ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ploypola

หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7
251

Drawing ออนไลน์ กับ VA เพราะพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ
เนื่องจากสถานการณ์ Covid-19 ในปัจจุบันทำให้ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรน่า แต่เนื่องจากทาง viridian academy of art เล็งเห็นถึงความสำคัญของพื้นฐานที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้เราสามารถต่อยอด และ ทำให้ง่ายต่อการพัฒนาฝีมือในอนาคต ด้วยเหตุผลนี้เราจึงได้เปิดคอร์ส Drawing ออนไลน์ ขึ้นเพื่อสอนพื้นฐานการดรออิ้งขึ้น อย่าทิ้งเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ใช้ช่วงเวลานี้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เพราะพื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญ!!!
คอร์สdrawing ออนไลน์ เรียน Basic drawingหลักสูตรเก่งเร็ว

คอร์ส basic drawing เป็นคอร์สเรียนพื้นฐานการวาดภาพ ซึ่งเป็นคอร์สเริ่มต้นที่สำคัญก่อนเริ่มเรียนสำหรับทุกๆคอร์ส เนื่องจากคอร์สอื่นๆ จะต้องอาศัยทักษะการดรออิ้ง ซึ่งเป็นพื้นฐานของพื้นฐาน ที่ต้องใช้ในการวาดภาพ โดยคอร์สเบสิกนี้ เป็นคอร์สที่จะสอนการวาดภาพเบื้องต้น ทั้งการวาดรูปร่าง รูปทรง การลงน้ำหนักมือ และ การลงแสง-เงา ซึ่งถือว่าเป็นทักษะการวาดรูปพื้นฐาน
คอร์สbasic drawing เหมาะกับใคร
-น้องๆ มัธยมศึกษาตอนปลาย 4-6 ที่กำลังเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
-น้องๆที่ซิ่วเพื่อเตรียมตัวสอบเข้าคณะศิลปกรรม คณะมัณฑนศิลป์ คณะนิเทศศิลป์ คณะสถาปัตยกรรม คณะจิตกรรม และ คณะที่ต้องอาศัยทักษะการวาดภาพต่างๆ
-น้องๆ ที่ต้องการฝึกทักษะพื้นฐานให้แม่นยำ เพื่อนำไปต่อยอดทักษะวาดภาพในระดับที่สูงขึ้น หรือ ต้องใช้ในการทำงานทางด้านศิลปะ
 
คอร์สนี้เรียนกี่ครั้ง แต่ละครั้งเมื่อเรียนแล้วจะได้รับอะไรบ้าง?
คอร์สพื้นฐานการวาดภาพนี้ เป็นคอร์สเริ่มต้นสำหรับเรียนต่อในทุกๆคอร์ส ซึ่งจะทำการเรียนทั้งหมดคอร์สละ 8 ครั้ง โดยจะเรียนทั้งหมด 8 บท ซึ่งแบ่งเป็น แบบบรรยาย โดยจะใช้เวลาในการเรียนบทละ 30-60 นาที และ แบบปฏิบัติเอง 3-4 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีการสอนเกล็ดความรู้เสริมรอบด้านในการวาดรูปให้ครบถ้วน เพื่อที่ผู้เรียนจะสามารถนำไปฝึก และ ปฏิบัติเองได้ โดยการเรียนของเราจะวัดผลโดยการให้ผู้เรียนปฏิบัติงานแล้วส่งงานให้กับอาจารย์ เพื่อที่จะได้ทำการดูภาพรวมมของการเรียนในแต่ละครั้ง นั้นทำให้คอร์สออนไลน์นี้เสมือนเรียนสดกับอาจารย์
-เรียนบรรยาย เพื่อให้ทราบถึงทฤษีต่างๆ ความเป็นมาของโครงสร้าง รูปร่างต่างๆ อีกทั้งเทคนิค และ เกล็ดความรู้เพิ่มเติม ที่สามารถนำไปใช้กับการปฏิบัติ และ ฝึกฝนได้จริง
-เรียนปฏิบัติ เพราะศิลปะคือการลงมือทำ นอกจากภาคบรรยายแล้วยังต้องสามารถปฏิบัติได้จริง จึงมีการเรียนภาคปฏิบัติ โดยจะให้น้องๆส่งงานที่ทำการวาดมาเพื่อตรวจประเมินผล เพื่อที่จะสามารถพัฒนาฝีมือไปได้ตรงจุด
เนื้อหาในการเรียนที่จะได้จากการเรียนคอร์สนี้ มีดังต่อไปนี้
-หลักการวาดภาพพื้นฐาน และ รูปทรงพื้นฐาน
-การขึ้นโครงสร้างรูปวงกลม รูปทรงรี
-การวาดรูปทรงต่างๆ พื้นฐานที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็น รูปทรงกรวย , รูปทรงกลม , รูปทรงกระบอก , รูปทรงลูกบาศก์ และ รูปทรงพื้นฐาน
-การลงน้ำหนักมือแบบต่างๆ และ การลงแรงเงาพื้นฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคณะที่ต้องอาศัยทักษะการวาดภาพ
-การนำไปประยุกต์ใช้ในการวาดภาพต่างๆ และ เทคนิคพื้นฐานที่จำเป็นในการวาดภาพ ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดผลงานจากคอร์สพื้นฐานได้
ทำไมต้องเรียน drawing ออนไลน์ กับ viridian academy of art

เนื่องจากพื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญ หากพื้นฐานไม่ดี จะส่งผลทำให้การเรียนคอร์สที่สูงขึ้น  อีกทั้งการนำพื้นฐานมาประยุกต์ใช้กับทักษะที่อื่นๆ มีปัญหาได้ หากพื้นฐานรูปทรงต่างๆ การลงน้ำหนักมือไม่ได้ จะทำให้ภาพที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ด้วยเหตุนี้ เราจึงจัดทำคอร์สออนไลน์ พื้นฐานการดรออิ้ง ที่จะช่วยทำให้น้องๆ มีทักษะในการเริ่มต้นที่ดี และ สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นทักษะการสเก็ตช์ภาพ ทักษะการวาดเส้น ทักษะการลงสี ทักษะการออกแบบ และ ทักษะอื่นๆที่จำเป็น อีกทั้งยังเป็นคอร์สที่สอนสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่น้องๆควรที่จะรู้ ก่อนที่จะไปเรียนในคอร์ส หรือ ระดับที่สูงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งพี่ๆ viridian academy of art ยังเป็นพี่ที่จบจากคณะทางด้านศิลปะมาตรงๆ และ มีประสบการณ์ในการเตรียมตัวมาก่อนทำให้สามารถเข้าใจ และ ปูพื้นฐานได้ตรงจุด อีกทั้งหลักสูตรนี้ยังเป็นหลักสูตรเก่งเร็ววาดรูปด้วยสมองซีกขวา ที่ได้คีดบาเรียนที่สำคัญมาเพื่อให้น้องๆ สามารถนำความรู้ไปฝึก และ ปฏิบัติได้เอง นอกจากนั้นยังมีการประเมินผลงานการปฏิบัติงานที่ได้จากการเรียน เพื่อดูภาพรวมของงานในแต่ละสัปดาห์อีกด้วย
"ไม่ใช่แค่เรียน แต่ต้องปฏิบัติได้จริง"

 

สามารถติดตาม viridian academy of art ช่องทางต่างๆได้ดังนี้เบอร์โทรศัพท์ : 083-615-2391
Facebook : viridian academy of art
Line : @viridian
Instargram : viridian academy of art
Email : viridian.academy.2019@gmail.com



252

โฆษณา Youtube สิ่งที่ควรรู้ก่อนเสียเงินไปแบบฟรีๆ
ถ้าพูดถึงเว็บไซต์สำหรับดูวิดีโอ แชร์วิดีโอต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เพลงเพราะๆ หนังเรื่องโปรด หรือ คลิปที่ชอบ ก็คงหนีไม่พ้นเว็บไซต์ยอดนิยมอย่างYoutube เป็นแน่ จริงๆแล้วYoutubeเริ่มต้นในปี 2005 ซึ่งมาจากไอเดียที่คิดอยากจะสร้างเว็บไซต์สำหรับฝากไฟล์วิดีโอ และ แชร์วิดีโอต่างๆ ที่ง่ายต่อการอัพโหลดลงบนโลกอินเทอร์เน็ต หลังจากนั้นYoutube ก็เติบโตอย่างรวดเร็วมาเรื่อยๆ จนในปี2016 ก็สามารถก้าวไปเป็นเว็บไซต์อันดับ 2 ที่มีคนเข้าไปดูมากที่สุดในโลก และ ในปัจจุบันyoutube ก็ถูกGoogleซื้อไปเป็นที่เรียบร้อย โดยทำงานผ่าน Google Adsword นอกจากจะเป็นเว็บไซต์ยอดนิยมที่สามารถดูวิดีโอ หรือ แชร์วิดีโอได้แล้ว ยังสามารถทำการตลาดได้อีกด้วย โฆษณา Youtube นับเป็นอีกการทำการตลาดที่นิยมทำกันมาก แต่หลายๆคนมักจะเสียเงินไปแบบฟรีๆ ก่อนที่จะเสียเงินไปแบบศูนย์เปล่าไปอ่านบทความกันเลย
 
 
Highlight Ads Youtube ที่ต้องรู้!!!
-รู้ให้ชัดก่อนที่คุณจะเสียค่าโฆษณาYoutubeไปแบบฟรีๆ
-ชนิดของโฆษณาYoutube
 
รู้ให้ชัดก่อนที่คุณจะเสียค่า โฆษณาYoutube ไปแบบฟรีๆ
ยูทูปเป็นเว็บไซต์ยอดนิยมอย่างมากในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ช่วงวัยใด หรือ มีคนสนใจอะไร ก็เข้ามาใช้งานยูทูปนั้นทำให้ยูทูปในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมการใช้ยูทูปของคนไทยในปีที่ผ่านๆมา มีอัตราการรับชมที่เพิ่มขึ้นถึง 20% และ จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ไม่ใช่แค่เพียงการรับชมวิดีโอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการผลิตวิดีโอซึ่งในประเทศไทยมีจำนวน channel มากกว่า 450 ช่อง อีกทั้งยังมีการทำการโฆษณา(Ads)อีกด้วย แต่การทำวิดีโอๆซักวิดีโอนึง ก็ล้วนแต่ต้องใช้ต้นทุนในการทำ ถ้าทำไม่ถูกคุณก็อาจจะเสียเงินเหล่านั้นไปแบบฟรีๆ ซึ่งการจะทำให้การทำโฆษณาประสบผลสำเร็จบนยูทูป ก็ควรคำนึงถึง 3 สิ่งดังต่อไปนี้ ที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้การโฆษณาของคุณได้ผลดี และ ไม่เสียเงินไปแบบเปล่าประโยชน์
-กลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ไม่ใช่แค่ใครก็ได้ การทำการตลาดให้ตรงกับ Target ที่เหมาะสมกับสินค้า หรือ บริการของเรา จะทำให้เงินที่คุณจ่ายไปในการทำโฆษณาไม่เสียเปล่า
-วิดีโอสุดครีเอทีฟ เพราะสื่อเป็นตัวดึงดูดความสนใจที่ดี นั้นทำให้วิดีโอที่จะมาใช้ในการทำการตลาดจะต้องออกมาสร้างสรรค์ และ เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของเรา ไม่อย่างนั้นถึงแม้สิ่งที่เราต้องการจะสื่อจะตรงกับเป้าหมายแค่ไหน ก็ไม่ดึงดูดให้เป้าหมายเข้ามาหาเรา
-แผนการตลาดสุดเจ๋ง ไม่ใช่ว่าจะทำแบบไหนก็ได้ แต่เราควรจะมีแผนการตลาดที่จะช่วยวางแผนว่า กลุ่มเป้าหมายของคุณเหมาะกับแบบไหน หรือ ทำอย่างไรถึงจะตอบโจทย์เป้าหมายของคุณมากที่สุด
 

ชนิดของ โฆษณาYoutube
โฆษณาบนยูทูปที่เรามักจะคุ้นตากัน มีมากมายหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีความเหมาะสม และ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แตกต่างกัน จะลงโฆษณาตรงจุดไหนถึงจะโดนใจผู้บริโภค มารู้จักแต่ละชนิดของโฆษณาบนยูทูปกันดีกว่าว่าจะมีอะไรกันบ้าง
 
Display Ads

เป็นรูปแบบ โฆษณา Youtube ที่เรามักจะเห็นบ่อยครั้ง โดยจะโชว์ Banner ในตามหน้าต่างๆของ Youtube เว้นแต่ในส่วนของหน้า Home ที่จะไม่โชว์  โฆษณามักจะอยู่ในรูปแบบของภาพด้านขวามือของวิดีโอที่เรากำลังรับชมอยู่ และ อยู่ด้านบนของวิดีโอที่แนะนำนั้นเอง
การทำงานของ Display Ads : จะมีการเล่นวิดีโอรวมถึงการวนกลับมาเล่นใหม่ทั้งหมดไม่เกิน 30 วินาทีแล้วจึงจะหยุดการทำงานของโฆษณา
แพลตฟอร์มที่รองรับ : Desktop
ขนาดที่ต้องการในการทำ Ads : 300 X 250 หรือ 300 X 60 pixal
เหมาะสำหรับ : ใช้ในการโปรโมทสินค้าเพื่อดึงดูดสายตาของลูกค้า และ ให้ลูกค้าการเข้าถึงแบรนด์มากยิ่งขึ้น
การคิดเงิน : ค่าโฆษณาจะคิดก็ต่อเมื่อมีลูกค้าคลิกเข้าไปที่โฆษณา
 
Overlay In-video Ads

เป็นรูปแบบการโฆษณาที่มีลักษณะคล้ายกับ Banner ที่จะแสดงภาพ หรือ ข้อความทับซ้อนไปบนวิดีโอที่กำลังรับชมอยู่โดยสังเกตด้านล่างเมื่อทำการดูวิดีโอ โดยโฆษณาจะเล่นก็ต่อเมื่อวิดีโอเล่นไปถึงช่วงที่ทำการใส่โฆษณาเข้าไป
การทำงานของ Overlay in-video Ads : จะปรากฎโฆษณาตามการตั้งค่าช่วงที่ต้องการใช้แสดง โดยสามารถกดปิดโฆษณาได้ทุกเมื่อ
แพลตฟอร์มที่รองรับ : Desktop
ขนาดที่ต้องการในการทำ Ads : 480 X 70 pixal
เหมาะสำหรับ : สินค้าและบริการเป็นที่รู้จัก และ คนเห็นสินค้าผ่านตามากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดแรงดึงดูดเพื่อนำไปสู่การซื้อสินค้า
การคิดเงิน : ค่าโฆษณาจะคิดก็ต่อเมื่อมีลูกค้าคลิกเข้าไปที่โฆษณา
 
TrueView In-stream Ads

เป็นโฆษณาในรูปแบบของการแสดงโฆษณาคั่น ได้แก่ ก่อนเล่นวิดีโอ ระหว่างเล่นวิดีโอ และ หลังเล่นวิดีโอ นั้นเอง โดยเราจะสามารถกดข้ามได้ ซึ่งก็มักจะอยู่ในรูปแบบของวิดีโอเป็นส่วนใหญ่
การทำงานของ TrueView In-streams Ads : จะแสดงโฆษณาก่อน/กลาง/หลังทำการรับชมวิดีโอ โดยสามารถทำการข้ามวิดีโอได้เมื่อผ่านไปแล้ว 5 นาที
แพลตฟอร์มที่รองรับ : Desktop , TV Screen , Game consoles และ Mobile
ขนาดที่ต้องการในการทำ Ads : วิดีโอความยาวเกิน 12 วินาที แต่ไม่เกิน 3 นาที
เหมาะสำหรับ : ต้องการดึงดูดความสนใจ และ กระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความสนใจสินค้าเพิ่มโอกาสในการขาย และ ช่วยคัดคนที่มีความสนใจดูจบจบวิดีโอได้
การคิดเงิน : เป็นแบบ CPV (Cost Per View) คือ จะคิดค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีคนดูโฆษณาเกิน 30 นาที และ แบบ CPM (Cost Per Thousand Impression) คือ จะคิดค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีการแสดงโฆษณาครบ 1,000 ครั้ง
 
TrueView In-display Ads

โฆษณาในรูปแบบของวิดีโอที่จะไปปรากฎอยู่ด้านข้าง หรือ ด้านล่างของวิดีโอที่กำลังรับชม โดยเป็นโฆษณาที่เราสามารถตั้งค่าการแสดงกับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการให้เห็นโฆษณาได้ โดยสามารถทำการข้ามวิดีโอได้เมื่อผ่านไปแล้ว 5 นาที
การทำงานของ TrueView In-display Ads : เมื่อมีผู้ที่คลิกโฆษณา ทางระบบจะทำการพาไปยังหน้าของช่องยูทูปเพื่อชมวิดีโอนั้นๆ
แพลตฟอร์มที่รองรับ : Desktop และ Mobile
ขนาดที่ต้องการในการทำ Ads : วิดีโอที่ขนาดไม่เกิน 1 GB
เหมาะสำหรับ : กระตุ้นความสนใจของลูกค้าให้อยากเข้ามาชมโฆษณา เนื่องจากสามารถตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายได้
การคิดเงิน : ค่าโฆษณาจะคิดก็ต่อเมื่อมีลูกค้าคลิกเข้าไปที่โฆษณา
 
TrueView In-search Ads

รูปแบบของโฆษณาที่จะแสดงผลคล้ายๆกับผลการค้นหาบน Google โดยวิดีโอโฆษณาที่ต้องการแสดงจะไปติดอยู่ที่ Top Rank ของการค้นหาจากผู้ใช้งานนั้นเอง โดยสามารถทำการข้ามวิดีโอได้เมื่อผ่านไปแล้ว 5 นาที
การทำงานของ TrueView In-search Ads : โฆษณาจะไปปรากฎอยู่อันดับบนๆของการค้นหา
แพลตฟอร์มที่รองรับ : Desktop และ Mobile
ขนาดที่ต้องการในการทำ Ads :  ข้อความไม่เกิน 25 ตัวอักษร และ คำบรรยายไม่เกิน 2 บรรทัด
เหมาะสำหรับ : กระตุ้นให้มีคนเข้าไปดูวิดีโอมากยิ่งขึ้น เนื่องจากวิดีโอที่อยู่ในอันดับบนๆ จะดึงดูดสายตาได้ดีกว่าวิดีโอข้างล่าง
การคิดเงิน : ค่าโฆษณาจะคิดก็ต่อเมื่อมีลูกค้าคลิกเข้าไปที่โฆษณา
 
Non-Skippable In-stream Ads

รูปแบบของโฆษณาที่คล้ายกับตัวของ TrueView In-stream โดยจะแสดงวิดีโอ ก่อน/คั่นกลาง/หลัง ชมวิดีโอหลัก แต่จะแตกต่างกันตรงที่รูปแบบนี้จะไม่สามารถกดข้ามได้เลย แต่ต้องทำการรับชมโฆษณาจนจบก่อนถึงจะสามารถดูวิดีโอหลักได้
การทำงานของ Non-Skippable In-stream Ads : โฆษณาคั่นระหว่างก่อน/คั่นกลาง/หลัง ชมวิดีโอหลัก โดยโฆษณาจะจบใน 15 วินาที
แพลตฟอร์มที่รองรับ : Desktop และ Mobile
ขนาดที่ต้องการในการทำ Ads :  วิดีโอความยาว 15-20 วินาที
เหมาะสำหรับ : สร้างความถี่ในการเข้าถึงสินค้า เพิ่มการรับรู้ของแบรนด์สินค้า และ สามารถแสดงเรื่องราวของสินค้าได้ละเอียด
การคิดเงิน : แบบ CPM (Cost Per Thousand Impression) คือ จะคิดค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีการแสดงโฆษณาครบ 1,000 ครั้ง
 
Bumper Ads

อีกหนึ่งรูปแบบของวิดีโอที่ไม่สามารกดข้ามได้ แต่ระยะเวลาของโฆษณาจะสั้นกว่าแบบ Non-Skippable In-stream Ads ซึ่งต้องทำการรับชมโฆษณาให้จบเสียก่อนถึงจะสามารถชมวิดีโอหลักต่อไปได้
การทำงานของ Bumper Ads : โฆษณาที่จะแสดงคั่นก่อน/คั่นกลาง/หลัง ชมวิดีโอหลัก โดยโฆษณาจะมีความยาว 6 วินาที
แพลตฟอร์มที่รองรับ : Desktop , TV Screen และ Mobile
ขนาดที่ต้องการในการทำ Ads :  วิดีโอความยาว 6 วินาที
เหมาะสำหรับ : เพิ่มการรับรู้ของลูกค้าให้เห็นสินค้าบ่อยขึ้น ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น และ สามารถนำคอนเทนต์เก่ามาใช้ใหม่ได้
การคิดเงิน : แบบ CPM (Cost Per Thousand Impression) คือ จะคิดค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีการแสดงโฆษณาครบ 1,000 ครั้ง
 
Mastheads

โฆษณารูปแบบของ Banner หรือ วิดีโอแบบไร้เสียง ที่จะแสดงอยู่บนหน้า Homepage ของ Youtube โดยจะเป็นแปนเนอร์ขนาดใหญ่ที่จะอยู่ด้านบนของหน้าโฮม
การทำงานของ Mastheads : จะแสดงโฆษณาเป็นระยะเวลา 30 วินาที
แพลตฟอร์มที่รองรับ : Desktop , TV Screen และ Mobile
ขนาดที่ต้องการในการทำ Ads :  970 X 250 pixal
เหมาะสำหรับ : โปรโมทสินค้าใหม่ให้เตะตา และ เพิ่มการรับรู้ของแบรนด์
การคิดเงิน : แบบ CPM (Cost Per Thousand Impression) คือ จะคิดค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีการแสดงโฆษณาครบ 1,000 ครั้ง
สามารถอ่าน บทความช่องทางการทำ Digital Marketing เพิ่มเติมได้ที่นี่

ทำการตลาดยิง Adsกับเราดีอย่างไร
เราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ที่ให้บริการในด้านของการทำ SEM SEO รวมทั้ง การยิงAds และ รูปแบบการทำการตลาดรูปแบบอื่นๆ อีกทั้งเรายังช่วยในเรื่องการวิเคราะห์และทำความเข้าใจธุรกิจตลอดจนการวางแผน และ ออกแบบรูปแบบการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณพร้อมทีม Support ที่ช่วยดูเหลือธุรกิจของคุณ ให้สามารถทำยอดขาย และ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency



253

รีวิวนิเทศศิลป์ กับ "ออม" บอกหมดในสิ่งที่คนอยากรู้
สวัสดีค่ะน้องๆ มีน้องๆหลายคนที่กำลังเตรียมตัวสำหรับจะสอบเขานิเทศศิลป์ หรือ กำลังลังเลในการสอบเข้านิเทศศิลป์ บทความนี้พี่จะมา รีวิวนิเทศศิลป์ พร้อมบอกหมดเปลือกในสิ่งที่หลายๆคนอยากรู้ที่สุด ในการเตรียมตัวสำหรับการสอบ แต่จะมีอะไรกันบ้าง ต้องไปอ่านในบทความกันนะคะ
จุดเริ่มต้นของพี่ในการเตรียมตัวสอบเข้านิเทศศิลป์
แรกเริ่ม

เริ่มจากที่เราไม่มีพื้นฐานในการวาดภาพมาก่อน เลยคิดว่าต้องเรียน เพราะเดี๋ยวสู้ใครเขาไม่ได้ ตอนแรกที่เข้ามาเรียนที่นี่ก็กะว่าจะเรียนนิเทศศิลป์คอร์สเดียวพอแล้วไปฝึกเพิ่มเอง เนื่องจากเราต้องเดินทางมาจากราชบุรีด้วย มันก็ลำบากเรื่องเดินทางเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ตอนนั้นที่เราเรียนคอร์สนึงมี8ครั้ง ครั้งแรกเข้ามาตอนนั้นพี่อะไหล่สอน เริ่มด้วยพื้นฐานก่อนเลย การจัดองค์ประกอบศิลป์ การวางน้ำหนักในงานใช้รูปร่างรูปทรง ทุกครั้งที่มาเรียนไม่ว่าจะคอร์สไหนก็จะมีการบ้านให้กลับไปฝึกฝนตลอด มันดีตรงนี้แหละไม่ใช่แค่เรียนวันเดียวแล้วจบถ้าไม่ฝึกมันจะได้อะไร ครั้งต่อๆมาก็จะมีพี่ไอซ์มาสอน จะเรียนเกี่ยวกับสื่อสารอารมณ์mood&toneมากขึ้น การใช้สีในการสื่อสารต่างๆ เพราะนิเทศศิลป์คือการออกแบบเพื่อการสื่อสารตรงนี้เลยสำคัญ เพราะมันเป็นการสื่อความรู้สึกพื้นฐาน ต่อมาก็จะเน้นการออกแบบมากขึ้น
พอเราเรียนจบคอร์สนึงเราก็แบบเฮ้ย ไม่ได้แล้วว่ะถ้าจะเข้านิเทศศิลป์ของศิลปากรติวแค่นี้ไม่พอ การแข่งขันมันสูงมากถ้าเราไปด้นเองไม่น่ารอดแล้วอีกอย่างที่VAก็มีพี่ๆที่จบมาโดยตรง  ปรับพื้นฐานแนะแนวทางให้เราได้มันก็ดีกว่าไปดำน้ำเอาเองอยู่แล้ว ก็เลยคุยกับที่บ้านว่าขอเรียนไปเรื่อย ๆ จนถึงสอบนะ ที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ ก็สนับสนุนเพราะเค้ารู้ว่าเราตั้งใจเรียนด้วยแหละ
เตรียมตัว

พอถึงช่วงก่อนสอบอันนี้เครียดของจริง เราติวกันจริงจังมากถึงขั้นค้างคืนที่VAกับเพื่อนๆเลย ตื่นมาเช้าซ้อมเหมือนเตรียมสอบ บ่ายก็Drawing ค่ำๆก็นั่งทำโจทย์นิเทศต่อจนพี่อะไหล่มาไล่ไปนอนถึงได้นอน ดุเดือดสุดช่วงนั้นเครียดจัด ๆ ตอนติวเรารู้สึกว่าคุณภาพงานตัวเองมันอยู่กลางๆ บางทีก็ขึ้นๆลงๆแล้วแต่โจทย์ แต่ด้วยความที่ได้ติวได้ทำโจทย์หลายรูปแบบมันก็เพียงพอที่จะเอาไปสอบแล้วผ่านแน่ๆ แต่เรื่องติดไหมก็วัดกันที่ไหวพริบหน้างาน ตอนนั้นติวก็แอบร้องไห้นะ ก็เครียดเนอะทำไงได้ แต่ก็พยายามโฟกัสแค่ว่าต้องฝึกเยอะๆ พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ คือเราสมัครสอบไปแค่นิเทศศิลป์ของศิลปากรที่เดียวด้วยไง มันเลยยิ่งกดดัน ไม่ได้สมัครที่อื่นเหมือนเพื่อนๆ
สอบจริง

พอถึงวันสอบก็แบบ เอาวะติวมาขนาดนี้แล้วต้องได้แหละวะตอนสอบในใจคิดอย่างเดียวคือตีโจทย์ให้แตกเพราะนิเทศศิลป์คือออกแบบเพื่อการสื่อสารดังนั้นต้องตีโจทย์ให้แตกตามที่พี่ ๆ พร่ำสอน พอเจอโจทย์ปุ๊บก็เข้าทางเลยเพราะพี่เต้เคยให้ทำโจทย์คล้าย ๆ กันแต่ก็ง่ายกว่าของพี่เต้ ตอนทำเค้าให้เวลา 2 ชั่วโมง เราตีโจทย์กับออกแบบไป 1 ชั่วโมงเต็มแล้วค่อยวาดอีก 1 ชั่วโมง ขนาดงานมันไม่ใหญ่ด้วยเลยแบ่งเวลาไปคิดได้เยอะ ในใจคิดว่า เราตีโจทย์แตก นะสื่อสารตรงอยู่แล้วภาพประกอบก็เข้าใจง่ายเลยแอบคิดว่า ติดแน่ แต่ไม่กล้าบอกใครเพราะมันดูมั่นไป ดีใจมากที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคิด ต้องขอบคุณพี่ ๆ ที่ช่วยติวให้เลย เพราะถ้าเราไปดำน้ำเองไม่รอดแน่ นี่คือข้อดีของการเตรียมพร้อมจริงๆ
รีวิวนิเทศศิลป์ การสอบจริงเดือดแค่ไหน!!!
ตึกที่สอบ
วันสอบคนเยอะมาก เรารู้สึกกดดันมากแล้วก็ตื่นเต้นสุดๆ สนามสอบจัดที่โรงเรียนวัดดุสิตาราม ตอนนี้เราจำชื่อตึกกับเลขห้องสอบไม่ได้แล้ว แต่ตอนนั้นก่อนจะเริ่มสอบ เราไปไหว้พระกับเพื่อนหน้าโรงเรียนขอให้สอบติด ข้างหน้าโรงเรียนมีเครื่องเขียนมาขายด้วยสำหรับใครที่ไม่ได้พกมา พอถึงเวลาเข้าห้องสอบก็แยกไปตามแต่ละห้องที่ตัวเองสอบ
สภาพห้องสอบ
ด้วยความที่ใช้สถานที่ที่เป็นโรงเรียนสอบ ทำให้ห้องสอบเป็นเหมือนกับห้องเรียนทั่วไป ตอนสอบ drawing เรานั่งใกล้ๆประตู แสงแย่มากถึงมากที่สุด แล้วในห้องก็เปิดไฟอีก ตอนสอบเลยคิดว่าต้องเมคงานให้ดูดีกว่าของจริง ต้องจัดแสงเอาในหัวใช้ภาพจำจากที่เคยเรียนมาก วาดเสร็จก่อนเวลานิดหน่อยพอดูภาพรวมแล้วรู้สึกว่าทำได้ดีเลย แต่ใช้เทคนิคถู สอบผ่านแต่คะแนนเลยไม่เยอะ เพราะอาจารย์ชอบงานสานเส้น  ส่วนการสอบนิเทศศิลป์ สภาพห้องสอบไม่มีผลมากเท่าไหร่ แต่พื้นที่ในการวางอุปกรณ์ไม่พอ เพราะเป็นแค่โต๊ะนักเรียนเล็ก ๆ บางคนเลยนั่งพื้น หลังสอบเสร็จโล่งมากคิดว่าน่าจะผ่านไปด้วยดี พอประกาศผลในที่สุดก็ติด เย่!!!!
การถูกสัมภาษณ์
พอถึงวันสัมภาษณ์ เค้าให้นักเรียนทุกคนไปรวมเป็นห้องๆ แล้วเรียกไปสัมภาษณ์ครั้งละ 4 คน อาจารย์ที่สัมภาษณ์ ถ้าจำไม่ผิดมีประมาณ 4 – 6 คน มีหัวหน้าภาควิชาอยู่ด้วย คำถามแรกที่ถามคือ ให้แนะนำตัว ต่อมาก็ถามเรื่องความสนใจ ถามเกรด รู้จักคณะนี้ได้ยังไง ก็ประมาณนี้ เป็นคำถามเบสิกในการสัมภาษณ์ทั่วไป
เข้าไปอยู่ในคณะแล้วเป็นอย่างไร สังคมเป็นอย่างไร
คณะนี้เรียนทั้งหมด 4 ปี  ปี 1 เรียนที่วิทยาเขตสนามจันทร์ ปี 2 – 4 เรียนที่วิทยาเขตท่าพระจันทร์ หลังจากที่ได้เข้ามาเรียน ปี 1 เรียนที่สนามจันทร์ ลำบากเรื่องการเดินทางไปคณะ เพราะมันอยู่ท้ายสุดของมหาลัย อากาศก็ร้อนมาก กันแดดเอาไม่อยู่ทุกคนเกรียมกรอบ เพื่อนๆ ในภาคนิเทศดีมาก ไม่มีทะเลาะกันเหมือนภาคอื่นๆ ภาคนิเทศเหมือนรวมคนที่นิสัยคล้าย ๆ กันไว้ด้วยกัน
การบ้านเยอะมาก!!! เพราะเป็นช่วงปรับตัวจากมัธยมแต่จริง ๆ แล้วไม่ได้เยอะขนาดนั้น ปี 3 เหนื่อยสุด พอเรียนไปเรื่อย ๆ ก็จะปรับตัวได้เอง ปี 2 ย้ายมาเรียนที่ท่าพระ สภาพแวดล้อมแย่กว่าเดิม เพราะมหาลัยก่อสร้างอยู่ ฝุ่นก็เยอะ วันดีคืนดีอาจมีเหล็กหล่นมาเสียบหัว แต่การเดินทางไม่ร้อนเท่านครปฐมเพราะมีรถเมย์ แต่ก็รถติดอยู่ดี แต่ห้องเรียนใหม่กว่าที่สนามจันทร์เพราะทำห้องใหม่ แต่การย้ายมาท่าพระ ก็สะดวกเรื่องที่ฝึกงาน เพราะบริษัทฝึกงานส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพ
ภาพรวมคณะเป็นอย่างไรบ้าง?
ในภาพรวม คณะนี้ไม่ได้ดีเท่าไหร่ มีบางวิชาที่รู้สึกเรียนแล้วคุ้มค่า แต่บางวิชาก็ไม่ค่อยได้อะไรเลย อาจรย์บางคนชอบให้ทำงานไทย ๆ  ซึ่งน่าเบื่อเพราะมันเยอะเกิน แต่ถ้าใครสนใจเรื่อง Typography , Drawing , Figure , Painting , เขียนบท และ Concept Art อันนี้อาจารย์สอนดีมาก คุ้มค่าต่อการเสียค่าเทอม วิชาอื่นก็ไม่ถึงกับแย่แต่บางทีก็น่าเบื่อบ้าง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคนด้วย แต่วิชาที่แนะนำไปข้างต้น คุ้มจริง ๆ อันนี้ทุกคนในภาคพูดเหมือนกันหมด แต่ปี 4 อาจจะมีวิชาที่น่าเรียนด้วยเหมือนกันแต่ยังไม่ได้เรียนตอนนี้อยู่ปี 3 ตอนนี้ทางภาควิชากำลังปรับหลักสูตร ในอนาคตน่าจะน่าเรียนมากขึ้นและมีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นด้วย
ประสบการณ์การสอบ จาก พี่ออม นักเรียนของ Varidian Academy Of Art
 
 

น้องๆที่สนใจ สามารถติดตาม viridian academy of art ช่องทางต่างๆได้ดังนี้นะคะ
เบอร์โทรศัพท์ : 083-615-2391
Facebook : viridian academy of art
Line : @viridian
Instargram : viridian academy of art
Email : viridian.academy.2019@gmail.com



254

GoPro 9 vs Iphone 12 เทียบให้ชัดใครเหนือกว่าใคร?
ถ้าไม่พูดถึงก็คงไม่ได้สำหรับโกโปรน้องใหม่ล่าสุดอย่าง GoPro 9 ซึ่งได้เปิดตัวไปพร้อมกับสเปคสุดโหด ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ขนมาให้ผู้ใช้งาน GoPro ได้ใช้งาน ซึ่งถือว่าเป็นสเปคที่เจ๋งกว่าเดิมเมื่อเทียบกับโกโปรรุ่นก่อนๆ อีกทั้งทางด้าน Iphone 12 ก็ได้ทำการเปิดตัวไปเช่นเดียวกัน ถ้าเปรียบเทียบระหว่าง GoPro 9 vs Iphone 12 ตัวไหนจะเหนือกว่ากัน ทั้งในเรื่องของการถ่ายภาพ และ วิดีโอ เทียบกันให้ชัดไปเลยในบทความนี้!!!
เทียบกันให้ชัด GoPro 9 vs Iphone 12 ตัวไหนเหนือกว่ากัน?
เมื่อทำการเปรียบเทียบกันแล้วในเรื่องของราคา และ ประสิทธิการทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเสียงไมโครโฟน การกันสั่น คุณภาพของการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ ทั้งในโหมดกลางวัน และ กลางคืน ตัวไหนจะดีกว่า ตัวไหนจะด้วยกว่ากัน!
ราคา

GoPro 9 : ในส่วนของราคา GoPro 9 ราคาอยู่ที่ 15,999 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ทางค่ายได้กำหนดออกมา ซึ่งราคาก็อาจจะขึ้นกับโปรโมชั่นของแต่ละร้าน
Iphone 12 : ในส่วนของไอโฟนราคาอยู่ระหว่าง $ 400 - 500 หรือ เป็นเงินไทยประมาณ 29,900 - 35,900 บาท ราคาขึ้นอยู่กับความจุ และ โปรโมชั่นต่างๆ
ถ้าเปรียบเทียบราคากัน GoPro 9 ถูกกว่าเป็นเท่าตัว ถ้าเปรียบเทียบเฉพาะในเรื่องของราคาสำหรับกล้องที่ใช้ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ ไม่ได้เปรียบกับฟังก์ชั่นอื่นๆของ Iphone 12 ที่เป็นโทรศัพท์มือถือ
ไมโครโฟน

GoPro 9 : แม้อยู่ในสถานที่เสียงดังให้ก็ เสียงที่ได้มีความคมชัด ไม่มีเสียงรบกวนแทรกเข้ามา
Iphone 12 : เสียงที่ได้ถือว่าค่อนข้างดี แต่ถ้าหากมีเสียงรบกวนเยอะจะมีเสียงที่แทรกเข้ามาบ้าง เช่น เสียงลมที่แรง
ถ้าเปรียบเทียบกัน หากอยู่ในสถานที่เงียบสงบเสียงที่ได้จาก Iphone 12 ซึ่งมาพร้อมกับ ไมโครโฟน 3 ตัว สามารถว่าทำได้ดี แต่ถ้าอยู่ในสถานที่มีเสียงรบกวน หรือ มีเสียงดังมากๆ อาจจะไม่ค่อยตอบโจทย์การใช้งานมากนัก ไม่เหมือน GoPro 9 มาพร้อมกับไมโครโฟน 3 ตัวเช่นกันแต่มีระบบลดเสียงรบกวนขั้นสุด ที่ทำให้ที่ชนะขาดกว่าตัวไอโฟน ซึ่งทำได้ดีแม้อยู่ในที่มีเสียงรบกวน เพราะมาพร้อมกับไมโครโฟนที่ช่วยในการตัดเสียงรบกวน ทำให้คุณหมดกังวลเรื่องเสียงแทรกไปได้เลย
การกันสั่น

GoPro 9 : ในเรื่องของการกันสั่น ภาพมีความเสถียร สมูทมากกว่า Iphone 12
Iphone 12 : เมื่อทำการถ่ายภาพแบบเคลื่อนไหว ภาพมีสั่นเล็กน้อย ไม่ค่อยเสถียร
เมื่อเปรียบเทียบกัน GoPro 9 ใช้ฟีเจอร์ระบบป้องกันการสั่นด้วย Hypersmooth 3.0 ซึ่งทำได้ดีกว่าในเรื่องของการกันสั่น ไม่ว่าจะวิ่ง ปั่นจักรยาน ให้ภาพที่สมูท และ มีความเสถียรมากกว่าตัว Iphone 12 ที่ใช้ sensor-shift optical image stabilization ซึ่งหากมีการเคลื่อนไหวมากความเสถียรของภาพจะน้อยลง
ถ่ายกลางวัน

GoPro 9 : ให้ภาพที่สีสด และ มีความคมชัดของภาพมากกว่า
Iphone 12 : ให้ภาพที่สว่างมากกว่า กล้องหลังจะให้ภาพที่คมชัดกว่าการถ่ายด้วยกล้องหน้า
เมื่อทำการเปรียบเทียบกัน ด้วยความคมชัด 4K 60 FPS  ในเรื่องของความคมชัด และ สีที่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว GoPro 9 ให้ภาพที่ดีมากกว่า Iphone 12 ในเรื่องของความสมจริง ความคมชัด
ถ่ายกลางคืน

GoPro 9 : ทำได้ดีในที่มีแสงน้อยมากกว่าที่มืดสนิท ให้ภาพที่มีสีโทนเย็นกว่า
Iphone 12 :  ดีกว่า เพราะมี เลนส์แบบ ultra wide ทำให้ภาพดูคมชัด และ สว่างมากกว่า
เมื่อเปรียบเทียบกันเมื่อทำการถ่ายในที่มืดสนิท หรือมีแสงน้อย Iphone 12 ให้ภาพที่ได้สว่างมากกว่าด้วย Night mode Time-lapse และ ให้ภาพที่มีความละเอียดมากกว่าแต่ GoPro 9 Night mode ให้ภาพที่มีสีโทนเย็นมากกว่า
GoPro 9 เหมาะกับใคร?
ถ้าเป็นเรื่องของการกันสั่น ความสามารถในการตัดเสียงรบกวน และ ความคมชัดของภาพ และ วิดีโอ ในการถ่ายภาพถือว่าทำได้ดี ในเรื่องของความคมชัด ความสดของสี และ เรื่องของเสียง ซึ่งถือว่าตอบโจทย์สำหรับคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ และ วิดีโอ ถ่ายVlog เป็นที่สี่สุด
Iphone 12 เหมาะกับใคร?
ถ้าเป็นเรื่องของการถ่ายกลางคืน ถือว่าตัว Iphone 12 ทำได้ตอบโจทย์มากกว่า เพราะให้ภาพที่สว่าง และ คมชัด มากกว่าตัว GoPro 9 เหมาะสำหรับคนที่ชอบการถ่ายภาพที่มีความสมดุล ไม่ได้เน้นเรื่องใดเป็นพิเศษ Iphone12 ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวโกโปรมากนัก การเปรียบเทียบดังกล่าวเป็นการเทียบกันในเรื่องของ ประสิทธิภาพการถ่ายรูป และ วิดีโอเท่านั้น ไม่ได้รวมการถึงการใช้งานในฟังก์ชั่นต่างๆ เนื่องจาก Iphone 12 เป็นโทรศัพท์มือถือ ซึ่งก็มีประสิทธิภาพในการทำงานในแบบของตัวเอง และ GoPro 9 เป็นประสิทธิภาพในการถ่ายแบบกล้อง Action Camera ซึ่งก็มีข้อดีในแบบของตัวเอง บทความนี้เป็นเสมือนการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างของการถ่ายด้วยโทรศัพท์ และ กล้อง เพียงเท่านั้น!!!
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


255

สอบเข้าสถาปัตย์ ศิลปากร รีวิวการเรียนกับ"บลิ๊งกี้"
ใครอยากสอบเข้า สอบเข้าสถาปัตย์ ศิลปากร บ้าง!!! สำหรับใครที่อยากสอบเข้า หรือ เตรียมตัวกำลังจะสอบเข้าอยู่ หลายๆคน คงมีคำถาม มีข้อสงสัยหลายๆเรื่อง บทความนี้จะมา รีวิวสถาปัตย์ ม.ศิลปากรกัน แต่จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย!!!!
แนะนำตัวกันหน่อย

สวัสดีค่า "บลิ๊งกี้" นะคะ ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 แล้ว คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาสถาปัตยกรรม  มหาวิทยาลัยศิลปากร หรือ เรียนสถาปัตย์หลักนั่นเองค่ะ ต้องขอเกริ่นก่อนว่า กว่าจะสอบติดมหาวิทยาลัยนี้ ก็ติวมาเยอะมาก เหมือนกันค่ะ เป็นคนสนใจทางด้านศิลปะมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้วค่ะ พอช่วงประมาณ ม.3 เริ่มรู้ตัวเองว่าน่าจะมาทางด้านนี้  เลยอยากเอาจริงเอาจังทางด้านศิลปะค่ะ ก็เลยตัดสินใจเดินเข้าไปใน “Varidian Academy Of Art” แล้วก็ได้คุยกับพี่ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจสมัครเรียน เราได้บอกความต้องการของเรา พี่ๆก็ใจดีมากและเป็นกันเอง ช่วยรับฟัง อีกทั้งยังช่วยดูคอร์สเรียนที่เหมาะสมกับเรา มากที่สุดให้อีกด้วย !!!
เตรียมตัว สอบเข้าสถาปัตย์ ศิลปากร
เริ่มต้น

ไปเรียนครั้งแรกเริ่มเรียนจาก คอร์ส “Basic Drawing” ค่ะ แล้วก็เรียนต่อจนจบ คอร์ส “Advanced Drawing” ใช้เวลาเรียนอยู่ประมาณ 1 ปีกว่าๆ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าอยากเข้าคณะอะไร เพราะยังหาตัวเองไม่เจอ ถ้าใครยังหาตัวตนไม่เจอแบบบลิ๊ง บลิ๊งแนะนำ คอร์ส Drawing มากๆค่ะ เพราะเป็นการปูพื้นฐานในการวาดรูป ทำให้เข้าใจวัตถุ เข้าใจ โครงสร้าง และ เป็นการเสริมทักษะด้านการวาดภาพ ทำให้นำไปใช้ ต่อยอดได้ไวในการนำไปใช้การเรียนด้านอื่นๆอีกด้วยค่ะ
ต่อมา

หลังจากที่เรียนจบคอร์ส Drawing ทั้งหมด คิดว่าตัวเองชอบออกแบบตกแต่งภายใน เพราะมีความสนใจเรื่องการ จัดการพื้นที่ และตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ เลยมาทดลองเรียน คอร์ส “ออกแบบภายใน”อยู่พักนึงก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ใช่ ยังชอบ ไม่สุด พอได้ลองทำงานสไตล์แนวสถาปัตย์ เลยค้นพบตัวเองว่าชอบทางนี้ กว่าจะมั่นใจว่าจะมาทางนี้จริง ๆก็ ม.6 เทอม 2  แล้วค่ะ ซึ่งถือว่าช้ามาก555555
ในการเตรียมตัวสอบเข้า ก็เลยลงเรียนคอร์ส “ความถนัดทางสถาปัตย์” เนื้อหาในคอร์ส ก็จะเป็นการติวสอบ PAT4 ซึ่งเป็นวิชาที่ต้องใช้ยื่นสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรม ตั้งแต่พื้นฐานเรื่องการใช้เส้น รวมไปถึงสิ่งที่ ต้องใช้สอบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น การวาดทัศนยภาพ ไอโซเมตริก และความรู้ทางสถาปัตยกรรมเป็นต้นค่ะ การเรียนก็จะ แบ่งเป็น คอร์สละ 8 ครั้ง 3,500 บาท บลิ๊งเรียนจนถึงสอบเลยค่ะ โดยมีครูพี่ต้นเป็นคนสอน ระหว่างเรียนก็สนุกค่ะ ได้ความรู้แน่นมาก เวลาไม่เข้าใจตรงไหนสามารถถามได้เลย พี่ๆก็จะสอนจนกว่าเราจะเข้าใจ ยิ่งช่วงติวเข้มลองโค้งสุดท้าย พี่ๆก็ จะอุดรอยรั่วให้ และงัดเทคนิค ทริค ในการทำข้อบยังไงให้งานดูเสร็จ เร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ได้คะแนนแน่นอน ซึ่ง ตรงนี้เป็นสิ่งที่ดีมากๆค่ะ เพราะพี่ๆสอนแบบใส่ใจ และดูให้ละเอียดจริงๆ
ระหว่างนั้นก็ต้องหมั่นขยัน ฝึกฝนฝีมือเพื่อพัฒนา ตัวเองตลอดนะคะ ต้องมีวินัยและความรับผิดชอบกับตัวเองมากๆก็ต้องขอบคุณพี่ๆทุกคนที่สอนบลิ๊งมาในแต่ละคอร์ส โดยที่ไม่ใช่เพียงแต่จะเป็นการสอนให้วาดรูปเป็น แต่พี่นั้นยังสอนทั้งเทคนิค การเก็บงาน ที่ไม่มีอยู่ในตำรา ที่มาจาก ประสบการณ์ที่พี่ๆเค้าได้ผ่านมา นอกจากนั้นเพื่อนๆที่เรียนมาด้วยกันตอนนี้ก็เรียนอยู่คณะสถาปัตยกรรม  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งก็ติดตามความต้องการของเพื่อนอีกด้วยค่ะ
เมื่อเข้าสู่มหาลัย

หลังจากที่เข้ามหาลัยก็ยังมีต้องใช้ความรู้และทักษะด้านการวาดภาพอยู่ในการนำเสนองาน ในบางรายวิชาของ คณะก็ยังมีการเรียนวิชา Drawing อยู่บ้างซึ่งคนที่มีพื้นฐาน “Drawing” ก็จะได้เปรียบกว่า เพราะเราจะเข้าโครงสร้าง แสง  เงาและการวาดทัศนียภาพ ระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัยก็สามารถนำความรู้ที่ได้เรียนมาประยุกต์ ใช้และ ปรับให้เข้ากับตัวเอง เป็นงานสไตล์ตัวเอง และยังสร้างรายได้เสริมจากการรับงานวาดรูปไปได้ด้วยได้ค่ะ ในตอนนี้บลิ๊งก็รับ วาดรูปอยู่เหมือนกัน เป็นภาพ ดรออิ้ง งานสีน้ำ ก็ฝากผลงานไปติดตามกันได้ ที่ Instagram : @happiiblinky ด้วยนะค้า ขอบคุณค่า
 

สามารถติดตาม viridian academy of art ช่องทางต่างๆได้ดังนี้
ครูอะไหล่
เบอร์โทรศัพท์ : 083-615-2391
Facebook : viridian academy of art
Line : @viridian[/url[/color]]
Instargram : [url=https://www.instagram.com/viridian_academy_of_art/]viridian academy of art
[/b][/color]
Email : viridian.academy.2019@gmail.com




256

UX UI คือ ทำความเข้าใจง่ายๆใน 5 นาที ?
ในปัจจุบันนี้การทำการตลาดออนไลน์ เป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่ส่งผลทำให้ธุรกิจในรูปแบบออนไลน์มีมากยิ่งขึ้น นั้นทำให้คู่แข่งในการทำการตลาดออนไลน์มีมากยิ่งขึ้นด้วย แล้วแบบนี้จะต้องทำอย่างไรถึงจะตอบโจทย์ลูกค้า ดังนั้นเราจึงต้องมาทำความารู้จักกับกลุ่มเป้าหมาย หรือ Target ของเราเสียก่อน เพื่อที่จะสามารถวิเคราะห์ และ รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเขาต้องการอะไร ซึ่งสิ่งที่จะเข้ามามีบทบาทนี้ UX UI คือ อะไร มาทำความรู้จักตัวสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจลูกค้า หรือ กลุ่มเป้าหมายของเรามากยิ่งขึ้น เพียงแค่ 5 นาที อย่ารอช้าไปทำความรู้จักเจ้าสองตัวนี้กันเลย!!!
 
Highlight UX UI ที่ต้องรู้!!!
-UX UI คืออะไร?
-UX UI ต่างกันอย่างไร
-ทำไมเราถึงต้องทำเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้า?
 

ทำความรู้จัก UX UI คือ อะไร?
มาทำความรู้จักสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย หรือ ลูกค้ามากยิ่งกว่าเดิมด้วย UX และ UI ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องไปควบคู่กัน อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่จะทำให้ไม่ใช่แค่เว็บไซต์ตอบโจทย์ลูกค้า แต่ยังรวมถึงการทำการตลาดในรูปแบบของ SEO บทความต่างๆ ดีขึ้นอีกด้วย มารู้จัก UX และ UI กันดีกว่า

UX (User Experience) คือ?
ประสบการณ์ของผู้ที่ใช้งาน ในรูปแบบของการตอบสนองความรู้สึกจากผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกสะดวกสบาย รู้สึกง่ายต่อการใช้งาน หรือ ความรู้สึกในแง่ลบ เช่น รู้สึกเบื่อ รู้สึกว่าใช้งานได้ยาก เพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้เจอจากการใช้งาน
ประสบการณ์เหล่านั้นจึงถูกนำมาพัฒนา ทำให้ผู้ใช้เกิดความพึงพอใจสูงสุด หรือ ทำให้ผู้ใช้เกิดประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานได้นั้นเอง การจะทำ UX ให้ดีควรที่จะครีเอท ขึ้นมาจากปัญหาจากตัวผู้ที่ใช้งาน หรือ ลูกค้า เพื่อที่จะแก้ปัญหาที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่ได้ โดยดูที่ความรู้สึกของผู้ใช้งานเป้นหลัก ในฐานะผู้ทำ UX มือใหม่เราควรที่จะรู้อะไรบ้างนะ?
-ใครคือผู้ใช้งาน เว็บไซต์ หรือ แพลตฟอร์มของเรา
-ผู้ใช้งานต้องการอะไร?
-พฤติกรรมของลูกค้าเราเป็นอย่างไร?
ตัวอย่างของการทำ UX เช่น แชมพูสระผมยี่ห้อหนึ่ง ปกติฝาของแชมพูจะเป็นแบบบิดเพื่อเทแชมพู แต่ฝาแบบนั้นทำให้เวลามือลื่นจากการสระผมส่งผลให้เปิดฝาได้ยาก อีกทั้งยังต้องใช้แรงในการบิด จากปัญหาการใช้งานของผู้ใช้ ทำให้แชมพูเปลี่ยนฝาจากแบบบิดเป็นแบบแบบกดเอาทำให้ง่ายต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังไม่ต้องใช้แรงเยอะก็สามารถเทแชมพูได้

UI (User Interface) คือ?
เป็นส่วนที่ลูกค้าเข้ามาใช้งาน อย่างหน้าของเว็บไซต์ หรือ หน้าแอพพลิเคชั่นซึ่งจะอยู่ในรูปแบบของสิ่งที่สามารถมองเห็น และ สัมผัสได้
ในการทำ UI จะเน้นในเรื่อง การใช้งานที่ง่าย ให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานเป็นหลัก และ เรื่องของความสวยงาม การจัดวางสิ่งต่างๆเป็นเรื่องรอง ถึงแม้ว่า UI จะสวยซักแค่ไหนแต่หากใช้งานไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์
ตัวอย่างของการทำ UI เช่น หากเป็นแชมพูสระผม UI คือ การออกแบบรูปลักษณ์ของขวดแชมพูให้ดึงดูดผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นรูป ตัวอักษร การวางตำแหน่งกราฟฟิคต่างๆ เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้นั้นเอง
 

UX UI ต่างกันอย่างไร
หลายๆ คนมักจะได้ยินคำว่า UX และ UI อยู่ด้วยกันตลอดจนทำให้หลายๆคน คิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ว่าระหว่าง UX และ UI ก็มีความแตกต่างซึ่งกันและกันอยู่ ดังต่อไปนี้
UX (User Experience)
-UX เป็นการแสดงออกผ่านมุมมองของผู้ใช้ หรือ User เป็นสิ่งที่อยู่ภายในไม่สามารถมองเห็นได้
-แต่สามารถรับรู้ได้ผ่านการสอบถาม การพูดคุย โดยจะเน้นที่จะแก้ไขตัวผู้ใช้งานเป็นหลัก
UI (User Interface)
-UI เป็นสิ่งที่แสดงออกมาให้เห็นได้จากภายนอก เป็นสิ่งที่สามารถจับต้องได้
-จะเน้นที่ การใช้งานที่ง่าย ความสะดวกต่อการใช้งาน เป็นหลัก
-ส่วนในเรื่องของความสวยงาม ดีไซน์ต่างๆ จะเป็นเรื่องรอง
UX และ UI มีความแตกต่างกัน แต่ก็ยังเป็นส่วนที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
-UI เป็นส่วนที่แสดงออกมาในรูปแบบที่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้ใช้จะได้สัมผัส จากการปรับแก้ด้วย UX
-เมื่อปรับแก้ UX จนทำให้สามารถแก้ไขปัญหาที่ผู้ใช้เจอได้ จะเกิดเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้นั้นเอง
-ทั้ง UX และ UI ต่างทำงานกันคนละส่วน แต่ว่าทั้งสองส่วนก็ล้วนมีความเกี่ยวข้องกัน ถ้าไม่มี UX ก็ไม่สามารถปรับแก้ไข UI ให้เหมาะสมกับผู้ใช้ได้
 
ทำไมเราถึงต้องทำเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้า?
นั้นเพราะการทำUXและUI ใช้หลักของ Design Thinking ซึ่งเป็นกระบวนการคิดเชิงออกแบบในการทำความเข้าใจกับปัญหาต่างๆ โดยดูที่ผู้ใช้งาน หรือ User เป็นหลัก

เพื่อให้ได้สิ่งที่ตอบโจทย์กับปัญหาของผู้ที่ใช้งาน นั้นเป็นการทำสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้ ซึ่งส่งผลทำให้เกิดเป็นไอเดียใหม่ๆ ที่ช่วยพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์แบบเดิมๆ อีกทั้งเพื่อดึงดูดผู้ใช้งานส่วนใหญ่ด้วยหลักจิตวิทยาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความแตกต่าง ความรวดเร็วต่อการตอบสนอง เช่น จากซอสมะเขือเทศฝาบน เพียงแค่เปลี่ยนมาเป็นฝาข้างล่าง ก็ทำให้เทซอสได้ง่าย และ เร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากจะตอบโจทย์การใช้งานยังทำให้กลายสิ่งที่น่าสนใจของลูกค้าอีกด้วย นั้นเป้นสาเหตุที่ทำให้เราจึงต้องทำให้ตอบโจทย์กับลูกค้า
 
แต่การที่เราจะทำให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ เราควรที่จะมีการศึกษากลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการก่อนว่ากลุ่มลูกค้า หรือ User มีนิสัย , พฤติกรรม , ข้อมูลพื้นฐาน , ความสามารถ , แรงจูงใจ และ ความชอบ อย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้นำมาใช้ในการทำ UX UI นั้นทำให้เราต้องรู้จัก UX เพื่อให้เกิดไอเดียในการแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้งาน และ การทำ UI เพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน จากรูปแบบที่สวยงาม เรียบง่าย เหมาะสมกับผู้ใช้งาน
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency




257

GoPro ค้าง แก้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบ?
กล้อง Action Camera อย่างกล้อง GoPro เป็นกล้องที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน เหมาะสำหรับการพกพาเป็นที่สุด ถึงอย่างนั้นแต่หากใช้งานไปนานๆ ใช้งานหนักๆ หรือแม้แต่ การใช้งานที่ผิดวิธีก็อาจทำให้กล้อง GoPro ค้าง ได้ซึ่งก็มีปัจจัยมากจากหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น อาการค้างที่เกิดจากการใช้งานที่อุณหภูมิสูงๆ , การไม่ได้อัพเดตเฟิร์มแวร์ เนื่องจากหากไม่ได้อัพเดตเฟิร์มแวร์นานๆ อาจทำให้เครื่องเกิดอาการค้าง หรือ ช้าลงได้ หรือแม้แต่เกิดจากการที่ SD Card ใกล้เต็ม ทำให้ความเร็วในการอ่านข้อมูลของกล้องช้าลง ซึ่งส่งผลทำให้เกิดอาการค้าง บทความนี้จะมานำเสนอวิธีแก้อาการค้างของโกโปรง่ายๆ แบบ STEP BY STEP
 
วิธีแก้ GoPro ค้าง ง่ายๆทำได้ด้วยตัวเอง
หากกล้อง GoPro มีอาการค้าง ก่อนที่เราจะทำการส่งกล้องไปเคลม มาลองทำวิธีแก้โกโปรค้างง่ายๆ ที่สามารถทำด้วยตัวเองได้ ก่อนที่จะเสียเวลาในการส่งเคลม แต่ถ้าหากทำตามวิธีแล้ว เครื่องยังไม่หายค้าง หรือ มีอาการดีขึ้น ให้ทำการส่งเคลมกับบริษัท เมนทาแกรม เพื่อส่ง GoPro ไปซ่อมนั้นเอง
สามารถอ่าน บทความเคลม GoPro ด้วยตัวเองง่ายๆใครก็ทำได้ เพิ่มเติมได้ที่นี่

วิธีที่1-รีสตาร์ทเครื่องใหม่
ทำการรีสตาร์ทเครื่อง โดยการกดปุ่ม ปิด-เปิด เครื่องค้างเอาไว้ประมาณ 5 วินาที จากนั้นเครื่องจะทำการรีสตาร์ทตัวเอง  ให้สังเกตว่าเครื่องหายค้างหรือไม่ การที่กล้องมีอาการค้างอาจจะเกิดจากการที่ใช้งานกล้องเป็นเวลานาน หรือ ใช้งานกล้องหนักๆ

วิธีที่2​-ถอดแบตเตอรี่
ให้ทำการถอดแบตเตอร์รี่ออกจากตัวอุปกรณ์ > จากนั้นให้รอประมาณ 10 วินาที > แล้วใส่แบตเตอรี่กลับเข้าไปใหม่ การที่เครื่องมีอาการค้าง อาจจะเกิดจากแบตเตอรี่ร้อนเกินไป หรือ อุปกรณ์ร้อนจนส่งผลให้เครื่องรวน

วิธีที่3-Format SD Card
ทำการ Format SD Card เพื่อลดข้อมูลในตัวเครื่อง > เลือก Preferences > เลือกที่ Reset > เลือกที่ Format SD Card บางทีที่เครื่องค้างอาจจะมาจากข้อมูลในตัวเครื่องที่หนักจนเกินไป อย่างไฟล์วิดีโอยาวๆ การทำ Format จะทำให้เครื่องเบา และ ช่วยลดอาการค้างได้
เมื่อทำการ Format SD Card จะไม่สามารถเอารูปภาพ และ วิดีโอกลับมาได้ ดังนั้นควรจะอัพโหลดรูปและวิดีโอไปเก็บที่อื่นเสียก่อน เช่น อัพโหลดใส่คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

วิธีที่4-รีเซ็ตค่าโรงงาน
ทำการรีเซ็ตค่าโรงงาน หรือ Factory Reset > เลือก Preferences > เลือกที่ Reset > เลือกที่ Factory Reset > เลือก Reset หากกล้องมีอายุการใช้งานที่นาน อาจทำให้เครื่องรับภาระหนักจนมีอาการค้าง การรีเซ็ตค่าโรงงานจะเป็นเหมือนการทำให้กล้องกลับไปเหมือนได้เครื่องมาใหม่ๆ ซึ่งสามารถช่วยแก้อาการค้างได้

วิธีที่5-อัพเดต Firmware
บางที่ที่เครื่องช้าอาจจะมาจากการไม่ได้อัพเดต Firmware ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งสามารถตรวจดูเวอร์ชั่นของเฟิร์มแวร์โดยการเลือกที่ Preferences > เลือกไปที่ About > จากนั้นเลือกที่ Camera Info การอัพเดตเฟิร์มแวร์ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดอยู่เสมอ จะเป็นการทำให้สามารถใช้งานกล้องได้ดีมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของกล้อง

ซึ่งสามารถดูเวอร์ชั่นล่าสุดได้ที่ เว็บไซต์ GoPro > เลือกที่ Camera Software Update > เลือกรุ่นของ GoPro ของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Firmware GoPro 9 ซึ่งมีการอัพเดทฟังก์ชั่นใหม่ๆ และ การใช้งานที่ดีมากยิ่งขึ้น
สามารถอ่าน บทความอัพเดท GoPro (Firmware) เพิ่มเติมได้ที่นี่
นอกจากวิธีที่กล่าวมาแล้ว การใช้งานอุปกรณ์ GoPro รุ่นที่ไม่ตรงกับกล้อง อาจส่งผลให้กล้องมีอาการค้าง อย่างเช่น กล้องเป็น GoPro 9 ซึ่งมีความละเอียด ความคมชัดของภาพที่สูง แต่ดันใช้เมมโมรี่การ์ดน้อยๆ อย่างเช่น รุ่น Ultra ที่บันทุกวิดีโอได้สูงสุดแค่ 1080p ทำให้เมื่อถ่ายวิดีโอที่มีความคมชัดสูงเกินไปอาจทำให้เครื่องค้าง อีกทั้งยังส่งผลทำให้เมมโมรี่ Error ได้ เนื่องจากโกโปรแต่ละรุ่นจะมีระดับความคมชัดที่แตกต่างกัน การนำมาใช้งานร่วมกันอาจจะส่งผลให้อุปกรณ์งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือ บางทีอาการค้างของกล้อง อาจจะเกิดจากการใช้งานที่เร็วเกินไป เช่น การกดดูภาพ ดูวิดีโอ หรือ กดฟังก์ชั่นต่างด้วยความรวดเร็ว จนส่งผลให้เครื่องค้าง ไม่จำเป็นที่จะต้องทำทุกวิธีหากเครื่องหายค้าง หรือ มีอาการดีขึ้นแล้ว เพียงเท่านี้คุณก้สามารถแก้อาคารโกโปรค้างได้แล้ว!!!
Cr รูปบางส่วน : WorldofTech

ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand



258

พาเลทไม้ส่งออก และ สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเลือกพาเลทไม้?
ถ้าพูดถึงธุรกิจสำหรับส่งออกสินค้า   ธุรกิจด้านโลจิสติกส์   การขนส่งต่างๆ  โดยเฉพาะกับคนที่ทำธุรกิจส่งออกต่างประเทศ  ก็จำเป็นจะต้องใช้งาน  พาเลทไม้ส่งออก   ในการขนส่งสินค้า   แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไม้พาเลทแบบไหนก็ได้   โดยเฉพาะกับการขนส่งไปต่างประเทศ   แล้วจะเลือกพาเลทไม้อย่างไร สำหรับการส่งออกต่างประเทศ   ไปอ่านในบทความกันเลย
การเลือกพาเลทไม้   สำหรับขนส่งสินค้าออกต่างประเทศ จะต้องเลือกพาเลทไม้ที่ได้รับมาตรฐานการส่งออก   รวมทั้งขนาดของไม้พาเลทควรจะมีความเหมาะสมกับขนาดของตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้ในการขนส่ง   เพราะ   การเลือกพาเลทไม้ที่ไม่ดี   จะส่งผลให้มีโอกาสที่แมลงศัตรูพืชต่างๆ  เช่น  มอด  ปลวก แมลง ที่อาจจะติด หรือ   อาศัยอยู่ในไม้   เข้าไปอยู่ในพาลทไม้ได้   รวมทั้งยังอาศัยส่งผลทำให้เกิดเชื้อราที่อาจจะมาจากความชื้นในของอากาศ   ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อตัวของสินค้าที่ทำการขนส่ง   และ   ตัวของพาเลทไม้ ให้เกิดความเสียหายได้
สามารถอ่าน บทความพาเลทไม้ คืออะไร เพิ่มเติมได้ที่นี่

สิ่งที่ควรต้องรู้ก่อนเลือก พาเลทไม้ส่งออก 

สิ่งแรกที่ต้องดู และ ตรวจสอบให้ดีก่อนทำการส่งออกนั้นก็คือ   มาตรฐาน   IPPC   ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับสำหรับการส่งออกสินค้าภายในประเทศ และ   ต่างประเทศ
 
มาตรฐาน IPPC คืออะไร ?
มาตรฐาน IPPC - IPPC หรือ  Heat Treatment  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐาน  ISPM 15  ซึ่งเป็นกระบวนการ อบพาเลทไม้ด้วยอุณหภูมิสูง เพื่อกำจัดแมลงศัตรูพืชที่อยู่ในพาเลทไม้ และ บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากไม้ มาตรฐาน IPPC เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการควบคุม และ คุัมครองป่าไม้ พืช   ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการขนส่งระหว่างประเทศ   ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้กับประเทศปลายทางที่ทำการนำเข้าสินค้าได้นั้นเอง
นอกจากการทำ IPPC   ตามมาตรฐาน   ISPM  แล้ว การจัดเก็บพาเลทไม้ก็ควรที่จะมีการดูแล  ดังต่อไปนี้
-การจัดเก็บพาเลทไม้ และ สถานที่ในการจัดเก็บ พาเลทไม้ที่ผ่านการทำ   IPPC   จะต้องจัดเก็บให้มิดชิด   อย่าให้เปียกชื้น   เพื่อไม่ให้เกิดเชื้อรา และ   แมลงศัตรูพืชที่จะทำลายไม้
-ไม่ควรที่จะวางพาเลทไม้ไว้กลางแจ้ง   ทั้งกลางแดด   หรือ   วางตากฝน   เนื่องจากจะส่งผลทำให้เกิดเชื้อรา และ แมลงศัตรูพืชที่จะมาทำลายไม้ได้
-เมื่อได้พาเลทไม้ที่ผ่านกระบวนการทำ IPPC    ควรรีบทำการขนส่ง   ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานเกินกว่า   2-3   สัปดาห์ เนื่องจากการปล่อยไว้นานอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายที่มาจากการจัดเก็บ หรือ   ความเสียหายจากสภาพอากาศ   และ   แมลงต่างๆได้

การสังเกตพาเลทไม้ที่ได้สัญลักษณ์ IPPC
จะสังเกตพาเลทไม้ที่ผ่านกระบวนการทำ  IPPC   จะมีสัญลักษณ์ IPPC   มาตรฐาน ISPM 15 ที่ประทับลงบนพาเลทไม้   ซึ่งจะมีตัวอักษร และ ตัวเลข   ซึ่งหมายความดังต่อไปนี้
1.สัญลักษณ์ IPPC  -  สัญลักษณ์ที่แสดงว่าผ่านกระบวนการ IPPC  มาตรฐาน  ISPM  15
2.ตัวอักษรภาษาอัังกฤษ  2  ตัวหน้า  -   เป็นรหัสของประเทศที่ถูกย่อ โดยหน่วยงาน   ISO   อย่างเช่น   TH   ก็คือประเทศไทยนั้นเอง
3.รหัสตัวเลข(XXXX)  -   แสดงถึงเลขทะเบียนบริษัทที่ทำการผลิตพาเลทไม้   ซึ่งออกโดยกรมวิชาการเกษตรนั้นเอง
4.ตัวอักษรภาษาอังกฤษข้างล่าง   -   รหัสการกำจัดศัตรูพืชบนพาเลทไม้ว่าใช้วิธีการใดในการกำจัด   เช่น   HT   (Heat Treatment) ใช้ความร้อนในการกำจัด หรือ MP (Methyl bromide)  ใช้แก๊สในการพ่นเพื่อฆ่าแมลงศัตรูพืช
 
พาเลทไม้ที่ได้มาตรฐานดีอย่างไร?
-ทนทาน และ แข็งแรง   ต่อสภาพอากาศ ต่อแมลศัตรูพืช
-มีความสมบูรณ์ของเนื้อไม้   ทำให้เนื้อไม้สวยงาม ไม่เป็นเชื้อรา และ   ไม่โดนแมลงศัตรูพืชทำร้าย
-การขนส่งปลอดภัย   สินค้าปลอดภัยจากแมลงศัตรูพืช
-สามารถนำไปใช้งานได้ยาวนาน   ใช้ได้หลายครั้ง   และ   สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย
สามารถอ่าน   บทความขนาดและประเภทของพาเลทไม้ เพิ่มเติมๆได้ที่นี่

ข้อบังคับในการขนส่งพาเลทไม้ไปต่างประเทศ
การที่เราจะส่งออกพาเลทไม้ไปที่ประเทศไหน   ก็ควรที่จะศึกษาข้อบังคับ และ   กฎของประเทศนั้นๆ   หรือ   คู่ค้าของเราให้ละเอียดเสียก่อน   เพราะว่าบางประเทศก็จะมีข้อบังคับที่ต้องปฎิบัติตามอย่างเคร่งคัด   อาทิเช่น   ประเทศอเมริกา   ออสเตรเลีย   ที่ออกข้อบังคับว่าวัสดุใดๆ ที่ทำจากไม้ต้องผ่านกรรมวิธีการฆ่าเชื้อโรคด้วยสารเคมี Methyl bromide   หรือ   MB   พร้อมกับประทับตราสัญลักษณ์ IPPC   ถึงจะสามารถขนส่งมาได้   หากไม่มีการฆ่าเชื้อ   และ   ประทับตราสินค้าจะถูกตีกลับไปยังต้นทาง
 
ขนาดที่เหมาะสม และ   ขนาดมาตรฐาน
เนื่องจากพาเลทไม้  ที่เหมาะสมกับขนาดของการคนส่งด้วย   เราต้องให้ขนาดของพาเลทไม้เหมาะสมกับขนาดของตู้คอนเทนเนอร์   ซึ่งขนาดของตู้คอนเทนเนอร์จะมี 2   ขนาด   คือ   20   ฟุต   และ  40  ฟุต  ซึ่งขนาดของไม้พาเลทควรจะเลือกที่สามารถใส่ได้พอดีกับตู้  ไม่มาก หรือ แน่นจนเกินไป   อีกทั้งขนาดมาตรฐานของพาเลทไม้   แต่ละประเทศก็จะแตกต่างกันอีกด้วย
ขนาดของพาเลทไม้มาตรฐาน   ISO   ก็จะมีขนาดที่แตกต่างกันตามแถบทวีปที่นำไปใช้งาน
-ขนาดที่นิยมใช้ในแถบ  ยุโรป  800 x   1200   mm
-ฃนาดที่ินิยมใช้ในแถบ   เอเชีย   1100 x   1100   mm
-ขนาดที่นิยมใช้ในแถบ  ออสเตรเลีย   1165   x   1165   mm
-ขนาดที่นิยมใช้ในแถบ อเมริกาเหนือ  1016 x   1219   mm

ขนาดของพาเลทไม้ทวีปอเมริกาเหนือ  North America  ก็จะมีขนาดที่แตกต่างกันตามอุสหกรรมที่นำไปใช้งาน
-ขนาดที่นิยมใช้ในอุสหกรรม  ก่อสร้าง  1219 x   1219   mm
-ขนาดที่นิยมใช้ในอุสหกรรม  ผลิตยานยนต์  219 x   1143   mm
-ขนาดที่นิยมใช้ในอุสหกรรม   โทรคมนาคม  1067   x   1067   mm

ขนาดของพาเลทไม้กลุ่มประเทศยุโรป  EURO Pallet  ก็จะมีขนาดที่แตกต่างกันตาม EUR ที่นำไปใช้งาน
-ขนาดที่นิยมใช้ใน  ISO1  ขนาด   800 x   1200  mm
-ขนาดที่นิยมใช้ใน  ISO2  ขนาด  1200 x   1000   mm
-ขนาดที่นิยมใช้ใน  ISO3  ขนาด   1000 x   1200   mm
-ขนาดที่นิยมใช้ใน  ISO6   ขนาด  800 x 600   mm   ,   600 x   400   mm   และ   400 x  300   mm
 
ทำไมต้องซื้อไม้พาเลทกับเรา?
-ซื้อไม้กับเรา ได้ไม้ดีมีคุณภาพ   เพราะเราผ่านการรับรองมาตรฐาน   IPPC จากกรมวิชาการเกษตร
-ซื้อไม้กับเรา   ได้ไม้สวย ตรงตามสเปค   เพราะโรงงานของเราใช้เครื่องจักรคุณภาพ   ทั้ง   เครื่องเลื่อยสายพาน   , เครื่องไสเรียบ 4   หน้า ,   เครื่องอัดน้ำยา และ   เครื่องอบไอน้ำ   ทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะได้ไม้ยางพาราแปรรูป ที่ได้มาตรฐานอย่างแน่นอน
-ซื้อไม้กับเรา   ได้ไม้แปรรูปหลากหลาย   เพราะโรงงานของเรามีบริการตั้งแต่  รับผลิตและจำหน่ายไม้ยางพาราแปรรูป   ,   บริการรับเสื่อย-ไสไม้ ตัดแต่งไม้   ,   บริการอัดน้ำยา-อบไม้   จนถึงบริการขนส่งไม้ทั่วประเทศไทย   ด้วยรถเทเลอร์   รถบรรทุก   ที่พร้อมให้บริการกว่า   20   คัน
-ซื้อไม้กับเรา   ได้ไม้แน่นอน   เพราะโรงงานของเรามีหน้าโรงงานจริงอยู่ที่ จังหวัด ระยอง ที่เปิดให้บริการมากกว่า   25   ปี  และ ยังมีบริการขนส่งที่ให้บริการทั่วไทย
 
คุณจึงมั่นใจได้ว่า ซื้อไม้แปรรูป กับ   MTK WOOD   ได้ไม้ดี   ไม้คุณภาพ    ไม้แปรรูปที่หลากหลาย   และ   ได้ไม้ถึงมือท่านด้วยความปลอดภัยอย่างแน่นอน   ซื้อไม้พาเลทเลย   Click here   !!!!
 
โรงไม้ MTK เรารับทำพาเลทไม้ ทุกไซต์ทุกขนาด ตามที่ลูกค้าต้องการ

 
สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม  MTK   ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :  @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


259

Google Ads คือ ? วันนี้คุณรู้จักมันดีพอแล้วรึยัง!!!
เว็บไซต์ Google เป็นเว็บไซต์ที่หลายๆคนใชในการการค้นหาผ่าน Search Engine เพื่อที่จะได้มาซึ่งคำตอบ และ ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการทำธุรกิจได้อีกด้วย โดยเฉพาะการทำธุรกิจแบบ Digital ซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน Google Ads คือ หนึ่งในเครื่องมือที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจ และ การทำการตลาด นอกจากนั้น ยังมี Business unit อื่นๆที่ช่วยในการทำโฆษณารูปแบบต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็น Google Search , Google Display Network (GDN) และ , Youtube Ads , Mobile App Ads , Google Shopping Ads และ Remarketing  เป็นต้น
รายได้ของ Google มาจากไหน? อย่างที่รู้ๆกันว่าไม่มีของฟรีจริงๆบนโลกนี้ ธุรกิจส่วนใหญ่มักจะต้องการกำไรกันทั้งนั้น แต่กำไรที่ได้อาจจะไม่ได้มากันตรงๆ จากข้อมูลของ Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ทำให้ทราบว่ารายได้ของกูเกิ้ลมากจาก ค่าโฆษณาที่ได้จากการค้นหาบน Search engine กว่า 71% นั้นก็คือการทำ Google Ads นั้นเอง และ รายได้อื่นๆก็จะมาจาก Network และ Software นั้นเอง จะเห็นได้ว่ารายได้หลักมากจากช่องทางการทำโฆษณา ซึ่งเป็นช่องทางยอดนิยมนั้นเอง!!!
 
 
Highlight  Google Ads ที่ต้องรู้!!!
-Google Ads คืออะไร?
-ในการทำ Ads มีบริการอะไรบ้าง และ เหมาะกับใคร?
 
 
Google Ads คือ อะไร?

ที่จริงแล้ว Google Ads มาจากชื่อเต็มๆนั้นก็ คือ Google AdWords ซึ่งเป็นเครื่องมือของ Google สำหรับใช้ทำการโฆษณา ซึ่งสามารถทำได้หลายช่องทางเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการทำการโฆษณา ทำให้ธุรกิจของเราเป็นที่รู้จัก และ ส่งผลให้สามารถขายสินค้าและบริการของเราได้ รูปแบบการโฆษณาของ Google Ads ก็จะมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
-Google Search
-Google Display Network
-Video Ads บน Youtube
-Mobile Ads
-Remarketing Ads

ในการทำ Google Ads มีบริการอะไรบ้าง และ เหมาะกับใคร?
รู้หรือไม่ว่าจริงๆแล้ว ยังมีบริการย่อยๆ ที่จะช่วยซัพพอร์ตการทำ Google Ads อีกมาก การจะทำโฆษณาได้ผลที่ดี การทำแค่ช่องทางเดียวอาจจะไม่ค่อยดีนัก ด้วยเหตุนี้การทำ Ads จึงมีบริการอื่นๆ ที่จะช่วยตอบโจทย์การทำการตลาดหลักๆ ไม่ว่าจะเป็น
 
Google Search

Google Search หรือ จะเรียกว่าเป็นการทำ SEM (Search Engine Marketing) ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องทางยอดนิยมในการทำโฆษณา เนื่องจากเวลาที่เราต้องการค้นหาอะไร สิ่งที่คนมักจะทำเป็นสิ่งแรก นั้นก็คือ การค้นหาที่ Search engine ไม่ว่าจะเป็น Short Keyword หรือ Long tail Keyword หากเราซื้อ Keyword ไหน เวลาที่คนค้นหาคีย์เวิร์ดที่เราซื้อ ก็จะเจอเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรกๆ ถือว่าเป็นเครื่องมือที่โฆษณาสิ่งของจากความต้องการของผู้บริโภค โดยสังเกตคำว่าโฆษณา หรือ Ads บนหน้าการค้นหาที่เป็นแสดงถึงว่าเว็บไซต์นี้ได้ซื้อโฆษณาในคีย์เวิร์ดนี้นั้นเอง โดยจะคิดค่าโฆษณาตามจำนวนคลิกที่คนคลิกเข้าไป หรือ เรียกว่า CPC (cost per click)  เราสามารถวัดผลของ Google Search ได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการโฆษณาที่ลิ้งค์เข้าสู่เว็บ
ตัวอย่างการทำ Google Search อย่างเช่น คุณขายกล้อง GoPro Keyword ที่ทำการซื้อโฆษณาก็ควรจะเป็นคำที่เกี่ยวข้อง เช่น กล้องGoPro , Action Camera เป็นต้น เมื่อทำการซื้อแล้วมีคนค้นคีย์เวิร์ดนี้ เว็บไซต์ของคุณก็จะติดหน้าแรกอันดับดีๆบน google นั้นเอง
เหมาะสำหรับ : มีคนเข้าสู่เว็บไซต์มากยิ่งขึ้น และ ยอดขายสินค้ามากยิ่งขึ้น
ข้อดี : คนจะเห็นเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น และ เว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับดีๆบนหน้าแรกของ Google
ข้อเสีย : ยิ่งเป็น Keyword ยอดนิยม ก็ยิ่งเสียค่าคลิกแพง แม้ว่าจะเกิดการซื้อสินค้าและบริการหรือไม่ก็ตาม
 
Google Display Network

Google Display Network หรือ GDN ที่หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง เนื่องจากเป็นการโฆษณาอีกหนึ่งรูปแบบที่นิยมกันไม่แพ้กับ Google Search  การทำ GDN เป็นการทำโฆษณาที่มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ แบนเนอร์ ภาพเคลื่อนไหว ข้อความ หรือแม้แต่ วิดีโอ ซึ่งเป็นการยิงโฆษณาไปบน Network ต่างๆ ที่เราต้องการทำโฆษณา ไม่ว่าจะเป็น Youtube , เว็บไซต์ต่างๆของ Google ซึ่งจะแตกต่างกับ Google Search ตรงที่ GDN สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจากความสนใจ ความชอบ เป็นการนำสินค้าที่เหมาะกับความชื่นชอบของลูกค้าไปให้ถึงมือลูกค้า โดยจะสังเกตคำว่า โฆษณาโดย Google ได้จากมุมเล็กๆของแบนเนอร์ หรือ รูปแบบที่ทำการโฆษณานั้นเอง
ตัวอย่างการทำ GDN เช่น ทำแบนเนอร์ หรือ ภาพเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับกล้อง โดยทำการโฆษณาบนเน็ตเวิร์คต่างๆ ซึ่งตัว GDN จะแปลผลตามความสนใจ คล้ายกับ Facebook เช่น หากเรามีความสนใจเรื่องของกล้อง โดยเรามีการเข้าไปอ่านรีวิวต่างๆ ในเว็บไซต์ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google โดยเราจะยิง Ads ที่เกี่ยวกับกล้องซึ่งผู้บริโภคมีความสนใจอยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสที่ผู้บริโภคจะจดจำเราได้ และ มีโอกาสที่จะเกิดการซื้อเกิดขึ้นในอนาคต
ที่ลูกค้าเข้าไปใน เช่น ลูกค้าชื่นชอบการเข้าเว็บไซต์ไหน โฆษณาก็จะเข้าไปอยู่ที่เว็บไซต์นั้นๆ นั้นเอง
เหมาะสำหรับ : ทำให้ร้านของเราเป็นที่รู้จัก และ ทำให้จูงใจคนเข้ามาเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น
ข้อดี : คนจดจำแบรนด์ของเราได้ง่าย และ มีรูปแบบการโฆษณาที่หลากหลาย
ข้อเสีย : GDN ไม่เหมาะสำหรับการขาย เนื่องจากผู้บริโภครับรู้การมีอยู่ของแบรนด์ แต่อาจจะไม่ได้ซื้อโดยทันที เนื่องจากยังไม่มีความต้องการ หรือ เข้ามาเพื่อหาข้อมูลเท่านั้น
 
Video Ads

Video Ads เป็นการทำโฆษณาในรูปแบบของวิดีโอบน Youtube ซึ่งเป็นอีกรูปแบบย่อยของการทำ GDN ซึ่งเป็นรูปแบบของการโฆษณาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย และ ยังมีรูปแบบให้เลือกที่หลากหลาย เช่น TrueView In-streams จะเป็นการแสดงโฆษณาก่อน , คั่นกลาง , หลังเข้าสู่วิดีโอ โดยจะมีปุ่ม skip เพื่อข้ามโฆษณาขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง หรือ อีกรูปแบบคือ In-display ที่จะแสดงโฆษณาแบบเล็กๆ ด้านบน หรือ ด้านข้างวิดีโอ อีกทั้งยังมีรูปแบบอื่นๆอีกมาก และ สามารถวัดผลได้ชัดเจน เช่น คนที่เข้ามามากจากช่องทางไหน หรือ มีช่วงอายุใดบ้าง เป็นต้น
ตัวอย่างการทำ Video Ads ก็จะแสดงวิดีโอโปรโมทที่น่าสนใจ บอกเล่าเรื่องราว หรือ โปรโมชั่นของสินค้า ทำให้คนเห็นแบรนด์เรามากยิ่งขึ้น เช่น ทำรายการ หรือ ขายสินค้าอะไรสักอย่าง ก็มาทำการลงวิดีโอเพื่อโปรโมทให้คนรู้จักเรา
เหมาะสำหรับ : ใช้ในการโปรโมทสินค้าและบริการ ให้เป็นที่รู้จัก
ข้อดี : สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย และ จ่ายค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีคนดูวิดีโอ ทำให้มีโอกาสสูงที่คนจะรู้จักแบรนด์มากขึ้น หรือ มี interact โดยที่จะเสียค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีคนสนใจ หรือ ดู Ads ของเราจริงๆ
ข้อเสีย : มีค่าใช้จ่ายที่สูงสำหรับการทำ Production เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่เราสนใจ รวมไปถึงความถี่ ช่วงเวลส ถ้าอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกรำคาญ หรือ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อแบรนด์
 
Mobile Ads

Mobile Ads หรือ ชื่อเต็มๆ คือ Mobile App Ads  เป็นการแสดงผลของโฆษณาในขณะที่ใช้แอปพลิเคชั่นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ แบนเนอร์ หรือ วิดีโอ ซึ่งจะเป็นโฆษณาที่จะเด้งขึ้นมาเมื่อเข้าแอพพลิเคชั่นที่เป็น Partner กับ Google ซึ่งจะแสดงผลก่อน และ คั่นกลางระหว่างใช้งานแอพพลิเคชั่น โดยจะแสดงในรูปแบบของโฆษณาที่เด้งขึ้นมานั้นเอง
ตัวอย่างของ Mobile Ads เรามักจะคุ้นเคยในรูปแบบของโฆษณาที่เด้งขึ้นมาขัดเวลาเรากำลังเข้าแอพพลิเคชั่นอะไรบ้างอย่าง เช่น เล่นเกมส์ก็จะมี โฆษณาโผล่มาคั่นทำให้เราต้องรอจนโฆษณาจบ หรือ ทำการกด Skip เพื่อที่จะสามารถเล่นเกมส์ต่อไปได้ หรือ แอพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น แอพฟังเพลง แอพแต่งรูป หรือ แอพรีวิว เป็นต้น
เหมาะสำหรับ : คนยุคใหม่ เนื่องจากในปัจจุบันที่ไม่ว่าจะทำไรก็ต้องมีสมาร์ทโฟนอยู่เสมอ  ซึ่งเสมือนเป็น 1 ในปัจจัย 4 ของชีวิตประจำวันไปแล้ว
ข้อดี : สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกสถานการณ์ ทุกช่วงเวลา ผ่านการใช้งานสมาร์ทโฟน
ข้อเสีย : มีข้อจำกัดในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ที่ไม่ใช้ Digital native หรือ เป็นคนที่เกิดมาในยุค Analog อย่างเช่น ปู่ ย่า ตา ยาย หรือ ผู้ที่มีอายุมากแล้ว
 
Remarketing Ads

Remarketing Ads เป็นรูปแบบของโฆษณาที่แสดงแบบซ้ำๆ หรือ ถ้าให้อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ นั้นก็คือ เป็นโฆษณาที่จะไปแสดงในเว็บไซต์ต่างๆ ที่ลูกค้าได้ทำการเข้าไปดู เหมือนโฆษณาที่จะตามเราเรื่อยๆ เสมือนเป็นเงาที่ตามเราไป แต่การที่จะทำการ Remarketing Ads ได้จะต้องมีข้อมูลของลูกค้ามาก่อน ซึ่งมาจากข้อมูลการเข้าเว็บไซต์ การคลิกดูโฆษณา เป็นต้น ซึ่งเป็นการทำโฆษณาบนเว็บไซต์ บนโทรศัพท์มือถือ
ตัวอย่างของการทำ Remarketing Ads เช่น เราเข้าไปดูเว็บไซต์หนึ่งแล้วมีโฆษณาตัวหนึ่งเด้งเข้ามา แล เรากดเข้าไปดู แต่เมื่อเราออกจากเว็บไซต์นั้นไปที่เว็บไซต์อื่นๆ โฆษณาตัวเดิมก็จะมาปรากฎตามเว็บไซต์ต่างๆที่เราเข้าไปดู
เหมาะสำหรับ : เว็บไซต์ที่ทำ Google Ads มาก่อน และ เป็นเว็บไซต์ประเภท E-Commerce ซึ่งเน้นที่การขายสินค้าและการโฆษณาเป็นหลัก
ข้อดี : ช่วยในการส่งเสริมการขาย และ เพิ่มแรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่เราทำการโฆษณามีความสนใจอยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสสูงที่จะซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น
ข้อเสีย : กลุ่มเป้าหมายค่อนข้างแคบ ทำให้คนที่เห็นโฆษณาน้อย ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการสร้าง Awareness และ มีข้อจำกัดในการทำโฆษณา เช่น ต้องมีข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น
 
ทำการตลาดยิง Adsกับเราดีอย่างไร
เราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ที่ให้บริการในด้านของการทำ SEM SEO รวมทั้ง การยิงAds และ รูปแบบการทำการตลาดรูปแบบอื่นๆ อีกทั้งเรายังช่วยในเรื่องการวิเคราะห์และทำความเข้าใจธุรกิจตลอดจนการวางแผน และ ออกแบบรูปแบบการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณพร้อมทีม Support ที่ช่วยดูเหลือธุรกิจของคุณ ให้สามารถทำยอดขาย และ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
 
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


260

เช็ค Serial GoPro เมื่อซื้อ GoPro ตัวใหม่อย่างเดียวไม่พอ!!!
สำหรับการสั่งของออนไลน์ หลายๆคนก็มักจะหลีกเลี่ยงการซื้อของที่มีมูลค่ามากๆ อย่างเช่น การซื้อกล้อง GoPro เนื่องจากเป็นของที่มีมูลค่ามาก หลายๆคนอยากที่จะซื้อของที่หน้าร้านมากกว่า เพราะว่าได้สินค้าจริง แต่การซื้อของในช่องทางออนไลน์กลับมีโปรโมชั่นมากกว่า สินค้ามีให้เลือกเยอะกว่า รวมไปถึงประหยัดเงินของเรามากกว่าอีกด้วย หลายๆคน มักจะคิดว่าการ เช็ค Serial GoPro ก็เพียงพอแล้ว แต่ความเป็นจริงมันกลับไม่เพียงพอ สำหรับใครที่กำลังจะซื้อกล้องโกโปร หรือ ซื้อมาแล้ว นอกจากเลขซีเรียลที่ต้องเช็คแล้ว ยังต้องเช็คอะไรอีกบ้างไปอ่านในบทความกันเลย
 
วิธีเช็คสินค้าว่าสินค้าของเรามีคุณภาพ
เมื่อซื้อกล้องโกโปรมาแล้วจะต้องทำการเช็คสินค้าให้ดีเสียก่อน ว่าสินค้าที่เราได้มามีคุณภาพหรือไม่ มาดูวิธีในการเช็คกล้อง GoPro ง่ายๆ ที่คุณจำเป็นต้องเช็ค ใครๆก็อยากได้ของดีมีคุณภาพ ให้คุ้มกับที่ต้องจ่ายเงินไปถูกไหม หากได้ของไม่มีคุณภาพก็ควรที่จะเรียกร้องสิทธิ ดังนั้นอย่าปล่อยสินค้าไปโดยไม่เช็คของให้ดี การเช็คสินค้าว่ามีคุณภาพหรือไม่ สามารถเช็คได้อยู่ 2 วิธี ดังต่อไปนี้
-เช็คเลขSerial GoPro
-เช็คประกัน GoPro
เช็ค Serial GoPro อย่างไร ?

ดู Serial number แบบที่ 1
วิธีนี้สำหรับ GoPro 6 , GoPro GoPro 5 , GoPro 4

เราสามารถเช็คเลขSerial GoPro ได้ง่ายๆ เริ่มจากการดูเลขที่ใต้กล่อง GoPro และ ดูเลขที่ช่องแบตเตอรี่ จากตัวเครื่องโกโปร ว่ามีเลขเดียวกันหรือไม่ก่อน
ดู Serial number แบบที่ 2
วิธีนี้สำหรับ GoPro 9 , GoPro GoPro 8 , GoPro MAX , GoPro 7

นอกจากนั้น สามารถดูจากทางกล้อง GoPro โดยเข้าไปที่ Preferences > เลือกที่ About

จากนั้นเลือกที่ Camera info ก็จะขึ้น Serial Number 14 หลัก
สำหรับ GoPro Fusion จะมีความแตกต่างเล็กน้อย โดยไปที่ Setting Menu > เลือกที่ Gear Icon > แล้วเลือกที่ About
จากนั้นให้เข้าไปที่เว็บไซต์ของ Mentagram เพื่อเช็คเลข Serial หากเลขถูกต้องจะสามารถค้นหาได้ และ ได้รับการรับประกันจากทาง Mentagram ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตกล้อง GoPro นั้นเอง เมื่อทำการเช็คเลขSerial GoPro แล้วเรายังต้องทำการเช็คประกัน GoPro อีกด้วยว่า กล้องที่เราได้ยังอยู่ในประกันอยู่ใช่ไหม เพราะถึงแม้เลขซีเรียลจะเป็นของจริง แต่สินค้าเป็นสินค้าที่หลุดประกัน หรือ ไม่มีประกันก็คงแย่จริงไหม ดังนั้นเราถึงจะต้องเช็คประกัน GoPro ร่วมด้วยนั้นเอง
 
เช็คประกัน GoPro อย่างไร ?

วิธีในการเช็คประกัน

โดยเราสามารถเช็คประกันได้ด้วยตัวเองง่ายๆ โดยดูได้จากใบรับประกัน ที่มากับตัวกล้อง ซึ่งจะแจ้งวันที่สิ้นสุดการรับประกัน และ สำหรับคนที่ได้เครื่องมาใหม่ ต้องเข้าไปลงทะเบียนประกัน GoPro โดยเข้าไปที่ เว็บไซต์ของ Mentagram > เลือกที่ Warranty  > ใส่เลข Serial GoPro เพื่อทำการเช็คดูว่า เลขถูกต้องหรือไม่

จากนั้นให้ กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย โดยจะมี SMS มายืนยันว่าการลงทะเบียนของคุณสำเร็จเรียบร้อย สำหรับใครที่ไม่สะดวก สามารถโทรสอบถามกับทาง Mentagram เพื่อเช็คประกัน GoPro ได้อีกทางหนึ่ง
สามารถอ่าน บทความวิธีลงทะเบียนประกัน GoPro เพิ่มเติมได้ที่นี่

นอกจาก เช็คSerial GoPro จะต้องเช็คอะไรอีกบ้าง

นอกจากการเช็คเลขโกโปร และ การเช็คประกัน GoPro แล้ว การเช็คตัวเครื่องให้ละเอียดก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องเช็คให้ละเอียด แต่จะมีอะไรบ้างที่เราต้องเช็ค ไปดูกันเลย
-ตัวกล้องมีรอยถลอก ขูดขีด หรือ ร่องรอยอะไรหรือไม่
-การปิด-เปิด กล้อง มีปัญหาอะไรหรือไม่
-หน้าจอ เป็นขีดเส้นๆ หรือ มีปัญหาอื่นๆหรือไม่
-มี Dead pixel หรือ มีจุดดำๆบนหน้าจอหรือไม่
-สามารถถ่ายภาพ และ วิดีโอได้หรือไม่
-เมื่อทำการชาร์จไฟ ไฟเข้าหรือไม่
 
การแก้ไขเบื้องต้น
ในกรณีที่กล้องมีปัญหา ให้ลองแก้ไขเบื้องต้นเสียก่อน โดยให้ลองอัพเดทเฟิร์มแวร์ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดก่อน การอัพเดทเฟิร์มแวร์จะช่วยให้เครื่องสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากเครื่องมีอาการ ติดๆ ดับๆ ให้ลองทำการ ถอด SD Card ออกแล้ว ลองปิด-เปิดใหม่อีกรอบ
แต่หากทำการแก้ไขเบื้องต้นแล้วอาการยังไม่หาย ให้ทำการส่งเคลม GoPro โดยการส่งเคลม ตัวอุปกรณ์จะต้องอยู่ในเงื่อนไขการรับประกัน ดังต่อไปนี้ ถึงจะสามารถส่งเคลมได้
-กล้องเปิดไม่ติด
-ชาร์จไฟไม่เข้า  ไม่มีไฟสีแดงขึ้น
-เซ็นเซอร์ในการถ่ายวิดีโอเสีย
-จอหน้า /จอหลัง เป็นเส้น /จอไม่แสดงภาพ
-Wi-Fiเชื่อมต่อไม่ได้ ไม่ขึ้นสัญญาณให้ต่อ ไฟสีฟ้าไม่ติด หรือหาสัญญาณไม่เจอ
-Dead pixel 3 จุด ขึ้นไป
-ปุ่มกดเสีย
-เครื่องเปิด ปิดเอง ติดๆดับๆ หรือค้าง
-อาการอื่นๆ ที่เกิดจากซอฟแวร์
 
ซื้อกล้อง GoPro กับเราดีอย่างไร
ร้านของเราเป็นร้านที่มาพร้อมกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าราคาพิเศษ ของแถมแบบจุใจ โปรโมชั่น 0% นาน 10 เดือน จำหน่ายทั้งกล้อง GoPro และ อุปกรณ์เสริมGoPro ที่หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นตัวแทนจำหน่ายชั้นนำ ที่มาพร้อมกับสินค้าคุณภาพดี และ บริการการขนส่งคุณภาพ โปรโมชั่นดีๆแบบนี้ต้องร้าน AquaPro เท่านั้น!!!
 
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


261

Long tail keyword คือ ทำไมคนทำการตลาดควรรู้?
ในปัจจุบันเทคโนโลยีเป็นแบบ Digital disruption ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวันของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งในสถานการณ์ปัจจุบันอย่าง Covid-19 ที่ส่งผลกระทบในหลายๆด้าน รวมไปถึงเรื่องของธุรกิจที่ต้องปรับตัว เพื่อให้อยู่รอดในสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้การแข่งขันในด้านของการทำตลาดออนไลน์ในช่องทางต่างๆ สูงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำการตลาดด้วยวิธีการทำSEO ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมมากวิธีหนึ่ง อย่างที่เรารู้กันดีว่าการทำSEO สิ่งที่สำคัญก็คือ Keyword ซึ่งก็มีคีย์เวิร์ดอีกประเภทหนึ่งที่จะช่วยทำให้ SEO ของสินค้าและบริการของคุณดีมากยิ่งขึ้น Long tail keyword คือ อะไร และ ทำไมคนที่ทำการตลาดด้วยวิธี SEO ถึงควรรู้ ไปอ่านในบทความกันเลย!!!
 
 
Highlight  Long tail keyword ที่ต้องรู้!!!
-Long tail keyword คืออะไร?
-คีย์เวิร์ดแบบ Long tail มีข้อดีอย่างไรต่อการทำการตลาด?
-จะหา Long tail keyword ได้จากที่ไหน?
 
Long tail keyword คือ ?

Long tail keyword เป็นคีย์เวิร์ดสำหรับการค้นหาที่มีความเจาะจงมากกว่า Keyword หลักแบบสั้นๆ ซึ่งเป็นการเจาะจงคำที่ต้องการค้นหาให้แคบลง และ อยู่ในกรอบการค้นหาที่ต้องการ ซึ่งเป็นการใส่คำต่อท้าย Keywordหลัก ที่มีความหมายกว้างๆ ไม่เจาะจงมากนัก ซึ่งเราจะเห็นบ่อยๆ เวลาที่ค้นหาคีย์เวิร์ดต่างๆ บนแถบการค้นหาของ Search Engine ซึ่ง Long tail keyword ไม่จำเป็นจะต้องต่อเนื่องแค่ 2 Keyword แต่อาจจะมากกว่านั้นถ้าต้องการให้เจาะจงมากยิ่งขึ้น เช่น ถ้าเราค้นหาคำว่า "กล้องถ่ายรูป" ซึ่งเป็น Keywordหลัก และ ทำให้การใส่คีย์เวิร์ดที่เราต้องการค้นหาให้แคบลง เช่น "กล้องถ่ายรูป สำหรับมือใหม่" เราจะเจอสิ่งที่เราต้องการค้นหาจริงๆได้ดีมากยิ่งขึ้น
 
 
คีย์เวิร์ดแบบLong tail มีข้อดีอย่างไรต่อการทำการตลาด ?
อย่างที่เรารู้กัน ยิ่งKeyword กว้างเท่าไหร่ การแข่งขันก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น นอกจากนั้นยิ่งคีย์เวิร์ดกว้าง อีกทั้งถ้า Keywordนั้นเป็นคำที่ได้รับความนิยม เช่น เจลแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย การจะทำให้ติดหน้าแรกบนการค้นหานั้นถือว่ายากมาก อีกทั้งยังต้องแข่งกับการทำ SEM ที่เป็นการทำการตลาดแบบจ่ายเงินค่าโฆษณาให้กับ Google และ ยังอาจส่งผลทำให้การจะค้นเจอในสิ่งที่ต้องการจริงๆ นั้นก็ยิ่งยากมากยิ่งขึ้น นั้นทำให้Long tail Keyword ที่มีความเจาะจงมากกว่า ทำให้การแข่งขันน้อยลงกว่าคีย์เวิร์ดแบบกว้างๆ ทำให้มีโอกาสที่จะได้ผลตอบรับที่ดีกว่า เนื่องจากเป็นสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการค้นหาจริงๆ ไม่เหมือนกับคีย์เวิร์ดกว้างๆ ที่อาจจะมีเนื้อหาเกี่ยวข้อง หรือ ไม่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดก็ได้
ถึงแม้คีย์เวิร์ดแบบ Long tail ที่มีความเจาะจงจะทำให้มีผู้ที่ค้นหาน้อยกว่าคีย์เวิร์ดแบบกว้างๆ แต่เพราะว่าคีย์เวิร์ดแบบยาวประกอบมาด้วย Keywordหลายๆคำ ซึ่งทำให้มีคนที่จะค้นเจอบทความ หรือ เว็บไซต์ของคุณมากขึ้น
สามารถอ่าน บทความ SEO คือ อะไร เพิ่มเติมได้ที่นี่


จะหา Long tail keyword ได้จากที่ไหน?

หาจาก Search Engine

ง่ายที่สุดถ้าจะทำการค้นหาคีย์เวิร์ด ให้ทำการพิมพ์ Keyword หลักลงไปก่อนจากนั้นให้ทำการ Enter เพื่อแสดงคีย์เวิร์ดอื่นๆ ซึ่งจะแสดงในส่วนบนและล่างของแถบค้นหา คีย์เวิร์ดที่แสดงขึ้นมา จะมีความเกี่ยวข้องกับกับคีย์หลัก แต่Long taill Keywordที่ได้จะมีความจำเพาะเจาะจงมาก
 
หาจากเว็บไซต์ฟรี
ของที่ดีไม่จำเป็นจะต้องเสียเงินเสมอไป อีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้คุณสามารถหาLong keywordได้ง่ายๆ อีกทั้งยังมีลูกเล่นให้ได้ใช้งานอีกมากมาย สำหรับผู้เริ่มต้นจะมีเว็บไซต์ไหนบ้างไปดูกันเลย

KeywordTool.io
เหมาะสำหรับใครที่เป็นมือใหม่ เนื่องจากใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถดูคีย์เวิร์ดแบบแยกตามชนิด search engine ได้อีกด้วย เช่น Google , Yahoo , Bing เป็นต้น

Google Keyword Planner
เป็นเครื่องมือฟรีที่อยู่ใน Google AdWords ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือฟรีสำหรับมือใหม่ เนื่องจากใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังมีลูกเล่นให้ได้ลองเล่นอีกมากมาย

Google Trends
อีกหนึ่งในเครื่องมือฟรีจาก Google ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำให้เรารู้เทรนด์ในการค้นหา ซึ่งมาพร้อมกับกราฟแสดงแนวโน้มการค้นหา ที่ทำให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบข้อมูลอีกด้วย

Ubersuggest
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์ที่สามารถใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถเลือกประเทศที่ต้องการหาคีย์เวิร์ดได้ และ ยังแสดงคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องกันได้อีกด้วย
สามารถอ่าน บทความช่องทางการทำ Digital marketing เพิ่มเติมได้ที่นี่

 
Plan Keyword ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
สำหรับใครที่ต้องการทำการตลาดออนไลน์แบบเต็มรูปแบบ บริษัทของเราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing เฉพาะทาง ที่ให้บริการในด้านของการทำ SEM SEO รวมทั้ง การยิงAds ทำเว็บไซต์ และ รูปแบบการทำการตลาดรูปแบบอื่นๆ รวมถึงการให้คำปรึกษาเรื่องธุรกิจที่จะช่วยให้คุณชนะขาดคู่แข่ง พร้อมทีม Support ที่ช่วยดูเหลือธุรกิจของคุณเสมือนเป็นธุรกิจของเราเอง มาเพิ่มยอดขาย และ ขยายโอกาสทางธุรกิจของคุณให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
 
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency




262

รีโมท GoPro จำเป็นไหม - เหมาะกับใคร บทความนี้มีคำตอบ?
ถ้าพูดถึงการควบคุมกล้อง GoPro ไม่ว่าจะเป็นการกดถ่ายรูป และ วิดีโอ การควบคุม ตลอดจนการสั่งการต่างๆ ในปัจจุบันทาง GoPro ได้มีการพัฒนาแอพพลิเคชั่น "GoPro App" สำหรับรองรับการใช้งานต่างๆในเมื่อมีแอพพลิเคชั่นที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อทำให้สามารถใช้งานได้เหมือนกับรีโมทแล้วทำไมเราถึงต้องซื้อรีโมทอีก แบบนี้ รีโมท GoPro จำเป็นไหม แล้วรีโมทเหมาะกับใคร บทความนี้มีคำตอบ ไปอ่านบทความกันเลย!!!
 
GoPro Remote
[/size]
GoPro Remote หรือ GoPro Smart Remote เป็นรีโมทสำหรับควบคุมกล้อง GoPro ที่ช่วยให้คุณสามารถใช้งานกล้องโกโปรได้ง่าย และ สะดวกมากยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถของอุปกรณ์ในการควบคุมกล้องโกโปรจาก ระยะไกล และ การควบคุมกล้องโกโปรพร้อมกันหลายๆตัว นอกจากนั้นยังสามารถใช้งานได้หลากหลาย
กล้อง GoPro ที่สามารถใช้งานร่วมกับ GoPro Remote 1.0 ได้
-GoPro Hero 8
-GoPro Hero 7
-GoPro Fusion
-GoPro Hero 6
-GoPro Hero 5
-GoPro Hero 4
-GoPro Hero 3
กล้อง GoPro ที่สามารถใช้งานร่วมกับ GoPro Remote 2.0 ได้
-GoPro MAX
-GoPro Hero 8
-GoPro Hero 7
-GoPro Hero 6
-GoPro Hero 5
กล้อง GoPro ที่สามารถใช้งานร่วมกับ The Remote ได้
-GoPro Hero 9
-GoPro MAX
-GoPro Hero 8
 
GoPro Remote แต่ละปุ่มสามารถใช้งานอะไรได้บ้าง ?
ปุ่มของ GoPro Remote จะมีความแตกต่างกันระหว่างรุ่น 1.0 และ 2.0 แต่ในเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้งานของปุ่มมีความคล้ายคลึงกัน โดยในรุ่น 1.0 จะมี 2 ปุ่ม และ ในรุ่น 2.0 จะมี 3 ปุ่ม ซึ่งจะมีปุ่มอะไรบ้างไปดูกันเลย

GoPro Remote 1.0 - เป็นรีโมท GoPro รุ่นแรก มาพร้อมกับขนาดกระทัดรัด และ หน้าจอแสดงผล มีปุ่มสำหรับการใช้งานทั้งหมด 2 ปุ่ม ได้แก่
-ปุ่มรูปวงกลมสีแดงด้านบน - เป็นปุ่มสำหรับใช้กดถ่ายภาพ และ วิดีโอ เป็นหลัก
-ปุ่มรูปmodeสีขาวด้านล่าง - สำหรับเลือกโหมด และ เปลี่ยนโหมด
การกดปุ่มสีแดง + ตามด้วยปุ่มสีขาว จะเป็นการ Pair เข้ากับตัวกล้อง

GoPro Remote 2.0 - เป็นรีโมท GoPro รุ่นที่2 มาพร้อมกับดีไซน์ที่ทันสมัยมากขึ้น รูปทรงกระทัดรัด และ หน้าจอแสดงผล มีปุ่มสำหรับใช้งานทั้งหมด 3 ปุ่ม ได้แก่
-ปุ่มรูปวงกลมสีแดงด้านบน - เป็นปุ่มสำหรับใช้กดถ่ายภาพ และ วิดีโอ
-ปุ่มรูปmodeสีขาวฝั่งซ้ายมือ - เป็นปุ่มสำหรับกดเลือกโหมด และ เปลี่ยนโหมด
-ปุ่มรูปประแจสีขาวฝั่งขวามือ - เป็นปุ่มสำหรับกดย้อนกลับ หรือ ทำการตั้งค่าต่างๆ

The Remote - ซึ่งเป็นรีโมท GoPro ตัวล่าสุด ที่พึ่งทำการเปิดตัวไป ซึ่งมาพร้อมการรองรับการใช้งานคู่กับ GoPro 9 เฟิร์มแวร์ version 1.5 มาพร้อมหน้าจอแสดงผลแบบทัสกรีนที่ใหญ่มากขึ้น รูปทรงเรียบหรูดูดี มีปุ่มสำหรับใช้งานทั้งหมด 3 ปุ่ม ได้แก่
-ปุ่มรูปวงกลมสีแดงตรงกลาง - เป็นปุ่มสำหรับใช้กดถ่ายภาพ และ วิดีโอ
-ปุ่มรูปประแจด้านข้าง - เป็นปุ่มสำหรับทำการตั้งค่า และ สำหรับกดย้อนกลับ
-ปุ่มรูปmodeด้านข้าง - เป็นปุ่มสำหรับกดเลือกโหมด และ เปลี่ยนโหมด
สามารถอ่าน บทความรีโมท GoPro ตัวใหม่ The Remote เพิ่มเติมได้ที่นี่
 
ประโยชน์ของ GoPro Remote
หลายๆคนมักจะเข้าใจผิดว่า GoPro Remote สามารถทำงานได้แค่การสั่งถ่ายภาพ และ วิดีโอ เท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่า GoPro Remote สามารถใช้งานได้หลากหลาย และ มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด แต่จะมีประโยชน์อะไรบ้างมาดูกันเลย
สำหรับ GoPro Remote 1.0
-หน้าจอ LCD สำหรับแสดงสถานะต่างๆ ของกล้อง GoPro
-สามารถควบคุมกล้อง GoPro ได้จากระยะไกลได้ 50 เมตร
-สามารถควบคุมกล้อง GoPro พร้อมกันได้สูงสุดถึง 50 ตัว
-สามารถกันน้ำได้สูงสุดถึง 2 เมตร
-มีแบตเตอรี่ในตัวเอง สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 5 ชั่วโมง
-สามารถควบคุมฟังก์ชั่นการถ่ายภาพ และ วิดีโอ ได้ตั้งแต่ การเปิดปิด , การถ่ายภาพ รวมถึงการตั้งค่าต่างๆอีกด้วย ซึ่งง่ายกว่าการกดจากตัวกล้องโดยตรง เพียงแค่กดปุ่มก็สามารถปรับเปลี่ยนการตั้งค่าได้รวดเร็ว
สำหรับ GoPro Remote 2.0
-สามารถดูสถานะต่างๆ โหมดต่างๆ ของกล้อง GoPro ได้จากหน้าจอแสดงผล ทำให้สะดวกเวลา---ถ่ายภาพ และ วิดีโอมากยิ่งขึ้น
-สามารถควบคุมฟังก์ชั่นการถ่ายภาพ และ วิดีโอ ได้ตั้งแต่ การเปิดปิด , การถ่ายภาพ รวมถึงการ--ตั้งค่าต่างๆอีกด้วย ซึ่งง่ายกว่าการกดจากตัวกล้องโดยตรง เพียงแค่กดปุ่มก็สามารถปรับเปลี่ยนการตั้งค่าได้รวดเร็ว
-สามารถควบคุมกล้อง GoPro ได้จากระยะไกลถึง 180 เมตร ทำให้สามารถถ่ายภาพในมุมกว้างได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
-สามารถควบคุมกล้อง GoPro พร้อมกันได้สูงสุดถึง 50 ตัว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการถ่ายภาพ และ วิดีโอในหลายๆมุมมอง
-สามารถใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น มาพร้อมกับความจุแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นถึง 40%
-สามารถกันน้ำได้สูงสุดถึง 10 เมตร
-สามารถเพิ่ม HiLight Tags ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำเครื่องหมายสำหรับช่วงเวลาที่สำคัญ สำหรับการเล่นวิดีโอ หรือ แก้ไข
-สามารถใช้งานคู่กับอุปกรณ์เสริมอื่นๆได้ ไม่ว่าจะเป็นนำไปติดเข้ากับไม้เซลฟี่ หรือ ติดกับข้อมือ ด้วยสายรัดข้อมือที่แถมมากับอุปกรณ์ ติดกับแฮนด์จักรยาน เป็นต้น
สำหรับ The Remote
ในรุ่นของ The Remote มีการปรับปรุง และ พัฒนารีโมทให้สามารถใช้งานได้ดี มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้
-หน้าจอทัสกรีน ที่มีขนาดใหญ่มากกว่าเดิม ทำให้สามารถดูสถานะต่างๆได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
-เพิ่มสามารถในการควบคุมกล้อง GoPro ได้จากระยะไกลถึง 200 เมตร
-สามารถควบคุมกล้อง GoPro พร้อมกันได้สูงสุดถึง 50 ตัว
-ความสามารถในการกันน้ำได้สูงสุดถึง 10 เมตร
-เพิ่มการใช้งานบลูทูธ โหมดพลังงานต่ำ ซึ่งช่วยในการเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่รีโมท และ แบตเตอรี่กล้อง
-เพิ่มการถ่ายโอนข้อมูลเร็วขึ้นถึง 30% เมื่อใช้ผ่าน GoPro App
-เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่าย HyperSmooth 3.0
-เพิ่มความแม่นยำในการค้นหาของ GPS
-เพิ่มความสามารถในการสตรีมแบบสด และ มุมมองที่กว้างถึง 155 องศา
 
GoPro Remote เหมาะกับใคร ?
GoPro Remote เหมาะสำหรับคนที่ชอบถ่าย Vlog ถ่ายวิดีโอ หรือ ภาพหลากหลายมุมมอง ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง กิจกรรมลุยๆ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาเอ็กซ์ตรีมทางบก และ ในน้ำ ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว เพื่อให้ง่ายต่อการทำกิจกรรม และ ถ่ายวิดีโอ อีกทั้งสำหรับคนที่มีกล้องหลายตัวที่ต้องการอัดพร้อมกัน รีโมท GoPro ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานแบบนี้มาก!!!
 
รีโมท GoPro จำเป็นไหม ?
GoPro Remote 2.0 ราคาอยู่ที่ 2,800 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับคุณสมบัติของรีโมท ที่ช่วยให้คุณสามารถใช้งานได้ง่าย และ สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ความจำเป็นของรีโมท ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน สำหรับคนที่ชอบความรวดเร็ว ความสะดวกสบายต่อการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ หรือ วิดีโอ นอกจากนั้นยังคุณสมบัติในการใช้งานต่างๆ เหมาะสำหรับใครที่เป็นคนที่ใช้งานกล้องในการถ่ายหนักๆ ทำกิจกรรมเยอะๆ กับเงินในราคาหลักพันถือว่าคุ้มค่ามากๆ
สามารถอ่าน บทความเชื่อมต่อ GoPro ด้วยตัวเอง เพิ่มเติมได้ที่นี่
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


263

เชื่อมต่อรีโมท GoPro กับ กล้องGoPro ด้วยตัวเอง!!!!
อุปกรณ์ GoPro เป็นตัวช่วยให้การถ่ายภาพง่ายขึ้น รวมถึงตัวรีโมท ที่เป็นตัวช่วยในการถ่ายภาพ อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นต่างๆ และ ก็ยังมีรีโมท GoPro ตัวใหม่ ที่รองรับการใช้งานคู่กับ GoPro 9 ด้วยเฟิร์มแวร์ใหม่ล่าสุด เวอร์ชั่น 1.5 ที่ทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานดีมากยิ่งขึ้น แต่หลายๆคน อาจจะคิดว่าการที่จะ เชื่อมต่อรีโมท GoPro เข้ากับ กล้องGoPro เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เพราะมีขั้นตอนที่หลากหลาย จนทำให้หลายๆคนท้อใจ บทความนี้มีคำตอบ บทความนี้จะมาบอกวิธีเชื่อมต่อง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองได้ อีกทั้งยังมีขั้นตอนที่ง่ายอีกด้วย!!!
สามารถอ่าน บทความรีโมท GoPro ตัวใหม่ "The Remote" เพิ่มเติมได้ที่นี่
 
ขั้นตอน เชื่อมต่อรีโมท GoPro ง่ายๆที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
ก่อนที่เราจะทำการเชื่อมต่อโกโปรเข้ากับรีโมท ก่อนอื่นเลยให้ทำการเช็คเวอร์ชั่นของเฟิร์มแวร์เสียก่อน โดยสามารถดูได้ทาง GoPro App โดยเข้าไปในแอพพลิเคชั่น จากนั้นเลือกที่ version เพื่อดูเวอร์ชั่นล่าสุดของเฟิร์มแวร์ของคุณ การอัพเดตเฟิร์มแวร์ให้เป้นเวอร์ชั่นล่าสุดอยู่เสมอๆ จะเป็นการช่วยทำให้คุณสามารถใช้งานกล้องโกโปร เมื่อรู้เวอร์ชั่นของเฟิร์มแวร์เรียบร้อย ก็มาเริ่มขั้นตอนในการเชื่อมต่อรีโมทกับกล้องโกโปรกันเลย!!!!
การเชื่อมต่อรีโมท GoPro รุ่น 1.0

รีโมท GoPro รุ่น 1.0 จะมีปุ่มทั้งหมด 2 ปุ่ม ได้แก่
-ปุ่มสีแดง - สำหรับกดถ่าย
-ปุ่มสีขาว - สำหรับเลือกโหมด

ขั้นตอนที่1 - ให้ทำการเปิดกล้องโกโปร และ รีโมท ให้เรียบร้อยก่อน > เลือกที่ Preferences

ขั้นตอนที่2 - หลังจากเข้าไปที่ Preferences แล้ว  > เลือกที่ Connections

ขั้นตอนที่3 - เปิด Wireless connections > เลือก Connect new device > เลือก Connect

ขั้นตอนที่4 - เลือกที่ Smart remote > ไปที่ตัวรีโมท ให้กดที่ปุ่มสีแดงค้างเอาไว้ > จากนั้นให้กดปุ่มสีขาว จากนั้นทั้งกล้อง และ รีโมทก็จะทำการเชื่อมต่อกันเรียบร้อย

การเชื่อมต่อรีโมท GoPro รุ่น 2.0

รีโมท GoPro รุ่น 2.0 จะมีปุ่มทั้งหมด 3 ปุ่ม ได้แก่
-ปุ่มสีแดง - สำหรับกดถ่าย
-ปุ่มสีขาว - สำหรับเลือกโหมด
-ปุ่มรูปประแจ - สำหรับกดย้อน หรือ ทำการตั้งค่า

ขั้นตอนที่1 - ให้ทำการเปิด กล้องโกโปร และ รีโมทให้เรียบร้อยก่อน ให้ทำการสไลด์หน้าจอลงมา > กดไปที่ Preferences
**เปิดรีโมท GoPro ด้วยการกดที่ปุ่ม Mode เพื่อทำการเปิดใช้งานตัวรีโมทโกโปร**

ขั้นตอนที่2 - จากนั้นให้เลื่อนลงไปข้างล่าง > เลือกที่ Connections

ขั้นตอนที่3 - ให้ทำการเลือกที่ Connect new device >  เลือก Smart remote

ขั้นตอนที่4 - เมื่อทำการเลือกสำเร็จ หน้าจอจะขึ้นสัญลักษณ์รูป Connection Sucessful
การเชื่อมต่อกล้องโกโปร ทั้ง GoPro 9 , GoPro 8 และ GoPro รุ่นอื่นๆ ใช้วิธีที่เหมือนกัน แต่จะมี GoPro MAX ที่แตกต่างกันออกไป แต่จะเชื่อมต่ออย่างไรไปดูกันเลย!!!
วิธีเชื่อมรีโมท กับ GoPro MAX
สาเหตุที่ GoPro MAX ไม่สามารถเชื่อมต่อกับรีโมทได้เหมือนรุ่นอื่นๆ เนื่องจากเวลาที่เราเข้าไปที่ Connect device จะไม่ขึ้นให้เรา Pair รีโมท ซึ่งจะเชื่อมต่อด้วยโทรศัพท์มือถือ ผ่านแอพพลิเคชั่น GoPro
-ขั้นตอนที่1 - ตรวจสอบเฟิร์มแวร์ ว่าเป็นเวอร์ชั่นอะไร โดยเข้าไปที่ GoPro App ทำการเชื่อมต่อโกโปรกับมือถือ > เข้าไปที่ตั้งค่า > เลือก Version
-ขั้นตอนที่2 - เข้า GoPro App เลือกที่โหมดกล้องปกติ > เลือกที่รูปประแจ
-ขั้นตอนที่3 - จากนั้นเลื่อนลงมาข้างล่าง > เลือก Use with Current WiFi Remote > เลือก Yes จากนั้นรีโมทจะทำการ Pair ถ้าหากทำการเชื่อมต่อสำเสร็จ จะขึ้นเลขหนึ่งที่หน้าจอของรีโมท
หากใครที่ทำตามขั้นตอนแล้วไม่สามารถเชื่อมต่อโกโปร กับ รีโมทได้แนะนำให้อัพเดท Firmware ของตัวกล้องให้อยู่ในเวอร์ชั่นล่าสุดก่อน จากนั้นให้ลองทำตามขั้นตอนใหม่อีกรอบ
สามารถอ่าน บทความอัพเดท Firmware GoPro เพิ่มเติมได้ที่นี่
 
ซื้ออุปกรณ์เสริมGoProกับเราดีอย่างไร?
สำหรับใครที่อยากได้ รีโมท GoPro หรือ จะเป็นอุปกรณ์เสริมรีโมท อุปกรณ์เสริมกล้องโกโปรต่างๆ ไม้เซลฟี่ แบตเตอรี่และที่ชาร์จแบตเตอรี่ รวมไปถึงอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ต้องร้านของเราเลย เพราะเราเป็นร้านขายกล้อง GoPro ที่รวบรวมอุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยให้การใช้งานกล้องง่าย และ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมโปรโมชั่นดีๆ ให้คุณได้เลือกสรรอีกมากมาย ช็อปเลย สินค้าดีมีคุณภาพต้อง Aquapro !!!!
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


264

ไม้พาเลท ทําจากไม้อะไร ไม้ชนิดไหนนิยมใช้งานในประเทศไทย ?
ไม้พาเลทเป็นวัสดุที่สามารถหาได้ง่าย มีราคาถูก  อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้หลากหลายอีกด้วย   แต่หลายๆคนก็ไม่รู้ว่า ไม้พาเลท ทําจากไม้อะไร   อีกทั้งไม้ชนิดไหนที่นิยมนำมาทำเป็นพาเลทไม้
ไม้พาเลท คือ อะไร?
ไม้พาเลทเป็นไม้ที่ถูกนำไปแปรรูปเป็น   พาเลทไม้   สำหรับใช้งานในอุสหกรรม logistic   ต่างๆ   ทั้งการขนส่งทางรถ   ขนส่งทางเรือ   ขนส่งทางเครื่องบิน  รวมทั้งการจัดการคลังสินค้า สำหรับให้รถโฟคลิฟท์เคลื่อนย้ายพาเลทไม้ได้ง่าย
สามารถอ่าน บทความไม้พาเลททำเฟอร์นิเจอร์ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ไม้พาเลท ทำจากไม้อะไร และ ไม้อะไรเป็นที่นิยม?
ไม้พาเลท ทำจากไม้อะไร   กันแน่?   ไม้ที่ถูกนำมาทำเป็น   พาเลทไม้    ที่นิยมนำมาทำไม้พาเลทในประเทศไทย   มีหลากหลายประเภท   ซึ่งมีทั้งข้อดี  ข้อเสีย   ที่แตกต่างกันออกไป   ทั้งไม้ยางพารา   ไม้ฉำฉำ   หรือ   ไม้ตะแบก   เป็นต้น

ไม้ฉำฉา   หรือ ที่นิยมเรียกว่าไม้จามจุรี   ซึ่งเป็นไม้ที่ยิบมสำหรับมาผลิต   แปรรูปเป็นไม้แปรรูป หรือ นำไปทำเป็น ไม้ผนัง ไม้คาน ของหน้าต่าง เป็นต้น   เนื่องจากคุณสมบัติของไม้   ดังต่อไปนี้
-มีความคงทนสูง
-สีของไม้สวยงาม และ  ลายไม้เป็นเอกลักษณ์
ถึงไม้ลายไม้ฉำฉำจะมีความสวยงามก็ตาม   แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับนำไปใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ใช้ภายนอกมากนัก

ไม้ตะแบก   เป็นไม้เนื้อแข็ง สีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง ที่นิยมนำมาแปรรูปเป็น   ไม้พื้น   บันได   บานประตู   เป็นต้น   ถือว่าเป็นไม้ที่มีเนื้อสีอ่อนที่สุด ซึ่งมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
-สีของไม้อ่อน นำไปย้อมสีได้ง่าย
-เนื้อไม้คล้ายกับไม้สัก
-ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องของแมลงรบกวน
ถึงไม้เนื้อไม้ จะมีลายไม้   เนื้อไม้ที่ขึ้นเงา คล้ายกับไม้สัก  แต่ว่าเป็นไม้ที่บิดงอ   และ   โก่งได้ง่าย   อีกทั้งยังไม่ทนทานต่อความชื้นอีกด้วย

ไม้เต็ง   เป็นไม้เนื้อสีน้ำตาลอ่อน   อีกทั้งเมื่อทิ้งไว้นานๆ สีก็จะเข้มขึ้นอีกด้วย   นิยมนำมาแปรรูปเป็น   คาน   เสา   หรือ   หน้าต่าง   เป็นต้น   ซึ่งมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
-สามารถตัดแต่งได้ง่าย
-มีความแข็งแรง ทนทาน
ถึงแม้จะสามารถตัดแต่ง  ไสไม้ได้ง่าย   แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ภายใน   หรือ   เฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการโชว์เนื้อไม้   เนื่องจากเนื้อไม้ค่อนข้างหยาบ

ไม้แดง   เป็นไม้เนื้อสีน้ำตาลอมแดง   สวยงาม   นิยมนำไปแปรรูปเป็น   หน้าต่าง   และ   วงกบประตู   ซึ่งมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
-มีความแข็งแรง ทนทาน
-ผิวไม้สวยงาม ลายชัดเจน
ด้วยความที่ไม้เนื้อมีสีสวยงาม  ลายไม้ชัดเจน   แต่เนื้อไม้ค่อนข้างแข็ง ทำให้ตัดแต่งได้ยาก   อีกทั้งยังเป็นไม้ที่มีราคาแพงอีกด้วย

ไม้มะค่า   เป็นไม้เนื้อสีน้ำตาลออกส้ม   ลวดลายสวยงาม   นิยมนำไปแปรรูปเป็น เฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการโชว์เนื้อไม้   โชว์ลายไม้ต่างๆ   ซึ่งมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
-มีความแข็งแรง ทานทานสูงมาก
-สีและลวดลายของไม้สวยงาม
ถึงแม้ว่าเนื้อไม้จะมีความสวยงาม   ทนทานก็ตาม   แต่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในไม้ที่มีราคาแพง   และ   หาค่อนข้างยาก   อีกทั้งสีของไม้มะค่ายังขึ้นอยู่กับอุณภูมิอีกด้วย

ไม้ยางพารา   เป็นไม้เนื้อแข็ง  เนื้อไม้สีค่อนข้างขาว  สามารถหาได้ง่าย ราคาไม่แพง   นิยมนำไปแปรรูปเป็น   พื้นไม้   บันได   เฟอร์นิเจอร์ไม้ต่างๆ
-มีความทนทานสูง
-ตัดแต่งได้ง่าย
-เนื้อไม้สามารถนำไปย้อมสีได้ง่าย
-หาซื้อได้ง่าย  ราคาไม่แพง
-แปรรูปได้หลากหลาย
ไม้ยางพารานิยมนำไปแปรรูปไม้ได้หลากหลาย   ทั้งเฟอร์นิเจอร์ภายใน   และ   ภายนอก   อีกทั้งยังมีความทนทานสูง   สามารถนำไปผ่านกระบวนการแปรรูป ได้หลากหลายขั้นตอน
ขนาดมาตรฐานของไม้พาเลท
ไม้พาเลทมีขนาด และ ประเภท ที่หลากหลาย   ซึ่งแต่ละขนาดก็ขึ้นอยู่กับประเภทของการใช้งาน   และ   การนำไปประยุกต์ใช้   ซึ่งขนาดมาตรฐานของไม้พาเลท ก็ขึ้นอยู่กับประเภทที่ผลิตด้วย   ต่างประเทศ   ต่างทวีปกัน   ขนาดมาตรฐานก็ย่อมแตกต่างกัน   แต่จะมีขนาดอะไรบ้างไปดูกันเลย
ขนาดมาตรฐาน   ISO   เป็นขนาดมาตรฐานสากลระหว่างประเทศ   ซึ่งถ้าไม่ได้ระบุขนาดมาตรฐานว่าเป็นมาตรฐานอะไร   มักจะใช้ขนาดมาตรฐาน   ISO   เป็นหลักยึดในการระบุขนาด   มักจะเรียกขนาดของไม้พาเลทนี้ว่า   ขนาดมาตรฐาน   ISO   6780   ซึ่งสามารถจำแนกออกตามประเทศ หรือ   ทวีปนั้นๆ
-ทวีปอเมริกาเหนือ   ขนาด   1016 x   1219   mm
-ทวีปเอเชีย   ขนาด   1100 x   1100   mm
-ทวีปยุโรป   ขนาด   800 x   1200   mm
ขนาดมาตรฐาน North  America  เป็นขนาดมาตรฐานที่นิยมใช้การในแถบอเมริกาเหนือ  ที่กำหนดโดย สมาคมผู้ค้าของชำ  หรือ  GMA  ซึ่งขนาดจะสามารถจำแนกออกได้ตาม   อุสหกรรมที่นำไปใช้
-อุสหกรรมก่อสร้าง   ขนาด   1219   x   1219   mm
-อุสหกรรมค้าปลีก   ขนาด   1219 x   508 mm
-อุสหกรรมสารเคมี   เครื่องดื่ม   ขนาด   1219  x   1016   mm
ขนาดมาตรฐาน   Euro   Pallet   เป็นขนาดมาตรฐานที่นิยมใช้ในแถบยุโรป   ซึ่งเป็นมาตรฐานของไม้พาเลทที่ใช้วัสดุเดียวกันในการประกอบ   และ   มีความเกี่ยวข้องกับขนาด   ISO   อีกด้วย ซึ่งสามารถจำแนกได้ตาม   EUR  (มาตรฐานการควบคุมมลพิษ) ในการผลิต
-EUR1   ขนาด   800 x   1200   mm
-EUR2   ขนาด   1200   x   1000   mm
-EUR3   ขนาด   1000   x   1200   mm
-EUR6   ขนาด   800 x   600   mm
สามารถอ่าน บทความขนาดของพาเลทไม้   เพิ่มเติมได้ที่นี่
ไม้พาเลท โรงงานของเราดีอย่างไร?
เนื่องจากเป็นโรงงานแปรรูปไม้โดยเฉพาะ   ซึ่งเปิดทำการมากกว่า   25   ปี   โรงงานของเรารับผลิต   และ   แปรรูปไม้เต็มรูปแบบ   ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนสุดท้าย  ด้วยมาตรฐานการผลิต   IPPC   อีกทั้งยังมาตรฐานเครื่องจักรที่ดี   เพื่อทำให้ได้ไม้พาเลทที่ได้มาตรฐาน   สำหรับนำไปใช้งาน   ถ้าคุณอยากได้ไม้พาเลทคุณภาพเยี่ยม   ไม้พาเลทคุณภาพต้องไม้พาเลทจากโรงงาน   MTK WOOD
 
สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม MTK ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :   @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


265

Persona คือ อะไร สำคัญอย่างไร ลิ้งค์นี้มีคำตอบ
การทำการตลาดให้ประสบความสำเร็จ จะต้องอาศัยปัจจัยหลายๆอย่าง รวมทั้งการรู้จักเป้าหมายด้วย ซึ่งการที่จะรู้จักเป้าหมายให้ดี เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนในการทำการตลาดสำหรับธุรกิจต่างๆนั้น จำเป็นที่จะต้องรู้ว่า Persona คือ อะไรกันแน่ แล้วทำไมถึงสำคัญ ต้องทำอย่างไร เพื่อให้การวางแผนการตลาดประสบความสำเร็จ บทความนี้มีคำตอบ!!!
 
Highlight Persona ที่ต้องรู้!!!
-Personaคืออะไร?
-Personaสำคัญอย่างไร?
-วิธีการทำ Persona ตั้งแต่เริ่มจนจบ
-ข้อดีของ Persona ที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
 
Persona คือ อะไร ?
Persona เป็นเสมือนแบบจำลองตัวแทนของกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มลูกค้า ทั้งในเรื่องของ นิสัย , พฤติกรรม , ข้อมูลพื้นฐาน , ความสามารถ , แรงจูงใจ และ ความชอบต่างๆ ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ Persona เป็นเหมือนกับสิ่งที่ใช้ในการอธิบายคนๆนั้นให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ดูว่าคนๆนั้นเป็นคนอย่างไร สำหรับในการนำไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนในการทำการตลาด และ กลยุทธ์ทางการตลาดต่างๆ ในขั้นตอนต่อไป

 
Personaสำคัญอย่างไร ?
เป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้ทุกคนเห็นภาพตรงกัน ว่ากำลังวางแผนว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใคร โดยการกำหนดแบบจำลองของกลุ่มเป้าหมายที่ใช้อธิบายคนๆนั้น เพราะถ้าไม่มี Persona ต่างคนก็จะต่างมองภาพของกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันนั้นเอง

 
วิธีการทำ Persona ตั้งแต่เริ่มจนจบ
การทำ Persona คือ การนำข้อมูลของลูกค้าต่างๆ มารวบรวม ในการสร้างข้อมูลในการทำการตลาดต่อไป ซึ่งอาศัยการเก็บข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Google Trend , Google analytics , search console และ Social Media เป็นต้น เพื่อให้ออกมาเป็นภาพรวมของกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ การสร้างPersona ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่เป็นข้อมูลส่วนตัว ดังต่อไปนี้
-ชื่อ : เป็นการสร้างชื่อที่ใช้เรียกแทนตัวของคนนั้นๆ อาจจะใช้การเอาชื่อมาผสมกับสิ่งที่เป็นตัวแทนของคนนั้นๆ เพื่อให้จำได้ อาจจะเป็นคำที่แสดงรูปลักษณ์ เป็นต้น
-อายุ : การใส่อายุจะช่วยทำให้สามารถ สโคปว่ากลุ่มเป้าหมายอยู่ในช่วงของวัยอะไร ทำให้สะดวกต่อการวิเคราะห์ เพื่อทำการตลาดได้ง่าย
-การศึกษา : ทำให้ทราบว่าจะต้องสื่อสารอย่างไรกับกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งระดับของภาษาที่เป็นทางการ และ ไม่เป็นทางการ รวมทั้งรูปแบบของสื่อต่างๆ
-อาชีพ : นับเป็นอีกส่วนที่มีความสำคัญในการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ว่าเป็นอาชีพอะไร การรู้อาชีพจะทำให้ทราบข้อมูลต่างๆ ทั้ง-รายได้ ทั้งตำแหน่ง
-สถานะ : ทำให้เราเข้าใจได้ว่าคนที่มีสถานะต่างกัน เขาคิดกันอย่างไร ทั้งคนโสด คนที่แต่งงานแล้ว หรือ คนที่หย่าร้าง
-ที่อยู่อาศัย : ทำให้สามารถรู้ได้ว่าพื้นฐานเขาเป็นคนอย่างไร ผ่านจังหวัด ผ่านสถานที่ เพื่อทำให้ทราบว่าควรสื่อสารอย่างไรกับกลุ่มเป้าหมาย
-พฤติกรรมประจำวัน : ทำให้ทราบว่าพฤติกรรมที่เขาทำประจำคืออะไร นอกจากนั้นยังทำให้ทราบว่า อุปนิสัย เขาเป็นคนอย่างไร อีกทั้งยังรวมถึงประเภทของสื่อต่างๆที่เขาใช้ประจำอีกด้วย
-ความสนใจ : การรู้ความสนใจ จะช่วยแสดงถึงงานอดิเรก ความชอบต่างๆ ความรู้สึก เพื่อใช้ในการวิเคราะห์แผนการทำการตลาดให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
-ปัญหา : การทราบปัญหาจะทำให้เราทราบว่า จะต้องแก้ไขปัญหาอย่างไรให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
-ความต้องการ : ทำให้ทราบว่ากลุ่มเป้าหมายต้องการอะไร เพื่อใช้ในการวางแผน กลุยุทธ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
ตัวอย่างของ Persona เบื้องต้น

-ชื่อ : สมชาย
-อายุ : 28 ปี
-อาชีพ : พนักงานบริษัท
-สถานะ : โสด
-ความชอบ : เล่นฟิตเนส
-ความคาดหวัง : อยากฟิตหุ่น
-ที่อยู่อาศัย : กรุงเทพ
-พฤติกรรม : มักจะออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3 วัน วันละ 2-3 ชั่วโมง
-สื่อที่ใช้ประจำ : Facebook
เมื่อทราบข้อมูลจะทำให้รู้จักเรารู้จักลูกค้ามากขึ้น และ วางแผนการตลาดได้เหมาะสมกับคนๆนั้นมากยิ่งขึ้น
 
ข้อดีของ Persona ที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
ข้อดีของการทำ Persona จะทำให้เห็นภาพของกลุ่มเป้าหมายชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผ่านการคิด ผ่านการพูดคุยกับลูกค้า ให้ได้ออกมาเป็น Persona สำหรับใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อทำให้รู้ว่าการทำการตลาด การวางแผนกลยุทธ์ของคุณเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ อีกทั้งยังทำให้คนอื่นๆมองภาพของกลุ่มเป้าหมาย ตรงกันอีกด้วย ทั้งข้อมูลส่วนตัวต่างๆ สิ่งที่ชอบ พฤติกรรมต่างๆ รวมทั้งปัญหา และ สิ่งที่เขาคาดหวังอีกด้วย
มีประโยชน์ต่อการวางแผน ในการสร้าง Awareness ทำให้คุณรู้จักกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปทำการตลาด รวมทั้งสื่อที่เขาใช้ประจำ เพื่อให้ทราบข้อมูลต่าง ที่ใช้ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ

 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


266

ไม้พาเลททำเฟอร์นิเจอร์ ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง?
ไม้พาเลททำเฟอร์นิเจอร์  สามารถนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านได้ ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นการประยุกต์ไม้พาเลทให้เกิดประโยชน์อีกทางหนึ่ง
การนำ ไม้พาเลททำเฟอร์นิเจอร์ ดีอย่างไร?
เนื่องจากไม้พาเลทมีคุณสมบัติในการรองรับแรงกระแทก แรงกด  จากรูปลักษณ์ของไม้ที่เป็นช่องๆ และ  ประเภทของคานรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบ ขาลูกเต๋า ขาเต็ม และ ขาเว้า สำหรับใช้ในการรองรับน้ำหนักของสินค้าที่มีน้ำหนักมาก   นอกจากจะมีความแข็งแรงแล้ว ยังมีความทนทานสูง สามารถดูแล และ   ซื้อหาได้ง่าย   ทำให้เมื่อนำไปทำเฟอร์นิเจอร์มีความทนทาน   สามารถทาสี หรือ ตัดแต่งได้ง่าย   อีกทั้งถ้าทำเป็นรูปแบบสำเร็จรูป   ก็ทำให้ง่ายต่อการติดตั้ง   จัดวาง ไม่เหมือนเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องมาประกอบเอง
สามารถอ่านบทความ  พาเลทไม้คืออะไรและข้อควรระวัง เพิ่มเติมได้ที่นี่
ควรเลือกไม้พาเลทมือ1 หรือ มือ2 ในการทำเฟอร์นิเจอร์?
สำหรับการเลือกไม้พาเลทในการนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ ก็มีทั้ง มือ1   และ   มือ2  ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน   ทำให้ต้องคำนึงในการเลือกไม้พาเลทให้เหมาะสมกับการนำไปใช้ ว่าไม้พาเลทแบบไหนเหมาะกับการนำไปทำเฟอร์นิเจอร์อะไร
ไม้พาเลทมือ1 จะมีความทนทานแข็งแรงมากกว่า ทั้งการรองรับน้ำหนัก และ ความทนทานต่อการใช้งาน สภาพอากาศ   แมลง   และ สภาวะอื่นๆ   อีกทั้งยังสามารถเลือกประเภทของคานได้อีกด้วย   อีกทั้งยังมีการอัดน้ำยาเพื่อป้องกันเชื้อราได้อีกด้วย  และ ยังมีอายุการใช้งานที่มากกว่า นอกจากนั้นยังมีความเรียบเนียนของเนื้อไม้ สามารถทาสีทับไปได้เรียบเนียน
ไม้พาเลทมือ2   มีความคลาสสิคมากกว่า   เพราะสีไม้จะเปลี่ยนไป และ มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพเนื้อไม้   ทำให้ดูมีความธรรมชาติมากกว่า   ส่วนเรื่องความแข็งแรงอาจจะทนทานน้อยกว่าไม้มือ1   ดังนั้นควรเลือกด้วยความละเอียด
ประเภทเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถนำไปทำได้
ไม้พาเลทสามารถนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ได้หลากหลาย ซึ่งการนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ก็ขึ้นกับการออกแบบ และ ดีไซน์ ของผู้ออกแบบ สามารถทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้
เฟอร์นิเจอร์ในบ้าน
-ห้องนอน   สามารถทำได้ทั้ง เตียง   ตู้   ชั้นวางของ   ผนังแขวนของ   เป็นต้น
-ห้องครัว   สามารถทำได้ทั้ง   ชั้นวางของ   ที่ห้อยของ   ตู้กับข้าว  เป็นต้น
-ห้องนั่งเล่น   สามารถทำได้ทั้ง   ตู้เก็บของ   โต๊ะวางของ   ชั้นวางของ   หรือ ทำให้สร้างสรรค์เป็น   โคมไฟเก๋ๆก็ได้
เฟอร์นิเจอร์นอกบ้าน
-สวนในบ้าน สามารถทำเป็น ชั้นวางต้นไม้   ที่แขวนอุปกรณ์ทำสวน  ตลอดจนทำที่นั่งสำหรับนั่งในสวนก็ได้
สามารถอ่านบทความ  ขนาดและประเภทของไม้พาเลท   เพิ่มเติมได้ที่นี่
ไอเดียการนำ ไม้พาเลททำเฟอร์นิเจอร์ เก๋ๆสำหรับตกแต่งบ้าน

โต๊ะเก๋ๆเท่ห์มีสไตล์
สำหรับการนำ ไม้พาเลทไปทำเฟอร์นิเจอร์   โต๊ะถือว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ยอดฮิตในการนำไป ทำเฟอร์นิเจอร์   เนื่องจากไม้พาเลทสามารถรองรับน้ำหนักได้ดี   อีกทั้งลายไม้ยังให้ความธรรมชาติ ความคลาสสิค   ทำให้ห้องรู้สึกอบอุ่นขึ้นได้อีกด้วย

เตียงน่านอน
ในปัจจุบันคนนิยมที่จะนอนเตียงติดพื้นกันมาก   แต่สำหรับบางคนมันก็ต่ำเกินไป จนทำให้ไม่สะดวกได้   ทั้งการลุก   การลงนอน   แต่ถ้าหากใช้โครงไม้พาเลทในการประยุกต์เป็นเตียง จะทำให้มีความสูงที่เหมาะสมพอดี   อีกทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์จากหัวเตียงได้อีกด้วย   สำหรับติดโคมไฟ   หรือ   ติดกรอบรูป   เป็นต้น

ตู้สารพัดประโยชน์
ตู้เก็บของ ตู้เสื้อผ้า   ชั้นวางของ   ที่ทำจากไม้พาเลท นอกจากจะมีความทนทานสูงแล้วยังสามารถทำได้อีกหลายอย่าง ทั้งใช้ในการห้อยของตกแต่ง   ห้องไม้แขวนเสื้อสำหรับด้านนอกตู้   หรือ   ติดโคมไฟ   อีกทั้งยังสามารถระบายอากาศได้ดีอีกด้วย
ซื้อไม้พาเลทที่ไหนดี?
MTK WOOD เป็นโรงงานสำหรับผลิต และ แปรรูปไม้ยางพาราที่เปิดมายาวนานกว่า   25   ปี   เป็นโรงงานผลิตไม้แปรรูปมาตรฐาน ที่ได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร   ด้วยมาตรฐาน   IPPC   ตั้งแต่การผลิตจนถึงการขนส่ง อีกทั้งยังมีสินค้าและบริการที่หลากหลายอีกด้วย ทำให้มั่นใจว่าจะได้ไม้ที่มีคุณภาพดี ตรงตามสเปคที่ต้องการ   ทั้ง
-ไม้ยางพาราหลากหลายขนาด   และ   ขนาดตามสเปคของลูกค้า
-ไม้พาเลทหลากหลายขนาด  และ   ขนาดตามสเปคของลูกค้า
-ไม้จ๊อยหลากหลายขนาด   และ   ขนาดตามสเปคของลูกค้า
-ไม้นิ้วหลากหลายขนาด   และ   ขนาดตามสเปคของลูกค้า
-บริการคุณภาพ   ทั้ง   บริการรับเลื่อยไม้ ซอยไม้   ,    บริการอัดน้ำยา   , บริการอบแห้งไม้   , บริการจัดส่ง   และ   บริการอื่นๆ
สามารถอ่านบทความ โรงงานไม้ยางพารา   MTK WOOD  ดีอย่างไร เพิ่มเติมได้ที่นี่
หากต้องการทำเฟอร์นิเจอร์ไม้จากไม้พาเลทด้วยตัวเอง   หรือ   ต้องการขนาดที่นอกเหนือจากขนาดทั่วไป  ก็สามารถสั่งทำที่โรงงานของเราได้   ไม้พาเลทคุณภาพต้องไม้พาเลทจากโรงงาน   MTK WOOD
สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม  MTK   ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :  @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


267

ไม้พาเลททำเฟอร์นิเจอร์ ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง?
ไม้พาเลททำเฟอร์นิเจอร์  สามารถนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านได้ ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นการประยุกต์ไม้พาเลทให้เกิดประโยชน์อีกทางหนึ่ง
การนำ ไม้พาเลททำเฟอร์นิเจอร์ ดีอย่างไร?
เนื่องจากไม้พาเลทมีคุณสมบัติในการรองรับแรงกระแทก แรงกด  จากรูปลักษณ์ของไม้ที่เป็นช่องๆ และ  ประเภทของคานรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบ ขาลูกเต๋า ขาเต็ม และ ขาเว้า สำหรับใช้ในการรองรับน้ำหนักของสินค้าที่มีน้ำหนักมาก   นอกจากจะมีความแข็งแรงแล้ว ยังมีความทนทานสูง สามารถดูแล และ   ซื้อหาได้ง่าย   ทำให้เมื่อนำไปทำเฟอร์นิเจอร์มีความทนทาน   สามารถทาสี หรือ ตัดแต่งได้ง่าย   อีกทั้งถ้าทำเป็นรูปแบบสำเร็จรูป   ก็ทำให้ง่ายต่อการติดตั้ง   จัดวาง ไม่เหมือนเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องมาประกอบเอง
สามารถอ่านบทความ  พาเลทไม้คืออะไรและข้อควรระวัง เพิ่มเติมได้ที่นี่
ควรเลือกไม้พาเลทมือ1 หรือ มือ2 ในการทำเฟอร์นิเจอร์?
สำหรับการเลือกไม้พาเลทในการนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ ก็มีทั้ง มือ1   และ   มือ2  ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน   ทำให้ต้องคำนึงในการเลือกไม้พาเลทให้เหมาะสมกับการนำไปใช้ ว่าไม้พาเลทแบบไหนเหมาะกับการนำไปทำเฟอร์นิเจอร์อะไร
ไม้พาเลทมือ1 จะมีความทนทานแข็งแรงมากกว่า ทั้งการรองรับน้ำหนัก และ ความทนทานต่อการใช้งาน สภาพอากาศ   แมลง   และ สภาวะอื่นๆ   อีกทั้งยังสามารถเลือกประเภทของคานได้อีกด้วย   อีกทั้งยังมีการอัดน้ำยาเพื่อป้องกันเชื้อราได้อีกด้วย  และ ยังมีอายุการใช้งานที่มากกว่า นอกจากนั้นยังมีความเรียบเนียนของเนื้อไม้ สามารถทาสีทับไปได้เรียบเนียน
ไม้พาเลทมือ2   มีความคลาสสิคมากกว่า   เพราะสีไม้จะเปลี่ยนไป และ มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพเนื้อไม้   ทำให้ดูมีความธรรมชาติมากกว่า   ส่วนเรื่องความแข็งแรงอาจจะทนทานน้อยกว่าไม้มือ1   ดังนั้นควรเลือกด้วยความละเอียด
ประเภทเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถนำไปทำได้
ไม้พาเลทสามารถนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ได้หลากหลาย ซึ่งการนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ก็ขึ้นกับการออกแบบ และ ดีไซน์ ของผู้ออกแบบ สามารถทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้
เฟอร์นิเจอร์ในบ้าน
-ห้องนอน   สามารถทำได้ทั้ง เตียง   ตู้   ชั้นวางของ   ผนังแขวนของ   เป็นต้น
-ห้องครัว   สามารถทำได้ทั้ง   ชั้นวางของ   ที่ห้อยของ   ตู้กับข้าว  เป็นต้น
-ห้องนั่งเล่น   สามารถทำได้ทั้ง   ตู้เก็บของ   โต๊ะวางของ   ชั้นวางของ   หรือ ทำให้สร้างสรรค์เป็น   โคมไฟเก๋ๆก็ได้
เฟอร์นิเจอร์นอกบ้าน
-สวนในบ้าน สามารถทำเป็น ชั้นวางต้นไม้   ที่แขวนอุปกรณ์ทำสวน  ตลอดจนทำที่นั่งสำหรับนั่งในสวนก็ได้
สามารถอ่านบทความ  ขนาดและประเภทของไม้พาเลท   เพิ่มเติมได้ที่นี่
ไอเดียการนำ ไม้พาเลททำเฟอร์นิเจอร์ เก๋ๆสำหรับตกแต่งบ้าน

โต๊ะเก๋ๆเท่ห์มีสไตล์
สำหรับการนำ ไม้พาเลทไปทำเฟอร์นิเจอร์   โต๊ะถือว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ยอดฮิตในการนำไป ทำเฟอร์นิเจอร์   เนื่องจากไม้พาเลทสามารถรองรับน้ำหนักได้ดี   อีกทั้งลายไม้ยังให้ความธรรมชาติ ความคลาสสิค   ทำให้ห้องรู้สึกอบอุ่นขึ้นได้อีกด้วย

เตียงน่านอน
ในปัจจุบันคนนิยมที่จะนอนเตียงติดพื้นกันมาก   แต่สำหรับบางคนมันก็ต่ำเกินไป จนทำให้ไม่สะดวกได้   ทั้งการลุก   การลงนอน   แต่ถ้าหากใช้โครงไม้พาเลทในการประยุกต์เป็นเตียง จะทำให้มีความสูงที่เหมาะสมพอดี   อีกทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์จากหัวเตียงได้อีกด้วย   สำหรับติดโคมไฟ   หรือ   ติดกรอบรูป   เป็นต้น

ตู้สารพัดประโยชน์
ตู้เก็บของ ตู้เสื้อผ้า   ชั้นวางของ   ที่ทำจากไม้พาเลท นอกจากจะมีความทนทานสูงแล้วยังสามารถทำได้อีกหลายอย่าง ทั้งใช้ในการห้อยของตกแต่ง   ห้องไม้แขวนเสื้อสำหรับด้านนอกตู้   หรือ   ติดโคมไฟ   อีกทั้งยังสามารถระบายอากาศได้ดีอีกด้วย
ซื้อไม้พาเลทที่ไหนดี?
MTK WOOD เป็นโรงงานสำหรับผลิต และ แปรรูปไม้ยางพาราที่เปิดมายาวนานกว่า   25   ปี   เป็นโรงงานผลิตไม้แปรรูปมาตรฐาน ที่ได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร   ด้วยมาตรฐาน   IPPC   ตั้งแต่การผลิตจนถึงการขนส่ง อีกทั้งยังมีสินค้าและบริการที่หลากหลายอีกด้วย ทำให้มั่นใจว่าจะได้ไม้ที่มีคุณภาพดี ตรงตามสเปคที่ต้องการ   ทั้ง
-ไม้ยางพาราหลากหลายขนาด   และ   ขนาดตามสเปคของลูกค้า
-ไม้พาเลทหลากหลายขนาด  และ   ขนาดตามสเปคของลูกค้า
-ไม้จ๊อยหลากหลายขนาด   และ   ขนาดตามสเปคของลูกค้า
-ไม้นิ้วหลากหลายขนาด   และ   ขนาดตามสเปคของลูกค้า
-บริการคุณภาพ   ทั้ง   บริการรับเลื่อยไม้ ซอยไม้   ,    บริการอัดน้ำยา   , บริการอบแห้งไม้   , บริการจัดส่ง   และ   บริการอื่นๆ
สามารถอ่านบทความ โรงงานไม้ยางพารา   MTK WOOD  ดีอย่างไร เพิ่มเติมได้ที่นี่
หากต้องการทำเฟอร์นิเจอร์ไม้จากไม้พาเลทด้วยตัวเอง   หรือ   ต้องการขนาดที่นอกเหนือจากขนาดทั่วไป  ก็สามารถสั่งทำที่โรงงานของเราได้   ไม้พาเลทคุณภาพต้องไม้พาเลทจากโรงงาน   MTK WOOD
สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม  MTK   ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :  @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


268

รีโมท GoPro ตัวใหม่จากค่าย Mentagram "The Remote"
สิ้นสุดการรอคอยกับ รีโมท GoPro ตัวใหม่ล่าสุดจากทางค่าย Mentagram ในวันที่ 17 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งเปิดตัว "The Remote" รีโมทไร้สาย ที่มาพร้อมกับความสามารถที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งการอัพเดทเฟิร์มแวร์ตัวใหม่ ความทนทาน การควบคุมที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น และ ยังรองรับการใช้งานคู่กับ GoPro 9 เฟิร์มแวร์ใหม่ล่าสุด ver 1.5 ที่ช่วยให้ประสิทธิภาพในการใช้งานดียิ่งขึ้น โดยปัจจุบันได้ทำหารจำหน่ายในอเมริกาเหนือเท่านั้น และ จะจัดจำหน่ายทั่วโลกในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นี้
ในกล่องให้อะไรมาบ้าง ?
ภายในกล่องจะมีอุปกรณ์เหมือนกับรีโมทรุ่นก่อนๆ ดังนี้
-The Remote X 1
-สายรัดข้อมือ X 1
-สาย USB-C X 1
นอกจากรีโมทจะสามารถใส่กับข้อมือด้วยสายรัดข้อมือได้แล้ว ยังสามารถติดเข้ากับแฮนด์จักรยาน ไม้เซลฟี่ และ อุปกรณ์อื่นๆได้อีกด้วย อีกทั้งยังมีความทนทานสูง
Design รีโมท GoPro

รูปทรงภายนอก ตัวเครื่องเป็นสีดำเรียบหรู มีขนาดเหมาะมือ สามารถติดเข้ากับข้อมือ หรือ อุปกรณ์อื่นๆได้ หน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงแบบทัสกรีน และ ปุ่มสัมผัสแบบนูนทั้งหมด 3 ปุ่ม ดังต่อไปนี้
-ปุ่มโหมด สำหรับเลือกโหมดต่างๆในการถ่ายภาพ และ วิดีโอ
-ปุ่มตั้งค่า สำหรับตั้งค่าโหมดต่างๆ
-ปุ่มสำหรับถ่าย สำหรับกดถ่ายภาพ และ วิดีโอ
หากใครที่ไม่ชอบกดปุ่มสำหรับตั้งค่า หรือ เลือกโหมดเอง สามารถทำการทัสกรีนหน้าจอได้เลย
สเปค รีโมท GoPro

-หน้าจอความละเอียดสูง ขนาดใหญ่ แบบทัสกรีน ทำให้สามารถใช้ตรวจสอบสถานะของกล้องได้ง่ายมากขึ้น
-สามารถกันน้ำได้ถึง 16 ฟุต
-สามารถควบคุมกล้องพร้อมกันได้สูงสุด 5 ตัว
-สามารถควบคุมกล้องได้ในรัศมี 200 ฟุต
-การใช้งานบลูทูธ พลังงานต่ำ ทำให้เพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่รีโมท และ แบตเตอรี่กล้องได้อีกด้วย
สามารถใช้งามร่วมกับ GoPro 9 , GoPro Hero 8 , GoPro MAX และ GoPro รุ่นอื่นๆได้
เมื่อใช้งานร่วมกับ GoPro Hero 9 เฟิร์มแวร์เวอร์ชั่น 1.5 จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของกล้อง

-ช่วยให้ถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วขึ้นถึง 30% เมื่อใช้ผ่าน GoPro App ไปยังสมาร์ทโฟน
-ทำให้ประสิทธิภาพในการถ่าย HyperSmooth 3.0 ดีมากยิ่งขึ้น
-สามารถใช้งานโหมด Slowmotion ได้ง่ายมากขึ้นผ่านปุ่มเมนูลัด
-ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการค้นหาของ GPS มากยิ่งขึ้น
-ช่วยทำให้สามารถจับคู่ได้ง่าย และ รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆ
-รองรับการใช้งานไมโครโฟน ขนาด 3.5 มม. ผ่านอะแดปเตอร์
-รองรับการสตรีมแบบสดมากยิ่งขึ้นด้วย MAX Lens Mod ที่มาพร้อมประสิทธิภาพที่ช่วยให้การ-ถ่ายภาพและวิดีโอของคุณดีมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังทำให้มุมมอง Max SuperView กว้างขึ้นถึง 155 องศา
สำหรับรุ่นอื่นๆ GoPro Hero 8 จะช่วยให้ความเร็วในการถ่ายโอนเพิ่มขึ้นถึง 15% และ GoPro MAX ถ่ายโอนเร็วขึ้น 20%
สำหรับใครที่ยังไม่อัพเดทเฟิร์มแวร์ สามารถอ่านบทความ Firmware GoPro 9 ver 1.5 แบบเต็มๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ และ สำหรับใครที่ต้องการจะอัพเดทเฟอร์มแวร์ สามารถอ่าน บทความ อัพเดท GoPro วิธีในการอัพเดท เพิ่มเติมได้ที่นี่
ราคา
สำหรับราคาที่วางจำหน่ายที่อเมริกาเหนือ ในราคา $79.99 หรือ ถ้าเทียบเป็นเงินไทยราคาประมาณ 2,400 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เท่ากับรีโมทรุ่นก่อนหน้านี้
เปิดตัวในไทย
สำหรับคนที่กำลังรอ ให้อดใจรออีกนิด เพราะสินค้าจะเข้าไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี หรือ ประมาณช่วงเดือน กุมภาพันธ์ 2021 นี้ อดใจรออีกนิดนะ!!!
 
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


269

สิ้นสุดการรอคอย Firmware GoPro 9 ใหม่สำหรับผู้ใช้งานโกโปร!!!
Firmware GoPro 9 ใหม่ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดที่ได้มีการพัฒนาคุณสมบัติให้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังพัฒนาให้สามารถทำงานร่วมกับ GoPro smart remote ได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงให้สามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้ดียิ่งขึ้น ด้วยเวอร์ชั่น 1.5 แต่จะมีอะไรอัพเดตบ้าง ต้องไปอ่านในบทความกันเลย!!!
Firmware GoPro 9 ใหม่ มีอะไรอัพเดทบ้าง!!!
สิ้นสุดการรอคอยกับเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด อย่างเวอร์ชั่น 1.5 ซึ่งเป็นเฟิร์มแวร์ที่มาซับพอร์ตตัว GoPro 9 ซึ่งเป็นโกโปรน้องใหม่ล่าสุด ที่พึ่งเปิดตัวไปในเดือนกันยายนที่ผ่านมา อย่างที่รู้ๆกันว่า GoPro 9 มีความสามารถในเรื่องของการการถ่ายภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น ความละเอียดที่มากยิ่งขึ้น เซนเซอร์ตัวใหม่ ระบบปฏิบัติการที่ดีมากขึ้น แต่ไม่เพียงแค่นั้น ในเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่นนี้จะทำให้กล้องสามารถใช้งานได้ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น แต่จะสามารถทำอะไรได้บ้างไปดูกันเลย

การใช้งานกับอุปกรณ์เสริมที่ดียิ่งขึ้น
เมื่อมีการอัพเดทเฟิร์มแวร์ให้เป็นเวอร์ชั่น 1.5 จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับตัวเครื่อง ให้สามารถใช้งานได้ดีกว่าเดิม ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้จะทำให้สามารถใช้งานได้ดียิ่งโดยเฉพาะกับ GoPro 9
-สามารถในการใช้งานคู่กับ The remote ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมโกโปรรุ่นใหม่ล่าสุด ทำให้สามารถใช้งานคู่กับกล้องโกโปรได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถใช้ได้กับ GoPro 9 , GoPro 8 และ GoPro MAX
-สามารถในการใช้งานกับ Pro 3.5 Mic Adaptor ซึ่งเป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อไมโครโฟนภายนอก ที่ทำให้คุณภาพเสียงที่ได้คมชัดยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีช่องต่อขนาด 3.5 มิลลิเมตร และ เป็น USB-C อีกด้วย

การเพิ่มความสามารถ
นอกจากการอัพเดทเฟิร์มแวร์จะทำให้สาามารถใช้งานคู่กับอุปกรณ์เสริมได้ดียิ่งขึ้นแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความสามารถให้กับอุปกรณ์อีกด้วย ถึงแม้ตัวของ GoPro จะใช้งานได้ดีอยู่แล้ว แต่การอัพเดทเฟิร์มแวร์จะทำให้กล้องใช้งานได้ดีขึ้นไปอีก ด้วยโหมดต่างๆ
-เพิ่มความสามารถของ HyperSmooth ถึงแม้โหมด HyperSmooth ของโกโปรจะมีคุณสมบัติในการกันสั่นที่เยี่ยมยอด แต่หากทำการอัพเดทเฟิร์มแวร์จะยิ่งทำให้สามารถใช้งานโหมด HyperSmooth ได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น HyperSmooth 2.0 ใน GoPro 8 หรือ HyperSmooth 3.0 ใน GoPro 9 ในอุณหภูมิเย็น อีกด้วย
-เพิ่มความสามารถในการทำงานของ GPS ระบบระบุตำแหน่ง หรือ ระบบ GPS ในโกโปรเป็นระบบที่ดี แต่จะดีกว่าหรือไม่ ถ้าการอัพเดทเฟิร์มแวรืจะช่วยเพิ่มความแม่นยำของระบบ GPS มากยิ่งขึ้น นอกจากการระบุตำแหน่งจะแม่นยำขึ้นแล้ว ยังรวมไปถึงความรวดเร็วในการระบุตำแหน่งอีกด้วย
-เพิ่มความสามารถในการ Live Streaming ร่วมกับ MAX Lens Mod การอัพเดทเฟิร์มแวร์จะทำให้การรองรับไลฟ์สตรีมแบบสดดียิ่งขึ้น เพิ่มความเสถียรในการไลฟ์ อีกทั้งใน GoPro 9 ยังสามารถใช้งานร่วมกับ MAX Lens Mod ที่สามารถทำให้ถ่ายภาพได้กว้างยิ่งขึ้น ในมุมมอง SuperView ถึง 155 องศา รวมทั้งระบบกันสั่นของ MAX HyperSmooth ถึง 2.7K60 อีกทั้งยังทำให้ถ่ายวิดีโอ TimeWarp และ การล็อคขอบฟ้าของกล้องในการสตรีม ได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ปรับปรุงการใช้งานให้ดีขึ้น
นอกจากจะทำให้สามารถใช้งานกับอุปกรณ์เสริมได้แล้ว เป็นการเพิ่มความสามารถในการใช้งานโหมดต่างๆของ GoPro ให้ดีขึ้นกว่าเก่า และ ยังช่วยในการปรับปรุงการใช้งานให้ดีกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งจะช่วยในการใช้งานของอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น
-ปรับปรุงการใช้งาน Scheduled Capture ที่สามารถตั้งเวลาถ่ายภาพล่วงหน้าได้ 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังสามารถตั้งการปิดเปิดอัตโนมัติ ให้ซับพอร์ตการใช้งานกว่าเดิม เพื่อแก้ไขให้สามารถใช้งานได้ดีมากยิ่งขึ้น
-แก้ไข Bug Fix ในการใช้งาน เนื่องจากพอใช้งานไปแล้วจะพบ Bug ของอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็น กดโหมดต่างๆ แล้วไม่มีการเปลี่ยนโหมด หรือ มีการค้างของอุปกรณืระหว่างการใช้งาน ซึ่งการอัพเดทเฟิร์มแวร์ให้ล่าสุดอยู่เสมอๆ จะช่วยในเรื่องของการใช้งาน และ เพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวเครื่องมากยิ่งขึ้น
-เชื่อมต่อ GoPro App ได้เร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากการอัพเดทเฟิร์มแวร์จะสามารถอัพเดทได้หลายวิธี ซึ่งก็มีวิธีที่ต้องอาศัยการเชื่อมต่อกับ GoPro App นอกจากการอัพเดทจะช่วยให้การทำงานบนอุปกรณ์ GoPro ดีขึ้นแล้ว ยังรวมไปถึงการใช้งานกับ GoPro App อีกด้วย ทำให้มีความรวดเร็ว และ เสถียรกว่าเดิม
สามารถอ่านบทความ อัพเดท GoPro (Firmware GoPro) วิธีง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเอง เพิ่มเติมได้ที่นี่
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


270

วิธีใช้ Google Trend เพื่อเช็ค trend ปัจจุบัน!!!
ถ้าพูดถึงเทรนด์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา จนทำให้ใครหลายๆคน หลายๆธุรกิจต้องมีการปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลง แต่จะรู้ได้ยังไงว่าในตอนนี้เทรนด์ในปัจจุบันของสินค้าและบริการของคุณเป็นอย่างไร บทความนี้จึงนำเสนอ วิธีใช้ Google Trend ที่จะทำให้คุณสามารถเช็คเทรนด์ในปัจจุบันได้ ไปอ่านกันเลย!!!
 
Highlight Google Trend ที่ต้องรู้!!!
-Google Trend คืออะไร?
-Google Trend สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ?
-วิธีใช้Google Trend ให้ธุรกิจปัง
 
Google Trend คืออะไร ?
ถ้าพูดถึงเว็บไซน์ที่คนส่วนใหญ่เข้าไปค้นหาสิ่งต่างๆบนโลกอินเทอร์เน็ต หรือ ที่เรามักจะเรียกว่า Search Engine จะพบว่าคนส่วนใหญ่มากกว่า 36 ประเทศจะใช้การค้นหาผ่านเว็บไซต์ Google มากที่สุด เนื่องจากระบบบริการต่างๆที่เข้ามาซับพอร์ตการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นฐานข้อมูลเว็บไซต์ที่มากกว่าช่องทางอื่นๆ ระบบของการรองรับภาษาที่มากกว่า 80 ภาษา อีกทั้งข้อมูลต่างๆ ที่มีการอัพเดตใหม่ๆอยู่เสมอ ทำให้ Google เป็นหนึ่งในช่องทางยอดนิยมในการทำการตลาด ทำธุรกิจต่างๆ นอกจากนั้น Google ยังมีเครื่องมืออีกตัวหนึ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แค่คนทำธุรกิจอย่างมาก นั้นก็คือ Google Trend นั้นเอง

Google Trend คือ หนึ่งในเครื่องมือบนเว็บไซต์ Google ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มของ Keyword ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ สำหรับการค้นหาบน Search Engine ต่างๆ โดยเฉพาะบน Google โดยจะใช้การค้นหา Keyword บนเว็บไซต์ต่างๆ ในการคำนวณ และ แสดงผลสถิติเพื่อทำการเปรียบเทียบตามประเภทของหัวข้อนั้นๆ ซึ่งสามารถกำหนดช่วงเวลา กำหนดพื้นที่ที่ต้องการได้อีกด้วย เพื่อดูพฤติกรรมหารค้นหาว่าคนส่วนใหญ่จะค้นหาอะไรกัน
 

Google Trend สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ?
อยากที่ได้บอกไปว่า Google Trend จะสามารถทำให้คุณรู้พฤติกรรมการค้นหาของคนส่วนใหญ่ได้ ว่าเขาต้องการอะไร เพื่อนำมาปรับใช้ในการทำการตลาดของธุรกิจคุณ นั้นทำให้ Google Trend มีความสำคัญต่อธุรกิจ เนื่องจากข้อมูลที่แสดงสถิติต่างๆ ซึ่งเมื่อนำมาวิเคราะห์จะทำให้เรามีข้อมูลในการทำการตลาดอยู่ในมือมากกว่าคนอื่น ทำให้เราสามารถวางแผนการตลาดได้ดีกว่าคนที่ไม่มีข้อมูล เพื่อช่วยในการทำการตลาดในหลายๆช่องทาง ทั้งการยิง Ads หรือ การทำSEO เป็นต้น เปรียบดังสุภาษิต "รบ100ครั้ง ก็ชนะ100ครั้ง" นั้นเอง
สามารถอ่านบทความ ช่องทางการทำ Digital marketing เพิ่มเติมได้ที่นี่
 
 

วิธีใช้ Google Trend ให้ธุรกิจปัง!!!

1.ใส่สิ่งที่ต้องการทราบข้อมูล ในช่อง Search Term ซึ่งสามารถใส่ได้สูงสุดถึง 5 Keyword เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบ อีกทั้ง Keyword ในแต่ละอันควรจะมีขอบเขตที่ใกล้กันและไม่กว้างจนเกินไป เช่น รองเท้ากีฬา เสื้อกีฬา กระเป๋ากีฬา เป็นต้น เพื่อดูว่าใน Keyword อุปกรณ์เกี่ยวกับกีฬาอันไหนคนให้ความสนใจมากกว่ากัน
2.ใส่ประเทศ ที่ต้องการทราบข้อมูล อาจจะดูเทรนด์จากต่างประเทศเพื่อนำมาประยุกต์กับเทรนด์ที่ประเทศไทย การระบุประเทศจะทำให้ขอบเขตในการวิเคราะห์สถิติ
3.ใส่ช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นปีก่อนหน้า หรือ แนวโน้นสามเดือนที่ผ่านมา ก็สามารถทำได้ แนะนำให้กำหนดช่วงเวลาที่ไม่ไกลจนเกินไปเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน
4.ใส่หมวดหมู่ เนื่องจาก Keyword บางอย่างสามารถอยู่ได้หลากหลายหมวดหมู่ หรือ อาจจะมีชื่อที่ซ้ำกัน เพื่อกันความผิดพลาดเลยจะต้องระบุหมวดหมู่ที่ต้องการด้วย เช่น หมวดกีฬา หรือ เกมส์ เป็นต้น
5.ใส่แหล่งข้อมูลที่เราต้องการค้น เพื่อเป็นการเจาะจำเพาะการค้นหา ในกรณีต้องการเปรียบเทียบแบบชัดๆ เช่น เว็บไซต์เทียบเว็บไซต์ เป็นต้น

เมื่อทำการใส่ข้อมูลเรียบร้อยจะถูกแสดงผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบของกราฟสถิติ ที่บอกแนวโน้มการเพิ่มขึ้น และ ลดลง นอกจากที่ Google Trend จะสามารถดูเปรียบเทียบ Keyword ต่างๆได้แล้ว ยังสามารถเปรียบเทียบ Keyword เดียวกันกับประเทศอื่นๆได้อีกด้วย
-โดยการใส่ Keyword คำเดิมอีกรอบที่ Search Term
-จากนั้นจะเห็นว่ากราฟที่ออกมาทับกันอยู่
-ให้ทำการคลิกที่เมนูจุดสามจุด ที่อยู่ตรง Search Term อันที่สอง
-จากนั้นให้เลือก Change Filters เพื่อทำการเลือกประเทศที่เราต้องการเปรียบเทียบ ก็จะทำให้รู้ว่า สองประเทศนี้มีแนวโน้มอย่างไรต่อ Keyword นั้นๆ


แค่นี้คุณก็สามารถที่จะรู้เทรนด์ในปัจจุบันได้ ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น คุณยังสามารถดูเทรนด์ประเทศอื่นๆได้อีกด้วย ง่ายมากเลยใช่ไหมละ เพียงแค่นี้คุณก็สามารถกลายเป็นผู้ที่ตามเทรนด์ปัจจุบันทันแล้ว อย่าพลาดโอกาสในการทำการตลาดออนไลน์ง่ายๆ ที่คุณก็สามารถทำได้
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


271

เคลม GoPro ด้วยตัวเอง วิธีง่ายๆใครก็ทำได้!!!
กล้อง GoPro เป็นกล้องที่มีความทนทานสูง เหมาะสำหรับใช้ในการถ่ายภาพไม่ว่าจะเป็นในน้ำ หรือ บนบกก็ตาม แต่หากกล้องโกโปรเสียขึ้นมาก้ไม่รู้จะซ่อมที่ไหนดี อีกทั้งจะส่งไปเคลมก็ยุ่งยาก บทความนี้มีวิธี เคลม GoPro ง่ายๆที่สามารถทำด้วยตัวเองง่ายๆมาบอก ไปดูกันเลย
เงื่อนไขการรับประกัน GoPro
ก่อนที่จะทำการส่งGoPro ไปเคลม สิ่งแรกที่เราจะต้องทำก็คือ การดูเงื่อนไขในการรับประกันว่ากล้องโกโปรที่เสียของคุณ อยู่ในเงื่อนไขหรือไม่ ถ้าหากอยู่ในเงื่อนไขการเคลมก็สามารถส่งเคลมได้ แต่จะเข้าเงื่อนไขที่ห้ามหรือไม่ ไปดูกันเลยว่าจะมีอะไรกันบ้าง
-การรับประกันสินค้ามีผลเฉพาะลูกค้าที่มีชื่อในใบประกันเท่านั้น และ ไม่สามารถโอนสิทธิ์ให้คนอื่นได้
-เมื่อทำการติดต่อประกันสินค้า จะต้องแสดงใบรับประกันทุกครั้ง
-ใบรับประกันจะมีผลเมื่อกรอกข้อมูลในใบรับประกัน และ ส่งคืนมายังบริษัท ภายใน 3 สัปดาห์ (นับตั้งแต่วันที่ซื้อ)
-เวลาในการรับประกันคือ 1 ปี (เฉพาะในกรณีตัวกล้องและสินค้าใหม่เท่านั้น) ซึ่งจะต้องเกิดจากความผิดพลาดในการผลิต ไม่ใช่เกิดจากอุบัติเหตุ หรือ โดยจงใจ
-ประกัน GoPro ไม่ครอบคลุมความเสียหายที่มาจาก การใช้งานที่ผิดวิธี ความสึกหรอระหว่างการใช้งาน และ ความเสียหายจากการดัดแปลง ซ่อมแซ่ม
กล้อง GoPro ไม่รับประกันการกันน้ำ
-ในกรณีที่สินค้าชำรุด ให้แจ้งผู้ขายล่วงหน้าก่อนทำการส่งสินค้ามาซ่อม
-ในกรณีที่ทำการซ่อมจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
สามารถอ่านบทความ วิธีลงประกัน GoPro ได้ที่นี่
วิธีในการ เคลม GoPro ทำอย่างไร?
หากกล้องโกโปรของคุณอยู่ในเงื่อนไขการรับประกัน สามารถเคลมโกโปรได้ 2 วิธี ดังต่อไปนี้
-ไปเคลมเองที่บริษัท Mentagram
-ส่งพัสดุเข้าไปที่บริษัท
 
วิธีที่1-การไปเคลมเองที่บริษัท Mentagram

1.ติดต่อบริษัท
ก่อนที่จะเข้าไปเคลมเองที่บริษัท ให้ทำการติดต่อกับทางบริษัทเมนตาแกรมเสียก่อนที่จะเข้าไปเคลม ผ่านทาง Facebook หรือ ทางโทรศัพท์ ตามที่สะดวก
-Facebook : Mentagram
-Tel : 02-637-5493

2.เตรียมเอกสารที่ต้องใช้
หลังจากที่ติดต่อบริษัทเรียบร้อยแล้ว ให้เตรียมเอกสารที่ต้องใช้สำหรับการเคลมโกโปร ซึ่งจะต้องเตรียมให้ครบเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการเคลม
-บัตรประชาชน หรือ ใบขับขี่
-บัตรรับประกัน
-ใบเสร็จรับเงิน
-กล้องพร้อมแพ็คเกจ

3.สถานที่ในการเข้าไปเคลม
เมื่อเตรียมเอกสารเรียบร้อย ให้นัดวันที่จะเข้าไป และ นำวัสดุเข้าไปเคลมที่บริษัท
-สถานที่ตั้ง : บริษัท เมนทาแกรม จำกัด 968 อาคารอื้อจื่อเหลียง ชั้น 5 ถ.พระราม 4 แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
-เบอร์โทรศัพท์ : 02-095-3843,02-095-3844

4.ใบเคลมและการติดตาม
เมื่อเราทำการส่งเครื่องไปเคลมกับบริษัทแล้ว ทางเมนตาแกรมจะออกใบรับเครื่องให้ และ เราสามารถทำการติดตามสถานะการเคลมทาง Inbox ของทางเพจ Mentragram
วิธีที่2-การส่งพัสดุเข้าไปเคลมที่บริษัท

1.ติดต่อบริษัท
ให้ทำการติดต่อบริษัทผ่านทาง Inbox ของเพจ Mentragram เพื่อแจ้งอาการของโกโปรเบื้องต้น เพื่อเตรียมที่จะทำการส่งเครื่องไปเคลม

2.เตรียมเอกสารที่ต้องใช้
ในการส่งกล้องโกโปรไปทางไปรษณีย์ จะต้องเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เพื่อความรวดเร็วในการเคลม มีเอกสารที่ต้องเตรียมดังต่อไปนี้
-สำเนาบัตรประชาชน
-สำเนาบัตรรับประกัน
-สำเนาใบเสร็จรับเงิน
***ควรที่จะเซ็นสำเนาถูกต้องให้ครบถ้วน และ ส่งมาพร้อมกับตัวกล้องที่จะทำการเคลม***

3.ส่งพัสดุไปเคลม
ให้ทำการแพ็คพัสดุให้เรียบร้อย และ ให้ทำการส่งพัสดุไปตามที่อยู่ของเมนตาแกรม อย่าลืมที่จะส่งกล้องไปพร้อมกับเอกสารที่จะต้องใช้ ไปที่
-บริษัท เมนทาแกรม จำกัด 968 อาคารอื้อจื่อเหลียง ชั้น 5 ถ.พระราม 4 แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500

ให้ทำการติดตามพัสดุ และ เมื่อสินค้าถึงให้ทำการโทรไปตรวจสอบกับทางบริษัท เป็นระยะๆ ในการส่งกล้องไปเคลม ควรเอา SD Card ออกให้เรียบร้อย เนื่องจากถ้าเกิดศูนย์หายทางบริษัท Mentragram จะไม่รับผิดชอบ ในส่วนนี้ และ สำหรับอุปกรณ์หรือแพ็คเกจที่ส่งเคลมจะไม่ได้กล่องใหม่

ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


272

ช่องทางการทำ Digital marketing มีอะไรบ้าง?
คุณรู้หรือไม่ว่า ช่องทางการทำ Digital marketing เข้ามามีบทบาท เนื่องจากธุรกิจเปลี่ยนมาเป็นแบบดิจิทัลมากขึ้น อีกทั้งช่องทางโซเชียลมีเดียยังมีหลากหลายมาก ทำให้คนทำธุรกิจควรที่จะรู้จักช่องทางในการทำการตลาดมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้แก่ธุรกิจของคุณ
Highlight การทำSEO ที่ต้องรู้!!!
-ช่องทางการทำDigital marketingทำไมถึงสำคัญ?
-ช่องทางการทำDigital marketingมีอะไรบ้าง?
ช่องทางการทำ Digital marketing ทำไมถึงสำคัญ?
เมื่อพูดถึง Digital marketing สิ่งแรกๆที่คนมักจะนึกถึงเลยก็คือช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในช่องทางการทำการตลาดบนโลกออนไลน์เท่านั้น ช่องทางการทำการตลาดออนไลน์เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้ ถึงแม้องค์ประกอบต่างๆในการทำการตลาดของคุณจะพร้อม มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ทำแผนการตลาดมาดี แต่เพียงขาดช่องทางที่ทำให้คนรู้จักธุรกิจ สินค้าและบริการของคุณ ก็เท่ากับว่าคุณทำการตลาดไม่ประสบความสำเร็จ

การที่เรารู้จักช่องทางในการทำการตลาดออนไลน์เยอะๆ เป็นการ ช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโต มากยิ่งขึ้น ควรจะดูว่าธุรกิจของคุณ เหมาะสำหรับการทำการตลาดช่องทางไหนบ้าง และ ควรที่จะต้องรู้ว่าช่องทางไหนมีข้อดีข้อเสียอย่างไร เพื่อที่จะสามารถเลือกใช้ให้เข้ากับธุรกิจของคุณได้
สามารถอ่านบทความ การตลาดออนไลน์ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ช่องทางการทำ Digital marketing มีอะไรบ้าง?
ช่องทางการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันหลายช่องทาง ซึ่งแต่ละช่องทางก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง และ มีประโยชน์ที่แตกต่างกัน ซึ่งช่องทางการทำการตลาดออนไลน์ มีดังต่อไปนี้

1.Social Media
โซเชียลมีเดีย ช่องทางในการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ยอดนิยมเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบันเป็นช่องทางที่ใช้งานได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถทำการตลาดได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะในรูปของ บทความ รูปภาพ หรือ สื่อวิดีโอ ซึ่งโซเชียลมีเดียยอดนิยมมีดังต่อไปนี้
-Facebook
-Youtube
-WhatsApp
-Twitter
-Instagram
หน้าที่ - โซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นช่องทางที่เน้นการขายสินค้าเป็นหลัก  แต่เป็นรูปแบบของช่องทางการทำให้ธุรกิจ สินค้าและบริการเป็นที่รู้จัก ผ่านบทความ รูปภาพ วิดีโอ ที่ถูกเขียน ถูกแชร์บนโลกออนไลน์ นอกจากนั้นยังมีการยิงแอด (Ads) หรือ ยิงโฆษณาสินค้าให้ลูกค้าเห็นมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการนำคนเข้าไปที่ช่องทางอื่นๆของเราอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Website , Shopee , Line และ ช่องทางอื่นๆ เป็นต้น
เหมาะกับ - ช่องทางโซเชียลมีเดียเหมาะกับธุรกิจทุกธุรกิจ ธุรกิจที่พึ่งเริ่มต้น และ อยากให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จัก เนื่องจากสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งยังใช้เงินในการทำการตลาดน้อยกว่าช่องทางอื่นๆ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นช่องทางที่มีเปิดให้ใช้ได้ฟรี

2.Google
ถ้าพูดถึงช่องทางในการค้นหา หลายๆคนจะนึกถึงเว็บไซต์ Google เป็นอันดับแรกๆแน่ๆ นอกจากจะไว้ใช้ประโยชน์ในการค้นหาแล้ว กูเกิ้ลยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่มีประโยชน์มากในการทำ Digital marketing และ ช่องทางโฆษณาออนไลน์ต่างๆ ผ่านการค้นหาคำที่เป็น Keyword ซึ่งจะมีการทำอยู่ 2 ช่องทาง
-Search Engine Optimization หรือ SEO
-Search Engine Marketing หรือ SEM
หน้าที่ - SEO (Search Engine Optimization) ที่เป็นการทำการตลาดให้ติดอันดับดีๆบนหน้า Google ซึ่งอาศัยการไต่อันดับผ่าน Keyword และ SEM (Search Engine Marketing) เป็นการซื้อโฆษณาบนกูเกิ้ล ทำให้เว็บไซต์ และ สินค้าของคุณติดหน้าหนึ่งบนกูเกิ้ล ซึ่งเป็นการซื้อ Keyword ยิ่งคำนั้นถูกค้นหาเยอะๆ คำนั้นจะยิ่งแพง และ เมื่อหยุดจ่ายอันดับจะกลับไปแบบเดิม
การทำ SEO และ SEM ให้ได้อันดับดี เป็นเหมือนต้นทางที่จะนำคนเข้าไปใน"เว็บไซต์"ของคุณ ทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักอีกด้วย
เหมาะกับ - ธุรกิจที่ต้องการถูกเจอบน Search Engine หรือ ต้องการให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก ติดอันดับดีๆบนกูเกิ้ล ต้องการให้คนเข้าไปเว็บไซต์ของคุณเยอะๆ เนื่องจากเป็นช่องทางที่มาจาก การค้นหาผ่าน Keyword นั้นเอง
สามารถอ่านบทความ SEO SEM คืออะไร เหมือนหรือต่างกันยังไง และ เว็บไซต์มีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจ เพิ่มเติมได้ที่นี่

3.Video Marketing
เนื่องจากในปัจจุบันเข้าสู่ยุคที่คนต้องการอะไรที่กระชับ เร่งรีบ ซึ่งการทำการตลาดก็เช่นกัน การทำการตลาดในรูปแบบวิดีโอ ถือว่าเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอาศัยช่องทางที่สามารถลงวิดีโอได้
-Youtube
-Facebook
-Website
หน้าที่ - ใช้สำหรับโปรโมทสินค้า และ บริการ ผ่านคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอ ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบของ video content ที่เป็นทั้งวิดีโอสั้นๆ และ วิดีโอยาวๆ เพื่อทำให้คนดูสามารถเข้าใจเนื้อหาได้อย่างง่ายได้
เหมาะกับ - การทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จัก หรือ ทำให้คนเข้าถึงสินค้าและบริการได้ง่ายมากยิ่งขึ้นเพียงแค่ดูวิดีโอก็เข้าใจ ทำให้เมื่อคนเห็นก็จะนึกถึงธุรกิจของคุณ เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนยุคใหม่ ที่ชอบความรวดเร็ว กระชับ เข้าถึงง่าย

4.Influencer Marketing
เป็นการอาศัยคนที่มีอิทธิในการโน้มนาวใจ และ เป็นคนที่ผู้คนให้ความสนใจ มีชื่อเสียง ในการโปรโมทสินค้าและบริการให้เป็นที่รู้จักนั้นเอง ซึ่งเป็นรูปแบบของช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
-ดารา
-นักร้อง
-ไอดอล
หน้าที่ - ใช้สำหรับการโปรโมทสินค้าให้เป็นที่รู้จัก และ เน้นการขายสินค้า โดยอาศัยผู้ที่มีชื่อเสียงในการทำให้สินค้าขายดี และ เป็นที่ต้องการของตลาดนั้นเอง หรือ ที่เรามักจะคุ้นเคยในชื่อ Influencer ซึ่งในปัจจุบันเป็นหนึ่งในอาชีพที่นิยมกันมาก อีกทั้งยังมีประเภทที่หลากหลาย ซึ่งก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายด้วย
สามารถอ่านบทความ เลือก Influencer อย่างไรให้เหมาะสมกับTarget เพิ่มเติมได้ที่นี่
เหมาะกับ - ธุรกิจใหม่ๆที่ต้องการตีตลาด ต้องการให้สินค้า Mass ผ่านInfluencer ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจต่อผู้บริโภค เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความชื่นชอบผู้มีชื่อเสียง ดารา หรือ ชอบดูรีวิวต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
สามารถอ่านบทความ Influencer Marketing คืออะไร เพิ่มเติมได้ที่นี่

"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


273

เทคนิคไม่ลับ ใช้ GoPro เป็น Webcam ง่ายๆด้วยตัวเอง
ในปัจจุบันมีหลายๆคนที่ต้องทำงานแบบ work from home ซึ่งทำให้จะต้องมีการพูดคุยผ่านวิดีโอต่างๆ แต่อุปกรณ์ก็ไม่เอื้อต่อการพูดคุย นอกจาก GoPro ยังจะเป็นกล้องที่มีคุณสมบัติที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ความคมชัดของภาพ , การกันสั่นขั้นเทพ , โหมดถ่ายรูปที่ทำให้การถ่ายภาพ ถ่ายวีดิโอ ของคุณง่ายและสนุกมากยิ่งขึ้น เช่น โหมดTime warp 3.0 ใน GoPro 9 หรือ โหมดPowerpano ใน GoPro MAX รู้หรือไม่ว่าเราสามารถ ใช้ GoPro เป็น Webcam กล้องโกโปรให้คุณภาพของภาพผ่านเว็บแคมบนคอมพิวเตอร์ได้แบบ Full HD ทำให้คุณสามารถพูดคุย สื่อสารได้อย่างหมดกังวล แต่จะทำได้ยังไงนั้น ไปอ่านในบทความกันเลย
วิธีการใช้ GoPro เป็น Webcamง่ายๆทำได้ด้วยตัวเอง
เปิดประสบการณ์การใช้งาน GoPro สำหรับใครที่ต้องการเปลี่ยนกล้อง GoPro ให้มาเป็นเว็บแคมแต่กังวลว่าจะยาก บอกเลยว่าไม่ยากอย่างที่คิด เพราะว่ามันง่ายมาก มาดูวิธีการแบบ STEP BY STEP กันเลย!!!
อุปกรณ์สำหรับการถ่ายเว็บแคม
-GoPro ควรเลือกที่เป็นรุ่น GoPro Hero 8 , GoPro MAX หรือ GoPro 9 จะทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัดของวิดีโอสูงๆ
-สาย USB-C สามารถใช้สายที่แถมมาในกล่อง GoPro ได้เลย
-คอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ทั้งแบบ PC และ MAC
-ขาตั้งกล้อง หากใครที่ต้องการระดับที่เหมาะสม หรือ ฐานที่มั่นคง ควรใช้ขาตั้งกล้องในการถ่าย แต่หากใครไม่มีสามารถตั้งกับโต๊ะได้เลยไม่มีปัญหา
STEP 1

ให้ดูว่าFirmware เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดหรือยัง ถ้ายังให้ทำการอัพเดต Firmware ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดก่อน เนื่องจากหากอัพเดทให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด จะเป็นการทำให้โกโปรสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ภาพจากการถ่ายเว็บแคมออกมาคมชัดนั้นเอง
หากใครที่อัพเดทไม่เป็น สามารถเข้าไปดู วิธีอัพเดทFirmware ง่ายๆ ได้ที่นี่
STEP 2

ให้ดาวน์โหลด GoPro Webcam ลงบนคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นลงบน PC หรือ Mac ก็ได้ > ทำการติดตั้งให้เรียบร้อย
STEP 3

เมื่อติดตั้งเรียบร้อย ให้ทำการเชื่อมต่อกล้อง GoPro เข้ากับคอมพิวเตอร์  > เปิดกล้องโกโปรแล้วใช้สาย USB-C ต่อเข้ากับโกโปร และ คอมพิวเตอร์ > เมื่อเชื่อมต่อสำเร็จ จะมีสัญญาณขึ้นที่หน้าจอของโกโปร
STEP 4

จากนั้นให้ไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ดูที่แถบเครื่องมือซึ่งจะมีรูปของ ไอคอน GoPro อยู่ > เลือก Show Preview เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งาน กล้องโกโปรเป็นกล้องเว็บแคมได้แล้ว

อีกทั้งยังมีลูกเล่นเพิ่มเติม คือ สามารถปรับเลนส์ได้ถึง 3 แบบ ไม่ว่าจะเป็น เลนส์ Wide , Linear และ Narrow เพียงเข้าไปที่ไอคอนโกโปร > เลือกที่ Digital Lens > เลือกเลนส์ที่ต้องการ
-Wide ให้ภาพมุมมองกว้าง สามารถเก็บรายละเอียดต่างๆได้ครบ
-Linear ให้มุมมองภาพแบบกว้างที่สมมาตร ไม่มีขอบโค้งแบบเลนส์wide
-Narrow ให้มุมมองภาพที่แคบที่สุด เหมาะสำหรับใช้ติดต่อ ที่ไม่ต้องการเก็บรายละเอียดข้างหลังมาก เน้นการถ่ายแบบใกล้ๆ
อีกทั้ง ยังสามารถใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อย่าง Zoom และ Teams ได้อีกด้วย และ ยังให้ความคมชัดของภาพมาแบบ Full HD ซึ่งให้ภาพที่ดีกว่ากล้องเว็บแคมบางตัว สำหรับใครที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้าน บอกเลยว่าห้ามพลาดด้วยเทคนิคการเปลี่ยนกล้องโกโปร ให้มาเป็นกล้องเว็บแคมง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand



274

การสร้างคอนเทนต์ มาร์เก็ตติ้ง ทำอย่างไร?
การสร้างคอนเทนต์ สำหรับโปรโมทสินค้า เป็นการสร้างแรงดึงดูด ให้ผู้ที่อ่านเข้ามาอ่าน เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งผู้อ่านและผู้ที่ต้องการโปรโมทสินค้า ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสิ้น บทความนี้ผู้อ่านจะได้เรียนรู้การทำ  Content marketing ตั้งแต่เริ่ม เพื่อช่วยให้คุณสามารถทำคอนเทนต์ได้ตอบโจทย์ลูกค้า
 
Highlight การสร้างคอนเทนต์ ที่ต้องรู้!!!
-จุดประสงค์ในการสร้างคอนเทนต์
-การสร้างคอนเทนต์ในการทำการตลาดให้ตอบโจทย์ลูกค้า
 
จุดประสงค์ใน "การสร้างคอนเทนต์"
ก่อนที่เราจะทำคอนเทนต์โดยไม่ได้คิดถึงเป้าหมาย  จะส่งผลให้คอนเทนต์ของเราไม่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดลูกค้า ก่อนที่เราจะทำคอนเทนตืให้วางแผนเสียก่อนว่า เราต้องทำคอนเทนต์เพื่อเน้นไปในเรื่องอะไร รูปแบบไหน ให้ตอบโจทย์การใช้งานของคนในยุค 4.0 อาจจะเน้นการทำคอนเทนต์ให้มีความสนุกสนาน อาจจะให้รูปแบบของคอนเทนต์แนวคำถาม เพื่อทำให้เกิดการแสดงความคิดเห็นในคอนเทนต์ก็ได้

เรามารู้จักวัตถุประสงค์เบื้องต้นในการสร้าง Content Markething กันดีกว่า
-Brand Awareness เป็นการโปรโมทแบรนด์ สินค้า บริการของเรา ให้คนได้รู้จักเรามากยิ่งขึ้น ให้เขาเน้นเราบ่อยๆ จนเกิดความสนใจ
-Problem Awareness เป็นการทำให้เขาเห็นถึงปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ใช้สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นปัญหาในการกระตุ้นให้เขาหาหนทางในการแก้ไข
-Solution Awareness เป็นการหาทางแก้ปัญหาให้กลุ่มเป้าหมาย โดยใชิสินค้าและบริการของเรา ในการแก้ไขปัญหา
-Product Awareness เป็นการขายที่ไม่ได้เน้นการขายแบบโจ่งแจ้งจนเกินไป อาจจะทำให้เห็นข้อดีที่มากกว่าสินค้าตัวอื่น หรือ แบรนด์อื่นๆ เป็นการทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
-Most Awareness เป็นการทำให้ลูกค้ามีโอกาสซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น จากการส่งข้อมูล ข่าวสาร เพื่อทำให้มีโอกาสในการตัดสินใจซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น

การสร้างคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์ลูกค้า
1.คอนเทนต์สำหรับใคร?
ก่อนที่เราจะไปลงรายละเอียดในการทำคอนเทนต์ เราควรที่จะรู้เสียก่อนว่าเราต้องการทำคอนเทนต์เพื่อให้ใครดู เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ล้วนจะใช้รูปแบบที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น เพศ ช่วงอายุ อาชีพ เป็นต้น การที่เราสามารถรู้ว่าเราจะทำคอนเทนต์เพื่อกลุ่มเป้าหมายใด จะทำให้เราสามารถกำหนดเนื้อหา หรือ ข้อมูลต่างๆให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการทำคอนเทนต์ได้ อาทิเช่น
-เพศชาย - จะชอบความสะดวกสบาย ไม่ชอบอะไรที่มีข้อมูลเยอะเกินไป เราอาจจะต้องใช้คอนเทนต์ที่เน้นไปในเรื่องของความสนุกสนาน หรือ พวกรูป วีดีโอ ที่ง่ายต่อการอ่าน
-เพศหญิง - จะชอบเน้นหาที่มีความละเอียด มีอะไรดึงดูด น่าสนใจ อาจจะใช้คอนเทนต์ที่มีหัวข้อน่าสนใจ บทความดีๆ เป็นประโยชน์ จนต้องแชร์ เป็นต้น

2.ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายคืออะไร?
การที่คนจะเลือกอ่านคอนเทนต์ อาจเนื่องมาจากปัญหาที่เขามี หรือ เขามีความต้องการอะไร ในการเลือกอ่านคอนเทนต์ซักบทความหนึ่ง นอกจากเราจะต้องดูว่าเราทำคอนเทนต์สำหรับใคร เรายังต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราเลือกมีความต้องการอะไรเป็นพิเศษ เพื่อที่จะสามารถเลือกเนื้อหา ในการทำคอนเทนต์ได้เหมาะสม อาทิเช่น
หากกลุ่มเป้าหมายต้องการบำรุงผิว เราอาจจะให้เนื้อหาคอนเทนต์เกี่ยวข้องกับการบำรุงผิว หรือ อาจจะไม่ได้เน้นไปที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตรงๆ โดยจะเน้นไปทางอ้อม เช่น การแต่งกายเพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด หรือ การรับประทานอาหารที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ

3.จะแก้ไขปัญหาจากสินค้าและบริการของเราได้อย่างไร?
เนื่องจากถ้าเรารู้ถึงปัญหาของกลุ่มเป้าหมายแล้ว ว่ากลุ่มเป้าหมายของเรามีความต้องการอะไร ก็ถึงขั้นที่เราจะได้บอกถึงประโยชน์ของสินค้าและบริการ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะบอกข้อดีร้อยแปดประการที่เยอะจนเกินไป เพราะนั้นอาจไม่ใช่ประโยชน์ที่กลุ่มเป้าหมายของคุณอยากได้ ควรที่จะบอกประโยชน์ที่ได้จากการแก้ไขปัญหาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เช่น กลุ่มเป้าหมายต้องการเน้นการบำรุงผิว คอนเทนต์ควรเน้นการบอกไปเลยว่า เป็นครีมที่ปกป้องจากสภาพอากาศ ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณที่กลุ่มเป้าหมายไม่สนใจ

4.การทำContent Mappingเพื่อช่วยในการวางแผน
ก่อนที่จะไปเริ่มทำคอนเทนต์จริงๆ เราอาจจะทำ Content Mapping เพื่อช่วยในการออกแบบเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย ดังต่อไปนี้
ประเด็นสำคัญ - อาจจะเป็นการพูดถึงปัญหา ประเด็นสำคัญต่างๆ ของกลุ่มเป้าหมายเพื่อที่จะกำหนดประเภทของคอนเทนต์ได้ถูกต้อง เหมาะสม
การแก้ไขปัญหา - เป็นการกำหนดวิธีในการแก้ไขปัญหาว่า ทำด้วยวิธีใดบ้าง ทำอย่างไรได้บ้าง ทำให้คอนเทนต์ของเราดูน่าสนใจ
เราดีอย่างไร - เป็นการนำเสนอสินค้าและบริการของเรา ว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างไร สินค้าบริการของเราช่วยในเรื่องอะไรได้บ้าง เป็นการ Tie-in แฝงไม่ได้เน้นขายสินค้าตรงจนเกินไป
พิเศษสำหรับลูกค้า - อาจจะเป็นการพูดถึงเคล็ดลับในการใช้สินค้าและบริการ หรือ สิทธิพิเศษต่างๆ ส่วนลด แลก แจก แถม ต่างๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นทำให้สินค้าของเรามีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

5.รูปแบบของสื่อที่เหมาะสมกับเป้าหมาย
นอกจากประเภทของกลุ่มเป้าหมายแล้ว เราอาจจะต้องเลือกรูปแบบของสื่อให้เหมาะกับสิ่งที่เราต้องการสื่อสารอีกด้วย ซึ่งรูปแบบของสื่อก็จะมีหลากหลายให้เราได้เลือก ไม่ว่าจะเป็น
บทความ - เป็นรูปแบบของเนื้อหาที่เป็นตัวอักษร อาจจะเป็นบทความยาวๆ หรือ เป็นข้อความสั้นๆที่สื่อความหมายได้ดี
รูปภาพ -  เป็นรูปแบบของเนื้อหาที่ดัดแปลงให้อยู่ในรูปแบบของรูปภาพ เพื่อให้ง่ายต่อการรับชม อาจจะใช้รูปแบบของ Infographic ในการใช้ข้อความเพื่อขยายรูปภาพให้ง่ายต่อการเข้าใจมากยิ่งขึ้น
วีดีโอ -  เป็นรูปแบบของคอนเทนต์ที่ดัดแปลงจากตัวหนังสือ ให้มาอยู่ในรูปแบบที่มีทั้ง รูป เสียง เพื่อให้ดึงดูดผู้ที่เห็นมากยิ่งขึ้น และ ง่ายต่อการรับชม
เมื่อเราเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว ก็ให้ลองทำคอนเทนต์ อาจจะมีการใช้รูปแบบของคอนเทนต์ที่มากกว่า 1 รูปแบบก็ได้ตามความเหมาะสม
สามารถอ่าน บทความ Content Marketing เพิ่มเติมได้ที่นี่

6.ช่องทางในการลงคอนเทนต์
เนื่องจากในปัจจุบันมีช่องทางในการติดต่อสื่อสารที่มาก ดังนั้นเราอาจจะต้องกำหนดช่องทางให้เหมาะสมกับรูปแบบของคอนเทนต์
ช่องทางของเราเอง - ปกติโดยทั่วไปในการทำธุรกิจ มักจะมีช่องทางการติดต่อสื่อสารของตนเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Website อาทิ การทำ SEO , Facebook , line และ ช่องทางที่เรามีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
ช่องทางในPlatformต่างๆ - นอกจากที่เราจะนำคอนเทนต์ไปลงแต่ช่องทางของเรา เราสามารถนำไปลงในช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Wabboard , Youtube , กระทู้ต่างๆ เป็นต้น
ช่องทางที่ต้องจ่ายเงินต่างๆ - เป็นช่องทางที่ต้องจ่ายเงินในการโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เร็วมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การลงโฆษณาอย่างการทำ Ads บน Google , Facebook , Youtube เป็นต้น

7.การวัดผลของคอนเทนต์
การวัดผลจากคอนเทนต์ สามารถวัดได้จากหลายๆช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการวัดจากยอดขายที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น การวัดจากจำนวนยอดคนที่กดไลค์และแชร์ตอนเทนต์ออกไป แต่อาจจะต้องอาศัยระยะเวลา อย่างน้อย 3-6 เดือน คอนเทนต์ถึงจะแสดงผลที่ชัดเจน โดยจะต้องอาศัยการทำคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง ไม่ควรทิ้งช่วงระยะเวลาให้นานนัก เพราะจะทำให้ไม่สามารถวัดผลได้

 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


275

GoPro 9 vs  GoPro Max รุ่นไหนเหมาะกับคุณ?
กล้อง GoPro ซึ่งได้ออกรุ่นล่าสุดอย่าง GoPro 9 กล้องโกโปรน้องใหม่ตัวล่าสุด กับสเปคที่ได้พัฒนาให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ก็กำลังลังเลกับกล้อง GoPro MAX โกโปรรุ่นพี่ที่สามารถถ่ายได้รอบทิศถึง 360 องศา มาดูกันว่า GoPro 9 vs GoPro Max รุ่นไหนเหมาะกับคุณ!!!
เทียบให้ชัด GoPro 9 vs GoPro Max รุ่นไหนเหมาะกับคุณ

ตัวเครื่อง
-GoPro 9 รูปทรงสี่เหลี่ยมขนาด 72 x 55 x 33 มิลลิเมตร และ มีน้ำหนัก 180 กรัม มีหน้าจอแสดงผล ด้านหน้า และ ด้านหลัง และ มีพอร์ต micro SD และ USB type-C
-GoPro MAX รูปทรงสี่เหลี่ยมขนาด 64 x 69 x 25 มิลลิเมตร และ มีน้ำหนัก 154 กรัม มีหน้าจอแสดงผล ด้านหลัง มีพอร์ต micro SD และ USB type-C

GoPro 9 มีหน้าจอแสดงผลทั้ง ด้านหน้า และ ด้านหลัง ซึ่งในรุ่นของ GoPro MAX มีเพียงแค่ด้านหลังเท่านั้น และ ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต micro SD และ USB type-C เหมือนกัน
สามารถอ่านบทความ สเปค GoPro 9 แบบเต็มๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่

ประสิทธิภาพการใช้งาน
-GoPro 9 สามารถใช้งานแบตเตอรี่ต่อเนื่องได้ถึง 130 นาที ใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 120 นาที (แบตเตอรี่ 1729 mAh) และ สามารถกันน้ำได้ลึกถึง 10 เมตร
-GoPro MAX สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ต่อเนื่อง 90 นาที ใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 240 นาที (แบตเตอรี่ 1600 mAh) และ สามารถกันน้ำได้ 5 เมตร

สำหรับ GoPro 9 ถือว่าใช้เวลาในการชาร์จเร็วกว่า GoPro MAX เท่าหนึ่ง และ ยังสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องมากกว่า อีกทั้งยังดำน้ำได้ลึกกว่าอีกด้วย ถือว่าGoPro 9ตอบโจทย์การใช้งานมากกว่า

การถ่ายภาพและวิดีโอ
-GoPro 9 สามารถถ่ายมุมมองได้ 170 องศา ด้วยอุปกรณ์เสริมอย่าง Max len mod ที่จะช่วยในเรื่องของมองมุมที่กว้างมากขึ้นและการกันสั่นที่ยอดเยี่ยมมากขึ้น อีกทั้งยังให้ความละเอียดของภาพที่ 20 MP และ สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดถึง 5K 30FPS สามารถถ่าย slow Motion ได้ถึง 8 เท่า
-GoPro MAX สามารถถ่ายมุมมองได้ 360 องศา ให้ความละเอียดของภาพที่ 16 MP และ สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 5.7K สามารถถ่าย slow Motion ได้ 2 เท่า

GoPro MAX มีความสามารถในการถ่ายมุมมองที่กว้างกว่า แต่ก็ยังแพ้ GoPro 9 ในเรื่องของ ความละเอียดของภาพและวิดีโอ อีกทั้งการถ่าย slow Motion ที่ GoPro 9 ทำได้ดีกว่าถึง 4 เท่า แต่ในเรื่องของเสียง GoPro 9 ยังมีไมโครโฟนในตัวเพียงแค่ 3 ตัว ในขณะที่ GoPro MAX มีถึง 6 ตัว

HyperSmooth
-GoPro 9 มีระบบกันสั่น HyperSmooth เวอร์ชั่น 3.0 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่มีเฉพาะ GoPro 9 เท่านั้น ทำให้การถ่ายวิดีโอลื่นไหล และ นิ่งมากกว่าเดิม มาพร้อมโหมด Horizon leveling
-GoPro MAX มีระบบกันสั่น HyperSmooth เวอร์ชั่น 2.0 ที่ช่วยให้สามารถถ่ายภาพได้นิ่งมากขึ้น มาพร้อมโหมด Horizon leveling อีกด้วย

GoPro 9 ชนะขาดลอย เพราะ มาพร้อมกับ HyperSmooth 3.0 ที่นิ่งมากขึ้น ทั้ง GoPro 9 และ GoPro MAX สามารถใช้งานโหมด Horizon leveling ได้เหมือนกัน สามารถทำในตัวเครื่องได้เลยไม่ต้องไปทำในแอพพลิเคชั่น ทำให้ใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

Time Warp
-GoPro 9 จะเป็นเวอร์ชั่น 3.0
-GoPro MAX จะเป็นเวอร์ชั่น 2.0
GoPro 9 ดีกว่า เนื่องจากในเวอร์ชั่น 3.0 ถูกพัฒนาให้สามารถบันทึกเสียงในโหมด realtime ได้ และ ยังทำให้สามารถดึงวิดีโอให้สโลโมชั่นจากกล้องได้เลย ซึ่งในเวอร์ชั่น 2.0 ทำไม่ได้

Photo Mode
-GoPro 9 โหมด SuperPhoto , HDR , Standard , ไฟล์รูปแบบ RAW ที่สามารถนำไปตัดต่อ หรือ ปรับแต่งได้โดยรูปยังมีความคมชัดอยู่ , Liveburst ที่สามารถถ่ายวิดีโอก่อนและหลังกดชัตเตอร์ได้ถึง 15 วินาที อีกทั้ง Protune สามารถควบคุมการตั้งค่าได้ด้วยตัวเอง
-GoPro MAX โหมด HERO , Powerpano และ Protune ที่สามารถควบคุมการตั้งค่าได้ด้วยตัวเอง
GoPro 9 มีโหมดที่รองรับการถ่ายภาพที่หลากหลายมากกว่า แต่ถ้าใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพมุมกว้างๆต้อง GoPro MAX เนื่องจากมีทั้งโหมด HERO ที่สามารถเลือกเลนส์ที่เหมาะสมอีกทั้งสามารถดูตัวอย่างภาพที่ได้จากเลนส์ได้ และ Powerpano ที่สามารถถ่ายภาพพาราโนม่าตามเส้นแนวนอนแม้ขณะกล้องเอียงได้กว้างถึง 270 องศา
Features อื่นๆ
-GoPro 9 โหมด Scheduled Captures และ Hide Sight ที่สามารถตั้งเวลาถ่ายวิดีโอล่วงหน้าได้ อีกทั้งเมื่อมีการกดชัตเตอร์ ตัวกล้องสามารถดึงข้อมูลก่อนที่จะกดถ่ายได้ถึง 30 วินาที
-GoPro MAX โหมด 360 องศา , Scheduled Captures และ Timelapse
ในรุ่น GoPro 9 จะมีโหมด Hide Sight ที่ใน GoPro MAX ไม่มี ซึ่งทำให้คุณไม่พลาดที่จะบันทึกวิดีโอในช่วงสำคัญๆ ซึ่งถือว่ามีลูกเล่นใหม่ๆเยอะกว่าในรุ่นของ GoPro MAX
คุณสามารถอ่านบทความ เปรียบเทียบ GoPro 9 vs GoPro 8 เพิ่มเติมได้ที่นี่
 
เทียบกันแล้วรุ่นไหนเหมาะกับคุณ
-GoPro 9 หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบอะไรใหม่ๆ ชอบความรวดเร็ว ชอบรูปภาพ วิดีโอที่คมชัด ชอบการใช้งานที่ง่าย รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการชาร์จ หรือ ระบบประมวลผล ในราคาที่จับต้องได้ ต้องนี่เลย!!!!
-GoPro MAX หากคุณเป็นคนที่ชอบการถ่ายวิว ถ่ายvlog ชอบภาพที่สามารถถ่ายมุมมองกว้างๆได้ เน้นการใช้งานบนบกมากกว่าใต้น้ำ ต้องนี้เลยตอบโจทย์การใช้งานแน่นอน!!!

ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


276

กระบวนการแปรรูปไม้ยางพารา กว่าจะมาเป็นไม้ยางพาราแปรรูป
รู้หรือไม่ว่า กว่าจะมาเป็นไม้ยางพาราแปรรูปในปัจจุบัน จะต้องผ่าน กระบวนการแปรรูปไม้ยางพารา หลากหลายกระบวนการ แต่จะผ่านขั้นตอนอะไรบ้างในการแปรรูป บทความนี้มีคำตอบ
ไม้ยางพาราแปรรูป คืออะไร?
ไม้ยางพาราแปรรูป คือ การนำไม้ยางพารามาผ่านกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้มาซึ่งไม้ยางพาราแปรรูปสำหรับนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ โต๊ะไม้ยางพารา เก้าอี้ไม้ยางพารา ตู้เสื้อผ้าไม้ยางพารา เป็นต้น ด้วยใช้เทคโนโลยีในการผลิตคุณภาพ เพื่อให้ได้มาซึ่งไม้ยางพาราแปรรูปคุณภาพ
ขั้นตอนใน "กระบวนการแปรรูปไม้ยางพารา"
กว่าที่ไม้ยางพาราธรรมดาๆ จะกลายมาเป็นไม้ยางพาราแปรรูป จะต้องผ่านกระบวนการ ขั้นตอนต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยเครื่องจักรเฉพาะสำหรับการแปรรูปไม้ยางพารา ไปดูขั้นตอนในการผลิตกันเลย

การคัดเลือกขนาด
ก่อนที่จะทำการคัดเลือกไม้ยางพารา เราจะเตรียมการจัดหาไม้ยางพารา รวมทั้งการรับซื้อไม้เพื่อนำมาแปรรูป ไม่ใช่ว่าจะเอาไม้ขนาดไหนมาแปรรูปก็ได้  การแปรรูปไม้ยางพาราจะต้องคัดขนาดไม้ก่อน ที่จะนำไปเลื่อยเพื่อนำไปแปรรูปต่อไป   ถ้าไม้มีขนาดใหญ่เกินไปให้ทำการเลื่อยให้ได้ขนาดที่เหมาะสมเสียก่อนอันตราการแปรรูปไม้ยางพารา
อัตราการแปรรูปไม้   
เป็นสัดส่วนของปริมาตรของไม้แผ่นต่อปริมาตรของไม้ท่อน  สามารถคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ ดังนี้
อัตราการแปรรูปไม้ =   ปริมาตรไม้แปรรูป   x   100 %   ปริมาตรไม้ท่อนที่เลื่อย
ใช้สำหรับการคำนวณการแปรรูปไม้   สำหรับใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อแปรรูปไม้ยางพารา

การอัดน้ำยาและอบไม้
เป็นขั้นตอนที่ถือว่ามีความสำคัญมากสำหรับการแปรรูปไม้ยางพารา   ซึ่งเป็นกระบวนการในการช่วยทำให้ไม้พาราที่แปรรูปอยู่ได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น
-การอัดน้ำยา เป็นการทำเพื่อป้องกันไม้ จากเชื้อรา และ แมลงที่เกาะกินไม้   โดยการอัดน้ำยาประเภทโบรอน เข้าไปในเนื้อไม้   โดยอาศัยเครื่องจักรสำหรับอัดน้ำยาโดยเฉพาะ   เพื่อให้น้ำยาเข้าไปในทุกส่วนของไม้
-การอบไม้   ส่วนใหญ่จะทำควบคู่กับการอัดน้ำยา   เพราะ การอบไม้เป็นการไล่ความชื้น  ให้ออกจากตัวไม้   เนื่องจากพออัดน้ำยาไม้จะมีความชื้นจากน้ำยาทำให้ตัวไม้ไม่แห้ง   จึงต้องมีการอบไม้ด้วยไอน้ำ   เพื่อเป็นการควบคุมความชื้นในเนื้อไม้   และ ยังทำให้ผิวของไม้สวยงาม ไม่แตก หรือ   เสียรูปทรงนั้นเอง

การเก็บรักษา การป้องกันความชื้น
-ควรเก็บไม้ให้ห่างจากความชื้น   ถึงแม้ไม้ยางพาราแปรรูปจะผ่านการอัดน้ำยา   และ   อบไม้   มาแล้ว   แต่ทางที่ดีควรเก็บไม้ให้ดี อย่าให้ไม้เปียกน้ำ   เนื่องจากจะทำให้  ไม้พอง บวม   ส่งผลให้สูญเสียรูปทรง และ   การทรงตัวของไม้ได้   ควรเก็บไม้ในที่แห้ง และ   โปร่ง เพื่อป้องกันไม้จากความชื้น
-ไม่ควรวางไม้กับพื้นโดยตรง   เนื่องจากพื้นก็มีความชื้นอยู่   ถึงแม้จะดูเหมือนแห้งก็ตาม   ทางที่ดีควรหาอะไรมารองไม้เอาไว้
-ไม่ควรวางไม้ไว้กลางแจ้ง   เนื่องจากสภาพอากาศทั้ง   แดด   และ   ฝน  ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ทำลายเนื้อไม้ทั้งสิ้น   หากวางไว้กลางแจ้ง   แดดอาจจะเลียสีของไม้   ทำให้สีของไม้เพี้ยนไปจากเดิม ทางที่ดีควรหาอะไรคลุมเอาไว้
มาตรฐานไม้ยางพาราแปรรูป
ไม้แปรรูป นอกจากรูปร่างของไม้จะต้องมีขนาดที่เหมาะสม รูปทรงสมดุลเท่ากัน   สีสันสวยงาม   ต้องผ่านการแปรรูปที่มีมาตรฐานแล้ว   ยังจะต้องมีการรับรองมาตรฐานของไม้ที่ผลิตอีกด้วย  " โรงงานของเรา ได้รับการรับรอง มาตรฐาน   IPPC   หรือ  International Plant Protection Convention   ซึ่งเป็นกฎบัตรที่ออกมาเพื่อใช้ในการควบคุม และคุ้มครองป่าไม้ และพืช ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการขนส่งระหว่างประเทศ   จากกรมวิชาการเกษตร "
หากไม่มีการรับรองมาตรฐานนี้  จะส่งผลให้ ไม่สามารถนำเข้าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากไม้ได้   ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นจะต้องผ่านมาตรฐานเพื่อที่จะได้รับการรับรอง IPPC  นั้นเอง
สามารถอ่าน บทความโรงไม้ MTK WOOD มาตรฐานครบวงจร   เพิ่มเติมได้ที่นี่
ไม้ยางพาราแปรรูปของเราดีอย่างไร?
-เราเป็นโรงงานคุณภาพ ที่ผ่านการรับรองมาจรฐานสากล   IPPC จากกรมวิชาการเกษตร
-โรงงานของเรามีหน้าโรงงานจริงอยู่ที่ จังหวัด ระยอง
-โรงงานของเราเปิดทำการมามากกว่า   25   ปี   ทำให้มั่นใจเรื่องของมาตรฐานได้
-โรงงานของเรามีบริการที่หลากหลาย   ตั้งแต่  รับผลิตและจำหน่ายไม้ยางพาราแปรรูป   ,   บริการรับเสื่อย-ไสไม้ ตัดแต่งไม้   ,   บริการอัดน้ำยา-อบไม้   รวมทั้ง   บริการขนส่งไม้ทั่วประเทศไทย   ด้วยรถเทเอลร์   รถบรรทุก   กว่า   20   คัน
-โรงงานของเราใช้เครื่องจักรคุณภาพ   ทั้ง   เครื่องเลื่อยสายพาน   , เครื่องไสเรียบ 4   หน้า ,   เครื่องอัดน้ำยา และ   เครื่องอบไอน้ำ   ทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะได้ไม้ยางพาราแปรรูป ที่ได้มาตรฐานอย่างแน่นอน
 
สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม MTK ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :   @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


277

GoPro แบตหมดไว มีวิธีไหนบ้างที่ช่วยเราได้?
สำหรับใครที่ใช้งานกล้อง GoPro จะพบว่าบางครั้งกล้อง GoPro แบตหมดไว นั้นทำให้หลายๆคน มักที่จะพกแบตเตอรี่สำรองไว้เสมอ แต่จะมีวิธีอื่นหรือไม่ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ บทความนี้มีคำตอบ
วิธีแก้ปัญหา GoPro แบตหมดไว ที่ทำได้ง่ายๆ
ปัญหาเรื่องแบตเตอรี่หมดไวของกล้องโกโปรสามารถแก้ไขได้ มาพบกับวิธีแก้ปัญหา โกโปรแบตหมดไว ที่จะทำให้คุณหมดกังวลเรื่องแบตเตอรี่โกโปรไปได้เลย

ปิดโหมดที่ไม่จำเป็น
รู้หรือไม่ ว่าการที่เราเปิดโหมด ฟังก์ชั่นต่างๆ ไว้โดยที่ไม่ปิด เป็นการกินแบตเตอรี่ชั้นดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นโหมด WiFi , GPS , Bluetooth ฟังก์ชั่นต่างๆ เนื่องจากถ้าเปิดทิ้งไว้ จะเป็นการหาสัญญาณตลอดเวลาทำให้ยิ่งกินแบตเตอรี่มากยิ่งขึ้น
วิธีนี้ดียังไง?
วิธีนี้สามารถทำได้ง่ายๆ จากตัวกล้องเลย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อื่นๆช่วย ทำให้ไม่ต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์เสริม GoPro อื่นๆ อีกทั้งยังทำให้ไม่ต้องพกอุปกรณ์ให้เป็นภาระเวลาถ่ายภาพ หรือ ทำกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย นอกจากนั้นยังเป็นการถนอมอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ เป็นการช่วยในการยืดอายุของแบตเตอรี่อีกทางหนึ่งด้วย
มีข้อเสียยังไง?
ถึงแม้วิธีนี้จะสามารถทำได้ง่ายๆ และ ยังสามารถช่วยเซฟแบตเตอรี่ได้ดี แต่ก็สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ตามขีดจำกัดของแบตเตอรี่ที่มีเท่านั้น ถ้าแบตเตอรี่หมดก็คือหมดเลย อีกทั้งยังมีข้อจำกัดในเรื่องของการใช้งานโหมดอื่นๆ เนื่องจากการตั้งค่าสำหรับประหยัดพลังงานจะทำให้ไม่สามารถใช้งานบางโหมดได้

แบตเตอร์รี่ และ แท่นชาร์จ
สำหรับใครที่แค่การปิดโหมดจำเป็นยังไม่พอ ต้องวิธีนี้เลย การพกแบตเตอรี่ และ แท่นชาร์จแบตเตอรี่ ไหนๆแบตมันจะลดไวแล้ว ก็ชาร์จแบตไปเลยดื้อๆ เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อีกทั้งยังเป็นการถนอมแบตเตอรี่อีกด้วย แต่อย่ารอจนแบตหมดแล้วไปชาร์จนะ พอแบตเริ่มเหลือน้อยสัก 10% ก็ให้ชาร์จแบตเตอรี่
วิธีนี้ดียังไง?
วิธีนี้ทำได้ง่ายๆ เป็นการแก้ปัญหาแบตเตอรี่หมดไวง่ายๆ ด้วยอุปกรณ์เสริม GoPro แบตเตอรี่ และ แท่นชาร์จแบตเตอรี่ อีกทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ถ้าอยากถ่ายได้นานๆ ก็ชาร์จแบตเตอรี่สำรองไว้เยอะๆ ไม่ว่าจะแบตเตอรี่ของ Telesin หรือ GoPro สำหรับ GoPro 9 เองก็ดี และ สำหรับแท่นชาร์จแบตเตอรี่ ก็จะมีทั้งของ GoPro และ สำหรับใครที่บอกว่าสองช่องมันไม่พอ ขอสามช่องสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ ต้องนี้เลย Smatree หรือ Telesin ให้คุณชาร์จแบตได้แบบจุใจ
มีข้อเสียยังไง?
วิธีนี้จำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์เสริม GoPro ตัวอื่นๆช่วย ใครที่ไม่อยากเสียตังค์วิธีนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์มากนัก อีกทั้งยังเป็นภาระเวลาเดินทาง หรือ ทำกิจกรรม และ ไม่ใช่ทุกที่ที่จะสามารถต่อแท่นชาร์จ ชาร์จแบตเตอรี่ได้ เวลาไปทำกิจกรรม หรือ ถ่ายรูปนอกสถานที่

Power bank
เวลาใครที่จะไปเที่ยว สิ่งหนึ่งที่หลายๆคน มักจะพกติดตัวไว้เสมอก็ คือ Power bank หรือ แบตเตอรี่สำรอง นั้นเอง อุปกรณ์เสริมที่จะช่วยให้คุณสามารถใช้งานกล้องได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น
วิธีนี้ดียังไง?
วิธีนี้ใช้งานได้ง่าย เป็นวิธีที่ทั้งสะดวก และ รวดเร็วมาก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความต่อเนื่อง ไม่อยากมานั่งชาร์จแบตเตอรี่ให้ยุ่งยาก แค่เสียบสายชาร์จเข้ากับกล้องโกโปร สำหรับใครที่ไม่อยากถอดฝาแบตเตอรี่ให้ยุ่งยาก แนะนำนี้เลย ฝาปิดแบตเตอรี่ Ulanzi G9-3 และ G9-6 ที่จะช่วยให้คุณสามารถใช้งานไปชาร์จไปได้ ทั้งง่ายทั้งสะดวก
มีข้อเสียยังไง?
วิธีนี้จำเป็นจะต้องพก Power bank ไปด้วยเสมอ ยิ่งสามารถชาร์จได้เยอะ ยิ่งมีขนาดใหญ่ ทำให้เป็นภาระเวลาถ่ายภาพ อีกทั้งการชาร์จไปด้วยถ่ายไปด้วยเป็นเวลานานๆ อาจจะส่งผลระยะยาวให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้นอีกด้วย และ ยังทำให้พาเวอร์แบงค์ร้อนง่าย ถ้าเกิดอุปกรณ์ร้อนเกินไปให้หยุดใช้งานทันที เพื่อเสี่ยงความเสี่ยงต่อการก่อให้เกิดอันตรายในการใช้งาน

ต่อตรงกับไฟบ้าน
สำหรับใครที่ไม่อยากพกอะไรให้ยุ่งยาก ต้องวิธีนี้เลย ง่ายมากอีกทั้งยังทำให้แบตขึ้นไวอีกด้วย ไม่เหมือนกับการชาร์จด้วยแบตเตอรี่เสริม
วิธีนี้ดียังไง?
วิธีนี้ง่าย อีกทั้งยังช่วยทำให้แบตเตอรี่ขึ้นไว และ ยังช่วยถนอมแบตเตอรี่อีกด้วย เพราะ การชาร์จจากไฟบ้านดีกว่าการชาร์จด้วยแบตเตอรี่เสริม เหมาะกับการตั้งถ่ายในสถานที่เดิมๆ หรือ เน้นการถ่ายที่ไม่มีการเปลี่ยนมุมกล้องมากนัก สำหรับใครที่ถ่ายวิดีโออยู่กับที่ เป็นยูทูปเบอร์สายรีวิว วิธีนี้ถือว่าตอบโจทย์มาก
มีข้อเสียยังไง?
ค่อนข้างมีข้อจำกัดในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถานที่ หรือ เต้าเสียบปลั๊ก อีกทั้งยังไม่สะดวกต่อการถ่ายภาพ และ ทำกิจกรรมข้างนอกมากนัก

ไม้เซลฟี่แบตสำรอง
สำหรับใครที่เป็นสายถ่ายเซลฟี่ ถ่ายvlog อาจจะถูกใจวิธีนี้ เพราะ สำหรับสายvlog มักจะมีอุปกรณ์เสริม คู่กายนั้นก็คือ ไม้เซลฟี่ นั่นเอง แต่จะดีกว่าไหมถ้าคุณสามารถชาร์จไป ถ่ายไปได้
วิธีนี้ดียังไง?
วิธีนี้สามารถทำได้ง่าย อีกทั้งยังช่วยให้ความต่อเนื่องในการถ่ายวิดีโอ ถ่ายvlog อีกด้วย ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่เลย อีกทั้งยังไม่ต้องพกอุปกรณ์เยอะๆ พกแค่อันเดียว ได้ถึง 2 อย่าง ขอแนะนำ Ulanzi Bg-2 อันนี้ มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 6800 mAh
มีข้อเสียยังไง?
เนื่องจากเป็นไม้เซลฟี่แบตสำรองทำให้ จำเป็นจะต้องซื้อ ถ้าหากคุณอยากใช้วิธีนี้ อีกทั้งจำนวนของแบตเตอรี่ที่ชาร์จได้ก็จะไม่เท่ากับการชาร์จแบตเตอรี่โดยตรง เพราะ ต้องทำให้ไม้เซลฟี่สามารถถือได้สบายๆ จึงไม่สามารถใส่แบตเตอรี่เยอะๆได้
ไม่ว่าวิธีไหนก็ทำได้ง่ายมากๆ สำหรับใครที่ชอบวิธีไหนก็เลือกใช้วิธีนั้น ไม่ว่าจะเป็นการปิดโหมดที่ไม่จำเป็น หรือ การชาร์จกับพาเวอร์แบงค์ แค่นี้ก็สามารถแก้ปัญหาแบต GoPro หมดไวได้แล้ว ง่ายเลยใช่ไหมล่ะ!!!
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


278

กราฟิก ดีไซน์ คือ อะไร นำมาใช้อย่างไรกับธุรกิจ!!!
รูปที่ใช้ในการทำการตลาด ใช้ในการโปรโมท ส่วนใหญ่จะอาศัยการทำ Graphic Design ด้วยกันทั้งสิ้น แต่หลายๆคนยังไม่เข้าใจ คำๆนี้จริงๆ และ เหมารวมไปกับงานประเภทอื่นๆ มาดูกันว่า กราฟิก ดีไซน์ คือ อะไรกันแน่? จากบทความนี้ได้เลย
 
Highlight Graphic Design ที่ต้องรู้!!!
-กราฟิก ดีไซน์ คืออะไรกันแน่?
-งานกราฟิกนำมาใช้อย่างไรต่อธุรกิจในปัจจุบัน?
 
กราฟิก ดีไซน์ คือ อะไรกันแน่?
Graphic Design คือ การออกแบบสื่อ โดยใช้รูปภาพ ใช้ตัวอักษร ในการสร้างสรรค์ผลงานโดยเน้นที่ภาพเป็นหลัก เพื่อใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้ความสวยงาม เข้าใจได้ง่าย จุดเด่น ตามสไตล์ของแต่ละคน
งานกราฟิก หลายๆคนมักจะเข้าใจผิด ว่าต้องทำด้วยคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่จริงๆแล้วงานกราฟฟิกสามารถทำด้วย การวาด การพิมพ์ การถ่ายภาพ เราจะพบงานกราฟฟิกได้ทั่วไปจากของใกล้ๆตัว อาทิ หนังสือ นิตยสารต่างๆ รูปหน้าปก ก็ถือเป็นงานกราฟฟิก จนถึงภาพต่างๆ ที่อยู่บนช่องทางออนไลน์ อินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ ต่างๆ
หลายๆคนมักจะคุ้นเคยกับชื่อ ที่เรียกว่า Artwork เสียมากกว่า แต่จริงๆแล้ว มีความแตกต่างกัน เพราะ ถ้าเป็นArtwork จะใช้เรียกไฟล์งานที่เสร็จสมบูรณ์ สำหรับนำไฟล์ไปพิมพ์ โดยการทำเส้น ขนาด ตัวอักษร สี ที่พร้อมนำไปพิมพ์ เช่น พวกกล่องบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้น อีกเรื่องที่สำคัญสำหรับการทำงานกราฟฟิกออกมาให้ดี คือ เรื่องของรูป ข้อความ และ ตัวอักษร

-รูป / ภาพ ควรเลือกภาพให้มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ ควรรู้ว่าต้องการเน้นส่วนไหนในภาพ ไม่ใช่เอารูปทุกอย่างมาแย่งกันเด่น ควรที่จะมีการแบ่งสัดส่วนของภาพให้ชัดเจน ภาพที่ดีควรจะสื่อความหมายในตัวเอง คือ มองแล้วรู้ว่าคืออะไร ต้องการสื่ออะไร โดยอาจจะใช้ตัวอักษรเพื่อช่วยเน้นความหมายในภาพใช้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

-ข้อความ เราจะต้องใช้ตัวอักษรที่มีความพอดี ไม่มากจนเกินไปไม่น้อยจนเกินไป มีทั้งตัวที่เล็กและใหญ่ หนาและบาง สีของตัวอักษรอย่าให้กลืนกับพื้นหลัง เพื่อบอกความสำคัญของคำนั้นๆ รวมทั้งการจัดวางข้อความควรเลือกให้ดี อย่าให้มาบังสินค้า หรือ สิ่งที่เราจะสื่อ
สามารถอ่านบทความ Content Marketing คืออะไร ได้ที่นี่
 

งานกราฟิกนำมาใช้อย่างไรต่อธุรกิจในปัจจุบัน ?
ในปัจจุบันการทำกราฟฟิก ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการโปรโมท การโฆษณาต่างๆ ตั้งแต่การจัดทำในสื่อสิ่งพิมพ์ ตลอดจนถึงการโปรโมทบนช่องทางออนไลน์ต่างๆ ซึ่งเราจะเห็นได้มากตาม Facrbook , IG ตลอดจนเว็บไซต์ต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่า งานกราฟฟิกไม่ได้มีประโยชน์ต่ิธุรกิจเพียงแค่นั้น มาดูกันดีกว่าว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง

-สร้างการสื่อสารโดยใช้รูปภาพ งานกราฟฟิกเป็นการสื่อสารอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องพูด ก็สามารถที่จะเข้าใจความหมายของสิ่งที่ต้องการจะสื่อได้ งานกราฟฟิกที่ดีคืองานที่สามารถสื่อสารให้ผู้อ่านเข้าใจถึงสิ่งที่สื่อออกมาได้ชัดเจน ไม่ผิดเพี้ยน และ มีความสร้างสรรค์ เป็นที่จดจำได้ของผู้ที่มอง
-เพิ่ม / กระตุ้น ยอดขาย นอกจากงานกราฟฟิกจะใช้ในการสื่อสารแล้ว เราสามารถใช้ไปในด้านของการตลาด เพื่อเพิ่มยอดขายของสินค้าและบริการได้อีกด้วย โดยการออกแบบให้เป็นที่ดึงดูดของกลุ่มเป้าหมาย อาทิ ต้องการจะกระตุ้นให้คนมาซื้อสินค้า ก็อาจจะใช้คำที่ดึงดูด ไม่ว่าจะเป็น ลดแลกแจแถม สินค้าใหม่รุ่นlimited ที่มีตัวอักษรขนาดใหญ่ ตัวเลขชัดเจน เพื่อโชว์ หรือ กระตุ้นให้คนสนใจที่จะเข้ามาดูสินค้า การที่คนเข้ามาดูสินค้ามากขึ้นก็ถือว่าเขาให้ความสนใจที่สินค้าขั้นหนึ่งแล้ว ยิ่งคนสนใจมากยิ่งทำให้ยอดขายที่น่าจะขายได้เพิ่มมากขึ้น ที่เหลือก็อยู่ที่สโลแกนและส่วนอื่นๆ
-สามารถปรับเปลี่ยน / แก้ไขได้ เนื่องจากงานกราฟฟิกไม่ใช่งานตายตัว ทำให้งานกราฟฟิกสามารถพัฒนาไปได้เรื่อยๆ อาทิ เราทำการโปรโมทสินค้าหนึ่งชิ้น ไม่จำเป็นที่เราจะต้องทำให้อยู่ในรูปแบบเดิมๆน่าเบื่อ หากทำรูปแบบเดิมๆไม่เวิร์ค ก็ให้ลองเปลี่ยนรูปแบบไปเลยๆ นอกจากจะทำให้งานของคุณไม่จำเจแล้ว ยังช่วยทำให้คุณรู้ว่ากลุ่มลูกค้าของคุณชื่นชอบชิ้นงานแบบไหน ซึ่งสามารถดูจากยอดไลค์ ยอดแชร์ หรือ ยอดการสั่งสินค้าจากงานกราฟฟิกนั้นๆ อีกด้วย อีกทั้งงานกราฟฟิกยังไม่มีผิดถูก ลองปรับเปลี่ยนไปเลยๆอาจทำให้คุณค้นพบรูปแบบที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณก็ได้
สามารถอ่านบทความ การสร้างแบรนด์ อย่างไรให้ปัง ได้ที่นี่
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency




279
ไอเดียของขวัญเก๋ๆ จากลายปัก สำหรับให้คนพิเศษ
ไอเดียลายปัก ของขวัญเก๋ๆ เท่ห์ๆ ไม่เหมือนใคร
พอถึงเทศกาลสำคัญๆทีไร ไม่รู้จะหาของขวัญอะไรดี หากใครที่กำลังต้องการหา ของขวัญเก๋ๆ ไปให้กับคนพิเศษของคุณ ด้วยการเปลี่ยนของขวัญธรรมดาๆ ให้กลายมาเป็นของขวัญสุดพิเศษด้วยลายปัก บทความนี้จะนำเสนอไอเดียลายปักของขวัญเก๋ๆ ไม่ว่าจะให้เป็น ของขวัญวันเกิด ของขวัญปีใหม่ หรือ ของขวัญวันปัจฉิมเก๋ๆ มาทำให้ของขวัญของคุณพิเศษกว่าใครกันดีกว่า!!!
สำหรับใครที่กำลังหา ไอเดียของขวัญปีใหม่ ไม่เหมือนใครให้ได้ทุกปี อ่านบทความเพิ่มเติมได้
 
งานปักให้ความรู้สึกที่ดีอย่างไรสำหรับตัวผู้รับ
งานปัก เป็นงานที่ต้องอาศัยความละเอียด และ ความแม่นยำอย่างสูง ในการปักลายให้ได้ลายตามต้นแบบที่ต้องการ งานปักแสดงออกถึงความประณีต ความตั้งใจ ของผู้ที่ปักลาย นอกจากนั้นลายปักยังเป็นการสื่อความหมายแฝงอีกด้วย
ความหมายที่แฝงอยู่ในลายปัก ก็จะขึ้นอยู่กับประเภทและชนิดของลายปัก อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับประเภทของสิ่งของที่ปักอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การปักลายบนหมวก ปักลายบนเสื้อ ปักลายบนกระเป๋าผ้าและถุงผ้า ปักลายบนผ้าขนหนู หรือ แม้แต่สินค้าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตา หน้ากากผ้า เป็นต้น ความหมายที่แฝงอยู่ส่วนใหญ่จะแสดงถึง ความรัก ความห่วงใย ความขอบคุณ ที่ผู้ให้มอบให้แก่ผู้รับ งานปักถือว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งความรู้สึกที่เราอยากบอกให้แก่คนพิเศษของคุณ แทนที่จะพูดออกไป เปลี่ยนมาเป็นการบอกผ่านลายปัก ให้ข้อความที่คุณต้องการส่งอยู่กับคนที่คุณอยากมอบให้ตลอดไป
 
ไอเดีย ของขวัญเก๋ๆ จากลายปักสวยๆ สไตล์มินิมอล

ลายปักมินิมอล เป็นลายปักที่มีการใช้สี ใช้รูปทรงให้ดูเรียบง่าย ดูไม่ซับซ้อน เน้นสีขาวดำ สีเอิร์นโทน โดยดีไซน์ของลายมินิมอลมักจะเป็นสิ่งของที่อยู่ในชีวิตประจำวัน ในปัจจุบันลายมินิมอลเป็นที่นิยมมากในเด็กและผู้ใหญ่ สามารถใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง อีกทั้งยังเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้ชาย จะสังเกตได้จากจะเห็นผู้ชายใช้ของที่เป็นสไตล์มินิมอล จนกลายเป็นหนึ่งในสไตล์แฟชั่นยอดนิยมของผู้ชายยุคใหม่เลยทีเดียว ลายมินิมอลสามารถปักได้หลากหลาย ทั้ง กระเป๋า ทั้งเสื้อผ้า หรือ จะปักลงบนหมวก ก็เก๋ไปอีกแบบ หากมอบลายนี้ให้ใครก็แสดงถึง ความรัก ความห่วงใย ความขอบคุณ นั้นทำให้ลายปักมินิมอลเป็นที่นิยมกันมาก แต่จะมีลาย และ ความหมาย อะไรบ้างไปดูกันเลย
สามารถเข้าไปดู ผลงานและลายปัก สินค้าได้เพิ่มเติมที่นี่
 
สำหรับสายกิน

-ลายปักไข่ดาวน่าหม่ำ นอกจากจะน่ารัก น่ากินแล้ว ยังมีความหมายที่แฝงอยู่ในลายนะ ลายไข่ดาวหมายถึงความห่วงใยที่อยากให้ทานอาหารอร่อยๆจากแม่ที่มีต่อลูก หรือ ถ้าเป็นลายปักไข่ดาวคู่กับช้อน ส้อม จะหมายถึงว่าเราต้องคู่กันเหมือนช้อนกับส้อมที่ขาดกันไม่ได้ หรือจะเป็นความหมายน่ารักๆ เช่น อยากให้เธอกินเยอะๆ หรือ อย่าลืมทานข้าวเช้านะ ก็ได้ เหมาะสำหรับปักลงบนกระเป๋า หรือ ปักลงบนหมวกก็น่ารัก
-ลายปักกาแฟ อาจจะให้สำหรับผู้ใหญ่ หรือ คนที่ชอบทานกาแฟ เป็นการสื่อถึงความรักแบบผู้ใหญ่ สื่อถึงความรักที่ขาดไม่ได้ เหมือนกาแฟที่ต้องดื่มทุกเช้า หรือ อาจจะสื่อถึงความเป็นผู้ใหญ่ มีหลักการ มีความสุขุม เป็นที่เคารพ ก็ได้เช่นกัน เหมาะสำหรับปักลงบนกระเป๋าเก๋ๆ ดูเรียบๆ แต่เท่มีสไตล์
-ลายปักขนมน่ารักๆ สื่อได้หลากหลายมาก สามารถใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถ้าให้เด็กก็สามารถสื่อความหมายถึงความน่ารัก ความสดใส มีสีสัน ของเด็กๆ หรือ อาจจะหมายถึงความรัก ความใส่ใจ โดยปักเป็นลายขนมที่เด็กๆชอบก็ได้ หรือ ถ้าให้แฟน ก็สามารถสื่อถึง ความสดใส ความน่ารัก ของแฟน ว่าเหมือนกับขนมชิ้นนั้น รับรองคุณแฟนต้องชอบแน่นอน เหมาะสำหรับปักลงบนเสื้อผ้า หรือ จะกระเป๋า ก็น่ารัก น่าใช้ไปหมด
 
สำหรับสายMovie

-ลายปักภาพยนต์โปรด สำหรับใครที่เป็นสายภาพยนต์ อาจจะใช้ลายปักจากภาพยนต์ ฉากสวยๆ ลายเท่ๆ หากใครที่เป็นสายหนังโรแมนติกก็เลือกฉากหวานๆ ที่สามารถสื่อความหมายถึงความโรแมนติก ความรัก ความห่วงใย ผ่านเรื่องราวของภาพยนต์ที่ถูกปักลงบนสิ่งของ เพื่อแสดงความรู้สึก รับรองได้ว่าถูกใจสาวๆแน่นอน ถ้าใครเป็นสายหนังแอคชั่นก็เลือกลายเท่ๆ รับรองว่าเก๋ไม่เหมือนใคร เหมาะสำหรับปักลงบนกระเป๋าเก๋ๆ
-ลายปักการ์ตูน สำหรับใครที่เป็นสายที่ชอบความมินิมอลแบบเน้นสีสันสดใส ต้องลายปักการ์ตูนเลย เพราะ นอกจากลายปักจะมีความน่ารักแล้ว ยังสื่อความหมายที่แสดงถึง ความรัก ความห่วงใย ความทะนุถนอมอีกด้วย ให้ใครใครก็ชอบ เหมาะสำหรับปักลงเสื้อผ้า รับรองน่ารัก ไม่เหมือนใครแน่นอน
-ลายปักสัญลักษณ์ สำหรับใครที่เป็นสายภาพยนต์แต่คุณไม่อยากได้ลายปักเต็มๆ ลองหันมาเลือกลายปักที่เป็นสัญลักษณ์ของภาพยนต์ หรือ การ์ตูนแทน ก็จะทำให้ลายปักเก๋ไปอีกแบบ อีกทั้งยังทำให้ลายปักเท่อีกด้วย แต่ควรเลือกลายปักที่สื่อถึงภาพยนต์ชัดเจน อาทิ เรื่อง Harry potter อาจจะใช้รูปแว่นตาของแฮรี่ หรือ ชานชาลา9 3/4 ในภาพยนต์ เป็นต้น เหมาะสำหรับปักลงบนหมวก รับรองใครเห็นใครก็ชอบ แสดงสไตล์ได้เต็มที่
 
สำหรับสายรักสัตว์

-ลายปักน้องหมา เป็นลายปักยอดนิยมของใครหลายๆคน แถมยังมีหลากหลายพันธ์ุอีกด้วย ให้คุณได้เลือกปักตามความชอบ ซึ่งลายปักน้องหมาที่เป็นที่นิยม ก็จะเป็น ชิวาวา บีเกิ้ล ไซบีเรียน ปั๊ก เป็นต้น นอกจากนั้นลายปักหมา ยังสื่อความหมายถึง ความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์ ความรักที่มั่นคง และ ความหวังดีอีกด้วย อีกทั้งยังสามารถสื่อความหมายที่เจาะจงไปกับชนิดของน้องหมาอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น พันธ์ุปั๊กที่สื่อว่า เป็นคนตัวเล็กน่ารัก น่าทะนุถนอมก็ได้ เหมาะสำหรับปักลงบนเสื้อ ปักตรงกระเป๋าเสื้อเก๋ๆ เท่ๆ
-ลายปักน้องแมว มาถึงทาสแมวหลายๆคน แมวถือว่าเป็นหนึ่งในลายสัตว์เลี้ยงยอดนิยม เพราะ ลายปักแมวจะซ่อนความหมายที่สื่อถึง ความขี้เล่น ความอ้อน อีกทั้งยังสื่อถือ ความรักแบบคู่กัดได้อีกด้วย ลายน้องแมวจะไม่นิยมเน้นไปที่พันธ์ุของแมวเหมือนของน้องหมา ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่สีสันมากกว่า หรือ จะนิยมปักรูปรอยเท้าแมวแทนการปักแมวตรงๆ ก็น่ารักไปอีกแบบ เหมาะสำหรับปักลงบนเสื้อผ้า หรือ จะกระเป๋าก็น่ารัก
-ลายปักปลา ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไอเดียลายปักของคนรักสัตว์ ที่เบื่อลายหมา ลายแมว ลายปลานับว่าเป็นอีกหนึ่งลายที่สวยงาม เนื่องจากสีสันของปลามักจะมีสีสดใส ทำให้ปักแล้วมีความสวยงาม อีกทั้งปลายังสื่อความหมายที่ดีในเรื่องของ โชคลาภ เรื่องของสุขภาพ ความโชคดี เหมาะมากสำหรับคนที่จะปักเป็นของขวัญให้ผู้ใหญ่ เหมาะสำหรับปักลงบนผ้าเช็ดตัว หรือ ผ้าต่างๆ รับรองทั้งสวย ทั้งความหมายดี คนรับต้องชอบแน่ๆ

ออกแบบลายปักเองได้ เราขึ้นลายตามแบบที่คุณต้องการ
สำหรับใครที่อยากได้ลายเฉพาะของตัวเอง ลายที่ไม่เหมือนใคร มาทางนี้ เพราะ เรารับขึ้นลายตามแบบที่คุณอยากได้ ไม่ว่าจะ ปักลายเซ็นต์ให้ผู้ใหญ่ หรือ ปักลายเซ็นต์ศิลปินที่ชอบ รับรองลายเซ็นต์ไม่หายไปไหน ไม่หลุดลอกเหมือนงานพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นลายแบบไหนเราก็ปักให้คุณได้ แค่เพียงเลือกของขวัญอะไรก็ได้มาให้เราปัก เรายินดีแนะนำลายที่เหมาะสม หรือ จะเลือกลายจากทางร้าน ลายที่ออกแบบเอง ให้คุณออกแบบของขวัญชิ้นพิเศษของคุณได้เต็มที่ ให้ทุกๆข้อความที่คุณต้องการสื่อสารสื่อไปให้ถึงผู้รับ
 
ของขวัญชิ้นพิเศษ จะดูพิเศษมากขึ้น ถ้าใส่ข้อความแทนความห่วงใย หรือ คำพูดที่สื่อถึงความหมายพิเศษๆ ข้อความที่อ่านแล้วประทับใจ " ปัก" ข้อความที่คุณอยากส่งผ่านของขวัญชิ้นพิเศษนี้ แทนความห่วงใย ที่ทำให้ผู้ให้รู้สึกดี ผู้รับประทับใจ
 
สำหรับบริษัท​ หรือ​ ท่านที่ต้องการ​สั่งของขวัญ​ ของพรีเมี่ยม​ จำนวนมาก​ สามารถ​ติดต่อ​เราได้เช่นกัน​ Customize ร้านปักจากโรงงานผู้ผลิตสินค้าโดยตรง
 
"Customize ปักอะไรก็ได้............ที่แทนความหมายจากคุณ"

สามารถติดต่อ สอบถาม Customize by Insider ช่องทางอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่
Facebook : Customize ทำไมต้องเหมือนใคร
Line ID : @customize
Instagram : u.customize.byinsider
Showroom
: สีลมคอมเพล็กซ์ 02-231-3170
 
: ไอคอนสยาม 081-755-5161




280

การสร้างแบรนด์ สร้าง Branding อย่างไรให้ปัง!
หากใครที่จะต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจ และ ต้องการ  การสร้างแบรนด์ ให้เป็นที่รู้จักสำหรับลูกค้า แล้วจะต้องทำอย่างไรในการสร้าง Branding ให้เป็นที่รู้จัก
 
Highlight Branding ที่ต้องรู้!!!
-Branding คืออะไร?
-ประโยชน์ของการสร้างแบรนด์ต่อการทำธุรกิจ
-ขั้นตอนใน การสร้างแบรนด์ ให้เป็นที่จดจำ
 
Branding คืออะไร กันแน่ ?
การสร้างแบรนด์ หรือ Branding เป็นการสร้างตัวตนของแบรนด์ ภาพลักษณ์ ให้ออกมาอยู่ในรูปแบบที่เป็นตราประจำของสินค้า เพื่อให้เป็นที่จดจำของกลุ่มลูกค้า เพื่อใช้ในการโปรโมทสินค้าและบริการ
สินค้าและบริการส่วนใหญ่ จะใช้ชื่อหรือภาพลักษณ์ของแบรนด์เพื่อสร้างจุดดึงดูด เพื่อให้ลูกค้าจำได้ ยกตัวอย่าง Branding ของ bemyfriend ที่เป็นรูปโลโก้จับมือ ที่แสดงถึงบริการของเราที่พร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง หรือ จิ้งจอกที่เป็นมาสคอต สีที่พอเห็นแล้วรู้เลยว่าแบรนด์นี้

 
ประโยชน์ของ การสร้างแบรนด์ ต่อการทำธุรกิจ
การสร้างแบรนด์นอกจากจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์แล้ว ยังมีประโยชน์มาก ในการทำ การตลาดออนไลน์ ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Influencer Marketing , SEO และ Content Marketing เป็นต้น ล้วนใช้แบรนด์ในการทำการตลาดทั้งสิ้น มาดูกันว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้างต่อธุรกิจ
-สร้างความโดดเด่น แตกต่าง ไม่เหมือนใคร อย่างที่ยกตัวอย่างไปข้างต้นว่า การ- สร้างBranding ทำให้แบรนด์ของคุณดูโดดเด่นขึ้น นั้นเป็นการสร้างการจดจำ เพราะ ภาพจำ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ สี เพลง เป็นสิ่งที่กระตุ้นการตัดสินใจซื้อสินค้าที่ดี เช่น แบรนด์สินค้าเป็นชื่อที่จำง่าย สีจำง่าย มองแล้วรู้ว่าสีแบบนี้คือแบรนด์นี้ หรือ เพลงที่มีสโลแกนของแบรนด์
-สร้างยอดขาย ให้ขายได้ง่ายและมากยิ่งขึ้น จะบอกว่าแบรนด์มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจก็ว่าได้ ยิ่งแบรนด์มีชื่อเสียงหรือดัง ก็ทำให้สามารถขายสินค้าได้มากยิ่งขึ้น แบรนด์ยอดนิยมจะทำให้มีช่องในการวางสินค้าที่มากกว่า หรือ ที่ในการจัดวางมีทำเลที่ดีกว่า จะเห็นได้ว่าแบรนด์มีผลต่อยอดขาย ความสามารถในการขายสินค้า
-สร้างมูลค่าที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ยิ่งแบรนด์เป็นที่รู้จัก ยิ่งทำให้มูลค่าของสินค้ายิ่งขึ้น สังเกตจากแบรนด์ที่ติดตลาดมักจะมีราคาสูงกว่าแบรนด์ทั่วไป แต่ถึงราคาจะสูงกว่าก้ยังมีผู้บริโภคที่ยอมซื้อ เนื่องจากการยอมรับในแบรนด์ที่ผลิต มูลค่าของแบรนด์ส่งผลต่อมูลค่าของสินค้า
 
ขั้นตอนในการสร้างแบรนด์ ให้เป็นที่จดจำ
จะทำอย่างไรให้แบรนด์ของคุณมีประสิทธิภาพ ไปดูกันเลย
รู้จักแบรนด์
เราจะต้องกำหนดก่อนว่า แบรนด์ที่เราต้องการจะสร้าง เป็นแบรนด์แบบไหน? สร้างมาเพื่ออะไร? สิ่งที่แบรนด์ต้องการที่จะนำเสนอคืออะไร? เป็นการตอบคำถามกับตัวเอง ตามหลัก 4W1H ได้แก่ what , who , where , when และ how ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทำแบรนด์จะต้องรู้จักแบรนด์ของตนเองก่อน ที่จะไปเริ่มในขั้นตอนต่อไป ดังต่อไปนี้
-what - อะไร สิ่งสำคัญในการทำแบรนด์ คือ เราจะต้องรู้ว่าเราจะทำแบรนด์กับสินค้าอะไร การเข้าใจในสินค้าที่ต้องการสื่อออกมาในรูปแบบ Branding เช่น ต้องการทำน้ำผัก สำหรับคนรักสุขภาพที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง น้ำผักอร่อยดื่มง่าย พกพาสะดวก เป็นต้น
-Who - ใคร ในที่นี้ หมายถึง กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการที่จะสร้างแบรนด์ไปเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า เช่น เป็นแบรนด์น้ำผัก กลุ่มลูกค้าก็คือ กลุ่มคนรักสุขภาพ นั้นเอง
-Where - ที่ไหน หมายถึง สถานที่ที่เราต้องการจะนำแบรนด์ลงไปตีตลาด เช่น แบรนด์น้ำผัก ที่ที่ต้องการเจาะกลุ่มก็คือ ตัวเมืองใหญ่ๆ เนื่องจากคนรักสุขภาพที่ต้องการดื่มน้ำผักน่าจะต้องเป็นคนที่ไม่มีเวลาไปคั้นน้ำเอง ต้องการแบบสำเร็จซึ่งคาดว่าต้องเป็น คนในเมืองที่รีบร้อนเป็นแน่ เป็นต้น
-When - เมื่อไหร่ ในที่นี้หมายถึง ช่วงเวลาไหนหรือเมื่อไหร่ที่ควรจะใช้สินค้า เช่น น้ำผักที่ควรดื่มก่อนนอน เพื่อระบบขับถ่ายที่ดีในตอนเช้า เป็นต้น
-How - อย่างไร หมายถึงวิธีในการใช้ของสินค้า เช่น น้ำผักต้องเขย่าก่อนดื่ม เป็นต้น
เป็นการวิเคราะห์แบรนด์ก่อนที่จะสร้างแบรนด์ เพื่อที่เราจะได้ทำแบรนด์ออกมาได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของแบรนด์และเป้าหมาย

สร้างความแตกต่าง
อยากที่ได้บอกไว้ในตอนต้นว่า ประโยชน์หลักของการสร้างแบรนด์ คือ การทำให้คนรู้จักสินค้าของเราผ่านแบรนด์มากยิ่งขึ้น การสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่น แตกต่าง การสร้างให้แบรนด์มีความแตกต่าง โดดเด่นกว่าแบรนด์อื่นๆเป็นการทำการตลาดที่กระตุ้นความสนใจของผู้บริโภค
อย่างเช่น กรณีน้ำผัก ปกติน้ำผักจะใช้รูปของผักในการชูความเป็นแบรนด์ แต่ก็ยังไม่ได้ดึงดูดมากนัก ถ้าลองสร้างแบรนด์ให้โดดเด่น ด้วยการชูเรื่องของสมองและผิวพรรณควบคู่ไปด้วย หรือ เล่นไปที่สีที่โดดเด่น รูปลักษณ์ที่แปลกใหม่ ก็ได้อาจทำให้แบรนด์น่าสนใจมากยิ่งขึ้น !!!

Cr photo : เจ้เล้ง
Brand Personality
การสร้างคาแรคเตอร์ให้กับแบรนด์ เป็นการกำหนดคาแรคเตอร์ให้แบรนด์ เพื่อให้แบรนด์สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ดีมากยิ่งขึ้น
-ความสนุกสนาน ความอยากออกไปใช้ชีวิต เช่น แบรนด์น้ำอัดลมต่างๆ เป็นการเจาะกลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ เป็นต้น
-ความห่วงใย จริงใจ เช่น แบรนด์ข้าว สิ่งของที่บอกส่วนผสมชัดเจน จนไปถึง พวกประกันชีวิต ที่ต้องการเจาะกลุ่มคนวัยทำงาน แม่บ้าน เป็นต้น
-ความหรูหรา เช่น แบรนด์ของใช้ จนไปถึงแบรนด์เสื้อผ้ารองเท้า ที่ต้องการเจาะกลุ่มคนที่ชอบความหรูหรา เลอค่า เป็นต้น
-ความทันสมัย เช่น แบรนด์โทรศัพท์ต่างๆ ที่ต้องการเจาะกลุ่มคนตามกระแสสังคม คนที่ชอบอัพเดตสิ่งของใหม่ๆ เป็นต้น
-ความทนทาน เช่น แบรนด์ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เจาะกลุ่มคนที่ชอบความประหยัด เป็นต้น

ดีไซน์และโลโก้แบรนด์
สำคัญมากสำหรับการสร้างแบรนด์ เพราะว่า ดีไซน์และโลโก้ถือว่าเป็นหน้าตาของแบรนด์ ยิ่งสวยคนยิ่งอยากมอง แต่ถ้าไม่สวยสรรพคุณจะดีแค่ไหนคนก็ไม่อยากได้ การออกแบบดีไซน์ โลโก้จะต้องอิงจากการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ถ้าหากกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กก็ต้องใช้ตัวการ์ตูนในการดึงดูด แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่อาจจะต้องใช้สรรพคุณ ภาพลักษณ์ในการดึงดูด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งจะต้องวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายให้ดี ก่อนที่จะทำการสร้างโลโก้แบรนด์และดีไซน์ของแบรนด์
แนะนำว่าควรออกแบบให้ดีในครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ สี สโลแกน ผลิตภัณฑ์ เนื่องจากคนมักจะจดจำภาพแรกได้ดีที่สุด การที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมานอกจากคนจะจำไม่ได้แล้ว ยังเป็นการลดความน่าเชื่อถืออีกด้วย เพราะฉะนั้นควรวางแผนก่อนลงมือทำให้ดีก่อนที่จะลงมือทำ จะทำให้แบรนด์ของคุณออกมาปัง!!!
 
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency



281

อัพเดท GoPro (Firmware GoPro) วิธีง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเอง
ถึงกล้อง GoPro จะมีประสิทธิภาพในการถ่ายภาพที่ดี ทั้งโหมดต่างๆที่คอยช่วยเหลือ ให้การถ่ายภาพของคุณออกมายอดเยี่ยม ซึ่งจำเป็นที่จะต้อง อัพเดท GoPro ที่เป็นการอัพเดทFirmware GoPro นั้นเอง การที่อัพเดทเฟิร์มแวร์ให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่อยู่เสมอ เป็นการทำให้กล้องโกโปรสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการอัพเดท Firmware จะเป็นการเพิ่มคำสั่งใหม่ๆ การอัพเดทเพื่อเพิ่มความสามารถให้กับตัวเครื่อง แต่จะอัพเดทอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ!!!
ก่อนอัพเดท Firmware ต้องเตรียม GoPro อย่างไรบ้าง?
1.ชาร์จแบตเตอรี่ GoPro ให้แบตเตอรี่มากกว่า 50% เนื่องจากการอัพเดทจะทำให้แบตเตอรี่ลดลงเร็วมาก  ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีแบตเตอรี่ที่พอสำหรับการอัพเดท หรือ จะต้องชาร์จแบตในระหว่างที่ทำการอัพเดทเฟิร์มแวร์อีกด้วย
2.การฟอร์แมต SD Card ให้พร้อมสำหรับทำการอัพเดทเฟิร์มแวร์ เนื่องจากการอัพเดทอาจจะกินพื้นที่ในการเก็บข้อมูลค่อนข้างมากดังนั้นอย่าลืมฟอร์แมตด้วยละ
การอัพเดทGoPro อัพเดทเฟิร์มแวร์ มีกี่วิธี ?
การอัพเดท Firmware สามารถทำได้ทั้งหมด 3 วิธี ดังต่อไปนี้
-การอัพเดทเฟิร์มแวร์ผ่านโทรศัพท์มือถือ
-การอัพเดทเฟิร์มแวร์ผ่านคอมพิวเตอร์
-การอัพเดทเฟิร์มแวร์ผ่าน SD Card
ขั้นตอนในการ อัพเดท GoPro ง่ายๆที่ทำได้ไม่ยาก
จะเห็นว่าการอัพเดท GoPro มีวิธีให้เลือกหลากหลายวิธี สามารถทำได้ง่ายๆทุกวิธี อีกทั้งขั้นตอนในการอัพเดทก็ไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าอยากรู้แล้วว่าวิธีและขั้นตอนในการอัพเดทจะมีขั้นตอนอะไรบ้าง ไปดูกันเลยแบบ STEP BY STEP
การอัพเดทเฟิร์มแวร์ผ่านโทรศัพท์มือถือ

การอัพเดทเฟิร์มแวร์ผ่านมือถือ เป็นการอัพเดทผ่านแอพพลิเชั่น GoPro ซึ่งสามารถทำได้ดังต่อไปนี้ เริ่มจากการเข้าไปดาวน์โหลด GoPro App ได้ที่ App Store หากเป็น Iphone และ Google Play หากเป็น Andriod แล้วทำการติดตั้งแอพพลิเคชั่นลงบนโทรศัพท์มือถือให้เรียบร้อย

เมื่อติดตั้งแอพพลิเคชั่น ให้ทำการเข้าสู่แอพพลิเคชั่น GoPro > แล้วทำการลงชื่อเข้าใช้งานให้เรียบร้อย

ให้ทำการเชื่อมต่อกล้อง GoPro เข้ากับแอพพลิเคชั่น GoPro > เมื่อมีการอัพเดทเฟิร์มแวร์ แอพพลิเคชั่นจะทำการแจ้งเตือน > ให้ทำการกดอัพเดท แล้วรอจนอัพเดทเสร็จเรียบร้อยก็เป็นอันสำเร็จ
การอัพเดทเฟิร์มแวร์ผ่านคอมพิวเตอร์

เป็นการอัพเดทบนคอมพิวเตอร์ ด้วยโปรแกรม Quick for Desktop โดยการเข้าไปที่เว็บไซต์ของโกโปร > ดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรม Quick for Desktop ให้เรียบร้อย

เมื่อติดตั้งแอพพลิเคชั่นเรียบร้อย > ให้ทำการเชื่อมต่อโกโปรเข้ากับคอมพิวเตอร์ ด้วยสาย USB จากนั้นเข้าสู่โปรแกรม Quick for Desktop

เมื่อเข้าโปรแกรมเรียบร้อย > เลือกที่ชื่อของกล้อง > เมื่อมีการอัพเดทโปรแกรมจะแจ้งเตือนให้อัพเดทได้เลย รอจนกระทั่งอัพเดทสำเร็จ
การอัพเดทเฟิร์มแวร์ผ่าน SD Card

เป็นการอัพเดท แบบ Manualให้เข้าไปที่เว็บไซต์ GoPro เลื่อนลงไปข้างล่าง > เลือกที่ Camera Software Updates > ทำการเลือกรุ่นของกล้องโกโปรที่เราต้องการอัพเดทเฟิร์มแวร์

ดูเวอร์ชั่นล่าสุดของเฟิร์มแวร์ > ให้เลือกที่ Update your camera manually

ให้ทำการกรอก Serial Number  เราสามารถดูเลขได้จากช่องสำหรับใส่แบตเตอรี่ ใต้กล้องสินค้า หรือ ดูจากภายในตัวกล้อง โดยเข้าไปที่ Perference > เลือก About > เลือก Camera Info ก็จะเห็นเลขสำหรับตัวเครื่องนั้นเอง จากนั้นใส่ Email > เลือกที่ Your agree to our terms of use > เลือกที่ next step
จากนั้นทำการดาวน์โหลดอัพเดทลงในคอมพิวเตอร์ > เมื่อดาว์นโหลดสำเร็จให้ทำการแตกไฟล์จากไฟล์ .zip ได้ 3 ไฟล์ จากนั้นถอด SD Card แล้วใส่เข้าไปในคอมพิวเตอร์ > ให้ copy ไฟล์เข้าไปใน SD Card ของตัวกล้อง และ นำ SD Card ใส่กลับเข้าไปในกล้อง จากนั้นกล้องจะทำการอัพเดทเฟิร์นแวร์เองทันที
 
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


282

ไม้จ๊อย คือ อะไร ทำความรู้จักข้อดี-ข้อเสียในการนำไปใช้งาน
ถ้าพูดถึงเฟอร์นิเจอร์ built in ไม้จ๊อยถือว่าเป็นไม้ที่ถูกใช้มาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทำโครงสร้างหลัก พวก แผงตู้ บานประตู ซึ่ง ไม้จ๊อย คือ ไม้ที่ถูกใช้หลักๆในการขึ้นโครง สำหรับงานตกแต่งภายใน ไม้จ๊อยจะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ไปอ่านในบทความกันเลย
ไม้จ๊อย คือ อะไร และ   มีประเภทอะไรบ้าง ?
ไม้จ๊อย หรือ ที่เรามักจะคุ้นชินในชื่อต่างๆ   ไม่ว่าจะเป็น  ไม้จ๊อยส์ ไม้โครง   ไม้ประสาน   ไม้ร่องฟันปลา   ซึ่งไม้จ๊อย   เป็นการนำไม้ท่อนสั้นๆ   มาผ่านขั้นตอนกระบวนการ เพื่อเพิ่มความยาวให้แก่ไม้ ซึ่งจะใช้การเชื่อมไม้เข้าด้วยกัน จนเกิดความแข็งแรง  ด้วยเทคนิคการทำเป็น  "ร่องฟันปลา"   เพื่อต่อให้ไม้มีขนาดที่ยาวมากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น ไม้จ๊อยยังสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย อาทิเช่น ทำบานหน้าต่าง บานประตู  ทำราวบันได   ทำไม้พื้น หรือ อาจจะใช้ไม้จ๊อยในการทำเป็นไม้โครงในตู้  ตลอดจนนำไปแปรรูปเป็น ไม้จ๊อยแผ่น   ในการผลิตเป็นโต๊ะ   เก้าอี้ อีกด้วย
ประเภท และ ขนาดของไม้ที่นิยมนำมาทำ   
ประเภทของไม้จ๊อย ที่นิยมนำมาแปรรูป   มี   3   ประเภท ได้แก่ ไม้โครง ไม้จ๊อยแผ่น และ ไม้ท่อนจ๊อย  เป็นต้น
ไม้โครง


ใช้ในการทำเป็นไม้โครงสร้างหลัก สำหรับตีฝาเพื่อกั้นห้อง การขึ้นโครงตู้  ไม้จ๊อยสามารถต่อได้สองแบบ คือ แบบ Finger joint ที่จะเห็นรอยฟันปลาที่ด้านกว้างของไม้ ฟันปลาจะแหลม และ Box joint ที่จะเห็นรอยฟันปลาที่ด้านหนาของไม้ ฟันปลาจะเหลี่ยม
ขนาด ของไม้โครงพื้นฐาน   จะมีดังต่อไปนี้
-ความหนา   จะนิยมใช้ประมาณ   17.5   และ   20-22   มม.
-ความกว้าง   จะนิยมใช้ประมาณ   35   และ   42-45   มม.
-ความยาว   จะนิยมใช้ประมาณ   2.5   มม.

ไม้จ๊อยแผ่น

ใช้สำหรับทำเป็น โต๊ะ   เก้าอี้   ผนังห้อง   พื้นห้อง   งานตกแต่งที่ต้องการไม้ที่มีความเรียบ   เป็นแผ่น   อาจจะใช้ในการทำชั้นวางแบบ built in  ก็เก๋ไปอีกแบบ
ขนาด ของไม้จ๊อยแผ่น   จะมีดังต่อไปนี้
-ความหนา   จะนิยมใช้ประมาณ   1.2  และ   1.6-2.2  ซม.
-ความกว้าง   จะนิยมใช้ประมาณ   60 ซม.
-ความยาว   จะนิยมใช้ประมาณ   2.5   ม.

ไม้ท่อนจ๊อย

ใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์   ตกแต่ง   พวกราวบันได   หรือ   นำไปทำเป็น  ไม้คิ้ว   ไม้บัว สำหรับตกแต่งภายในบริเวณขอบหน้าต่าง   ขอบประตู   เป็นต้น
ขนาด ของไม้โครงพื้นฐาน   จะมีดังต่อไปนี้
-ความหน้ากว้าง   จะนิยมใช้ประมาณ   40   และ 80   ซม.
-ความยาว   จะนิยมใช้ประมาณ   4-6 ม.

ขนาดของไม้ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต และ โรงงาน   ลูกค้าสามารถแจ้งขนาดเพิ่มเติมที่ต้องการได้
ชนิดของไม้ที่นิยมนำมาผลิตเป็นไม้จ๊อย
-ไม้สักสวนป่า
ข้อดี - เป็นไม้เนื้อนิ่ม   มีรูปทรงตั้งตรง   ไม่บิ่น ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ง่าย
ข้อเสีย   -   ลำต้นมีกระพี้ติดมาก  (ส่วนที่อยู่ระหว่างเปลือกไม้กับแก่นไม้ มีสีจางค่อนข้างไปทางขาว)   ทำให้เนื้อไม้อาจจะดูไม่สวย   ต้องอาศััยการตัดแต่ง
ไม้สักเนื้อ
ข้อดี   -    เป็นไม้เนื้อนิ่ม   เนื้อไม้สวย ปลวกไม่กิน  มีรูปทรงตั้งตรง   ไม่บิ่น ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ง่าย
ข้อเสีย   -   มีราคาค่อนข้างแพง   ทำให้มีการสั่งผลิตตามท้องตลาดค่อนข้างน้อย
ไม้เบญจพรรณ
ข้อดี   -   เป็นไม้ที่เนื้อไม้แน่น   มีความมั่นคง   รองรับแรงได้ดี
ข้อเสีย   -   เนื้อไม้ค่อนข้างแข็ง   แต่ไม่มีความเหนียว   ทำให้ทำงานที่ต้องอาศัยการเจาะ   การตอกยาก
ไม้ยางพารา
ข้อดี  -   เนื้อแข็งและเหนียว   เนื้อไม้ขึ้นรูปได้ง่าย   ง่ายต่อการตอกตะปู   ตัดแต่งให้สวยงาม
ข้อเสีย   -   เนื้อไม้บิดตัวได้ง่าย   แมลง   มอดชอบ   ทำให้ต้องอาศัย   การอัดน้ำยา   และ   อบไม้
ไม้ตะแบก
ข้อดี   -   เนื้อแข็งเหนียว   มีลักษณะมันลื่น   ทำให้ทำงานได้ง่าย
ข้อเสีย   -   ราคาแพง   มีราคาใกล้เคียงพอๆกับไม้สัก   แต่คุณภาพด้อยกว่า
 
สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม MTK ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  : @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com



283

การทำ SEO อย่างง่าย สำหรับผู้เริ่มต้น
หลายๆคนอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า SEO แล้วบ้าง แต่ยังไม่รู้ว่าวิธีใน การทำ SEO ว่าต้องทำอย่างไร การทำSEOยากจริงหรือถ้าหากเป็นมือใหม่ บทความนี้จะมานำเสนอวิธีการทำSEOอย่างง่าย สำหรับผู้เริ่มต้น ไม่ว่าใครก็สามารถทำSEOได้ไม่ยาก
 
Highlight การทำSEO ที่ต้องรู้!!!
-วิเคราะห์ Target
-หา Keyword ให้ตรงกับ Target
-เขียน Content และ ตรวจสอบด้วย Yoast SEO
-ทำ Backlink
-ตรวจเช็คContent ด้วย search console

เราควรที่จะรู้จักข้อมูลคร่าวๆเสียก่อนว่า SEO คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ทำไมถึงต้องทำ SEO แต่ถ้าใครยังสงสัยสามารถอ่านได้จากบทความ SEO คืออะไร? พร้อมสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเริ่มทำ และ บทความ SEO SEM ต่างกันอย่างไร แต่ถ้าหากใครรู้จักแล้วเรามาเริ่มต้นในการทำ SEO ไปพร้อมๆกันเลย
 
ขั้นตอนใน การทำ SEO ฉบับมือใหม่

วิเคราะห์ Target
[/size][/color]
ก่อนที่เราจะเริ่มลงมือทำ SEO สิ่งแรกที่เราต้องทำนั้นก็คือ การวิเคราะห์เพื่อค้นหา Keyword ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญ เราต้องมาวิเคราะห์ สิ่งที่เป้าหมายของเราจะค้นหา จากการค้นหาคำกว้างๆ , การค้นหาจากคำยอดนิยม คำฮิตๆ ที่คนชอบใช้กัน , การค้นหาคำที่มีความเฉพาะ แคบมากยิ่งขึ้น เป็นต้น

ยกตัวอย่างเช่น เราทำธุรกิจ ขายเสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี ก็ให้คาดการKeyword ว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะค้นหาอะไร อาทิ เสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี เสื้อผ้าแนวมินิมอล เป็นต้น หรือ อาจจะเจาะลึกด้วยวิธีตามต่อไปนี้

-วิธีการค้นหา Keyword จากคำกว้างๆ จาก Google โดยอาจจะเริ่มจากคำที่เรานึกออกก่อน หรือ เป็นคำที่เป็นสิ่งที่เราขาย ในที่นี้ อาจจะค้นหาคำว่า เสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี ซึ่งจากการค้นหาจะพบว่า สามารถใช้คำนี้ได้ หรือ คำที่มีเนื้อหาคล้ายๆกัน เช่น ขายเสื้อผ้าเกาหลี , แฟชั่นเกาหลี และ เสื้อผ้าเกาหลีพร้อมส่ง เป็นต้น ซึ่งการที่นำKeywordมาใช้ เป็นส่วนหนึ่งใน การทำ SEO ให้ถูกหลักตามกฎของ Google ที่ควรนำมาใส่ในส่วนต่างๆของบทความ

-วิธีค้นหาจากคำยอดนิยม คำฮิตๆ ให้เราลองเลือกคำที่คาดว่าคนส่วนใหญ่นิยมใช้ก่อน อาทิ ถ้าเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี อาจจะใช้คำว่า เสื้อผ้าเกาหลีสวยๆ , เสื้อผ้าเกาหลียอดนิยม และ เสื้อผ้าเกาหลีมินิมอล เป็นต้น หรือ อาจจะดูจากเวลาที่เรากำลังจะพิมพ์ Keyword มันจะขึ้นคำที่ถูกค้นหายอดฮิตหรือใกล้เคียงให้

-วิธีค้นหาคำที่มีความเฉพาะมากยิ่งขึ้น เจาะจงมากกว่าเดิม เป็นการค้นหาที่แคบขึ้นจากการค้นหาแบบแรก เป็นการใช้ Keyword สองคำขึ้นไปในการค้นหา ทำให้การค้นหามีความจำเพาะ เจาะจงมากขึ้น อาทิ เสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี ฤดูหนาว , แฟชั่นเกาหลี 2020 และ แฟชั่นเกาหลี สีขาวดำ เป็นต้น หรือ อาจจะดู Keyword เพิ่มเติม จากส่วนล่างของการค้นหา (Related searches) ได้

-วิธีค้นหาโดยใช้คำถามที่คนอยากรู้ เราอาจจะเป็นผู้ตั้งคำถามเองจากช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทางเว็บบอร์ด ทางPantip หรือ อาจจะใช้การค้นหาที่เป็นคำถาม เพื่อดูว่าในKeywordที่เราถามมีความเกี่ยวข้องกับคำไหนบ้าง เช่น เราถามว่า แต่งเสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลีให้เข้ากับประเทศไทย แล้วดูว่าKeywordที่เขาใช้มีคำไหนบ้าง เพื่อนำมาปรับใช้กับบทความของเรา หรือ ใช้คำถามเพื่อหาคำตอบ ว่าถ้าTarget ถามแบบนี้ ควรใช้Keyword อะไร

-วิธีการค้นหาผ่านเว็บไซต์สำหรับค้นหา Keyword ต่างๆ ที่มีให้เลือกหลากหลาย ซึ่งเราได้คัดเว็บไซน์ในการค้นหายอดนิยมมาให้แล้ว ดังนี้ Ubersuggest , Searches related , Google trend และ keyword planner เป็นต้น ซึ่งทำให้เราสามารถดู volum ในการค้นหาได้ อีกทั้งยังทำให้ทราบKeywordที่ใกล้เคียง


หา Keyword ให้ตรงกับ Target
ถึงเราจะมี Keyword ที่มี volum ในการค้นหา หรือ Keyword จะดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เราจะทำก็ไม่มีประโยชน์ เราต้องรู้ก่อนว่า Target เราเขาต้องการค้นหา /  อยากอ่านเนื้อหาประมาณไหน ซึ่งก็จะต้องอาศัยการทำให้ถูกหลักที่ Google กำหนดไว้

เขียน Content และ ตรวจสอบด้วย Yoast SEO
เราจะเขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับKeyword และ ทำการตรวจสอบบทความว่า ผ่านตามกฎของ Google หรือไม่ ด้วยการใช้ Yoast SEO ซึ่งเปิดให้ใช้งานฟรี แต่อาจจะใช้งานไม่ครอบคลุมเหมือนกับตัว Premium ที่เสียเงิน หรือ ถ้าเราเขียนไปนานๆ เราจะรู้ได้เลยโดยไม่ต้องใช้ Yoast แต่สำหรับมือใหม่ ตัวฟรีก็ถือว่าสามารถช่วยคุณได้เยอะเลย แต่คร่าวๆ ควรจะต้องรู้ดังต่อไปนี้
-Title ที่น่าสนใจ และ Keyword ที่ตรงกับTarget ผ่านการดูเว็บไซต์ที่ติดอันดับดีๆบนหน้าแรกๆ อย่างเช่น ส่วนใหญ่เนื้อหาจะเน้นไปที่ การแนะนำเสื้อผ้าที่มาใหม่ หรือ เป็นการอัพเดตเสื้อผ้าใหม่ๆ พร้อม Tie-in (โฆษณาแฝง) สินค้า เราก็ทำเนื้อหาในแนวเดียวกัน โดยอาจจะแต่ง Title ให้น่าสนใจเพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านอยากกดเข้ามา อาทิ อัพเดตเสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี ใหม่ล่าสุด พร้อมกับเทคนิคแต่งตามไอดอลให้ปัง เป็นต้น อาจจะใช้ลูกเล่น ในการเล่นคำ หรือ คำฮิตๆ

-Mata Description ต้องดี นอกจากชื่อเรื่องจะน่าอ่าน คำบรรยายใต้Title เป็นสิ่งที่ถ้าเขียนดี มีKeywordในเนื้อหา กระชับ ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะคนส่วนใหญ่จะยังไม่เข้าไปอ่านในบทความทันที แต่จะอ่านจากคำบรรยายใต้ชื่อบทความก่อนที่จะเข้าไปอ่านเต็มๆ

-Link สำคัญไม่น้อยกว่าTitle URL ของเว็บไซต์มีผลต่อ Google ควรจะเลือกใช้ URL ที่บอกถึงสิ่งที่ทำอยู่ และ ควรเข้าใจได้ง่ายเมื่อดูLink อาทิ เช่น www.Koreanfashion.com  เป็นต้น คือดูแล้วรู้เลยว่าเกี่ยวกับอะไร

-เนื้อหาที่ต้องถูกหลัก SEO ในบทความเนื้อหาควรจะมีการกระจาย Keyword อย่างสม่ำเสมอ ทั่วบทความ โดยจะต้องเน้นในส่วนที่เป็นหัวข้อ (Header , Subheader) ซึ่งควรจะมีKeyword อยู่ในหัวข้อต่างๆ ที่เป็นหัวข้อใหญ่ และ ในส่วนต่างๆ อาจจะใช้ Keyword ตรงๆ หรือ Related Keyword แต่ไม่ควรเยอะจนเหมือนการสแปม เพราะแทนที่จะเกินผลดีจะกลายเป็นว่า Google จะคิดว่าเป็นเว็บสแปมและหักคะแนนเว็บไซต์แทนได้

ทำ backlink
เป็นการเอาลิ้งค์ของเว็บไซต์ของเราไปฝากที่เว็บไซต์อื่นๆ อาทิ พวกเว็บบอร์ดต่างๆ เพื่อให้ bot ของ Google อ่านซึ่งทำให้เว็บไซต์เรามีโอกาสในการติดหน้าแรก ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ สำคัญมากสำหรับการทำ SEO เพราะ ถึงแม้บทความเราจะถูกหลัก Google จะดีจะแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีการทำBacklink กลับไปที่เว็บก็จะไม่มีคนที่รู้จักเว็บไซต์ของเรา แล้วจะทำให้ไม่มีคนเข้ามา ซึ่งจะไม่เกิด conversion
ตรวจเช็คContent ด้วย search console
เป็นการติดตาม และ วัดผลอันดับ จากการที่เราทำ SEO ไปแล้ว อาจจะต้องทิ้งระยะไว้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ซึ่งสามารถวัดออกมาได้ทั้ง ดูจากยอดการเข้าชมเว็บไซต์ที่เกิดจากการค้นหาบน Google หรือ ที่เรียกว่า Organic Search และ อันดับของ Keyword ที่เราใช้ เป็นการแสดงข้อมูลอันดับโดยเฉลี่ยต่างๆ
 
สามารถเข้าไปอ่านบทความ SEO SEM ต่างกันอย่างไร ได้ที่นี่ หรือบทความอื่นๆได้ที่ bemyfriend
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


284

วิธีลงทะเบียนประกัน GoPro ทำอย่างไรบทความนี้มีคำตอบ?
GoPro เป็นกล้องสำหรับกิจกรรมลุยๆต่างๆ ไม่ว่าจะปีนเขา ดำน้ำ ถึงกล้องโกโปรจะมีความทนทานสูงก็ตาม แต่ก็อย่าลืมที่จะ ลงทะเบียนประกัน GoPro เพราะ ไม่ว่ากล้องจะทนทานแค่ไหน ก็ต้องย่อมมีวันที่จะชำรุด เสียหายได้ GoPro รับประกันในกรณีเกิดความผิดพลาดของตัวกล้องที่มาจากการผลิต แต่ไม่รับประกันความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุจากการใช้งาน บทความนี้จะบอกวิธีลงทะเบียนแบบ STEP BY STEP ง่ายๆที่ทำได้ไม่ยาก ไปอ่านบทความกันเลย
ขั้นตอน ลงทะเบียนประกัน GoPro แบบ STEP BY STEP
ขั้นตอนในการ ลงทะเบียน GoPro สำหรับการรับประกันกล้องโกโปรแบบออนไลน์ ง่ายๆ ที่ใครๆก็ทำได้ ดังต่อไปนี้
STEP 1

มาเริ่มขั้นตอนแรกง่ายๆ ของการทำประกัน GoPro ง่ายๆ ด้วยการเข้าไปที่เว็บไซต์ www.mentagram.com > แล้วไปที่มุมขวาด้านบนที่ Tab Menu > แล้วเลือกที่เมนูที่ชื่อว่า "Warranty" หรือ ง่ายกว่านั้นสำหรับใครที่รีบเร่ง สามารถสแกน QR Code ของ Mentagram เพื่อเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ได้เลย
STEP 2

ขั้นตอนต่อไป เมื่อเข้าไปในเว็บไซต์ของ Mentagram ตามขั้นตอนที่1แล้ว จะเข้าสู่หน้าเว็บที่จะให้เลือก Brand ของสินค้าที่ต้องการลงทะเบียนรับประกันสินค้า > ให้เลือกที่ GoPro เพื่อเข้าสู่หน้าลงทะเบียนประกัน GoPro
STEP 3

หลักจากทำการเลือก Brand แล้วจะเข้าสู่หน้าสำหรับการลงทะเบียนประกัน ซึ่งเป็นหน้าของการกรอกเลขเพื่อค้นหา Serial number ของสินค้า โดยสามารถดูเลขได้ที่ตัวเครื่องในช่อง Battery หรือ ที่ใต้กล่อง GoPro > พร้อมแนบรูปถ่ายใบเสร็จที่ทำการซื้อ ( ซึ่งขนาดของภาพจะต้องไม่เกิน 1 MB และ ต้องเป็นไฟล์ .jpg / .png )
STEP 4

หลังจากทำการแนบรูป และ กรอกเลขเรียบร้อยแล้ว > ให้ทำการกรอกข้อมูลส่วนตัวให้ครบถ้วน สำหรับใช้ในการลงทะเบียนประกัน GoPro หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
STEP 5

หลักจากทำการกรอกข้อมูลเรียบร้อย > ขั้นตอนต่อไปให้ทำการกรอกแบบสอบถามสำหรับใช้ในการลงทะเบียนประกันให้เรียบร้อยเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายในการลงทะเบียน
STEP 6

เมื่อทำการลงทะเบียนเรียบร้อยเสร็จแล้ว หน้าจอจะแสดงว่า "Success" บนหน้าจอ > จากนั้นจะมี SMS ยืนยันส่งไปที่เบอร์มือถือที่ได้ลงทะเบียนเอาไว้ในขั้นตอนที่กรอกข้อมูลส่วนตัว  เท่านี้การลงทะเบียนประกัน GoPro ก็สำเร็จเรียบร้อย
ข้อกำหนดของการรับประกันสินค้า
1.การรับประกันสินค้ามีผลเฉพาะลูกค้าที่มีชื่อในใบประกันเท่านั้น และ ไม่สามารถโอนสิทธิ์ให้คนอื่นได้
2.เมื่อทำการติดต่อประกันสินค้า จะต้องแสดงใบรับประกันทุกครั้ง
3.ใบรับประกันจะมีผลเมื่อกรอกข้อมูลในใบรับประกัน และ ส่งคืนมายังบริาัท ภายใน 3 สัปดาห์ (นับตั้งแต่วันที่ซื้อ)
4.เวลาในการรับประกันคือ 1 ปี (เฉพาะในกรณีตัวกล้องและสินค้าใหม่เท่านั้น) ซึ่งจะต้องเกิดจากความผิดพลาดในการผลิต ไม่ใช่เกิดจากอุบัติเหตุ หรือ โดยจงใจ
5.ประกัน GoPro ไม่ครอบคลุมความเสียหายที่มาจาก การใช้งานที่ผิดวิธี ความสึกหรอระหว่างการใช้งาน และ ความเสียหายจากการดัดแปลง ซ่อมแซ่ม
6.กล้อง GoPro ไม่รับประกันการกันน้ำ
7.ในกรณีที่สินค้าชำรุด ให้แจ้งผู้ขายล่วงหน้าก่อนทำการส่งสินค้ามาซ่อม
8.ในกรณีที่ทำการซ่อมจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


285

ไอเดียของขวัญปีใหม่ ไม่เหมือนใครให้ได้ทุกปี
อีกไม่กี่เดือนก็จะสิ้นสุดปีเก่าแล้วเข้าสู่ปีใหม่ 2021 กันแล้ว หลายๆคนจึงมักจะหา ของขวัญปีใหม่ ไปมอบให้กับเหล่าคนสำคัญต่างๆ เพื่อแสดงความขอบคุณ และ เพื่อขอฝากตัวให้ช่วยดูแลตนเองในปีใหม่อีกด้วย ใครยังนึกไม่ออก ว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญวันปีใหม่คนพิเศษของคุณ บทความนี้มีคำตอบ เพราะเรามาพร้อมกับไอเดียของขวัญวันปีใหม่ที่ไม่เหมือนใครที่ให้ใครใครก็ชอบ
 
การเลือก ของขวัญปีใหม่ ให้ถูกใจคนรับ!!!
ของขวัญปีใหม่เสมือนเป็นข้อความที่คุณต้องการสื่อถึงคนรับ มีปัจจัยหลายๆอย่างในการเข้ามาเพื่อช่วยตัดสินใจในการเลือกของขวัญ ได้แก่
-เพศ การเลือกของที่เหมาะกับเพศ ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญ เนื่องจากของบางอย่างสามารถใช้ได้เฉพาะกับ เพศชาย อาทิ เสื้อโปโล เสื้อยืด แจ็คเก็ต หรือ เพศหญิง อาทิ หมวกบัคเก็ต ถุงผ้า เสื้อยืด หรือ อาจจะใช้การเลือกของที่สามารถมอบให้ทั้งเพศชาย เพศหญิง ก็ได้ หากใครที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะซื้อให้ใคร หรือ ซื้อเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับเป็น ของขวัญจับฉลาก งานปาร์ตี้ งานเลี้ยง เป็นต้น
-อายุ ช่วงอายุของผู้รับถือว่าเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อของขวัญ เพราะ ช่วงอายุที่แตกต่างกันหมายความว่า ของที่จะต้องใช้ หรือ ของที่เหมาะที่จะให้ก็จะแตกต่างกัน อาทิว่า จะให้ของขวัญผู้ใหญ่ จะซื้อของที่ดูน่ารัก หรือ เหมาะกับวัยรุ่น ก็จะถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควร หรือ การเลือกซื้อของขวัญให้เด็กๆจะเลือกซื้อที่เน้นการใช้งานมากกว่าความสวยงาม น่ารัก ก็อาจจะไม่ถูกใจคนรับมากนัก
-ความชอบส่วนตัว ข้อนี้อาจจะต้องเป็นคนที่มีความสนิท หรือ ช่างสังเกต ใครๆก็มักที่จะถูกใจของขวัญที่ตนชอบ หรือ อยากได้มากกว่าแน่นอน แต่ถ้าใครที่ไม่รู้ว่าผู้รับชอบอะไร อาจจะให้ของขวัญที่มีความเป็นกลาง หรือ เป็นของที่คนเพศนั้น หรือ ช่วงวัยนั้นชื่นชอบ อาทิเช่น เพศชายวัยทำงานอาจจะซื้อ เสื้อทำงานดีๆ กางเกง รองเท้าให้ หรือ เด็กผู้หญิงวัยเรียน อาจจะซื้อเครื่องเขียนน่ารักๆให้ เป็นต้น
ไอเดียของขวัญปีใหม่ให้ได้ทุกปี
วัยเด็ก

การเลือกของให้เด็ก ควรที่จะเลือกของที่มีความเหมาะสมกับวัย เน้นให้มีความน่ารัก สีสันสดใส
เด็กเล็ก - ควรเลือกของที่เหมาะกับวัย เช่น ตุ๊กตาน่ารักๆ ของเล่นเสริมทักษะตามช่วงวัย พวกลูกบอล หนังสือภาพ หรือ ของใช้จำเป็นสำหรับเด็ก เซ็ทเสื้อผ้า หมวกสำหรับเด็กน่ารักๆ หน้ากากผ้าสำหรับเด็ก ก็น่าจะถูกใจทั้งตัวเล็กและคุณแม่ของเด็กเลยก็ว่าได้
เด็กวัยเรียน - เนื่องจากเป็นวัยที่ควรเสริมสร้างทักษะในชีวิตประจำวันให้ ควรเลือกช่วงที่ได้ใช้งานตามวัย ไม่ว่าจะเป็น หน้ากากผ้า กล่องดินสอ กระติกน้ำน่ารักๆ หรือ ของเสริมทักษะ เช่น ลูกฟุตบอล จักรยาน อูคูเลเล่ คีบอร์ด เพื่อส่งเสริมให้เด็กมีทักษะเพิ่มเติม
วัยรุ่น

วัยรุ่นเป็นวัยที่มีความชอบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน อาจจะเลือกซื้อของจากความชอบของคนนั้นๆ แต่หากใครยังไม่แน่ใจว่าผู้ที่จะให้ชอบอะไร อาจจะเลือกของที่เป็นสิ่งที่คนในวัยนั้นชื่นชอบ อาทิ ของที่มาจากดาราที่วัยรุ่นชอบ ของที่มาจากเกมส์ที่กำลังดัง หรือ อาจจะให้ของที่เป็นของที่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน
ของนำเทรนด์ - อาจจะอาศัยของที่กำลังเป็นที่นิยมจากดารา ไอดอล เกมส์ หนัง ที่กำลังฮิตในขณะนั้น สำหรับวัยรุ่นชาย อาจจะเป็น เสื้อยืดปักข้อความเท่ห์ๆ หมวกใบเก๋ทรงHiphop หมวกทรงเบสบอลพร้อมกับปักข้อความหรือสัญลักษณ์ วัยรุ่นหญิง อาจจะให้ เครื่องประดับสวยๆ หมวกปีกกว้าง หมวกบัคเก็ตทรงสวยๆสำหรับเป็นพร็อพถ่ายรูปลงไอจีเก๋ๆ หรือ ถุงผ้าลายไม่เหมือนใคร ก็น่าจะถูกใจวัยรุ่นแน่นอน
ของใช้ยอดฮิต - หน้ากากผ้า กระเป๋าผ้าสวยๆ เท่ห์ๆ ชุดผ้าปูที่นอนลายน่ารักๆ โต๊ะอ่านหนังสือ ของที่สามารถใช้ในการเรียนได้ รวมไปถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พวก คอมพิเตอร์ โทรศัพท์มือถือ สำหรับใช้การศึกษาสำหรับเด็กยุค 4.0
วัยทำงาน

การเลือกของขวัญปีใหม่ให้ผู้ใหญ่ ของที่เหมาะก็อาจจะเป็นของที่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ ที่เสริมฮวงจุ้ย ของที่มีความหมายดีๆ หรือของใช้ในสำนักงาน เป็นต้น
คนที่ทำงานบริษัท - อาจจะเลือกของที่ช่วยให้สะดวกสบาย หรือ ของที่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันในการทำงาน เช่น  เสื้อโปโล ผ้าขนหนู ปลอกหมอน หน้ากากผ้า หมอนรองคอ เบาะรองนั่ง แก้วน้ำเก็บความเย็น กระเป๋าใส่ของ หรือ อาจจะเป็นแพ็คเก็ตไปเที่ยว พักผ่อน ก็ดี
คนที่ทำธุรกิจส่วนตัว - สำหรับคนทำธุรกิจอาจจะเลือกสิ่งของเสริมความเป็นสิริมงคล ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ ปี่เซียะ หินมงคล หรือ อาจจะให้เป็นพวกกระเช้าของขวัญ เครื่องดื่ม ของใช้จำเป็น หน้ากากผ้า เสื้อโปโลดูดีๆ ก็ได้ น่าจะถูกใจแน่นอน
วัยสูงอายุ

ของขวัญปีใหม่ให้ผู้ใหญ่ ผู้ที่อาวุโสกว่า อาจจะเลือกของขวัญที่เป็นของที่น่าจะได้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น ผ้าขนหนู ชุดคลุมอาบน้ำ ถุงกอล์ฟ หมวกตีกอล์ฟ หมวกทรงติงลี่ หรือ อาจจะให้เป็นของที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ กระเช้าผลไม้ กระเช้าเครื่องดื่มบำรุงร่างกาย อาจจะเป็นยาบำรุงดีๆ ที่นวดคลายปวด เก้าอี้โซฟานุ่มๆ หรือ หน้ากากผ้าสวยๆ ก็น่าจะเป็นของที่ถูกใจคนรับมาก อีกทั้งยังแสดงถึงความใส่ใจ ความเป็นห่วงได้ดีอีกด้วย
ของขวัญเป็นการแสดงความรัก ความขอบคุณ และ ความรู้สึกของผู้ที่ให้อีกด้วย นอกจากนั้นคุณยังสามารถสื่อความหมายผ่านข้อความที่ปักลงบนของขวัญได้อีก หาของขวัญที่คุณอยากมอบให้คนพิเศษมาปัก เรายินดีที่จะส่งผ่านความรู้สึกของคุณลงบนของขวัญ พร้อมบริการให้คำแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นของขวัญอะไร หากคุณมอบด้วยความใส่ใจ ผู้รับก็จะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้ให้ได้แน่นอน
 
ของขวัญชิ้นพิเศษ จะดูพิเศษมากขึ้น
ถ้าใส่ข้อความแทนความห่วงใย หรือ คำพูดที่สื่อถึงความหมายพิเศษๆ ข้อความที่อ่านแล้วประทับใจ " ปัก" ข้อความที่คุณอยากส่งผ่านของขวัญชิ้นพิเศษนี้ แทนความห่วงใย ที่ทำให้ผู้ให้รู้สึกดี ผู้รับประทับใจ
 
สำหรับบริษัท​ หรือ​ ท่านที่ต้องการ​สั่งของขวัญ​ ของพรีเมี่ยม​ จำนวนมาก​ สามารถ​ติดต่อ​เราได้เช่นกัน​ Customize ร้านปักจากโรงงานผู้ผลิตสินค้าโดยตรง
 
 
"Customize ปักอะไรก็ได้............ที่แทนความหมายจากคุณ"
 
สามารถติดต่อ สอบถาม Customize by Insider ช่องทางอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่
Facebook : Customize ทำไมต้องเหมือนใคร
Line ID : @customize
Instagram : u.customize.byinsider
Showroom
: สีลมคอมเพล็กซ์ 02-231-3170
 
: ไอคอนสยาม 081-755-5161



286

SEO คือ อะไร? พร้อมสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเริ่มทำ
หลายๆคนคงจะเคยได้ยินคำว่าSEOมาบ้างแล้ว  SEO คือ อะไรกันแน่ ทำไมถึงจะต้องทำSEO เหตุใดที่ทำให้SEOถึงเข้ามามีบทบาทในธุรกิจ บทความนี้มาไขข้อสงสัยให้ทุกคนได้รู้จักSEOกันมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
 
Highlight SEO ที่ต้องรู้!!!
ไ-ขข้อสงสัย SEO คืออะไรกันแน่?
-ทำไม SEO ถึงมีความสำคัญ?
-การขึ้นหน้าหนึ่งดีกว่าคนอื่นอย่างไร?
-จะเริ่มต้นอย่างไรให้ติดหน้าหนึ่งบน Google?
-การทำ SEO On-page
-การจัดอันดับบน Google

ไขข้อสงสัย SEO คือ อะไรกันแน่ ?
SEO ย่อมาจากคำเต็มๆ คือ Search Engine Optimization ซึ่งเป็นวิธีในการทำการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่ง ที่ทำให้เว็บไซน์ของคุณสามารถขึ้นไปสู่หน้าหนึ่งในการค้นหาผ่าน "Keyword" ในการไต่อันดับให้แก่เว็บไซต์ของคุณ ซึ่งทำได้โดยไม่ต้องเสียเงินเหมือนกับการทำ SEM ซึ่งการไต่อันดับก็จะขึ้นอยู่กับการเข้าชม ผ่านGoogle ยิ่งมีคนเข้ามามาก ก็ยิ่งส่งผลทำให้อันดับของเว็บไซต์ของคุณดีมากยิ่งขึ้น
ใครที่สงสัยว่า SEO กับ SEM คืออะไร ต่างกันอย่างไร สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่
 
แต่การที่จะทำ SEO ให้ติดอันดับหน้าหนึ่งบน Google ได้นั้น จะมีส่วนประกอบต่างๆ ที่ช่วยในการไต่อันดับ โดยจะอธิบาย SEO ให้เข้าใจง่ายๆ ผ่านการเปรียบเทียบดังต่อไปนี้
-Website เปรียบเหมือน หน้าร้านออนไลน์ สำหรับให้คนเข้ามาชมร้านค้า เลือกซื้อสินค้า
-Hosting เปรียบเหมือน ที่ดิน ในการตั้งร้านค้า ถ้าไม่มีก็จะไม่สามารถตั้งร้านได้ ซึ่งก็เหมือนการเช่าที่ดิน ที่สามารถเลือก Hosting ได้หลากหลายเจ้าสำหรับการฝากเว็บไซต์ไว้กับผู้ให้บริการเซิฟเวอร์ เพื่อให้เว็บไซน์ของเราออนไลน์อยู่บนอินเทอร์เน็ตได้ตลอด 24 ชั่วโมง
-Domain เปรียบเหมือน เลขที่บ้าน / ตำแหน่งร้านค้า ทำให้บอกพิกัดสถานที่ ให้คนเข้ามาที่ร้านของเรา
-SEO เปรียบเหมือน ถนน / เส้นทางที่พาไปยังร้านค้า ซึ่งถ้าหากไม่มีเส้นทางที่พาคนเข้ามา ร้านค้าของเราผ่าน Keyword ที่ใช้ในการค้นหาบน Google

 
ทำไม SEO ถึงมีความสำคัญ ?
เนื่องจากSEO เปรียบเหมือนกับ เส้นทางที่นำคนเข้ามาสู่เว็บไซน์ ซึ่งเหมือนกับการตั้งหน้าร้านค้าออนไลน์ ผ่านการค้นหาบน Search Engine อย่าง Google และ เว็บไซต์ต่างๆ ผ่าน Keyword 

แต่คงไม่มีใครที่จะค้นหา Website ตรงๆ เนื่องจากเว็บไซน์มีเยอะมาก ถ้าเราไม่รู้จักชื่อของเว็บไซต์ที่ถูกต้อง ก็จะค้นหาไม่เจอ นั้นทำให้เราจะต้องสร้างเส้นทางที่นำคนเข้ามาสู่เว็บไซต์ของเรา โดยการค้นหาจากKeywordที่ตรง หรือ มีความใกล้เคียง ถ้าหากคุณมีแต่เว็บไซน์ที่เป็นเสมือนกับหน้าร้านแต่ไม่มีถนนที่จะนำไปสู่ร้าน ก็เท่ากับว่าหน้าร้านของคุณจะไม่มีใครเห็น ถึงแม้ว่าหน้าร้านของคุณจะสวย หรือ ดึงดูดเพียงใดก็ตาม

จากรูปจะเห็นได้ว่า SEOเปรียบเสมือนกันถนนที่นำให้คนเข้ามาสู่เว็บไซต์ หรือ บทความของเรา โดยการอาศัยKeyword ทำให้เว็บของเราถูกหาเจอโดยไม่ต้องค้นชื่อเว็บไซต์ ยิ่งถ้าเราอยู่ในอันดับดีๆก็จะทำให้คนเจอเว็บไซต์เรามายิ่งขึ้นนั้นเอง
 
การขึ้นหน้าหนึ่งดีกว่าคนอื่นอย่างไร ?
เวลาเราค้นหา Keyword อะไรสักคำ เรามักจะไล่ดูจากหน้าแรกๆไป ซึ่งส่วนใหญ่ คนมักจะเลือกอ่านไม่เกิน 3 หน้า นั้นทำให้การแย่งชิงอันดับเป็นสิ่งที่ต้องแข่งขัน ซึ่งจะต้องแข่งกับเว็บไซต์ที่ทำการซื้อโฆษณา(SEM) แต่ตามหลักจิตวิทยาคนมักจะเลือกเข้าเว็บไซต์ หรือ บทความ ที่ไม่มีการซื้อโฆษณามากกว่า

สรุปก็คือ การที่เว็บไซต์ หรือ บทความของคุณติดอยู่ในหน้าหนึ่งของการค้นหา นั้นทำให้มีโอกาสมากที่คนจะเข้ามาที่เว็บไซต์ หรือ บทความของคุณ นั้นทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือ และ เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้อันดับของคุณดีขึ้นอีกด้วย ไม่แปลกใจเลยที่ใครๆก็อยากจะขึ้นหน้าหนึ่ง!!!
 
จะเริ่มต้นอย่างไรให้ติดหน้าหนึ่งบน Google?
เชื่อไหมว่าคุณเองก็สามารถที่ทำให้เว็บไซต์ แต่คุณควรจะต้องรู้กฎของ Google ให้ดีเสียก่อน เนื่องจากการที่เราจะเขียนบทความให้ติดอันดับดีๆ ไม่ใช่แค่การเขียนให้ผู้อ่านชอบ อยากที่จะอ่านเพียงอย่างเดียว แต่ควรที่จะต้องทำให้ถูกต้องตามหลักของ Seach Engineด้วย เพื่อทำให้ Bot จับค่าเพื่อให้มีสิทธิ์ในการติดหน้าแรกๆ ดังนั้นควรจะเริ่มต้นจากการทำดังต่อไปนี้
-การวางแผนก่อนทำ ไม่ใช่ว่าจะทำSEOก็ทำได้เลย เราจะต้องวางแผนก่อนว่าเราจะทำSEOในหนึ่งเดือนกี่ตัว วางแผนในเรื่องของKeyword เป็นการวางแผนคร่าวๆก่อนเริ่มทำ เพื่อใช้สำหรับวางแผน และ สามารถวัดผลหลังจากทำ
-การค้นหาKeyword เป็นการหาคำที่เหมาะสำหรับมาใช้ในการทำSEO ซึ่งในการทำจะต้องใช้คำที่มีการค้นหา(Search Volume)มากๆ เพื่อใช้ถูกค้นหาบ่อยๆ
-การปรับแต่งเว็บไซต์ เป็นการปรับให้มี Keyword แฝงอยู่ในตำแหน่งต่างๆบนเว็บไซต์ ให้กระจายตัวอย่างเหมาะสม ซึ่งเรียกว่าการทำ "On-page" อีกทั้งยังควรจะปรับให้มีlink ที่เชื่อมไปเชื่อมมาภายในเว็บ และ การนำlinkไปแปะไว้ที่ต่างๆเพื่อเป็นlinkกลับมาที่เว็บไซต์ตนเอง ที่เรียกว่าการทำ "Backlink"
-การทำบทความ การทำบทความโดยใช้ Keyword แฝงเข้าไปให้เหมาะสม แล้วมีการทำ Backlink ให้เข้ามาที่หน้าเว็บไซต์ของเรา

นอกจะต้องเริ่มทำให้ถูกแล้ว ยังต้องทำSEOให้ถูกต้องตามกฎของ Google อีกด้วย เช่น
-การเขียนบทความให้มีความเกี่ยวข้องกับKeyword ไม่ใช่ว่าเราเลือกKeywordที่มีvolumมา แต่เนื้อหากับไม่เกี่ยวข้องกับKeywordเลย นั้นก็จะทำให้บทความของเรากลายเป็นบทความที่ไม่มีคุณภาพ
-การใส่Keywordในส่วนต่างๆของบทความ ให้เหมาะสม ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป แต่Keywordควรจะกระจายอย่างสม่ำเสมอทั่วบทความ อาจจะไม่ได้ใช้Keywordตรงๆอย่างเดียว อาจจะมีการใส่ related Keyword ร่วมด้วย
-การจัดหน้า จัดหัวข้อให้ง่ายต่อการอ่าน ไม่ควรจะใส่เนื้อหายาวๆติดกันจนไม่น่าอ่าน แต่ควรจะมีการใส่หัวข้อ จัดเนื้อหาให้เป็นสัดส่วน อาจจะมีการใส่รูปเพราะประกอบการอธิบายให้เนื้อหาน่าอ่านยิ่งขึ้น
-การใส่ link ที่เชื่อมเข้าไปสู่เว็บไซต์ของเรา ( Backlink ) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตา bot ของ Google ซึ่งทำให้เว็บไซต์เรามีโอกาสในการติดหน้าแรกมากยิ่งขึ้น
-คุณภาพของเว็บไซต์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ ต่อการติดหน้าหนึ่งบน Google ซึ่งส่งผลให้ bot ของ Search Engine สามารถเข้ามาเก็บข้อมูลได้ 
การทำ SEO On - page
เป็นการทำให้ Google รู้ว่าในเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเรา รูปที่เราใช้ ข้อความในบทความของเราทำเกี่ยวกับอะไรผ่านKeyword ซึ่งมีผลทำให้เรามีโอกาสในการติดอันดับดีๆบนGoogle ในKeywordที่เราต้องการ
เราสามารถที่จะค้นหาKeywordได้จากหลายแห่ง ซึ่งที่เราได้รวบรวมมาเป็นเว็บที่สามารถใช้งานได้ง่าย เช่น
-Ubersuggest
-Searches related
-Google trend
-keyword planner
 
การจัดอันดับบน Google
ในการจัดอันดับ จะใช้สถิติในการจัดอันดับ ซึ่งส่วนใหญ่มากจากการทำ Off-page หรือ การทำ Inbound link เพื่อให้แต่ละหน้าเชื่อมถึงกัน และ การทำBacklink เพื่อเพิ่มคะแนนให้แต่ละหน้าอีกด้วย
ซึ่งคุณก็สามารถที่จะอยู่ในอันดับที่ดีๆได้ และ สามารถที่จะติดหน้าหนึ่งGoogleได้ไม่ยากเลยซึ่งล้วนส่งผลต่อเว็บไซต์ของคุณ ให้เป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้น

"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"
 
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency



287

GoPro ถ่ายใต้น้ำ ต้องเตรียมอะไรไปด้วยบ้าง!!!
สำหรับใครที่กำลังจะมีแพลนจะไปดำน้ำดูปะการัง ใช้ GoPro ถ่ายใต้น้ำที่สามารถดำน้ำได้ลึก สูงสุดถึง 10 เมตร แต่ก็จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่จะคอยช่วยซัพพอร์ต เรามาดูกันดีกว่าว่ามีอุปกรณ์อะไรบ้างที่เราต้องเตรียมเอาไปด้วยถ้าจะถ่ายภาพใต้น้ำ ไปดูกันเลย
อุปกรณ์ที่ต้องใช้สำหรับการใช้ GoPro ถ่ายใต้น้ำ !!!
ถึงแม้ว่ากล้อง GoPro จะมีคุณสมบัติในการถ่ายใต้น้ำสูงสุดถึง 10 เมตร แต่ถ้าในระดับความลึกที่มากเกินกว่าที่กล้องโกโปรจะสามารถกันน้ำได้ จำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อที่จะช่วยป้องกันกล้อง ดังนั้นก่อนที่จะไปถ่ายรูปใต้น้ำ ควรที่จะต้องเตรียมอุปกรณ์ที่จะช่วยให้คุณสามารถถ่ายใต้น้ำได้สนุก และ ได้วีดีโอเจ๋งๆเก็บไว้แชร์ให้เพื่อนๆดู จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
1.Pole (ด้ามจับ/ ไม้เซลฟี่)

อุปกรณ์ที่ถือว่ามีความสำคัญ หากคุณต้องการภาพใต้น้ำสวยๆ ได้มุมกล้องที่ดี อาจจะต้องอาศัยด้ามจับในการถ่าย เพื่อทำให้เกิดความมั่นคงในการถ่าย และ ยังช่วยให้กล้องไม่หล่นหายระหว่างทางอีกด้วย จะเลือกถ่ายมุมไหนก็ไม่มีสะดุด
ควรเลือกไม้เซลฟี่ ที่มีน้ำหนักพอเหมาะ มีความแข็งแรง สำหรับใช้ในการถ่ายรูปใต้น้ำ ไม่ควรเลือกให้หนักจนเกินไป เพราะจะทำให้กลายเป็นตัวถ่วงน้ำหนักเวลาว่ายน้ำ และ ไม่ควรเลือกให้เบาจนเกินไป เพราะอาจจะหลุดมือแล้วลอยขึ้นเหนือน้ำได้
2.Case กันน้ำ

หากคุณต้องดำน้ำที่ลึกเกินกว่า 10 เมตร  อาจจะไม่เป็นผลดีต่อตัวกล้องมากนัก ดังนั้นจึงต้องอาศัยตัวช่วยพิเศษ อย่างเคสกันน้ำ ที่ยังช่วยป้องกันกล้องโกโปรจากแรงดันน้ำที่สูงเกินกว่าที่กล้องจะรับได้ และ ยังช่วยป้องกันอันตรายจากการกระแทกเวลาดำน้ำอีกด้วย
ควรที่จะเลือกเคสกันน้ำ ที่เป็นอุปกรณ์ใส เนื่องจากจะทำให้ภาพที่ถ่ายมีความคมชัด และ จะได้เห็นว่ากล้อง หรือ ฟังก์ชั่นต่างๆแจ้งเตือนอะไร แต่ใครที่กลัวว่ากล้องจะหล่นหายใต้น้ำ อาจจะใส่เคสที่มีสีสดๆ อาทิ สีส้ม สีแดง แต่ตรงหน้าจออาจจะให้เป็นหน้าจอใส เพื่อกันอุปกรณ์หายก็ได้
3.Battery


แบตเตอรี่นับว่าเป็นอุปกรณ์ที่ห้ามขาด เพราะหากแบตเตอรี่หมดระหว่างที่คุณกำลังดำลงไปถ่ายรูปใต้น้ำคงจะไม่สนุกเท่าไหร่นัก แทนที่คุณจะได้ถ่ายวีดีโอสวยๆ กลับเป็นว่าต้องมานั่งชาร์จแบตเตอรี่แทน นอกจากนั้นยังอาจทำให้คุณพลาดช่วงเวลาพิเศษๆ ทำให้คุณพลาดที่จะได้ถ่ายกับมุมสวยๆ แสงสวยๆไป ซึ่งก็ไม่สามารถที่จะเอากลับมาได้ นั้นทำให้แบตเตอรี่จำเป็นห้ามขาดเด็ดขาด!!!
ควรที่จะเลือกแบตเตอรี่ ที่มีความทนทานแข็งแรง ไม่มีการงัดแงะ หรือ เสียหาย เนื่องจากอาจทำให้กล้อง และ อุปกรณ์อื่นๆเสียหายได้ อีกทั้งถ้าหากโดนน้ำ อาจทำให้เกิดอันตรายตามมาได้อีกด้วย ควรเลือกแบตเตอรี่ที่สมบูรณ์มาใช้ และ ไม่ควรใช้แบตเตอรี่ที่ร้อนจนเกินไป เพราะอาจจะส่งผลเสียต่ออุปกรณ์ในการใช้งาน
4.filter GoPro

การถ่ายรูปใต้น้ำมีข้อกำจัดในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแสง ถึงแม้จะดำน้ำในตอนเช้าที่มีแสงเพียงพอก็ตาม แต่เมื่อดำลงไปลึกๆ แสงก็จะส่องลงมาได้น้อย ส่งผลให้ภาพอาจจะมืดได้ หรือ อาจจะมีสีที่ผิดเพี้ยน เนื่องจากสีของน้ำทะเล สีของบรรยากาศรอบๆที่สะท้อนเข้ากล้อง ทำให้ภาพที่ได้มีสีที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง ดังนั้นจึงควรที่จะต้องมีฟิลเตอร์สำหรับช่วยให้สามารถถ่ายภาพได้สีไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งก็มีชนิดที่หลากหลายขึ้นอยู่กับระดับของความลึกในการถ่ายภาพ ตั้งแต่ 15-75 ฟุต จะมีรุ่นไหนบ้างไปดูกันเลย

-Shallow filter เป็นฟิลเตอร์ที่มีสีส้มอ่อนสำหรับการถ่ายภาพในระดับความลึก 5-20 ฟุต
-Dive filter เป็นฟิลเตอร์ที่มีสีแดงสำหรับการถ่ายภาพในระดับความลึก 20-50 ฟุต
-Deep filter เป็นฟิลเตอร์ที่มีสีส้มแดงๆสำหรับการถ่ายภาพในระดับความลึก 50 ฟุต ขึ้นไป
-Greenwater filter เป็นฟิลเตอร์ที่มีสีชมพูม่วงๆสำหรับการถ่ายภาพในระดับความลึก 15-70 ฟุต
-Nightsea filter เป็นฟิลเตอร์ที่มีสีเหลืองสำหรับการถ่ายภาพในระดับความลึกมากๆ จำเป็นต้องใช้ไฟฉายช่วยในการดำน้ำ
ฟิตเตอร์ที่มีสีแดง - เหมาะสำหรับในช่วงระดับความลึก 15-50 ฟุต จะใช้เพื่อปรับสีของน้ำทะเลที่มีสีฟ้า
ฟิตเตอร์ที่มีสีม่วง - เหมาะสำหรับในช่วงระดับความลึก 15-70 ฟุต จะใช้เพื่อปรับสีของน้ำทะเลที่มีสีเขียว
แค่นี้คุณก็พร้อมที่จะไปถ่ายภาพใต้น้ำแล้ว อาจจะมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ ให้เข้ากับกิจกรรมของคุณ แต่ก็อย่าลืมที่จะพกไม้เซลฟี่สำหรับการถ่ายใต้น้ำ เคสกันน้ำ แบตเตอรี่ และ ฟิลเตอร์ สำหรับให้คุณไม่พลาดช่วงเวลาสนุกๆ และ ความสวยงามของบรรยากาศใต้ท้องทะเล ให้คุณสนุกได้เต็มที่ ง่ายๆด้วยอุปกรณ์แค่ 4 ชิ้น
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand




288

เว็บไซต์ คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ต่อธุรกิจ
เว็บไซต์ คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ต่อธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับธุรกิจออนไลน์ การขายสินค้าออฟไลน์เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ตอบโจทย์ แม้จะมีช่องทางออนไลน์มากมายแต่ก็ยังไม่พอหากขาดเว็บไซต์ แล้วทำไมเว็บไซต์ถึงสำคัญ ไปดูกันว่าแท้ที่จริงแล้ว เว็บไซต์คืออะไรกันแน่!!!!
 
Highlight เว็บไซต์กับธุรกิจ ที่ต้องรู้!!!
-เว็บไซต์ คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ?
-ทำไมเราถึงต้องทำเว็บไซต์?
-เว็บไซต์กับธุรกิจ
-ในการทำเว็บไซต์มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
 
เว็บไซต์ คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ?
ขออธิบายให้เข้าใจง่ายๆผ่านการเปรียบเทียบให้เห็นภาพดังนี้
-เว็บไซต์(Website) คือ หน้าร้าน สำหรับขายสินค้าบนโลกออนไลน์ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต สำหรับโชว์สินค้าและบริการ ต่างๆภายในร้าน รวมทั้งให้คำปรึกษา แนะนำแก่ผู้ที่เข้ามาบริเวณหน้าร้าน เสมือนเป็นหน้าร้านแบบออฟไลน์
เว็บไซต์เป็นต้นทางที่ทำให้คนรู้จักร้านของคุณมากยิ่งขึ้น แค่เปลี่ยนจากการซื้อที่ดินจริงๆ สำหรับวางหน้าร้าน มาเป็นทำ Website แทน และยังต้องมี Hosting และ Domain อีกด้วยที่จะช่วยให้หน้าร้านของคุณสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
-Hosting เปรียบเสมือนกับการซื้อ "ที่ดิน" ออนไลน์ สำหรับวางหน้าร้านของคุณ แค่เปลี่ยนจากที่ดิน ในรูปแบบของออฟไลน์มาเปลี่ยนที่ดินในรูปแบบของออนไลน์แทน
-Domain เปรียบเสมือนกับ "เลขที่ร้าน" สำหรับบอกพิกัดร้านของคุณให้ผู้คนทราบ ว่าร้านของคุณอยู่ที่ไหน
ทำไมเราถึงต้องทำเว็บไซต์?
ทำไมร้านบางร้านขายของคุณภาพดีแต่กลับไม่มีคนซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับธุรกิจส่วนใหญ่ที่กลายเป็นออนไลน์ หากลองสังเกตดีๆจะพบว่า ร้านที่มีหน้าร้านทั้งแบบออฟไลน์ และ ออนไลน์(Website) ส่วนใหญ่จะขายดีมากกว่าร้านที่ไม่มีหน้าร้าน เว็บไซต์เป็นเหมือนช่องทาง ในการทำให้ร้านของคุณเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น และ ช่วยสำหรับการประโมทสินค้า และ บริการ อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อธุรกิจอีกด้วย นั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้ การทำธุรกิจจึงควรจะต้องมีเว็บไซต์(หน้าร้านออนไลน์) ควบคู่ไปกับหน้าร้านแบบออฟไลน์นั้นเอง
ในยุคที่คนส่วนมากใช้เวลาไปกับอินเทอร์เน็ต จะเป็นการดีกว่าหรือไม่ ถ้าคุณมีเว็บไซต์ที่เปรียบเสมือนหน้าร้านออนไลน์ สำหรับขายสินค้าและบริการของคุณ ทำให้ร้านของคุณเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น คนเข้ามามากขึ้นนั้นเอง
เว็บไซต์กับธุรกิจ
มาดูกันดีกว่าว่าประโยชน์ของเว็บไซต์ต่อธุรกิจ มีอะไรกันบ้าง
เว็บไซต์เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

เว็บไซต์เป็นเสมือนหน้าร้านที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าลูกค้าของคุณจะเข้ามาในช่วงเวลาไหน เว็บไซต์ก็พร้อมที่จะบริการลูกค้าอยู่ตลอดเวลา นั้นแสดงว่าคุณจะสามารถขายสินค้าได้ไม่กำจัดเวลา ไม่เหมือนการขายของแบบออฟไลน์ที่มีเวลาจำกัดในแต่ละวัน
ค้นหาได้บน Google

เวลาเราต้องการซื้อสินค้า คนมักจะเข้าไปหาใน Google ซึ่งเป็นเว็บไซน์อันดับท็อปๆสำหรับการค้นหาบนอินเทอร์เน็ต หากคุณมีเว็บไซต์ สิ่งนี้จะช่วยให้หน้าร้านของคุณสามารถค้นหาได้บน Google และ ยิ่งเว็บไซต์ของคุณเป็นที่นิยม ก็ยิ่งทำให้อันดับการค้นหาเว็บไซต์บน Google ของคุณดีขึ้น จนติดหน้าแรกๆในการค้นหา เป็นการสร้าง Traffic อีกทางที่ได้ผลดียิ่ง
มีหน้าร้านเป็นของตนเอง

เนื่องจาก เว็บไซต์เป็นเหมือนกับ หน้าร้านของเรา บนโลกออนไลน์ นั้นทำให้เราไม่ต้องเสียตังค์ในการเช่าที่อื่น แค่เปลี่ยนจากการวางสินค้าตามร้าน มาเป็นการวางเอาไว้บนเว็บไซต์ของเรา ซึ่งเป็นร้านของเราจริงๆ ไม่ได้เช่ามา อีกทั้งยังไม่ต้องสน เรื่องทำเล เหมือนการขายแบบออฟไลน์อีกด้วย
มีความน่าเชื่อถือ

อย่างที่ได้บอกไปว่า ร้านค้าขายดีส่วนใหญ่ มักจะเป็นร้านค้าที่มีหน้าร้าน ทั้งแบบออฟไลน์ และออนไลน์ โดยจะขายดีอย่างยิ่งกับร้านที่มีควบคู่กันไป เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าของคุณว่ามีมาตราฐาน มีความปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยทำให้ลูกค้ามั่นใจในร้านของคุณมากขึ้นอีกด้วย ว่าจะไม่โกง ไม่หายไปไหน ยิ่งเว็บไซน์ดูดีก็ยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือได้มาก ทำให้ลูกค้ากล้าที่จะซื้อสินค้ากับเรา
ปรับเปลี่ยนได้ตลอด

อีกข้อดีของเว็บไซต์ที่ไม่พูดไม่ได้ นั้นก็คือ แม้ว่าเทรนด์ต่างๆ กระแสต่างๆ จะเปลี่ยนไปไวมาก เว็บไซต์ของคุณจะไม่ล้าหลัง นั้นเพราะเว็บไซต์สามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้ตลอด ไม่ว่าจะลด จะเพิ่มอะไร ก็สามารถทำได้ คุณสามารถตกแต่งตามสไตล์ของคุณได้ ตามความเหมาะสม เพราะเว็บไซต์คือหน้าร้านสำหรับขายสินค้าของคุณ ยิ่งหน้าร้านดียิ่งมีชัยไปกว่าครึ่ง!!!
เชื่อมต่อกับช่องทางออนไลน์อื่นๆได้

นอกจากเว็บไซต์จะสามารถพาคนเข้ามายังหน้าร้านได้แล้ว เว็บไซต์ยังสามารถพาลูกค้าของคุณที่เข้ามาในเว็บไซต์ไปยังช่องทางอื่นๆของคุณได้อีกด้วย หรือ การที่แชร์ลงบนช่องทางออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook , twitter , Line เพื่อเป็นลิ้งค์กลับเข้ามายังเว็บไซต์ของเราก็ได้ เสมือนการยิงนกครั้งเดียวได้นกหลายๆตัว 
ในการทำเว็บไซต์มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
ถ้าพูดถึงในสมัยก่อน ที่เทคโนโลยียังไม่ได้แพร่หลายเท่าในปัจจุบัน การทำเว็บไซต์เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และ มีค่าใช้จ่ายสูง แต่ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีดิจิทอลเข้ามามีบทบาทมาก นั้นทำให้การทำเว็บไซต์สามาถเข้าถึงธุรกิจระดับเล็กจนถึงใหญ่ได้มากยิ่งขึ้น โดยการทำเว็บไซต์จะเริ่มต้นที่ประมาณ 20,000 - 40,000 บาท แล้วแต่ที่ และมีราคาไปจนถึงหลัก 100,000 บาท เป็นต้น ซึ่งราคาก็จะไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับดีเทลของเว็บไซต์นั้นๆ ค่าใช้จ่ายหลักๆที่จะต้องจ่ายในการทำเว็บไซต์ มีดังต่อไปนี้
-ค่าจัดทำ Website ค่าบริการในการจัดทำเว็บไซต์ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับดีเทลของเว็บไซต์นั้นๆ และ บริษัทที่รับทำ เริ่มต้นประมาณ 20,000 - 40,000 บาท
-ค่า Host เป็นค่าบริการ รายเดือน หรือ รายปี ที่ผู้ให้บริการเซิร์ฟเวอร์จะเรียกเก็บ จากเจ้าของเว็บไซต์ในการเช่าที่ดินสำหรับวางหน้าร้าน(Website) ราคาขึ้นอยู่กับบริษัทที่ให้บริการ
-ค่า Domain เป็นค่าบริการในการจดชื่อเว็บไซต์ ที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทที่จดทะเบียนเว็บไซต์ สำหรับเป็นเลขที่ร้าน ให้คนเข้ามา ถ้าหากไม่มีคนก็จะหาร้านของคุณไม่เจอ ราคาขึ้นอยู่กับบริษัทที่ให้บริการ
จะเห็นว่านอกจากเว็บไซต์ จะเป็นช่องทางที่ขยายตลาดให้กับร้านของคุณแล้ว ยังทำให้ร้านของคุณน่าเชื่อถือ และ ดึงดูดลูกค้าอีกด้วย ค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์ก็เหมือนการที่คุณจ่ายเพื่อ จัดตั้งหน้าร้านของคุณบนโลกออนไลน์ เป็นการทำให้ลูกค้าเข้าถึงร้านของคุณเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีประโยชน์อีกมาก เว็บไซต์ถือเป็นต้นทางในการทำ Google search engine สำหรับโปรโมทร้านค้าของคุณ
สามารถอ่านบทความ การตลาดออนไลน์ เพิ่มเติมได้ที่
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency




289

ขนาดของไม้พาเลท และ ประเภทของไม้พาเลท มีอะไรบ้าง?
ไม้พาเลท ไม้แปรรูปยอดนิยม สำหรับใช้ในการขนส่ง ที่มาพร้อม ขนาดของไม้พาเลท ประเภทของไม้พาเลท   พร้อมทั้งมาตราฐานต่างๆ มารู้จักไม้พาเลทให้ดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมกันดีกว่า
ประเภทของไม้พาเลท มีอะไรบ้าง ?
ไม้พาเลท อุปกรณ์สำหรับใช้ในการรองสินค้าช่องสำหรับให้รถโฟคลิฟท์เคลื่อนย้ายไม้พาเลทได้ สำหรับขนย้ายสินค้า จัดวางสินค้า สำหรับการขนส่ง ประเภทของไม้พาเลทสามารถแบ่งตามอะไรได้บ้าง?
ประเภทของไม้พาเลท แบ่งตาม จำนวนครั้งในการใช้งาน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท   ได้แก่
-แบบใช้ครั้งเดียว (Single Use)  ซึ่งจะใช้ไม้เนื้ออ่อนในการผลิต
-แบบใช้หลายครั้ง (Recycle Used)   จะใช้ไม้เนื้อแข็ง   ไม้ที่มีความแข็งแรงในการผลิต
ประเภทของไม้พาเลท แบ่งตาม ลักษณะการออกแบบ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท   ได้แก่
-ไม้พาเลทขาเต๋า หรือ ขาบล็อค ซึ่งลักษณะของคานรับน้ำหนักจะเป็นทรงลูกเต๋า จำนวน 9 ชิ้น แต่ละชิ้นจะมีความสูง และ ขนาดของความหนาที่เท่ากัน ทำให้เวลาวางสินค้า  น้ำหนักจะกระจายจากด้านบนลงสู่ด้านล่างได้ดี
-ไม้พาเลทคาน แบ่งออกไปได้อีก 2 ประเภท คือ แบบ  2-ways   และ 4-ways ซึ่งแตกต่างกันที่ช่องสำหรับให้รถโฟคลิฟท์ยกได้ และ รูปลักษณ์ของคาน
สามารถเข้าไปอ่าน บทความไม้พาเลทคืออะไร เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำไมไม้พาเลทแต่ละประเทศถึงมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน ?
ไม้พาเลทนอกจากจะต้องเลือกไม้ที่ดี   มีคุณภาพแล้ว   ยังมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอีกนั้นก็คือ   มาตรฐานส่งออกของไม้   ซึ่งในแต่ละประเภทไม้ก็จะมีมาตรฐานที่แต่ละประเภทใช้ไม่เหมือนกัน ในประเทศไทยหลักๆ ก็จะมีมาตรฐาน  IPPC , ISPM15 และ ISO เป็นต้น ที่ใช้ในการควบคุมดูแล และ ยังถูกใช้ในประเทศอเมริกา , แม็กซิโก , แคนาดา และ ญี่ปุ่น เป็นต้น
มาตรฐาน ISO และ ขนาดของไม้พาเลท คืออะไร ?
มาตรฐาน ISO (international organization for standardization) ถือเป็นมาตรฐานสากลที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ อุสหกรรม สามารถแบ่งขนาดของไม้พาเลทตามมาตรฐาน ISO 6780 ได้เป็น 6 ขนาดดังต่อไปนี้

-ขนาด 1016 x 1219 mm   ซึ่งเป็นขนาดที่นิยมใช้ในแถบ   อเมริกาเหนือ
-ขนาด 1000 x 1200 mm   ซึ่งเป็นขนาดที่นิยมใช้ในแถบ ยุโรป  และ   เอเชีย
-ขนาด 1165 x 1165 mm   ซึ่งเป็นขนาดที่นิยมใช้ในแถบ   ออสเตรเลีย
-ขนาด 1067 x 1067 mm  ซึ่งเป็นขนาดที่นิยมใช้ในแถบ   อเมริกาเหนือ   ยุโรป   และ   เอเชีย
-ขนาด 1100 x 1100 mm  ซึ่งเป็นขนาดที่นิยมใช้ในแถบ   เอเชีย
-ขนาด 800 x 1200 mm  ซึ่งเป็นขนาดที่นิยมใช้ในแถบ ยุโรป
ขนาดมาตรฐานทวีปอเมริกาเหนือ (North America) คืออะไร ?
ขนาดมาตรฐานทวีปอเมริกา คือ มาตรฐานของขนาดของไม้พาเลทที่ถูกใช้ในแถบทวีปอเมริกาเหนือ   ที่ถูกกำหนดโดย GMA (The Grocery Manufacturers' Association) หรือ สมาคมผู้ค้าของชำ มาตรฐาน ISO ก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยนั้นเอง

-ขนาด 1016 x 1219 mm   นิยมใช้ในอุสหกรรมสำหรับ ร้านขายของชำทั่วไป
-ขนาด 1067 x 1067 mm  นิยมใช้ในอุสหกรรมสำหรับ   โทรคมนาคม
-ขนาด 1219 x 1219 mm  นิยมใช้ในอุสหกรรมสำหรับ   ก่อสร้าง
-ขนาด 1219 x 1016 mm  นิยมใช้ในอุสหกรรมสำหรับ   ผลิตสารเคมี   เครื่องดื่ม
-ขนาด 1219 x 1143 mm  นิยมใช้ในอุสหกรรมสำหรับ   ผลิตยานยนต์
-ขนาด 1219 x 914 mm  นิยมใช้ในอุสหกรรมสำหรับ   กระดาษ   ไม้
-ขนาด   1219   x   508   mm  นิยมใช้ในอุสหกรรมสำหรับ   ค้าปลีก
ขนาดมาตรฐานกลุ่มประเทศยุโรป (EURO Pallet) คืออะไร ?
ขนาดมาตรฐานกลุ่มประเทศยุโรป คือ ขนาดสำหรับใช้ในการขนส่ง ซึ่งนิยมใช้กันในแถบยุโรป   ซึ่งเป็นไม้พาเลทที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และ วัสดุเหมือนกัน ในการประกอบ อีกทั้งยังมีการกำหนดขนาดของไม้พาเลทให้สอดคล้องกับมาตรฐานISO

-EUR1 ขนาด 800 x 1200 mm   ซึ่งมีขนาดเดียวกับพาเลทมาตรฐาน   ISO1
-EUR2 ขนาด 1200 x 1000 mm   ซึ่งมีขนาดเดียวกับพาเลทมาตรฐาน   ISO2
-EUR3 ขนาด 1000 x 1200 mm
-EUR6 ขนาด 800 x 600 mm , 600 x 400 mm และ 400 x 300 mm
Cr : ข้อมูลบางส่วนมาจาก logistics-glossary.blogspot
 
โรงไม้ MTK เรารับทำไม้พาเลท ทุกไซต์ทุกขนาด ตามที่ลูกค้าต้องการ
สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม MTK   ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  : @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


290

Seo Sem คือ อะไร เหมือนหรือต่างลิ้งค์นี้มีคำตอบ
การที่จะทำให้ธุรกิจของเรา เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการถูกค้นหาบน Google ด้วยการทำ "เว็บไซต์" ที่นิยมกันมากก็คือ การทำ seo sem นั่นเอง แต่รู้หรือไม่ว่ามีผู้คนจำนวนมาก ที่ไม่รู้ว่า Seo Sem คือ อะไรกันแน่ มาไขความลับที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นกันเถอะ!!!!
 
Highlight Seo Sem ที่ต้องรู้!!!
-Seo Sem คืออะไรกันแน่?
-เทียบให้ชัด Seo Sem ต่างกันอย่างไร?
-เลือกใช้ Seo Sem อย่างไรให้เหมาะสม
 
Seo Sem คือ อะไรกันแน่?
Search Engine Marketing เป็นการทำการตลาดอีกรูปแบบหนึ่ง เนื่องจากปัจจุบันที่ Google กลายมาเป็นเว็บไซต์สำหรับการค้นหาสิ่งต่างๆอันดับต้นๆ ส่งผลให้ธุรกิจที่ทำเว็บไซต์ต่างต้องการที่จะถูกค้นหา และ จัดอันดับการค้นหาบน Google search เพื่อให้เว็บของตนติดบนหน้าการค้นหา ด้วยการทำ "Seo" และ "Sem"
-Seo (Search Engine Optimization) คือ วิธีในการทำการตลาดออนไลน์อีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อให้เว็บไซต์ สินค้าและบริการของคุณ ติดหน้าแรกๆ ในการค้นหาบนSearch Engine ต่างๆไม่ว่าจะเป็น Google , Yahoo , Bing เป็นต้น  ในการค้นหา Keyword ที่เป็นตัวจัดอันดับการค้นหานั้นเอง
ซึ่ง Seo เป็นการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกๆของเว็บที่ใช้ในการค้นหา โดยจะยกเว็บไซต์ Google ขึ้นมาอธิบายเนื่องจากเป็นที่รู้จักและคนนิยมใช้กันมาก Seo เป็นการไต่อันดับให้เว็บไซต์แบบธรรมชาติ คือ ไม่ได้ซื้อโฆษณาจากGoogle แต่ใช้ "Keyword ในการค้นหาผ่านบทความบนเว็บไซต์" เพื่อไต่อันดับ ทำให้แม้ไม่ได้จ่ายเงินก็สามารถที่จะไต่อันดับขึ้นมาที่หน้าแรกได้
เราจะสามารถแบ่งการทำ Seo ได้เป็น 2 ส่วน ดังนี้
1.Seo On Page ซึ่งเป็นการจัดการหน้าเว็บไซต์ โดยจะแทรกKeywordในการค้นหาไปยังเว็บไซต์ตามจุดต่างๆ ให้เหมาะสม ไม่เยอะเกินไป ไม่น้อยเกินไป รวมไปถึงการวางบทความที่มีKeywordด้วย
2.Seo Off Page เป็นการทำลิ้งค์กลับมายังบทความของเราบนเว็บไซต์ ซึ่งเนื้อหาในบทความกับลิ้งค์จะต้องมีความสัมพันธ์กันด้วยถึงจะดี เป็นการนำลิ้งค์ของเราไปแปะยังช่องทางอื่นๆ เช่น Facebook , twitter , Instagram เป็นต้น

-Sem (Search Engine Marketing) คือ การทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกบน Search Engine ต่างๆ โดยเฉพาะกับ Google ด้วยการซื้อโฆษณาจากGoogleในรูปแบบการเก็บเงินตามจำนวนคลิก ซึ่งราคาก็จะขึ้นอยู่กับKeywordนั้นๆ ยิ่งKeywordเป็นที่นิยม และ ถูกค้นหาบนGoogleเยอะเท่าไหร่ ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นการซื้อKeywordนั้นเอง จะมีผลทันทีเมื่อซื้อสำเร็จ โดยสังเกตจากคำว่า Ad ที่ขึ้นเพื่อบ่งบอกว่าเป็นการซื้อโฆษณานั้นเอง แต่เมื่อหยุดการจ่ายเงินอันดับจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม หรือ ตกลงจากเดิม
 
เทียบให้ชัด Seo Sem ต่างกันอย่างไร?
เวลาในการไต่อันดับ

Seo : ต้องใช้เวลานานกว่าในการไต่อันดับ จากหน้าหลังๆ ไปหน้าแรกๆในช่วงแรกๆ แต่สามารถที่จะติดอันดับได้นานกว่าแบบ Sem เพราะเป็นการไต่อันดับขึ้นไปเรื่อยๆ
Sem : รวดเร็ว สามารถติดหน้าหนึ่งได้ทันที เมื่อทำการจ่ายเงินเรียบร้อย ไม่ต้องใช้เวลานานๆแบบSeo
อันดับในการแสดงผล

Seo : ขึ้นอยู่กับKeywordที่ทำ และ ตัวContent หากมีการดู การคลิกจำนวนมาก ก็ยิ่งทำให้อันดับสูงมากขึ้น
Sem : จะติดหน้าหนึ่งบนGoogleแน่นอน แต่อันดับไหน ขึ้นอยู่กับเงินที่จ่ายในการซื้อKeywordคำนั้น หากมีคนที่ซื้อคำเดียวกันต้องมาแข่งกันว่าใครจะประมูลได้สูงกว่ากัน ก็จะติดอันดับ1ไป
ค่าใช้จ่าย

Seo : ไม่เสียเงินให้กับGoogle ในการติดอันดับ เนื่องจากเป็นการไต่อันดับแบบธรรมชาติ หากติดหน้าหนึ่งเหมือนSemแล้ว จะไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
Sem : เสียเงินในการซื้อโฆษณาบนGoogle ผ่านการซื้อKeyword ซึ่งราคาก็จะขึ้นอยู่กับKeywordที่ต้องการทำ และ ต้องจ่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ติดอันดับในหน้าหนึ่งอยู่ หากเลิกจ่ายอันดับจะตกลงทันที!!!
 
เลือกใช้ Seo Sem อย่างไรให้เหมาะสม
ทั้งการทำ Seo หรือ ทำ Sem ทั้ง 2 วิธี ล้วนมีจุดประสงค์เพื่อ ทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก และ ถูกค้นหาบนอินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น โดยการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับแรกๆบน Search Engine แล้วจะเลือกใช้ยังไงให้เหมาะสม
การเลือกใช้งานระหว่าง Seo และ Sem ให้เหมาะสมจะต้องคำนึงถึง
-Keyword หากเป็นคำที่ถูกค้นหาเป็นจำนวนมาก เป็นที่นิยมมาก อย่างเช่น ในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา คำว่า เจลแอลกอออล์ หรือ หน้ากากอนามัย เป็นคำค้นหายอดฮิต จะนิยมทำSem แต่ถ้าหากไม่ได้มีBudgetมากก็ไม่สามารถจะซื้อKeywordเพื่อแข่งกับคนอื่นๆได้

แต่ถ้าหากเป็นคำที่มีการค้นหาระดับกลางๆ ที่ไม่ได้ถูกค้นหาเป็นช่วงๆ แต่ถูกค้นหาตลอดการทำSeo เพื่อไต่อันดับขึ้นไปหน้าแรก จะทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นหาเป็นจำนวนมาก
-จุดประสงค์ในการทำ ในการทำSeo Sem จุดประสงค์หลักๆก็คือ การทำให้เว็บไซต์ติดหน้าหนึ่ง นอกจากนั้นยังต้องกำหนดจุดประสงค์ให้ดีว่าต้องการทำอะไร ถ้าหากต้องการทำเพื่อให้ได้อันดับเว็บไซต์ดีๆสำหรับkeywordที่กำลังนิยม ก็อาจจะต้องใช้การทำSem แต่ถ้าหากจุดประสงค์คือการไต่อันดับ ก็ควรทำSeo

แต่ไม่ว่าจะเป็นการทำ Seo Sem หรือ ทำทั้ง Seo และ Sem ก็ตาม ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และ จุดประสงค์ในการทำ ไม่ว่าจะเป็นในด้านค่าใช้จ่าย ด้านอันดับ ดังนั้นคุณสามารถเลือกที่จะทำได้ตามความต้องการ
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"
 
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


291

4เหตุผลทำไมถึงต้องเลือก กล้อง GoPro ถ่าย ภาพนิ่ง
กล้อง GoPro สามารถถ่ายภาพนิ่ง ได้ไม่แพ้การถ่ายวีดีโอเลย อีกทั้งยังมีขนาดที่เล็กทำให้พกพาได้ง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวบ่อยๆ
เหตุผลที่ให้การถ่ายภาพด้วย "กล้อง GoPro ถ่าย ภาพนิ่ง" ได้ปังไม่แพ้ใคร
กล้องโกโปร สำหรับใช้ในการถ่ายภาพนิ่ง หลายๆคนยังไม่รู้ เพราะชื่อของกล้องโกโปร ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นกล้องสำหรับใช้ถ่ายวีดีโอ ที่มีกันสั่นขั้นเทพ น้อยคนนักที่จะใช้ถ่ายภาพนิ่ง กล้องโกโปรเหมาะมากในการถายภาพนิ่ง เนื่องจากความละเอียดของภาพตั้งแต่รุ่น 12 ล้านพิกเซล อย่างรุ่นของ GoPro 7 ไปจนถึงความละเอียดของรุ่นล่าสุด ที่ให้ความละเอียดสูงสุดถึง 20 ล้านพิกเซล อย่างโกโปรรุ่นล่าสุดอย่าง GoPro 9  ไปดูเหตุผลที่ทำให้ควรเลือกกล้อง GoPro ในการถ่ายภาพนิ่ง
1. มุมมองที่มีให้เลือกหลากหลาย

กล้องโกโปร มีโหมดในการเลือกมุมมองการถ่ายภาพ ที่มีมาให้เลือก ได้ถึง 4 มุมมอง ไม่ว่าจะเป็น โหมด Superview , Wide , Linear และ Narrow ให้คุณเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม และ ความชอบ

-Superview ระยะเลนส์อยู่ที่ 16 mm มุมมองภาพที่ได้ เป็นมุมมองกว้างๆ และ ขอบของภาพจะมีความโค้ง เพื่อให้สามารถเก็บภาพได้ครบทุกองค์ประกอบ เหมาะสำหรับการถ่ายกิจกรรมที่เน้นเก็บบรรยากาศ ที่ต้องเก็บรายละเอียดกว้างๆ
-Wide มุมมองระยะเลนส์อยู่ที่ 16 - 34 mm ภาพที่ได้จะไม่โค้งเกินไปเหมือนมุมมองในการใช้ Superview เหมาะสำหรับการถ่ายกิจกรรมที่เน้น การเก็บภาพบรรยากาศ
-Linear มุมมองระยะเลนส์อยู่ที่ 24 mm ภาพที่ได้จะให้ภาพมุมตรงที่ไม่มีขอบโค้ง เหมาะสำหรับการถ่ายกิจกรรมที่เน้นความสมมาตรของภาพ อย่างเช่น การถ่ายวิวที่ต้องการความสมดุลของรูปที่ได้
-Narrow มุมมองระยะเลนส์อยู่ที่ 27 mm เป็นมุมมองที่ให้ภาพที่แคบที่สุด แต่ก็ไม่ใกล้จนเกินไป ภาพที่ได้ไม่มีความโค้งของขอบภาพ เหมาะสำหรับการถ่ายที่เน้นส่วนใด ส่วนหนึ่ง การเน้นถ่ายภาพบุคคล เป็นต้น
2.พร้อมโหมดพิเศษที่มีให้เลือกหลากหลาย

สำหรับการถ่ายภาพนิ่งก็มาพร้อมโหมดพิเศษในการถ่ายภาพนิ่งด้วย เช่นกันไม่ว่าจะเป็น
-HDR ที่เป็นลักษณะของภาพที่มีความแตกต่างของบริเวณที่มืด และ สว่าง ทำให้ได้ภาพที่มีความสมจริง ทำให้มีการเก็บรายละเอียดเยอะ เปิดเงา มีการเก็บไฮไลน์มาก (เน้นการถ่ายย้อนแสง)

-SuperPhoto การถ่ายภาพที่เน้นสีสันของภาพ และ การถ่ายย้อนแสง เป็นการช่วยปรับภาพให้มีความสมจริง มีเงา มีมิติที่มากยิ่งขึ้น สำหรับใช้ในการถ่ายภาพนิ่ง

3.ตัวเล็ก พกพาง่าย

สำหรับบางมุมที่เป็นมุมยากๆ เป็นมุมแคบๆ ที่ไม่สามารถเอากล้องตัวใหญ่เข้าไปถ่ายได้ อย่างเช่น เวลาไปทำกิจกรรมปีนเขา มุดถ้ำ เพื่อเข้าไปถ่ายมุมแคบๆ ที่พกกล้องตัวใหญ่ๆเข้าไปไม่ได้ ก็สามารถใช้กล้องโกโปรในการนำไปถ่ายภาพนิ่งได้ นอกจากจะเล็ก พกพาง่าย และ ยังให้ความละเอียดที่สูงถึง 20 ล้านพิกเซล
4.รองรับไฟล์ Raw

ไม่ใช่ว่ากล้องตัวเล็กๆ อย่างโกโปรจะให้ไฟล์ที่เล็กตามขนาดกล้อง เพราะ GoPro ยังรองรับไฟล์ raw ที่ให้ภาพที่คมชัด ปราศจากการบีบ อัด ขนาดของภาพ ให้ไฟล์ที่มีประสิทธิภาพสูง ที่สามารถนำไปตัดต่อ ใช้งานต่อไปได้ง่าย
สามารถอ่านบทความ เปรียบเทียบ GoPro ควรซื้อรุ่นไหน และ เหตุผลที่ GoPro 9 เหมาะกับมือใหม่ เพิ่มเติมได้ที่นี่
 
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


292

Content Marketing คือ - ในปัจจุบันสำคัญอย่างไร?
Content Marketing คือ อีกหนึ่งรูปแบบในการทำการตลาดออนไลน์ ในการโปรโมทธุรกิจ สินค้าและบริการ ยังเป็นการให้ความรู้ ให้ข้อมูล ตอบแทนกลับไปที่ตัวลูกค้า มาดูกันดีกว่าว่า content marketing คืออะไรกันแน่ และ มีสำคัญอย่างไรต่อธุรกิจในปัจจุบัน
 
Highlight การตลาดออนไลน์ ที่ต้องรู้!!!
-Content Marketing คืออะไร?
-เหตุผลที่ต้องทำ Content Marketing
-ประเภทของ Content Marketing มีอะไรกันบ้าง?
 
Content Marketing คือ ?
Content Marketing เป็นการทำการตลาด ด้วยการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นการให้ความรู้แก่ผู้อ่าน แทนการเน้นขายสินค้าอย่างเดียว เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากบทความ เป็นการสร้างคุณค่าให้กับคอนเทนต์ ทำให้ผู้อ่านมีความสนใจที่จะเข้ามาอ่านด้วยตัวเอง
 
เหตุผลที่ต้องทำ Content Marketing
รู้หรือไม่ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่เลื่อนผ่านคอนเทนต์ไปเฉยๆ โดยไม่ได้เข้าไปอ่านด้วยซ้ำ เหตุผลอะไรกันที่ทำให้คนไม่สนใจคอนเทนต์?
เหตุผลหลักๆเลย คอนเทนต์ส่วนใหญ่จะขายก็เน้นขายเป็นหลัก เป็นการลดความน่าสนใจของคอนเทนต์ลง ทำให้ไม่น่าอ่าน แต่ถ้าหากลองเปลี่ยนมาใช้เป็นการทำคอนเทนต์ที่ให้ประโยชน์แก่ลูกค้าแทน อย่างการทำ "Content Marketing" ที่ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักๆเพื่อเน้นขาย แต่เป็นการให้ประโยชน์ที่แฝงด้วยสินค้าของเรา

การทำการตลาดด้วย Content Marketing ทำให้ ธุรกิจ สินค้า เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เน้นการให้ความรู้แก่ผู้อ่าน ใช้ภาษาที่อ่านง่าย หัวข้อที่น่าสนใจ เพื่อทำให้ผู้อ่านยากที่จะติดตาม และ รู้จักเรา
 
ประเภทของ Content Marketing มีอะไรกันบ้าง?
Content Marketingนั้นสามารถแบ่งประเภทของคอนเทนต์ได้ ดังต่อไปนี้

-Posts เป็นการเขียนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้า หรือ แชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โดยเขียนบทความให้สอดคล้องกับแบรนด์ของเรา

-Photo & video content เป็นการทำคอนเทนต์โดยการใช้รูปภาพช่วยดึงดูดใจ เพราะปกติคนมักจะให้ความสนใจกับสื่อที่เป็นภาพมากกว่าสื่อที่เป็นตัวหนังสือ โดยหากทำคอนเทต์รูปเป็นจำนวนมากจะเรียกลักษณะนี้ว่าเป็นการทำ "Album content" และ ถ้าเป็นวีดีโอจะเรียกว่า "Video content"

-Text quote content เป็นคอนเทนต์ประเภทที่ใช้ข้อความ ที่มีความโดดเด่น มีอิทธิพล ในการกระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึก อาจจะเป็นคำคม ข้อความโดนๆ สั้นๆ ที่ใครเห็นก็อยากแชร์ อาจจะใช้รูปภาพที่เป็นพื้นหลังเท่ๆ เพื่อกระตุ้นให้ข้อความโดดเด่นขึ้น

-Question & Opinion content เป็นคอนเทนต์อีกหนึ่งรูปแบบที่ช่วยทำให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นบนคอมเมนต์ใต้โพสต์ของเรา อาจจะทำให้คอนเทนต์มีความโดดเด่น เช่น การถามอะไรที่เป็นกระแส ให้คนเลือก โดยสอดแทรกสิ่งที่เราต้องการโปรโมทไปด้วย

-Solvable & Beneficial content เป็นคอนเทนต์ประเภท ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ทั้งข้อมูลที่เป็นความรู้ เป็นคอนเทนต์ที่คนนิยมทำกันมาก เนื่องจากพอเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ คนจะอยากแชร์เนื่องจากให้ประโยชน์แก่พวกเขานั้นเอง

-Real time content เป็นคอนเทนต์ที่ทำเพื่อเกาะกระแส ที่กำลังมาแรง และมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราต้องการโปรโมท ซึ่งเป็นการทำคอนเทนต์ที่จะเป็นที่นิยมในแค่บางช่วง พอหมดกระแสก็จะทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก

-Promotional content เน้นการส่งเสริมทางการตลาดด้วยการโปรโมท ทำโปรโมชั่น โดยอาจจะใช้เงื่อนไขเพื่อทำให้คนแชร์คอนเทนต์ออกไป เช่น ต้อง Like และ แชร์โพสต์ถึงจะได้รับส่วนลดเป็นต้น
จะเห็นได้ว่าแต่ละประเภทของคอนเทนต์ ก็มีความเหมาะสมในการใช้ที่แตกต่าง มีการใช้งานที่เหมาะสมกับสินค้า บริการที่ไม่เหมือนกัน นั้นทำให้หากคิดจะทำคอนเทนต์ต้องเลือกให้เหมาะกับสินค้า เหมาะกับแบรนด์ และ เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการทำการโปรโมท
 
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency



293

ราคาไม้ยางพารา คำนวณอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ!!!
ไม้ยางพารา ไม้สำหรับนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ยอดนิยม วันนี้บทความจะนำเสนอวิธีคำนวณ ราคาไม้ยางพารา สำหรับคนที่ต้องการซื้อไม้ยางพารา สำหรับประกอบธุรกิจ เพื่อให้สามารถคำนวณราคาให้เหมาะกับปริมาณที่ต้องใช้ได้ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยว่าคำนวณอย่างไร
หากใครสงสัยว่าทำไม ไม้ยางพารา ถึงเป็นที่นิยม   สามาถเข้าไปอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาไม้ยางพารา
ราคาของไม้ยางพารา ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังต่อไปนี้

-สถานที่ตั้ง   ราคาของไม้ยางพารากับสถานที่ตั้ถ้าสถานที่อยู่ในจุดที่ทำเลดี   ติดถนนใหญ่ ผู้คนสัญจรไปมาได้ง่าย อาจทำให้ราคาไม้ยางพาราสูงขึ้น กว่าสถานที่ห่างไกล   เดินทางลำบาก

-ฤดูกาล   ถ้าอยู่ในช่วงหน้าฝน ที่มีอุปสรรคในการขนส่งไม้ยางพารา หรือ ไม้ยางพาราเสียหาย ขาดตลาด   อาจทำให้ราคาไม้ยางพาราสูงขึ้น   กลับกันถ้าหากเป็นช่วงหน้าแล้งที่ไม้ยางพารา มีขายตามทั่วไปจนล้นตลาดอาจส่งผลให้  ราคาไม้ยางพาราต่ำลง

-น้ำหนัก และ   ปริมาณไม้ยางพารา   น้ำหนักไม้ยางพาราขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ   ไม่ว่าจะเป็น  ประเภทของพันธ์ุไม้   มีตั้งแต่พันธ์ุไม้ที่มีน้ำหนักมาก ไปจนที่มีน้ำหนักเบา   ,   ขนาดของต้นยาง   ซึ่งไม้ยางที่ได้ขนาดจะถูกเรียกว่า   "ไม้เกรด"   ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น เส้นผ่าศูนย์กลาง   6   นิ้วขึ้นไป   ที่จะถูกนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ   และ   เส้นผ่าศูนย์กลางไม่ถึง   6   นิ้วจะถูกนำไปทำพวก   ไม้พาเลท  ไม้อัด  อีกทั้งยัง ดินที่ใช้ปลูก  ถ้าใช้ดินเหนียวจะทำให้น้ำหนักของไม้ยางพารามากกว่าที่ปลุกในดินทราย และ   ปริมาณของไม้ยางพาราจะคิดตามไร่   ถ้าหากปริมาณตรงตามสเปคงานก็จะได้ราคาที่ดี   แต่ถ้าหากไม้ยางพาราเสียหาย ส่งได้ปริมารน้อยลงก็อาจจะได้ราคาที่ลดลงมา
หากอยากรู้ ประเภทและขนาดของไม้ยางพารา สามารถไปอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่
วิธีคำนวณ ราคาไม้ยางพารา   ที่คุณสามารถทำได้ไม่ยาก
-ราคาไม้ยางพารา   
-ค่าแรง  ค่าขนส่ง ค่าตัดแต่งไม้ให้สวยงาม ค่าบริการเสริมต่างๆ
-ค่าผ่านทาง   เป็นค่าที่เรียกเก็บเมื่อจะนำไม้ออกจากสวน   ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่นั้น   โดยเฉพาะกับสวนที่ไม่มีเอกสารครอบครองที่ดิน   หรือ   เช่าที่ปลูก
วิธีในการคิดราคาไม้ยางพารา   จะใช้   "น้ำหนักของต้นยาง"   ในการคำนวณราคาซื้อขาย   ไปดูกันว่าคิดอย่างไร
สมชาย ปลูกไม้ยางพารา    2   ไร่   ไม้ยางมีความสูงและขนาดลำต้น มีความใกล้เคียงกันที่   สูงเฉลี่ย   160   เซนติเมตร   และ   ขนาดเฉลี่ย   82   เซนติเมตร   ซึ่งถือว่าเป็นขนาดไม้เกรดที่ดีในการนำมาใช้งาน
ง่ายที่สุดในการคิดคำนวณราคาไม้ยางพารา

Cr : ข้อมูลจาก คุณพันลภ จันทรัตน์ ผู้จัดการสหกรณ์วังใหญ่ปุ๋ยอินทรีย์พัฒนา จำกัด
1.คำนวณน้ำหนักของไม้ยางพาราทั้งหมด   โดยการวัดเส้นผ่าศูนย์กลาง   และ   น้ำหนัก   โดยคิดต่อไร่   (70ต้น=1ไร่)   เช่น   ไม้ยางพาราของสมชาย   มีเส้นผ่าศูนย์กลาง   12   นิ้ว   น้ำหนักของไม้เฉลี่ย  ต้นละ   0.85ตัน   สามารถคำนวณได้ดังนี้   คือ  0.85   ตัน(น้ำหนักต่อต้น) x   140   ต้น(จำนวนต้น)   =   119   ตัน
2.ดูราคาจากสถานที่ที่ต้องการนำไปขาย   เช่น   โรงงานA  ให้ราคาไม้ยางพารา ที่กิโลกรัมละ   2.5   บาท   ถ้าคิดเป็นต้นจะอยู่ที่ราคา ตันละ   2,500   บาท   ถ้าคำนวนจากจำนวนตัน   คือ   119   ตัน(จำนวนตัน)  x   2,500   บาท(ราคาขายต่อตัน)   จะตกอยู่ที่    297,500   บาท
3.ค่าแรงในการทำไม้  ค่าตัดแต่ง  ค่าเลื่อยไม้  รวมทั้งค่าขนส่ง ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่แล้วแต่ที่   ซึ่งในปัจจุบันราคาจะอยู่ที่ประมาณ   400 บาทต่อตัน   คือ 400   บาท  x   119   ตัน  =   47,600   บาท
4.ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ค่าผ่านทาง   ซึ่งขึ้นอยู่แต่ละสถานที่ บางที่อาจจะไม่เสียในส่วนนี้
จากบทความ   จะทำให้คุณสามารถคำนวณราคาไม้ยางพารา ให้เหมาะกับทุนที่ต้องใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม   จะเห็นได้ว่าไม่ยากอย่างที่คิดเลย
Photo Cr :   Google   ,   Freepic
 
สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม   MTK   ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :  @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


294

วิธี live ผ่าน GoPro อย่างง่ายทำได้ไม่ยาก!!!
ใครที่ชอบการงถ่าย live ผ่าน GoPro บอกเลยว่าปัญหานี้จะหมดไป เพราะบทความนี้มาพร้อมคำแนะนำขั้นตอนในการlive ผ่าน GoPro แบบง่ายๆไปดูกันเลย
อุปกรณ์live ผ่าน GoPro ที่ควรจะต้องมี
ก่อนที่จะทำการไลฟ์ เราควรที่จะต้องรู้จักอุปกรณ์ที่ต้องมีเสียก่อน ไปดูกันเลยว่าจะมีอะไรบ้าง
-ขาตั้งกล้อง อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับใครที่อยากไลฟ์ ควรเลือกขาตั้งที่สามารถปรับความยาวได้ พกพาได้ง่าย ที่แนะนำ เป็นขาตั้งกล้องที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย อาทิ แบบ 2 IN 1 แบบที่เป็นขาตั้งกล้อง และ ไม้เซลฟี่ในตัว หรือ แบบที่มีแบตเตอรี่ในตัว
-ไมโครโฟน ขาดไม่ได้เลย ถึงโกโปรจะมีระบบในการจัดการกับเสียงรบกวน แต่การที่มีไมโครโฟนจะช่วยให้เสียงที่คุณไลฟ์มีความคมชัดยิ่งขึ้น ที่แนะนำควรจะเป็น ไมค์ที่มีขนาดพอดี ไม่ใหญ่จนเกินไป มีน้ำหนักเบา
-แบตเตอรี่ อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับคนชอบไลฟ์ เพราะคุณคงไม่อยากพลาดแบตหมดระหว่างไลฟ์หรอกนะ อยากแนะนำเป็นตัว แบตเตอรี่แท้เพื่อจะถนอมตัวเครื่องได้ดีกว่า แต่ถ้าใครงบไม่ถึงก็สามารถใช้แบตเตอรี่เทียบแทนได้ ส่วนถ้าใครอยากรู้ว่า แบตเตอรี่แท้ กับ แบตเตอรี่เทียบต่างกันตรงไหนสามารถเข้าไปอ่านบทความ ได้ที่
วิธี live ผ่าน GoPro อย่างง่ายมือใหม่ก็ทำได้
มาดูขั้นตอนกันดีกว่าว่า GoPro live ผ่านมือถือต้องทำอย่างไร แบบ Step by Step ไปดูกันเลย

1.เข้าไปที่ GoPro App ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง Android และ Iphone  ทำการเปิดเครื่องโกโปร และ ทำการเชื่อมต่อโกโปรของคุณเข้ากับแอพพลิเคชั่น > พอทำการเชื่อมต่อเรียบร้อยให้มาที่ปุ่ม live แล้วมาที่ set up live

2.เชื่อมต่อกับ WiFi เพื่อเชื่อมสัญญาณอินเทอร์เน็ตสำหรับการไลฟ์ > ไปที่แชร์ ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะไลฟ์ผ่านอะไร ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Youtube หรือ อื่นๆ > แล้วเลือกที่ Allow เราสามารถเลือกได้ว่าจะแชร์ให้ใครเห็น

ซึ่งสามารถเลือกความละเอียดได้ถึง 1080p อีกทั้งยังสามารถเลือกเซฟไปที่ SD Card ได้อีกด้วยเผื่อใครอยากนำไปตัดต่อเพิ่มเติม
แต่ถ้าหากใครยัง เชื่อมต่อ GoPro กับ มือถือ ยังไม่ได้สามารถเข้าไปอ่านบทความเพิ่มเติมได้ ซึ่งวิธีก็เป็นวิธีง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ และ หากใครที่เคยเชื่อมต่อ WiFi แล้วแต่ ลืม Password GoPro ก็สามารถแก้ได้ไม่ยาก คุณสามารถเลือกวิธีได้ตามความถนัด ที่นี่เลย

3.จากนั้นเลือกที่ Go live แล้วทางด้านของ GoPro หน้าจอจะขึ้นว่า ready > จากนั้นจะทำการเริ่มการไลฟ์ จะสังเกตได้จากหน้าจอ GoPro จะขึ้นคำว่า live สีแดงๆ แล้วก็เริ่มไลฟ์ได้เลย

4.เมื่อจะสิ้นสุดการไลฟ์ ให้กดที่ปุ่มชัตเตอร์ เพื่อทำการปิดการ live เพื่อกลับไปที่หมวดปกติ
ส่วนใครที่อยากที่จะไลฟ์ได้นานๆชาร์จแบตเตอรี่ไปได้ โดยไม่ต้องถอดฝาออก ด้วย ฝาครอบแบตเตอรี่ ULANZI G9-3 และหากใครที่ลังเลว่า GoPro รุ่นไหนเหมาะกับการไลฟ์มากกว่า ก็สามารถเข้าไปสเปค เปรียบเทียบ GoPro 9 vs GoPro 8 ว่าควรซื้อรุ่นไหนได้ที่นี่
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


295

Influencer Marketing คือ ? มีกี่ประเภท? บทความนี้มีคำตอบ
 "Influencer" หลายๆคนคงจะคุ้นเค้ยกับคำๆนี้ แต่รู้หรือไม่ว่า  Influencer Marketing คือ อะไรกันแน่ มารู้กันว่า ทำไมInfluencerถึงสำคัญต่อธุรกิจ ไปพร้อมๆกัน
 
Highlight Influencer Marketing ที่ต้องรู้!!!
-Influencer Marketing คืออะไร?
-ทำไมต้องทำการตลาดด้วย Influencer?
-ประเภทของ Influencer marketing มีอะไรบ้าง?
 
Influencer Marketing คืออะไร ?
"Influencer" บุคคลผู้ที่มีอิทธิพลต่อผู้อื่นในการจูงใจผู้คน ไม่ว่าจะเป็น ดาวโรงเรียน เน็ตไอดอล รวมไปจนถึงดาราซึ่งเป็นInfluencer ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก
Influencer Marketing คือคือการตลาดอีกรูปแบบหนึ่งโดยใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง ในการโปรโมทสินค้าและบริการต่างๆ ในรูปแบบของ พรีเซ็นเตอร์สินค้า และ การทำคอนเทนต์ที่มีการ Tie-in สินค้า(ซึ่งเป็นการโฆษณาแฝงนั้นเอง)
 
ทำไมต้องทำการตลาดด้วย Influencer ?
การเป็นInfluencerได้ ไม่จำเป็นว่าต้อง สวย หรือ หล่อ รูปร่างภายนอกอาจจะเป็นตัวดึงดูดที่ดี แต่นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่า "ความน่าสนใจ" ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คนติดตาม ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ ความท้าทาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้คนสนใจ ทำให้คนติดตาม และทำให้บุคคลเหล่านี้กลายมาเป็น เหล่าInfluencerที่มีชื่อเสียง

ด้วยเหตุนี้เองการทำการตลาดด้วย Influencer จะทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้ง่าย เนื่องจากInfluencerมีฐานผู้ติดตามจำนวนมากอยู่แล้ว นั้นทำให้การทำการตลาด โดยการโปรโมท การขายสินค้า บริการ เป็นเรื่องที่ง่ายๆ เนื่องจากอิทธิพลของInfluencerนั้นเอง
 
สามารถอ่านบทความ การตลาดออนไลน์ คืออะไร และ จะเริ่มต้นอย่างไร ได้ที่นี่

ประเภทของ Influencer marketing มีอะไรบ้าง ?
สามารถแบ่งประเภทของInfluencer ได้เป็น 5 ประเภท ตามจำนวนของผู้ติดตาม ไปดูกันว่าแต่ละประเภทเป็นแบบไหนก็บ้าง
Nano Influencer
cr: ภาพยนต์ เมย์ไหนไฟแรงเฟร่อ
Nano Influencer เป็นกลุ่มที่มีผู้ติดตามในประมาณ 1,000 - 10,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นระดับเริ่มต้น มักจะเป็น ดาวโรงเรียน , ดาวมหาวิทยาลัย , ประธานนักเรียน หรือ ประธานนักศึกษา เป็นต้น
Micro Influencer
cr : Freepic
Micro Influencer
กลุ่มที่มีผู้ติดตามประมาณ 10,000 - 100,000 คน ซึ่งอาจจะมาจาก การเขียนBlog การเขียนรีวิวต่างๆ ตลอดจนการทำช่องบน ​Youtube หรือ ที่เรามักจะเรียกว่า Youtuber นั้นเอง ซึ่งเป็นประเภทของInfluencer ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
Macro Influencer
cr : รายการ เสือร้องไห้
Macro Influencer กลุ่มที่มีผู้ติดตามประมาณ 100,000 - 1,000,000 คน ซึ่งถือว่าเยอะมากในการจะทำการตลาด ซึ่งเรามักจะเห็นการTie-in สินค้า ในกลุ่มบุคคลเหล่านี้ค่อนข้างมาก เช่น เวลาแบรนด์สินค้าออกมาใหม่ หลายๆแบรนด์เลือกที่จะใช้ บุคคลที่มีอิทธิผลต่อผู้อื่นในระดับนี้หลายๆคน มากกว่าการทุ่มไปที่คนดังเพียงคนเดียว เนื่องจากอยากกระจายสินค้าไปหลายๆกลุ่มมากกว่า อีกทั้งยังทำให้ความถี่ในการเห็นสินค้ามีมากขึ้นอีกด้วย
 
Mega Influencer
cr : เอส โคล่า
Mega Influencer หรือ ที่เรามักจะเรียกว่าบุคคลที่ "Mass" นั้นเอง กลุ่มที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 คนซึ่งเราจะคุ้นตากับบุคคลเหล่านี้ในรูปแบบของ ดารา เซเลบ นักร้อง นักกีฬาคนดัง รวมไปถึงพวก ไฮโซต่างๆ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีผลต่อการตัดสินค้า โน้มน้าวใจ ของผู้คนมาก เนื่องจากเป็นผู้ที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก แต่การทำการตลาดในกลุ่มนี้อาจจะต้องมีเงินทุนในระดับที่สูง เนื่องจากค่าตัวแปรผันตามจำนวนผู้ติดตามคนๆนั้น

จะเห็นว่าเหล่าInfluencerทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นในระดับ Nano , Micro , Macro และ Mega Influencer ก็ล้วนมีอิทธิพลต่อความสนใจของผู้คนจำนวนมาก นั้นทำให้เป็นสาเหตุว่าทำไมInfluencer Marketingถึงเป็นที่นิยมในการทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"
 สามารถอ่านบทความ Influencer Marketing และ บทความอื่นๆได้ที่นี่

สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency



296

ทำไมต้อง GoPro 9 - 5 เหตุผลที่เหมาะกับผู้ใช้งานกล้องมือใหม่ ?
GoPro 9 กล้องน้องใหม่ล่าสุดที่พึ่งเปิดตัวไป ที่มาพร้อมกับสเปคสุดโหด ให้คุณใช้งานได้ง่ายมากขึ้นด้วยเหตุผลอะไร ทำไมต้องGoPro 9 บทความนี้มีคำตอบ
เป็นมือใหม่ ทำไมต้อง GoPro 9 ?
เป็นมือใหม่ที่ชอบท่องเที่ยว ชอบถ่ายรูป อยากจะได้กล้องดีๆซักตัว ที่ใช้งานได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ต้องนี่เลย"GoPro 9" ไปดูกันดีกว่าว่าทำไมถึงเหมาะกับมือใหม่หัดใช้กล้อง
1. ราคา

ถ้าพูดถึงกล้องสำหรับมือใหม่ๆ หลายๆคน ก็คงอยากได้กล้องที่ราคาจับต้องได้ ไม่ได้แพงจนเกินไปแต่สเปคโอเค ราคา GoPro 9 อยู่ที่ 15,999 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่น่าคบสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน ซึ่งมาพร้อมกับฟีลเจอร์สำหรับการคอยช่วยให้คุณสามารถใช้งานได้ อีกทั้งให้คุณมีประสบการณ์ที่ดีจากการใช้งานอีกด้วย
2.คุณภาพสูงสุด

GoPro 9 มาพร้อมกับ คุณภาพของวีดีโอที่มากขึ้นกว่าเดิมถึง 5K 30 FPS ซึ่งเป็นไฟล์ขนาดใหญ่ที่สามารถนำไปตัดต่อเพิ่มเติมก็ไม่เป็นปัญหา ส่วนในเรื่องของคุณภาพของภาพ ก็จัดมาให้สูงสุดถึง 23 ล้านพิกเซลทำให้คุณจะได้ภาพ วีดีโอ ที่มีความคมชัด ทำให้คุณหมดกังวลเรื่องรูปเบลอไปได้เลย
3.กันสั่นขั้นเทพ

ถ้าคุณเป็นมือใหม่อาจจะกังวลเรื่องเวลาถ่ายแล้วมือสั่น หมดกังวลไปได้เลย เพราะในรุ่นนี้มาพร้อมกับ การกันสั่นขั้นเทพ HyperSmooth เวอร์ชั่น 3.0 ที่มาพร้อมกับ Horizon leveling ที่จะช่วยทำให้คุณสามารถใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ด้วยการทำให้ภาพของเรากลับมาตรงกับเส้นขอบฟ้า ทำให้วีดีโอของคุณสมูทมากขึ้น ให้คุรสนุกกับกิจกรรมได้ไม่มีสะดุด
4.จอหน้า

สำหรับใครที่เป็นมือใหม่ อาจจะต้องคงไม่คุ้นเคยกับมุมกล้องเวลาถ่าย Vlog ถ่ายเซลฟี่ต่างๆ จะดีกว่าไหมถ้าสามารถ ดูมุมกล้องได้จากกล้องหน้าGoPro 9 มาพร้อมกับ จอหน้าสี ที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถดูสเตตัชในการใช้งานสำหรับการเซลฟี่ ถ่าย Vlog ได้รูปสวยๆไม่หลุดเฟรมแน่นอน
5.น้ำหนัก

มือใหม่หัดใช้กล้องที่ชอบการท่องเที่ยวคงต้องไม่อยากได้กล้องตัวใหญ่ๆ หนักๆ GoPro 9 มาพร้อมกับน้ำหนักที่เบา พกพาได้ง่าย คุณสามารถที่จะพกพาไปได้ในทุกๆที่ไม่เป็นภาระในการใช้งาน อีกทั้งยังทำให้คุณสามารถเก็บทุกโมเมนต์ได้แบบไม่พลาดซักช็อตด้วย hind sight ที่สามารถเก็บได้ก่อนกดได้มากสุด 30 วินาที ให้คุณใช้งานได้ง่าย และ สะดวกมากยิ่งขึ้น
ความเหมาะสมที่ทำให้มือใหม่ต้องใช้ GoPro 9
-น้ำหนักเบา พกพาได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้ไม่เป็นภาระในการใช้งาน ไม่ต้องใส่อุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมให้ยุ่งยาก
-การใช้งานที่ง่าย มีฟังก์ชั่นที่คอยซัพพอร์ตการใชังานของคุณ สามารถแตะทัชสกรีนใช้งานได้ง่าย
-มีกล้องหน้าที่ทำให้สามารถ ดูมุมกล้องในการถ่ายได้ ทำให้ถ่ายได้ไม่หลุดเฟรม
-กันสั่นขั้นเทพ ที่ทำให้วีดีโอของคุณสมูทไม่มีสะดุด
-ราคาน่าคบ คุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับราคา
 
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


297

การตลาดออนไลน์ คือ อะไร และเริ่มต้นอย่างไรดี
หลายๆคนคงคุ้นชินกับการตลาดทั่วไป แต่หลายๆคนยังไม่เข้าใจ การตลาดออนไลน์ คืออะไร กันแน่ และมันมีความสำคัญอย่างไรต่อธุรกิจในปัจจุบัน หากจะเริ่มต้นทำการตลาดออนไลน์ ควรจะเริ่มอย่างไรดี มาไขข้อข้องใจต่อการตลาดออนไลน์ไปพร้อมๆกัน
 
Highlight การตลาดออนไลน์ ที่ต้องรู้!!!
-การตลาดออนไลน์ คืออะไร
-การตลาดออนไลน์ดีอย่างไร ทำไมต้องทำ
-การตลาดออนไลน์ ในปัจจุบันมีอะไรบ้าง
-"สิ่งที่ต้องทำ" ก่อนเริ่มทำการตลาดออนไลน์
 
การตลาดออนไลน์ คืออะไร?
การตลาดออนไลน์ หรือ online marketing คือ การทำการตลาดที่เปลี่ยนช่องทาง และ แนวทางในการทำ จากออฟไลน์ มาเป็นออนไลน์ ตามสื่อโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ ช่องทางออนไลน์ต่างๆ Facebook , Instagram หรือ Twitter เป็นต้น
การตลาดออนไลน์ดีอย่างไร ทำไมต้องทำ?
ในปัจจุบันโซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลต่อธุรกิจมาก เราสามารถทำให้ธุรกิจเติบโตได้ด้วย Digital disruption เที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาเปลี่ยนรูปแบบสินค้าและบริการ ทำให้ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็น การเดินทาง , การบริโภคอาหาร , การซื้อของ เป็นต้น จากเดิมที่ต้องไปหน้าร้านเพื่อซื้อสินค้า เปลี่ยนไปเป็นการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์แทน การที่เราทำการตลาดออนไลน์ จะช่วยเพิ่มช่องทาง ในการค้าขาย การติดต่อ และเป็นที่รู้จักมากขึ้นให้กับธุรกิจของคุณ
การตลาดออนไลน์ ในปัจจุบันมีอะไรบ้าง
Influencer Marketing
เป็นการทำการตลาดออนไลน์ โดยใช้ คนที่มีชื่อเสียงบนโลกออนไลน์ ในการโปรโมทสินค้าและบริการ เช่น รายการ bearhug , เสือร้องไห้ Youtuberคนอื่นๆ ตลอดจนผู้มีอิทธิพลในการตัดสินใจต่างๆ อาจจะเป็นดารา นักร้อง เนื่องจากเป็นผู้ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก เป็นช่องทางการทำการตลาดที่สามารถเข้าถึง และ โปรโมท คนจำนวนมากได้ใกล้ชิดกว่าช่องทางอื่นๆ ยิ่งผู้ติดตามมากยิ่งมีอิทธิพลต่อการทำ online marketing 

Search engine
เป็นการทำการตลาดผ่านการค้นหาบนอินเทอร์เน็ต สามารถแยกประเภทได้เป็นแบบไม่เสียเงินคือ SEO เป็นการทำการตลาดผ่าน keywordในบทความ ซึ่งเป็นตัวกำหนดลำดับ (ranking) ที่จะแสดงจากการค้นหาบนเว็บไซน์ และ แบบเสียเงิน คือ SEM เป็นการทำการตลาดโดยการซื้อโฆษณาบนเว็บไซน์ ซึ่งราคาก็จะขึ้นกับ keyword
search engine marketing มีส่วนประกอบย่อยๆหลายอย่างซึ่งมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจให้เติบโต ไม่ว่าจะเป้น "Website" ที่เป็นเหมือน "หน้าร้าน" บนโลกออนไลน์ ที่ใช้ขายสินค้า และยังต้องมี "Hosting" ที่เป็นเหมือน "ที่ดิน" สำหรับตั้งหน้าร้าน และ "Domain" ที่เปรียบเสมือน "เลขที่บ้าน หรือ ตำแหน่งร้านค้า" ที่บอกพิกัดให้คนมาที่ร้านของเรา โดยมักจะเรียกรวมๆทั้งสามอย่างนี่ว่า Website (Content Marketing) นั้นเอง หากคุณไม่มีในส่วนนี้จะทำให้ความน่าชื่อถือของร้าน หรือ ธุรกิจของคุณลดลง
"Website ถือเป็นต้นทางในการทำ Google search engine ที่ช่วยทำให้คนรู้จักร้านของคุณมากยิ่งขึ้น"

Content Marketing
เป็นการทำการตลาด โดยใช้เนื้อหา (Content) ทั้งContentให้ความรู้ , ให้ความบันเทิง , โน้มนาวใจ , การเปรียบเทียบ และควรที่จะเลือกประเภทของ Content ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และ จุดประสงค์ในการทำ จะส่งผลทำให้การตลาดรูปแบบนี้ได้ผลมากนั้นเอง

Social Media Marketing
เป็นการทำการตลาด ผ่านทางโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Instagram หรือ Twitter เป็นต้น ทั้งในรูปแบบ ข้อความ , รูปภาพ , วีดีโอ และอื่นๆ ซึ่งมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้มีการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งจากโทรศัพท์ จากคอมพิวเตอร์ มากกว่าการซื้อที่หน้าร้านจริงๆ

Email Marketing
เป็นการทำการตลาดในรูปแบบของการโปรโมทสินค้า ผ่านทาง E-mail ซึ่งสามารถส่งให้คนจำนานมากได้ มีความรวดเร็ว แม่นยำ และยังสามารถรายงานผลของการใช้งานได้อีกด้วย ซึ่งมีความแตกต่างกับการส่ง E-mail แบบปกติที่มีข้อจำกัดในการส่งคราวละมากๆ อีกทั้งยังอาจเกิดความผิดพลาดในการส่ง และไม่สามารถรายงานผลจากการทำได้เหมือน Email Marketing อีกด้วย

"สิ่งที่ต้องทำ" ก่อนเริ่มทำการตลาดออนไลน์
ก่อนที่จะเริ่มทำการตลาดออนไลน์ มีสิ่งที่คุณจะต้องทำก่อนที่จะเริ่ม นั้นก็คือ "การรู้จักตัวเอง" รู้หรือไม่ว่ามี ธุรกิจ ร้านค้า จำนวนไม่น้อย ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำการตลาด นั้นอาจจะเป็นเพราะ ยังไม่รู้จักตัวเองดี
 
"การรู้จักตัวเอง" เป็นการทำความรู้จักธุรกิจที่กำลังทำอยู่ให้ทราบเป้าหมาย ว่าต้องการทำเพื่ออะไร เช่น ต้องการเพิ่มยอดขาย , ต้องการเพิ่มช่องทางในการขาย , ต้องการให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เป็นต้น แต่ถ้าหากเรารู้ว่าเราต้องการทำเพื่ออะไร จะทำให้สามารถทำการตลาดได้ดีมากยิ่งขึ้น และยังสามารถวัดผลตามจุดมุ่งหมายได้ชัดเจน
เมื่อรู้เกี่ยวการตลาดออนไลน์ และ รู้แล้วว่าการทำการตลาดออนไลน์ หรือ online marketing คือ อะไร ซึ่งเป็นช่องทางที่จะช่วยให้ ธุรกิจ รวมทั้งสินค้าและบริการ ของคุณเป็นที่รู้จัก และ เติบโตมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการรู้จักตัวเองที่เป็นสิ่งสำคัญก่อนที่จะเริ่มทำการตลาดออนไลน์ ถ้าหากคุณจะทำการตลาดออนไลน์ แต่ยังไม่ชำนาญ และต้องการผู้ช่วยในการทำการตลาดออนไลน์ สามารถสอบถามเราเพิ่มได้ เรายินดีให้คำปรึกษา
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"
สามารถอ่านบทความ การตลาดออนไลน์ เต็มๆได้ที่นี่
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency



298

Digital disruption คือ และสำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ
ปัจจุบันนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น ในด้านการคมนาคม การจับจ่ายใช้สอย รวมถึงในด้านของธุรกิจด้วย นั้นทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า  Digital disruption ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่ส่งผลทำให้เกิดสินค้าและบริการใหม่ๆที่ส่งผลกระทบต่อสินค้าและบริการที่มีอยู่เดิม
คุณสามารถเข้าไปอ่านบทความที่เกี่ยวข้อง การตลาดออนไลน์ คืออะไร เพิ่มเติมได้ที่นี่
 
Highlight Digital disruption ที่ต้องรู้!!!
-รู้หรือไม่ Digital disruption คือ อะไรกันแน่!!
-Digital disruption มีผลอย่างไรต่อธุรกิจในปัจจุบัน
-แบบนี้ธุรกิจ-สินค้าและบริการแบบเดิมๆจะต้องทำอย่างไร?
-ธุรกิจที่ปรับตัวตามDigital disruption

รู้หรือไม่ Digital disruption คือ อะไรกันแน่!!
Digital disruption คือ การเปลี่ยนแปลงที่มาจากเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามามีบทบาทในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ นวัตกรรมใหม่ๆ สินค้าและบริการใหม่ๆ ที่ถูกนำมาแทนที่นวัตกรรม ธุรกิจ สินค้าและบริการแบบเดิมๆ เราจะสังเกตได้จากสิ่งต่างๆที่มีพื้นฐานเป็นสิ่งเดียวกันแต่มีการนำมาพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการที่ต้องการความสะดวกสบาย ความทันสมัย มากยิ่งขึ้น
Digital disruption มีผลอย่างไรต่อธุรกิจในปัจจุบัน
การเกิดการเปลี่ยนแปลงของ Digital disruptionทำให้ธุรกิจสินค้าและบริการแบบเดิมๆ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้ทันกับเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบันที่ได้เปลี่ยนไป เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของผู้บริโภค
แบบนี้ธุรกิจ-สินค้าและบริการแบบเดิมๆจะต้องทำอย่างไร?
สิ่งที่จะต้องทำเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดก็คือ "การปรับตัว" โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในเรื่องของ "ความสะดวกสบาย" เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ และ ช่วยตอบโจทย์การใช้งานที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นสำหรับอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า
 
ธุรกิจที่ปรับตัวตามDigital disruption
ธุรกิจยุคใหม่ที่ปรับตัวเข้าเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างไร Digital tranformation การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ที่นำมาใช้ในการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการทำธุรกิจ มาดูกันว่ามีธุรกิจอะไรบ้าง

ธุรกิจซื้อ-ขายของออนไลน์
ทำอย่างไรให้สามารถขายสินค้าได้ทั่วถึง ได้รวดเร็ว ได้24ชั่วโมง ด้วยความต้องการพื้นฐานนั้นเอง ทำให้ธุรกิจซื้อสินค้าออนไลน์เกิดขึ้นเพื่อสนองความรวดเร็ว และ สะดวกสบายของผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น Shopee และ lazada สองแอพพลิเคชั่นยักษ์ใหญ่ ถ้าพูดถึงการซื้อของออนไลน์ ถามคนส่วนใหญ่กว่า 60 เปอร์เซ็น สองแอพพลิเคชั่นนี้ เป็นแอพที่อยู่ติดเครื่องโทรศัพท์มือถือของเหล่านักช็อป ไม่ว่าต้องการอะไร ของชิ้นเล็ก ของชิ้นใหญ่ ล้วนแต่หาได้ในแอพ การสั่งซื้อขนส่งก็ง่าย เพียงแค่ใช้มือแตะที่หน้าจอแล้วรอรับสินค้าที่บ้าน ง่ายๆไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องเสียเวลาไปหาซื้อเอง ด้วยเหตุนี้เองทำให้ธุรกิจซื้อขายของออนไลน์ กลายมาเป็น 1 ในธุรกิจที่ปรับตัวแล้วประสบความสำเร็จ

ธุรกิจเช่าหนังออนไลน์
ถ้าอยากดูหนังจะต้องทำอย่างไร ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงต้องไปเช่าที่ร้านเช่าแผ่น CD อย่างร้านแมลงป่อง ที่ในตอนนี้ได้ปิดกิจการไปแล้ว นั้นเพราะในปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมาก คนเริ่มที่จะเลือกดูผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่าการไปเช่ามาดู แล้วแบบนี้ธุรกิจเช่าหนังออนไลน์จะปรับตัวอย่างไรดี ดูตัวอย่างได้จาก แอพพลิเคชั่นยอดฮิตอย่าง Netflix ที่เป็นเหมือนการเช่าหนังออนไลน์ เลือกดูได้ง่ายไม่เสียเวลา ทั้งหนังไทย หนังฝรั่ง มาพร้อมความคมชัดแบบ Full HD ที่ทำให้คุณสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ต้องไปหาดูให้เสียเวลา จ่ายเงินรายเดือน รายปี เพื่อ(เช่า)ดูหนังที่ถูกลิขสิทธิ์ พอหมดเวลาก็ต่อเวลาใหม่ เหมือนการไปเช่าหนังที่ร้านเช่าแต่ได้ทำการปรับธุรกิจให้เข้ากับโลกยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น

ธุรกิจสั่งอาหารออนไลน์
อาหาร ปัจจัย 4 ที่ขาดไม่ได้ของมนุษย์ สิ่งที่มนุษย์ต้องบริโภคถึง 3 มื้อ ในหนึ่งวัน การจะออกไปซื้ออาหารแต่ละมื้อต้องเสียเวลามาก ทั้งการต่อคิวรอ การเดินทางไปซื้อ แล้วแบบนี้ธุรกิจอาหารจะทำอย่างไร ตัวอย่างเช่น Lineman , Grabfood , foodpanda และ GET เป็นต้น ธุรกิจเหล่านี้ปรับตัวจากเดิมที่ต้องรับออเดอร์จากหน้าร้านเพียงอย่างเดียวมาเป็น การรับออเดอร์แบบออนไลน์ ทั้งจากแอพ และ จากเว็บไซน์ โดยจะมีคนขับมารับอาหารไปส่งให้ลูกค้า สะดวกสบายทั้งร้านค้า อีกทั้งยังช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นอีกด้วย รวมทั้งสะดวกลูกค้า ที่เพียงแค่สั่งอาหารทางช่องทางออนไลน์แล้วรอรับอาหารทำให้แอพสั่งอาหารออนไลน์เป็น 1 ในแอพติดโทรศัพท์ของใครหลายๆคนไปแล้ว
 
ยังมีธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ที่ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีในปัจจุบัน นอกจากการที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบ ให้เข้ามาอยู่ในแบบออนไลน์มากขึ้นแล้ว ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้กับตัวเจ้าของและลูกค้าอีกด้วย ไม่เท่านั้นยังจะทำให้ธุรกิจเติบโตได้มากขึ้น เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ไม่ว่าธุรกิจไหนเพียงแค่ปรับตัวก็สามารถเติบโตได้
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"
สามารถอ่านบทความ Digital disruption เต็มๆได้ที่นี่
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency



299

พฤติกรรมผู้บริโภค คืออะไร ในปัจจุบัน!!!
ในปัจจุบัน พฤติกรรมผู้บริโภค คืออะไร เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สำหรับการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ทำให้ในการทำธุรกิจ จะต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปก่อนที่จะไม่ทันการ
Highlight พฤติกรรมผู้บริโภค ที่ต้องรู้!!!
-ทำไมเราถึงต้องเปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย?
-ในปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
-ทำไมเราถึงต้องเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจมาเป็นออนไลน์เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค
 
ทำไมเราถึงต้องเปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย?
ในยุค2020 ในยุคที่วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งส่งผลต่อธุรกิจเป็นอย่างมากทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่จำเป็นมากถ้าคุณอยากรอด รู้หรือไม่ว่ามีธุรกิจจำนวนมากที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลง ถ้ามันมีทางที่จะช่วยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ คุณไม่ลองที่จะทำจริงหรอ?
 
ในปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
ตอนนี้ยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามามีบทบาทมากในปัจจุบัน เรียกได้ว่าเกือบทุกคนที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ดังนั้นมาดูกันดีกว่าว่า พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนั้นมีอะไรกันบ้าง

พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น
พฤติกรรมผู้บริโภคในการซื้อสินค้าที่เปลี่ยนช่องทางมาเป็นออนไลน์มากขึ้น ทั้งการประหยัดเวลาในการซื้อ และอื่นๆอีกมาก ทั้งช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Instragram , Twitter หรือ Shopee ก็สามารถซื้อสินค้าได้ง่ายๆ
ตัวอย่างเช่น สมหญิงเปลี่ยนจากการซื้อสินค้าจากหน้าร้านมาเป็น การซื้อสินค้าออนไลน์แทน ทำให้สมหญิงสะดวกสบายมากขึ้นในการซื้อสินค้า อีกทั้งยังช่วยให้เซฟเวลาที่สมหญิงต้องใช้เดินทางไปกลับระหว่างเดินทางไปซื้อของ ทำให้สมหญิงเอาเวลาไปทำอย่างอื่นแทนได้ อีกทั้งความหลากหลายของสินค้าที่มีให้สมหญิงเลือกก็มากกว่าอีกด้วย

พฤติกรรมการใช้จ่ายด้วยระบบดิจิทัล
ในปัจจุบันเข้าสู่ยุคที่ สังคมไร้เงินสด ต่อเนื่องจากพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้น ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้ไม่ใช่แค่เพียงการซื้อสินค้าง่ายขึ้น แต่การจับจ่ายก็กลายมาเป๋นอีกหนึ่งเรื่องที่ง่ายขึ้นอีกด้วย เช่น การชำระแบบออนไลน์ การตัดบัตรเครดิต เป็นต้น ทำให้เราไม่ต้องพกเงินสดให้ยุ่งยาก เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือ ก็สามารถจ่ายได้ ทั้งง่าย และ สะดวกสบาย ทำให้พฤติกรรมนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเราไปแล้ว

พฤติกรรมกระแสสังคมที่ส่งผลต่อความต้องการ
กระแสสังคมถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อผู้บริโภคนปัจจบันในปัจจุบันคนมักจะให้ความสนใจกับสิ่งที่กำลังเป็นกระแสถ้าเป็นอาหารก็ไม่ได้สนใจว่ารสชาติจะอร่อยหรือไม่ แต่ให้ความสนใจไปที่รูปร่าง หรือ สิ่งที่ทำให้เป็นกระแส แค่ได้ถ่ายรูปคู่กับอาหารก็พอใจแล้ว ถ้าเป็นเสื้อผ้าก็ไม่ได้สนใจว่าจะใส่ออกมาสวยหรือไม่ เหมาะกับตัวเองหรือเปล่า แต่แค่ได้ใส่ก็สุขใจแล้ว
ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เทรนอาหารสีชมพูกำลังมา ทำให้คนแห่กันไปกินอย่างล้นหลาม แต่หลายคนที่กินกลับบอกว่าไม่อร่อย รวมทั้งมีรีวิวออกมาว่าไม่อร่อยแค่ถ่ายรูปสวยเท่านั้น ถึงอย่างนั้นอาหารสีชมพูก็ยังคงขายดิบขายดีแม้จะไม่อร่อยก็ตาม เพราะคนแห่กันไปเพื่อซื้อถ่ายรูปเท่านั้น ใครไม่ได้ซื้อถ่ายถือว่าตกกระแส นั้นทำให้พฤติกรรมกระแสสังคมออนไลน์ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคจำนวนมาก

พฤติกรรมการดูรีวิวประกอบการตัดสินใจ
พฤติกรรมการดูรีวิวเพื่อประกอบการตัดสินใจเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค เวลาเราจะไปกินอาหารสักอย่าง อย่างแรกเลยคือ "การดูรีวิว" ตามช่องทางที่รีวิวต่างๆ สำหรับใช้ในการตัดสินใจซื้อสินค้า และ บริการของผู้บริโภค
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีร้านอาหารสีชมพู2แห่ง ขายอาหารเหมือนกันเลย เราจะเข้าไปดูรีวิวว่าที่ไหนดีกว่ากัน ผ่านการรีวิวของคนอื่น และ จำนวนดาวที่ได้จากการรีวิว เพื่อตัดสินใจ ถึงแม้ว่าร้านใดร้านหนึ่งจะมีรีวิวที่ถูกจ้างขึ้นมาก็ตาม แต่ผู้บริโภคจะให้ความสนใจไปยังร้านที่มีรีวิวดีมากกว่า เป็นธรรมดาสำหรับผู้บริโภคทั่วไป ระหว่างร้านที่1 ได้รีวิวดีแต่ได้ดาวแค่3ดาว กับ ร้านที่2 ได้รีวิวพอกันแต่โดนคอมเม้นต์ว่าพนักงานไม่ดี แต่ได้ดาว4ดวง คนก็จะต้องหันเหความสนใจไปหาร้านที่ดาวมากกว่าถึงแม้คอมเม้นต์จะไม่ดีนักก็ตาม

พฤติกรรมในการเปลี่ยนใจจากแบรนด์ที่ใช้เดิม
เนื่องจากในปัจจุบัน ผู้บริโภคมีทางเลือกในการจับจ่ายใช้สอยสินค้า และ บริการมากขึ้น ทำให้มีผู้บริโภคหลายคน ที่เปลี่ยนใจจากแบรนด์เดิมที่ใช้ อีกทั้งยังโฆษณาที่เหล่าผู้ขายสินค้า และ บริการ ทั้งการลดราคา ของแถมต่างๆ ที่ขนมาให้ผู้บริโภคได้เลือกสรรมากมาย จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมผู้บริโภคถึงมีพฤติกรรมในการเปลี่ยนใจจากแบรนด์เดิมที่ใช้อยู่ นั้นทำให้แบรนด์ต่างๆ ถึงต้องออกโปรโมชั่นต่างๆในการดึงลูกค้า
cr : Photo by Freepic

ทำไมเราถึงต้องเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจมาเป็นออนไลน์เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค
การไม่เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ อาจจะส่งผลให้ ราอาจสูญเสียลูกค้าจำนวนมาก  เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทั้งในเรื่องของความสะดวกสบาย และ ในการของความต้องการของตัวผู้บริโภคเอง นอกจากนั้นธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง เป็นการดึงลูกค้าให้ยังอยู่กับเรา  อีกทั้งยังแสดงถึงความใส่ใจที่เรามีต่อลูกค้า ในการปรับให้เข้ากับผู้บริโภคอีกด้วย ตัวของธุรกิจสามารถดึงลูกค้าได้ และ ทำให้ลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ส่วนตัวลูกค้าก็ได้ความสะดวกสบายมากขึ้น ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"
คุณสามารถเข้าไปอ่าน บทความพฤติกรรมผู้บริโภคเต็มๆ ได้ที่นี่
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency




300

เปรียบเทียบกล้อง GoPro 9 vs GoPro 8 ควรซื้อรุ่นไหน ที่นี่มีคำตอบ?
 เปิดตัว GoPro น้องใหม่ตัวล่าสดไปเรียบร้อย ทำให้หลายๆคนลังเลว่าระหว่าง GoPro 9 vs GoPro 8 ถ้าจะซื้อจะซื้อรุ่นไหนดี แล้วแต่ละตัวมันต่าสงกันอย่างไร รุ่นไหนมีอะไรดี บทความนี้มีคำตอบให้คุณ

หากใครที่อยากรู้ว่า ที่ตัว GoPro 8 ไม่มี แต่มีในรุ่น GoPro 9 สามารถเข้าไปอ่านบทความ สเปค GoPro 9 Action Camera สุดโหดจากค่ายเมนตาแกรม!!! แบบเต็มๆได้ที่นี่ แต่ถ้าใครที่อยากรู้ว่าในแต่ละโหมดเปลี่ยนไปยังไงคอนเทรนต์นี้มีคำตอบ
เทียบให้ชัดสเปค GoPro 9 vs GoPro 8 ต่างกันอย่างไร
Cost

GoPro 8 : ในส่วนของราคาเปิดตัวอยู่ที่ 14,500 บาท ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่าตัว GoPro 9
GoPro 9 : ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 15,999 บาท มีราคาสูงกว่าตัว GoPro 8 อยู่ 1,499 บาท เมื่อเทียบกันแล้วราคาต่างกันไม่มาก เมื่อเทียบกับสเปคที่เราได้จาก GoPro 9 ทั้งฟีลเจอร์ใหม่ ดีไซน์กล้องที่ถูกอัพเดรต และอื่นๆอีกเพียบ
Monitor (LCD Screen)

GoPro 8 : หน้าจอขนาด 1.95 นิ้ว ซึ่งเล็กกว่าตัว GoPro 9
GoPro 9 : หน้าจอขนาด 2.25 นิ้ว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตัว GoPro 8 ถึง 17% ทำให้สามารถทัชสกรีนได้ดี และ ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นทำให้เราสามารถมองภาพดีมากยิ่งขึ้นอักด้วย
Monitor (Front Monitor)

GoPro 8 : หน้าจอขาว-ดำ สามารถดูสเตตัชกล้องได้ แต่มีขนาดของหน้าจอที่เล็กกว่า GoPro 9
GoPro 9 : หน้าจอสี หน้าจอขนาด 1.4 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่าเดิมถึง 16% อีกทั้งหน้าจอยังสามารถดูมุมจากจอหน้าได้เลย และ ต้องเป็นที่ถูกใจสำหรับคนที่ชอบ Vlog มากๆ
Button
GoPro 8 : ปุ่มจะคล้ายกับในรุ่น GoPro 9 แต่จะแตกต่างกันนิดหน่อย
GoPro 9 : ปุ่มจะมีความนูนกว่าตัว GoPro 8 เวลาที่สัมผัสจะรู้สึกกดปุ่มมากกว่าตัว ​GoPro 8 อีกทั้งยังไม่ต้องลงน้ำหนักเท่า GoPro 8 ทำให้สามารถใช้งานได้ง่ายกว่า
Battery

GoPro 8 : มีความจุของแบตเตอรี่อยู่ที่ 1,220 mAh ซึ่งน้อยกว่าตัว GoPro 9
GoPro 9 : มีความจุของแบตเตอรี่ อยู่ที่ 1,720 mAh ซึ่งมากกว่าตัว GoPro 8 อยู่ถึง 500 mAh ซึ่งมากขึ้นถึง 30% ทำให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องนานถึง 1.41 ชั่วโมง
Microphone
GoPro 8 : มีไมโครโฟน 3 ตัว เท่ากันกับตัว GoPro 9 ให้คุณภาพของเสียงที่ไม่แตกต่างกันมาก
GoPro 9 : มีไมโครโฟน 3 ตัว เท่ากัน แต่เมื่อทำการทดสอบ จะพบว่าในรุ่น GoPro 9 ไมโครโฟนมีการพัฒนาให้สามารถตัดเสียงลมได้ดดีกว่าตัว GoPro 8
Sensor

GoPro 8 : ให้ความละเอียดถึง 12 ล้านพิกเซล ซึ่งน้อยกว่า GoPro 9
GoPro 9 : ให้ความละเอียด คมชัด ได้ถึง 23.6 ล้านพิกเซล ซึ่งมากกว่าตัว GoPro 8 ถึง 8 ล้านพิกเซล ทำให้ความคมชัดของภาพ และ วีดีโอ มีความสมจริง คมชัดมากยิ่งขึ้น
Video resolution
GoPro 8 และ GoPro 9 :  ให้ความละเอียดที่ 5K 30 FPS ในส่วนที่เป็น 4K ทำได้ 60 FPS เหมือนกัน
การถ่ายวีดีโอแบบ 5K30FPS จะให้สเกลภาพได้ยังคงความชัดไว้ที่ความละเอียดระดับ 5K30FPS แต่ถ้าเราจะใช้จริงในระดับ 4k สามารถเลือกRender ในโปรแกรมและเราจะได้ภาพ 4K ที่มีความคมชัดมากกว่าไฟล์วีดีโอที่ถูกถ่ายในความคมระดับ 4K หรือใครที่จะนำไปไปครอปวิดีโอ ก็จะทำให้ได้วิดีโอที่มีความละเอียดสูง หยืดหยุ่นสำหรับการนำไปทำต่อ
Photo resolution
GoPro 8 : ความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล ซึ่งน้อยกว่าตัว GoPro 9
GoPro 9 : ความละเอียดอยู่ที่ 20 ล้านพิกเซล ซึ่งมากกว่าตัว GoPro 8
ยิ่งภาพที่มีความละเอียดสูงๆ ก็จะยิ่งทำให้รูปมีความคมชัดมากยิ่งขึ้น และ ส่งผลให้เวลาที่ซูมดู ช่วยให้ภาพดูเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเวลาที่เรานำภาพ หรือ วีดีโอไปใช้งานต่อ ก็สามารถนำไปใช้งานได้ง่าย ทั้งการบีบอัดรูป การขยายูป ครอปรูป จะทำให้รูปที่ได้มีรายละเอียดที่ชัดเจนสมบูรณ์
HyperSmooth
GoPro 8 : HyperSmooth เวอร์ชั่น 2.0
GoPro 9 : HyperSmooth เวอร์ชั่น 3.0 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ถูกอัพเกรดจาก GoPro 8 ให้วีดีโอมีความนิ่งมากยิ่งขึ้น ทำให้รองรับการเคลื่อนไหวที่ดีมากขึ้นโดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริม และ สิ่งที่เพิ่มมานั้นก็คือ Horizontal leveling ที่สามารถทำได้ในตัวกล้องได้เลยไม่เหมือกับ Gopro 8 ที่ต้องนำไปทำในแอพพลิเคชั่น
Time Warp
GoPro 8 : Time Warp เวอรชั่น 2.0
GoPro 9 : Time Warp เวอรชั่น 3.0 ในเรื่องภาพไม่ต่างกันมาก แต่ในโหมด Realtime สามารถสามารถบันทึกเสียงเข้าไปได้ และ สามารถดึงสโลโมชั่นจากหน้ากล้องได้เลยเราไม่ต้องไปใส่เสียงในโปรแกรมตัดต่อให้วุ่นวาย และ สามารถเลือกให้ Slow Motion ได้อีกด้วย
Super Photo
GoPro 8 : ไปทางโทนเย็นกว่า เมื่อเทียบกับ GoPro 9
GoPro 9 : มีความเป็นธรรมชาติของภาพมากกว่าใน GoPro 8 อีกทั้ง สียังมีความอิ่มตัวมากกว่า ซึ่งจะออกไปทางโทนร้อนมากกว่า และ คอนทราสที่สูงกว่าเล็กน้อย
Night Photo
GoPro 8 : สีออกไปทางโทนเย็น และ มีความฟุ้งของสีที่ดีกว่าในรุ่น GoPro 9
GoPro 9 :  ภาพของ GoPro 9 จะมีสีออกไปทางโทนเหลืองมากกว่า อีกทั้งยังมีความฟุ้งของสีที่มากกว่าในตัว GoPro 8 แต่เมื่อถ่ายในที่แสงน้อย หรือ ตอนกลางคืน ให้ภาพที่สว่าง และ คมชัดมากกว่า ทำให้ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ที่เป็น ไฟเสริม ให้ยุ่งยาก แค่กล้องก็จบ
คุณสามารถเข้าไปชมคลิปเปรียบเทียบต่างๆได้ที่นี่ Aquapro
เราเหมาะกับรุ่นไหนกันแน่
GoPro 9 : หากคุณต้องการกล้องที่สามารถใช้งานได้ ในทุกๆ สถานการณ์ ต้องบอกเลยว่าจากการใช้งานจริง ตัว Horizon leveling ที่เพิ่มเข้ามา ทำให้คุณไม่ต้องไปทำต่อในแอพพลิเคชั่น ซึ่งทำให้คุณสะดวก สบายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งความละเอียดที่สูงถึง 5K 30 FPS ใครชอบความ ครบ จบ ที่กล้องเดียวต้องนี่เลย GoPro 9 เท่านั้น
GoPro 8 : หากใครที่ชอบกล้องตัวเล็กๆ ที่พกพาสะดวก หรือไม่ได้ใช้งานหนักๆ พกเป็นกล้องเสริมเวลาเดินทางไปเที่ยว ไม่ได้เน้นถ่ายอะไรมากมาย ไม่ได้ต้องการคุณภาพของภาพถึง 5K 30 FPS ก็บอกได้เลยว่าตัว GoPro 8 เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่แย่
"โปรโมชั่นGoPro 9 ราาถูกที่สุด ซื้อได้ที่ร้าน AquaPro เท่านั้น"
 
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook :AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand




หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7