะเป็นวัสดุที่ต้องดูแลให้ดี แต่ก็เพราะคุณสมบัติของไม้เลยทำให้หลายๆ คนยอมที่จะนำมาใช้งาน  MTK จะมาบอกวิธีดูแลง่ายๆ ที่ช่วยทำให้เฟอร์นิเจอร์อยู่กับคุณไปยาวนานมากขึ้น!!!
 
ดูลักษณะของไม้ก่อนทำความสะอาด?

ก่อนอื่นให้เราดูเฟอร์นิเจอร์ไม้ของเราก่อนว่า เป็นไม้ลักษณะเนื้อแข็ง หรือ เนื้ออ่อน ก็จะสามารถเลือกวิธีทำความสะอาดมที่เหมาะสมกับเฟอร์นิเจอร์ได้
  • เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็ง จะทำความสะอาดได้ง่ายกว่าไม้เนื้ออ่อน สามารถใช้ได้หลายวิธี ส่วนใหญ่จะสามารถทำความสะอาดได้โดยใช้ผ้าชุบสบู่เจือจางมาเช็ด และ เช็ดด้วยผ้าแห้ง หรือ ทำการลงน้ำยาเคลือบไม้
  • เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้ออ่อน สามารถทำความสะอาดได้ไม่แตกต่างจากไม้เนื้อแข็งมากนัก แต่ต้องระวังปัญหาเรื่องแมลง ควรจะเน้นการกำจัดแมลง ลงน้ำยากันแมลงเป็นหลัก

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำความสะอาด


  • ไม้ปัดขนไก่ อุปกรณ์สำหรับปัดกวาดเบื้องต้น เพื่อปัดฝุ่น เชื้อรา และ แมลงออกจากไม้
  • ผ้าเนื้อนุ่ม การเช็ดทำความสะอาดไม้ไม่ควรใช้ผ้าที่มีเนื้อหยาบ เพราะอาจทำให้เกิดรอยบนไม้ได้
  • น้ำยาขัดไม้ น้ำยาเคลือบไม้ ใช้ในการขัดเพื่อให้ไม้ขึ้นเงาสวย เหมือนใหม่

 
วิธีทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทำอย่างไรบ้าง?

ไม้เป็นรอยดูแลอย่างไร?


  • ใช้ ฝอยขัดหม้อ มาขัดแล้วทำการเช็ด ถ้ามีรอบลึกอาจจะใช้ กระดาษทราย ในการขัด
  • ใช้สีโป๊วไม้ ใช้ในการซ่อมรอยที่ชำรุดบนไม้ รอบตะปูต่างๆ และ อาจจะเคลือบไม้อีกทีหนึ่ง

รอยจากน้ำทำความสะอาดอย่างไร?


  • ใช้ผ้าชุบ น้ำยาล้างจาน ที่เจือจางกับน้ำแล้วขัดๆ บริเวณที่เป็นคราบ
  • ใช้ยาสีฟัน ขัดบริเวณที่เกิดรอย แล้วนำผ้ามาเช็ดทำความสะอาด
  • ใช้ เบคกิ้งโซดาผสมกับน้ำ (เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ) มาเช็ดจนคราบหาย

ทำความสะอาดสิ่งสกปรกต่างๆ?


เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน

  • เอาไม้ปัดขนไก่ หรือ ผ้าแห้งมาเช็ดทำความสะอาดเอาสิ่งสกปรกภายนอกออกก่อน
  • ใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดถูกเบาๆ ให้ทั่ว และ ใช้ผ้าแห้งเช็ดอีกที จากนั้นให้เอาเฟอร์นิเจอร์ที่ทำความสะอาดไปพึ่งแดดอ่อนๆ
  • ทาน้ำยากันปลวก และ ขัดเงาไม้ เพื่อทำให้สี เนื้อไม้อยู่ได้นานขึ้น

เฟอร์นิเจอร์นอกบ้าน

  • เอาไม้ปัดขนไก่ หรือ ผ้าแห้งมาเช็ดทำความสะอาดเอาสิ่งสกปรกภายนอกออกก่อน
  • หากมีรอยน้ำให้ทำความสะอาดตามวิธีด้านบน หรือ ถ้ามีคราบสกปรกอาจจะใช้ฟองน้ำ และ มายองเนสมาขัดบริเวณที่เกิดรอย แล้วเช็ดออกด้วยผ้าแห้ง
  • หากมีรอยที่ขัดไม่ออกให้ใช้กระดาษทรายในการขัดคราบออก แล้วจึงทำการเช็ดถูกด้วยผ้าอีกที
  • ทาน้ำยาเคลือบไม้ เพื่อป้องกันผิวของเนื้อไม้ เนื่องจากเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่นอกบ้านเลยจะต้องดูแลให้ดี แล้วอาจจะทำการขัดเงาไม้อีกครั้งก็ได้

เคล็ดลับการดูแลเฟอร์นิเจอร์ให้อยู่ไปยาวนาน
การที่จะป้องกัน และ ดูแลให้ไม้อยู่กับเราไปยาวนานก็คือ การเลือกไม้ที่มีมาตรฐาน เหมือนกับไม้ที่โรงงาน MTK WOOD โรงงานของเราเป็นโรงงานไม้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน IPPC จากกรมวิชาการเกษตร และ ผ่านกระบวนการแปรรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ไม้อยู่ได้ยาวนานขึ้น ป้องกันไม้จากแมลงศัตรูไม้ และ ความชื้น ทำให้ไม้ทนทานมากยิ่งขึ้นด้วยการนำไม้ไปอัดน้ำยา และ อบไม้ ก่อนที่จะนำไม้มาทำเฟอร์นิเจอร์ เมื่อได้ไม้ที่ดีแล้วก็จะทำให้เฟอร์นิเจอร์ดูแลได้ง่ายขึ้น ทนทานขึ้น และ อยู่กับเราไปยาวนานกว่าเดิม!!!
 
เพียงเท่านี้คุณก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำความสะอาดไม้ได้ยากแล้ว เห็นวิธีที่เราเอามาแนะนำไหมคะไม่ยากเลยใช่ไหม แม้ไม้จะเป็นวัสดุที่อ่อนโยน แต่ถ้าดูแลดีๆ ก็จะอยู่กับเราไปยาวนาน ด้วยความสวยของไม้ ประโยชน์ใช้สอยต่างๆ เลยทำให้ไม้ยังคงเป็นที่นิยมในการนำมาทำเฟอร์นิเจอร์
 

อยากได้ไม่ดีต้องไม้ที่โรงงาน MTK WOOD

  • ไม้ดีมีคุณภาพ ซึ่งโรงไม้ของเราผ่านการรับรองมาตรฐาน IPPC จากกรมวิชาการเกษตรแล้วเรียบร้อย ทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะได้ไม้ดี มีมาตรฐานอย่างแน่นอน
  • ไม้ได้ตามสเปค ทางโรงงานใช้เครื่องจักรคุณภาพไม่ว่าจะเป็น เครื่องเลื่อยสายพาน , เครื่องไสเรียบ 4 หน้า ,   เครื่องอัดน้ำยา และ เครื่องอบไอน้ำ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้ไม้ยางพาราที่ได้มาตรฐานอย่างแน่นอน
  • รูปไม้ได้หลากหลาย โรงงานของเรามีบริการอย่างครบวงจรตั้งแต่ รับผลิตและจำหน่ายไม้ยางพาราแปรรูป , บริการรับเลื่อย-ไสไม้ ตัดแต่งไม้ , บริการอัดน้ำยา-อบไม้ จนถึงบริการขนส่งไม้ทั่วประเทศไทยด้วยรถเทเลอร์ รถบรรทุก ที่พร้อมให้บริการกว่า   20 คัน
  • ไม้ส่งตรงถึงบ้าน โรงงานของเรามีหน้าโรงงานจริงอยู่ที่ จังหวัดระยอง ที่เปิดให้บริการมากกว่า 25 ปี และ ยังมีบริการขนส่งที่ให้บริการทั่วไทย

 
 
สนใจสั่งซื้อ และ ดูข้อมูลเพิ่มเติม  MTK ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :   @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


61


ช่วงเป็นเมนส์เราจะอยากกินอะไรให้สดชื่น ดื่มน้ำหวานๆ อย่างน้ำมะพร้าว แต่พอกินก็โดนผู้ใหญ่บอกว่าห้าม กินน้ำมะพร้าวตอนเป็นเมนส์ !!! เคยสงสัยกันมั้ยคะว่าทำไมต้องห้ามด้วย Sistalk จะมาไขข้อสงสัยเรื่องนี้ให้สาวๆ เองค่ะ จะกินได้หรือไม่ เป็นเมนส์ห้ามกินอะไรบ้าง ถ้าอยากรู้ต้องไปอ่านในบทความเลย!!!
 
จริงหรือไม่ที่ห้าม กินน้ำมะพร้าวตอนเป็นเมนส์?

เนื่องจาก บางคนเมื่อทานน้ำมะพร้าวไปแล้วจะมีอาการแพ้ หรือ มีอาการคัดตึงเต้านม มดลูกบีบตัวมากขึ้นเกิดขึ้น ส่วนใหญ่อาการแพ้ไม่ได้จะเกิดได้กับทุกคน ทำให้ผู้ใหญ่ หรือ ใครหลายคนบอกเราเสมอว่าเป็นเมนส์ห้ามกินน้ำมะพร้าวเด็ดขาด!!!


ความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์กับการกินน้ำมะพร้าว
จริงๆ แล้วการที่มีอาการอย่างนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน แต่เพราะในน้ำมะพร้าวจะมีสาร ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ที่คล้ายกับฮอร์โมน Estrogen ทำให้เมื่อเราได้รับฮอร์โมนเพิ่มขึ้นมากๆ จึงส่งผลทำให้ระดับของฮอร์โมนผิดปกติ จนเกิดอาการต่างๆ ตามมา ในน้ำมะพร้าวแต่ละลูกก็จะมีปริมาณฮอร์โมนที่ต่างกัน อีกทั้งแต่ละคนก็มีการตอบสนองต่อฮอร์โมนในน้ำมะพร้าวต่างกันด้วย ทำให้บางคนที่ทาน ก็ไม่ส่งผลอะไรต่อร่างกาย แต่กลับจะมีประโยชน์เพิ่มมากกว่า
 
กินน้ำมะพร้าวตอนเป็นเมนส์ ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวต่อร่างกาย

ช่วยเรื่องเลือดประจำเดือน


ในน้ำมะพร้าวจะมีธาตุเหล็กกรดโฟลิก และ แร่ธาตุที่ช่วยในการไม่ให้เลือดแข็งตัวเป็นก้อน ช่วยป้องกันการเป็นโลหิตจาง เพราะบางคนที่ประจำเดือนมามากจะสูญเสียเลือดในร่างกายมาก ทำให้ต้องเสริมธาตุเหล็ก และ วิตามินที่บำรุงเลือดเข้าไป

ช่วยในการปรับสมดุลฮอร์โมน


ในช่วงมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนในร่างกายจะมีการเพิ่มขึ้น และ ลดลง ทำให้บางคนมีอารมณ์ที่แปรปรวน แร่ธาตุสังกะสีในน้ำมะพร้าวสามารถช่วยในการปรับสมดุลฮอร์โมนช่วงมีประจำเดือนได้ และ ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้

ช่วยควบคุมสมดุลร่างกาย


สำหรับบางคนในช่วงประจำเดือนจะมีอาการทางร่างกายค่อนข้างมาก น้ำมะพร้าจะช่วยในการปรับสมดุลในร่างกาย ช่วยในการลดการหดตัว บีบตัวของกล้ามเนื้อ โพแทสเซียมในน้ำมะพร้าวจะลดลงในการแก้ปวดประจำเดือน และ ปรับสมดุลต่างๆ

ช่วยฟื้นฟูร่างกาย


ในช่วงมีประจำเดือน เรามักจะมีอาการปวดปวดหลัง ปวดเอว ร่วมกับการปวดท้องเพราะมดลูกบีบตัว น้ำมะพร้าวจะช่วยในการฟื้นฟู และ บำรุงร่างกาย ช่วยดูดซึมสารอาหารต่างๆ ช่วยบำรุงให้ผิวเราสุขภาพดี สร้างคอลลาเจนให้ผิว และ ทำให้เรานอนหลับได้เต็มอิ่ม
 
เห็นไหมละคะว่าความเชื่อ ที่บอกว่าห้ามกินน้ำมะพร้าวตอนเป็นเมนส์ไม่จริงเลยนะคะ หากกินอย่างพอดีจะช่วยในการบำรุงร่างกาย ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น ช่วยปรับสมดุลต่างๆ แต่ก็ยังมีของที่คนเป็นเมนส์ห้ามกินอะไร และ ถ้าใครมีอาการปวดประจำเดือนแต่ไม่รู้จะแก้อย่างไร ก็สามารถไปอ่าน ไอเทมกู้วิกฤตอาหารแก้ปวดท้องประจำเดือน 7-11 , ถุงร้อนประคบท้องประจำเดือน และ คอนเทนต์อื่นๆ ของ Sistalk ได้ ใครที่อยากรู้ว่าอาหารอะไรที่ห้ามกิน เพราะจะทำให้อาการปวดท้องเพิ่มมากขึ้น สามารถไปอ่านบทความที่ลิ้งค์นี้ได้เลย

>>อ่าน เป็นเมนส์ห้ามกินอะไร เพิ่มเติมได้ที่นี่<<

 
หาคำตอบเรื่องสุภาพของผู้หญิงได้ที่ Sistalk
เรื่องของสาวๆ ก็ต้องให้สาวๆ คุยกันสิคะ หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหา มีข้อสงสัยไม่ว่าจะเรื่องของ สุขภาพ , การดูแลรูปร่าง , เรื่องลับๆ ของสาวๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของความรัก และ เทรนด์อื่นๆ ไม่อยากพลาด ต้องเข้ามาอ่าน มาติดตามบทความที่เรา Sistalk ได้รวบรวมมาให้ รับรองได้ว่าคุณจะได้ทั้งประโยชน์ สาระความรู้ และ อัปเดตเทรนด์ก่อนใคร เพราะเราเข้าใจผู้หญิงดี!!!

ใครไม่ Talk Sistalk นะคะซิส!!!!

 
 
สามารถติดต่อสอบถามข้อมูล Sistalk ตามช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH
 
ข้อมูลอ้างอิงการกินน้ำมะพร้าวตอนเป็นเมนส์จาก



62


เคยไหม...นอนน้อย นอนไม่พอ จนรู้สึกผิวไม่สดใส ผิวดูหมองคล้ำ ดูแห้งกร้าน ยิ่งอยู่ในห้องที่มีอากาศเย็นตลอดยิ่งทำให้ผิวแห้ง ใครที่มักจะนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วอยากจะรู้วิธีกู้ผิวจากปัญหาผิว หน้าโทรม วันนี้ทาง ResiSKIN จะมาพาคุณผ่านพ้นปัญหาหน้าโทรมจากการนอนน้อย มาเปลี่ยนผิวโทรมให้เป็นผิวสวยไปด้วยกัน อย่ารอช้าไปอ่านบทความกันเลย!!!

นอนไม่พอส่งผลอย่างไรต่อผิว?

พฤติกรรมการนอนที่ไม่เพียงพอ นอนน้อย อาจจะส่งผลอย่างมากต่อร่างกายของเรา นั่นเพราะว่าการนอนหลับอย่างเพียงพอจะทำให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนต่างๆ แต่เมื่อเราหลับไม่เพียงพอจะทำให้เวลาที่ต้องใช้ในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การฟื้นฟูภายในไม่สามารถทำได้เป็นผลทำให้ในช่วงที่นอนน้อยผิวพรรณดูหมองคล้ำกว่าปกติ ทำให้ ผิวดูโทรมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  • จะเห็นริ้วรอยได้ง่าย และ ชัดเจน
  • ผิวแห้งกร้าน เนื่องจากน้ำในผิวไม่เพียงพอ
  • ผิวดูโทรมลง หมองคล้ำ เนื่องจากผิวไม่ได้รับการฟื้นฟู
  • ทำให้ผิวอ่อนแอลง ทำให้เมื่อมีสิ่งมากระตุ้นจะทำให้เกิดปัญหาผิวได้ง่าย เช่น สิวขึ้น รอยดำรอยแดงหายช้า

หน้าโทรมทำไงดี วิธีการดูแล และ ฟื้นฟูผิวด้วยตัวเอง

การนอนให้เพียงพอ


ต้องนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง ไม่หลับๆ ตื่นๆ ควรนอนในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อให้ร่างกายจดจำเวลานอนได้ หากใครที่นอนไม่ค่อยหลับให้นอนในที่มืดสนิทก็จะทำให้นอนได้เต็มที่ขึ้น ส่วนท่านอนที่เหมาะสมควรจะนอนหงาย เพื่อไม่ให้ผิวเกิดริ้วรอย และ การกดทับ

ดื่มน้ำ และ ทานอาหารให้เหมาะสม


ควรที่จะ ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

  • แก้วที่1 : ดื่มหลังตื่นนอน เพื่อกระตุ้นการทำงานต่างๆ ของร่างกาย
  • แก้วที่2 : ดื่มในช่วงสายๆ เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย
  • แก้วที่3 : ดื่มก่อนมื้อเที่ยง เพื่อกระตุ้นการย่อยอาหาร
  • แก้วที่4-5 :ดื่มในช่วงระหว่างวัน เพื่อเติมน้ำในผิวให้ชุ่มชื่น
  • แก้วที่6-7 : ดื่มช่วงเย็น เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร
  • แก้วที่8 : ดื่มก่อนนอน เพื่อเติมน้ำในผิวในระหว่างที่นอนหลับ

เพื่อชดเชยน้ำในผิวที่เสียไป และ เป็นการรักษาสมดุลน้ำในผิว เมื่อร่างกายได้รับน้ำ และ คอลลาเจนที่ชดเชยเข้ามาจะทำให้ผิวพรรณของเราได้ฟื้นฟู และ กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม

การล้างหน้าอย่างถูกวิธี


เวลาที่ล้างหน้าต้องล้างให้ดีโดยล้างด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง หรือ น้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน โดยล้างไปตามแนวรูขุมขนประมาณ 15-20 วินาที แล้วทำการล้างออก และ เติมความชุ่มชื้นคืนให้ผิวด้วยครีมบำรุงต่างๆ นอกจากนั้นควรจะทำการสครับหน้าอาทิตย์ละครั้ง เพื่อผลัดเซลล์ผิวทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น

บำรุงผิวด้วยสกินแคร์


ต้องหมั่นทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวที่อ่อนแออยู่แล้วคล้ำเสียไปอีก นอกจากนั้นอาจจะทำการมาส์กหน้าเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ควรจะเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิวด้วย ส่วนใครที่ยิ่งมีผิวแพ้ง่ายก็ควรเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่อ่อนโยนต่อผิวอย่างผลิตภัณฑ์ของ ResiSKIN

  • ครีมเวชสำอางที่มีส่วนผสมของ Extremolytes 7% ที่เป็นสารที่จะช่วยในการปกป้องเซลล์ให้อยู่รอดจากมลภาวะ สภาพอากาศต่างๆ
  • ช่วยสร้างเกราะความชุ่มชื้นในผิว (Hydro complex) จากภายในแล้ว และ ภายนอก
  • ช่วยในการลดระดับความเสียหายของเซลล์ผิวจาก Visible Light , UVA และ UVB
  • ช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำจากมลภาวะต่างๆ โดยจะทำการลดระดับของการสร้างเม็ดสีที่สัมผัสมลภาวะลง
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวของเราชุ่มชื้นได้ยาวนาน
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอย ช่วยลดริ้วรอยได้แม้จะจุดที่อ่อนโยนอย่างบริเวณรอบดวงตา
  • ช่วยในการลดการอักเสบของผิวที่เกิดความเสียหายจากปัจจัยต่างๆ
  • ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของปัญหาผิวต่างๆ

ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอม พาราเบน สารปรุงแต่งสังเคราะห์ต่างๆ มาในรูปแบบของเนื้อครีมที่บางเบาแต่ชุ่มชื้น  ที่จะช่วย ช่วยปกป้องผิวจากทุกสภาวะ และ ยังป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ เอาชนะทุกปัญหาผิว อักเสบ แพ้ แห้ง แดง ผื่นคัน!!! อยากที่อยากฟื้นฟูผิวจากการนอนหลับไม่เพียงพอ เพื่อให้ผิวกลับมาชุ่มชื้นอิ่มน้ำ และ แข็งแรงอีกครั้งต้องลอง ResiSKIN
 
ฟื้นคืนผิวที่โทรมให้กลับมาสดใสตามเดิมด้วย ResiSKIN

 
ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
Facebook : Resiskin by Qualisk
Line : @resiskin
Shopee : ResiSKIN by QUALISK
Lazada : Qualimed



63


เคยไหมแต่งหน้าเท่าไหร่ก็ไม่ติด? พอแต่งเข้าไปซ้ำก็ทำให้เครื่องสำอางตกร่อง เป็นคราบ จนเสียความมั่นใจ มิหนำซ้ำยังทำให้เจอกับปัญหาผิวที่ตามมาหลายอย่าง ResiSKIN จะมาบอกวิธีการฟื้นฟูผิวที่ทำให้คุณกลับมามั่นใจอีกครั้ง จะแต่งหน้ายังไงก็ไม่เป็นคราบ ติดทน แถมยังทำให้ผิวดูอิ่มฟู ดูสวย ใครที่อยากรู้เคล็ดลับวิธีการฟื้นฟูผิวก็อย่ารอช้า ไปอ่านบทความกันเลย!!!

สาเหตุที่ทำให้ แต่งหน้าไม่ติด?


  • สภาพผิวไม่เป็นใจ สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้แต่งหน้าไม่ติดก็คือสภาพผิวที่ไม่แข็งแรง ใครที่มีผิวแห้ง สภาพผิวแบบนี้จะทำให้เครื่องสำอางหลุดได้ง่าย เนื่องจากผิวขาดความชุ่มชื้นไม่เหมือนกับคนที่มีผิวเรียบเนียน ส่วนคนที่มีผิวมัน มักจะมีรูขุมขนกว้างเพื่อขับส่วนเกินบนใบหน้า คนที่มีรูขุมขนกว้างจะทำให้แต่งหน้าไม่ติดทน ผิวดูไม่เรียบเนียน
  • ขาดบำรุงผิว บำรุงผิวไม่เพียงพอ การบำรุงผิวเป็นสิ่งสำคัญ หากขาดการบำรุงอาจทำให้ผิวโทรมได้ง่าย แต่งหน้าไม่ติด และ หน้าเกิดความหมองคล้ำได้ ต้องหมั่นใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ ส่วนถ้าผิวมันก็ควรหมั่นกำจัดความมันบนใบหน้า
  • ขาดพักผ่อนที่เพียงพอ หากพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวดูโทรม ไม่ฟู แต่งหน้าไม่ค่อยติด หรือ แต่งแล้วแต่ผิวก็ยังดูโทรม หมองคล้ำ การดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ผิวแห้ง ผิวไม่อิ่มน้ำ หากคุณเป็นทั้งคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ และ ดื่มน้ำไม่เพียงพอด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ผิวไม่เหมาะกับการแต่งหน้า ทำให้เมื่อแต่งหน้าแล้วอาจทำให้หน้าเป็นคราบ หรือ หลุดระหว่างวันได้

>> อ่านบทความ Checklist ผิวขาดน้ำ คืออะไร? ที่นี่<<

วิธีฟื้นฟูผิวให้กลับมาแต่งหน้าได้ดีอีกครั้ง


  • ดื่มน้ำ และ พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ล้างหน้าอย่างถูกวิธี
  • ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วย
  • เลี่ยงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารที่ทำให้ระคายเคือง

ให้ ResiSKIN ช่วยฟื้นฟูผิวที่แต่งหน้าไม่ติด


ใครที่อยากฟื้นฟูอย่างเร่งด่วนลองใช้ ครีมเวชสำอางของ ResiSKIN ดูสิเพราะว่าครีมมีส่วนผสมของ Extremolytes 7% ที่ช่วยในการฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้กลับมาแข็งแรง เสริมการดูแลจากภายในสู่ภายนอก อีกทั้งยังทำให้ ผิวชุ่มชื้นได้ยาวนานถึง 7 วัน ทำให้ผิวของเราดูอิ่มน้ำ ผิวฟู แต่งหน้าได้ง่าย ให้ผิวที่ดูดี และ สวย ไม่หมองคล้ำ นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผิวอื่นๆ เช่น การอักเสบของผิว ปัญหาสิว ริ้วรอย การแพ้ การระคายเคืองต่างๆ แถมยังช่วยเรื่องของผิวอื่นๆ

  • สร้างเกราะป้องกันผิวจากสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ
  • ช่วยในการลดระดับความเสียหายของเซลล์ผิว
  • ช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำจากมลภาวะต่างๆ
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวยาวนาน
  • ช่วยในเรื่องการลดเลือนริ้วรอย
  • ช่วยในการลดการอักเสบของผิวจากปัจจัยต่างๆ
  • ช่วยสำหรับคนที่มีปัญหาโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
  • ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของปัญหาผิวต่างๆ

นอกจากนั้นแล้วยังเป็นสกินแคร์ที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอม พาราเบน สารปรุงแต่งสังเคราะห์ต่างๆ อ่อนโยนต่อผิว คนที่มีผิวแพ้ง่ายก็สามารถใช้ได้ และ เมื่อใช้งานต่อเนื่องจะทำให้ไม่กลับมามีปัญหาผิวซ้ำ พร้อมเผชิญทุกสถานการณ์ เอาชนะทุกปัญหาผิว อักเสบ แพ้ แห้ง แดง ผื่นคันได้ด้วย ResiSKIN
 
 
ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
Facebook : Resiskin by Qualisk
Line : @resiskin
Shopee : ResiSKIN by QUALISK
Lazada : Qualimed



64


โกดังเก็บของก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่โรงงานจำเป็นต้องมีไว้ สำหรับใช้เก็บสินค้าเพื่อเตรียมตัวจำหน่าย ตลอดจนส่งออกไปแล้ว งบประมาณสร้างโกดังเก็บของ ต้องใช้งบเท่าไหร่? V.K.B จะพามาหาคำตอบเรื่องงบสำหรับโกดัง ที่เพียงแค่รู้ก็จะทำให้คุณประหยัดเงินได้มากขึ้น!!! เจ้าของกิจการที่ต้องการโกดัง คลังเก็บของไม่ควรพลาด ไปอ่านกันเลย!!!
 
วิธีคำนวณ งบประมาณสร้างโกดังเก็บของ ต้องดูอะไรบ้าง?

ขนาดของโกดังที่ต้องการ
การจะสร้างโกดังขนาดพื้นที่ประมาณเท่าไหร่ มีความกว้าง ความยาว ความสูงประมาณไหน โดยต้องคำนึงจากการใช้งานว่าสินค้าที่เราต้องการนำมาเก็บในโกดังเป็นสินค้าประเภทไหน หากไม่รู้ขนาดของโกดังที่ต้องการก็จะทำให้เราคำนวณราคาได้ยาก ราคาของโกดังจะขึ้นอยู่กับขนาด และ ความสูงของอาคาร โดยจะมีราคาคร่าวๆ ประมาณนี้

โกดังขนาดเล็ก มีพื้นที่ตั้งแต่ 500 - 1,000 ตารางเมตร (ราคาอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับราคาของวัสดุก่อสร้างในช่วงเวลานั้นๆ)


  • โกดังขนาดเล็ก4เมตร ราคาประมาณ 4,500 - 5,000 บาท
  • โกดังขนาดเล็ก6เมตร ราคาประมาณ 5,000 - 5,500 บาท
  • โกดังขนาดเล็ก8เมตร ราคาประมาณ 5,500 - 6,000 บาท
  • โกดังขนาดเล็ก10เมตร ราคาประมาณ 6,000 - 6,500 บาท

โกดังขนาดกลาง มีพื้นที่ตั้งแต่ 1,000 - 3,000 ตารางเมตร (ราคาอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับราคาของวัสดุก่อสร้างในช่วงเวลานั้นๆ)


  • โกดังขนาดกลางความสูง4เมตร ราคาจะอยู่ประมาณ 4,000 - 4,500 บาท
  • โกดังขนาดกลางความสูง6เมตร ราคาจะอยู่ประมาณ 4,500 - 5,000 บาท
  • โกดังขนาดกลางความสูง8เมตร ราคาจะอยู่ประมาณ 5,000 - 5,500 บาท
  • โกดังขนาดกลางความสูง10เมตร ราคาจะอยู่ประมาณ 5,500 - 6,000 บาท

โกดังขนาดใหญ่ มีพื้นที่ตั้งแต่ 3,000 - 10,000 ตารางเมตร (ราคาอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับราคาของวัสดุก่อสร้างในช่วงเวลานั้นๆ)


  • โกดังขนาดใหญ่ความสูง4เมตร ราคาจะอยู่ประมาณ 3,500 - 4,000 บาท
  • โกดังขนาดใหญ่ความสูง6เมตร ราคาจะอยู่ประมาณ 5,000 - 5,500 บาท
  • โกดังขนาดใหญ่ความสูง8เมตร ราคาจะอยู่ประมาณ 5,500 - 6,000 บาท
  • โกดังขนาดใหญ่ความสูง10เมตร ราคาจะอยู่ประมาณ 6,000 - 6,500 บาท

โกดังขนาดใหญ่พิเศษ มีพื้นที่ตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป (ราคาอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับราคาของวัสดุก่อสร้างในช่วงเวลานั้นๆ)


  • โกดังขนาดใหญ่พิเศษความสูง4เมตร ราคาจะอยู่ประมาณ 3,000 - 3,500 บาท
  • โกดังขนาดใหญ่พิเศษความสูง 6เมตร ราคาจะอยู่ประมาณ 3,500 - 4,000 บาท
  • โกดังขนาดใหญ่พิเศษความสูง8เมตร ราคาจะอยู่ประมาณ 4,000 - 4,500 บาท
  • โกดังขนาดใหญ่พิเศษความสูง10เมตร ราคาจะอยู่ประมาณ 4,500 - 5,000 บาท

หมายเหตุ - ราคานี้อ้างอิงจากโกดังที่มีลักษณะดังนี้
1.ฐานราก , เสา , คาน ที่ใช้วัสดุคอนกรีตเสริมเหล็ก
2.โครงสร้างผนัง และ หลังคาเป็นเหล็ก (มุงด้วย Metal sheet)
3.พื้น คอนกรีตเสริมเหล็ก (พื้นที่ไม่มีเข็ม หรือ slaps on ground รับน้ำหนักได้ช่วง 500 - 1,000 kg / sqm.)

ทั้งนี้ราคาอาจมีการปรับเปลี่ยน ตามลักษณะดีไซน์อาคารที่เปลี่ยนไปตามฟังก์ชั่นที่ลูกค้าต้องการ และ ราคาวัสดุก่อสร้างในช่วงเวลานั้นๆ

ขนาดของที่ดินสำหรับโกดัง
ถัดมาเราต้องมาดูว่าที่ดินของเรามีขนาดเท่าไหร่ จะต้องคำนึงถึงระยะร่นให้เหมาะสมตามกฎหมายโรงงาน ที่ดินกับขนาดโรงงานที่เราต้องการเหมาะสมกันก็สามารถทำการก่อสร้างได้ แต่ถ้าไม่เหมาะกันก็อาจจะทำการปรับขนาดโกดังให้เหมาะสมกับที่ดิน

การประเมินราคา


ขั้นตอนก่อนการประเมินราคา เริ่มจากทำการติดต่อผู้ออกแบบ หรือ สถาปนิก เพื่อทำการออกแบบโกดังตามลักษณะการใช้งานของผู้ใช้ โดยในการออกแบบจะคำนึงถึงข้อบังคับในการก่อสร้างตามกฎหมาย เมื่อสถาปนิกทำการออกแบบ และ ทำการแก้ไขจนได้แบบแปลนที่ตรงตามความต้องการของลูกค้ามาแล้ว ลูกค้าจะได้ทราบราคาคร่าวๆ ขั้นต้นของโครงการก่อสร้างจากผู้ออกแบบ ขั้นตอนต่อไปจะต้องทำการติดต่อเพื่อขออนุญาตก่อสร้างอาคาร ณ เขตพื้นที่ที่ต้องการก่อสร้าง เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการหาผู้รับเหมาที่จะมาก่อสร้าง
ผู้รับเหมาจะทำการคิดค่าก่อสร้างจากแบบแปลนโกดังเก็บของ ซึ่งเราสามารถแยกชนิดโกดังออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ 1. ประเภทโครงสร้างอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก และ 2.ประเภทโครงสร้างอาคารเป็นเหล็ก

  • ประเภทโครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก จะมีความคงทนต่อสภาพอากาศ และ มีความแข็งแรง (เป็นวิธีคอนกรีตเสริมแรงรูปแบบหนึ่งที่เพิ่มประสิทธิภาพการรับน้ำหนักด้วยการใช้เหล็กเข้ามาช่วย) เหมาะสำหรับโกดังเก็บของที่ต้องการความแข็งแรง ราคาจะอยู่ประมาณ 3,500 - 6,000 บาท / ตารางเมตร (ราคาอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับราคาของวัสดุก่อสร้างในช่วงเวลานั้นๆ)

  • ประเภทโครงสร้างอาคารเป็นเหล็ก เป็นการเอาเหล็กรูปพรรณที่สามารถขึ้นโครงได้ง่ายมาใช้ ระยะเวลาในการทำโครงการรวดเร็วกว่าแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก และ ภายนอกมุงด้วยแผ่น Metal sheet สะดวกต่อการติดตั้ง แข็งแรง และ ช่วยประหยัดพลังงาน ราคาจะอยู่ประมาณ 3,000 - 5,000 บาท / ตารางเมตร (ราคาอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับราคาของวัสดุก่อสร้างในช่วงเวลานั้นๆ)


อยากได้โกดัง คลังเก็บของ เลือกV.K.B ให้ก่อสร้าง
ผู้ประกอบการที่ต้องการจัดสร้างโกดัง หรือ โรงงาน บริษัท V.K.B contracting ของเราเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการออกแบบ และ ก่อสร้าง รวมถึงให้คำแนะนำ บริหารโครงการ ที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ด้วยทีมที่เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่างานที่ออกมาจะเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ และ มีคุณภาพ

  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ

บริการอย่างเต็มที่ และ เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ

 
สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com


65

ไอเทมกู้วิกฤตพร้อม อาหารแก้ปวดประจําเดือน 7-11 ที่ซิสต้องรู้!!

พออยู่ในช่วงวันนั้นของเดือน เราก็จะปวดท้องอยู่บ่อยๆ จะให้ไปร้านขายยาก็อาจจะลำบาก แถวๆ บ้านก็ไม่มี แบบนี้จะมีตัวช่วยตัวไหนบ้างที่สามารถช่วยในการแก้ปวดประจำเดือนได้บ้าง วันนี้ Sistalk จะมาแนะนำ อาหารแก้ปวดประจําเดือน 7-11 ที่ช่วยให้หายปวดท้องประจำเดือนได้พร้อมกับไอเทมกู้วิกฤต ที่จะช่วยให้สาวๆ ผ่านวันนั้นของเดือนไปได้!!!

 
อาหารแก้ปวดประจําเดือน 7-11 ตัวไหนเด็ดตัวไหนโดน!!!

น้ำเต้าหู้


ในน้ำเต้าหู้จะมีสาร ไฟโตเอสโตรเจน ที่ออกฤทธิ์ในการต้านฮอร์โมนเพศหญิง ช่วยลดการปวดท้องประจำเดือน ควรทานเป็นประจำในช่วงก่อนที่ประจำเดือนจะมาประมาณ 1 สัปดาห์จะให้ผลที่ดี สำหรับใครที่ไม่ชอบกินแบบเย็น ถ้านำมาอุ่นให้ร้อนจะช่วยใสบายท้องขึ้น
ราคา : 13 - 29 บาท

กล้วยหอม


กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์อย่างมากมีโพแทสเซียม และ แมกนีเซียม ที่ช่วยในการรักษาสมดุลน้ำในร่างกาย แล้วยังมีสารทริปโตเฟนที่เป็นกรดอะมิโนจำเป็น ที่ใช้ในการสร้างเมลาโทนิน และ เซโรโทนิน ร่วมกับวิตามิน B6 และ แมกนีเซียม ทำให้ไม่หงุดหงิดง่าย
ราคา : 8 - 12  บาท

ดาร์กช็อกโกแลต


ดาร์กช็อกโกแลตมีสารทริพโทเฟนที่เป็นกรดอะมิโนที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดี อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และ แมกนีเซียม ควรเลือกดาร์กช็อกโกแลต 85% ขึ้นไปจะช่วยในการลดความเครียด แถมยังช่วยในการแก้ปวดท้องเมนส์
ราคา : 12 - 40  บาท

น้ำขิง


น้ำขิงนับว่าเป็นน้ำที่มีสรรพคุณอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงประจำเดือน ช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ยิ่งดื่มเป็นน้ำขิงร้อนๆ ยิ่งช่วยให้รู้สึกสบายท้อง แถมช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเสียระหว่างมีประจำเดือนได้อีกด้วย
ราคา : 20 - 50  บาท

โยเกิร์ต


โยเกิร์ตช่วยในการลดการปวดท้องประจำเดือนได้ดี เพราะว่าโยเกิร์ตมีเอนไซม์ ไพรไบโอติกส์ ที่เป็นแบคทีเรียที่ช่วยในการย่อย ลดปัญหาเชื้อราในช่องคลอดในช่วงเป็นประจำเดือนได้อีกด้วย
ราคา : 15 - 20  บาท
 
สาวๆ คนไหนที่กำลังเจอกับปัญหาปวดท้องประจำเดือน ลองหาอาหารเหล่านี้มากินดูสิคะ อาจจะกินก่อนที่ประจำเดือนจะมาประมาณ 3 - 5 วัน เพียงแค่นี้ก็ช่วยในการบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ระดับหนึ่งแล้วค่ะสาวๆ ส่วนใครที่กินแล้วแต่ก็ยังมีอาการปวดท้องอยู่อาจจะต้องพึ่งตัวช่วยเพิ่มเติม นอกจากนั้นสาวๆ ยังสามารถเข้าไปอ่านอาหารต้องห้ามสำหรับคนเป็นเมนส์ได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้เลย
 

 
 
ไอเทมกู้วิกฤตปวดท้องประจำเดือน !!!


สำหรับใครที่ประจำเดือนมามาก หรือ มีอาการปวดท้องหนักๆ อาหารแก้ปวดท้องอาจจะช่วยได้ไม่มาก ทำให้ต้องพึ่งยาแก้ปวดท้องประจำเดือนควรเลือกยาควรที่เป็น Etoricoxib ซึ่งจะเป็นตัวยาแบบใหม่ ที่ใช้ทานแค่วันละหนึ่งเม็ดก็สามารถออกฤทธิ์ได้ยาวนานตลอดทั้งวัน แค่เม็ดเดียวก็เอาอยู่ นอกจากนั้นยังเป็นตัวยาที่ไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารเหมือนยากลุ่มเดิมๆ ที่ต้องทานวันละ 3 - 4 ครั้ง พร้อมอาหารทันที แต่ตัวยานี้จะทานเวลาไหนก็ได้ไม่ต้องกังวล ที่สำคัญไม่ต้องนับชั่วโมงเพื่อทานเม็ดต่อไปแบบสมัยก่อนแล้วด้วย ให้คุณใช้ชีวิตได้เต็มที่พร้อมโบกมือลาอาการปวดท้องประจำเดือนไปเลย จะมาตอนไหนก็ไม่มีหวั่น ถือว่าเป็นไอเทมที่ควรมีติดกระเป๋าเอาไว้เลย ปวดเมื่อไหร่ก็แค่หยิบมาทาน!!! สามารถหาซื้อได้ที่ร้านยาทั่วไป หาซื้อได้ง่ายต้องลองเลย


 
สามารถติดต่อสอบถามข้อมูล Sistalk ตามช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH


66


ผู้หญิงกับการแต่งหน้าเป็นของคู่กัน จะทำอย่างไรหากว่าแต่งหน้าไม่ติด แต่งแล้วเป็นคราบ มีผิวลอก หรือ แต่งหน้าแล้วเครื่องสำอางไม่ติดทนตลอดทั้งวัน นี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังมีผิวขาดน้ำ ResiSKIN จะมาบอกวิธีดูแลผิวกู้ผิวให้กลับมามีผิวที่ดีดังเดิม!!!
 
ผิวขาดน้ำ คือ อะไร?


ปัญหาผิวขาดน้ำ (Dehydrated skin) เกิดจากการที่ผิวของเรามีความชุ่มชื้นของผิวน้อย ทำให้ผิวต้องเร่งผลิตน้ำมันออกมาเพื่อชดเชยความชุ่มชื้นที่เสียไป ผิวจะมีลักษณะแห้งกร้าน ผิวไม่เรียบเสมอกัน ทำให้แต่งหน้าไม่ติด เป็นคราบได้ง่าย  อาการเหล่านี้สามารถเกิดได้กับทุกสภาพผิว และ ทุกฤดูโดยเฉพาะกับช่วงที่อากาศร้อนจัดๆ

ผิวขาดน้ำต่างจากผิวแห้งอย่างไร - ผิวแห้งสภาพผิวจะแห้งสนิท แต่กับผิวขาดน้ำจะมีสภาพผิวทั้งแห้ง และ มันในเวลาเดียวกัน ผิวจะดูหมองคล้ำ เห็นริ้วรอยได้ชัดเจน นอกจากนั้นทั้งสองปัญหาผิวหากไม่รีบแก้ไขจะทำให้ผิวสูญเสียเกราะป้องกันผิว และ ทำให้ผิวกลายเป็นผิวที่บอบบางแพ้ง่าย

>>อ่านบทความ หน้าแห้งลอกเกิดจากอะไร ได้ที่นี่<<

เรามีผิวขาดน้ำหรือไม่?


  • แต่งหน้าไม่ติด เครื่องสำอางหลุดง่าย
  • เมื่อเอามือไปสัมผัสใบหน้าไม่เรียบเนียน ไม่นุ่ม
  • หน้าดูหมองคล้ำหรือไม่
  • เห็นริ้วรอยบนใบหน้าหรือไม่
  • ผิวมีรอยแดง หรือ เกิดการระคายเคืองได้ง่าย
หากคุณมีอาการดังเช็คลิสต์ต่อไปนี้แสดงว่าคุณมี ผิวขาดน้ำ นั่นเอง!!!

สาเหตุที่ทำให้ ผิวขาดน้ำ?


  • ผิวขาดความชุ่มชื้น
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ไม่ทำความสะอาดผิวบริเวณที่มัน ไม่สครับผิว
  • แต่งหน้าบ่อยเกินไป ไม่พักหน้า
  • โดนแดด หรือ อยู่ที่อากาศเย็นตลอดเวลา

ดูแลผิวขาดน้ำให้กลับมาแข็งแรง!!!


ใครที่ผิวขาดความชุ่มชื้นก็ควรเติมความชุ่มชื้นให้ผิวทั้งจากการดื่มน้ำ และ การทาครีมที่ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้ยาวนานอย่างผลิตภัณฑ์ของ ResiSKIN ครีมเวชสำอางที่จะ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นได้ยาวนานถึง 7 วัน เพราะมีส่วนผสมของ Extremolytes 7%

  • สร้างเกราะป้องกันผิวจากสภาพแวดล้อมต่างๆ แม้ในสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ช่วยให้ผิวสุขภาพดีทำให้ผิวแข็งแรง ไม่มีผดผื่น หรือ อาการแพ้
  • ช่วยในการลดระดับความเสียหายของเซลล์ผิวจาก Visible Light , UVA และ UVB ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้แก่ผิว
  • ช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำจากมลภาวะต่างๆ โดยจะทำการลดระดับของการสร้างเม็ดสีที่สัมผัสมลภาวะลง
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวของเราชุ่มชื้นได้ยาวนานมากยิ่งขึ้นช่วยในเรื่องการลดเลือนริ้วรอย สามารถช่วยลดริ้วรอยได้แม้จะจุดที่อ่อนโยนอย่างบริเวณรอบดวงตา
  • ช่วยในการลดการอักเสบของผิวที่เกิดความเสียหายจากปัจจัยต่างๆ
  • ช่วยสำหรับคนที่มีปัญหาโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน เซ็บเดิร์ม

เอาชนะทุกปัญหาผิว อักเสบ แพ้ แห้ง แดง ผื่นคันได้ด้วย ResiSKIN เพียงเท่านี้ปัญหาผิวขาดน้ำก็จะไม่มากวนใจคุณ
อยากมีผิวที่ดูดีและสตรองลอง ResiSKIN ดูสิแล้วคุณจะหลงรักผิวตัวเอง!!!

>>บทความ ผิวแข็งแรง คืออะไร? ได้ที่นี่<<


 
ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
Facebook : Resiskin by Qualisk
Line : @resiskin
Shopee : ResiSKIN by QUALISK
Lazada : Qualimed


67


การจะสร้างโรงงานสักแห่งไม่ใช่ว่าจะสร้างตรงไหนก็ได้ แต่ต้องคำนึงตาม "กฎหมายผังเมือง"  โดยเราจะใช้กฎหมายผังเมืองนี้ในการดูว่า พื้นที่สร้างโรงงาน ของเราเหมาะสมหรือไม่  V.K.B จะมาอธิบายเรื่องกฎหมายผังเมือง และ ข้อควรรู้ต่างๆ ใครที่คิดจะสร้างโรงงานไม่ควรพลาดบทความนี้เลย!!!
 
กฎหมายผังเมือง คืออะไร ?


กฎหมายผังเมืองเป็นกฎหมายที่ใช้เพื่อกำหนดพื้นที่ใช้สอย ซึ่งจะถูกแบ่งออกไปตามประเภท รหัสตัวอักษร และ สีของพื้นที่นั้นๆ

ความสำคัญของกฎหมายผังเมืองต่อการก่อสร้างโรงงาน

ผังเมืองสามารถบอกความเป็นอยู่ของบริเวณนั้นๆ ได้ ว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เช่น เราต้องการพื้นที่สร้างโรงงานก็ต้องดูว่ามีแหล่งชุมชนใกล้โรงงานของเรากี่แห่ง ระยะห่างจากโรงงานถึงชุมชนเหมาะสมหรือไม่ ใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่ และ ใช้ในการประเมินราคาจากที่ดินนั้นๆ
 
ต้องการ พื้นที่สร้างโรงงาน ต้องรู้จักสีของพื้นที่ตามผังเมือง

พื้นที่ต่างๆ จะถูกจำแนกเป็นสีย่อยๆ ไล่โทนกัน โดยแต่ละสีก็จะมีความหมายที่แตกต่างกัน

สีของเขตพื้นที่สำหรับอยู่อาศัย


สำหรับพื้นที่ ที่ใช้ในการอยู่อาศัย จะถูกแบ่งออกเป็น 3  สี ดังต่อไปนี้ นั่นก็คือ เขตสีเหลือง สีส้ม และ สีน้ำตาล ยิ่งสียิ่งเข้มแสดงว่ามีคนอยู่จำนวนเยอะ

  • เขตพื้นที่สีเหลือง - ใช้บอกว่าบริเวณที่ดินมีจำนวนประชากรที่อยู่อาศัยต่ำ เป็นที่ดินในแถบชานเมือง สามารถสร้างพวกบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และ อาคารขนาดเล็กจนถึงกลางได้ รวมทั้งระบบขนส่งมวลชนต่างๆ (รหัสที่ดินในเขตนี้ คือ ย.1 - 4)
  • เขตพื้นที่สีส้ม - ใช้บอกว่าบริเวณที่ดินมีจำนวนประชากรที่อยู่อาศัยปานกลาง เป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้หลายรูปแบบ ส่วนใหญ่จะเน้นสร้างอาคารชุดอย่าง คอนโด ห้องแถว (รหัสที่ดินในเขตนี้ คือ ย.5 - 7)
  • เขตพื้นที่สีน้ำตาล - ใช้บอกว่าบริเวณที่ดินมีจำนวนประชากรที่อยู่อาศัยมาก ซึ่งเป็นสีที่เข้มที่สุดสำหรับเขตพื้นที่ ที่อยู่อาศัย สามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้ทุกรูปแบบ เป็นพื้นที่เขตเมือง ใกล้ใจกลางเมือง (รหัสที่ดินในเขตนี้ คือ ย.8 - 10)

สีของพื้นที่สำหรับเชิงพาณิชย์


เขตพื้นที่สำหรับพาณิชยกรรมจะใช้ "สีแดง" ในการบอก ที่ดินสีนี้จะค่อนข้างมีข้อกำจัดมากกว่าสีอื่นๆ โดยจะใช้พื้นที่บริเวณนี้ในการกระจายกิจกรรมทางการค้า การบริการต่างๆ รวมไปถึงใช้เป็นพื้นที่ในการนันทนาการ ท่องเที่ยว เช่น ห้างสรรพสินค้า ศูนย์ท่องเที่ยว เป็นต้น (รหัสที่ดินในเขตนี้ คือ พ.1 - 5)

สีของพื้นที่สำหรับอุตสาหกรรม


โซน "สีม่วง" ส่วนใหญ่พื้นที่จะเป็นเชิงนิคมอุตสาหกรรมในการผลิต และ ส่งออกต่างๆ รวมทั้งพวกคลังสินค้า โกดังเก็บของต่างๆ สามารถสร้างที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว หอพัก คอนโดขนาดเล็กได้

  • เขตพื้นที่สีม่วงอ.1 - เป็นเขตพื้นที่ที่ใช้ในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมต่างๆ สำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งจะผลิตมลพิษออกมาน้อย
  • เขตพื้นที่สีม่วงอ.2 - เป็นเขตที่จะเน้นอุตสาหกรรม โดยจะต้องจัดสร้างพื้นที่ก่อสร้างตามที่กฎหมายได้กำหนดเอาไว้ โดยจะใช้ประโยชน์จากที่ดินในการประกอบกิจการอื่นๆ ได้ไม่เกิน 10% ตามข้อกำจัดที่กำหนดไว้
  • เขตพื้นที่สีเม็ดมะปราง - จะเป็นเขตที่ใช้สำหรับสร้างคลังสินค้าต่างๆ รวมถึง ที่อยู่อาศัยขนาดเล็ก โดยเขตพื้นที่นี้จะไม่มีการผลิตเกิดขึ้น โดยจะใช้ประโยชน์จากที่ดินในการประกอบกิจการอื่นๆ ได้ไม่เกิน 10% ตามข้อกำจัดที่กำหนดไว้ (อ.3)

สีของพื้นที่สำหรับเกษตรกรรม


สำหรับพื้นที่เกษตรกรรม จะใช้สีในการบอกประเภทเป็น สีขาว และ สีเขียว ในการแยกประเภทที่ดินเกษตรกรรม และ พื้นที่อนุรักษ์ชนบท

  • เขตพื้นที่สีขาว และ มีกรอบกับเส้นทแยงมุมสีเขียว - ใช้สำหรับบอกว่าพื้นที่บริเวณนั้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรม และ พื้นที่ในเชิงอนุรักษ์ (รหัสที่ดินในเขตนี้ คือ ก.1 - 3)
  • เขตพื้นที่สีเขียว - เป็นที่ดินที่ใช้สำหรับเกษตรกรรม และ ชนบท โดยจะเน้นไปที่การเกษตรเป็นหลัก (รหัสที่ดินในเขตนี้ คือ ก.4 - 5)

สีของพื้นที่สำหรับอนุรักษ์ และ หน่วยงานภาครัฐ


พื้นที่เขตนี้จะเป็น "สีน้ำตาลอ่อน" เป็นพื้นที่เชิงอนุรักษ์ และ ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม พวกสถาปัตย์ท้องถิ่น การท่องเที่ยวต่างๆ (โดยในเขตนี้จะใช้รหัสที่ดินคือ ศ.1 - 2) ส่วนเขตสำหรับหน่วยงานภาครัฐจะใช้สี "สีน้ำเงิน" ในการแบ่งแยก โดยจะใช้พื้นที่สำหรับอำนวยความสะดวกในเรื่องของสาธารณูปโภคที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน วัด และ สถานที่ราชการส่วนใหญ่ (จะใช้รหัส ส.)
 
จะรู้ได้อย่างไรว่าพื้นที่ตรงนั้นสร้างโรงงานได้หรือไม่ ?


  • ให้เราตรวจสอบดูว่าที่ดินของเราอยู่ในจังหวัดไหน เขตไหน อำเภออะไร และ มีเลขที่ดินอะไร (เลขโฉนด)
  • หากรู้แล้วให้เข้าไปตรวจดูว่าที่ดินของเราอยู่ในเขตสีอะไร โดยเข้าไปที่เว็บไซต์สำหรับดูแผนที่อย่าง map.longdo โดยเลือกให้เป็นแผนผังประเทศไทย จากนั้นทำการใส่ตำแหน่งของที่ดินเราไปก็จะทำให้รู้ว่าที่ดินของเราอยู่ในโซนพื้นที่สีอะไร มีตัวอักษรอะไร
  • จากนั้นเราจะทำการนำตัวอักษร และ สี ไปเทียบกับตารางเขตผังเมืองว่ามีข้อกำหนดในการก่อสร้าง การใช้สอยที่ดินอย่างไรบ้าง เช่น สามารถก่อสร้างได้ไม่เกินกี่ตารางเมตร สร้างอะไรได้บ้าง ในกรณีที่ทำการก่อสร้างโรงงาน ก็ควรจะเป็นพื้นที่ที่อยู่ในโซนสีม่วง หรือ สีเม็ดมะม่วงสำหรับการก่อสร้างคลังสินค้า

 
 
V.K.B บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี!!!

V.K.B ใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง วางแผน การออกแบบ ตลอดจนการดูแลจนจบโครงการก่อสร้าง ทำให้จะต้องเลือกผู้รับเหมาที่มีความชำนาญ V.K.B contracting เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ด้วยทีมที่เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ ที่พร้อมให้บริการออกแบบ ก่อสร้าง และ ให้คำแนะนำด้านการก่อสร้างทุกรูปแบบ ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานเราจะบริการอย่างเต็มที่ และ เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ

  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ


 
สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com


68


รู้ก่อนจะสายไป!!! อาการไอของคุณที่ไม่หายสักที อาจจะไม่ใช่แค่อาการไอธรรมดาแต่อาจจะเป็นอาการ ไอเรื้อรัง สิ่งที่อาจจะอันตรายกว่าที่คาดคุณคิด ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้การไอยิ่งทวีความรุนแรงเข้าไปใหญ่ Sistalk เลยจะพาคุณมารู้จักเจ้าโรคนี้กันเลย ถ้าไม่อยากพลาดมาดูกันดีกว่าว่าไอเรื้อรังมีอาการอย่างไรบ้าง!!!
 
ไอเรื้อรัง เป็นแบบไหนกันนะ ?

อาการไอเป็นอาการที่ร่างกายของเราจะตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในระบบทางเดินหายใจ โดยจะทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ท้อง และ การเปิดของกล่องเสียง การไอแบบเรื้อรังจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการไอ

  • การไอแบบเฉียบพลัน - เป็นการไอที่ใช้ระยะเวลาน้อยกว่า 3 สัปดาห์
  • การไอกึ่งเฉียบพลัน - เป็นการไอที่ใช้ระยะเวลาระหว่าง 3 - 8 สัปดาห์
  • การไอแบบเรื้อรัง - เป็นการไอที่ใช้ระยะเวลามากกว่า 8 สัปดาห์

ในผู้ใหญ่ถ้าเกิดว่ามีการไอติดต่อกันนานเกินกว่า 8 อาทิตย์ หรือ 2 เดือน ส่วนถ้ามีการไอติดต่อกันนานเกินกว่า 4 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน จะถือว่าเป็นการไอแบบเรื้อรัง

สาเหตุของการไอเรื้อรัง ?


สาเหตุของการไอเรื้อรังสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ส่วนใหญ่จะเกิดจากการเป็นไข้หวัด หรือ ภูมิแพ้ ไซนัส กรดไหลย้อน ถึง 85% เลยทีเดียว แต่ก็มีเหตุผลอื่นๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็น

  • การใช้เสียงมากๆ เป็นประจำ
  • อุณหภูมิ
  • สิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • น้ำมูก หรือ เสมหะไหลลงคอ
  • โรคหอบหืด
  • โรคปอด
  • การใช้ยาบางชนิด
  • การสูบบุหรี่

ไอบ่อยๆ เกิดผลเสียอย่างไรบ้าง ?


  • ทำให้ปอดแตก หรือ มีลมเข้าสู่ช่องเยื่อบุหุ้มปอดได้
  • นอกจากนั้นยังเกิดผลกับสมอง ทำให้หมดสติได้
  • เจ็บบริเวณทรวงอก อาจทำให้เจ็บกล้ามเนื้อ หรือ เกิดการฉีกขาดของกล้ามเนื้อ
  • รวมทั้งปัญหาแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น เสียงแหบ ปวดหลัง ไส้เลื่อน ได้

นอกจากผลเสียเหล่านี้แล้วการไอเรื้อรังหากไม่รีบรักษาอาจก่อให้เกิดอันตรายแบบที่ไม่คาดคิดได้ เช่น

  • วัณโรคปอด ได้ในช่วงแรกอาจจะยังไม่มีอาการแต่เมื่ออาการไอเรื้อรังขึ้นมา ร่วมกับการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ไอเป็นเลือด
  • มะเร็งปอด อาจทำให้เกิดเป็นอาการไอเรื้อรัง จนถึงไอเป็นเลือดได้ มักจะมีอาการเจ็บแน่นที่หน้าอก อ่อนเพลีย น้ำหนักลด
  • ถุงลมโป่งพอง มักจะเกิดกับคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ มักจะมีอาการไอเรื้อรังร่วมกับการหายใจเหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงดัง

ต้องดูแลตัวเองอย่างไรหากเป็น ไอเรื้อรัง ?

ก่อนที่เราจะไปดูแลตัวเองจากการไอเรื้อรัง เราจะต้องทำการสำรวจตัวเองก่อนว่าสาเหตุที่ทำให้เราไอเรื้อรังนั้นมาจากสาเหตุไหนกันแน่ โดยให้เราพยายามดูแลรักษาตามสาเหตุเบื้องต้นก่อน แล้วลองดูว่าดูขึ้นหรือไม่

หมั่นทำความสะอาด และ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง


หมั่นทำความสะอาดของที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น ฝุ่นละออง ทำความสะอาดสิ่งของที่ใกล้ชิดสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง รวมถึงการใส่สิ่งของป้องกันเมื่อต้องสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ เช่น ใส่หน้ากากที่ป้องกันได้ มีการเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ เป็นต้น

พยายามไม่เอาเครื่องปรับอากาศ หรือ พัดลมจ่อตัวโดยตรง


เนื่องจากอากาศที่เย็นจะไปกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของหลอดลม เมื่อเราอยู่ในห้องที่เครื่องปรับอากาศทำงานตลอดก็อาจทำให้อากาศภายในแห้งได้ โดยเฉพาะพัดลม หากเอามาจ่อตัวอาจทำให้ความชื้นในปอดได้ เป็นผลทำให้ยิ่งไอ หากใครที่รู้สึกว่าอากาศภายในห้องแห้งเกินไปก็ให้หาเครื่องทำความชื้นมาช่วยในการปรับสมดุลอากาศให้พอดีต่อการอยู่อาศัย

ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทานของที่ช่วยรักษาการไอ


  • ดื่มน้ำอุ่นๆ ก่อนนอน และ ดื่มน้ำให้ได้สม่ำเสมอ
  • กลั้วคอด้วยน้ำเกลือก่อนนอน
  • ใช้หมอนหนุนเสริมเพื่อช่วยทำให้การนอนดีขึ้น
  • กินยาสมุนไพรที่ช่วยลดอาการไอ เช่น พวกมะขามป้อม น้ำขิง น้ำมะนาว
  • ใช้ยาในการลดการไอ ในกรณีที่ไอบ่อยๆ ให้หายามาทานอาจจะเป็นพวกยาอม ยาน้ำ ยาเม็ดก็ได้ ใครที่ไอร่วมกับการมีเสมหะให้ทานยาที่ช่วยในการขับเสมหะร่วมด้วย

หากมีอาการไอหนักๆ หรือ ทานยาเกินกว่า 1 อาทิตย์ก็ยังไม่ดีขึ้น ให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้รักษาได้อย่างถูกต้อง เช่น
ไอมีเสมหะปนเลือด

  • เจ็บหน้าอกขณะที่ไอ
  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลดบ่อยๆ เหนื่อยง่ายแม้จะอยู่เฉยๆ
  • เคยป่วยเป็นโรคปอดอักเสบบ่อยๆ หรือ วัณโรค รวมถึงมีโรคประจำตัวอื่นๆ ร่วมด้วย

อย่าปล่อยให้อาการไอเรื้อรังมาทำให้สุขภาพของคุณแย่ ยิ่งในสถานการณ์โควิดในปัจจุบันด้วยแล้ว ควรจะยิ่งดูแลตัวเองให้ดี คุณสามารถดูแลสุขภาพของคุณดีขึ้นได้ เพียงแค่ปฏิบัติตัวง่ายๆ ตามที่เราแนะนำ!!!
 
 
Sistalk เว็บไซต์สำหรับสาวๆ ที่รักสุขภาพ
เรื่องของสาวๆ ก็ต้องให้สาวๆ คุยกันสิคะ หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหา มีข้อสงสัยไม่ว่าจะเรื่องของ สุขภาพ , การดูแลรูปร่าง , เรื่องลับๆ ของสาวๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของความรัก และ เทรนด์อื่นๆ ไม่อยากพลาด ต้องเข้ามาอ่าน มาติดตามบทความที่เรา Sistalk ได้รวบรวมมาให้ รับรองได้ว่าคุณจะได้ทั้งประโยชน์ สาระความรู้ และ อัปเดตเทรนด์ก่อนใคร เพราะเราเข้าใจผู้หญิงดี!!!

 
 
 
 
สามารถติดต่อสอบถามข้อมูล Sistalk ตามช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH
 


69


สถานการณ์ Covid-19 ทำให้เราจะต้องป้องกันตัวเองเบื้องต้นด้วยการใส่แมส ทำให้เราเจอกับปัญหาผิวที่มาจากการ แพ้แมส ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาของคนยุคใหม่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!!! ยิ่งใครที่มีผิวแพ้ง่ายยิ่งเกิดการแพ้ได้ง่าย ResiSKIN มีเคล็ดลับวิธีการดูแลผิวที่ควรรู้มาฝาก แม้สถานการณ์โควิดยังไม่หมดไป แต่หน้าเราต้องใส และ สตรองสู้โควิดนะคะ

แมส คืออะไร ?


แมส หรือ หน้ากากอนามัย หนึ่งในอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันเชื้อโรค และ ละอองขนาดเล็ก แมสในปัจจุบันจะมีด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ

  • แมสแบบใช้แล้วทิ้ง ตัวของแมสจะทำจากเส้นใยพลาสติก Polypropylens ป้องกันละออง และ น้ำจากการไอ จามได้พอสมควร แต่ก็อาจทำให้เกิดการแพ้ การระคายเคืองได้ง่าย ส่วนแมส N95 และ FFP1 เป็นแมสที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดี ทำให้เกิดการอับชื้น ระคายเคืองได้ง่าย
  • แมสแบบผ้า ทำจากผ้าหลายชนิด เช่น  ผ้านาโน ผ้าคอตตอน ผ้าเทฟลอน ส่วนใหญ่ผ้าที่นำมาทำแมสจะผ่านการเคลือบสารที่ช่วยในการป้องกันแบคทีเรีย สำหรับคนที่แพ้ หรือ ผิวแพ้ง่ายก็ทำให้เกิดการแพ้ได้
  • แมสแบบฟองน้ำ เป็นแมสที่มีความสามารถในการกรองอากาศโดยเฉพาะ แต่ไม่ค่อยช่วยในการป้องกันการแพร่เชื้อมากนัก เมื่อใส่อาจทำให้เกิดการอับชื้นได้ง่าย ทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ ตามมา


สาเหตุที่ทำให้เกิดการ แพ้แมส ?


การแพ้อาจจะมาจากวัสดุที่ใช้ หรือ แพ้จากการใส่แมส ต้องมาดูว่าอะไรที่ทำให้เราเกิดการแพ้กันแน่น!!!

  • ความสกปรก การอับชื้น เวลาที่เราใส่แมสเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เกิดความสกปรกภายใน ทั้งน้ำลาย เหงื่อ ความมันบนผิว เครื่องสำอาง ครีมทาผิว ทำให้เกิดการอับชื้นภายในได้ง่าย ทำให้เกิดแบคทีเรีย การสะสมของสิ่งสกปรก เกิดการระคายเคืองบริเวณที่ใส่แมส ทำให้เกิดสิวทั้งสิวอุดตัน และ สิวอักเสบตามมาได้
  • การเสียดสีของแมสกับผิวหน้า การที่เราใส่แมสทำให้ผิวของเราเกิดการเสียดสีกับผิว ยิ่งถ้าสวมแมสหลายชั้น หรือ แมสหนาๆ ยิ่งเกิดการเสียดสีได้มาก จึงเป็นสาเหตุทำให้เราเกิดการระคายเคืองผิว เกิดปัญหาผดผื่น และ สิวตามมา ยิ่งถ้าผิวเกิดการเสียดสีก็จะยิ่งทำให้เกิดการระคายเคือง ทำให้เกราะป้องกันผิวของเราอ่อนแอลง
  • สาเหตุภายใน สาเหตุภายในอย่างสุขภาพ การพักผ่อนของเราก็นับมามีความสำคัญเช่นกัน ยิ่งอยู่ในช่วงที่ร่างกายของเราอ่อนแอ พอมาใส่แมสก็ทำให้เกิดการแพ้ การระคายเคืองได้ง่าย ส่วนบางคนที่มีโรคผิวหนังอยู่แล้ว เมื่อใส่แมสก็จะถูกกระตุ้นได้ง่าย เช่น โรคผิวหนัง Rosacea หรือ ผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ เป็นต้น

วิธีการดูแลผิวจากปัญหาการ แพ้แมส !!!


  • ใครที่มีปัญหาการแพ้แมส เมื่อถอดแมสออกควรที่จะทำการล้างหน้าให้สะอาดทันที เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย เพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนแมส
  • หากใครที่ใส่แมสในที่ร้อนๆ แล้วรู้สึกว่าอับชื้น ก็ให้ผ้า ทิชชู่มาซับความมันเพื่อลดการอับชื้น
  • ในกรณีที่แมสเสียดสีกับผิวบ่อยๆ ให้หาผ้า หรือ ทิชชู่มารองเพื่อป้องกันการเสียดสีของแมส เพื่อลดการเสียดสี
  • ซักแมสด้วยน้ำยาซักผ้าเฉพาะที่อ่อนโยนต่อผิว หรือ น้ำยาซักผ้าเด็ก
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ให้ร่างกายได้พักผ่อนจากภายใน เพื่อทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว และ กู้คืนผิวให้กลับมาดูดี และ สตรองอีกครั้ง เราขอแนะนำผลิตภัณฑ์ของ ResiSKIN เพื่อช่วยทำให้ผิวของเราชุ่มชื้นได้ยาวนานถึง 7 วัน และ ยังช่วยในการลดการอักเสบของผิวที่เกิดความเสียหายจากปัจจัยต่างๆ ทั้งที่มาจากการอับชื้นภายในการจากใส่แมส การเสียดสีของแมสกับผิว รวมทั้งการระคายเคือง และ ปัญหาผิวที่มาจากแมส


หมดปัญหาหน้าแพ้แมส!!! เพียงแค่นี้ก็สามารถแก้ปัญหาผิวที่เกิดจากการใส่แมสได้แล้ว เพียงแค่ดูแลความสะอาดจากภายนอก และ ดูแลผิวจากภายในด้วยการพักผ่อน รวมทั้งการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ดีอย่าง ResiSKIN ผลิตภภัณฑ์ที่ช่วยทำให้ผิวแข็งแรง และ ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว พร้อมเอาชนะทุกปัญหาผิว อักเสบ แพ้ แห้ง แดง ผื่นคัน ให้ผิวกลับมาแข็งแรง

  • ฟื้นฟูผิวจากการอักเสบจากมลภาวะต่างๆ ที่มาทำร้ายผิว
  • ลดระดับความเสียหายของเซลล์ผิวจากมลภาวะ แสงแดด
  • ป้องกันการเกิดจุดด่างดำจากมลภาวะต่างๆ
  • เสริมเกราะป้องกันผิวจากมลภาวะ ลดการระคายเคืองผิวต่างๆ
  • บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นยาวนานถึง 7 วัน
  • แก้ปัญหาโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง และ ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
  • ใครที่ผิวอ่อนแอ ผิวบอบบางแพ้ง่าย สามารถใช้ได้ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารก่ออาการแพ้ และ สารระคายเคืองผิว ไม่มีสารปรุงแต่งอย่างน้ำหอม สี เม็ดสครับ พาราเบน
  • นอกจากนั้นยังมี Extremolytes 7% ที่เป็นเกราะป้องกันผิวอีกด้วย ช่วยปกป้องผิวแม้จะอยู่สภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นใจ ทำให้ทนทานต่อทุกสภาวะ

ให้ ResiSKIN ช่วยแก้ปัญหาผิวแพ้แมสให้กับคุณ!!!

 
 
 
ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
Facebook : Resiskin by Qualisk
Line : @resiskin
Shopee : ResiSKIN by QUALISK
Lazada : Qualimed


70


หากพูดถึงไมค์สำหรับยุค 2022 ก็คงหนีไม่พ้นไมโครโฟนแบบไร้สาย Aquapro จะพาคุณมารู้จัก Saramonic blink 500 Pro รีวิว ที่จะมาบอกอย่างหมดเปลือกถึงรูปทรง และ สเปคต่างๆ พร้อมวิธีการใช้งานเบื้องต้นที่คุณไม่ควรพลาด

Saramonic blink 500 Pro รีวิว มีอะไรอัปเดตบ้าง?

แพ็คเกจไมโครโฟน

แพ็คเกจจะเป็นล่องทรงสี่เหลี่ยมสีขาว ภายในกล่องจะมีเจ้าตัว Saramonic blink 500 Pro เริ่มต้น 2 ตัว สำหรับ (B1) ตัวส่ง 1 ตัว ตัวรับ 1 ตัว ซึ่งมาพร้อมกับเคสชาร์จแบตเตอรี่อัตโนมัติ แถมยังมีไมค์ lavalier (ไมค์แบบไร้สาย)

ดีไซน์ของไมโครโฟน และ เคสชาร์จ


ดีไซน์ของเจ้าตัวSaramonic blink 500 Pro มีความคล้ายคลึงกับตัวในรุ่นปกติในส่วนของรูปทรงสี่เหลี่ยมขอบมน มีน้ำหนักที่เบาขึ้นจากรุ่นก่อน ในรุ่นนี้ได้มีการเพิ่มในส่วนของหน้าจอแสดงสถานะขึ้นมามีไฟ LED ช่วยให้มองได้ง่ายขึ้น หน้าจอขาวดำแสดงสถานะสามารถบอกอะไรได้หลายอย่างมาก

  • บอกสถานะของแบตเตอรี่ ใช้บอกว่าเหลือแบตเตอรี่ หากใครหมดเราก็จะรู้ได้เลย
  • บอกสถานการเชื่อมต่อ ใช้บอกว่าเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างตัวส่ง และ ตัวรับหรือยัง
  • บอกสถานะการทำงาน ในเรื่องของเสียง เพราะสามารถปรับได้ถึง 6 ระดับ ทำให้เรารู้ว่าอยู่ในระดับเสียงแบบไหน

แบตเตอรี่ และ การชาร์จ

ในรุ่นนี้มาพร้อมแบตที่อึดขึ้นถึงจากรุ่นก่อน ใช้งานต่อเนื่องถึง 8 ชั่วโมง มาพร้อมแบตเตอรี่ 2000 mAh สามารถชาร์จได้ประมาณ 3 - 4 รอบ โดยการชาร์จแต่ละรอบจะใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 8 ชั่วโมง จึงจะชาร์ตเต็ม

สเปคของไมโครโฟน

เสียงของไมโครโฟน


เสียงของไมโครโฟนในรุ่นนี้จะให้เสียงที่ดีมากยิ่งขึ้น สามารถปรับระดับเสียงได้ถึง 6 ระดับ สามารถปรับระดับเสียงได้แบบ Output ได้ถึง 2 รูปแบบทั้ง Mono และ Stereo

  • Mono - จะรับเสียงแบบทิศทางเดียว จะรับเสียงได้ด้านใดด้านหนึ่ง
  • Stereo - รับเสียงได้หลายทิศทาง สามารถรับเสียงได้หลายทาง ทำให้สามารถแยกซ้ายขวาได้

ตัวรับสัญญาณ


ความถี่ของสัญญาณที่ 2.4 GHz ซึ่งเป็นช่องสัญญาณที่ช่วยในการลดสัญญาณรบกวนอื่นๆ มีความถี่ของเสียงอยู่ที่ 50 Hz - 18 KHz แถมระยะของสัญญาณก็ไกลขึ้นถึง 100  เมตรเลยทีเดีย รับสัญญาณ และ เก็บรายละเอียดของเสียงก็ทำได้ดี เพราะในรุ่นนี้คอนเดนเซอร์ขนาดเล็กแบบ Omni ในตัวเครื่องจะช่วยในการบันทึกเสียง

การเชื่อมต่อกับมือถือ หรือ กล้อง
เป็นกล้องสามารถต่อเข้าที่ Hot shoe บนกล้องได้เลย และ สามารถต่อหูฟังเข้ากับกล้อง เพื่อทำการมอนิเตอร์เสียงได้ หากเป็นการเชื่อมต่อเข้ากับมือถือก็สามารถเสียบเข้ากับรู 3.5 mm โดยการเชื่อมต่อโดยใช้สายที่เป็น TRRS และ TRS ที่แถมมาในเซตได้

  • TRRS - เป็นสายที่มีหัว 3 ขีด เอาไว้ใช้สำหรับเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ
  • TRS - เป็นสายที่มีหัว 2 ขีด เอาไว้ใช้สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์

การใช้งาน


ในเรื่องของการใช้งานสามารถใช้งานได้ง่าย เนื่องจากมีหน้าจอบอกสถานะ การปิดเปิดก็ทำได้ง่ายเพียงกดค้างที่ปุ่มด้านข้างไมค์ ก็จะทำการเปิดปิดได้ รวมทั้งการตั้งค่าต่างๆ บนหน้าจอก็จะบอกสถานะแบตเตอรี่ ทั้งตัวส่ง และ ตัวรับได้ รวมทั้งสัญญาณต่างๆ เรียกได้ว่าใช้งานได้ง่ายไม่ยุ่งยาก ส่วนใครที่ต้องการต่อไมค์ก็สามารถเสียบเข้าได้เลยที่ช่องด้านบน

  • หากใครที่ต้องการจะปรับระดับเสียงก็ให้กดที่ปุ่ม + / - ค้างเอาไว้เพื่อตั้งค่าเสียง 6 ระดับ
  • เลือกได้ว่าจะเอา Mic In หรือ Line In (ต่อไมค์แยก) โดยเลือกที่ Input Mode > กดปุ่ม Set ค้างไว้ > กดปุ่ม + / - เพื่อเลื่อน > หากต้องการเลือกก็ให้กดปุ่ม Set ค้างเอาไว้
  • หากใครที่ไม่อยากให้หน้าจอแสดงผลอยู่ตลอดก็สามารถเลือกที่ Backlight Mode โดยกดปุ่ม Set ค้าง > แล้วเลือกเวลาที่ต้องการให้หน้าจอดับ
  • ส่วนใครที่ต้องการตัดเสียงไปเลยก็สามารถตั้งเป็น Mute Key ได้โดยกดที่ปุ่ม Mute ที่ปุ่มข้างๆ ไมโครโฟน (ปุ่มเดียวกับปุ่มปิดเปิด) จะทำให้เสียงไม่เข้าไมค์

ไมค์รุ่นนี้เหมาะกับใคร ?
เหมาะกับคนที่ต้องการความคล่องตัวในการพูด หรือ ถ่ายงานนอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็น Vlogger หรือ Youtuber Saramonic blink 500 Pro จะตอบโจทย์การใช้งานของคุณแน่นอน นอกจากนั้นยังมีน้ำหนักเบา พกพาได้ง่าย ทำให้สามารถใช้งานได้ครอบคลุม ใครที่อยากได้ไมค์เทพๆ สักตัวลองเอาตัวนี้ไปพิจารณาดูนะคะ ไม่ผิดหวังแน่นอน!!!
 
 
เลือกซื้อSaramonic Blink 500 Pro ได้ที่ Aquapro
คุ้มสุดซื้อ ไมค์Saramonic blink 500 Pro รวมทั้งกล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมอื่นๆ กับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ที่มาพร้อมกับ GoPro 10 โปรโมชั่น สุดคุ้ม ของแถมจุกๆ โปรส่งฟรี พร้อมโปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติมที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!! ติดตามได้ตาม link ด้านล่างเลย


 
ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


71


" เสา " เป็นสิ่งที่ใช้ในการพยุงตัวบ้านเอาไว้ วันนี้ทาง V.K.B จะพาคุณมารู้จัก เสาคืออะไร สำคัญอย่างไรต่องานก่อสร้าง และ เสามีกี่ประเภท ทำจากวัสดุอะไรบ้าง เลือกเสาให้เหมาะกับการใช้งานง่ายๆ กับ V.K.B อย่ารอช้าไปอ่านบทความกันเลย!!!
 
มาทำความรู้จัก เสา คืออะไรกันดีกว่า ?


หากพูดถึงเสา เราก็จะนึกถึงแท่งรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่อยู่ตามมุมต่างๆ ใช้สำหรับรับน้ำหนักของอาคารทั้งหลังเอาไว้ ยิ่งอาคารมีน้ำหนักเยอะ (มีจำนวนชั้นเยอะๆ) เสายิ่งต้องแข็งแรงเพียงพอต่อการรับน้ำหนักอาคาร
 
ความสำคัญของเสากับตัวอาคาร ?

เนื่องจากเสาเป็นส่วนสำคัญในการรับน้ำหนักตัวอาคารในแนวดิ่ง เสาเลยจะต้องถูกเลือกให้เข้ากับรูปแบบของบ้าน และ ตัวอาคาร ทั้งรูปร่าง วัสดุ หน้าตัด รวมถึงน้ำหนักของเสา โดยวิศวกร และ สถาปนิก จะเป็นผู้ดูแล จัดการเลือกเสาให้เหมาะกับโครงสร้างอาคารที่จะก่อสร้าง นอกจากเสาจะใช้ในการรับน้ำหนักของตัวอาคารแล้ว อาคารบางที่ก็จะใช้เสาสำหรับการตกแต่งอีกด้วย
 

เสามีกี่ประเภท ?

เสาไม้


เสาประเภทนี้จะโดดเด่นในเรื่องของความสวยงามของสี และ ลายของไม้ที่นำเอามาใช้ ยิ่งไม้ที่เอามาทำเสามีความสวยงามก็จะยิ่งทำให้บ้าน อาคารดูมีความหรูหรามากยิ่งขึ้น แต่ไม่เหมาะสำหรับการนำมาใช้กับการก่อสร้างอาคารหลายชั้น อีกทั้งยังเป็นวัสดุที่ต้องบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอทั้งจากแมลงศัตรูไม้ และ เชื้อราต่างๆ ทำให้ต้องหมั่นดูแลให้ดี

เสาคอนกรีต


เสาคอนกรีต หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเสาปูน ซึ่งจะใช้ปูนซีเมนต์ หิน กรวด และ ทราย เป็นส่วนประกอบ โดยจะใช้การขึ้นรูปเป็นทรงต่างๆ เพื่อนำมาใช้กับงานก่อสร้าง สามารถหล่อรูปขึ้นได้หลายแบบ เสาคอนกรีตมีด้วยกัน 2 ประเภท

  • เสาคอนกรีตหล่อในที่ (หล่อบริเวณที่ก่อสร้าง) เป็นการทำเสาโดยจะขึ้นโครงแบบหล่อคอนกรีต (ซึ่งมีทั้งไม้ และ เหล็ก แต่ในการสร้างบ้านจะนิยมใช้แค่ไม้) และ ผูกเหล็กเส้น เพื่อใช้ในการกำหนดรูปทรงของเสา แล้วทำการเทคอนกรีตลงไปในโครงแบบหล่อคอนกรีต จากนั้นรอให้คอนกรีตแห้งแล้วเอาแบบไม้ออก ต้องการขนาดเท่าไหร่ก็ขึ้นโครงเท่านั้น
  • เสาคอนกรีตสำเร็จรูป เป็นรูปแบบของเสาที่มีการผลิตภายในโรงงานโดยจะมีการควบคุมการผลิตทำให้ได้เสาที่มีคุณภาพเท่ากัน แต่เรื่องของขนาดจะไม่สามารถปรับได้เหมือนแบบหล่อในที่ จึงจำเป็นจะต้องเลือกให้ขนาดพอดีกับตัวอาคาร

เสาเหล็ก


เสาเหล็ก เป็นเสาที่ทำจากเหล็ก โดยเสาประเภทนี้จะมีน้ำหนักเบากว่าเสาแบบอื่นๆ มักจะนิยมนำเสาเหล็กไปใช้งานพวกงานโกดังเก็บของ มีด้วยกัน 2 ประเภทนั่นคือ

  • เสาเหล็กรูปพรรณ (Structural steel) เสาเหล็กที่มีหน้าตัดหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบเหล็กรูปตัว I , H และ แบบเหล็กกล่อง (Tube) ซึ่งจะเป็นเหล็กที่มีหน้าตัดมาตรฐานแค่รูปทรงต่างๆของเหล็กจะต่างกันตามหน้าตัด เป็นรูปแบบที่นิยมนำมาใช้
  • เสาโครงข้อแข็ง (Rigid Frame) เสาที่ใช้ยึดต่อเข้าด้วยกันแบบข้อต่อยึดแน่น โดยอาศัยการเชื่อมข้อต่อให้มีความแข็งแรง

เสาเหล็กจะไม่ทนทานกับไฟมากนัก และ เกิดการกัดกร่อนได้ง่าย ดังนั้นอาจจะต้องดูแลรักษา และ ต้องห่อหุ้มด้วยวัสดุที่กันไฟ ต้องหมั่นทาสีกันสนิมเพื่อไม่ให้สนิมกินเหล็ก

เลือกเสาอย่างไรให้เหมาะกับงาน

  • อาคารที่ก่อสร้างเป็นรูปแบบไหน - เป็นบ้านกี่ชั้น เป็นอาคารขนาดใหญ่หรือไม่ เพราะหากเลือกเสาไม่เหมาะสมกับน้ำหนักของตัวอาคาร อาจทำให้เกิดการพังทลายของอาคาร เนื่องจากอาคารรับน้ำหนักไม่ไหวได้
  • ระยะห่างต่างๆ ภายในอาคาร - เหมาะสำหรับเสาแบบไหน เช่น หากระยะห่างภายในบ้านแคบ แต่จะใช้เสาไม้ที่มีขนาดใหญ่ก็จะไม่เหมาะสมมากนัก หรือ ระยะห่างภายในบ้านควรจะมีเสากี่อัน หากต้องใช้เสาเยอะอาจจะเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่รับน้ำหนักได้ดีกว่า เพื่อลดปริมาณของเสา
  • บ้านของเราเหมาะกับเสาวัสดุแบบไหน - ต้องดูว่าตัวบ้านของเราทำจากอะไร หากเลือกไม่เหมาะสมอาจทำให้เสารับน้ำหนักบ้านได้ไม่ดี เช่น บ้านทำจากปูน แต่จะใช้เสาที่ทำจากไม้เพราะอยากให้บ้านดูมีสไตล์ ก็คงจะไม่ได้เพราะเสาอาจจะรับน้ำหนักของบ้านไม่ไหว


 
V.K.B บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี!!!
V.K.B ใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง วางแผน การออกแบบ ตลอดจนการดูแลจนจบโครงการก่อสร้าง ทำให้จะต้องเลือกผู้รับเหมาที่มีความชำนาญ V.K.B contracting เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ด้วยทีมที่เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ ที่พร้อมให้บริการออกแบบ ก่อสร้าง และ ให้คำแนะนำด้านการก่อสร้างทุกรูปแบบ ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานเราจะบริการอย่างเต็มที่ และ เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ
  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ


 
สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com


72


ถ้าบางครั้งเราเผลอพลาดไม่ได้ป้องกันทำยังไงดี? ยาคุมฉุกเฉิน หนึ่งในยาที่ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์แบบไม่ป้องกัน ถ้ากินไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้ผล จะกินยาคุมฉุกเฉินต้องรู้จักยาให้ดีก่อนกิน Sistalk จะมาแนะนำวิธีให้คุณรู้จักกับเจ้าคุมฉุกเฉินมากยิ่งขึ้น!!!
 
ยาคุมฉุกเฉิน คืออะไร ?



ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน หรือ Emergency contraception pill มีส่วนผสมของฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) จะเป็น โปรเจสตินฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งในยาคุมฉุกเฉินบ้านเราจะใช้ levonorgestrel (LNG) ในกลุ่มโพรเจสติน โดยเป็นสารสังเคราะห์เลียนแบบโพรเจสเตอโรน ยาคุมฉุกเฉินจะใช้ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือ ใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆ จะใช้ในกรณีที่ฉุกเฉินเท่านั้น จะมีปริมาณฮอร์โมนที่มากกว่ายาคุมปกติ ดังนั้นจะต้องกินในกรณีที่พลาดเท่านั้น เช่น ถุงยางรั่ว มีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่งหากกินอย่างถูกต้อง
 
ผลข้างเคียงจากการกิน ยาคุมฉุกเฉิน


ในยาคุมฉุกเฉินจะมีฮอร์โมนมากกว่าในยาคุมแบบปกติ หากกินแล้วอาจทำให้เกิดการข้างเคียงได้มาก  โดยเฉพาะกับเยื่อบุโพรงมดลูก เนื่องจากมีผลต่อฮอร์โมน ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวผู้ใช้งานและ อาการข้างอื่นๆ

  • เลือดออกผิดปกติ
  • ขาดประจำเดือน
  • คลื่นไส้ อาเจียน

อาจทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนขึ้นได้ในอนาคต หากมีอาการผิดปกติ เช่น เลือดออกทางช่องคลอด หรือ ประจำเดือนขาดไปนาน ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา

วิธีการทานยาคุมฉุกเฉินให้ถูกวิธี!!!


ยาคุมกำเนิดจะมีด้วยกันทั้งแบบ 1 เม็ด และ แบบ 2 เม็ด ซึ่งแต่ละเม็ดจะมีวิธีกินที่ต้องกินให้เหมาะสม

  • แบบครั้งเดียว 2 เม็ด (single dose) - ให้ทานทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ป้องกัน หรือ ภายใน 24 ชั่วโมงแต่ไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง (3 วัน)
  • แบบแบ่งทานทีละเม็ด (two dose) - ให้ทานเม็ดแรกทันที ให้เร็วที่สุดหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ภายใน 24 ชั่วโมง แต่ไม่นานเกิน 72 ชั่วโมง ส่วนเม็ดที่สองให้ทานหลังจากเม็ดแรกภายใน 12 ชั่วโมง

ไม่ควรกินยาคุมฉุกเฉินมากกว่า 4 เม็ด ภายในเดือนเดียว เพราะตัวยามีฮอร์โมนสูงถึง 0.75 มิลลิกรัม หากทานมากไปจะทำให้ระบบสืบพันธ์ุในการสร้างฮอร์โมนผิดปกติ

ข้อควรระวังในการทาน ยาคุมฉุกเฉิน


ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาที่มีประโยชน์อย่างมากในการช่วยลดอัตราการตั้งครรภ์ หรือ ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ตั้งใจ แต่ก็ผลข้างเคียง และ ข้อควรระวังในการทาน หากคุณเป็นคนที่มีโรคเหล่านี้ควรระวังเป็นพิเศษ

  • มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม
  • โรคที่เกี่ยวกับตับ เช่น ตับแข็ง มะเร็งตับ
  • โรคที่เกี่ยวกับหัวใจ และ หลอดเลือด
  • โรคเบาหวาน และ ไขมันในเลือดสูง
  • โรคไมเกรน

นอกจากนั้นจะต้องกินให้ถูกวิธีด้วยเพื่อให้ประสิทธิภาพของยาได้ผลมากที่สุด แต่ต้องระวังเรื่องอันตรายจากการกินยาคุมด้วย ต้องกินในปริมาณที่เหมาะสม ดังนั้นสาวๆ ต้องระวังด้วยนะคะ ยาคุมฉุกเฉินสามารถทำได้แค่ป้องกันการท้องเท่านั้น แต่ไม่สามารถป้องกันการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้นะคะสาวๆ !!!


 
เรื่องสุขภาพของสาวๆ ไว้ใจ Sistalk
เรื่องของสาวๆ ก็ต้องให้สาวๆ คุยกันสิคะ หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหา มีข้อสงสัยไม่ว่าจะเรื่องของ สุขภาพ , การดูแลรูปร่าง , เรื่องลับๆ ของสาวๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของความรัก และ เทรนด์อื่นๆ ไม่อยากพลาด ต้องเข้ามาอ่าน มาติดตามบทความที่เรา Sistalk ได้รวบรวมมาให้ รับรองได้ว่าคุณจะได้ทั้งประโยชน์ สาระความรู้ และ อัปเดตเทรนด์ก่อนใคร เพราะเราเข้าใจผู้หญิงดี!!!

ใครไม่ Talk Sistalk นะคะซิส!!!!

 
สามารถติดต่อสอบถามข้อมูล Sistalk ตามช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH
 

73


สกินแคร์ เครื่องสำอางก็เหมือนกับอาหาร และ ของใช้อื่นๆ ที่มีอายุการใช้งานที่กำจัด เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งก็จะต้องหมดอายุไปตามธรรมชาติ ทำให้จำเป็นต้องพึ่งสารบางอย่างที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของสกินแคร์ให้อยู่ได้ยาวนานมากยิ่งขึ้นอย่าง พาราเบน คือ หนึ่งซึ่งสารที่บางแบรนด์นำเอามาใช้ในการยืดอายุผลิตภัณฑ์ให้อยู่ได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ResiSKIN จะพามารู้จักเจ้าสารตัวนี้กัน ไปอ่านกันเลย!!!


มารู้จัก พาราเบน คือ อะไรกันดีกว่า ?
พาราเบน (Paraben) เป็นสารชนิดหนึ่งที่ใช้ในการยืดอายุการใช้งานของสกินแคร์ เป็นหนึ่งในประเภทของสารกันเสียชนิดหนึ่ง ที่ถูกสังเคราะห์จากกระบวนการ "Esterification"เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ พาราเบนเป็นสารที่มีราคาถูก แต่ให้ผลลัพธ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ได้ดี จึงทำให้สารตัวนี้เลยมักจะไปอยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ
 

พาราเบน อันตรายหรือไม่ ?


พาราเบนเป็นสารที่ช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ทำให้อายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ยาวนานขึ้น แต่ก็ต้องใส่ในปริมาณที่กำหนดไว้ ปริมาณของสารพาราเบนจะต้องไม่เกินกว่า 0.25 % หากเกินกว่านั้นอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ พาราเบนจะไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการสืบพันธ์ุทั้งฮอร์โมนเพศหญิงอย่าง และ ฮอร์โมนเพศชาย นอกจากนั้นสารพาราเบนยังอาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมในผู้หญิงอีกด้วย และ โรคอื่นๆ ที่จะตามมา

  • โรคอ้วน
  • โรคเกี่ยวกับระบบการเผาผลาญอาหาร
  • ความหนาแน่นของกระดูก
  • ความผิดปกติของพัฒนาการ
  • ภาวะการมีบุตรยาก
  • การแท้งบุตร
  • คลอดก่อนกำหนด
  • ความพิการแต่กำเนิด
  • สเปิร์มไม่สมบูรณ์
  • โรคเรื้อรัง
  • โรคมะเร็ง


วิธีเลือกผลิตภัณฑ์ไม่ให้มีพาราเบน ?


เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของพาราเบนหรือไม่ ส่วนใหญ่จะพบพาราเบนหลักๆ 6 ชนิดตามข้างฉลากของผลิตภัณฑ์ หากเจอก็ให้รู้ไว้ว่าสารพวกนี้คือหนึ่งในสารพาราเบนนั่นเอง หากใครไม่รู้ให้ทำการสังเกตคำว่า paraben ที่ต่อท้ายชื่อส่วนผสม ถึงแม้ชื่อข้างหน้าจะไม่ใช่พาราเบนก็ต้องสังเกตส่วนท้ายให้ดีนะคะ

  • Methylparaben
  • Ethylparaben
  • Propylparaben
  • Isopropylparaben
  • Butylparaben
  • Isobutylparaben

แต่ถ้าหากคุณไม่แน่ใจว่ามีสารเหล่านี้ผสมหรือไม่ เพราะตัวหนังสือข้างฉลากอาจจะเล็ก และ อ่านยากก็ให้ทำการสังเกตว่ามีการระบุว่าผลิตภัณฑ์เป็น Paraben Free หรือไม่ หากผลิตภัณฑ์ตัวนั้นไม่มีสารพาราเบนจริงๆ ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์จะบอกอย่างชัดเจน

เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีพาราเบน เลือกResiSKIN


หากเวลาที่เราเลือกซื้อสกินแคร์ ครีม หรือ เครื่องสำอางบางอย่างแล้วกลัวว่าจะมีพาราเบนผสม อยากได้สกินแคร์ที่ดีที่ไม่ก่อให้เกิดโทษจากการใช้งานเราขอแนะนำ ครีมเวชสำอางของ ResiSKIN ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารระคายเคืองผิว ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม สี กลิ่น และ สารปรุงแต่งที่ทำให้เกิดการแพ้ รวมทั้งไม่มีส่วนผสมของสารพาราเบนอีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้นผลิตภัณฑ์ของ ResiSKIN ยังมีส่วนผสมพิเศษนั่นก็คือ Extremolytes 7% ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ช่วยในการฟื้นฟูผิวให้กับมาดูดี และ สตรอง ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ช่วยในการลดการอักเสบของผิวที่เกิดความเสียหายจากปัจจัยต่างๆ นอกจากนั้นส่วนผสมต่างๆ ก็อ่อนโยนต่อผิวทำให้แม้จะมีผิวแพ้ง่ายก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ของเราได้ ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถช่วยฟื้นฟูผิวจากการติดสารได้ดี นอกจากนั้นยังช่วยในเรื่องของ

  • ช่วยเรื่องของการฟื้นฟูผิวจากการอักเสบจากมลภาวะต่างๆ ที่มาทำร้ายผิว
  • ช่วยในการลดระดับความเสียหายของเซลล์ผิวจากมลภาวะ แสงแดด
  • ช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำจากมลภาวะต่างๆ
  • เสริมเกราะป้องกันผิวจากมลภาวะ ลดการระคายเคืองผิวต่างๆ
  • ช่วยในเรื่องการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นยาวนานถึง 7 วัน
  • ช่วยแก้ปัญหาโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง และ ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
  • ใครที่ผิวอ่อนแอ ผิวบอบบางแพ้ง่าย สามารถใช้ได้ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารก่ออาการแพ้ และ สารระคายเคืองผิว ไม่มีสารปรุงแต่งอย่างน้ำหอม สี เม็ดสครับ พาราเบน
  • นอกจากนั้นยังมี Extremolytes 7% ที่เป็นเกราะป้องกันผิวอีกด้วย ช่วยปกป้องผิวแม้จะอยู่สภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นใจ ทำให้ทนทานต่อทุกสภาวะ

ใครที่อยากใช้สกินแคร์ที่ดีต่อผิว ปกป้องผิวจากภายในสู่ภายนอก แถมยังไม่ทำให้กลับมามีปัญหาผิวซ้ำ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของ ResiSKIN นะคะ ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากพาราเบน อย่าให้ปัญหาที่มาจากสารพาราเบน และ ปัญหาผิวอื่นๆ มากวนใจ พร้อมเอาชนะทุกปัญหาผิว อักเสบ แพ้ แห้ง แดง ผื่นคัน ให้ผิวกลับมาแข็งแรงด้วย ResiSKIN

>>อ่านบทความ ผิวแข็งแรง คืออะไร? ได้ที่นี่<<

ลอง ResiSKIN ดูสิแล้วคุณจะหลงรักผิวของคุณ!!!

 
ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
Facebook : Resiskin by Qualisk
Line : @resiskin
Shopee : ResiSKIN by QUALISK
Lazada : Qualimed


74


ไม้ที่ใช้ในการก่อสร้างมีทั้ง ไม้ยางพารา ไม้ทุเรียน ไม้ยาง ไม้มะค่า ไม้เต็ง รวมถึงไม้ชนิดอื่นๆ นอกจากนั้นยังมีไม้เบญจพรรณที่ถูกนำมาใช้งานกันอย่างมากอีกด้วย ไม้เบญจพรรณ ทนไหม หากนำไปใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ วันนี้ทาง MTK จะมาไขข้อสงสัยให้กับคุณ อย่ารอช้าไปอ่านบทความกันเลย!!!

>>อ่านบทความ ไม้ทุเรียนคุณสมบัติ ดีอย่างไร? เพิ่มเติมได้ที่นี่<<


ทำความรู้จักไม้เบญจพรรณคร่าวๆ กันหน่อย
ไม้เบญจพรรณ คือ ไม้ที่มีการผสมผสานระหว่างไม้เนื้ออ่อน และ ไม้เนื้อแข็ง รวมทั้งเป็นการนำเอาไม้หลายชนิดมารวมกัน มีสีแดง ขาว แดงอมชมพู มีน้ำหนักพอประมาณ ถือว่าเป็นไม้ที่ดีในการนำมาสร้างบ้าน ทำเฟอร์นิเจอร์ที่มีความทนทาน
 
 
ไม้เบญจพรรณ ทนไหม มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ?
ไม้เบญจพรรณถูกจัดว่าเป็นไม้เนื้อแข็งนั่นเอง ทำให้ไม้มีความแข็งแรง ทนทานค่อนข้างมาก เนื้อไม้จะมีความเหนียว ทำให้สามารถแปรรูปได้หลากหลาย ส่วนใหญ่คุณสมบัติของไม้มักจะขึ้นอยู่กับประเภทของไม้ที่เอามาทำ  เช่น ไม้มะค่า ไม้สัก ไม้แดง ไม้ประดู่ และ ไม้ชิงชัน


มีความแข็งแรงมาก

มีความแข็งแรง และ สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี สามารถนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องอาศัยความแข็งแรงได้ เช่น เตียง เก้าอี้ ตู้ โต๊ะ ไม่เพียงแค่นั้นเพราะเวลาเรานำไม้สำหรับทำบ้าน ก็สามารถใช้เป็นไม้โครงสำหรับพยุงบ้านไว้ได้ หากใช้ไม้ที่มีความแข็งแรงก็จะทำให้อายุการใช้งานไม้อยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น


สามารถตัดแต่งได้หลากหลาย

สามารถนำไปทำวัสดุสำหรับบ้าน เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ตกแต่งบ้านได้หลากหลาย โดยเฉพาะพวกเฟอร์นิเจอร์ งาน built-in ต่างๆ แถมยังสามารถนำไปทำไม้จ๊อยได้อีกด้วย ทำให้เมื่อนำไปใช้งานก็สามารถใช้งานได้ง่าย แม้เนื้อไม้จะไม่สวยเท่าแต่สีของไม้จะเรียบเสมอกันทั้งแผ่น ได้เฟอร์นิเจอร์งานไม้ที่ดีทั้งแผ่น


ทนทานต่อทุกการใช้งาน

ไม้เบญจพรรณ ทนต่อสภาพอากาศ ยิ่งถ้าไม้เบญจพรรณได้ผ่านกระบวนการอัดน้ำยา และ อบไม้ แถมยังช่วยป้องกันไม้จากแมลงศัตรูพืช เช่น ปลวก มอด แมลงต่างๆ นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันไม้จากเชื้อรา ความชื้นได้อีกด้วย รวมทั้งสภาพอากาศอีกด้วย
 
ไม้เบญจพรรณนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง ?

ไม้เบญจพรรณจะมีคุณสมบัติในการนำไปแปรรูป และ ประยุกต์ได้หลากหลาย สามารถนำไปทำได้ทั้งไม้พาเลท ไม้เฟอร์นิเจอร์ ไม้โครง ไม้จ๊อย ไม่ว่าจะงานไม้ปกติ หรือ งาน built-in
  • ไม้โครงเบญจพรรณ เช่น ไม้โครงตู้ ไม้โครงเตียง ไม้โครงบ้าน
  • ไม้จ๊อยเบญจพรรณ เช่น ไม้จ๊อยสำหรับงาน built-in ต่างๆ
  • ไม้พาเลทเบญจพรรณ สำหรับรองรับสินค้า หรือ นำมาทำเฟอร์นิเจอร์
  • งานเฟอร์นิเจอร์จากไม้เบญจพรรณต่างๆ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง

 
เลือกซื้อไม้คุณภาพดีเลือกไม้ที่ MTK WOOD
  • ได้ไม้ดีมีมาตรฐาน ไม้ของเราผ่านการรับรองมาตรฐาน IPPC จากกรมวิชาการเกษตรแล้วเรียบร้อย
  • ได้ไม้ตามสเปค และ การนำไปใช้งาน  เราใช้เครื่องจักรต่างๆคุณภาพดี  สามารถผลิตไม้ได้หลายรูปแบบตามมาตรฐานแน่นอน
  • มีไม้ให้เลือกหลากหลาย สำหรับใครที่ต้องการนำไปใช้ในงานก่อสร้าง งานอุตสาหกรรม งานเฟอร์นิเจอร์ โรงงานของเราก็มีไม้ยอดนิยมหลายตัวที่ให้คุณได้เลือก ไม่ว่าจะเป็น

  • ไม้ยางพารา ไม้ยอดนิยมที่มีความแข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้หลากหลาย ง่ายต่อการตัดแต่ง สามารถย้อมสีได้ง่าย
  • ไม้เบญจพรรณ ไม้ที่มีความแข็งแรง ทนทาน เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรงสูง รองรับน้ำหนักได้ดี
  • ไม้ทุเรียน ไม้เนื้อแน่น เหมาะสำหรับนำไปใช้ในการตัด เจาะ ทำไม้โครง ไม้จ๊อย ให้ความแข็งแรง ทนทานที่ดี

จะเป็นการนำไม้ไปแปรรูปเป็นไม้แปรรูป หรือ แปรรูปเป็นไม้รูปแบบอื่นอย่าง

  • ไม้พาเลท ไม้สำหรับรองรับสินค้า มีรูปแบบคานที่หลากหลาย ที่ช่วยทำให้ง่ายต่อการขนย้าย

  • ไม้จ๊อย ไม้รอยต่อฟันปลาที่ช่วยให้งาน built-in เป็นเรื่องง่ายขึ้น
  • ไม้โครง ไม้สำหรับใช้ด้าม ยึดเป็นแกนหลัก มีความแข็งแรง ทนทานสูง

  • ได้บริการครบจบในที่เดียว มีบริการตั้งแต่  รับผลิตและจำหน่ายไม้ยางพาราแปรรูป , บริการรับเลื่อย-ไสไม้ ตัดแต่งไม้   ,   บริการอัดน้ำยา-อบไม้ จนถึงบริการขนส่งไม้ทั่วประเทศไทย
  • ส่งตรงถึงที่ โรงงานของเรามีหน้าโรงงานจริงอยู่ที่ จังหวัดระยอง ที่เปิดให้บริการมากกว่า 25

 
สนใจสั่งซื้อ และ ดูข้อมูลเพิ่มเติม MTK ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :   @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


75


เคยไหมคะสาวๆ ? เวลาที่นอนไปแล้วแต่ต้องตื่นเพราะเกิดการ ไอตอนกลางคืน ทำให้หลับๆ ตื่นๆ นอนหลับได้ไม่เต็มที่ แล้วแบบนี้เราจะสามารถรับมือกับปัญหาการไอได้อย่างไรกัน วันนี้ทาง Sistalk จะมาบอกวิธีแก้การไอตอนกลางคืนให้กับคุณ แล้วปัญหาเรื่องการไอตอนนอนจะไม่มากวนใจคุณอีก ได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ พร้อมตื่นนอนอย่างสดชื่น
 
สาเหตุที่ทำให้ ไอตอนกลางคืน ?
การไอไม่ใช่อยู่ดีๆ เราก็จะไอขึ้นมาเฉยๆ แต่เพราะการไอสามารถบอกได้ว่าภายในลำคอ ทางเดินหายใจของเรามีสิ่งแปลกปลอม หรือ สิ่งที่เข้าไปกระตุ้น ทำให้ร่างกายเกิดการตอบสนองเพื่อที่จะกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกไป
  • สภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ เมื่อเรานอนอยู่ในห้องนอนที่มีเครื่องปรับอากาศ หรือ มีการระบายอากาศที่ไม่ดี อาจทำให้อากาศภายในห้องแห้งเกินไป หรือ อากาศหนาวเย็นจนเกินไปก็อาจส่งผลทำให้เกิดน้ำมูกไหลลงคอได้ จนเกิดเป็นเสมหทำให้ไอเกิดขึ้นในตอนกลางคืน
  • ฝุ่นละออง และ มลภาวะต่างๆ ฝุ่นภายในห้อง ขนสัตว์เลี้ยง ดอกไม้ ควันต่างๆ เมื่อสิ่งเหล่านี้เข้าไปในร่างกายก็จะทำให้ร่างกายเกิดการตอบสนองทำให้เกิดการไอ การจาม น้ำมูกไหลได้
  • เชื้อโรค และ การติดเชื้อภายในทางเดินหายใจ การติดเชื้อในทางเดินหายใจมักจะเกิดขึ้นได้ง่ายในช่วงที่เราเป็นไข้หวัด เพราะร่างกายของเราจะอ่อนแอจนทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนที่คอจะแห้ง

 
วิธีแก้ไขปัญหาการไอตอนกลางคืน

การจัดห้องนอนให้เหมาะสม


ควรจะจัดห้องนอนให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมประมาณ 25 องศา หากห้องนอนของคุณแห้งเกินไป อาจจะใช้เครื่องทำความชื้นช่วย เพื่อทำให้อุณหภูมิของห้องสมดุลกัน และ ช่วยให้อาการถ่ายเทได้ดีขึ้น รู้สึกหายใจโล่งขึ้นอีกด้วย แถมยังช่วยลดการเกิดเสมหะได้ หมั่นทำความสะอาดห้องนอน และ เครื่องนอนเป็นประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงฝุ่นละออง เชื้อโรคต่างๆ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง

การปฏิบัติตัวก่อนนอน


เมื่อจะเข้านอนจะจิบน้ำก่อนนอน โดยน้ำควรจะเป็นน้ำอุ่น หรือ น้ำอุณหภูมิห้อง ส่วนใครที่รู้สึกหายใจไม่โล่งบ่อยๆ อาจจะทำการล้างจมูกก่อนนอนก็จะทำให้นอนได้สบายขึ้น และ สุดท้ายหมอนที่ใช้ในการนอนก็สำคัญ ควรจะนอนหมอนสูง หรือ ถ้าใครไม่มีหมอนสูงอาจจะใช้หมอนมากกว่า 1 ใบในการนอนให้ลำตัวไม่ราบไปกับที่นอน สำหรับคนที่มักจะคอแห้งตอนกลางคืนจนทำให้เกิดการไอขึ้นได้

ใช้ยาช่วยลดอาการไอ


สำหรับใครที่กลัวเรื่องจะไอตอนกลางคืน ก็อาจจะใช้ยาช่วยในการลดการไอ เพื่อไม่ให้น้ำมูกไหลลงคอ และ ช่วยทำให้ไม่ระคายเคืองคอ ช่วยลดเสมหะตอนนอนวิธีนี้ให้ผลได้ดี แต่ก็อาจจะต้องรอให้ยาออกฤทธิ์ โดยเฉพาะยาอม ยาทา หากยายังไม่ออกฤทธิ์ก็อาจจะยังมีอาการไออยู่
 
ไม่อยากไอต้องใช้ไอมะ !!!


สำหรับใครที่ไม่อยากไอเวลากลางคืน อยากได้อะไรที่บรรเทาการไอได้ดี ออกฤทธิ์ได้เร็ว เราขอแนะนำ ไอมะ (IMA) สมุนไพรบรรเทาอาการไอ นวัตกรรมรูปแบบใหม่จากประเภทญี่ปุ่น ที่อยู่ในรูปแบบของผงแกรนูลที่สกัดให้ผงสมุนไพรอยู่ในรูปแบบผงแกรนูลที่มีอณูขนาดเล็ก ช่วยให้กลืนได้อย่างลื่นคอ ไม่ระคายคอ และ มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ที่เป็นรูปแบบของยาเม็ดเล็กๆ ที่กินง่าย แถมละลายได้เร็วโดยไม่ต้องพึ่งน้ำ เพียงแค่ฉีกแล้วทานก็สามารถละลายได้ทันที ช่วยให้ชุ่มคอได้ยาวนาน อีกทั้งมีส่วนผสมของสมุนไพรไทยหลายชนิดทั้ง สมอพิเภก สมอไทย มะขามป้อม สมุนไพรไทยที่ช่วยในเรื่องการไอโดยเฉพาะ ช่วยบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ ใครที่ไม่อยากตื่นตอนกลางคืนต้องลองเลย นอกจากนั้นแล้วไอมะยังอยู่ในรูปแบบที่พกพาง่าย นับว่าเป็นหนึ่งในไอเทมแก้ไอที่ควรมีติดบ้านไว้เลย ใครไอต้องใช้ไอมะเลย!!!

>>สามารถสั่งซื้อได้ที่ Biopharm ลิ้งค์นี้เลย<<

 
เพียงเท่านี้ก็ช่วยแก้ปัญหาการไอตอนกลางคืนได้แล้ว แต่ถ้าใครที่ทำยังไงก็ไม่หายไอ หรือ มีการไอเรื้อรัง ไอหนักมากๆ ก็ให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป!!! เห็นไหมคะง่ายมากเลยใช่ไหม

ใครไม่ Talk Sistalk นะคะซิส!!!!

 
สามารถติดต่อสอบถามข้อมูล Sistalk ตามช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH


76


ถ้าประจำเดือนมาในช่วงนั้นเราไม่อยากให้ประจำเดือนมาล่ะ!!! เช่น การออกกำลังกาย หรือ เดินทาง ท่องเที่ยว ว่ายน้ำ ยิ่งใกล้เทศกาลสงกรานต์แล้ว แบบนี้เราจะต้องทำอย่างไร? ยาเลื่อนประจำเดือน นับว่าเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่จะช่วยในการเลื่อนประจำเดือนออกไป มีผลข้างเคียงกันหรือไม่ ถ้าไม่มียาเลื่อนใช้ยาคุมแทนได้หรือไม่?  อยากรู้ห้ามพลาดบทความนี้เลย!!!
 
มาทำความรู้จัก ยาเลื่อนประจำเดือน คืออะไรกันดีกว่า ?

ยาเลื่อนประจำเดือน ทำให้ประจำเดือนมาช้า หรือ มาเร็วกว่าปกติ เมื่อเข้าสู่ช่วงมีประจำเดือน ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในร่างกายของเราจะลดต่ำลง ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นเลือดประจำเดือนแต่ถ้าทานยาที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเข้าไป ก็จะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกก็ยังเกาะอยู่ที่เดิมไม่หลุดออกมาเป็นประจำเดือนนั่นเอง
 
ยาเลื่อนประจำเดือนต้องกินอย่างไร ?


  • การเลื่อนเข้า หรือ เลื่อนประจำเดือนให้มาเร็วขึ้น ให้เริ่มกินยาก่อนที่จะถึงรอบเดือนประมาณ 10 - 14 วัน โดยให้กินต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน จากนั้นให้หยุดยาแล้วประจำเดือนจะมาในช่วง 2 - 3 วัน

ตัวอย่างเช่น ประจำเดือนจะมาในช่วงวันที่ 15 ของเดือน ให้ทำการกินยาตั้งแต่วันที่ 1 โดยกินต่อกันเป็นเวลา 5 วันแล้วหยุดกิน พอถึงวันที่ 5 ที่เป็นวันหยุดยาประมาณ 2 - 3 วันประจำเดือนก็จะมา นั่นก็คือพอวันที่ 7 - 8 ประจำเดือนก็จะมา ซึ่งจะมาเร็วกว่ารอบเดือนปกติประมาณ 7 วันนั่นเอง


  • การเลื่อนออก หรือ เลื่อนประจำเดือนให้มาช้าลง ให้เริ่มกินก่อนที่จะถึงรอบเดือนประมาณ 3 - 7 วัน โดยจะทานต่อเนื่องไม่เกิน 2 สัปดาห์ และ เมื่อหยุดกินยาประจำเดือนจะมาในช่วง 2 - 3 วัน

ตัวอย่างเช่น ถ้าประจำเดือนมาในช่วงวันที่ 15 ของเดือน ให้เริ่มกินยาได้ตั้งแต่วันที่ 12 เมื่อรับประทานไปแล้วไม่ควรทานติดต่อกันนานเกินกว่า 2 สัปดาห์ และ เมื่อหยุดกินยาประจำเดือนจะมาภายใน 2 - 3 วัน ถ้าเลื่อนประจำเดือนไป 1 สัปดาห์แล้วหยุดยา ประจำเดือนก็จะมาประมาณวันที่ 20 - 21 แต่ในบางคนประจำเดือนจะมาหลังหยุดกินยาประมาณ 7 วัน
 

อาการข้างเคียงของการทานยาเลื่อนประจำเดือน



อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยจะเป็นการปวดหัว อาเจียน เวียนหัว คัดตึงเต้านม ตัวบวมขึ้น ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงปกติของยา

  • ผู้ที่ตั้งครรภ์ และ ให้นมบุตร - หากไม่รู้ว่าตั้งครรภ์อยู่แล้วไปทานอาจส่งผลต่ออวัยวะของทารกในครรภ์ได้ รวมทั้งคุณแม่ที่ให้นมลูกด้วย
  • ผู้ที่เป็นลิ่มเลือดอุดตัน หรือ มีความเสี่ยง เพราะเลื่อนประจำเดือนอาจจะไปเพิ่มโอกาสในการเป็นได้มากขึ้น
  • ผู้ที่เป็นโรคตับ หรือ มะเร็งเต้านม เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรค และ ทำให้ตับทำงานหนักขึ้นได้

 
ไม่มียาเลื่อนสามารถใช้วิธีไหนแทนได้บ้าง ?

หากมันฉุกเฉินจริงๆ หายาเลื่อนไม่ได้แล้ว จะมีวิธีไหนที่สามารถนำมาใช้แทนได้บ้างไหม? ยาคุมกำเนิด สามารถใช้แทนได้ทั้งแบบ 21 เม็ด และ 28 เม็ด ยาคุมจะไปช่วยพยุงเยื่อบุโพรงมดลูกไม่ให้หลุดออกมาเป็นประจำเดือน ทำให้ประจำเดือนเลื่อนออกไปนั่นเอง หากเป็นยาเลื่อนปกติก็มีข้อกำจัดในการทานนั่นก็คือ ไม่ควรเลื่อนนานเกินกว่า 21 วัน แต่กลับยาคุมสามารถทำได้ 1 รอบ หรือ 1 เดือน ทำให้สามารถเลื่อนได้ดีกว่า ทานได้ต่อเนื่องมากกว่า

ยาคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ด


ยาแบบ 21 เม็ด จะมีปริมาณในยาเท่ากันทุกเม็ด

  • เมื่อทานยาแผงเก่าหมดแล้วให้เริ่มยาแผงใหม่ได้เลยโดยไม่ต้องหยุดยา 7 วัน
  • ให้ทานยาวันละ 1 เม็ดจนหมดแผง และ ทำการหยุดยา 7 วันหลังจากทานครบแผงแล้ว (ประจำเดือนจะมาในช่วงหลังจากกินยาเม็ดสุดท้ายที่เราตั้งใจหยุดประมาณ 3 - 4 วัน)

ยาคุมกำเนิดแบบ 28 เม็ด
ยาคุมแบบ 28 เม็ด จะมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ 21 + 7 และ 24 + 4


แบบ 21 + 7 (21 เม็ดเป็นเม็ดยา และ 7 เม็ดเป็นเม็ดแป้ง)

  • เมื่อทานยาคุมกำเนิดแผงเดิมจนถึงเม็ดที่ 21 แล้วอีก 7 เม็ดที่เหลือไม่ต้องทาน (ไม่กินเม็ดที่เป็นแป้ง)
  • ให้เริ่มกินยาแผงใหม่ได้เลย โดยทานจนหมดแผงทั้ง 28 เม็ด (ประจำเดือนจะมาในช่วงหลังจากกินยาเม็ดสุดท้ายที่เราตั้งใจหยุดประมาณ 3 - 4 วัน)


แบบ 24 + 4 (24เม็ดเป็นเม็ดยา และ 4 เม็ดเป็นเม็ดแป้ง)

  • เมื่อทานยาคุมกำเนิดแผงเดิมจนถึงเม็ดที่ 24 แล้วอีก 4 เม็ดที่เหลือไม่ต้องทาน (ไม่กินเม็ดที่เป็นแป้ง)
  • ให้เริ่มกินยาแผงใหม่ได้เลย โดยทานจนหมดแผงทั้ง 28 เม็ด (ประจำเดือนจะมาในช่วงหลังจากกินยาเม็ดสุดท้ายที่เราตั้งใจหยุดประมาณ 3 - 4 วัน)

ยาคุมกำเนิดมีประโยชน์ด้านอื่นๆ การช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ ช่วยเรื่องของสิว หน้ามัน ขนดก และ ช่วยให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ตรงเวลามากขึ้นอีกด้วย ยิ่งถ้ายาคุมที่มีปริมาณฮอร์โมนอยู่ในเกณฑ์ ยาคุมนับว่าเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่สาวๆ อย่างเราควรมีพกติดตัวเอาไว้เลย โดยเฉพาะในช่วงที่ประจำเดือนใกล้จะมา!!!!
 
 
อ่านบทความเกี่ยวกับประจำเดือนที่จะช่วยแก้ไขปัญหาในช่วงวันแดงเดือดให้คุณ!!!
นอกจากบทความนี้แล้วสาวๆ ยังสามารถอ่านบทความ รู้หรือไม่ประโยชน์ของยาคุมที่มากกว่าแค่คุมกำเนิด , ไขข้อสงสัยยาคุมลดอาการ PMS ได้หรือไม่ , ผลข้างเคียงยาคุม รวมทั้งบทความเกี่ยวกับยาคุมกำเนิดอื่นๆ ได้ที่ Sistalk
 
 
 
Sistalk เว็บไซต์สำหรับสาวๆ ที่รักสุขภาพ
เรื่องของสาวๆ ก็ต้องให้สาวๆ คุยกันสิคะ หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหา มีข้อสงสัยไม่ว่าจะเรื่องของ สุขภาพ , การดูแลรูปร่าง , เรื่องลับๆ ของสาวๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของความรัก และ เทรนด์อื่นๆ ไม่อยากพลาด ต้องเข้ามาอ่าน มาติดตามบทความที่เรา Sistalk ได้รวบรวมมาให้ รับรองได้ว่าคุณจะได้ทั้งประโยชน์ สาระความรู้ และ อัปเดตเทรนด์ก่อนใคร เพราะเราเข้าใจผู้หญิงดี!!!
ใครไม่ Talk Sistalk นะคะซิส!!!!

 
 
สามารถติดต่อสอบถามข้อมูล Sistalk ตามช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH
 
 
ข้อมูลอ้างอิงยาเลื่อนประจำเดือนจาก
-https://yoppie.com/blog/the-yoppie-lowdown-how-safe-are-period-delay-tablets
-https://www.nhs.uk/common-health-questions/travel-health/how-can-i-delay-my-period/#:~:text=monophasic%2021%2Dday%20pills%2C%20such,out%20the%207%2Dday%20break.
-https://www.simpleonlinedoctor.com.au/period-delay/
-https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0002937802000091


77


Action camera รูปแบบใหม่ที่เล็กแต่เจ๋ง น้ำหนักเบาพกพาง่าย ใครที่เบื่อกล้องแบบเดิมๆ ต้องมาลองกล้องตัวนี้เลย วันนี้ Aquapro เลยจะมาแนะนำ DJI Osmo Action 2 รีวิว กล้องจิ๋วแต่แจ๋วที่จะทำให้คุณลืมกล้องแบบเดิมๆ ไปเลย!!!
 
จุดเด่นของ DJI Osmo Action 2

  • มีทั้งจอหน้า และ จอหลัง ในรูปแบบของจอ Touchscreen
  • เลนส์กล้องเป็นแบบ Ultra wide ให้ภาพมุมมองกว้างถึง 155 องศา
  • กล้องมีขนาดเล็ก พกพาได้ง่าย มีความแข็งแรงทนทานสูง
  • ให้ภาพความละเอียดสูงถึง 12 MP และ ถ่ายวิดีโอได้ละเอียดถึง 4K 120FPS
  • โหมดกันสั่น RockSteady 2.0 และ HorizonSteady
  • Digital Zoom ทำให้สามารถซูมได้สูงถึง 4 เท่า
  • ถ่าย Slow Motion ได้ถึง 8 เท่า ช่วยให้เก็บภาพได้ทุกท่วงท่า
  • โหมด Timelapse และ Hyperlaspe
  • รองรับการ Live สามารถใช้เป็น Webcam เชื่อมต่อ WiFi และ Bluetooth
  • สามารถใช้งานในน้ำได้ กันน้ำได้ถึง 10 เมตร 


DJI Osmo Action 2 รีวิว ตรงไหนดีตรงไหนเด่น

ดีไซน์ตัวกล้อง


รูปทรงของกล้องจะมีความมินิมอลมากๆ ตัวกล้องจะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำทำจาก Aluminium Alloy ที่มีทนทานแข็งแรงสูง สามารถรองรับการกระแทกได้ดีน้ำหนักเพียงแค่ 56g หน้าจอ Touchscreen ขนาด 1.76 นิ้ว มีน้ำหนัก 64g ตัวกล้อง และ หน้าจอจะแยกส่วนกันแต่สามารถต่อเข้าด้วยกันได้ด้วยพอร์ตที่เป็นแม่เหล็ก สามารถติดเข้ากับเสื้อผ้าได้ง่าย สะดวกต่อการใช้งานมากๆ นอกจากนั้นตัวกล้องก็จะมีไมโครโฟนมาให้ถึง 4 ตัว เมื่อทำการต่อกล้อง และ หน้าจอเข้าด้วยกัน รับเสียงได้แบบ Directional Audio ที่สามารถเลือกได้ว่าต้องการรับเสียงจากทิศทางไหน


  • ตัวกล้อง และ ตัวหน้าจอสามารถแยกกันได้ แต่เมื่อใช้งานคู่กันจะได้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า (สามารถเลือกใช้เฉพาะตัวกล้องได้ แต่จะทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานบางอย่างลดลง เช่น ถ่ายแบบ 4K ไม่ได้)
  • พอร์ตแม่เหล็ก ใช้ในการเชื่อมอุปกรณ์ส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน นอกจากนั้นรวมไปถึงการเชื่อมต่อตัวกล้องเข้ากับหน้าจอเสริม

ความละเอียดภาพ


ในส่วนของการถ่ายภาพนิ่ง สามารถถ่ายได้ละเอียดสูงสุดถึง 12 MP รองรับทั้งไฟล์ jpeg และ RAW ด้วยเซนเซอร์ขนาด 1/1.7 และ ชัตเตอร์สปีด 1/8000 สามารถปรับ ISO 100 - 6400 ทำให้ถ่ายภาพได้ออกมาดี ใครที่อยากได้ภาพที่เก็บดีเทลของแสงได้ดี บอกเลยว่าห้ามพลาด!!!

ความละเอียดวิดีโอ


ความละเอียดของวิดีโอสามารถถ่ายได้ละเอียดถึง 4K 120FPS ที่ 130 Mbps เลนส์ยังเป็นแบบ Ultra Wide ที่ให้มุมมองภาพกว้างถึง 155 องศา นอกจากนั้นยังมีระยะในการถ่าย (FOV) มาให้ถึง 3 ระยะ

  • Normal เป็นระยะปกติ ถ่ายได้รูปที่เป็นเส้นตรงทั่วไป
  • Wide ระยะนี้จะกว้างขึ้นจากระยะปกติ แต่จะให้ภาพที่มีความโค้งเข้ามา
  • Ultra Wide เป็นระยะที่กว้างที่สุด จะให้ภาพที่ค่อนข้างโค้งมากกว่าระดับ Wide แต่ก็สามารถเก็บละเอียดภาพมุมกว้างได้ดี

การกันสั่น


มาพร้อมระบบกันสั่นแบบ RockSteady 2.0 และ HorizonSteady ที่เป็นระบบที่จะช่วยทำให้เราถ่ายวิดีโอได้แบบไม่ต้องกังวลว่ากล้องจะเอียง แต่ถ้าแค่ตัวกล้องถ่ายไม่ได้ใส่หน้าจอจะถ่ายแบบ 4K ไม่ได้จะถ่ายได้แค่แบบ Full HD เท่านั้น

แบตเตอรี่ และ ความจุ


มาพร้อมแบต 1300 mAh สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 70 นาที แต่ถ้าหากต่อเข้ากับหน้าจอที่เป็นเสมือนแบตสำรอง หรือ Power Modelu จะทำให้สามารถใช้งานได้เพิ่มอีก 2 ชั่วโมง 40 นาที เพราะมีแบตเตอรี่ขนาด 5800 mAh เมื่อใช้งานร่วมกันจะทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น ส่วนในเรื่องของการชาร์จแบตเตอรี่จะชาร์จด้วย USB-C โดยในการชาร์จแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ตัวกล้องจะสามารถจุได้แค่ 20 GB แต่ถ้าต่อกับหน้าจอที่เป็น Power Modelu ที่จะมีช่องสำหรับใส่ SD Card สามารถใส่ได้สูงสุดถึง 256 GB

การกันน้ำ และ Slow Motion


สามารถใช้งานในน้ำได้ลึกถึง 10 เมตร โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริมเลยด้วยซ้ำ แต่เฉพาะตัวที่เป็นกล้องเท่านั้นตัวที่เป็นหน้าจอจะไม่สามารถกันน้ำได้ดังนั้นต้องระวังให้ดี ส่วนใครที่ต้องการดำน้ำลึกกว่านั้นก็สามารถใส่ Housing เพิ่มเติมได้ ส่วนการถ่าย Slow Motion สามารถถ่ายได้สโลวถึง 8 เท่า

ฟังก์ชั่นการใช้งาน
มีฟังก์ชั่นให้ได้เลือกใช้งานไม่น้อยนะ ทั้ง Timelapse ,  Hyperlaspe , 4X Digital Zoom ที่ช่วยให้การใช้งานต่างๆ ง่ายขึ้น นอกจากนั้นก็สามารถทำการเชื่อมต่อเพื่อใช้เป็นกล้องสำหรับ Live หรือ Web Cam ได้อีกด้วย
 
อุปกรณ์อื่นๆ
นอกจากนั้นก็ยังมีอุปกรณ์เสริมให้ได้เลือกใช้งานที่หลากหลาย อย่างอุปกรณ์ที่มาในกล่อง
  • Front Touchscreen Module หรือ Power Modelu หน้าจอเสริมที่เป็นเสมือนแบตสำรองในตัว
  • Magnetic Adapter Mount ตัวที่ใช้ยึดเข้ากับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ
  • Magnetic Lanyard อุปกรณ์สำหรับห้อยคอ
  • Magnetic Ball-Joint Adapter Mount หัวบอลที่ทำให้หมุนได้หลายองศามากขึ้น

นอกจากนั้นก็ใช้คู่กับอุปกรณ์เสริมอย่างเคสกันน้ำ ไม้เซลฟี่อื่นๆ ได้ โดยติดอุปกรณ์ที่มีพอร์ตแม่เหล็กที่มาในกล่องเข้าไปแล้วเอาไปต่อเข้ากับอุปกรณ์ที่เราต้องการ เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานได้แล้ว

 
DJI Action 2 น่าซื้อไหมเหมาะกับใครกัน ?

  • DJI Action 2 เหมาะมากสำหรับสาย Vlog เพราะตัวกล้องมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา มีทั้งจอหน้า และ หลัง สามารถถือเดินถ่ายได้อย่างง่ายได้ ใครที่ถ่าย Vlog ก็ให้เลือกรับเสียงแค่เฉพาะด้านหน้าที่เราพูด จะช่วยในการตัดเสียงรบกวนภายนอกได้
  • เหมาะสำหรับผู้หญิง หรือ คนที่ต้องการความสะดวกในการพกพา เพราะน้ำหนักเบา แถมตัวเล็ก พกเก็บได้ง่ายไม่เป็นภาระ ไม่ทำให้เมื่อยมือเวลาถือ สามารถยึดเข้าได้กันได้ง่าย
  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์ ทนทานต่อการกระแทก น้ำ และ ฝุ่น จะลุยแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา

สำหรับใครที่อยากได้กล้องตัวเล็ก ใช้งานง่าย น้ำหนักเบา เหมาะสำหรับการพกพา อุปกรณ์ไม่เยอะ แต่ยังสามารถถ่ายภาพ และ วิดีโอออกมาได้โปร DJI Osmo Action 2 ราคาสบายกระเป๋าเพียง 14,990 - 18,690 บาท (ราคาขึ้นอยู่กับเซต โปรโมชั่น และ ร้านค้าที่จำหน่าย)
 

สุดคุ้ม ซื้อ DJI Osmo Action 2 ที่ร้าน Aquapro !!!
สุดคุ้มซื้อ GoPro 10 โปรโมชั่น และ อุปกรณ์เสริมกับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ และ กล้องAction Camera รุ่นอื่นๆ ร้านของเรามาพร้อมกับ โปรโมชั่นสุดคุ้ม ของแถมจุกๆ พร้อมกับ โปรส่งฟรี โปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) ทำให้วางใจได้ว่าคุณจะได้สินค้าที่ดีมีคุณภาพ นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติม เคล็ดลับต่างๆที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าลืมไปติดตาม GoPro Club กันล่ะ แล้วคุณจะรู้เกี่ยวกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!!

 
ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


78


มีปัญหาผิวทำอย่างไรดี? ใครที่มักมีปัญหาผิว ผิวแห้ง ผิวลอกเป็นขุย ดูขาดน้ำ ทำให้เรามักจะเจอกับปัญหาผิวต่างๆ ได้ง่าย หากใครที่มีปัญหาผิวแล้วมีความกังวลเรื่องของผิวแห้งขาดน้ำ ResiSKIN อยากจะแนะนำให้คุณได้รู้จักว่า มอยเจอร์ไรเซอร์ คือ ผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยกู้คืนผิวแพ้ให้กลับมาดูดี และ สตรองอีกครั้ง มาทำความรู้จักดับมอยเจอร์ไรเซอร์ดีกว่าว่าจะช่วยกู้คืนผิวให้แข็งแรงได้อย่างไร!!!

ทำความรู้จัก มอยเจอร์ไรเซอร์ คือ?

รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วในร่างกายของเรามีมอยเจอร์ไรเซอร์ธรรมชาติ ซึ่งถูกสร้างอยู่ภายในผิวหนังจากต่อมไขมันของเราที่เรียกว่า "ความมัน" บนผิวนั่นเอง ในแต่ละคนก็จะมีความมันของผิวที่แตกต่างกันออกไปตามสภาพผิว มอยเจอร์ไรเซอร์จะเป็นเสมือนเกราะความชุ่มชื้น ที่ช่วยล็อคไม่ให้ผิวไม่แห้งขาดน้ำ แต่บางครั้งมอยเจอร์ไรเซอร์ในผิวก็อาจจะไม่เพียงพอ เลยทำให้เราจะต้องใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เพิ่มเติมในการช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

แต่ละสภาพผิวควรเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์แบบไหน ?

อย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่าสภาพผิวของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน นอกจากนั้นเนื้อของมอยเจอร์ไรเซอร์ที่แตกต่างกันก็จะมีระดับความหนักของการให้ความชุ่มชื้นที่ต่างกันไปอีกด้วย เราจึงต้องเลือกให้เข้ากับสภาพผิวของตัวเรา

ผิวปกติ


สำหรับใครที่มีผิวปกติ ผิวธรรมดาๆ ที่ไม่แห้ง ไม่มันจนเกินไป สามารถใช้เนื้อมอยเจอร์ไรเซอร์แบบไหนก็ได้ จะใช้แบบบางเบาที่มีเบสเป็นน้ำอย่างเนื้อเซรั่ม เนื้อโลชั่น ที่ทำให้รู้สึกสบายผิว หรือ เนื้อแบบหนักอย่างเนื้อน้ำมันที่มีความชุ่มชื้นมากๆ ก็ได้แต่ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ

ผิวมัน


หากใครที่มีผิวมันแสดงว่าคุณเป็นคนที่ผิวจะผลิตน้ำมันส่วนเกินในผิวออกมามากกว่าปกติ ใครที่เป็นคนผิวมันจะต้องเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะสม เพราะถึงแม้จะมีน้ำมันในผิวมากก็ตาม ควรจะเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ไม่หนักหน้า และ ไม่ใช่เบสที่มีความเข้มข้นของความชุ่มชื้นสูงโดยเฉพาะเนื้อน้ำมัน แต่ควรจะเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีเบสเป็นน้ำที่มีความเบาบางมากกว่า เช่น เนื้อน้ำ เนื้อเซรั่ม เนื้อเจล

ผิวแห้ง


สภาพผิวที่เหมาะสำหรับการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์มากที่สุดนั่นก็คือคนที่มีผิวแห้งนั่นเองควรจะเป็นเนื้อที่เข้มข้น เช่น เนื้อครีม เนื้อน้ำมัน เพื่อใช้สำหรับการเคลือบผิวให้เป็นเสมือนเกราะป้องกันความชื้นจากภายใน ไม่ให้น้ำในผิวระเหยออกไปอาจจะใช้เนื้อที่เน้นการเคลือบผิวอย่าง เนื้อขี้ผึ้ง หากเราเลือกใช้เนื้อหนักๆ ก็ต้องระวังเรื่องของการทาที่เยอะจนเกินไปด้วย

ผิวผสม


ใช้สกินแคร์แต่ละประเภทให้เหมาะกับผิว เนื่องจากเป็นการผสมกันระหว่างคนที่มีผิวมันบริเวณ T-zone บริเวณหน้าผาก จมูก คาง และ คนที่มีผิวแห้ง บริเวณหน้าแก้ม ผิวประเภทนี้จะทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมถึงรูขุมขนจะกว้าง ส่วนใหญ่มักจะไม่มีมอยเจอร์ไรเซอร์เฉพาะของคนที่มีผิวผสม ดังนั้นเราจะต้องเลือกใช้ให้ตรงตามจุด หากเป็นจุดที่มีผิวมันให้เลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีเนื้อเบาสบาย ไม่หนักหน้า ส่วนที่มีผิวแห้งก็ให้ใช้เนื้อที่หักขึ้นมาหน่อยอย่าง เนื้อโลชั่น เนื้อครีม

ผิวแพ้ง่าย


ส่วนคนที่มีผิวแพ้ง่าย เป็นผิวที่ต้องเลือกให้ดีเป็นพิเศษ เพราะหากเลือกไม่ดีจะทำให้เกิดปัญหาผิวได้ง่าย พยายามเลือกเนื้อที่ไม่หนักหน้า มีความบางเบา เช่น เนื้อเซรั่ม เนื้อน้ำ แต่ทางที่ดีถ้าเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์เฉพาะผิวแพ้ง่ายได้ก็จะดีมาก


 
เสริมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วยผลิตภัณฑ์ ResiSKIN


มอยเจอร์ไรเซอร์เป็นสกินแคร์ที่ช่วยในเรื่องของการเพิ่มความชุ่มชื้นในผิว และ สร้างเกราะความชุ่มชื้นเพราะล็อคน้ำในผิวไม่ให้หายไป นอกจากมอยเจอร์ไรเซอร์แล้ว เราอยากจะแนะนำผลิตภัณฑ์ของ ResiSKIN ครีมเวชสำอางที่มีส่วนผสมของ Extremolytes 7% ที่เป็นสารที่จะช่วยในการปกป้องเซลล์ให้อยู่รอดจากมลภาวะ สภาพอากาศต่างๆ ที่ไม่เป็นใจ ซึ่งสารตัวนี้จะเข้าไปช่วยเพิ่มแรงยึดเหนี่ยว การเรียงตัวของโมเลกุลน้ำที่เป็นเสมือนการสร้างเกราะความชุ่มชื้นในผิว (Hydro complex) ResiSKIN เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอม พาราเบน สารปรุงแต่งสังเคราะห์ต่างๆ มาในรูปแบบของเนื้อครีมที่บางเบาแต่ชุ่มชื้น ให้ผิวชุ่มชื้นได้ยาวนานถึง 7 วัน ซึ่งถือว่าตอบโจทย์คนผิวขาดน้ำมากๆ !!!

  • สร้างเกราะป้องกันผิวจากสภาพแวดล้อมต่างๆ แม้ในสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ช่วยให้ผิวสุขภาพดี (สามารถใช้กับผิวเด็กทารกที่ยังแข็งแรงไม่พอได้) ทำให้ผิวแข็งแรง ไม่มีผดผื่น หรือ อาการแพ้
  • ช่วยในการลดระดับความเสียหายของเซลล์ผิวจาก Visible Light , UVA และ UVB ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้แก่ผิว
  • ช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำจากมลภาวะต่างๆ โดยจะทำการลดระดับของการสร้างเม็ดสีที่สัมผัสมลภาวะลง
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวของเราชุ่มชื้นได้ยาวนานมากยิ่งขึ้นช่วยในเรื่องการลดเลือนริ้วรอย สามารถช่วยลดริ้วรอยได้แม้จะจุดที่อ่อนโยนอย่างบริเวณรอบดวงตา
  • ช่วยในการลดการอักเสบของผิวที่เกิดความเสียหายจากปัจจัยต่างๆ
  • ช่วยสำหรับคนที่มีปัญหาโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน เซ็บเดิร์ม

เอาชนะทุกปัญหาผิว อักเสบ แพ้ แห้ง แดง ผื่นคัน!!! อยากมีผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำ ผิวแข็งแรง สามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ของ ResiSKIN ได้ที่ทุกช่องทางของเราไม่ว่าจะเป็นทาง Line หรือ Facebook ซึ่งมีขนาดให้ได้เลือกถึง 2 ขนาด

  • หลอดเล็กขนาดทดลอง size 5 ml. เหมาะสำหรับคนที่อยากลอง หรือ ต้องการขนาดที่พกพาได้ง่าย พกติดกระเป๋าไปได้ทุกที่ พร้อมใช้ทุกเวลา ราคาเพียงหลอดละ 350 บาท
  • หลอดใหญ่ขนาดจุใจ size 30 ml. สำหรับใครที่อยากใช้อย่างต่อเนื่อง อยากมีผิวอิ่มน้ำยาวนาน ไม่อยากมีปัญหาผิวมารบกวนเลือกไซส์นี้เลย จุใจแน่นอน ราคาเพียงหลอดละ 1,250 บาท


 
 
 
ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
Facebook : Resiskin by Qualisk
Line : @resiskin
Shopee : ResiSKIN by QUALISK
Lazada : Qualimed


79


ใกล้ช่วงหน้าร้อนที่เป็นเทศกาลของการท่องเที่ยวแล้ว หลายคนก็เตรียมตัวเก็บกระเป๋าไปเที่ยวเพราะนานๆ จะได้เที่ยวทีก็จะต้องมองหากล้องที่เหมาะกับการนำไปใช้ถ่าย Vlog ถ่ายรูป วิดีโอต่างๆ วันนี้ทาง Aquapro เลยจะมาเปรียบเทียบกล้องทั้งสองตัวระหว่าง GoPro 10 vs DJI Action 2 ว่าตัวไหนดีกว่ากันอยากรู้ต้องห้ามพลาดไปอ่านในบทความกันเลย!!!

มาดูดีไซน์ รูปร่างของกล้องกันก่อน


GoPro 10

GoPro 10 จะมาในรูปแบบทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหน้าจอสีแบบ touchscreen ทั้งด้านหน้า และ ด้านหลัง ดีไซน์จับถนัดมือ มีปุ่มเปิดปิดอยู่ด้านบน เลนส์ Hydrophobic ที่ช่วยในการช่วยป้องกันน้ำเกาะที่หน้าเลนส์ และ ยังช่วยลดแสงแฟร์สำหรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย

DJI Action 2

DJI Action 2 มาในรูปแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส หน้าจอสีแบบ Dual Screen (หากต่อส่วนของกล้อง และ หน้าจอเข้าด้วยกัน) มีขนาดที่เล็กมากที่สุด มาพร้อมกับพอร์ตแม่เหล็กที่ใช้ในการเชื่อมต่อเข้ากับส่วนของ Power Modelu ตัวเลนส์ทำจากฟิล์ม Gorilla glass ที่มีความทนทานสูงกว่าเลนส์ปกติ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความแข็งแรง

>>อ่าน DJI Osmo Action 2 รีวิว เพิ่มเติมได้ที่นี่<<

เทียบการใช้งาน GoPro 10 vs DJI Action 2 ทำอะไรได้บ้าง ?

มาดูการใช้งานด้านต่างๆ ว่าเมื่อเทียบกันแบบช็อตต่อช็อต ตัวไหนดีกว่ากัน ระหว่าง GoPro 10 กล้องสุดเจ๋งจากค่าย GoPro กับ กล้องน้องใหม่จากค่าย DJI ว่าตัวไหนใครเจ๋งกัน!!!

แบตเตอรี่


GoPro 10 มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 1720 mAh สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 131 นาที ทำให้ใช้งานได้ยาวนานประมาณหนึ่งส่วน DJI Action 2 มาพร้อมแบตขนาด 1300 mAh หรือประมาณ 70 นาที แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ Power Modelu จะทำให้สามารถใช้งานได้เพิ่มอีก 5800 mAh ทำให้ใช้งานได้ต่อเนื่องอีกประมาณ 160 นาที

หน้าจอทัชสกรีน


GoPro 10 จอหน้ามีขนาด 1.4 นิ้ว และ จอหลังมาในขนาด 2.27 นิ้ว เป็นหน้าจอทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สามารถทัชสกรีนได้ทั้งสองหน้าจอ ทางด้าน DJI Action 2 มีหน้าจอขนาด 1.76 นิ้ว เป็นจอทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสเวลามองภาพอาจทำให้เห็นรายละเอียดที่ไม่เท่าโกโปร แต่สามารถทัชสกรีนได้ง่าย

ความละเอียดของภาพ


GoPro 10 สามารถถ่ายภาพได้ละเอียดถึง 23 MP อีกทั้งยังรองรับไฟล์ทั้งแบบ JPEG และ RAW ให้ภาพที่สามารถเก็บรายละเอียดได้ชัดเจน DJI Action 2 ทำได้แค่เพียง 12 MP เท่านั้น ซึ่งอาจจะได้ภาพที่ไม่ละเอียดเท่าโกโปร และ เก็บรายละเอียดของท้องฟ้าได้น้อยกว่า รองรับไฟล์JPEG และ RAW

ความละเอียดของวิดีโอ


GoPro 10 สามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุดถึง 5.3K 60FPS / 4K 120FPS / 2.7K & Full HD ให้ความละเอียดคมชัดสูงDJI Action 2 สามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุดที่ 4K 120FPS / 2.7K 120FPS / FullHD 120FPS ซึ่งความละเอียดสูงสุดอาจจะสู้ทางด้านโกโปรไม่ได้ แต่หากใครที่ไม่ได้เน้นว่าจะต้องความละเอียดสูงสุดเท่านั้น ความละเอียดระดับอื่นของ DJI ก็ยังถือว่าทำออกมาได้ดีพอๆ กัน แต่จะต้องทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดอยู่เสมอ

การกันสั่น


GoPro 10 ขึ้นชื่อเรื่องการกันสั่นเพราะมากับ HyperSmooth 4.0 ที่ทำให้เมื่อถ่ายวิดีโอออกมามีความสมูทมากกว่าตัว DJI ส่วน DJI Action 2 เป็นกันสั่นแบบ RockSteady 2.0 หากเทียบการกันสั่นกับโกโปรอาจจะทำได้ไม่เท่า แต่ถ้าใช้ร่วมกับ HorizonSteady ที่ช่วยป้องกันการเอียงของกล้องสามารถทำได้ดีกว่าของโกโปรมาก

Slow motion


ในส่วนของการใช้งานอื่นๆ อย่างโหมดSlow motion ทั้งสองรุ่นทำได้เท่ากัน โดยสามารถถ่ายได้สโลวถึง 8 เท่าเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันที่ความละเอียดของภาพที่ได้ ทางด้าน DJI Action 2 สามารถสโลวได้ถึง 8X 240FPS ที่ความละเอียด 4K GoPro 10 สามารถสโลได้ 8X 240FPS เหมือนกันแต่ให้ความละเอียดที่ 2.7K ซึ่งน้อยกว่าตัว DJI

Live Stream

GoPro 10 สามารถไลฟ์ได้แบบ 1080p Full HD นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมต่อได้รวดเร็วอีกด้วย DJI ทำได้แค่เพียง 720p Full HD ซึ่งจะน้อยกว่าทางโกโปร และ ทางโกโปรให้ความคมชัดที่มากกว่า แถมยังสามารถเชื่อมต่อได้หลายทาง ทั้งแอปพลิเคชั่น และ โซเชียลมีเดียต่างๆ

ฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่คล้ายกัน

ในส่วนของ การกันน้ำ ทั้ง2รุ่นสามารถดำน้ำได้ถึง 10 เมตรเหมือนกัน ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ ก็จะมีความคล้ายกัน ไม่ได้แตกต่างกันมาก เช่น โหมด Timelapse - TimeWarp DJI สามารถถ่ายได้ความละเอียดสูงสุด 4K ส่วน GoPro 10 ก็มาพร้อมกับ TimeWarp 3.0 ที่ช่วยให้การถ่ายดีมากยิ่งขึ้น
 
พอมาถึงตรงนี้แล้วเป็นยังไงบ้างคะ ชอบรุ่นไหนกัน? หากว่าคุณเป็นคนที่ชอบกล้องที่ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงๆ ได้ เน้นการถ่ายกลางคืน นอกสถานที่ GoPro 10 ถือว่าตอบโจทย์เรื่องนั้น ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น ไม้เซลฟี่ ไฟเสริม ติดหมวก ติดจักรยานก็ต้องโกโปรเลย เน้นเดินถ่าย Vlog และ เสียง DJI Action 2 ก็ถือว่าเหมาะมากกับคุณ!!!
 
คุ้มไม่ไหวซื้อ GoPro 10 และ DJI กับเรา!!!
สุดคุ้มซื้อ GoPro 10 โปรโมชั่น และ อุปกรณ์เสริมกับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ และ กล้องAction Camera รุ่นอื่นๆ ร้านของเรามาพร้อมกับ โปรโมชั่นสุดคุ้ม ของแถมจุกๆ พร้อมกับ โปรส่งฟรี โปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) ทำให้วางใจได้ว่าคุณจะได้สินค้าที่ดีมีคุณภาพ นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติม เคล็ดลับต่างๆที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าลืมไปติดตาม GoPro Club กันล่ะ แล้วคุณจะรู้เกี่ยวกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!!


 
ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


80


Saramonic blink 500 ไมค์ไร้สายสำหรับถ่าย Vlog ที่หลายคนเลือกใช้ ส่วนตัว Saramonic blink 500 Pro ก็มาพร้อมหน้าจอแสดงผลที่ไม่มีในรุ่นโปร แถมยังสามารถส่งสัญญาณได้ไกล Saramonic blink 500 กับ Pro ไมค์ไร้สายรุ่นปกติ หรือ รุ่นโปรแตกต่างกันอย่างไร รุ่นใหม่มีการอัปเดตอะไรบ้าง ใครที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะซื้อรุ่นไหน วันนี้ Aquapro เลยจะมาแนะนำว่าตัวไหนเหมาะกับใคร ซื้อรุ่นธรรมดาดีไหม หรือ อัปไปรุ่นโปรเลยดีกว่า อยากรู้ไปอ่านบทความเลย!!!
 
เทียบกัน Saramonic blink 500 กับ Pro รุ่นไหนมีอะไรดี

รูปร่างของไมค์


  • Saramonic blink 500 ไมค์จะมีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขอบมน ตัวเครื่องจะมีปุ่มกลมๆ อยู่ตรงกลางซึ่งจะใช้ในการเปิด-ปิด และ มีไฟที่ใช้ในการบอกสถานะการทำงาน มีตัวหนีบอยู่ที่ด้านหลังไมค์ใช้สำหรับหนีบเข้ากับเสื้อผ้า รูปทรงของตัวรับจะคล้ายกับตัวส่งแต่จะมีขนาดที่ผอมมากกว่า ส่วนปุ่มของตัวรับจะมีสีแดง และ ไม่มีไฟแสดงสถานะไฟแบบตัวส่ง
  • Saramonic blink 500 Pro จะมีรูปทรงที่คล้ายกันมากเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขอบมน มาพร้อมหน้าจอแสดงผลที่ใช้ในการบอกสถานะแบบ OLED ใช้บอกการทำงานต่างๆ แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ และ เคสชาร์จ


  • Saramonic blink 500 สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ต่อเนื่องถึง 5 ชั่วโมง และ ชาร์จแบตเตอรี่ได้ผ่านสาย USB-C
  • Saramonic blink 500 Pro แบตจะมีความอึดมากยิ่งขึ้น สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 8 ชั่วโมง มาพร้อมเคสชาร์จความจุถึง 2000 mAh ส่วนข้างกล่องชาร์จก็จะมีไฟแสดงสถานะของแบตเตอรี่เคส รวมทั้งปุ่ม Pair ที่ทำให้สามารถจับคู่ตัวส่ง และ ตัวรับได้ง่ายมากขึ้น

 
สเปคของไมโครโฟน

สัญญาณ


  • Saramonic blink 500 ใช้ความถี่ของสัญญาณที่ 2.4 GHz และ มีความถี่เสียงอยู่ที่ 50 Hz - 18 KHz ส่งสัญญาณได้ในระยะ 50 เมตร
  • Saramonic blink 500 Pro จะใช้ความถี่ของสัญญาณ และ ความถี่เสียงเหมือนกันกับรุ่นปกติ แต่รุ่นนี้สามารถส่งสัญญาณได้ถึง 100 เมตร

คุณภาพของเสียง


  • Saramonic blink 500 สามารถเก็บรายละเอียดของเสียงได้ครบ ตัดเสียงรบกวนได้ดี เพราะตัวไมค์เป็นแบบคอนเดนเซอร์ ที่รับเสียงได้หลายทิศทาง สามารถปรับระดับของเสียงที่ตัวไมค์ได้ 3 ระดับ
  • Saramonic blink 500 Pro จะมีรูปแบบของเสียงที่ต่างกัน เพราะสามารถเลือกได้ถึง 2 แบบ ทั้ง Mono และ Stereo สามารถทำการปรับระดับเสียงได้ถึง 6 ระดับเลยทีเดียว


รุ่นไหนเหมาะกับใคร?

  • หากคุณเป็นคนที่ชอบการใช้งานที่ง่าย ขอแนะนำรุ่น Saramonic blink 500 Pro เลย เพราะมาพร้อมจอแสดงสถานะการใช้งาน อีกทั้งในเรื่องของเสียง ระยะการรับสัญญาณก็ดีกว่า มาพร้อมเคสชาร์จที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ทันทีก็ทำให้ใช้งานได้ต่อเนื่องมากกว่า
  • แต่ถ้าใครไม่ได้เน้นว่าต้องดูสถานะของเสียง หรือ เน้นแค่ใช้สำหรับถ่ายรีวิว ถ่ายไลฟ์ ถ่ายสตรีม ถ่าย Vlog  หรือ ถ่ายสัมภาษณ์หลายๆ คน รุ่นSaramonic blink 500 ก็ยังถือว่าตอบโจทย์การใช้งานได้อยู่ แต่ถ้าใครที่มีงบประมาณก็แนะนำให้ทำการอัปไปรุ่นโปรเลยจะดีกว่า!!!


 
เลือกซื้อ Saramonic Blink 500 และ Pro อุปกรณ์เสริมที่Aquapro

คุ้มสุดซื้อ ไมค์Saramonic blink 500 Pro รวมทั้งกล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมอื่นๆ กับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ที่มาพร้อมกับ GoPro 10 โปรโมชั่น สุดคุ้ม ของแถมจุกๆ โปรส่งฟรี พร้อมโปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติมที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!! ติดตามได้ตาม link ด้านล่างเลย



ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


81


ที่ไหนมีไม้ที่นั่นย่อมมีแมลงศัตรูไม้ เจ้าตัวอันตรายที่จะคอยกัดกินไม้ของเรา!!! ขี้เลื่อย เศษไม้ต่างๆ และ ไม้ที่ชื้น ที่ทำให้ไม้เปื่อย ไม้พวกนี้ล้วนเป็นของชอบของปลวกทั้งสิ้น แล้วจะทำอย่างไรให้ปลวกไม่ขึ้นไม้ ไม้เบญจพรรณ ปลวกกินไหม พร้อมวิธีดูแลไม้จากปลวก และ แมลงศัตรูพืชที่ MTK เอามาฝาก อย่ารอช้าไปอ่านกันเลย!!!
 
ไม้เบญจพรรณ ปลวกกินไหม?


ปลวกจะค่อนข้างชอบไม้เนื้ออ่อนเป็นพิเศษ เพราะปลวกจะกิน Cellulose ส่วนไม้เนื้อแข็งอย่างไม้เบญจพรรณมักจะไม่ค่อยโดนปลวกกินมากนัก เนื่องจากไม้มีความแข็งมาก จะใช้ระยะเวลาในการย่อยสลายไม้จะใช้เวลาที่นานกว่าการกินไม้เนื้ออ่อน
 
โครงสร้างไม้เบญจพรรณเป็นแบบไหน?


ไม้เบญจพรรณเป็นไม้ที่มีลักษณะของการผสมระหว่างไม้เนื้ออ่อน และ ไม้เนื้อแข็งมีความแข็งแรง ทนทานค่อนข้างสูงโครงสร้างหลักของไม้เบญจพรรณจะมีลักษณะเป็นไม้ที่เนื้อแน่น มีความแข็ง และ มีความเหนียวไปในตัว

  • มีน้ำหนักพอประมาณ ไม่หนัก และ ไม่เบาจนเกินไป
  • มีการหด และ พองตัว เมื่อไม้ได้รับความชื้นพอประมาณ เมื่อโดนความชื้นไม้จะพองขึ้น โก่งขึ้นแต่ก็ไม่มากจนเปลี่ยนรูป
  • ความแข็งแรงค่อนข้างมาก สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี และ ทนทานต่อแรงภายนอกทั้ง แรงดึง แรงบีบ และ แรงเชือด
  • มีทนทานสูง ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ แมลง ความชื้น

โครงสร้างไม้เบญจพรรณปลวกกินไหม? - ปลวกจะไม่ชอบเท่าไหร่นัก เพราะว่าไม้ค่อนข้างแข็ง อีกทั้งไม้เบญจพรรณยังมีการหดตัว พองตัวของไม้ที่ค่อนข้างดีทำให้ดูดซับความชื้น และ ระบายได้ดี ทำให้ไม้ไม่ค่อยเหลือความชื้นมากนัก

วิธีการดูแลรักษาไม้เบญจพรรณจากปลวก


อย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่าจะต้องหาวิธีในการป้องกันไม้จากปลวก โดยวิธีที่เราจะมาแนะนำนั่นก็คือ อัดน้ำยา และ อบไม้ ซึ่งเป็นกระบวนการในการแปรรูปไม้ให้มีอายุการใช้งานมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยในการป้องกันไม้จากปลวก เชื้อรา เป็นกระบวนการที่จะทำการอัดน้ำยาประเภทโบรอน เข้าไปในเนื้อไม้ จากนั้นจะนำไม้ที่อัดน้ำยาแล้วไปอบ เพื่อทำการไล่ความชื้นออกด้วยเครื่องอบไอน้ำ เพื่อรักษาสมดุลความชื้นในไม้ ทำให้ไม้มีสีที่สดนาน และ มีคุณภาพในการป้องกันปลวก แมลงต่างๆ
 
"วิธีนี้ไม่ได้ป้องกันแค่ปลวกท่านั้น แต่ยังช่วยในการป้องกันความชื้น เชื้อรา แมลงศัตรูพืชต่างๆ และ ยังช่วยในการยืดอายุให้ไม้อยู่ได้ยาวนานขึ้น มีสีสดตลอดอายุที่น้ำยายังทำงานอยู่"

นอกจากนั้นยังมีวิธีการเสริมอื่นๆ ที่ช่วยป้องกันปลวกได้ง่ายๆ
  • คอยตรวจสอบช่องว่าง รอยแตกตามบ้าน ปลวกไม่ใช่อยู่ๆ จะเข้ามาในบ้านเราได้เลย แต่จะเข้ามาตามช่องเล็กๆ และ รอยแตกต่างๆ ของบ้านตามพวกคอนกรีต
  • อย่าทำให้บ้านชื้นแฉะ หมั่นเปิดบ้านรับแสง เพราะปลวกจะชื่นชอบความมืด บริเวณที่ชื้น ยิ่งถ้าเรามีวัสดุที่ทำจากไม้มากเท่าไหร่จึงควรเปิดบ้านให้แดดเข้ามา
  • ใช้สมุนไพรธรรมชาติกำจัดปลวก อาจจะเอาพวกสมุนไพรอย่างข่า ตะไคร้มาบดให้ละเอียดแล้วผสมน้ำ + น้ำส้มสายชูฉีดไปบริเวณที่มีปลวก
  • ฉีดยากำจัดปลวกภายในบ้าน วิธีฉีดยากำจัดปลวก ใช้เพื่อทำลายรังของปลวกให้หมดไป ระหว่างฉีดควรใส่อุปกรณ์ป้องกันอย่างหน้ากาก หรือ ถุงมือ เพื่อความปลอดภัยเนื่องจากน้ำยากำจัดปลวกเป็นสารเคมีนั่นเอง

 
 
ไม้ที่ MTK WOOD ผ่านกระบวนการแปรรูปที่ดี
เพราะเราต้องการผลิตไม้ที่ดีมีคุณภาพ เราเลยมุ่งเน้นในการคัดสรร ตลอดจนการผลิตด้วยเครื่องมือคุณภาพ และ กระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ ทำให้มั่นใจได้ว่าไม้ของเราจะมีความแข็งแรง ทนทาน และ เหมาะในการนำไปใช้งานอย่างแน่นอน!!!

  • ไม้พาเลทดีมีคุณภาพ ซึ่งโรงไม้ของเราผ่านการรับรองมาตรฐาน IPPC จากกรมวิชาการเกษตรแล้วเรียบร้อย ทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะได้ไม้ดี มีมาตรฐานอย่างแน่นอน
  • ไม้พาเลทตามสเปค ทางโรงงานใช้เครื่องจักรคุณภาพไม่ว่าจะเป็น เครื่องเลื่อยสายพาน , เครื่องไสเรียบ 4 หน้า , เครื่องอัดน้ำยา และ เครื่องอบไอน้ำ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้ไม้ยางพาราที่ได้มาตรฐานอย่างแน่นอน
  • แปรรูปได้หลายรูปแบบ โรงงานของเรามีบริการอย่างครบวงจรตั้งแต่ รับผลิตและจำหน่ายไม้ยางพาราแปรรูป , บริการรับเลื่อย-ไสไม้ ตัดแต่งไม้ , บริการอัดน้ำยา-อบไม้ จนถึงบริการขนส่งไม้ทั่วประเทศไทยด้วยรถเทเลอร์ รถบรรทุก ที่พร้อมให้บริการกว่า 20 คัน
  • ไม้พาเลทส่งตรงถึงบ้าน โรงงานของเรามีหน้าโรงงานจริงอยู่ที่ จังหวัดระยอง ที่เปิดให้บริการมากกว่า 25 ปี และ ยังมีบริการขนส่งที่ให้บริการทั่วไทย


 
สนใจสั่งซื้อ และ ดูข้อมูลเพิ่มเติม MTK ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :   @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com





82


มอยเจอร์ไรเซอร์ เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการบำรุงผิวที่ใครหลายคนเลือกใช้ ใครที่ผิวแห้งขาดน้ำมอยเจอร์ไรเซอร์นับว่าเป็นอีกตัวเลือกที่ดีในการกู้คืนผิว ก็ยังมีบางคนที่ไม่รู้ว่า มอยเจอร์ไรเซอร์ ทาตอนไหน คิดจะทาก็ทาเลยทำให้ผลที่ต้องได้ไม่ดีเท่าที่ควร ResiSKIN จะมาแนะนำการทาที่ถูกต้องแบบ STEP BY STEP ไม่อยากพลาดก็ไปอ่านบทความกันเลย!!!

เลือกสกินแคร์ให้ตรงกับสภาพผิว


สภาพผิวแต่ละประเภทก็มีผลต่อการใช้ครีม วิธีการเช็คง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่รู้ให้ทำการล้างหน้า และ ซับหน้าให้แห้งแล้วทิ้งไว้เป็นเวลาประมาณ 10 - 30 นาที

  • ผิวปกติ (Normal Skin) ใครที่ซับหน้าแล้วสภาพผิวปกติจะเป็นผิวที่ไม่มันจนเกินไป และ ไม่แห้งจนเกินไป เป็นผิวที่มักจะไม่ค่อยมีปัญหาผิวมากนัก สามารถใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อแบบไหนก็ได้ เช่น เนื้อครีม หรือ เนื้อโลชั่น
  • ผิวมัน (Oily Skin) ส่วนใครที่หน้าเริ่มมีความมันขึ้นมาแสดงว่าคุณเป็นคนผิวมัน มักจะเกิดสิวได้ง่ายเหมาะกับมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เป็น เนื้อเจล น้ำ หรือ เซรั่ม เพราะเนื้อบางเบาไม่หนัก และ ไม่ทำให้เกิดการอุดตัน
  • ผิวแห้ง (Dry Skin) หากใครที่หลังล้างหน้า ผิวมีความตึงๆ ดูแห้ง ผิวดูหมองคล้ำ มักจะเจอกับปัญหาริ้วรอยได้ง่าย แนะนำให้ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ในรูปแบบ เนื้อครีม สีผึ้ง หรือ เนื้อน้ำมัน ที่มีเนื้อสัมผัสเข้มข้น ซึ่งจะช่วยในการทำให้ผิวกลับมาอิ่มน้ำ
  • ผิวผสม (Combination Skin) หากใครที่ผิวมันเฉพาะในช่วง T-zone (หน้าผาก จมูก คาง) และ ในส่วนอื่นๆ ผิวปกติไปจนถึงมีผิวแห้ง คนที่มีผิวผสมควรจะใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับบริเวณที่ต่างกัน ใครที่ไม่อยากใช้หลายตัวก็อาจจะเลือกที่เป็น เนื้อเจล ที่บางเบาแต่เข้มข้นก็ได้
  • ผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin) สำหรับใครที่ล้างหน้าแล้ว รู้สึกตึงๆ ผิวเริ่มแดงๆ แสบ หรือ คันหน้า แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีผิวแพ้ง่าย ควรจะ เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา ที่ไม่หนักหน้า และ ปราศจากสารปรุงแต่ง หรือ เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ

>>สามารถอ่าน Checklist เลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับผิว ได้ที่นี่<<

วิธีการใช้ มอยเจอร์ไรเซอร์ ทาตอนไหน ให้ได้ผลดี ?

มอยเจอร์ไรเซอร์ใช้ทาตอนไหน ?

การทามอยเจอร์ไรเซอร์สามารถใช้ทาได้ทั้งใน ตอนเช้า และ ก่อนนอน สามารถลงได้หลังล้างหน้าภายใน 3 นาที เพราะผิวยังคงมีน้ำหลงเหลืออยู่ ทำให้เมื่อทาลงไปเนื้อสกินแคร์จะซึมลงผิวได้ไม่ดี เฉพาะฉะนั้นในช่วง 3 นาทีหลังล้างหน้าดีที่สุด!!!

ทามอยเจอร์ไรเซอร์อย่างไรให้ได้ผล ?


การจะใช้มอยเจอร์ไรเซอร์จะลงมาก หรือ ลงน้อยขึ้นอยู่กับว่าเนื้อสัมผัสของมอยเจอร์ไรเซอร์เป็นแบบไหน หากเรารู้สึกว่าหน้ายังแห้งๆ อยู่ก็ให้ลงเพิ่มได้ (ลงน้อยยังเพิ่มได้แต่ลงมากเกินไปมีแต่ต้องเช็ดออกนะคะ)
  • STEP 1 - การลงสกินแคร์ให้ใช้นิ้วกลาง หรือ นิ้วนางในการทา เพราะว่าเป็นนิ้วที่มีแรงกดพอดี เมื่อทาลงผิว ผิวจะมีการเสียดสีได้น้อย ทำให้ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ หรือ ช้ำบริเวณผิว
  • STEP 2 - ทาผลิตภัณฑ์ ResiSKIN จากด้านบนลงล่าง และ ใช้นิ้วเกลี่ยให้ทั่วใบหน้าจนถึงลำคอ (ไม่ควรทาเป็นวงกลมเพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยได้)

หากใช้สกินแคร์หลายตัวต้องลงมอยเจอร์ไรเซอร์ตอนไหน ?

สำหรับใครที่มีสกินแคร์ที่ใช้บำรุงผิวอยู่หลายตัว จะต้องลงจากเนื้อบาง (เซรั่ม/น้ำ/เจล) ไปจบที่เนื้อหนัก (ครีม/น้ำมัน) โดยในแต่ละชั้นที่ลงสกินแคร์ไม่ควรลงให้มากเกินไป อีกทั้งสกินแคร์บางตัวเมื่อทาเยอะไปอาจจะขัดขวางการทำงานของอีกตัวได้  หากทามากเกินไปอาจทำให้หน้ามันวาวเกินไปได้ อย่างผลิตภัณฑ์ของ ResiSKIN ครีมเวชสำอางที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำยาวนานถึง 7 วัน

ลำดับการลงสกินแคร์อื่นๆ ร่วมกับการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้ได้ผล

  • เช็ดหน้าให้สะอาดด้วยคลีนเซอร์ หรือ รีมูฟเวอร์ ก่อนที่จะไปล้างหน้า เพื่อเอาสิ่งสกปรกที่อุดตันออกก่อน และ ช่วยในการลบเครื่องสำอางที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิว และ ปัญหาผิวอื่นๆได้ดี
  • หลังล้างหน้า และ เช็ดหน้าให้เรียบร้อย ให้เช็ดด้วยโทนเนอร์ซึ่งจะช่วยในการปรับรูขุมขนที่เปิดจากการล้างหน้าให้เล็กลง และ เป็นการช่วยทำความสะอาดผิวอีกครั้งก่อนที่เราจะลงสกินแคร์ตัวอื่นๆ
  • ลงอายครีม หรือ พวกเซรั่มใต้ตา หากใครที่ไม่มีก็สามารถใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แทนได้
  • ทาครีมแต้มสิว หรือ ครีมลดริ้วรอย ใครที่ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ก็สามารถข้ามไปขั้นตอนถัดไปได้
  • ลงสกินแคร์บำรุงต่างๆ โดยให้ลงตามเนื้อสัมผัสของสกินแคร์จากบางเบาไปจนถึงเนื้อสกินแคร์ที่หนัก

ลำดับการทาเนื้อสกินแคร์ มอยเจอร์ไรเซอร์ (เริ่มจากเนื้อเบาบาง > เนื้อหนัก แล้วตามด้วยเนื้อน้ำมัน)

  • เนื้อน้ำ (น้ำตบ / เอสเซนส์)
  • เนื้อเซรั่ม / เนื้อเจล
  • เนื้อโลชั่น
  • เนื้อครีม
  • เนื้อบาล์ม
  • เนื้อน้ำมัน

เคล็ดลับเพิ่มเติมในการดูแลผิว

ก่อนที่เราจะใช้สกินแคร์ควรจะทำการเทสผลิตภัณฑ์ก่อนใช้ว่าเราแพ้หรือไม่ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีการปรุงแต่งสี แต่งกลิ่นต่างๆ และ ไม่ควรเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บ่อยจนเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวอ่อนแอลง เพราะอาจจะทำให้เกิดการแพ้ได้

ResiSKIN ผลิตภัณฑ์สำหรับคนที่มีปัญหาผิว!!!


ครีมเวชสำอางของ ResiSKIN มาพร้อมกับส่วนผสมของ Extremolytes 7% ที่ช่วยในการฟื้นฟูผิวให้กับมาดูดี และ สตรอง ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้กลับมาแข็งแรง สร้างเกราะความชุ่มชื้น (Hydro complex) ในชั้นผิว เพื่อลดอาการอักเสบ ระคายเคือง ทำให้ผิวของเราชุ่มชื้นได้ยาวนานมากยิ่งขึ้นถึง 7 วัน ช่วยปกป้องผิวจากทุกสภาวะทำให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้งแตก และ ยังช่วยในการลดการอักเสบของผิวที่เกิดความเสียหายจากปัจจัยต่างๆ อ่อนโยนต่อผิว เพราะไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอม พาราเบน สารปรุงแต่งสังเคราะห์ต่างๆ

เป็นผลิตภัณฑ์ที่เนื้อครีมซึมเข้าผิวได้ง่าย ไม่เหนอะหนะ ใช้งานได้ง่ายจะตอนเช้า หรือ ก่อนนอนก็ไม่เป็นปัญหา!!!

  • สร้างเกราะป้องกันผิวจากสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจทำให้ผิวสุขภาพดี
  • ช่วยในการลดระดับความเสียหายของเซลล์ผิว
  • ช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำจากมลภาวะต่างๆ
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวยาวนานถึง 7 วัน
  • ช่วยในเรื่องการลดเลือนริ้วรอย สามารถช่วยลดริ้วรอยได้แม้จะจุดที่อ่อนโยนอย่างบริเวณรอบดวงตา
  • ช่วยในการลดการอักเสบของผิวจากปัจจัยต่างๆ
  • ช่วยสำหรับคนที่มีปัญหาโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
  • ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของปัญหาผิวต่างๆ

ResiSKIN เสมือนกับเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ไปในตัว ช่วยทั้งเพิ่มความชุ่มชื้น เสริมเกราะป้องกันผิว ช่วยลดการอักเสบ ช่วยแก้ให้ปัญหาผิว และ ป้องกันกลับมาเป็นซ้ำของผิว ใครที่ลงสกินแคร์ไปแล้วไม่ได้ผล ลองลงตามขั้นตอน และ สเต็ปที่เราแนะนำไปเพียงเท่านี้ผลของสกินแคร์ที่ใช้ก็จะได้ผลมากยิ่งขึ้น!!!

อย่าให้ปัญหาผิวมากวนใจ ผิวสตรองขึ้นได้ด้วยResiSKIN

 
ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
Facebook : Resiskin by Qualisk
Line : @resiskin
Shopee : ResiSKIN by QUALISK
Lazada : Qualimed


83


หลายคนคงสงสัยว่าสร้างบ้านให้ติดต่อผู้รับเหมาแล้ว ผู้รับเหมา คือ ใคร??? ทำไมเราต้องติดต่อ เราสร้างเองไม่ได้หรอ วันนี้ทาง V.K.B จะพาคุณมารู้จักกับผู้รับเหมามีกี่ประเภทกันแน่ อยากสร้างบ้านถูกใช้ผู้รับเหมาแบบไหน อยากได้โรงงานที่ดี ถ้าอยากรู้แล้วไปอ่านในบทความกันเลย!!!
 
ผู้รับเหมา คือ ใครกัน?


ผู้รับเหมา เป็นคนที่รับจ้างก่อสร้างบ้าน อาคาร และ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ โดยจะคิดเป็นราคาเหมา ทำให้สะดวกต่อผู้ว่าจ้าง ซึ่งผู้รับเหมาก็จะมีอยู่ 2 ประเภท
1.ผู้รับเหมารูปแบบนิติบุคคล - ผู้รับเหมาประเภทนี้จะมีความน่าเชื่อถือสูงในการรับงาน และ ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทตามกฎหมาย
  • ผู้รับเหมาแบบครบวงจร ให้บริการตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง ตลอดจนบริการหลังการขายอื่นๆ
  • ผู้รับเหมาแบบไม่ครบวงจร ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่งานก่อสร้างที่มีการออกแบบมาแล้ว ผู้รับเหมาลักษณะนี้จะสามารถรับงานแค่ในส่วนของ งานก่อสร้าง ตามแบบแปลน

2.ผู้รับเหมาแบบรายย่อย ส่วนใหญ่เป็นผู้รับเหมาลักษณะนี้จะเป็นทีมช่างสำหรับการสร้างบ้าน และ จะไม่มีการจดทะเบียนบริษัทเหมือนผู้รับเหมาในรูปแบบบริษัท

ขอบเขตและหน้าที่ของผู้รับเหมา

ผู้รับเหมารูปแบบบริษัท / นิติบุคคล


ผู้รับเหมาในรูปแบบบริษัทจะเป็นผู้รับเหมาที่อยู่ในรูปของนิติบุคคล เป็นผู้รับเหมาที่ให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การออกแบบ งานก่อสร้าง ทั้งงาน

  • ระบบ M&E (Mechanical and Electrical engineering) ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้า , ระบบดับเพลิง , ระบบปรับอากาศ , ระบบสุขาภิบาล
  • ส่วนของงานโครงสร้างอาคาร โครงสร้างบ้าน เช่น งานก่อสร้างที่เกี่ยวกับรากฐาน , เสา , คาน , พื้น , โครงหลังคา
  • ส่วนของงานสถาปัตยกรรมภายนอก และ ภายใน

ผู้รับเหมารูปแบบนิติบุคคลที่รับงานก่อสร้างเฉพาะด้าน* หรือ เฉพาะบางหมวดงาน เช่น รับเฉพาะงานโครงสร้างอาคาร รับเฉพาะงานระบบไฟฟ้า-ประปา (คำว่าเฉพาะด้านในที่นี้หมายถึงเลือกรับงานในหมวดงานใดหมวดหนึ่ง ไม่ได้รับงานครบวงจร ก่อนที่จะเลือกบริษัทรับเหมาควรจะทำการติดต่อสอบถามให้ดีก่อนว่ามีบริการในด้านใดบ้าง ไม่มีบริการด้านใดบ้าง สำหรับรูปแบบงานที่เฉพาะ หรือ มีความซับซ้อนในการก่อสร้าง ผู้ว่าจ้างสามารถขอดู Profile ผลงานต่างๆ ก่อนว่ามีประสบการณ์ในการก่อสร้างรูปแบบที่เราต้องการไหม
ขอบเขต - รูปแบบบริษัทจะเน้นการดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญาจ้าง ในบางกรณีที่ผู้ว่าจ้างให้ความสำคัญกับความปลอดภัยขณะดำเนินงาน
 
ผู้รับเหมาแบบรายย่อย


ผู้รับเหมากลุ่มนี้จะไม่เน้นงานที่ต้องใช้สเกลใหญ่มากนัก ไม่สามารถรับงานที่สเกลใหญ่ได้ เพราะไม่ได้ทำการจดทะเบียนเป็นบริษัท ส่วนใหญ่จะเป็นงานหมวดย่อยๆ

  • งานโครงสร้าง ส่วนใหญ่จะเป็นงานผูกเหล็ก เทปูน เชื่อมเหล็ก ปรับระดับพื้น ซึ่งจะเกี่ยวกับโครงสร้างอาคารต่างๆ
  • งานประปา เดินท่อน้ำดี ท่อน้ำเสีย ติดตั้งแท็งก์น้ำ ติดตั้งสปริงเกอร์ดับเพลิง เป็นต้น
  • งานสถาปัตย์ เช่น งานปูกระเบื้อง งานติดตั้งประตู หน้าต่าง

ขอบเขต - ส่วนใหญ่จะเน้นงานก่อสร้างบ้าน งานรูปแบบเฉพาะที่ต้องอาศัยความชำนาญ การเก็บรายละเอียดเล็กๆ มักจะไม่ค่อยมีบริการที่ครบวงจรมากนัก จะเน้นไปที่การก่อสร้างเป็นหลัก
 
ข้อดีของการเลือกใช้ผู้รับเหมาที่ดี


  • สามารถควบคุมงบประมาณที่ต้องใช้ในการก่อสร้าง และ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้อยู่ในงบประมาณที่เหมาะสม อีกทั้งยังช่วยในการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอื่นๆ
  • ราคาค่าใช้จ่ายเป็นราคาที่เหมาะสม ไม่สูงไป เนื่องจากเป็นราคาที่ถูกคิดเหมา หากเป็นโครงการใหญ่ราคาทั้งหมดจะถูกคิดรวมในราคาที่เหมาะสม
  • สามารถปรับแก้ไขได้เมื่องานเกิดความผิดพลาด ส่วนใหญ่จะมีการรับประกันงานเกิดขึ้น (ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสัญญาข้อตกลง)
  • บ้าน โรงงาน และ สิ่งปลูกสร้างเสร็จไวตรงตามกำหนด เนื่องจากจะมีการทำข้อตกลง และ เซ็นสัญญาทำให้สามารถกำหนดวันที่งานจะเสร็จได้

ถ้าหากคุณเลือกผู้รับเหมาที่ดีก็จะยิ่งทำให้คุณได้งานที่มีประสิทธิภาพที่มากยิ่งขึ้นไปอีก ใครที่คิดจะสร้างบ้าน สร้างโรงงาน ผู้รับเหมารูปแบบบริษัทนับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าจะต้องโจทย์คุณได้ดีเลยทีเดียว


 
V.K.B บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี!!!
V.K.B ใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง วางแผน การออกแบบ ตลอดจนการดูแลจนจบโครงการก่อสร้าง ทำให้จะต้องเลือกผู้รับเหมาที่มีความชำนาญ V.K.B contracting เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ด้วยทีมที่เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ ที่พร้อมให้บริการออกแบบ ก่อสร้าง และ ให้คำแนะนำด้านการก่อสร้างทุกรูปแบบ ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานเราจะบริการอย่างเต็มที่ และ เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ

  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ
    สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
    Facebook : VKB Contracting
    Line : @vkbth
    Tel : 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
    Email : vkb.cont@gmail.com


    [/list]

    84


    ใครที่ต้องการคุณภาพของภาพ วิดีโอที่ดี แต่ไม่ต้องการถือกล้องตัวใหญ่หนักๆ ที่ทำให้เป็นภาวะเวลาใช้งาน วันนี้ทาง Aquapro จะมาเปรียบเทียบกล้อง Action camera ตัวฮิตจาก 2 แบรนด์ที่เรียกได้ว่าโหดทั้งคู่นั่นก็คือ GoPro 10 vs DJI Pocket 2 ใครอยากรู้ว่ากล้องตัวไหนดีอย่างไร ทำไมถึงเป็นที่นิยมสำหรับคนเล่นกล้องไปอ่านกันเลย!!!

    เทียบกันไปเลย GoPro 10 vs DJI Pocket 2 ตัวไหนใครเจ๋ง!!!

    กล้อง Action camera กล้องของคนยุคใหม่ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ โดยเฉพาะวิดีโอ Vlog มาดูกันดีกว่าว่ากล้องที่เราเอามาเปรียบเทียบกันในวันนี้ระหว่าง 2 แบรนด์ใหญ่อย่าง GoPro และ DJI ตัวไหนเด่นเรื่องอะไรบ้าง!!!

    ดีไซน์ของตัวกล้อง


    GoPro 10 มาในรูปแบบของกล้องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขอบมน มาพร้อมหน้าจอแสดงผล 2 ด้าน มีขนาดกะทัดรัด 70 x 55 x 30 mm น้ำหนักเพียงแค่ 158g เท่านั้น มาพร้อมไมค์ในตัวถึง 3 ดีไซน์รูปทรงทำให้สามารถติดเข้ากับอุปกรณ์ได้หลากหลาย DJI Pocket 2 ในส่วนของรูปร่างอาจจะแตกต่างจากกล้อง Action camera ทั่วไป เพราะมาในรูปแบบของกล้องที่มีลักษณะเป็นแท่งยาว หน้าจอแสดงผล และ Joystick รูปทรงของ DJI สามารถถือได้ง่ายกว่า และ มีน้ำหนักที่เบากว่า ทำให้เวลาที่ถือถ่ายมีความมั่นคง และ สามารถติดเข้ากับอุปกรณ์อื่นๆ ได้

    เลนส์ และ มุมมองภาพ


    GoPro 10 จะเป็นเลนส์ Hydrophobic ที่จะช่วยในเรื่องของการลดแสงแฟร์ เลนส์สามารถปรับมุมมองได้หลากหลายมากกว่า ให้มุมมองภาพที่มากถึง 4 ระยะ ได้แก่ Narrow , Linear , Wide และ Superview ส่วน DJI Pocket 2 มีระยะเลนส์แค่ระยะเดียวนั่นก็คือ เลนส์ระยะ 20 mm ซึ่งเป็นระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกล นอกจากนั้นยังมีเลนส์ Wide angle ขนาด 15 mmในส่วนของตัวเลนส์ที่เป็น Gimba ที่ถ่ายมุมมองแบบพาราโนมาได้ดี

    ความละเอียดของภาพ และ วิดีโอ


    GoPro 10 สามารถถ่ายภาพได้ละเอียดสูงสุดถึง 20 MP และ สามารถถ่ายวิดีโอได้คมชัดสูงถึง 5K 30FPS ให้ภาพที่คมชัดเก็บได้ทุกรายละเอียด DJI Pocket 2 สามารถถ่ายภาพที่ให้ความละเอียดสูงถึง 64 MP ส่วนความละเอียดของวิดีโอจะอยู่ที่ 4K 60FPS ในส่วนของความละเอียดก็สามารถทำได้ดีทั้งสองตัว อยู่ว่าเราต้องการความละเอียดของภาพ หรือ วิดีโอมากกว่ากัน

    ระบบกันสั่น


    GoPro 10 ขึ้นชื่อเรื่องการกันสั่นที่เทพอย่างโหมด Hypersmooth 4.0 สามารถที่จะใช้ร่วมกับ Horizon Leveling ที่ช่วยในการรักษาแนวระดับเวลาที่ถ่ายภาพ  DJI Pocket 2  ตัวของ Gimbal ที่ยื่นขึ้นมาจะตัวกล้องจะช่วยในการกันสั่นซึ่งมาในรูปแบบของกิมบอล 3 แกน ทำให้ถ่ายภาพที่มีความสมูท

    แบตเตอรี่


    GoPro 10 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ถึง 1720 mAh เมื่อใช้งานอย่างต่อเนื่องมีอายุการใช้งานของแบตอยู่ที่ 131 นาที สามารถทำการชาร์จผ่าน USB-C ได้ ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน ในขณะที่ตัวของ DJI Pocket 2 มีความจุของแบตเตอรี่อยู่ที่ 875 mAh มีอายุการใช้งานของแบตเตอรี่อยู่ที่ 140 นาที แต่ไม่สามารถทำการถอดแบตเปลี่ยนได้เหมือนรุ่นโกโปร หากแบตเตอรี่หมดจะต้องทำการชาร์จอย่างเดียวโดยสามารถชาร์จผ่าน USB-C ได้เหมือนกัน หากเทียบการใช้งานแบตเตอรี่โกโปรสามารถตอบโจทย์การใช้งานที่ต่อเนื่องได้มากกว่า

    ฟีเจอร์ที่โดดเด่น

    • การกันน้ำ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ Action camera ควรสามารถทำได้ GoPro 10 สามารถกันน้ำได้ถึง 10M โดยไม่ตรงพึ่งเคสกันน้ำเลย ส่วน DJI Pocket 2 ไม่สามารถใช้งานในน้ำได้
    • การถ่ายภาพในที่แสงน้อย GoPro 10 สามารถถ่ายภาพได้ดี ไม่ทำให้เกิดนอยส์ในภาพ เก็บภาพได้คมชัดแม้แสงจะไม่เป็นใจ (LTM + 3DNR) และ DJI Pocket 2 ตัวกล้องจะช่วยในการชดเชยแสง ทำให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดี
    • ระบบติดตาม (Tracking) ที่ช่วยในการติดตามค้นหาวัตถุ จะมีแค่ในรุ่นของ DJI Pocket 2 เท่านั้นซึ่งจะใช้ตัว Gimbal จะคอยหมุนตามตัวคนเรียกว่า Active 3.0 ที่ช่วยให้ล็อคเป้าหมายได้แม่นยำ
    • ระบบของAI GoPro 10 จะมี AI ที่ช่วยในการประมวลผลที่ใช้วิเคราะห์หน้าตา รอยยิ้ม สภาพแวดล้อมได้ดี เพื่อใช้ในการปรับค่าสีให้เหมาะสม และ ช่วยในการลดนอยส์ที่เกิดขึ้นโดยจะเอาสีจากรอบๆ ข้างมาเฉลี่ยกันเพื่อลดนอยส์ในภาพ ส่วน DJI Pocket 2 จะมี AI ที่ช่วยในการจัดการไฟล์ ทำให้ง่าย และ รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
    • การเชื่อมต่อแอปพลิเคชั่น GoPro สามารถเชื่อมต่อแอปพลิชั่นของ GoPro ได้เลยโดยไม่ต้องส่งออกไปที่ไหน สามารถส่งเข้าไปที่แอปได้เลย ส่วน DJI Pocket 2 ก็จะมีแอปของตัวเองคือ DJI Mimo อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อด้วย Type-C เข้ากับโทรศัพท์มือถือได้

    ใครเหมาะกับรุ่นไหน ?

    • GoPro 10 เหมาะมากสำหรับสายลุย ที่ชื่นชอบการผจญภัย กิจกรรมแอดเวนเจอร์ ที่ต้องการความต่อเนื่องของการถ่ายภาพ ด้วยแบตเตอรี่ที่มากกว่ามาพร้อมแบตที่สามารถเปลี่ยนได้ รวมทั้งความทนทาน การกันน้ำ และ ประสิทธิภาพการถ่ายวิดีโอที่สุดยอด ทำให้ถ่ายได้ไม่มีสะดุด
    • DJI Pocket 2 เหมาะสำหรับคนที่ต้องการถ่าย Vlog เน้นการติดตามคน วัตถุ ไม่ต้องการให้หลุดเฟรม เน้นการถือถ่ายไปเรื่อยๆ สบายๆ เน้นในเรื่องของภาพที่มีความคมชัด การทำงานที่ง่าย บอกเลยว่าตัวนี้ตอบโจทย์

     
    อย่าพลาดโปรสุดคุ้มซื้อ GoPro 10 vs DJI Pocket 2 ที่ร้าน Aquapro

    สุดคุ้มซื้อ GoPro 10 โปรโมชั่น และ อุปกรณ์เสริมกับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ที่ได้รับการรับรองจากทางเมนทาแกรมแล้ว ร้านของเรามาพร้อมกับ โปรโมชั่นสุดคุ้ม ของแถมจุกๆ พร้อมกับ โปรส่งฟรี โปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) ทำให้วางใจได้ว่าคุณจะได้สินค้าที่ดีมีคุณภาพ นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติม เคล็ดลับต่างๆที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าลืมไปติดตาม GoPro Club กันล่ะ แล้วคุณจะรู้เกี่ยวกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!!



     


    ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
    Facebook : AquaproThailand
    Line :  @aquapro
    Shopee : Aquaprothailand
    GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


    85

    ฝุ่นละอองอาจจะสร้างปัญหาที่ไม่คาดฝันขึ้นได้ ในทุกๆ วันนี้ผิวของเราก็ต้องเผชิญกับปัญหาผิวที่มาจากการใส่แมส ฝุ่นละอองมีขนาดเล็ก และ สามารถกระจายตัวได้เป็นวงกว้าง ResiSKIN จะมาบอกสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผิว และ วิธีดูแลผิวจากฝุ่นง่ายๆ ที่จะช่วยกูคืนใบหน้าที่ดูดี และ สตรองให้กับคุณ ถ้าอยากรู้ต้องไม่พลาดบทความนี้ ไปอ่านกัน!!!
     
    มลพิษทางอากาศ คืออะไร แล้วมาจากไหนกัน?


    มลพิษทางอากาศ คือการที่มีสิ่งเจือปน สิ่งสกปรกลอยอยู่ในอากาศเกินกว่าค่ามาตรฐานจนส่งผลต่อสุขภาพ และ การใช้ชีวิต และ ส่งผลโดยตรงกับผิวพรรณของเรา ปัญหามลพิษทางอากาศเกิดได้จากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็น

    • มลพิษจากการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งจากควันที่เราทำอาหาร การใช้แก๊สหุงต้มในการประกอบอาหาร การใช้สเปรย์กำจัดกลิ่นภายในบ้าน รวมไปถึงการสูบบุหรี่ ควันในบุหรี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดมลพิษต่อผู้สูบ และ ผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย
    • มลพิษที่มาจากการคมนาคม อุตสาหกรรมต่างๆ การคมนาคมส่วนมากจะใช้การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในการเคลื่อนที่ อุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งการเกษตร การผลิต ที่ต้องอาศัยพลังงานเชื้อเพลิง ล้วนแต่เป็นตัวการในการปล่อยมลพิษชั้นดีที่ทำให้ผิวของเราพังอีกด้วย
    • มลพิษจากภัยธรรมชาติ อันนี้อาจจะเป็นมลพิษที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำให้เกิดทั้งควัน เขม่า และ ฝุ่นละอองไปฟุ้งอยู่ในอากาศ ภัยธรรมชาติอาจทำให้เกิดผลพิษทางอากาศเป็นเวลานาน และ กระทบต่อการใช้ชีวิตค่อนข้างมาก ทำให้คนที่สัมผัสเกิดการระคายเคืองผิว และ ทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ ขึ้นมา!!!

     
    ฝุ่นละอองมีผลอย่างไรต่อผิวของเรา?


    การที่เราแพ้ฝุ่นมาจากการที่ฝุ่นละอองเข้าไปทำปฏิกิริยากับผิวทำให้ภูมิคุ้มกันผิว (Skin Barrier) ของเราอ่อนแอลง เมื่อผิวของเราไม่มีเกราะป้องกันผิวแล้ว จึงทำให้เรามีปัญหาผิวได้ง่าย เวลาที่สัมผัสกับฝุ่นละออง หากปล่อยไว้ไม่ทำให้ผิวแข็งแรง ฝุ่นละอองก็จะเข้าไปในชั้นผิวที่ลึกขึ้นแล้วทำให้อาการแพ้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดยฝุ่นละออง และ มลพิษทางอากาศแต่ละประเภทก็ส่งผลต่อผิวได้แตกต่างกัน

    • มลพิษที่มาจากควันรถ โรงงานอุตสาหกรรม ที่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง มลพิษแบบนี้จะเข้าไปกระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบของผิว ทำให้เกิดสิวได้ง่าย อีกทั้งยังไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีภายใต้ผิวให้เกิดการสร้างเม็ดสีที่มากกว่าปกติเป็นผลทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอกัน
    • อันตรายจากควันบุหรี่ ควันบุหรี่ทำให้ผิวของเราได้มาก ทำให้ระคายเคืองผิว เกิดสิว นอกจากนั้นยังไปทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวของเราอ่อนแอลง และ ยังจะช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของผิวอีกด้วย
    • มลพิษรูปแบบของฝุ่นPM ฝุ่นละอองที่มีอนุภาคขนาดตั้งแต่ใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็กทำให้เกิดการระคายเคืองผิว หากเราสัมผัสกับ PM ตรงๆ จะทำให้ผิวของเราไวต่อการแพ้ จนเกิดอาการต่างๆ เช่น ผิวหนังมีผื่นขึ้น ผิวหนังอักเสบ เกิดสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และ ยังทำให้ผิวของเราแห้งเสียอีกด้วย

    ยิ่งถ้าหากใครที่มีผิวบอบบาง (Sensitive Skin) ก็จะทำให้เกิดผื่น สิว เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ และ ผิวแห้งขาดน้ำได้ ดังนั้นหากใครที่กำลังเจอกับปัญหาหน้าแพ้ฝุ่นที่กวนใจคุณอยู่ ต้องรีบดูแล และ กู้คืนผิวให้เร็วก่อนที่ฝุ่นละอองจะทำร้ายผิวมากกว่านี้!!!


    วิธีการดูแลตัวเองจากปัญหา หน้าแพ้ฝุ่น


    • ดูแลความสะอาดภายนอก ให้หมั่นทำความสะอาดผิวโดยการล้างหน้า เช็ดหน้าอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะไม่ได้ออกไปข้างนอกก็ต้องทำความสะอาดหน้า เวลาที่ล้างหน้าไม่ควรถูหน้าแรงๆ ควรจะค่อยๆ ถูเบาๆ เป็นการล้างฝุ่นภายนอกที่ติดอยู่ตามผิวหนัง
    • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และ เหมาะกับสภาพผิว นอกจากการล้างทำความสะอาดหน้าเบื้องต้นแล้วฝุ่นละอองก็อาจจะยังไม่ออกหมด เราอาจจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่มีสารระคายเคือง 
    • บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น เมื่อทำการล้างหน้าเสร็จแล้ว ผิวจะสูญเสียน้ำออกไปเราจึงต้องทำการเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิว นอกจากนั้นการดื่มน้ำก็สำคัญ ภายนอกชุ่มชื้นแล้วภายในก็ควรจะชุ่มชื้นด้วย ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวันก็จะยิ่งทำให้ผิวของเราชุ่มชื้น
    • เสริมความแข็งแรงภายในสู่ภายนอก หากใครที่อยากจะเสริมความแข็งแรงให้ผิวจากภายในสู่ภายนอก เลือก ResiSKIN ครีมเวชสำอางที่มีส่วนผสมของ Extremolytes 7% ที่ช่วย เอาชนะทุกปัญหาผิว อักเสบ แพ้ แห้ง แดง ผื่นคัน ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง และ ยังช่วยเสริมเกราะความชุ่มชื้น (Hydro complex) ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้ยาวนานถึง 7 วัน นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำจากมลภาวะต่างๆ ลดเลือนริ้วรอย ช่วยลดการอักเสบของผิว และ ความเสียหายจากมลพิษทางอากาศ มลภาวะต่างๆ ให้แก่เซลล์ผิว รวมทั้งยังช่วยป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของปัญหาผิวต่างๆ อยากฟื้นฟูผิวให้หลับมาดูดี และ แข็งแรง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของ ResiSKIN สิคะแล้วปัญหาหน้าแพ้ฝุ่นจะไม่มาทำให้คุณกวนใจอีก!!!

    เพียงเท่านี้ก็สามารถดูแลผิวหน้าจากการแพ้ฝุ่นให้กลับมาเหมือนเดิมได้แล้ว ใครที่มีปัญหาผิวแพ้ฝุ่นลองทำตามวิธีเหล่านี้ดูนะคะ ถ้าทำแล้วดี และ เห็นผล อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อนๆ ได้อ่านข้อมูลดีๆแบบนี้บ้างนะ เอาชนะทุกปัญหาผิว อักเสบ แพ้ แห้ง แดง ผื่นคัน ให้ผิวกลับมาแข็งแรงภายใน 7 วัน!!!


     
    ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
    Facebook : Resiskin by Qualisk
    Line : @resiskin
    Shopee : ResiSKIN by QUALISK
    Lazada : Qualimed
     


    86

    "ไม้" อีกหนึ่งวัสดุที่เหมาะสำหรับการนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ ถ้าเกิดเราอยากจะออกแบบเฟอร์นิเจอร์เอง หรือ อยากได้เฟอร์นิเจอร์ที่เป็น Built-in ก็ต้องไปหาไม้มาทำเฟอร์นิเจอร์เองแล้ว ไม้ทําเฟอร์นิเจอร์ ซื้อที่ไหน ใครที่กำลังมองหาไม้มาทำเฟอร์นิเจอร์ไม่ควรพลาดบทความนี้เลย!!!

    ความสำคัญของการเลือกไม้เฟอร์นิเจอร์

    การเลือกไม้สำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ นับว่ามีความสำคัญมาก เพราะไม้แต่ละชนิดก็มีลักษณะเฉพาที่แตกต่างกันออกไป ต้องเลือกให้เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ที่เราต้องการนำไปทำ ฟังก์ชั่นการใช้งาน และ ความต้องการในการทำเฟอร์นิเจอร์ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยในการตัดสินใจเลือกประเภทของไม้เฟอร์นิเจอร์ ไม้ที่นิยมนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ส่วนมากก็จะเป็น
    • ไม้ฉำฉา - มีเนื้อไม้สีอ่อน เนื้อไม้แข็งแรงทนทาน และ มีสีที่สวยงาม รวมทั้งลายไม้ที่เป็นเอกลักษณ์  เป็นไม้ที่เหมาะสำหรับใช้ภายในมากกว่า เช่น ตู้ ผนัง หน้าต่าง
    • ไม้ยางพารา - อีกหนึ่งไม้ที่มีสีอ่อนทำให้ย้อมสีได้ง่าย นอกจากนั้นเนื้อไม้ยังมีความแข็งแรง แต่ก็สามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลาย ตัดแต่งได้ง่ายกว่าไม้บางชนิด นำไปทำเฟอร์นิเจอร์ที่เน้นการตัดแต่ง เจาะ ต่อเติม เช่น เตียง ตู้ และ เฟอร์นิเจอร์ Built-in
    • ไม้มะค่า - ไม้เนื้อสีน้ำตาลอมส้ม เป็นไม้ที่มีความแข็งแรง รวมทั้งยังมีสี และ ลายไม้ที่สวย ใครที่อยากนำไปทำเฟอร์นิเจอร์สำหรับโชว์ลายไม้แนะนำเลย สีของไม้ก็ค่อนข้างจะเปลี่ยนแปลงง่ายตามอุณหภูมิ
    • ไม้เบญจพรรณ - ไม้เนื้อโทนสีเหลืองแดง ลายไม้อาจจะไม่ได้สวยมากแต่ก็มีความแข็งแรง ทนทาน สามารถใช้งานได้ยาวนาน เหมาะมากสำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องเน้นความทนทานสูงโดยเฉพาะไม้โครง ไม้จ๊อย
    • ไม้ทุเรียน - เป็นอีกหนึ่งไม้โทนเข้ม สีของไม้จะเข้มกว่าสีของไม้ยางพารา มีความแข็งแรงทนทานสูง ไม้มีความละเอียด และ สีของไม้ทำให้รู้สึกว่าเป็นโทนที่ดูอบอุ่น

    >>คุณสามารถเข้าไปอ่าน ไม้ทำเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ได้ที่นี่<<

    ไม้เฟอร์นิเจอร์ควรมีลักษณะอย่างไร?
    การเลือกไม้สำหรับนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างสำคัญมาก การเลือกไม้ก็เหมือนกับการเลือกเสื้อผ้า ถ้าหากเลือกไซส์ไม่ตรงก็จะทำให้ใส่ออกมาไม่ได้ เราจึงจะมาบอกลักษณะในการเลือกไม้เฟอร์นิเจอร์ให้ออกมาดี

    ไม้มีความแข็งแรง ทนทานหรือไม่


    ข้อสำคัญๆ เลยสำหรับเฟอร์นิเจอร์ทุกประเภทนั่นก็คือเรื่องของ ความแข็งแรง ทนทาน โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องอาศัยการรับน้ำหนักตรงๆ เช่น เก้าอี้ โซฟา เตียง นอกจากนั้นยังรวมถึงความแข็งแรง ทนทานที่มาจากความชื้น แมลงศัตรูพืช อีกด้วย

    สามารถแปรรูปได้หลากหลายไหม


    ไม้ที่เหมาะสำหรับการนำมาทำเฟอร์นิเจอร์เนื้อไม้ควรจะทนทานต่อการตัดแต่ง การเจาะ ต้องเลือกไม้ที่เนื้อไม้มีความแน่น เนื้อไม้มีความยืดหยุ่นสูงจึงจะเหมาะสำหรับการนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ ไม่ว่าจะตัด จะเจาะ ก็ทำได้ไม่มีปัญหา

    เนื้อไม้ และ ลายสวยเหมาะสำหรับทำเฟอร์นิเจอร์


    ความสวยงามของเนื้อไม้ ลายไม้ และ สีของไม้ที่มีเอกลักษณ์ หากเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีพื้นที่เนื้อเยอะอย่างเช่นตู้ เตียง โซฟา จะสามารถเห็นลายไม้ได้ง่ายเลยจะต้องเน้นไม้ที่มีลายสวยๆ แต่ถ้าหากคุณไม่ได้เน้นลายไม้แต่ต้องการนำไม้ไปแต่งสี ทาสี ย้อมสีก็ให้เลือกเนื้อไม้ที่มีสีอ่อน เพราะจะทำให้สีติดได้ง่ายกว่าไม้สีเข้ม

    ไม้หาซื้อได้ง่ายหรือไม่


    เมื่อเฟอร์นิเจอร์เสียหายแล้วต้องซ่อมแซมหากไม้ไม่พอก็ทำให้ยากต่อการซ่อม ทำให้เราจะต้องเสียเฟอร์นิเจอร์ตัวนั้นไปแบบฟรีๆ ดังนั้นให้เลือกไม้ที่สามารถหาซื้อได้ง่าย ราคาจับต้องได้ก็จะสะดวกต่อการทำ และ ซ่อมแซมมากกว่า แม้ไม้อาจจะไม่ได้ดูแรร์เหมือนไม้หายาก แต่ในเรื่องของการใช้งานก็จะสะดวกต่อเรามากกว่า


    ไม้ทําเฟอร์นิเจอร์ ซื้อที่ไหน ซื้อกับใครถึงจะได้ไม้ดี!!!
    ใครที่ต้องการซื้อไม้สำหรับทำเฟอร์นิเจอร์แต่ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหนดี แล้วถ้าไปซื้อจะได้ไม้ดีมีคุณภาพหรือไม่ สำหรับใครที่กำลังมองหาที่ซื้อไม้ดี และ หลากหลายต้องซื้อที่ MTK WOOD โรงไม้ที่มีโรงงานอยู่จริงที่ จ.ระยอง เปิดให้บริการมาแล้วมากกว่า 25 ปี พร้อมทั้งผ่านการรับรองมาตรฐาน IPPC มาแล้วจากกรมวิชาการเกษตร ทำให้มั่นใจได้เลยว่าถ้าคุณซื้อไม้จากโรงงานของเรา คุณจะได้ไม้ที่
    • ไม้ตรงตามสเปคที่คุณต้องการกับมาตรฐานทุกขั้นตอน ไม่ว่าคุณจะอยากได้ไซส์ไหน ขนาดไหน โรงงานของเราก็สามารถทำได้ รวมถึงขนาดมาตรฐานของไม้ที่สามารถนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ได้เลย นอกจากนั้นโรงงานของเรายังใช้เครื่องจักรคุณภาพทุกขั้นตอนกระบวนการผลิตไม่ว่าจะเป็น เครื่องเลื่อยสายพาน , เครื่องไสเรียบ 4 หน้า , เครื่องอัดน้ำยา และ เครื่องอบไอน้ำ เพราะฉะนั้นมั่นใจเลยว่าคุณจะได้ไม้ที่มีคุณภาพอย่างแน่นอน
    • มาพร้อมบริการทุกหลากหลายพร้อมส่งตรงถึงมือคุณ หากคุณมาที่โรงงานของเราคุณจะครบจบที่ที่เดียว เพราะเรามีบริการตั้งแต่รับผลิต และ จำหน่ายไม้ยางพาราแปรรูป , บริการรับเลื่อย-ไสไม้ ตัดแต่งไม้ , บริการอัดน้ำยา-อบไม้ จนถึงบริการขนส่งไม้ทั่วประเทศไทยด้วยรถเทเลอร์   รถบรรทุกที่พร้อมให้บริการกว่า 20 คัน ไม่ต้องมารับเองแค่รออยู่ที่บ้านเราจะส่งตรงไม้ไปให้ถึงมือคุณอย่างปลอดภัย และ รวดเร็ว ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในไทยก็พร้อมไปส่ง!!!



     
    สนใจสั่งซื้อ และ ดูข้อมูลเพิ่มเติม MTK ได้หลากหลายช่องทางที่
    Facebook : MTK เอ็มทีเค
    Line : @mtkwood
    Tel : 095-654-6551
    Email : marketing@mtkwood.com


    87

    ยุคนี้มันยุคแห่งการ Vlog สายท่องเที่ยว สายยูทูบเบอร์ไม่ควรพลาด!!! วันนี้ทาง Aquapro จะมาแนะนำไมค์ Wireless รุ่นยอดฮิตอย่าง Saramonic Blink 500 Pro vs Rode Wireless Go 2 รุ่นไหนดีกว่ากัน แล้วแต่ละตัวรุ่นไหนดี ใครที่กำลังมองหาไมค์ไร้สายดีๆ ควรอ่าน!!!
     
    Saramonic Blink 500 Pro vs Rode Wireless Go 2 ตัวไหนดีกว่ากัน!!!
    ไมค์แบบ Omnidirectional condenser ใช้งานสะดวก ไม่เป็นภาระเวลาใช้งาน สามารถติดเข้ากับกล้อง อุปกรณ์อื่นๆ ได้ นอกจากนั้นในส่วนของฟังก์ชั่นเสียงยังสามารถใช้งานได้ทั้งแบบ Stereo และ Mono ทำให้ได้ไฟล์เสียงที่สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย

    รูปร่างตัวบอดี้


    Saramonic Blink 500 Pro จะมีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขอบมน มีน้ำหนักเบาประมาณ 26 น้ำหนักเบามาพร้อมพอร์ต 3.5 mm สำหรับต่อไมค์แบบมีสาย Rode Wireless Go 2 จะมาในรูปแบบทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขอบมน มีน้ำหนักเบาเพียง 30 - 32g หน้าจอเป็นหน้าจอสีขนาดใหญ่ มาพร้อมช่องต่อไมค์เสริม 3.5 mm และ ช่อง USB - C สำหรับต่อกับอุปกรณ์เสริม

    ระยะความถี่ และ การส่งสัญญาณ


    Saramonic Blink 500 Pro สามารถเก็บรายละเอียดของเสียงได้ตั้งแต่ 50 Hz - 18 KHz และ ในเรื่องของการส่งสัญญาณจะมีตัวรับแบบ 1 : 1 บางรุ่นจะมีตัวType C ทำให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย Rode Wireless Go 2 จะสามารถเก็บรายละเอียดของเสียงได้ตั้งแต่ 50 Hz - 20 KHz สามารถเก็บรายละเอียดเสียงได้กว้างกว่ารุ่นซาราโมนิคเล็กน้อย ตัวรับเป็นแบบ 1 : 1 หากคนพูดมีคนเดียวจะรับเสียงได้ดีกว่าการพูดหลายคน

    ระยะสัญญาณ


    Saramonic Blink 500 Pro สามารถส่งสัญญาณได้ไกลสุดในระยะ 100 เมตร และ Rode Wireless Go 2 สามารถส่งสัญญาณได้ไกลสุด 70 เมตร ทั้งสองรุ่นสามารถส่งสัญญาณได้ไกล และ มีความเสถียร ใครที่เน้นการเดินทางไกลๆ ไลฟ์สด รุ่นซาราโมนิคอาจจะตอบโจทย์มากกว่า

    แบตเตอรี่


    Saramonic Blink 500 Pro สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุด 8 ชั่วโมง และ เมื่อแบตเตอรี่หมดสามารถชาร์จเข้าไปในกล่องเก็บไมค์ ซึ่งมาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 2000 mAh ทำให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง Rode Wireless Go 2 สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 7 ชั่วโมง แต่ก็มาพร้อมกับโหมดประหยัดพลังงาน แต่จะไม่มีที่ชาร์จแบตเตอรี่ในตัวแบบซาราโมนิค หากต้องการใช้งานอย่างต่อเนื่องแบตเตอรี่ของซาราโมนิคอยู่ได้นานกว่า

    เซตของไมโครโฟน


    Saramonic Blink 500 Pro มีให้เลือกหลากหลายกว่ามีมาให้เลือกถึง 6 เซตตามรูปแบบการใช้งานของคุณ
    • B1 - 1 : 1 ( ตัวส่ง1 ตัวรับ1 ) มีให้เลือกทั้งสีดำ และ สีขาว ราคาประมาณ 5,990 บาท
    • B2 - 2 : 1 ( ตัวส่ง2 ตัวรับ1 ) มีให้เลือกทั้งสีดำ และ สีขาว ราคาประมาณ 8,990 บาท
    • B3 / B4 / B5 / B6 - 1 : 1 / 2 : 1 / Type  C มีให้เลือกทั้งสีดำ และ สีขาว ราคาประมาณ 7,990 - 10,950 บาท ( แต่ละเซตก็จะแตกต่างกันไปบางเซตจะเป็น ไมค์ที่มาคู่กับ Type-C )

    ส่วนสำหรับ Rode Wireless Go 2 จะมีรูปแบบน้อยกว่า ให้คุณได้เลือกใช้งานตามความชอบ

    • Rode Wireless Go 2 - 1 : 1 ราคาประมาณ 9,900 บาท
    • Rode Wireless Go 2 -  2 : 1 ราคาประมาณ 11,900 - 14,600 บาท

     
    รุ่นไหนมีอะไรดี ?

    • Saramonic Blink 500 Pro น่าจะตอบโจทย์ของคุณมากกว่า นอกจากนั้นยังมีตัวส่ง และ ตัวรับสัญญาณที่หลากหลายมากว่า หากเป็นคนที่ถ่ายวิดีโอ Vlog แบบหลายคน ส่งสัญญาณได้ไกล ระยะการส่งสัญญาณยังมากถึง 100 เมตรเลยทีเดียว
    • Rode Wireless Go 2 เหมาะสำหรับใครเป็นสายที่เน้นการใช้งานร่วมกับกล้อง ไม่เน้นติดเข้ากับเสื้อผ้า หรือ ไม่เน้นการขยับการเดินมากนัก มาพร้อมกับระยะความถี่ที่มากกว่า หากเน้นใช้งานภายใน พูดใกล้ๆ ตัวรุ่นนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์

     
    ซื้อเลย Saramonic Blink 500 Pro ที่ร้าน Aquapro !!!
    คุ้มสุดซื้อ ไมค์Saramonic blink 500 Pro รวมทั้งกล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมอื่นๆ กับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ที่มาพร้อมกับ GoPro 10 โปรโมชั่น สุดคุ้ม ของแถมจุกๆ โปรส่งฟรี พร้อมโปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติมที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!! ติดตามได้ตาม link ด้านล่างเลย


     
    ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
    Facebook : AquaproThailand
    Line :  @aquapro
    Shopee : Aquaprothailand
    GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


    88

    "อยากมีบ้าน" หนึ่งในความฝันของใครหลายคน การสร้างบ้านมีกฎระเบียบข้อบังคับด้วยเช่นกัน สร้างบ้าน ไม่ขออนุญาตได้ไหม??? ใครที่มีแพลนจะสร้างบ้านควรรู้  V.K.B เลยจะมาไขข้อสงสัยเรื่องเกี่ยวกับบ้าน ไปหาคำตอบในบทความเลย!!!
     
    ใบอนุญาต คืออะไร - สำคัญอย่างไร?
    การยื่นขอใบอนุญาตในการก่อสร้างบ้าน โดยใบอนุญาตก่อสร้างจะใช้เพื่อทำการตรวจสอบว่าบ้านที่สร้างเป็นไปตามมาตรฐานความแข็งแรงของอาคารหรือไม่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการอยู่อาศัยภายใต้กฎหมายที่กำหนด และ เพื่อป้องกันการก่อสร้างที่อาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
     
    สร้างบ้าน ไม่ขออนุญาตได้ไหม - มีบทลงโทษอย่างไรบ้าง?
    การสร้างบ้านมีกฎหมาย พ.ร.บ ควบคุมอาคารที่ใช้ในการควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดย พ.ร.บ พ.ศ. 2522 มาตรา 21 ได้มีการกำหนดเอาไว้ว่า ผู้ใดที่จะก่อสร้าง ดัดแปลง หรือ เคลื่อนย้ายอาคาร ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หรือ แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และ ดำเนินการตามมาตรา 39 เพราะว่าการขออนุญาตเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด หากไม่ขออนุญาตจะถือว่าทำผิดกฎหมาย และ จะมีบทลงโทษ


    สำหรับผู้ที่ไม่ขออนุญาตจะมีโทษตามมาตรา 65 ซึ่งเป็นโทษที่กฎหมายกำหนด โดยโทษจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

    • การก่อสร้างดัด แปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 3 เดือน และ ปรับไม่เกิน 60,000 บาท
    • นอกจากนั้นยังมีการปรับเป็นรายวัน โดยจะทำการปรับวันละ 10,000 บาทจนกว่าจะทำการขออนุญาตให้ถูกต้อง

    นอกจากการปรับเป็นจำนวนเงิน และ การจำคุกแล้ว ยังมีข้อบังคับอื่นๆ ตาม มาตรา 40 ดังต่อไปนี้ด้วย

    • ถูกสั่งให้หยุดการก่อสร้าง ห้ามใช้ หรือ ห้ามเข้าไปในที่ก่อสร้าง
    • ถูกสั่งให้ทำการขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย และ แก้ไขให้ถูกต้อง
    • กรณีที่ทำการก่อสร้างไปแล้วหากแก้ไขถูกต้องแล้ว จะโดนแค่ข้อหาก่อสร้างโดยไม่ขอใบอนุญาต

    นอกจากนั้นกรณีที่อาคารทำผิดกฎหมายการก่อสร้าง จะทำให้ไม่สามารถขอใบอนุญาตได้ ทำให้อาจจะถูกรื้อถอนการก่อสร้าง ตาม พ.ร.บ มาตรา 42 ที่กฎหมายกำหนด แต่ถ้าหากเราไม่ทำการรื้อถอนอาคารตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 42 จะต้องโดนโทษตาม มาตรา 66 ดังต่อไปนี้

    • จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน , ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือ อาจจะโดนทั้งจำทั้งปรับ
    • ส่วนการระวางโทษรายวันอีกวันละไม่เกิน 30,000 บาท

    จะเห็นว่าโทษในการไม่ขออนุญาตมีทั้งการปรับ และ การจำคุกดังนั้นหากต้องการก่อสร้างควรที่จะขออนุญาตก่อนนะ!!!

    การขอใบอนุญาตสำหรับการก่อสร้าง?


    • ทำการรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบ้าน และ เขียนคำร้องที่ต้องการให้ครบถ้วน แล้วนำไปยื่นให้แก่เจ้าพนักงานประจำสำนักงานเขตในท้องถิ่นให้เรียบร้อย
    • จากนั้นพนักงานประจำสำนักงานเขตในท้องถิ่น จะทำการตรวจสอบแบบแปลนตามกฎหมายควบคุมการก่อสร้างอาคาร กฎหมายผังเมือง กฎหมายอาคาร โดยจะต้องมีการอนุญาตก่อนเริ่มทำการก่อสร้าง จะต้องทำการก่อสร้างตามแบบแปลนที่ได้รับการอนุญาตเท่านั้น หากนอกเหนือกว่านี้จะถือว่าผิดกฎหมาย
    • เมื่อมีการตรวจสอบคำร้องเอกสารต่างๆ เรียบร้อย จะได้รับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารมา แต่สำหรับคนที่ไม่ได้รับใบอนุญาตก็อย่าพึ่งหมดหวัง เพราะคุณสามารถทำการแก้ไขรายละเอียดบางส่วนตามที่เจ้าพนักงานแจ้ง และ เมื่อแก้ไขเรียบร้อยก็ให้มาดำเนินการยื่นเรื่องใหม่
    • เมื่อได้ใบอนุญาตมาแล้ว จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้!!!


    เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นเพื่อขอใบอนุญาต


    • คำร้องในการขออนุญาตก่อสร้าง หรือ ดัดแปลงอาคาร (ข.1)
    • แบบแปลนบ้าน และ รายละเอียดการก่อสร้าง
    • หนังสือรับรองจากสถาปนิกผู้ออกแบบบ้าน ผู้ควบคุม และ เอกสารจากวิศวกร
    • สำเนาโฉนดที่ดินที่จะก่อสร้าง หรือเอกสารสิทธิแสดงความเป็นเจ้าของที่ที่ดิน
    • สำเนาบัตรประชาชน หรือ ทะเบียนบ้านเจ้าของอาคาร

     
    อยากได้บ้านดีสร้างกับ V.K.B สิ!!!
    อยากได้บ้านที่ดี ตรงตามสเปคเลือกก่อสร้างกับ V.K.B เพราะเราใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง วางแผน การออกแบบ ตลอดจนการดูแลจนจบโครงการก่อสร้าง ทำให้จะต้องเลือกผู้รับเหมาที่มีความชำนาญ V.K.B contracting เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ด้วยทีมที่เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ ที่พร้อมให้บริการออกแบบ ก่อสร้าง และ ให้คำแนะนำด้านการก่อสร้างทุกรูปแบบ ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานเราจะบริการอย่างเต็มที่ และ เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ
    • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
    • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
    • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ


    สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
    Facebook : VKB Contracting
    Line : @vkbth
    Tel : 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
    Email : vkb.cont@gmail.com


    89

    ในปัจจุบันที่สกินแคร์มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ หลายชนิดมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของครีม เจล มอยส์เจอไรเซอร์ ทั้งที่ใช้กับใบหน้า และ ผิวกาย สกินแคร์ถือว่าเป็นตัวช่วยเรื่องผิว แต่เพราะผิวของเราต่างคนก็ต่างรูปแบบกัน นั่นทำให้เราจะต้อง เลือกสกินแคร์ ให้เหมาะกับผิว มาดูกันดีกว่าว่าผิวแบบไหนเหมาะกับสกินแคร์รูปแบบใด!!!!

    ทำความรู้จัก สกินแคร์ คืออะไร?
    สกินแคร์ (Skincare) เป็นสิ่งที่ช่วยในการดูแล บำรุง ฟื้นฟูผิวให้ผิวของเราดูดี และ แข็งแรงมากยิ่งขึ้น โดยปกติผิวของเราจะมีกลไกในการป้องกันตัวเอง หรือ เกราะป้องกันผิวอยู่แล้ว สกินแคร์แต่ละตัวก็มีคุณสมบัติ สรรพคุณต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป

    จะเลือกสกินแคร์ต้องดูอะไรบ้าง?

    • สภาพของผิวเราเป็นแบบไหน - เพราะผิวแต่ละประเภทก็มีรูปแบบของผิว และ ปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นจึงควรยึดสภาพผิวของเราเป็นหลัก ว่าเราเป็นคนผิวแห้ง ผิวมัน หรือ ผิวผสม
    • ดูเนื้อสัมผัสว่าเป็นแบบไหน - นอกจากสภาพของผิวแล้วสกินแคร์ก็มีรูปแบบให้เลือกที่หลากหลาย ทั้งแบบเจล น้ำมัน บาล์ม เนื้อโลชั่น เนื้อสครับ
    • ดูว่าผลิตภัณฑ์ที่เราใช้มีคุณภาพหรือไม่ - ไม่ใช่ว่าเห็นว่าราคาถูก หรือ มีสรรพคุณโดดเด่นก็เลือกมาใช้เลย แต่ต้องดูเรื่องคุณภาพให้ดี ว่าผลิตภัณฑ์ที่เราใช้น่าเชื่อถือหรือไม่

    Checklist เลือกสกินแคร์ ให้เหมาะกับผิว เราเป็นผิวแบบไหนกันนะ?

    ผิวมัน (Oily Skin)


    ผิวมันเป็นผิวที่เกิดจากการที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันในผิวออกมามากกว่าปกติ มีลักษณะเปียกมัน ผิวดูลื่นขึ้นเงา และ ในช่วงที่อากาศร้อนจะมันมากในช่วง T Zone รูขุมขนกว้าง และ เกิดสิวอุดตันได้
    ควรเลี่ยงเนื้อสกินแคร์แบบไหน - ผิวมันควรเลี่ยงสกินแคร์ที่เนื้อลื่นๆ อย่างพวกเนื้อออยล์ เนื้อปาล์ม เพราะจะทำให้ผิวมัน และ เกิดปัญหาสิวอุดตันขึ้นอีกด้วย
    ส่วนผสมที่ไม่ควรใช้ - เพราะปัญหาหลักๆ ของผิวมันคือ รูชุมชนกว้าง ผิวเกิดการอุดตันได้ง่าย สกินแคร์ที่ใช้จึงไม่ควรมีพวกซิลิโคนผสม และ ควรหลีกเลี่ยง AHA เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย
    ควรเลือกสกินแคร์แบบไหน - ควรเลือกส่วนผสมที่ซึมได้ดี บางเบา อย่างเช่น สกินแคร์ที่เป็นน้ำ โลชั่น และ เจล ส่วนผสมที่ดูดซึมเข้าผิวได้เร็ว และ ลดการเกิดสิวอย่าง Benzoyl Peroxide , Salicylic Acid ที่ลดการเกิดสิวได้ดี

    ผิวแห้ง (Dry Skin)


    ผิวแห้งเกิดจากการที่น้ำในผิวลดลง ทำให้ผิวมีลักษณะแห้ง แตก ลอกเป็นขุยได้ง่าย นอกจากนั้นอาจจะทำให้ผิวหน้าดูแห้งๆ ฝืดๆ และ เกิดริ้วรอยได้ง่าย
    ควรเลี่ยงเนื้อสกินแคร์แบบไหน - ผิวแห้งแตก ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสกินแคร์ที่ต้องเสียดสีกับผิว เช่น พวกเนื้อสครับ เนื้อสบู่ก้อน เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง
    ส่วนผสมที่ไม่ควรใช้ - ควรเลี่ยงส่วนผสมที่ทำให้น้ำในผิวระเหย หรือ สูญเสียน้ำในผิวได้ง่ายอย่าง แอลกอฮอล์ และ BHA เพราะจะช่วยเร่งการหลุดลอกของผิว
    ควรเลือกสกินแคร์แบบไหน - ควรเลือกสกินแคร์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ อย่างเช่นเนื้อปาล์ม เนื้อโลชั่น และ ที่มีส่วนผสมของ Extremolytes , Hyaluronic Acid ที่ช่วยทำให้ผิวอิ่มน้ำได้ยาวนาน

    ผิวผสม (Combination Skin)


    ผิวผสมเป็นรูปแบบผิวที่พบได้บ่อย เป็นการผสมกันระหว่างผิวมัน และ ผิวแห้ง โดยจะมันในช่วง T Zone และ จะแห้งในช่วง U Zone เป็นรูปแบบผิวที่เกิดสิวได้ง่าย
    ควรเลี่ยงเนื้อสกินแคร์แบบไหน - ควรเลี่ยงเนื้อสกินแคร์ที่ทำให้เกิดการอุดตัน จุดไหนที่มันก็ไม่ควรใช้เนื้อสกินแคร์ที่หนักหนา ส่วนไหนที่แห้งก็ไม่ควรใช้สกินแคร์ที่ต้องสครับผิว หรือ ทำให้ผิวฝืด
    ส่วนผสมที่ไม่ควรใช้ - ควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และ ซิลิโคน
    ควรเลือกสกินแคร์แบบไหน - ควรเลือกส่วนผสมที่เหมาะกับผิวแต่ละส่วน หรือ ใช้เป็นพวกสกินแคร์เนื้อน้ำที่ดูดซึมได้ดี ส่วนผสมที่ช่วยในการคุมความมัน

    ผิวบอบบางแพ้ง่าย (Sensitive Skin)


    เป็นประเภทของผิวที่อ่อนแอต่อมลภาวะมากที่สุด เป็นผิวที่ทำให้เกิดปัญหาผิวได้ รวมทั้งยังไวต่อแสง การสัมผัสอีกด้วย มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีรูปแบบผิวแบบนี้
    ควรเลี่ยงเนื้อสกินแคร์แบบไหน - ไม่ควรใช้เนื้อสกินแคร์ เช่น เนื้อแป้งน้ำ เนื้อสครับ เนื้อสบู่ที่แข็ง ควรเลี่ยงอะไรที่ทำให้เกิดการเสียดสี
    ส่วนผสมที่ไม่ควรใช้ - ไม่ควรใช้พวกส่วนผสมที่ปรุงแต่ง สารเคมีต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม สี พาราเบน และ สารปรุงแต่งพวกนี้ทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย
    ควรเลือกสกินแคร์แบบไหน - ควรเลือกส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติ หากเป็นเนื้อสัมผัสควรใช้เป็นน้ำ ครีมที่อ่อนโยนต่อผิว และ ต้องระวังส่วนผสมที่แรงๆ ปรุงแต่งต่างๆ
     
    แก้ปัญหาผิว ตอบโจทย์ทุกสภาพผิวด้วย ResiSKIN


    แต่สำหรับใครที่มีปัญหาผิว อยากแนะนำครีมเวชสำอางที่ช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่าง Extremolytes ที่จะช่วยในเรื่องปัญหาผิว ไม่ว่าคุณจะเป็นคนผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม หรือ ผิวบอบบางก็ไม่มีหวั่น ResiSKIN มีส่วนผสมของ Extremolytes ถึง 7% เพื่อเอาชนะทุกปัญหาผิว อักเสบ แพ้ แห้ง แดง ผื่นคัน

    • สร้างเกราะความชุ่มชื้นในชั้นผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยาวนาน
    • ช่วยลดอาการอักเสบ ระคายเคืองผิว จากสารที่ทำให้แพ้
    • ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้กลับมาแข็งแรง
    • อ่อนโยนต่อผิว เพราะไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอม พาราเบน สารปรุงแต่งสังเคราะห์ต่างๆ
    • ช่วยในการป้องกัน และ ดูแลผิวไปในตัว ทำให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้งแตก
    • ช่วยปกป้องผิวจากทุกสภาวะ และ ยังป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

    เอาชนะทุกปัญหาที่เจอจากทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม ก็ดูดี และ สตรองขึ้นได้ด้วย ResiSKIN

     
    ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
    Facebook : Resiskin by Qualisk
    Line : @resiskin


    90

    ไม้โครง เป็นอีกหนึ่งประเภทหนึ่งของไม้ที่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเฟอร์นิเจอร์ หากไม่มีไม้โครงก็อาจทำให้ไม่สามารถขึ้นโครงเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นๆ ได้ โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ ที่ต้องรองรับน้ำหนักมากๆ วันนี้เราเลยจะมาบอกว่าไม้โครงทำอะไรได้บ้างในบทความเลย!!!

    ทำความรู้จัก ไม้โครง คืออะไร?


    ไม้โครงเป็นไม้ที่เราใช้สำหรับนำมาทำเป็นเสาหลักในการทำเฟอร์นิเจอร์ หรือ พวกงานตกแต่งอื่นๆ โม้โครงก็เปรียบได้กับเสาเข็มเวลาที่เราสร้างบ้าน ซึ่งใช้ในการพยุงส่วนอื่นๆ ไม้โครงอย่างมากกับพวกงาน Built-in ต่างๆ ยิ่งเป็นงานที่ต้องประกอบเข้าด้วยกันหากไม่มีไม้โครงการจะยึดส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันก็จะยาก
     
    ประเภทของไม้โครง?


    ไม้โครงถึงแม้จะเป็นไม้ที่ใช้เป็นโครงสร้างหลักในการทำเฟอร์นิเจอร์แต่ไม้โครงก็ยังมีรูปแบบให้ได้เลือกใช้ถึง 2 แบบทั้ง

    • ไม้โครงเส้น - เป็นไม้โครงในลักษณะของไม้ท่อนเดียวยาวๆ ที่ใช้เป็นไม้โครงหลักในการนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ มักจะถูกใช้ในการนำไปเป็นโครงสร้างต่างๆ ของเฟอร์นิเจอร์

    • ไม้จ๊อย - อีกหนึ่งรูปแบบของไม้โครง ซึ่งเป็นการนำเอาไม้เส้นสั้นๆ โดยอาศัยการต่อไม้เข้าด้วยกัน เพื่อทำให้ไม้มีขนาดยาวขึ้น การต่อจะมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ Finger Joint (ฟันปลา) เป็นการต่อลักษณะแบบฟันปลา โดยรอยต่อจะเป็นเส้นหยักๆ เป็นลายซี่ๆ เหมือนกับฟันของปลาอยู่ที่ด้านกว้างของหน้าไม้ ส่วนด้านข้างจะเป็นเส้นตรงต่อเข้าด้วยกัน และ การต่อแบบ Butt Joint (เส้นตรง) ซึ่งจะเป็นการต่อแบบเส้นตรงะอยู่บริเวณด้านกว้างของไม้ ส่วนด้านข้างของไม้จะเป็นรอยฟันปลา

    ขนาดของไม้โครงต่างๆ
    ไม้โครงเส้น หรือ ไม้นิ้วจะเป็นไม้หน้ากว้างขนาด 1 x 1 นิ้ว ส่วนความยาวจะมีขนาด 1.20 เมตร และ 1.30 เมตร ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะในการใช้เป็นไม้โครงเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ส่วน ไม้จ๊อย จะมีหลายขนาดให้ได้เลือกทั้งขนาดของไม้จ๊อยยางพารา และ ไม้จ๊อยทุกเรียน / ไม้จ๊อยเบญจพรรณ ซึ่งสามารถเลือกได้ตามขนาดที่ต้องการนำไปใช้

    เราสามารถนำ ไม้โครง ไปใช้ทำอะไรได้บ้าง?


    • เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ไม้โครงสามารถนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ได้หลากหลายทั้ง ประตู หน้าต่าง โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ ชั้นวางของต่างๆ รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ Built-in เพื่อให้เกิดความแข็งแรง และ ง่ายต่อการติดตั้งได้ง่าย
    • ใช้ทำฝ้าเพดาน หากไม่มีฝ้าอาจทำให้เพดานตกลงมาข้างล่างได้ ไม้โครงจึงจำเป็นมากในการทำฝ้า ส่วนใหญ่จะทำการวางเป็นแนวไขว้กันเพื่อความแข็งแรงของเพดาน ทำให้สามารถรับน้ำหนักเพดานได้ดี
    • ใช้เป็นโครงสร้างผนังสำหรับงาน Built-in หากใครที่อยากแบ่งห้องด้วยผนังแบบบิวท์อิน ก็สามารถใช้ไม้โครงในการทำได้ โดยจะใช้ไม้โครงขึ้นโครงก่อน แล้วตามด้วยพวกไม้อัด และ ขั้นตอนในการอัด แต่งสี


    ไม้โครง ไม้จ๊อยเลือกได้ที่ MTK WOOD
    ใครที่กำลังมองหาที่ซื้อไม้ดี และ หลากหลายต้องซื้อที่ MTK WOOD โรงไม้ที่มีโรงงานอยู่จริงที่ จ.ระยอง เปิดให้บริการมาแล้วมากกว่า 25 ปี พร้อมทั้งผ่านการรับรองมาตรฐาน IPPC ทำให้มั่นใจได้เลยว่าถ้าคุณซื้อไม้จากโรงงานของเรา คุณจะได้ไม้ที่
    • ไม้ตรงตามสเปคที่คุณต้องการกับมาตรฐานทุกขั้นตอน ไม่ว่าคุณจะอยากได้ไซส์ไหน ขนาดไหน โรงงานของเราก็สามารถทำได้ รวมถึงขนาดมาตรฐานของไม้ที่สามารถนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ได้เลย นอกจากนั้นโรงงานของเรายังใช้เครื่องจักรคุณภาพทุกขั้นตอนกระบวนการผลิตไม่ว่าจะเป็น เครื่องเลื่อยสายพาน , เครื่องไสเรียบ 4 หน้า , เครื่องอัดน้ำยา และ เครื่องอบไอน้ำ เพราะฉะนั้นมั่นใจเลยว่าคุณจะได้ไม้ที่มีคุณภาพอย่างแน่นอน
    • มาพร้อมบริการทุกหลากหลายพร้อมส่งตรงถึงมือคุณ หากคุณมาที่โรงงานของเราคุณจะครบจบที่ที่เดียว เพราะเรามีบริการตั้งแต่รับผลิต และ จำหน่ายไม้ยางพาราแปรรูป , บริการรับเลื่อย-ไสไม้ ตัดแต่งไม้ , บริการอัดน้ำยา-อบไม้ จนถึงบริการขนส่งไม้ทั่วประเทศไทยด้วยรถเทเลอร์   รถบรรทุกที่พร้อมให้บริการกว่า 20 คัน ไม่ต้องมารับเองแค่รออยู่ที่บ้านเราจะส่งตรงไม้ไปให้ถึงมือคุณอย่างปลอดภัย และ รวดเร็ว ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในไทยก็พร้อมไปส่ง!!!

    ไปดูไอเดียรวมถึงการดูแลรักษาไม้จาก MTK
    ส่วนใครที่มีปัญหาการใช้งานเฟอร์นิเจอร์ไม้ การดูและรักษาเฟอร์นิเจอร์ไม้ สามารถอ่านไม้ยางพาราขึ้นราทำอย่างไรดี , เฟอร์นิเจอร์ขึ้นราพร้อมเคล็ด(ไม่)ลับ , ไม้ยางพาราโดนน้ำได้ไหม หรือ ไม้ยางพาราปลวกกินไหม เพิ่มเติมได้ ส่วนใครที่อยากรู้เรื่องพาเลทไม้ การขนส่ง มาตรฐานต่างๆ สามารถไปอ่านได้ที่เว็บไซต์ของ MTK เลย!!!
     

     
    สนใจสั่งซื้อ และ ดูข้อมูลเพิ่มเติม MTK ได้หลากหลายช่องทางที่
    Facebook  : MTK เอ็มทีเค
    Line  :   @mtkwood
    Tel :  095-654-6551
    Email :    marketing@mtkwood.com



    91

    อุตสาหกรรมอาหาร และ ยานับว่าเป็นอุตสาหกรรมยอดฮิตที่ต้องพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิต ต้องใส่ใจเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย โรงงานอุตสาหกรรมต้องทำการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ดีอย่าง มาตรฐาน GMP วันนี้ทาง V.K.B จะพาคุณมารู้จักกับมาตรฐาน HACCP คือ อะไร? ทำไมถึงสำคัญ สำหรับ ใครที่คิดจะทำโรงงานเกี่ยวกับอาหาร หรือ ยาควรต้องรู้ ไปอ่านบทความกันเลย!!!

    มาทำความรู้จักมาตรฐาน HACCP คือ อะไร?


    HACCP หรือ ที่มาจากชื่อเต็มๆ นั่นก็คือ Hazard Analysis Critical Control Point (H.A.C.C.P) เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยงเชิงรุกในการป้องกันอันตรายที่เกิดจากอาหาร และ ยา ที่ใช้ในการควบคุมอันตรายที่อาจจะเกิดตั้งแต่กระบวนการผลิต ไปจนถึงกระบวนการจัดจำหน่าย ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ HACCP เป็นมาตรฐานที่ใช้สำหรับป้องกันการเกิดอันตรายในอาหารมากกว่าการไปตรวจสอบกับผลิตภัณฑ์ว่าปลอดภัยหรือไม่!!!


    หลายคนอาจจะเกิดความสับสนระหว่างมาตรฐาน GMP กับมาตรฐาน HACCP หากอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ "GMP จะเน้นในเรื่องของกระบวนการผลิตที่ต้องได้มาตรฐาน ส่วน HACCP จะเน้นเรื่องของความปลอดภัยจากทุกกระบวนการไม่ให้มีการปนเปื้อนของสิ่งที่ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค"
    • GMP (Good Manufacturing Practice) เป็นข้อกำหนดขั้นพื้นฐานที่ใช้ในการผลิต และ ควบคุมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค เช่น สุขลักษณะของโรงงานเป็นอย่างไร การบำรุงรักษา ความปลอดภัยในการทำงาน ความสะอาดของบรรจุภัณฑ์

    • HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) การประเมินความเสี่ยงในการป้องกันอันตรายที่เกิดภายในอาหาร เช่น อะไรที่จะเป็นอันตรายในอาหารแล้วทำให้ผู้บริโภคเกิดอันตรายในการรับประทาน

     
    ขั้นตอนการทำ HACCP

    มาตรฐานในการป้องกันอันตรายที่มาจากการบริโภคอาหารของ HACCP จะครอบคลุมทั้งในเรื่องของ
    • อันตรายที่มาจากชีวภาพ ที่เกิดจากเชื้อรา และ แบคทีเรียในอาหาร

    • อันตรายจากสารเคมี ทั้งจากในกระบวนการผลิตที่เกิดจากวัตถุดิบ การเพาะเลี้ยง การใช้สารเคมีในการเกษตร และ สารเคมีที่เจือปนในอาหาร สารที่ใช้ในการยืดอายุผลิตภัณฑ์ เช่น สารกันบูด

    • อันตรายจากทางกายภาพ สิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาอยู่ในอาหาร เช่น เศษไม้ เศษแก้ว โลหะ ยางต่างๆ

    โดยการป้องกันอันตรายจากการปนเปื้อนภายในอาหารของ HACCP มีด้วย 7 ข้อดังต่อไปนี้


    • ดำเนินการวิเคราะห์อันตราย ทำการประเมินโอกาสที่จะเกิดอันตรายจากทุกขั้นตอนการผลิต และ หามาตรการในการควบคุมอันตรายเหล่านั้น

    • หาจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (จุด CCP) กำหนดจุดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายในขั้นตอนการผลิตต่างๆ เพื่อลดโอกาสการเกิดอันตรายในผลิตภัณฑ์

    • กำหนดค่าวิกฤต เมื่อหาจุด CCP ได้แล้วหลังจากนั้นจะทำการควบคุมจุดที่ก่อให้เกิดอันตรายนั้น อาจจะเป็นตัวเลข หรือ ลักษณะคุณภาพ ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

    • ทำการเฝ้าระวัง สังเกตการณ์ ทำการกำหนดแผนการทดสอบ การเฝ้าสังเกตการตรวจวัดต่างๆ ที่ต้องทำการควบคุม และ ประเมินจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมว่าสามารถทำได้หรือไม่

    • กำหนดวิธีการแก้ไขที่ถูกต้อง การกำหนดวิธีในการแก้ไขว่าต้องทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง ในการแก้ไขส่วนของกระบวนการผลิตนั้นๆ จะผลิตใหม่ หรือ ทำลายผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้น

    • ตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบ เป็นการทบทวนประสิทธิภาพของระบบที่ใช้อยู่ว่าโอเคหรือไม่ สอดคล้องกับแผน HACCP ที่ถูกต้องหรือเปล่า

    • กำหนดการรายงานผล เป็นขั้นตอนในการรายงานผลว่าการเก็บข้อมูลจุดที่ก่อให้เกิดอันตราย และ การปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับกระบวนการผลิตต่อไป

    ประโยชน์ของการทำ HACCP


    HACCP ยังมีประโยชน์มากต่อโรงงาน กระบวนการผลิต และ ยังทำให้ผู้บริโภคมีความปลอดภัยในการทานอีกด้วย

    • ใช้ในการตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ว่าอาหารตัวนั้นปลอดภัยเหมาะแก่การบริโภคหรือไม่ ผ่านการรายงานผลการตรวจสอบ HACCP

    • สามารถนำระบบมาใช้ร่วมกับระบบอื่นๆ เพื่อทำให้เกิดความปลอดภัยต่อกระบวนการผลิตได้ เช่น ใช้ควบคู่ไปกับมาตรฐาน GMP

    • ใช้ในการควบคุมคุณภาพอาหารที่ผลิตออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้มีสิ่งเจือปนในอาหาร

    • ช่วยในการป้องกันการเสียหายของผลิตภัณฑ์ ไม่ทำให้เกิดความสิ้นเปลืองในการผลิต เช่น กรณีที่อาหารมีการปนเปื้อนหากสามารถควบคุมได้ ทำให้ไม่ต้องมาผลิตใหม่ให้เปลืองวัตถุดิบ เป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการผลิต หากผลิตภัณฑ์ได้มาตรฐานก็ไม่จำเป็นต้องผลิตใหม่

    • ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร สินค้าบางตัวหากส่งออกจะต้องมีการรับรองมาตรฐานเสียก่อนจึงจะสามารถส่งออก หรือ นำเข้าได้ เช่น มาตรฐาน GMP ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข , มาตรฐาน HACCP ที่สอดคล้องกับประเทศคู่ค้า , ใบอนุญาตนำเข้าส่งออก ใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า การใช้สิทธิ FTA และ มาตรฐานอื่นๆ ที่ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ มาตรฐานเหล่านี้จะทำให้สินค้าเรามีความน่าเชื่อถือจากผู้บริโภค แถมยังช่วยยกระดับองค์กรให้มีความน่าเชื่อถือเรื่องของความปลอดภัยในการผลิต
      การทำ HACCP จะทำให้โรงงานของคุณมีประสิทธิภาพที่ดีในการผลิตมากยิ่งขึ้น ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกยอมรับ เพราะความใส่ใจเรื่องความปลอดภัยในอาหารนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

     
     
    อยากมีโรงงานที่ดีปรึกษาและสร้างที่ V.K.B สิ!!!
    V.K.B ใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง วางแผน การออกแบบ ตลอดจนการดูแลจนจบโครงการก่อสร้าง ทำให้จะต้องเลือกผู้รับเหมาที่มีความชำนาญ V.K.B contracting เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ด้วยทีมที่เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ ที่พร้อมให้บริการออกแบบ ก่อสร้าง และ ให้คำแนะนำด้านการก่อสร้างทุกรูปแบบ ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานเราจะบริการอย่างเต็มที่ และ เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ
    • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่

    • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ

    • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ


    สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
    Facebook : VKB Contracting
    Line : @vkbth
    Tel : 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
    Email : vkb.cont@gmail.com


    92


    อาการไอ อีกหนึ่งอาการที่ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปสู่ร่างกายผ่านทางลำคอ บางครั้งเราก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ลำคอได้ ทำให้เรามักจะไอขึ้นมาอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง!!! เราสามารถบรรเทาอาการไอได้ด้วยยาแก้ไอ วันนี้ Sistalk จะมาแนะนำ ยาแก้ไอ วิธีใช้ ยาแต่ละประเภทอย่างไรให้เหมาะสมไปอ่านบทความกันเลย!!!

    สาเหตุของการไอ คืออะไรทำไมเราถึงไอกันนะ


    การไอก็จะมีทั้ง การไอแบบแห้ง เป็นการไอที่เกิดจากการระคายเคืองภายในลำคอ อาจก่อให้เกิดการคันภายใน และ การไอแบบมีเสมหะ ที่เป็นการไอที่มาพร้อมกับเสมหะภายในลำคอ สาเหตุของการไอเกิดได้จากหลายปัจจัย ส่วนใหญ่จะเกิดจาก

    • การรับสารที่ทำให้เกิดการระคายเคือง สาเหตุนี้เป็นสาเหตุยอดฮิตที่ทำให้เกิดการไอขึ้นอยู่บ่อยครั้ง สารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองของแต่ละคนก็จะแตกต่างการออกไป เช่น น้ำหอม สเปรย์ปรับอากาศ ควันบุหรี่ ขนสัตว์ เชื้อรา เป็นต้น

    • การทานยาบางชนิด ยาที่เราทานประจำบางตัวอาจจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงอย่างเช่นการไอขึ้นมาได้ ซึ่งการไอจะไม่เกิดขึ้นหากไม่กินยา แต่ส่วนใหญ่ยาที่ทำให้เกิดการไอมักจะเป็นยาที่ต้องทานอย่างต่อเนื่อง เช่น ยาลดความดัน  ยาโรคหัวใจ เป็นต้น

    • อาการป่วย และ โรคต่างๆ นอกจากการทานยาแล้ว โรคบางอย่างก็ทำให้เกิดการไออย่างเฉียบพลัน และ เรื้อรังขึ้นได้ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปวดบวม โรคภูมิแพ้ เป็นต้น

    >>อ่านสาเหตุที่ทำให้เรา เสียงหายเสียงแหบ เกิดจากอะไร ได้ที่นี่<<

    ยาแก้ไอ มีกี่ประเภท?
    การไอแต่ละประเภทก็จะมีลักษณะของการไอที่แตกต่างกันทั้งการไอแบบแห้ง แบบมีเสมหะร่วมด้วย ดังนั้นเราจะต้องเลือกประเภทของยาให้ถูกต้อง ซึ่งยาแก้ไอเองก็มีประเภทของยาที่ใช้สำหรับบรรเทาอาการที่แตกต่างกันทั้ง

    • ยาที่บรรเทาอาการไอ (Antitussives) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการไอ ทำให้อาการไอลดน้อยลง แต่ก็ไม่ควรใช้กับคนที่มีเสมหะเหนียว เพราะจะยิ่งทำให้เสมหะเหนียวข้นขึ้น และ อาจทำให้เกิดการอุดตันที่ทางเดินหายใจได้
    • ยาที่ช่วยในการขับเสมหะ (Expectorants) ยาที่ช่วยในการขับเสมหะออกมา ตัวยาจะไปทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง ทำให้ร่างกายมีการสร้างสารที่ช่วยในการลดความหนืดลง ทำให้สามารถเอาเสมหะออกไปง่าย ยาขับเสมหะมักทำให้เกิดอาการข้างเคียงขึ้นได้ เช่น อาเจียน คลื่นไส้
    • ยาที่ช่วยละลายเสมหะ (Mucolytics) จะไปทำลายโครงสร้างของเสมหะที่เหนียว ทำให้เสมหะไม่เกาะตัว และ เสมหะออกมาในรูปของของเหลวไม่เป็นก้อน
    • ยาสมุนไพรช่วยลดอาการไอ สมุนไพรบางชนิดก็มีสรรพคุณที่ช่วยลดอาการคันคอ และ ลดการเจ็บคอ อย่างสมอไทย สมอพิเภก มะข้ามป้อง ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ช่วยในการขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ นอกจากนั้นสารสกัดบางอย่างจากดอกไม้ สารระเหยบางตัวก็สามารถช่วยลดการอักเสบ ไอ เจ็บคอ และ ระคายเคืองในช่องปากได้ดี อย่างดอกคาโมมายล์ อิชินาเซีย

    มารู้จักรูปแบบ ยาแก้ไอ วิธีใช้ แต่ละแบบใช้อย่างไร?
    รูปแบบของยาแก้ไอในปัจจุบันก็จะมีทั้งยาในรูปแบบของยาเม็ด ยาน้ำ ยาแบบพ่น และ ยาแบบฉีด ซึ่งยาแต่ละแบบก็จะมีวิธีใช้ที่แตกต่างกัน ซึ่งเราควรจะเลือกยาให้เหมาะสมกับอาการ

    ยาแก้ไอแบบเม็ด


    ยาเม็ดแบบแห้ง ใช้สำหรับรักษาอาการไอแบบมีเสมหะ และ ไม่มีเสมหะ จะเน้นออกฤทธิ์ในการรักษาอาการไอแบบต่างๆ และ แบบแคปซูล ที่ส่วนมากจะเป็นยาแก้ไอที่ช่วยขับเสมหะ ละลายเสมหะ ยาแก้ไอรูปแบบเม็ดเป็นยาแก้ไอที่ต้องทานคู่กับน้ำเพื่อช่วยในการลำเลียงยาเข้าสู่ร่างกาย และ ยังเป็นตัวช่วยในละลายยาให้ออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว
    ข้อดีและข้อเสียของยาเม็ด - ออกฤทธิ์ได้ดี ละลายได้เร็ว และ สะดวกต่อการพกพา แต่เวลาทานหากไม่มีน้ำก็จะทำให้ละลายได้ยาก

    ยาแก้ไอแบบน้ำ


    ยาแก้ไอแบบน้ำ เหมาะสำหรับการไอแบบแห้งมากกว่าแบบมีเสมหะ เพราะตัวยาจะช่วยให้รู้สึกชุ่มคอ ช่วยบรรเทาอาการไอแห้งได้ดี หากเป็นยาน้ำที่ใช้กับเด็ก ตัวยาจะเป็นในรูปแบบของ ยาแก้ไอที่เป็นน้ำเชื่อม ทำให้ทานได้ง่าย สามารถทานได้ทั้งเด็ก และ ผู้ใหญ่
    ข้อดีและข้อเสียของยาน้ำ - จะทานได้ง่ายกว่ายาแก้ไอแบบเม็ด ใช้ในการจิบระหว่างวันจะทำให้รู้สึกชุ่มคอ แต่ก็พกพาไปได้ลำบาก

    ยาแก้ไอแบบพ่น


    ยาพ่นจะมีละอองน้ำเข้าไปในลำคอ เพื่อช่วยทำให้รู้สึกชุ่มคอ สามารถใช้ในการบรรเทาอาการไอแบบแห้ง และ แบบมีเสมหะได้ ส่วนใหญ่ยาแก้ไอแบบพ่นจะมีการปรับให้สามารถใช้ได้ง่ายด้วยส่วนผสมที่มีรสหวาน เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน
    ข้อดีและข้อเสียของยาพ่น - สามารถพกพาได้ง่าย และ ใช้ได้ง่าย รวดเร็ว ทำให้รู้สึกชุ่มคอได้ยาวนาน แต่ก็จะต้องพ่นให้ถูกวิธี ไม่เช่นนั้นอาจจะสำลักได้ และ ใช้เวลาในการออกฤทธิ์

    ยาแก้ไอแบบฉีด


    สำหรับใครที่ไอมากๆ ไอหนักๆ ยาแก้ไอแบบฉีดก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ใช้ได้  วิธีนี้มักจะใช้ในการรักษาการไอจากภูมิแพ้ ยารูปแบบนี้ถือว่าเป็นยาที่เอาไว้ใช้รักษาในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะเป็นตัวยาที่มีสารสเตียรอยด์ และ เมื่ออาการไอเบาลงก็จะเปลี่ยนไปใช้ยาในรูปแบบเม็ดแทน
    ข้อดีและข้อเสียของยาฉีด - ออกฤทธิ์ได้เร็วที่สุด เพราะเป็นการฉีดเข้าร่างกายโดยตรง แต่ไม่สามารถใช้ได้บ่อย แล้วหยุดใช้อาจทำให้อาการไอหนักขึ้นกว่าเดิมได้
     
    วิธีการเลือกยาแก้ไออย่างไรให้ดี

    • ให้ทานยาหลังอาหารวันละ 3 - 4 ครั้งเมื่อมีอาการไอ ตามคำแนะนำของแพทย์ เภสัชกร

    • ควรศึกษาตัวยาให้ดี เพราะยาบางชนิดจะทำให้ง่วงซึมได้ จึงไม่ควรใช้หากทำการขับรถ

    • อย่าทานยาที่แรงจนเกินไป โดยเฉพาะยาที่เป็นยาฆ่าเชื้อ เพราะยาประเภทนี้เมื่อทานอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดอาการดื้อยา ทำให้เมื่อทานยาอีกครั้งจะรักษาอาการได้ไม่ดีเท่าเดิม และ อาจจะต้องเปลี่ยนตัวยาใหม่

    • ใครที่เป็นเบาหวาน ไม่ควรเลือกยาแก้ไอแบบน้ำเชื่อม เพราะมักจะมีส่วนผสมของสารให้ความหวาน หรือ น้ำตาล

    • กรณีที่ใช้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี ควรแจ้งแพทย์ เภสัชกรให้ชัดเจน เพราะยาอาจจะมีผลข้างเคียงต่อเด็ก และ ไม่ควรใช้ยากับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี

    • ใครที่กำลังตั้งครรภ์ หรือ มีการให้นมบุตรให้ปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อยา เพราะอาจจะมีผลต่อเด็กได้

    • ไม่แนะนำให้ดื่มแอลกอฮอล์ และ ทำการสูบบุหรี่ขณะที่มีอาการไอ เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม และ อาจจะเกิดผลข้างเคียงได้

    • กรณีใช้ยาในผู้สูงอายุอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้มากกว่าคนทั่วไป หากใช้ในผู้สูงอายุควรปรึกษาแพทย์

    • หากทานยาแก้ไอติดต่อกันเป็นเวลา 2 อาทิตย์แล้ว แต่อาการไอยังไม่ดีขึ้น ให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย และ รักษาต่อไป

    การใช้ยาให้ได้ผล ต้องทานให้ตรงตามคำแนะนำไม่มากจนเกินไป ไม่บ่อยจนเกินไป ต้องทานให้พอดีตามคำแนะนำของแพทย์ เภสัชกร เพียงเท่านี้อาการไอก็จะไม่มารบกวนการใช้ชีวิตของเรา ไอเมื่อไหร่ก็หยิบมาใช้ได้เลย!!! นอกจากนั้นการดูแลตัวเองด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ การกินอาหาร และ สมุนไพรที่ช่วยแก้อาการไอ รวมไปถึงวิธีในการแก้ไอวิธีอื่นๆ



    Sistalk มาพร้อมคำแนะนำเรื่องสุขภาพดีๆ ให้คุณ

    เรื่องของสาวๆ ก็ต้องให้สาวๆ คุยกันสิคะ หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหา มีข้อสงสัยไม่ว่าจะเรื่องของ สุขภาพ , การดูแลรูปร่าง , เรื่องลับๆ ของสาวๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของความรัก และ เทรนด์อื่นๆ ไม่อยากพลาด ต้องเข้ามาอ่าน มาติดตามบทความที่เรา Sistalk ได้รวบรวมมาให้ รับรองได้ว่าคุณจะได้ทั้งประโยชน์ สาระความรู้ และ อัปเดตเทรนด์ก่อนใคร เพราะเราเข้าใจผู้หญิงดี!!!

    ใครไม่ Talk Sistalk นะคะซิส!!!!

     
    สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
    Facebook : sistalk.in.th
    Instagram : sistalk.in.th
    Twitter : @SistalkTH


    93

    การประชุมออนไลน์ การนำเสนอออนไลน์ หรือ ทำคอนเทนต์ไลฟ์สด สตรีมมิ่ง เสียงเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ ยิ่งต้องทำงานแบบออนไลน์เสียงยิ่งต้องดี หรือ ถ้าคุณเป็นสายไลฟ์สด สตรีมมิ่งที่ต้องเชื่อมต่อกล้องเข้ากับคอมก็อาจจะต้องการเสียงที่ดี Aquaproอยากแนะนำไมค์ไร้สาย ที่เสียงดีแถมพกพาง่ายอย่าง Saramonic Blink 500 ใช้กับคอม ได้เหมือนกันนะ วันนี้เราจะมาบอกวิธีเชื่อมต่อที่ทำได้ภายในไม่กี่ขั้นตอน แถมใช้อุปกรณ์ไม่กี่ชิ้น แต่สำหรับใครที่ใช้โปรแกรมสตรีมอย่ารอช้าไปดูขั้นตอนการต่อกันเลย!!!

    >>อ่าน GoPro Liveสดด้วยโปรแกรมOBS ได้ที่นี่<<



    วิธีเชื่อมต่อ Saramonic Blink 500 ใช้กับคอม STEP BY STEP
    สำหรับคนที่ต้องทำงานออนไลน์ แล้วเสียงดันขาดๆ หายๆ ยิ่งทำให้เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน แต่หากคุณมีไมค์ของ Saramonic Blink 500 การพรีเซนต์งานของคุณจะเป็นเรื่องที่ง่าย และ ดูโปรเฟสชั่นแนลมากยิ่งขึ้น มีอุปกรณ์อย่างไรบ้าง ใครที่เป็นสายทำงานออนไลน์ไม่ควรพลาด!!!

    การต่อเข้ากับโปรแกรมปกติ ต่อเข้ากับคอมโดยตรง
    สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้โปรแกรม OBS หรือ ต้องการพรีเซนต์งานแบบไม่ต้องเห็นรูปแต่ต้องการเสียงที่ดี อย่างพวกโปรแกรม Zoom โปรแกรมคุยงานต่างๆ ก็สามารถเชื่อมต่อเข้าได้ดังนี้

    กรณีใช้ Saramonic blink 500 Pro B1 (ตัวส่ง1 ตัวรับ1) / B2 (ตัวรับ1 ตัวส่ง2)





    STEP1
    เปิดตัวรับสัญญาณให้ไฟกระพริบ จากนั้นให้ต่อสายที่ช่วยแปลงจากสาย 2 ขีด(TRS) ไปเป็น 3 ขีด(TRRS) แล้วทำการเสียบสายที่แปลงแล้วเข้ากับแจ็ค 3.5 ของคอมพิวเตอร์ (ใช้สำหรับกรณีที่จะคอมพิวเตอร์ของคุณเป็นพอร์ตแจ็คแบบ Combo jack คือมี 1 รูแต่สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งหูฟังและไมค์) หากพอร์ตเป็นแบบ 2 รูให้ใช้รูที่เป็นไมค์


    STEP2
    ให้เปิดตัวส่งสัญญาณให้ไฟกระพริบ แล้วติดเข้ากับตัวของเราที่จะพูด


    STEP3
    เข้ามาที่โปรแกรมที่เราต้องการ (เราจะยกกรณีใช้โปรแกรม Zoom) > เลือกที่ไมค์ Mute > เลือกที่ External Microphone เพียงเท่านี้เสียงของเราก็จะเข้าไปในโปรแกรมแล้ว (ให้ลองทำการใช้งานว่าเสียงเข้าไปหรือไม่)

    กรณีใช้ Saramonic blink 500 Pro B3 - B6 ที่มี Type-C


    STEP1
    เสียบตัว Type-C เข้าที่คอมพิวเตอร์ หรือ โน๊ตบุ๊ค ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นเหมือน ตัวรับสัญญาณ เมื่อเสียบเข้าไปจะมีไฟสีฟ้าแสดงขึ้นมา


    STEP2
    เปิดตัวส่งสัญญาณจากนั้นให้ติดเข้ากับเสื้อผ้า หรือ อยู่ใกล้ตัวแล้วทำการพูดก็เป็นอันเรียบร้อย

    การตั้งค่าไมค์ว่าเชื่อมต่อกันหรือยัง?


    STEP1 - เข้ามาที่คอมจากนั้นคลิกที่รูปลำโพงด้านขวามือล่างสุด > เลือกที่ Sound Setting > Input > Headset Microphone
    STEP2 - ให้ทำการลองเทสว่าไมค์ติดหรือไม่ โดยการเลือกที่ Output > เลือกเปลี่ยนเป็น Speaker ระวังเลือกที่ Headset เพราะจะทำให้เสียงไม่ออก
    STEP3 - จากนั้นให้เลือกที่ Sound Control Panel ที่อยู่ด้านขวามือ > ดูว่าเสียงไมค์ที่เราเชื่อมต่อแสดงหรือไม่
    STEP4 - มาที่ Playback เลือกที่รูปลำโพง > เลือก Set Default เพื่อทำให้เสียงออกมาที่ลำโพงเป็นหลัก > มาที่ Recording จะเห็นไมค์ Headset แสดงขึ้นมา > กดไปที่ไมค์เพื่อปรับเลเวล และ คุณภาพของเสียงที่เราต้องการ เมื่อเราทำการตั้งค่าเสร็จให้ลองทำการบันทึกเสียง ว่าเสียงเข้าไปในไมค์หรือยัง
     
    วิธีเชื่อมต่ออื่นๆ
    วิธีต่อเข้ากับโปรแกรม OBS โปรแกรม live stream ยอดนิยม ซึ่งทำได้ 2 กรณีทั้งแบบต่อจาก กล่อง Video Capture โดยการใช้กล่องเป็นตัวกลางในการรับสัญญาณเข้าสู่กล้อง และ อีกวิธีคือ การแปลงสาย โดยหาสายต่อที่แปลงจาก 2 ขีดเป็น 3 ขีดก่อน เพียงเท่านี้ก็ทำให้การทำคอนเทนต์ การไลฟ์ต่างๆ รวมทั้งเวลาที่ต้องประชุมงานออนไลน์ หรือ พรีเซนต์งานออนไลน์เป็นเรื่องง่ายๆ Saramonic Blink 500 ให้เสียงที่คมชัด ให้เสียงโปรขึ้น ไม่ว่าจะใช้ภายใน หรือ ภายนอกก็ใช้งานได้ทุกสถานการณ์
     

    เลือกซื้อ Saramonic ได้ที่ Aquapro!!!
    คุ้มสุดซื้อ ไมค์Saramonic blink 500 รวมทั้งกล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมอื่นๆ กับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ที่มาพร้อมกับ GoPro 10 โปรโมชั่น สุดคุ้ม ของแถมจุกๆ โปรส่งฟรี พร้อมโปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติมที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!! ติดตามได้ตาม link ด้านล่างเลย

     
     
    ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
    Facebook : AquaproThailand
    Line :  @aquapro
    Shopee : Aquaprothailand

    GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


    94

    ใครที่เป็นสายแอดเวนเจอร์ ชอบถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอ อยากได้ Action Camera อยู่แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรดี ระหว่าง GoPro 10 ที่มีจอแสดงผลข้างหน้า ถ่ายวิดีโอได้คมชัดกับ Insta360 GO 2 ที่หน้าจอพร้อมกับ remote control สามารถชาร์จไป ถ่ายไปได้ เอาละมาดูกันดีกว่าว่าระหว่าง GoPro 10 vs Insta360 GO 2 กล้องตัวไหนจะเป็นกล้องคู่ใจของคุณ!!
     
    ความแตกต่างระหว่าง GoPro 10 และ Insta360 GO 2
    ดีไซน์ตัวเครื่อง


    ถ้าให้เปรียบเทียบกัน ในเรื่องของดีไซน์บอดี้ ทั้งสองตัวนี้มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนเลย GoPro 10 จะเป็นสีดำ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า โลโก้ด้านหน้าจะเป็นสีฟ้า มีปุ่มเปิด - ปิด และกดถ่ายแยกกันอย่างชัดเจน ส่วนInsta360 GO 2 นับแค่ตัวกล้องก่อนนะ ตัวกล้องจะมีขนาดที่เล็กมากเรียกว่าเบาที่สุดในโลก มีตัว Charging Case ที่ใช้คู่กับกล้องได้ สามารถเป็นขาตั้ง ใครที่อยากจะพกพาง่ายๆ เบากระเป๋าแนะนำ Insta360 GO 2 แต่ถ้าใครไม่ได้กังวลความหนักนิดหน่อยของตัวเครื่อง แล้วไปในสถานที่ต้องลุย เผื่อตัวเครื่องต้องรับแรงกระแทกก็หยิบ GoPro 10 ไปใช้
     
    แบตเตอรี่


    ถ้าพูดถึงแบตเตอรี่ของ GoPro 10 สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ แต่ถ้าเป็น Insta360 GO 2 แบตเตอรี่ในตัว ไม่สามารถถอดออกหรือเปลี่ยนได้ แบตเตอรี่ของ GoPro 10 จะมากกว่ามาพร้อมแบตเตอรี่ 1,729 mAh ส่วนInsta360 GO 2 แบตเตอรี่แค่ 210 mAh แต่ก็จะมี Charging Case ที่มี แบตเตอรี่ 1,100 mAh ชาร์จได้ประมาณ 3 รอบ GoPro มีระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่มากกว่า Insta360 เหมาะในการใช้ถ่ายคอนเทนต์ในระยะเวลาที่ยาวหน่อย แต่ถ้าใครเน้นทางระยะเวลาสั้นๆ ก็แนะนำ Insta360 GO 2
     
    การเชื่อมต่ออุปกรณ์


    การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของในเรื่องของการถ่ายโอนข้อมูลตัว GoPro 10 จะรวดเร็วกว่าด้วยชิป GP2 Processor ตรงที่โกโปรสามารถเชื่อมสายผ่าน USB เร็วขึ้น 40-50 % ถ้าผ่านแอปพลิเคชัน GoPro จะเร็วขึ้น 30% แต่ Insta360 go 2 จะมีแค่ เชื่อมสายผ่าน USB และแอปพลิเคชัน Insta360 ตัว GoPro 10 มีโหมดการ Livestream ที่ใช้งานง่ายตอบโจทย์คนไลฟ์ ส่วน Insta360 เหมาะสำหรับการถ่ายไปเช็กไฟล์ไป การ Preview ภาพและวิดีโอ คือไวมาก

    ความละเอียดของวิดีโอ


    คุณภาพความละเอียดของวิดีโอ ระหว่าง GoPro 10 กับ Insta360 GO 2 บอกได้เลยว่าGoPro 10 กินขาดด้วยความละเอียดสูงสุดถึง 5K 60FPS / 4K 120FPS ภาพชัดแบบตาแตกกันเลยทีเดียว แต่Insta360 GO 2 จะมีความละเอียดที่น้อยกว่า อยู่ที่ 3K/Full HD ได้ 50 30 25 24 FPS ตัว GoPro 10 ให้ความละเอียดได้ถึง 5K เหมาะสำหรับโปรดักชั่น หรือกับคนที่ชอบถ่ายให้เห็นรายละเอียดที่ชัดเจนสมจริง แต่กับบางคนก็อาจจะไม่ได้เน้นว่าคุณภาพต้องออกมาชัดมากขนาดนั้นแค่พอชัดเจน มีสีสันที่แม่นยำ เน้นถ่ายหันกล้องแบบเข้าหาตัวเหมือน Vlog แบบนี้ก็เหมาะกับ Insta360 GO 2
     
    ความละเอียดของภาพ


    คุณภาพของภาพถ่ายตัวกล้องGoPro 10 ให้ความละเอียดถึง 23 ล้านพิกเซล สามารถปรับถ่ายภาพได้ถึง 4 ระยะ แถมยังมี HDR และ Super Photo สามารถถ่ายภาพนิ่งได้สวย แต่Insta360 GO 2 ให้ความละเอียดของภาพแค่ 3 ล้านพิกเซล มีโหมด HDR เหมือนกัน กล้องทั้ง 2 ตัวนี้จะขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานด้วยว่า หากเน้นใช้ถ่ายภาพด้วย อยากได้ภาพแบบคมชัด ถ่ายภาพเก็บแสง เก็บเงาต่าง ๆ ได้สวยมาก ถ่ายพวกวิวย้อนแสงแบบสบายๆ เลย แนะนำ GoPro 10 แต่ถ้าไม่ได้เน้นว่าภาพถ่ายต้องคมชัด แค่พอชัด สีภาพสวย สดใสก็แนะนำ Insta360 GO 2
     
    ฟีเจอร์ ในการใช้งาน

    ฟีเจอร์หลักๆ ที่ทั้ง 2 ตัวนี้จะมีคล้ายกัน อย่างGoPro 10 กับ Insta360 GO 2 ก็จะมีพวก Slow Motion, Timelapse, Hyperlapse และอื่น ๆ แต่ถ้าพูดถึงฟีเจอร์ที่เด่นเลยคือ ตัว GoPro 10 ถ้าเราจะวิ่ง หรือกระโดดก็นิ่งสนิทไม่สั่นด้วยระบบ HyperSmooth 4.0 และยังมีระบบ Live Stream ที่เราสามารถจะสั่งให้ไลฟ์ได้เลยแค่จับคู่กับแอปพลิเคชันบนมือถือ หรือว่าจะเป็น Scheduled Capture เป็นการตั้งเวลาให้กล้องเริ่มถ่าย สำหรับใครที่อาจจะไปเที่ยวอยากเก็บบรรยากาศดี ๆ อย่างพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็กังวลว่าจะตื่นมาไม่ทันเก็บภาพก็สามารถใช้โหมดนี้ได้ แต่ถ้าหากใครไม่อยากพลาดช็อตเด็ดก็มีโหมด HindSight มันตั้งได้เลยว่าจะให้กล้องบันทึกวิดีโอล่วงหน้าก่อนกดถ่ายล่วงหน้า 15 หรือ 30 วินาที ส่วน Insta360 GO 2 ก็มีฟีเจอร์ที่เหมาะกับใครที่เป็นสายโซเชียลมีเดีย ภายในแอปพลิเคชันเราสามารถ ปรับขนาดภาพได้หลังจากที่ถ่ายภาพ หรือวิดีโอ ให้ได้ขนาดตามที่ต้องการทั้ง 9:16, 16:9 และ 1:1 โดยที่ภาพจะไม่เพี้ยน แบบถูกบีบเลย
     
    อุปกรณ์เสริม


    ใครเป็นสายที่ชอบลูกเล่นของอุปกรณ์เสริมแนะนำ GoPro 10 เพราะมันมีอุปกรณ์เสริมที่หลากหลายหาซื้อได้ง่าย อย่าง ไม้เซลฟี่, สายรัด อก หัว ข้อมือ, เคสกันน้ำ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะช่วยให้เราทำกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุดทำให้เรามีอิสระในการถ่ายภาพถ่ายวิดีโอได้สะดวกง่ายมากยิ่งขึ้น
    ใครที่เป็นมือใหม่ หมดห่วงเรื่องอุปกรณ์เสริมให้ยุ่งยากแนะนำ Insta360 GO 2 จะมีอุปกรณ์เสริมที่มาพร้อมกับตัวกล้องด้วยกันหลักๆ คือ Madnet Pendant, Pivot Stand และEasy Clip แต่ละตัวก็จะมีวัตถุประสงค์ในการติดตั้งกล้องที่แตกต่างกันออกไป
     
    การรับประกัน
    การรับประกันระหว่างGoPro 10 และ Insta360 GO 2 จะรับประกัน 1 ปี เป็นประกันจากศูนย์ จะต้องเกิดจากความผิดพลาดในการผลิต ไม่ใช่เกิดจากอุบัติเหตุ หรือ ความเสียหายที่มาจากการใช้งานผิดวิธี ความสึกหรอระหว่างการใช้งาน และสำหรับ Insta360 GO 2 จะมีตลับชาร์จ ถ้าหากโดนน้ำจะไม่ได้รับการรับประกัน เพราะมันไม่สามารถโดนน้ำได้อยู่แล้ว
     
    กล้องตัวไหนเหมาะกับใคร???
    สุดท้ายนี้คงไม่พ้นแน่ๆ กับคำถามที่ว่า GoPro 10 vs Insta360 GO 2 จะซื้ออะไรดี เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่ามันคนละตำแหน่งกัน ที่มีความแตกต่างกันทั้งขนาด, ราคา, ฟังก์ชันการใช้งาน, สีสันของภาพและวิดีโอ
    GoPro 10 จะราคาสูงกว่า Insta360 GO 2 ที่มีชิปเซนเซอร์ตัวใหม่ และสเปคเทพ ฟีเจอร์หลากหลาย ให้คุณถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอได้สนุกไม่มีสะดุด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการภาพที่คมชัด เก็บรายละเอียดได้ดี หรือถึงขั้นที่เป็นงานระดับโปรดักชั่น
    Insta360 GO 2 เหมาะสำหรับใครที่กำลังเป็นมือใหม่ป้ายแดง อยากได้กล้องแอ็กชัน ราคาน่ารัก พกพาง่าย ขนาดเล็กไม่เป็นที่แตะตาคน และไม่ต้องพกอุปกรณ์เสริมให้ยุ่งยาก
     
    สนใจ Action camera และ อุปกรณ์อื่นๆ ต้องที่ Aquapro
    ใครที่กำลังหากล้องกล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมอื่นๆ กับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ที่มาพร้อมกับ GoPro 10 โปรโมชั่น สุดคุ้ม ของแถมจุกๆ โปรส่งฟรี พร้อมโปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติมที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!!



    ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro ได้หลากหลายช่องทางที่
    Facebook : AquaproThailand
    Line : @aquapro
    Shopee : Aquaprothailand
    GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


    95

    แค่กๆ แค่กๆ อาการไออีกหนึ่งปัญหาที่เกิดได้กับคนทุก ทุกเพศ ทุกวัย ทุกวันนี้มลภาวะ และ สภาพอากาศล้วนไม่เป็นใจ อย่าให้การไอมาขัดจังหวะการใช้ชีวิต Sistalk เลยได้รวบรวม วิธีแก้ไอ แบบปังๆ ที่รับรองได้ว่าแค่ แค่กๆ เดียวก็ไม่มารบกวนคุณอีกต่อไป จะเม้าส์ จะพูดทั้งทีต้องไปให้สุดสิคะซิส ถ้าจะต้องพรีเซนต์งาน ประชุมงานต้องไม่มีการไอมาขัดได้ อย่ารอช้าไปอ่านกันเลยสิคะซิส ส่วนถ้าวิธีไหนโดนใจ หรือ ใช้แล้วปังละก็อย่าลืมเอาไปบอกเพื่อน หรือ แชร์ไปให้เพื่อนรู้ด้วยนะคะ !!!
    การไอเกิดจากอะไร ทำไมเราถึงไอกันนะ ?
    การไอเป็นหนึ่งในการตอบสนองของร่างกายเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปอด เนื่องจากเกิดการระคายเคืองในคอ สาเหตุที่ทำให้เกิดการไอมีหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่หากเป็นการไอทั่วไปมักจะมีสาเหตุมาจากการที่มีสารก่อภูมิแพ้ หรือ สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย ทำให้เกิดการบีบลมออกจากปอดเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย เป็นผลทำให้เราไอออกมานั่นเอง นอกจากนั้นก็อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น
    -การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โรคทางระบบทางเดินหายใจ อาจทำให้เกิดการไออย่างเฉียบพลันไปจนถึงเป็นการไอแบบเรื้อรังได้ ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค โดยแต่ละโรคจะมีอาการ ความรุนแรง และ ระยะเวลาของอาการที่แตกต่างกันออกไป
    -โรคเรื้อรังต่างๆ โรคบางโรคก็เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลทำให้เกิดการไอได้ เช่น โรคกรดไหลย้อน โรคหืด โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง เป็นต้น
    -การทานยาบางชนิด เพราะบางชนิดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้งานได้ ยาบางชนิดอาจไม่ก่อให้เกิดการไอโดยตรง แต่อาจจะส่งผลไปยังส่วนอื่นๆ ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดอาการไอขึ้นมา
    ไม่อยากไอลองเลย วิธีแก้ไอ สุดปังให้หายเป็นปลิดทิ้ง !!!
    อาการไอเป็นอาการที่เราไม่สามารถไปห้ามได้ พอจะไอก็ดันไอขึ้นมาเฉยๆ บางครั้งก็ไอติดต่อกัน บางครั้งก็เป็นการไอแบบเรื้อรัง วิธีการบรรเทาการไอที่เราจะมาแนะนำ แล้วคุณจะรู้สึกไอน้อยลงจนหายเป็นปลิดทิ้ง!!!
    หมั่นดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ


    สาเหตุที่ทำให้เกิดการไอ อาจจะมาจากการที่ลำคอเราแห้ง ขาดความชุ่มชื้น การดื่มน้ำให้มากๆ หรือ หมั่นจิบน้ำระหว่างวันอย่างสม่ำเสมอ ให้คอชุ่มชื้น เพราะน้ำจะช่วยในการลดเสมหะซึ่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดอาการไอแห้งๆ แถมยังทำให้รู้สึกชุ่มคออีกด้วย ยิ่งช่วงไหนที่ไอมากๆ ดื่มแล้วจะรู้สึกโล่งคอ ใช้ผลดีในช่วงแรกๆ ที่ดื่มน้ำ แต่เมื่อไม่ได้ดื่มก็จะมีอาการไอเหมือนเดิม
    คะแนนการรักษา : 2 / 5 คะแนน แม้จะช่วยให้ชุ่มคอ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อาการไอหายไปสนิท สามารถช่วยได้ในกรณีที่ไอแห้งๆ เพราะลำคอขาดความชุ่มชื้น ส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ค่อยดื่มน้ำบ่อยอยู่แล้ว เมื่อลองวิธีนี้ก็ช่วยลดการไอได้ในระดับหนึ่ง หากมีการเจ็บคอร่วมด้วยอาจจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก

    น้ำสมุนไพรช่วยแก้ไอได้ดี


    นอกจากน้ำอุ่นๆ แล้วหากอยากรู้สึกชุ่มคอ หรือ มีอาการเจ็บคอร่วมด้วยอาจจะดื่มเป็นน้ำสมุนไพรอย่าง น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง รวมทั้งพวกมะขามป้อม มะแว้ง ที่ช่วยในการลดการไอ และ ละลายเสมหะ ทำให้รู้สึกชุ่มคอ สามารถใช้จิบระหว่างวันได้ ดื่มแล้วดีขึ้น แต่จะต้องดื่มอย่างสม่ำเสมอ เป็นประจำ เพราะจะให้ผลในระยะสั้นๆ เมื่อไม่ได้ดื่มก็จะไม่เห็นผล
    คะแนนการรักษา : 3 / 5 คะแนน สมุนไพรแต่ละชนิดสามารถช่วยในการบรรเทาการไอได้ดีแตกต่างกัน ให้ผลในระยะสั้นๆ แค่ช่วงที่กิน แต่สามารถช่วยลดการอักเสบ การไอ การเจ็บคอได้ดีกว่าน้ำเปล่า หากจะใช้วิธีนี้จะต้องเลือกสมุนไพรให้เหมาะกับอาการของตนเอง

    ยาอมลดอาการไอ และ เจ็บคอ


    ยาอมแก้ไอผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการบรรเทาการไอ การระคายเคืองคอ แถมยังช่วยลดการอักเสบ ช่วยให้รู้สึกชุ่มคอได้ยาวนาน เมื่อมีอาการไอสามารถหยิบขึ้นมาใช้ได้ทันที แถมยังออกฤทธิ์ได้นานกว่าการดื่มน้ำสมุนไพร และ การกินสด เพราะผ่านกระบวนการแปรรูปให้สามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น โดยยาอมสมัยใหม่จะมีการพัฒนาสูตรซึ่งช่วยแก้ไอได้ดีมากยิ่งขึ้น ยาอมใช้ผลในทันที ส่วนระยะเวลาในการบรรเทาอาการจะแตกต่างกันออกไปตามประเภทของตัวยา และ รูปแบบของยาที่ใช้
    คะแนนการรักษา : 4.5 / 5 คะแนน ให้ผลได้เร็วกว่า และ ออกฤทธิ์ได้ดีกว่าการกินสมุนไพรแบบสด สามารถใช้งาน และ พกพาได้ง่าย เมื่อไหร่ที่มีอาการไอก็หยิบมาใช้ได้ทันที รู้สึกชุ่มคอ บรรเทาการไอได้ตลอดทั้งวัน หากใช้อย่างต่อเนื่อง

    ใช้เครื่องทำความชื้นเพื่อปรับอากาศ


    นอกจากการดูแลจากภายในแล้ว การดูแลภายนอกก็สำคัญ บางทีที่เราไออาจจะมาจากความชื้นในอากาศก็เป็นได้ ยิ่งหากใช้เครื่องปรับอากาศ วิธีแก้ก็คือจะต้องทำให้ห้องไม่แห้ง โดยการเปิดเครื่องทำความชื้น ซึ่งจะใช้ไอน้ำในการเพิ่มความชื้นในอากาศเพื่อลดอาการไอ การเจ็บคอที่เกิดจากการใช้เครื่องปรับอากาศนั่นเอง ทำแล้วช่วยให้ห้องชื้นขึ้น และ ไม่ค่อยไอเหมือนตอนที่ไม่เปิด แต่อาจจะไม่ส่งผลดีในระยะยาว เพราะจะทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบได้ เพราะความชื้นที่มากเกินไปจะเป็นแหล่งที่ทำให้เกิดสารก่อภูมิแพ้ และ ไม่เป็นผลดีต่อคนที่เป็นโรคหอบหืด
    คะแนนการรักษา : 3 / 5 คะแนน ให้ผลดีในช่วงที่อากาศแห้ง แต่อาจจะส่งผลเสียในระยะยาวสำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ แต่เมื่ออากาศชื้นขึ้นการไอก็จะน้อยลง ใครที่ต้องทำงานในห้องแอร์การใช้เครื่องทำความชื้นก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดี ส่วนตัวเราเป็นภูมิแพ้อยู่แล้วเลยไม่ค่อยชอบวิธีนี้มากนัก แต่เมื่อนำมาใช้ในช่วงที่อากาศแห้งๆ ได้ผลค่อนข้างดี แต่ไม่แนะนำให้ใช้บ่อยจนเกินไป

    นอนพักผ่อนให้เพียงพอ


    การนอนเป็นยารักษาโรคที่ดีที่สุด การนอนสามารถช่วยบรรเทาการไอได้ดี เมื่อร่างกายของเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ จะทำให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จะเห็นว่าคนที่พักผ่อนน้อยจะมีการไอมากกว่าคนที่พักผ่อนเพียงพอ ดังนั้นการพักผ่อนสำคัญมากควรจะนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงนะคะซิส ยิ่งนอนเต็มอิ่มจะรู้สึกสดชื่น เสียงใส
    คะแนนการรักษา : 4 / 5 คะแนน หากนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้อาการไอดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อาจจะใช้เวลาให้ร่างกายได้ปรับตัว หากใครที่ไอเรื้อรังอาจจะใช้เวลานาน เราชอบวิธีนี้มาก เพราะว่าง่าย ทำให้รู้สึกว่าร่างกายได้ฟื้นฟู ไม่ค่อยเหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้เสียง หรือ ทำงานที่ต้องพูดเยอะๆ เพราะอาจจะหายไม่ทัน
     
    ใครที่มีปัญหาเรื่องการไอ การเจ็บคอ ลองเอาวิธีที่เราแนะนำไปลองใช้ดูนะคะ ถ้าวิธีไหนโดนใจ แล้วดีใช้แล้วปัง อาการไอหายเป็นปลิดทิ้งต้องอย่าลืมแชร์ แชร์ แชร์ไปให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันบ้างนะคะซิส ใครที่เห็นเพื่อนไอรีบแชร์ไปเลยนะคะ แต่ถ้าเพื่อนไอไม่หายบวกกับมีอาการอื่นๆ รีบให้เพื่อนไปหาหมอ และ กักตัวอยู่บ้านนะคะซิส อย่าให้การไอมาขัดจังหวะเม้าท์มอย มาจัดจังหวะการทำงาน แชร์วนไปเลยค่ะซิส!!!!
     
    ตัวช่วยบรรเทาอาการไอ เจ็บคอ ต้องไอมะ!!!


    เราอยากจะแนะนำยาอมแก้ไอรูปแบบใหม่อย่าง ไอมะ (IMA) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบของผงแกรนูล ที่สามารถละลายได้ทันทีที่ทานโดยไม่ต้องดื่มน้ำตามเลย (เริ่ดมาก!!!) มีส่วนผสมของสมุนไพรหลายชนิดทั้ง สมอพิเภก สมอไทย มะขามป้อม ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ แก้ไอ ช่วยในการละลาย และ ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ มาในรูปแบบของยาอมที่ทานได้ง่าย และ พกพาได้ง่าย เหมาะมากสำหรับช่วยในการบรรเทาอาการไอ ไอเมื่อไหร่ก็หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันทีแถมไม่ต้องพึ่งน้ำ ไอมะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนวัตกรรมใหม่ที่ถูกวิจัยโดยทีมเภสัชกรชั้นนำของเมืองไทย และ นักวิทยาศาสตร์จากญี่ปุ่น ทำให้มั่นใจได้เลยว่าอาการไอจะหายเป็นปลิดทิ้ง ใครที่ไอต้องลองไอมะเลยนะคะซิส!!!
    >>สามารถสั่งซื้อได้ที่ Biopharm ลิ้งค์นี้เลย<<

     
    สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
    Facebook : sistalk.in.th
    Instagram : sistalk.in.th
    Twitter : @SistalkTH


    96

    ปัจจุบันในตอนนี้ ถ้าพูดถึง Youtuber หรือว่า Influencer ก็คงหนีไม่พ้นกับการที่ทำคลิปวิดีโอในรูปแบบของVlog การถ่ายงานแต่ละครั้งมันไม่ได้มีเพียงแค่คุณภาพของตัววิดีโอ แต่ยังรวมทั้งคุณภาพของเสียงอีกด้วย มีใครเคยมั้ยแบบเราได้ถ่ายงานมาแล้วพอเช็กคลิป คุณภาพของคลิปวิดีโอออกมาสวยงาม แต่เสียงกลับเป็นปัญหา Aquapro เลยอยากจะมาแนะนำ ไมค์ถ่าย Vlog สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะเลือกไมค์สําหรับถ่ายคลิปแบบไหนดี หรือเลือกไม่ได้ระหว่าง ไมค์สาย กับ ไมค์ไร้สาย อันไหนเหมาะกับเรามากกว่ากันแน่
     
    ประเภทของไมโครโฟนที่เราควรรู้
    ไมโครโฟนแบบ Shotgun


    ไมค์ช็อตกันจะเป็นแบบ Condenser มันจะไวต่อเสียงเก็บรายละเอียดเสียงได้ดี แต่ด้วยรูปทรงของไมค์ตัวนี้การรับเสียงจะต้องเป็นแบบหน้าตรงเราจะต้องหันหน้าเข้าหาไมค์ และอยู่ในระยะ 1 - 1.5 เมตร สะดวกใช้งานง่ายคล่องตัว แค่ติดที่หัวกล้องก็จบ แต่ต้องระวังเรื่องของนอยส์เสียง เป็นเสียงรบกวนที่จะเข้ามาที่ให้คลิปเรามีปัญหาได้ และที่สำคัญคอยเช็กดูด้วยว่าแบตมันหมดหรือยัง เหมาะสำหรับการใช้งานที่เราจะต้องการเก็บเสียงสภาพแวดล้อมเข้ามาด้วย ไม่ได้อยากให้เสียงดูทื่อ ๆ ที่ได้ยินแต่เสียงคนพูด หรือในสถานการณ์ที่เราไม่ต้องการให้คนดูมองเห็นไมค์เลย
    -Saramonic SR-M3 เป็น Condenser ไมโครโฟน ต้องใช้แบตเตอรี่ AAA หนึ่งก้อน
    ราคา: มีตั้งแต่หลักร้อย ถึงหลักหมื่น ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของเราว่าสะดวกใช้แบบไหน และคุณภาพเสียงแบบไหนที่เราต้องการ
     
    ไมโครโฟนแบบ Lavalier


    ไมค์ Lavalier หรือ ไมค์สาย ที่เราเข้าใจกันง่าย ๆ ก็จะเป็นไมค์หนีบปกคอเสื้อ จะเป็นไมค์ที่มีขนาดเล็ก เสียงชัด สามารถพกพาไปไหนได้สะดวก ใส่กระเป๋ากางเกงยังได้เลย การใช้งานง่าย และไม่ต้องใส่แบตเตอรี่ เวลาจะใช้งานเราก็แค่เอาสายไปเสียบเข้ากับพอร์ตไมค์ รู 3.5 มม. เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งภายใน และนอกสถานที่เลย เหมาะสำหรับเน้นที่จะได้ยินเสียงของพิธีกรเป็นหลัก มันก็จะช่วยไม่มีเสียงจากภายนอกมารับกวน สำหรับใครที่ไม่ได้มองว่าสายเป็นปัญหายุ่งยากสามารถจัดการกับมันได้
    -Pro 3.5mm Active Clip Mic ไมโครโฟน 3.5 mm สายยาวถึง 1.2 m มาพร้อมกับ active clip ที่ช่วยในการลดเสียงลม
    -Saramonic SR-XLM1 ไมโครโฟน 3.5 mm สายยาวถึง 6 m และ ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่
    -Saramonic Lavmicro-2M Dual Head ไมค์ 2 ตัว หัวแจ็ค 3.5mm TRS/TRRS ตัวผู้ สายยาว 6 เมตร
    ราคา: มีตั้งแต่หลักสิบ ถึงหลังพัน ขึ้นอยู่กับคุณภาพที่เราจะเลือกใช้ ว่าอยากจะได้เนื้อเสียงในแบบไหนที่เราต้องการ
     
    ไมโครโฟนแบบ Wireless


    ไมค์ Wireless หรือไมค์ไร้สาย เราจะต้องติดตัวรับ(Receiver)เข้ากับตัวกล้อง แล้วติดตัวส่ง(Transmitter)ไว้กับคนที่พูด หรือพิธีกร เราจะหันหน้าทางไหนหันได้หมดเสียงเข้าชัดเจน จะใช้งานสะดวกสบาย ทำให้เรามีอิสระในการเคลื่อนที่มากขึ้น แต่มันจะมีข้อจำกัดในเรื่องของสัญญาณชนกัน ยิ่งเราเอาไมค์ตัวนี้ไปใช้ที่ต่างประเทศมีโอกาสแน่ ๆ ที่จะสัญญาณจะชนได้ เพราะประเทศเขามันไม่ได้รองรับทุกคลื่นของเรา ทำให้เราต้องมานั่งไล่หาช่องสัญญาณของเรา เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งภายใน และนอกสถานที่ ในตอนคนพูดหรือพิธีกรมีการเคลื่อนไหวบ่อย ๆ มันก็ช่วยให้เรามีอิสระมากขึ้น

    Saramonic Blink 500 Pro
    -B3 (1 ตัวส่ง Lightning iOS) ไมโครโฟนสำหรับเชื่อมกับ iPhone
    -B1 White TX+RX ใช้มือถือ และกล้องได้ ที่มาพร้อมตลับชาร์จ ตัวเครื่องสีขาว
    -B2 Black TX+TX+RX ส่งสัญญาณได้เเละเสถียรไกลถึง 100 เมตร ด้วยความถี่ 2.4GHz
    ราคา: มีตั้งแต่หลักพัน ถึงหลักหมื่น ระยะของราคามันค่อนข้างกว้าง เพราะตัวไมค์ไร้สายมันจะมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น เรื่องความถี่ของคลื่น ไมค์ที่เราซื้อมาเชตมันมีอุปกรณ์อะไรมาให้บ้าง ตัวฟังก์ชันของการใช้งาน และคุณภาพของไมค์
     
    ไมค์ถ่าย Vlog แบบไหนเหมาะกับเรา?


    จนถึงตอนนี้หลายคนคงรู้ตัวตนของตัวเองแล้วว่าตัวเองเป็นสายไหน อยากจะทำVlog ออกมาในรูปแบบยังไง และอยากจะนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร เราเลยจะมาแนะนำ ไมค์สําหรับถ่ายคลิป ตัวไหนเหมาะกับการใช้งานของคุณกันแน่นะ!?
    เน้นความคล่องตัว เหมาะกับไมค์ช็อตกัน เพียงแค่เราติดไมค์บนหัวกล้อง แล้วกดถ่ายได้เลย คุณภาพเสียงดีเป็นธรรมชาติ ยังได้ยินเสียงรอบข้าง  ไมค์แบบนี้จะไม่ทำให้เสียงเราดูแข็งทื่อที่ได้ยินแต่เสียงพูดของเรา แต่ยังได้ยินเสียงรอบข้างด้วย หรือใครทำคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับการกิน กับให้ความรู้เชิงวิชาการ ที่มองหน้าเข้าหากล้องโดยตรง ไม่ได้มีการขยับมาก
    เน้นการพกพาสะดวก ราคาเข้าถึงง่าย เหมาะกับไมค์สาย มีขนาดเล็ก ใส่กระเป๋ากางเกงก็ได้ ใช้งานง่าย แล้วอยากเน้นให้ได้ยินเสียงพูดก็สามารถใช้ไมค์ตัวนี้ได้ แต่จะมีข้อจำกัดในเรื่องของระยะสายที่อาจจะมาเกะกะเราได้
    เน้นคุณภาพของเสียง ตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้ดี เหมาะกับ ไมค์ไร้สาย ผู้พูดสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ตลอดเวลา มีอิสระ หันหน้าซ้ายขวาได้หมด จะได้ยินเสียงที่ชัดเจนเพราะไมค์อยู่ใกล้ปาก แนะนำสำหรับ คนที่ทำVlog สายกินแบบมีคนพูดหลายคน สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ และไม่ต้องกลัวมีปัญหาเรื่องเสียง
     
    ใครที่กำลังเริ่มต้นจะทำVlogแล้วมีงบที่ไม่ค่อยเยอะมาก ราคาจับต้องได้ง่ายก็จะมีไมค์ช็อตกัน เพียงแค่หยิบกล้องขึ้นมาแล้วกดถ่ายได้เลย กับไมค์สายหนีบปกคอเสื้อหาซื้อง่ายราคาน่ารักสุด เหมาะสำหรับการใช้งานเริ่มต้นได้ แบบเราถ่ายเองคนเดียว เมื่อไหร่ที่เริ่มทำไปสักระยะแล้วมีคนติดตาม หรือดูคอนเทนต์ที่เราทำมากขึ้น ก็สามารถลงทุนเพิ่มเป็นแบบไมค์ไร้สาย ราคาก็จะสูงขึ้นมาหน่อย แต่จะได้ฟังก์ชันที่มากขึ้น มีอิสระในการเคลื่อนที่อีกด้วย แต่สุดท้ายนี้การใช้งานของไมค์ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานเป็นหลัก สามารถเลือกไมค์ให้เหมาะตามวัตถุประสงค์ที่เราต้องการใช้งานได้
     
    ซื้อไมค์ และ อุปกรณ์อื่น ๆ ต้องที่ Aquapro
    สำหรับใครที่กำลังมองหาไมค์ไว้ใช้ในการVlog หรือ กล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมอื่น ๆ กับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ที่มาพร้อมกับ GoPro 10 โปรโมชั่น สุดคุ้ม ของแถมจุก ๆ โปรส่งฟรี พร้อมโปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติมที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าพลาดข่าวสารดี ๆนะ!!! ติดตามได้ตาม link ด้านล่างเลย

    ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro ได้หลากหลายช่องทางที่
    Facebook : AquaproThailand
    Line : @aquapro
    Shopee : Aquaprothailand
    GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro
     


    97

    เป็นผู้หญิงนี่มันลำบากจริงโว้ย!!!! อาการเหวี่ยงวีน ดราม่า ตัวบวมน้ำ เจ็บเต้านม ปวดหลัง หนึ่งในอาการที่สาวๆ ต้องเจออยู่บ่อยครั้งในช่วงมีประจำเดือน จะส่งผลโดยตรงกับทางร่างกาย และ ทางอารมณ์ ใครที่มักจะมีอาการเหล่านี้การ ทานยาคุมกำเนิด เพราะเชื่อว่าสามารถลดอาการเหล่านี้ได้ Sistalk จะมาไขข้อสงสัยให้รู้กันไปว่ายาคุมลดอาการนี้ได้หรือไม่

    อาการ PMS คืออะไรกัน?
    PMS หรือ Premenstrual Syndrome เป็นอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนที่ประจำเดือนจะมา ซึ่งเกิดจากการที่ระดับของฮอร์โมนเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดอาการบางอย่างทั้ง ด้านร่างกาย และ ในด้านจิตใจ โดยปกติมักจะเกิดก่อนที่ประจำเดือนจะมาประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ โดยอาการแต่ละครั้งอาจจะแตกต่างกันออกไป บางเดือนมีอาการทางกาย เช่น การเจ็บ คัดตรึงที่เต้านม ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดเอว ตัวบวมขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น หิวง่ายขึ้น ส่วนบางเดือนก็อาจจะมีอาการด้านจิตใจ เช่น โมโหง่าย เหวี่ยงวีน ซึมเศร้า วิตกกังวลอยู่ตลอด ไม่มีสมาธิ นอนไม่ค่อยหลับ
     
    สาเหตุของ PMS เกิดจากอะไรกัน?


    สาเหตุของอาการ PMS เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิงอย่าง โปรเจสเตอโรน และ เอสโตรเจนเพิ่มมากกว่าปกติ ซึ่งจะเกิดในช่วงไข่ตกของแต่ละรอบเดือน และ เกิดจากการที่สารเคมีในสมองเกิดการเปลี่ยนแปลงไป นั่นก็คือเมื่อฮอร์โมนเซโรโทนินลดต่ำลง จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ และ ทำให้เกิดอาการก่อนที่จะมีประจำเดือน นอกจากนั้นยังอาจจะเกิดจาก
    -การมีภาวะผิดปกติทางอารมณ์ เช่น มีภาวะซึมเศร้า จิตเภท หรือ ไบโพลาร์ ก็เป็นผลทำให้เกิดอาการทางด้านจิตใจได้มากอาจจะถึงขั้นฆ่าตัวตาย (PMDD)
    -เคยได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านร่างกาย จิตใจ อาจทำให้เกิดอาการฝังใจจนทำให้อาการถูกแสดงออกมาหนักขึ้นในช่วงก่อนที่ประจำเดือนจะมา
    -ใช้สารเสพติด การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ความเครียด เป็นผลทำให้อาการของ PMS รุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะจะไปกระตุ้นอาการให้หนักมากขึ้น
    นอกจากสาเหตุเบื้องต้นแล้วพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการกิน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นอาการ PMS ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ทางด้านการแพทย์ก็จะไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่คาดการณ์ว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศนั่นเอง
     
    จริงหรือไม่ที่ ยาคุม ลดอาการ PMS ได้!!!
    อาการ PMS เป็นอาการที่เกิดจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ยาคุมช่วยได้จริงเหรอ? ยาคุมสามารถลดอาการ PMS ได้จริง!!! เพราะในยาคุมจะมีฮอร์โมนที่เข้าไปช่วยปรับสมดุลต่างๆ ทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายมีความคงที่มากขึ้น ทำให้พวกอาการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนน้อยลงนั่นเอง

    ต้องเลือกยาคุมเป็นแบบไหน?


    ยาคุมกำเนิดที่สามารถช่วยลดอาการได้จะต้องเป็น ยาคุมแบบ 28 / 24+4 และ เป็นยาคุมรุ่นใหม่ที่มี ฮอร์โมน EE (Ethinyl estradiol) ซึ่งจะช่วยลดอาการหงุดหงิดง่าย อาการซึมเศร้าต่างๆ โดยจะต้องเลือกที่เป็นฮอร์โมนต่ำ เพราะยาที่ฮอร์โมนต่ำจะไม่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงเหมือนยาที่ฮอร์โมนสูง และ มี Drospirenone ซึ่งจะช่วยต้านฮอร์โมนเพศชาย ช่วยลดสิว ผิวมัน และ ยังช่วยต้านการบวมน้ำ ไม่ทำให้อ้วน ไม่คลื่นไส้ นอกจากนั้นฮอร์โมนในยาคุมจะช่วยลดอาการก่อนมีประจำเดือน หรือ PMS ได้อีกด้วย ทั้งอาการปวดท้องประจำเดือน ตัวบวม คัดตึงหน้าอก หงุดหงิดง่าย กินเก่ง ดังนั้นจะต้องเลือกยาคุมให้ถูกประเภท และ มีฮอร์โมนในระดับที่เหมาะสมถึงจะช่วยลดอาการ PMS ได้!!!
     
    พร้อมรับมืออาการ PMS ด้วยยาคุม!!!


    เลือกตัวยาที่มีฮอร์โมนต่ำ และ เป็นยาคุมรูปแบบใหม่ที่ไม่ส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงจากการทานยาคุมกำเนิด โดยถ้าอยากลดอาการ PMS ให้ได้ผลดีควรเลือกยาคุมที่มีปริมาณ Ethinyl estradiol 0.020 mg (20 ไมโครกรัม) และ Drospirenone 3 mg จะช่วยรักษาอาการ PMS และ PMDD ได้ดี นอกจากจะช่วยในเรื่องการควบคุมระดับฮอร์โมนที่จะเปลี่ยนแปลงในช่วงก่อนมีประจำเดือนแล้ว ยังช่วยในเรื่องอื่นๆ อีกด้วย
    -ช่วยในการคุมกำเนิด เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม
    -ช่วยลดอาการบวมน้ำ ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเมื่อทาน หรือ การบวมน้ำจากการคั่งของน้ำในร่างกาย
    -ช่วยลดการปวดท้องประจำเดือน ในระหว่างที่มีรอบเดือน ทำให้การปวดท้องบรรเทาลง
    -ช่วยทำให้หน้าใส ไร้สิว หน้าไม่มัน ขนไม่ดก เพราะฮอร์โมน Drospirenone จะไปลดระดับฮอร์โมนเพศชายลง
    -ไม่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ เวียนหัว เหมือนในยาคุมที่มีฮอร์โมนสูง
    กรณีที่มีอาการรุนแรง หรือ เป็น PMDD (Premenstrual Dysphoric Disorder) อาการที่จะมีความคล้ายคลึงกับ PMS แต่จะมีอาการทางด้านจิตใจที่รุนแรงกว่า ใครไม่ได้มีอาการรุนแรงก่อนที่จะทาน หรือ ซื้อให้ทำการปรึกษาแพทย์ เภสัชกรให้ดีก่อน เพียงเท่านี้เราก็สวยทั้งกาย (หน้าใส ไม่อ้วน) แถมจิตใจเบิกบาน (ไม่มีอาการPMS) อย่าให้อาการก่อนมีประจำเดือนมาทำให้เราใช้ชีวิตลำบาก เพราะสามารถดูแลรักษาให้ดีขึ้นได้นะคะซิส!!!

    ปัญหาเรื่องของผู้หญิงแก้ได้ Sistalk พร้อมให้เคล็ดลับดีๆ
    เรื่องของสาวๆ ก็ต้องให้สาวๆ คุยกันสิคะ หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหา มีข้อสงสัยไม่ว่าจะเรื่องของ สุขภาพ , การดูแลรูปร่าง , เรื่องลับๆ ของสาวๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของความรัก และ เทรนด์อื่นๆ ไม่อยากพลาด ต้องเข้ามาอ่าน มาติดตามบทความที่เรา Sistalk ได้รวบรวมมาให้ รับรองได้ว่าคุณจะได้ทั้งประโยชน์ สาระความรู้ และ อัปเดตเทรนด์ก่อนใคร เพราะเราเข้าใจผู้หญิงดี!!!
    ใครไม่ Talk Sistalk นะคะซิส!!!!

     
    สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
    Facebook : sistalk.in.th
    Instagram : sistalk.in.th
    Twitter : @SistalkTH


    98

    นอกการดูแลผิวนอกจากภายนอกแล้ว การดูแลจากภายในก็สำคัญ หลายคนมักจะละเลยการดูแลผิวจากภายใน รู้หรือไม่ว่าการดูแลผิวโดยเฉพาะคนที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่ายจำเป็นจะต้องเลือกทานอาหาร ทานวิตามินบำรุงให้ดี คนที่มีผิวแพ้โดนอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็อาจทำให้เกิดผื่น เกิดรอยแดง เนื่องจากขาดวิตามิน และ ธาตุเหล็กซึ่งเป็นอาหารผิวที่ช่วยในการสร้างเกราะป้องกันผิวให้ผิวแข็งแรง ทนทานต่อมลภาวะที่จะเข้ามาทำร้ายผิวทาง ResiSKIN เลยได้รวบรวมสิ่งที่คนผิวแพ้ง่ายกินแล้วจะทำให้ผิวจะแข็งแรงขึ้น สำหรับใครที่เป็นคนผิวบอบบาง แพ้ง่ายควรต้องรู้

    ผิวแพ้ง่าย กินอะไรดี อาหารที่คนผิวแพ้ง่ายควรทาน!!!
    สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย การทานอาหารที่ช่วยบำรุงผิว ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวถือว่าเป็นสิ่งจะช่วยทำให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้น ยิ่งทานอาหารที่มีวิตามิน C , B2 , B6 , Mg จะช่วยในการเสริมความแข็งแรงให้แก่ผิวได้ แล้วมีอาหารอะไรบ้างที่ช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
    ทานกล้วยแล้วผิวดี


    กล้วยเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆ คน มีวิตามิน A ,B6 ,B12 , C และ แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งอิ่มน้ำ เพราะในกล้วยอุดมไปด้วยใยอาหารสูง ซึ่งช่วยในการดักจับไขมัน สารพิษต่างๆ ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และ ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว แถมช่วยทำให้สีผิวสม่ำเสมอ

    อยากผิวชุ่มชื้นต้องกินดาร์กช็อกโกแลต


    ดาร์กช็อกโกแลตอุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิดที่ช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นทั้งวิตามิน A ,B , B1 , D แถมยังมีแมกนีเซียมสูง ช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียน รักษาความชุ่มชื้นของผิว และ ปกป้องผิวจากสภาพอากาศจากแสงแดด ทำให้แม้ว่าจะเจออากาศหนาว อากาศแห้ง ผิวของเราก็ยังดูดี ดูชุ่มชื้นอยู่ แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์อีกด้วย

    อะโวคาโดผลไม้สารพัดประโยชน์


    อะโวคาโดนั้นดีต่อผิวโดยเฉพาะคนที่มีผิวแพ้ง่าย เพราะในอะโวคาโดมีวิตามินที่จำเป็นต่อผิวหลายตัวทั้งวิตามิน A , B , D , E แถมยังมีแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายอย่าง โพแทสเซียม แมกนีเซียม กรดอะมิโน สารต้านอนุมูลอิสระ โอเมก้า3 ที่ช่วยในเรื่องของการปกป้องเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกาย ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งเป็นขุย ลดการสูญเสียน้ำในชั้นผิว ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของผิวจากสิ่งแวดล้อม และ สร้างเกราะป้องกันผิว ช่วยไม่ให้ผิวไหม้แดด ช่วยทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์

    กินโยเกิร์ตเพื่อดีท็อกผิว


    โยเกิร์ตเป็นอีกหนึ่งอาหารผิวที่สาวๆ นิยมรสจะออกไปทางเปรี้ยวนิดๆ หวานหน่อยๆ แถมยังมีวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายเยอะ นอกจากนั้นยังช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูอาการผิวไหม้แดด ทำให้ผิวฟื้นฟูได้เร็ว และ ไม่มีอาการแสบคัน แถมยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น และ ช่วยในเรื่องของการขจัดสิว เพราะสารในโยเกิร์ตจะไปทำลายพวกเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวนั่นเอง เลยทำให้ผิวของเราดูสุขภาพดี
     
    วิธีอื่นๆ ที่จะช่วยให้ผิวแพ้ง่ายกลับมาแข็งแรง?
    การรับประทานอาหารก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยให้ผิวแข็งแรง โดยไม่ควรทานอาหารที่รสจัดไป เค็มเกินไป หวานเกินไป ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวันนอกจากนั้นใครที่อยากมีผลดีทั้งภายใน และ ภายนอกก็ควรดูแลผิวด้วยการใช้พวกสกินแคร์ เวลาออกไปไหนก็ทาครีมกันแดด และ บำรุงผิวให้ผิวชุ่มชื้นอยู่สม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้น และ อย่าลืมที่จะพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ผิวได้พัก!!!

    ฟื้นฟูผิวแพ้ง่ายให้กลับมาสตรองดังเดิม


    สำหรับใครที่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ดีๆ สำหรับดูแลผิวเราอยากจะแนะนำ ResiSKIN ครีมเวชสำอางที่ช่วยลดการระคายเคือง แถมยังช่วยฟื้นฟู ดูแลผิวให้กลับมาสตรอง และ ดูดีเหมือนเดิม ผลิตภัณฑ์ที่คนผิวแพ้ง่ายสามารถใช้ได้
    -ช่วยเรื่องของการฟื้นฟูผิวจากการอักเสบจากมลภาวะต่างๆ ที่มาทำร้ายผิว
    -ช่วยในการลดระดับความเสียหายของเซลล์ผิวจากมลภาวะ แสงแดด
    -ช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำจากมลภาวะต่างๆ
    -เสริมเกราะป้องกันผิวจากมลภาวะ ลดการระคายเคืองผิวต่างๆ
    -ช่วยในเรื่องการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นยาวนานถึง 7 วัน
    -ช่วยแก้ปัญหาโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง และ ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
    -ใครที่ผิวอ่อนแอ ผิวบอบบางแพ้ง่าย สามารถใช้ได้ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารก่ออาการแพ้ และ สารระคายเคืองผิว ไม่มีสารปรุงแต่งอย่างน้ำหอม สี เม็ดสครับ พาราเบน
    -นอกจากนั้นยังมี Extremolytes 7% ที่เป็นเกราะป้องกันผิวอีกด้วย ช่วยปกป้องผิวแม้จะอยู่สภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นใจ ทำให้ทนทานต่อทุกสภาวะ
    เวชสำอางของ ResiSKIN จะช่วยป้องกันผิวไม่ให้เกิดอาการคัน อาการแพ้ แถมยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยทำให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรงอีกครั้งพร้อมลุยทุกมลภาวะ
    อยากมีผิวแข็งแรงลอง ResiSKIN ดูสิแล้วคุณจะหลงรัก!!!

     
    ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
    Facebook : Resiskin by Qualisk
    Line : @resiskin


    99

    นึกว่ารังแคธรรมดาที่ไหนได้ดันเป็นเชื้อราบนหนังศีรษะซะได้!!! ปัญหารังแคอาจจะเป็นอะไรที่ธรรมดาสำหรับใครหลายคน แต่ไม่ธรรมดาสำหรับผู้หญิง เฮ้อ...แล้วแบบนี้จะทำยังไงดีละ!!!  สาวๆ คนไหนที่มีปัญหาเรื่องของเชื้อราบนหนังศีรษะไม่ต้องอายไปนะคะ เพราะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลยไปนานๆ นะวันนี้ Sistalk เลยจะมาแนะนำ วิธีรักษาเชื้อราบนหนังศีรษะ ที่จะช่วยให้สาวๆ เตรียมโบกมือลาปัญหาเชื้อรา และ รังแคไปได้เลย จะมีวิธีไหนบ้างต้องไปอ่านแล้วนะคะซิส!!!!
     
    ต้นเหตุของเชื้อรามาจากไหน ทำไมถึงมีเชื้อราอยู่บนหนังศีรษะได้ ?
    การที่เป็นเชื้อราบนหนังศีรษะ ยังไม่สามารถบอกสาเหตุที่แน่ชัดได้ เพราะแต่ละคนก็อาจจะมีสาเหตุที่ต่างกันออกไป การเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งเกิดจาการที่ถูกกระตุ้นภายนอก และ ภายใน รวมทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างๆ ก็ล้วนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดเชื้อรา
    การเจริญของเชื้อรา Malassezia ซึ่งเป็นเชื้อที่อาศัยอยู่บนร่างกายตามผิวหนังต่างๆ ปกติเชื้อตัวนี้จะไม่ทำให้เกิดโรค แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่มีรังแค จะทำให้มีเชื้อตัวนี้เยอะ และ ทำให้เกิดเป็นเชื้อราบนหนังศีรษะได้
    ความมัน และ ความอับชื้นบนหนังศีรษะ ความมัน ความอับ เป็นสิ่งที่พวกเชื้อราชื่นชอบ เมื่อมีมากๆ จะทำให้เกิดการอักเสบขึ้น
    สภาพอากาศ อุณหภูมิที่ไม่ดี หากอากาศหนาวจะเพิ่มโอกาสที่จะเป็นเชื้อราได้ง่ายแถมรวดเร็ว รวมทั้งในสภาพอาการที่แห้งก็ทำให้เกิดรังแคได้ง่าย และ กลายเป็นรังแคในที่สุด
    ฮอร์โมนเพศ อย่างฮอร์โมนเพศชายจะผลิตไขมันออกมาในช่วงวัยรุ่น และ จะผลิตได้น้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น ความมันที่ฮอร์โมนผลิตออกมาทำให้เกิดเป็นรังแค ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเชื้อราบนหนังศีรษะ
    ภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ และ โรคทางระบบประสาท โรคทางพันธุกรรม จะทำให้เกิดการอักเสบ เชื้อราได้ง่าย เช่น โรคเอดส์ โรคพาร์คินสัน
    ความเครียด การขาดสารอาหาร และ การดื่มแอลกอฮอล์

     
    วิธีรักษาเชื้อราบนหนังศีรษะ ให้หนังศีรษะกลับมาเหมือนเดิม
    หากเป็นเชื้อราบนหนังศีรษะต้องรีบรักษา!!! เชื้อราเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่สามารถขยายตัว และ เติบโตได้ ดังนั้นจึงต้องรีบรักษาก่อนที่เชื้อราจะลามไปทั่วทั้งหนังศีรษะ เราจะมาแนะนำเพื่อทำการรักษา จริงๆ แล้วสามารถทำได้หลายวิธี โดยแต่ละวิธีที่เราจะมาแนะนำก็ง่ายมากๆ ถ้าไม่อยากมีเชื้อราบนหนังศีรษะต้องทำด่วนๆ !!!
    ทำความสะอาดของที่ต้องสัมผัสหนังศีรษะเป็นประจำ


    ของที่ใกล้ตัวนี่แหละเป็นสิ่งที่ใครหลายๆ คนมองข้าม บางทีสาเหตุของเชื้อราอาจจะมาจากข้าวของเครื่องใช้ที่สกปรก แม้ว่าของจะยังดูสะอาดแต่ก็อาจจะมีเชื้อรา และ สิ่งแปลกปลอมปะปนอยู่ เช่น หวีที่เราต้องหวีอยู่เป็นประจำ ให้ล้างหวีบ่อยๆ หรือ อาจจะเปลี่ยนเป็นหวีซี่ใหญ่แทนเพื่อเลี่ยงการสะสมของสิ่งสกปรกนอกจากหวีแล้ว หมวก ผ้าเช็ดผม ปลอกหมอน และ ผ้าปูที่นอนก็สำคัญ ต้องหมั่นเอาไปซัก และ ตากแดดเป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละ 1 - 2 ครั้งได้จะดีมาก (อย่าปล่อยให้เน่าแล้วถึงเอาไปซักนะคะซิส!!!)

    สระผมด้วยผลิตภัณฑ์เฉพาะ


    ใครที่เป็นรังแค หรือ เชื้อราไม่ควรใช้ยาสระผมทั่วไป เพราะยาสระผมทั่วไปบางประเภทมีส่วนผสมของสารปรุงแต่งทั้งสี ทั้งกลิ่น นอกจากจะไม่ช่วยทำให้หายแล้ว ยังจะทำให้เชื้อราเกิดลามไปใหญ่โต ควรจะใช้แชมพูยาที่รักษาเชื้อราโดยเฉพาะ แชมพูยาที่แนะนำควรจะเลือกที่มี 2% Ketoconazole อย่าง Fungazol Shampoo ที่เป็นแชมพูสำหรับลดรังแค และ เชื้อราบนหนังศีรษะที่มีประสิทธิภาพในการรักษารังแคที่ดี และ เร็วกว่าแชมพูแบบปกติ ช่วยในการลดความมันของหนังศีรษะได้ดี อีกทั้งยังช่วยป้องกันการกลับมาเป็นรังแค และ เชื้อราซ้ำเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องทุก 1 - 2 สัปดาห์ แม้จะเป็นแชมพูยาแต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างที่คิดเลย ไม่ทำให้รู้สึกระคายเคือง นอกจากนั้นหากคุณเป็นคนที่ทำสีผม ก็ไม่ทำให้สีผมเปลี่ยนเหมือนแชมพูบางชนิดไม่มีส่วมผสมที่ระคายเคืองจึงเหมาะกับคนที่เป็นรังแค และ เชื้อรามากกว่า!!!
    ประโยชน์ของ 2% Ketoconazole ที่ช่วยรักษาเชื้อรา และ รังแค
    -เข้าไปฆ่าเชื้อรา โดยการยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของเชื้อราบนหนังศีรษะ
    -ช่วยลดการอักเสบบนหนังศีรษะที่มาจากการคัน และ เชื้อรา
    -ช่วยลดการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชาย ช่วยลดการขาดร่วงของเส้นผม และ ทำให้รากผมแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
    -ช่วยลดการสร้าง Sebum ทำให้หนังศีรษะมันน้อยลง ใครที่หนังศีรษะมันควรใช้

    วิธีการสระผมที่ถูกต้องสำหรับคนเป็นเชื้อรา และ รังแคบนหนังศีรษะ


    1.ทำการผสมน้ำแล้วชโลมให้ทั่วหัว
    2.จากนั้นให้หมักทิ้งเอาไว้ประมาณ 3 - 5 นาที เพื่อให้แชมพูยาได้ออกฤทธิ์ เมื่อครบเวลาแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
    3.แล้วทำการล้างผม และ เช็ดผมให้แห้งก็เป็นอันเรียบร้อย

    สำหรับใครที่อยากจะรักษารังแค และ เชื้อราให้ใช้ 2% Ketoconazole สัปดาห์ละ 2 ครั้ง และ ใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 2 - 4 สัปดาห์ ส่วนใครที่มีปัญหาโรคเกลื้อนร่วมด้วยให้ใช้วันละครั้ง ใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 5 วัน และ สำหรับใครที่ไม่อยากกลับมาเป็นเชื้อราซ้ำ ให้ใช้แชมพูสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใช้ต่อเนื่องทุกๆ 1 - 2 สัปดาห์ เพียงเท่านี้ปัญหารังแค และ เชื้อราก็จะไม่มาให้กวนใจอีก

    เป่าผมให้แห้งอย่าให้ผมชื้น


    บางคนละเลยเรื่องการเป่าผม เพราะคิดว่าสระผมเสร็จแล้วสะอาดแล้ว ถึงแม้จะสระผมเสร็จแล้วก็ต้องเป่าผมให้แห้ง อย่าให้ผมชื้น บางคนเห็นว่าผมหมาดๆ ก็ไปนอนเลยแบบนี้ไม่ได้นะคะซิส (ยื่นมือมาโดนตีเดี๋ยวนี้!!!) ผมไม่แห้งห้ามนอนเด็ดขาด ควรจะเป่าผมให้แห้งแต่การเป่าผมก็ไม่ควรใช้ลมร้อน  หรือ เป่าด้วยพัดลมแทนก็ได้ แต่ขอร้องนะคะอย่าปล่อยให้ผมชื้นแล้วไปนอน ขอแค่นี้จริง!!!

    หมักผมฆ่าเชื้อราด้วยสมุนไพร


    สมุนไพรพื้นบ้านก็นับว่ามีประโยชน์มากๆ หากใครที่มีเชื้อราบนหนังศีรษะนอกจากที่จะต้องเลือกแชมพูสำหรับรักษาเชื้อราโดยเฉพาะแล้ว ก็อาจจะใช้การหมักผมด้วยสมุนไพรไทยเพื่อช่วยรักษาเชื้อราได้ อย่างเช่นการหมักด้วยมะกรูด มะนาว ว่านหางจระเข้ มาหมักผม ซึ่งจะมีสรรพคุณช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยกำจัดรังแคได้ดี อาจจะทำสัปดาห์ละครั้งแต่ไม่ต้องทำบ่อยเกินไป โดยเฉพาะพวกสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นกรดอย่างมะกรูด และ มะนาว (เดี๋ยวแสบหัวเอานะคะซิส!!! ทางที่ดีก่อนใช้ให้ลองเทสเบาๆ ก่อนว่ารับไหวมั้ย)

    อุณหภูมิมีผลต่อหนังศีรษะ


    อย่างที่เราได้บอกไปว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดเชื้อราอาจจะมาจากอุณหภูมิที่ไม่ดี ไม่ว่าจะอากาศร้อน หรือ เย็นก็ส่งผลต่อเชื้อราบนหนังศีรษะด้วยกันทั้งสิ้น หากใครที่ต้องทำงานในห้องแอร์ให้ปรับอุณหภูมิประมาณ 25 องศาก็พอ เพราะว่าเป็นอุณหภูมิที่พอเหมาะ ไม่ทำให้หนังศีรษะแห้ง และ ทำให้เกิดรังแค หากอากาศแห้งจัดๆ อาจจะใช้เครื่องทำความชื้น หรือ ทำการระบายอากาศก็ได้
     
    เห็นมั้ยละคะว่าถ้าอยากหายจากเชื้อราง่ายนิดเดียว แค่ทำไม่กี่วิธีก็ช่วยขจัดรังแค และ รักษาเชื้อราบนหนังศีรษะได้แล้ว แค่เรารักษาความสะอาดของหนังศีรษะ ควบคู่ไปกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมก็จะช่วยให้ปัญหาเชื้อราบนหนังศีรษะหมดไปอย่างง่ายได้ และ ต้องอย่าลืมที่จะ
    -ดูแลรักษาความสะอาดของหนังศีรษะให้ดี
    -หมั่นทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้เป็นประจำ
    -หลีกเลี่ยงการทำให้หนังศีรษะมัน และ แห้ง ทั้งจากสภาพอากาศ การใช้ชีวิตประจำวัน
    -หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะไปกระตุ้นให้เกิดรังแค และ เชื้อรา เช่น แชมพูที่ใช้ ผลิตภัณฑ์ตกแต่งผมต่างๆ
    -หลีกเลี่ยงการทำให้หนังศีรษะชื้นแฉะ เพราะความชื้นเป็นจุดเริ่มต้นของเชื้อราที่ดี และ ทำให้ลุกลามได้อย่างรวดเร็ว ทางที่ดีหากสระผมแล้วควรรีบเป่าผมให้แห้ง และ ห้ามนอนตอนผมเปียกเด็ดขาด!!!

    เพียงเท่านี้คุณก็สามารถหายจากเชื้อราบนหนังศีรษะได้แล้ว แต่หากใครที่เชื้อราลุกลามใหญ่โต หรือ ทำแล้วไม่ดีขึ้นต้องรีบไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง เพื่อรีบรักษา เพราะคุณอาจจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย แต่ไม่ใช่ปล่อยให้เชื้อราลุกลามใหญ่แล้วจึงค่อยรักษานะคะ เพราะเชื้อราอาจจะมีผลรุนแรงได้หากลุกลามไปมาก ทางที่ดีควรรีบแก้ก่อนจะสายไป เพียงเท่านี้คุณก็กลับมามีหนังศีรษะสวยดังเดิมได้แล้ว อยากโบกมือลาจากเชื้อราลองเอาวิธีเหล่านี้ไปใช้ดูนะค ถ้าดีอย่าลืมแชร์ต่อเพื่อนด้วยนะคะซิส!!!
     
    อย่าให้ปัญหาผู้หญิงๆ มากวนใจเพราะแก้ไขได้ที่ Sistalk !!!
    นอกจากวิธีรักษารังแคที่เราเอามาฝากแล้ว ก็ยังมีแชมพูรักษารังแคปังๆ ที่รวบรวมมาให้อีกด้วยใครเป็นรังแคไม่ควรพลาด นอกจากเรื่องของรังแคแล้วหากใครที่ปัญหาเรื่องของวิธีแก้ปวดประจำเดือน อาการPMSก่อนมีประจำเดือน การลดน้ำหนัก และ เรื่องอื่นๆ พบกับบทความเรื่องความรัก สุขภาพ เรื่องลับๆ ของผู้หญิงที่ควรรู้เอาไว้ได้ที่ Sistalk  แล้วคุณจะไม่ตกเทรนด์ใหม่ๆ แถมยังได้ความรู้ สาระต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณรับมือกับปัญหาเรื่องของผู้หญิงๆ อย่างเราได้ดีมากยิ่งขึ้น แล้วเจอกันใหม่บทความหน้านะคะสาวๆ
    Sistalk เพราะเราเข้าใจผู้หญิงดี
     
    สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
    Facebook : sistalk.in.th
    Instagram : sistalk.in.th
    Twitter : @SistalkTH


    100

    ระวังให้ดี!!! ครีมที่ช่วยให้หน้าใส ไร้สิว เป็นครีมในอุดมคติที่หลายคนต้องการ แต่รู้หรือไม่ว่าครีมที่ช่วยทำให้หน้าใสได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วอาจจะอันตรายกว่าที่คิด เพราะครีมเหล่านี้เป็น ครีมที่มีสารสเตียรอยด์ เจือปนหากนำมาทาหน้า หรือ ทาผิวหนังแม้ว่าจะทาในระยะสั้นๆ ก็อาจทำให้ตัวครีมถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ ResiSKIN จะมาบอกวิธีดูแลผิวให้กลับมาแข็งแรง พร้อมวิธีเช็คครีมว่ามีสารสเตียรอยด์ผสมหรือไม่ อยากรู้ไปอ่านบทความกันเลย!!!
     
    สารสเตียรอยด์อันตรายกว่าที่คุณคิด ?


    ผลสามารถเกิดได้ทั้งแบบเฉียบพลัน และ เมื่อใช้ครีมที่มีสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องอาจส่งผลในระยะยาวได้ ทำให้ผิวอ่อนแอลง ยิ่งเราใช้ครีมที่มีสเตียรอยด์ไปนานๆ ยิ่งทำให้หลอดเลือดใต้ผิวแตกง่าย อีกทั้งยังทำให้เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง อย่างเช่น เป็นสิวเรื้อรังที่รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายขาด
    ผลข้างเคียงของสารสเตียรอยด์แบบเฉียบพลัน - เกิดขึ้นในกรณีที่ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์มากๆ หรือ มีความเข้มข้นสูง จะส่งผลให้เกิดการระคายเคืองที่รวดเร็วมี ผื่นแดง ผื่นร้อน ผิวหนังแห้งลอกเป็นขุย ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของผิวหนังที่ตอบสนองต่อสิ่งระคายเคืองผิว
    ผลข้างเคียงของสารสเตียรอยด์แบบระยะยาว - ครีมบางตัวอาจจะไม่ได้ใส่สารเสตียรอยด์หนักๆ แต่เมื่อเราใช้อย่างต่อเนื่องสารสเตียรอยด์จะไปสะสมในร่างกาย ในช่วงแรกๆ ที่ใช้อาจทำให้หน้าใส หน้าขาวแต่เมื่อมีสารสเตียรอยด์สะสมในร่างกายเรื่อยๆ จะทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ เกิดรอยคล้ำ รอยดำ เกิดฝ้าบนใบหน้า นอกจากนั้นแล้วอาจจะเกิดผลร้ายแรงอย่าง
    -หน้าบวม หน้ากลมจากการใช้สารเคมี สารสเตียรอยด์อาจทำให้หน้าเปลี่ยนรูปร่าง
    -เกิดรอยแตก เส้นเลือดที่หน้า เนื่องจากผิวบางลง และ สารซึมเข้าสู่กระแสเลือดเลยทำให้หลอดเลือดใต้ผิวแตกง่าย เนื่องจากคอลลาเจนใต้ผิวถูกทำลาย
    -ผิวหนังซีด เป็นด่าง เกิดสิว รอยแดงแบบถาวร เป็นผลจากการอักเสบของผิวเป็นสาเหตุทำให้หน้าพัง
    นอกจากอันตรายที่เกิดกับผิวบริเวณที่ทาแล้ว ยังอาจจะทำให้อาจจะเป็นโรคตับ โรคไตเป็นพิษ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ระบบประสาทเสื่อม ยิ่งหากคนที่ใช้กำลังตั้งครรภ์อาจจะส่งผลต่อเด็กในครรภ์ทำให้เด็กที่คลอดออกมาอาจจะพิการได้
     
    วิธีสังเกตและหลีกเลี่ยง ครีมที่มีสารสเตียรอยด์?
    ครีมในปัจจุบันมีมากมายหลากหลายตัว หลายยี่ห้อแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าครีมตัวไหนดี ตัวไหนไม่ดี เพื่อหลีกเลี่ยงครีมที่มีสารสเตียรอยด์ผสม เราจำเป็นจะต้องตรวจสอบให้ดีก่อนที่เราจะนำครีมตัวนั้นมาใช้


    ตรวจสอบภายนอก ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ว่ามีการบอกแหล่งที่มาหรือไม่
    -มีแหล่งที่มาชัดเจน / มีเลขอย. / เลขใบรับรองหรือไม่ - หากมีเลขอย. ต้องนำไปตรวจเช็คให้ดีก่อนใช้ เพราะอาจจะเป็นเลขปลอม และ ต้องตรวจสอบที่อยู่ของโรงงานผลิตว่าน่าเชื่อถือหรือไม่
    -ดูสรรพคุณ และ โฆษณาว่าเกินความเป็นจริงหรือไม่ - หากสรรพคุณของครีมดูเกินจริง เช่น หน้าใสทันทีที่ใช้ สามารถรักษาได้ทุกอย่าง ก็อย่าไปใช้ เพราะไม่มีครีมตัวไหนที่จะรักษาได้ทุกอย่าง
    พอเราตรวจสอบภายนอกจนแน่ใจระดับหนึ่งแล้วเราจะมา ตรวจสอบภายในเนื้อครีม โดยตรวจสอบตัวผลิตภัณฑ์ว่ามีสิ่งแปลกปลอม หรือ ผิดปกติหรือไม่


    ดูสีสันของตัวครีมว่าผิวปกติหรือไม่ - ส่วนมากครีมทั่วไปที่ได้มาตรฐานจะมีสีออกขาว ครีม เนื้อครีมจะโปร่งใส หรือ เป็นเจลที่สีไม่ข้นมาก หากสีของครีมเข้มจนเกินไป หรือ มีสีที่แตกต่างจากครีมทั่วไป ให้เลี่ยงการนำมาใช้เนื่องจากครีมที่สีสด
    กลิ่นของครีมแรงเกินไปหรือไม่ - ครีมปกติจะมีทั้งแบบไม่มีกลิ่น และ แบบมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แต่ครีมที่มีสารสเตียรอยด์มักจะเป็นครีมที่มีกลิ่นแรงเนื่องจากมีกลิ่นของสารที่ชัดเจน แต่บางตัวก็อาจจะใส่น้ำหอมกลบ แต่กลิ่นน้ำหอมจะแรงจะผิดปกติ
    เนื้อครีมแยกชั้นกันหรือไม่ - หากตั้งครีมทิ้งเอาไว้แล้วตัวครีมแยกชั้นกันอย่างชัดเจน แสดงว่าตัวครีมมีส่วนผสมของสารอันตราย เพราะครีมที่ดีจะต้องผสมเข้าด้วยกันโดยไม่แยกชั้น หากครีมแยกชั้นไม่ควรที่จะนำมาใช้
    ครีมที่ให้ผลเร็วจนเกินไปหรือไม่ - ไม่มีครีมตัวไหนที่จะออกผลได้เร็วจนเกินไป เพราะครีมที่ดีจะค่อยๆ ไปปรับสภาพผิวโดยไม่ให้โครงสร้างผิวเปลี่ยนแปลง
    เมื่อหยุดใช้ครีมเกิดผลข้างเคียงอะไรหรือไม่ - อันนี้เป็นข้อสำคัญที่ใช้ตรวจสอบครีมที่มีสารสเตียรอยด์ได้ดี เพราะครีมที่มีสเตียรอยด์ในช่วงที่ใช้งาน สเตียรอยด์จพไปกดภูมิคุ้มกันเอาไว้ทำให้ผิวทนทานต่อมลภาวะเป็นพิเศษ แต่เมื่อหยุดใช้ครีมภูมิคุ้มกันที่ถูกกดเอาไว้จะกลับมาทำงานมากกว่าเดิม ยิ่งใครที่ใช้ครีมต่อเนื่องเป็นประจำอาจทำให้เกิดปัญหาผิวถาวรที่แก้ไม่หาย!!!
     
    กู้หน้าที่พังจาก ครีมที่มีสารสเตียรอยด์ ได้อย่างไร?


    ให้หยุดใช้ครีมที่มีสเตียรอยด์ทันที และ หยุดใช้ครีมทุกชนิดเพื่อเป็นการพักหน้า แต่หากใครที่ใช้ครีมที่มีสเตียรอยด์มานานๆ อาจทำให้หิวเห่อหนักๆ ได้แต่ก็ให้อดทนเอาไว้ เมื่อพักหน้าระดับหนึ่งแล้ว จากนั้นให้ค่อยๆ ฟื้นฟูผิวจากภายในทั้งในเรื่องของอาหารการกิน การพักผ่อนที่เพียงพอ นอกจากนั้นอาจจะต้องใช้ครีมที่ช่วยในเรื่องของการลดการระคายเคือง ช่วยฟื้นฟูผิวจากการติดสารสเตียรอยด์ และ ช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื้นมีสุขภาพดีดังเดิม โดยเราอยากจะแนะนำ ครีมเวชสำอางของ ResiSKIN ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับคนที่หน้าติดสารสเตียรอยด์โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นครีมที่ช่วยในเรื่องของ
    ช่วยในการเสริมเกราะป้องกันผิวจากการติดสารสเตียรอยด์
    ทำให้ผิวหน้าของเรากลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
    -ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น กลับมาอิ่มน้ำจากการติดสารสเตียรอยด์
    -ช่วยฟื้นฟูผิวจากการอักเสบ ระคายเคือง ที่มาจากสารสเตียรอยด์
    -ช่วยปกป้องผิวจากทุกสภาวะ และ ป้องกันปัญหาผิวกลับมาเป็นซ้ำ

    ใครที่ผิวติดสารสเตียรอยด์แล้วผิวอ่อนแอไม่แข็งแรง ครีมเวชสำอางของ ResiSKIN นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวที่ช่วยในเรื่องของการสร้างเกราะป้องกันผิวที่ถูกสารสเตียรอยด์ทำลายได้ดี ยิ่งผิวมีเกราะป้องกันที่แข็งแรงยิ่งทำให้ผิวของเราสวย สุขภาพดี พร้อมลุยทุกมลภาวะ และ ไม่กลัวปัญหาผิวที่จะมารบกวน ปัญหาผิวติดสเตียรอยด์อาจจะใช้เวลาในการรักษา

    เอาชนะทุกปัญหาผิว อักเสบ แพ้ แห้ง แดง ผื่นคัน ให้ผิวกลับมาแข็งแรงด้วย ResiSKIN

     
    ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
    Facebook : Resiskin by Qualisk
    Line : @resiskin


    หน้า: 1 [2] 3 4 5 6 7