ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ploypola

หน้า: 1 2 3 4 [5] 6 7
201

ในยุคนี้การจะเข้าไปจีบหนุ่มๆ ก่อน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรใช่มั้ย แต่ด้วยค่านิยมในสังคมของคนบางส่วนนั้น ทำให้ผู้หญิงอย่างเรายังไม่กล้าเข้าไปจีบผู้ชายก่อน เพราะกลัวว่าสังคมจะไม่ยอมรับ แต่เดี๋ยวก่อนค่ะซิส นี่มันยุค 2021 กันแล้ว!!! วันนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับ วิธีจีบผู้ชาย แบบเนียนๆ ที่พอผู้ชายรู้ตัวอีกทีก็ตกหลุมรักเราหัวปักหัวปำไปแล้ว เห้ยยยย...ต้องห้ามพลาดแล้วนะ ไปดูกันเลยว่าจะมีวิธีไหนกันบ้าง!!!
6 วิธีจีบผู้ชาย ยังไงให้ได้ผู้!!!
วิธีที่ 1 - เปิดบทสนทนาก่อน

สาวๆ เคยได้ยินคำนี้มั้ยคะ "ถ้าไม่ทักรักไม่เกิด" คำนี้ยังสามารถใช้ได้จนถึงปัจจุบันเลยค่ะ แต่อย่าเปิดบทสนทนาให้โจ่งแจ้งจนเกินไป เพราะเดี๋ยวหนุ่มๆ จะรู้ตัวแล้วไหวตัวทัน การจะเปิดบทสนทนาให้ได้ผลดี สาวๆ อาจจะต้องไปทำการบ้าน สังเกตสืบค้นเรื่องของหนุ่มที่เราสนใจคร่าวๆ มาบ้างเล็กน้อย เช่น เขาเรียน หรือ ทำงานอยู่ที่ไหน แต่ถ้าหากเราไม่รู้ข้อมูลของเขามากนัก อาจจะอาศัยสิ่งที่เขาแชร์ หรือ กดไลค์ในโซเชียลมีเดียบ่อยๆ เพื่อเริ่มบทสนทนาอย่างเนียนๆ เช่น การทักไปสวัสดีแล้วตีเนียนชวนคุยสิ่งที่เขากดไลค์ กดแชร์ ก็ถือว่าเป็นการเริ่มบทสนทนาที่ดีเลยทีเดียว แต่อย่าชวนคุยอะไรที่เป็นข้อมูลเชิงลึกจนเกินไป เดี๋ยวจะทำให้เขารู้ว่าเราแอบไปส่องข้อมูลเขามา จำไว้ว่าเน้นการเนียนคุยเป็นหลัก!!!
เทคนิคการจีบ - ต้องทำตัวให้น่าสนใจ เน้นการเข้าไปคุยอย่างเป็นมิตร ไม่ออกตัวว่าจะจีบแรงจนเกินไป
วิธีที่ 2 - เป็นตัวของตัวเอง

สาวๆ หลายคนเลือกที่จะคีพลุคให้หนุ่มๆ มองว่าเราเรียบร้อย ดูไร้เดียงสา แต่แบบนั้นอาจจะทำให้เขารู้สึกว่าเราไม่น่าสนใจ หรือ ดูเฟคจนเกินไป เราควรแสดงตัวตนของเราออกมาตั้งแต่เริ่มคุย โดยเฉพาะตัวตนของเราในด้านดีๆ เป็นตัวของเราเองได้แต่อย่ามากจนเกินไปซะหมด เก็บเอาไว้ทำความรู้จักกันในระยะยาวด้วย (เดี๋ยวเขาหนีไป!!!)
เทคนิคการจีบ - ใช้จุดเด่นของเราเพื่อใช้ดึงดูดความสนใจ ให้เราดูเป็นคนที่มีเสน่ห์น่าค้นหา และ แสดงออกอย่างพอดี!!!
วิธีที่ 3 - คุยเรื่องที่เขาชอบ

ไม่ว่าใครก็อยากคุยกับคนที่มีความชอบเหมือนกัน เข้ากันได้ทั้งนั้น เทคนิคนี้สามารถใช้ได้หลายๆ ความสัมพันธ์โดยเฉพาะกับหนุ่มๆ ที่เราอยากจะเข้าไปจีบ หากคุยเรื่องทั่วไป อาจจะทำให้บทสนทนาจบลงง่าย แต่ถ้าเราเอาเรื่องที่เขาชอบมาคุย จะทำให้เราไม่ต้องเป็นฝ่ายชวนคุยตลอด แต่จะทำให้เขาออกความคิดเห็น และ เป็นฝ่ายชวนเราคุยเสียเองซะด้วยซ้ำ อาจจะเลือกเรื่องที่อยู่กลางๆ เป็นหนังที่ชอบ เพลงที่ชอบน่าจะตอบโจทย์มากกว่า
เทคนิคการจีบ - เลือกเรื่องที่กว้างๆ เรื่องที่น่าสนใจ อาจจะทำควบคู่กับการแชร์ หรือ ไลค์สิ่งที่มีความชอบเหมือนกัน เพื่อทำให้เขารู้ว่าเราสนใจอะไรเหมือนกับเขา
วิธีที่ 4 - เล่นมุข เล่าเรื่องตลก

อีกหนึ่งเคล็ดลับมัดใจหนุ่มด้วยการเล่นมุข หรือ เล่าเรื่องตลก เพราะเรื่องตลกจะช่วยคลายเครียด อีกทั้งยังทำให้เราเผลอยิ้มออกมาได้ด้วย แต่ว่ามุขที่เราจะเอามาเล่น จะต้องดูว่าเหมาะสมด้วยมั้ย หากหนุ่มๆ ที่เราจะจีบเป็นคนตลก หรือ ชอบมุขตลกด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้เรากลายเป็นคนที่เขารู้สึกสนุกเวลาคุยด้วย หรือ อาจจะเป็นการแชร์มุขตลก เรื่องตลกให้เขาก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเขาชอบ ก็จะเล่นแต่มุขตลกไปตลอด ทั้งวันยิงมุขไปเลยเต็มๆ ก็ไม่ได้นะ ทุกอย่างต้องอยู่ในความพอดี การเล่นมุขบ้าง เป็นการสร้างสีสันให้กับบทสนทนาให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เคยได้ยินมั้ยคะ "สวยมักนกตลกมักได้"
เทคนิคการจีบ - เล่นมุขบ้างเพื่อทำให้บทสนทนาดูน่าสนใจ ให้พอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป และ อาจจะเล่นมุขที่เป็นมุขหยอดหนุ่มๆ สลับกับการเล่นมุขตลกก็ได้นะ
วิธีที่ 5 - การใส่ใจอย่างพอดี

ใครๆ ก็ชอบคนที่ใส่ใจ แต่สาวๆ จะต้องใส่ใจอย่างพอดีด้วย เช่น การถามสาระทุกข์สุขดิบ กินข้าวแล้วหรือยัง ทำงานเหนื่อยมั้ย ถึงจะดูเป็นคำถามง่ายๆ แต่เป็นการแสดงออกว่าเราใส่ใจเขา แต่อย่าไปถามจนลึก หรือ จู้จี้จุกจิก เช่น ไปกับเพื่อนคนนั้นใช่มั้ย หรือ การถามถึงพ่อแม่พี่น้องของเขา เพราะเรายังไม่ได้เป็นอะไรกับเขาเลย!!! ดังนั้นจุดที่เราสามารถใส่ใจได้จะต้องไม่มากจนเกินไป จนทำให้เขารู้สึกว่าเราตามสืบเรื่องของเขาอยู่ และ ต้องมีความพอดีด้วย ไม่ใช่ทักไปถามทั้งวัน เพราะอาจจะทำให้ตัวเราดูน่ารำคาญได้
เทคนิคการจีบ - การแสดงความใส่ใจอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะกับเวลาที่เขามีปัญหา จะช่วยทำให้เป็นแต้มต่อในการพัฒนาความสัมพันธ์ได้
วิธีที่ 6 - มีชั้นเชิง เดินเกมส์ให้น่าสนใจ

บางครั้งเราก็ต้องมีชั้นเชิงในการจีบบ้าง การจีบตรงๆ แบบเดิมๆ อาจจะใช้ไม่ค่อยได้ผล อีกทั้งพอจีบไปนานๆ มากบางคนก็อาจจะเกิดการอิ่มตัว จีบเท่าไหร่ก็ไม่ได้สักที ดังนั้นเราอาจจะต้องเดินเกมส์สเต็ปใหม่ๆ บ้าง เราจะต้องเปลี่ยนตำแหน่งจากผู้เล่นมาเป็นคนที่คุมเกมส์กันบ้าง เพราะอาจจะมีหนุ่มๆ หลายคนที่คิดว่าพอเรามาจีบก็จะหลงดีใจ คิดว่าเราต้องรอเขา ลองเปลี่ยนมาจีบให้ดูมีลูกเล่นมากขึ้น เช่น ลองเล่นตัวไม่รีบตอบ อาจจะเปลี่ยนมาเป็นคนที่จบบทสนทนา ทำให้เขาจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มสนทนาก่อน ให้เขาเป็นฝ่ายทักเรามา หรือ ทำให้เขาเห็นว่าเราก็ดูฮอต
เทคนิคการจีบ - เล่นตัวบ้าง ให้มีชั้นเชิง เพื่อทำให้เขารู้สึกว่าเราน่าสนใจ อยากจะคุยกับเรา
 
จากที่เราได้แนะนำเคล็ดลับสำหรับ วิธีจีบผู้ชาย แบบเนียนๆ ไปแล้ว แต่ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่า ผู้ชายแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน วิธีที่เราได้แนะนำไปเป็นเพียงเทคนิคในการเข้าหาอย่างเนียนๆ เท่านั้น คุณอาจจะเอาเทคนิคเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในสไตล์ของคุณเอง จับเทคนิคที่คุณชอบมาใช้ร่วมกับการใส่ความเป็นตัวคุณลงไป สู้ๆ นะคะสาวๆ เป็นกำลังใจให้ทุกคนไม่นกค่ะ!!!
 
เพิ่มความมั่นใจด้วยการเป็นสาว Sistalk
สาวๆคนไหนที่ไม่อยากตกเทรนด์ ไม่อยากพลาดข้อมูล ข่าวสารดีๆ ที่เป็นประโยชน์ เคล็ดลับต่างๆ สุขภาพ แฟชั่น เทรนด์ฮิต และ เรื่องของความรัก!!! พบกับสาระดีๆ ข้อมูลเจ๋งๆ ที่เป็นประโยชน์กับคุณ มาเป็นสาว Sistalk ด้วยกันนะคะ ไม่อยากพลาดข่าวสารดีๆ ก็ไปกดติดตามช่องทางต่างๆกันไว้เลย แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะสาวๆ
 
 

สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH


202

GoPro 9 เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้วในวันที่ 17 กันยายน 2563 ซึ่งทำเอาหลายๆคนในวงการกล้องต่างหลงรักเจ้าโกโปรรุ่นนี้ นั้นเพราะว่า โกโปรรุ่นนี้เปิดตัวในราคาเพียงแค่ 15,999 บาทเท่านั้น แต่เมื่อมาเทียบกับสเปคการใช้งานต่างๆที่ได้ แทบไม่น่าเชื่อว่าจะขายในราคานี้ แล้วสรุปว่า GoPro 9 ดีไหม คุ้มค่าที่จะซื้อหรือเปล่า ไปอ่านบทความกันเลย!!!
 
GoPro 9 ดีไหม ทำอะไรได้บ้าง?
ในรุ่นของ GoPro 9 มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ใหม่ "Every thing more" ที่ทำให้โกโปรในรุ่นนี้แตกต่างจากในรุ่นก่อนๆ GoPro 9 ได้มีการอัพเดทสเปคต่างๆ ให้ดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม นอกจากสเปคที่เจ๋งขึ้นแล้ว รูปร่างภายนอกของGoPro 9 ก็ยังแตกต่างมาพร้อมกับตัวเครื่องที่ใหญ่ขึ้น
-พัฒนาให้หน้าจอหน้าเป็นแบบ LCD ของโกโปรGoPro 9 ใหญ่มากขึ้นถึง 16% (16:9) และ ยังเป็นหน้าจอสีที่ช่วยในการดูมุมกล้อง
-ส่วนจอหลังก็ใหญ่ขึ้นเช่นเดียวกันถึง 17%  ทำให้สามารถมองภาพได้ชัดเจนกว่าเดิม
ความละเอียดที่โหดขึ้น

ความละเอียดของภาพ ในรุ่นนี้โกโปรจัดให้เต็มๆ ตามคำขอ ให้ความละเอียดของภาพสูงสุดถึง 20 MP ซึ่งสูงมากที่สุดในบรรดาทุกรุ่นที่ผ่านมา ส่วนในเรื่องของการถ่ายวิดีโอก็ไม่น้อยหน้าจากรุ่นก่อนๆ ที่สามารถใช้งานได้เพียง 4K มาในรุ่นนี้จัดเต็มกันไปเลย เพราะได้อัพความละเอียดของวิดีโอขึ้นทำให้สามารถถ่ายได้สูงสุด 5K 30 FPS กันเลยทีเดียว นอกจากนั้นเรายังสามารถเปิดการถ่ายวิดีโอด้วย bit rate สูงสุดได้ด้วย เพื่อให้ได้คุณสามารถเก็บลายละเอียดของภาพที่มีความละเอียดคมชัดได้มากยิ่งขึ้น
-ความละเอียดของภาพสูงสุดถึง 20 MP
-ถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 5K 30FPS
แบตเตอรี่ที่อึดกว่าเดิม

หลายๆคนที่ใช้กล้องโกโปรมาอาจจะเรียกร้องอยากให้แบตใช้งานได้นานขึ้น ในรุ่นนี้โกโปรเลยจัดมาตามคำเรียกร้องGoPro 9 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ถึง 1720 mAh ซึ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าโกโปรรุ่นอื่นๆ ถึง 30% สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานขึ้นประมาณ 1.41 ชั่วโมง ถือว่าเพิ่มขึ้นจากโกโปรรุ่นก่อนเยอะมาก อย่างในรุ่นของ GoPro Hero 8 ความจุของแบตเตอรี่อยู่ที่ 1220 mAh เท่านั้นเอง
ให้สีของภาพสวยขึ้นด้วย Flat profile

ในรุ่นของGoPro 9 จะธรรมดาได้ยังไง ในรุ่นนี้คุณสามารถที่จะทำให้สีของภาพ สีของวิดีโอของคุณสวยเหมือนกับการถ่ายด้วยกล้องโปรตัวใหญ่ๆ ได้ง่ายๆ ด้วยการเลือกใช้ Flat profile ที่จะช่วยในการปรับโทนสีของภาพ ปกติแล้วน้อยคนมากที่จะนำภาพสดๆ ไปใช้งานโดยไม่ผ่านการนำไปแต่งสี แต่หากเราเลือกสีที่สดเกินไปเวลาที่เรานำไปแต่งสีต่อ จะให้สีที่ไม่สวยอย่างที่เราต้องการ สีของภาพอาจจะสดเกินไป เพี้ยนจนไม่เป็นธรรมชาติ โทนสีแบบ Flat จะทำให้ภาพได้โทนสีแบบซีดๆ ทำให้เวลานำไปแต่งสีได้สีที่สวยแต่ไม่เว่อร์จนเกินไป หรือ จะนำไปแต่งโทนสี Cinema แบบในภาพยนต์ก็ย่อมได้
สโลได้เจ๋งขึ้นกว่าเดิมด้วยโหมด Slow Motion

คนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพแบบ Slow Motion ต้องชอบเจ้าGoPro 9 มากขึ้นแน่ เพราะในรุ่นนี้สามารถรองรับวิดีโอที่เฟรมเรทสูงๆ ได้มากยิ่งขึ้นถึง 240 FPS รองรับการถ่ายสโลโมชั่นที่สามารถ Slow ได้เพิ่มขึ้นถึง 8 เท่า ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความสามารถที่โดดเด่นมากๆ ในรุ่นนี้ ที่จะช่วยให้คุณไม่พลาดทุกกิจกรรม หรือ ช่วงเวลาสุดพิเศษ อีกทั้งยังช่วยทำให้วิดีโอของคุณเจ๋งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย หากใครอยากให้วิดีโอเจ๋งขึ้นต้องไปลองเลย
อัพเดทขึ้น Time warp & Time lapse 3.0

ส่วนฟังก์ชั่นโหมดยอดฮิตอย่าง Time warp & Time lapse ที่จะช่วยในการถ่ายวิดีโอแบบเร่งเวลา ทำให้เราเห็นช่วงเวลาต่างๆที่เปลี่ยนไปแบบรวดเร็ว ในรุ่น GoPro 9 นี้ได้มีการอัพเดทเวอร์ชั่นให้เจ๋งมากยิ่งขึ้นให้เป็นเวอร์ชั่น 3.0 ซึ่งทำให้วิดีโอของคุณโดดเด่น และ ลื่นไหลขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งหากใช้งานร่วมกับฟังก์ชั่น Realtime จะทำให้สามารถใส่เสียงเข้าไปในวิดีโอได้เลยไม่ต้องไปอัดเสียงใส่แยก และ ยังสามารถทำงานร่วมกับโหมด HyperSmooth 3.0 ที่ช่วยในการกันสั่นได้อีกด้วย เพื่อให้ได้วิดีโอที่นิ่งมากยิ่งขึ้น
ไฮไลท์ของรุ่นนี้ Horizon Leveling

ใครที่ชื่นชอบโกโปรจากระบบกันสั่น และ ระบบรักษาระดับของ Horizon Leveling บอกเลยว่าในรุ่น GoPro 9 คุณจะต้องยอม เพราะในรุ่นนี้จะช่วยทำให้รักษาระดับของเส้นขอบฟ้าแม้กล้องจะหมุนไป 360º ก็ตาม ที่ถึงแม้คุณจะถือกล้องเอียงแต่ภาพ และ วิดีโอที่ได้จะไม่เอียงตาม เจ๋งใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องมานั่งกลัวว่าภาพจะเอียงอีกต่อไป นอกจากนั้นยังสามารถใช้งานในระยะเลนส์ linear ร่วมกับโหมดกันสั่น HyperSmooth 3.0 ที่จะช่วยให้วิดีโอของคุฯสมูท ลื่นไหลกว่าที่ผ่านๆมา ใครไม่อยากให้วิดีโอของคุณเอียงก็อย่าลืมเปิดใช้งานโหมดนี้กันนะ
 
อุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้สามารถใช้งานได้เจ๋งขึ้น
นอกจากสเปคของโกโปรที่โดดเด่นแล้ว จะมาขอแนะนำอุปกรณ์เสริมเฉพาะรุ่น GoPro 9 โดยเฉพาะที่จะช่วยเปิดมุมมองการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอให้เจ๋งขึ้นกว่าเดิมด้วย Max Lens Mod ที่เป็นเลนส์เสริมของเจ้ารุ่น GoPro 9 ที่มากับเลนส์แบบ Ultra Wide ที่ทำให้มุมมองในการถ่ายภาพกว้างขึ้นถึง 155º และ เมื่อใช้งานร่วมกับ Max Superview จะทำให้ได้มุมมองภาพที่กว้างขึ้น (16:9) และ ภาพดูสมจริงมากยิ่งขึ้น
สามารถอ่านบทความ Max Lens Mod รีวิว เพิ่มเติมได้ที่นี่

ห้ามพลาด GoPro 9 ดีไหม เหมาะกับใคร?
หากคุณเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรม ชอบลุย หรือ ชอบถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ ทำคอนเทนต์ต่างๆ ขอบอกเลยว่าถ้าไม่มี GoPro 9 คุณพลาดมากในราคาประมาณหมื่นกว่าๆ แต่เมื่อเทียบกับสเปคที่คุณได้บอกเลยว่าเกินคุ้ม สามารถใช้งานได้หลากหลายตามสไตล์ของคุณ อีกทั้งระบบต่างๆยังได้มีการอัพเดทให้รองรับการใช้งานที่ดีขึ้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น
-แบตเตอรี่ที่อึดขึ้น
-หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น
-ระบบต่างๆที่ดีมากขึ้น
-ไมโครโฟนที่รับเสียงได้ดี
-รวมทั้งระบบต่างๆที่พัฒนาขึ้น หากคุณอยากได้กล้องที่ครบจบในตัวเดียว ตัวเล็กพกพาง่าย แต่สเปคเกินราคาต้องห้ามพลาดเลย
 
ซื้อ GoPro 9 สุดคุ้มที่ร้าน Aquapro
ใครที่กำลังตามหา GoPro 9 และ อุปกรณ์ต่างๆ ร้านของเรามีโปรโมชั่นสุดคุ้ม ของแถมจุกๆ โปรส่งฟรี ให้คุณได้เลือกซื้อ พร้อมรับรองคุณภาพ เพราะเราเป็นตัวแทนจำหน่ายโดยตรงที่ได้รับการรับรองจากทางเมนตาแกรมแล้ว นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติม เคล็ดลับต่างๆที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าลืมไปติดตาม GoPro Club กันล่ะ แล้วคุณจะรู้เกี่ยวกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!!

 
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro



203

เห้อหนักใจจริงๆ ...สาวๆ เคยเจอกับปัญหา ขาเบียด ขาย้อย ขาใหญ่ กันมั้ยคะ ปัญหาหนักใจร้อยแปดของใครหลายคน อย่างที่เรารู้ๆ กันดีว่า ส่วนที่ลดยากอีกส่วนนั้นก็คือต้นขา แถมยังซ่อนได้ยากอีกด้วย หากคุณเป็นคนที่กำลังกังวลเรื่องปัญหาของต้นขาอยู่ อย่ารอช้ามา Challenge ตัวเองไปพร้อมๆ กันกับเรานะคะ อ้าวเริ่มได้!!!!
ทำไมเราถึงต้นขาใหญ่ ?
การที่เราขาใหญ่เกิดจากการสะสมตัวของไขมันที่เกินกว่าที่ร่างกายของเราต้องการ ที่มาจากการกิน แต่สาวๆ รู้มั้ยคะ ว่าเราไม่สามารถเลือกลดไขมันเฉพาะส่วนได้ แต่เราสามารถทำให้ต้นขากระชับขึ้นได้ด้วยการออกกำลังกาย หลายๆ คน จึงเกิดความเข้าใจผิดๆ ว่าสามารถลดเฉพาะส่วนได้ ถ้าทำควบคู่ไปกับการทานอาหารในสัดส่วนที่เพียงพอต่อวัน เราจึงอยากจะมาแนะนำวิธีในการลดต้นขาจริงๆ ว่าสามารถทำได้ยังไง
ท่าในการ ลดต้นขา ต้องทำท่าไหนถึงดี
อย่างที่เราได้บอกสาวๆ กันไปข้างต้นแล้ว ว่าเราไม่สามารถลดไขมันเฉพาะส่วนได้ ท่าที่เราจะมาแนะนำนั้น เป็นท่าที่ช่วยให้ต้นขากระชับ และ เมื่อต้นขากระชับก็จะทำให้ขาของสาวๆ เรียวสวยเหมือนกับขาของนางแบบเลย มาเริ่มกันดีกว่ามีท่าไหนบ้างมาดูกัน
ท่าที่ 1

ขอเปิดด้วยท่าเบสิค ที่สามารถทำระหว่างดูหนัง ดูทีวีได้ เป็นท่าง่ายๆ แต่ช่วยกระชับต้นขาได้ดี ท่านี้อาจจะทำบนเสื่อโยคะเพื่อให้ง่ายต่อการออกกำลัง โดยให้ทำตามต่อไปนี้
-ให้สาวๆ นอนตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่ง ใช้มือดันแล้วยกลำตัวขึ้นเล็กน้อย เหยียดขาขึ้นไปในอากาศ
-จากนั้นให้ทำการไขว้ขาสลับกันไปอย่าให้ขาตกลงพื้น ท่านี้จะต้องทำการเกร็งสะโพกเล็กน้อยร่วมด้วย
หากเมื่อยสาวๆ สามารถทำการเปลี่ยนด้านที่ตะแคงในการออกกำลังกายได้ ควรทำท่านี้อย่างน้อย 2 นาทีต่อเนื่อง อาจจะเริ่มจากช้าๆ ก่อนตอนทำให้เกร็งขาจะช่วยลดได้ดีมากยิ่งขึ้น
ท่านี้ดีอย่างไร -  ท่านี้จะช่วยในการทำให้ต้นขากระชับ ลดได้ทั้งต้นขาด้านใน และ ด้านนอก
ระดับความง่าย - 3 ดาว
ท่าที่ 2

ยังอยู่ในท่านอนตะแคงกันอยู่ ท่านี้ก็เป็นอีกท่าหนึ่งที่ทำได้ตอนดูหนัง ท่านี้จะช่วยให้ต้นขากระชับ และ รู้สึกตึงต้นขาอาจจะยากสำหรับคนที่พึ่งเริ่มนิดๆ แต่เมื่อทำจนชินจะง่ายมากๆ
-ให้ทำการนอนตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่ง จากนั้นเอาแขนยันศีรษะเอาไว้ หรือ ใช้ศอกดันพื้นเอาไว้
-ให้ชูขาข้างหนึ่งขึ้น พยายามยกให้สูงๆ เกร็งขาเอาไว้ชั่วครู่หนึ่ง แล้วเอาขาลง ทำอย่างนี้สลับกันไป
เมื่อทำไปประมาณ 1 - 2 เซต เซตละประมาณ 10 ครั้ง ก็ให้เปลี่ยนขาไปทำอีกด้านหนึ่ง ตอนฉีกขาขึ้นให้พยายามเกร็งขาเอาไว้
ท่านี้ดีอย่างไร - เป็นท่าที่จะช่วยลดต้นขาด้านนอกได้ดี
ระดับความง่าย - 5 ดาว
ท่าที่ 3

นอนตะแคงกันไปเยอะแล้ว มาถึงท่านอนราบกันบ้าง ท่านี้จะช่วยให้ขาเรียวสวย ควบคู่ไปกับเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ร่างกาย เป็นท่าเบสิคที่ง่าย เหมาะสำหรับคนที่หัดเริ่ม
-ให้สาวๆ นอนราบไปกับพื้น จากนั้นให้ยกขาเหยียดตรงขึ้นไปบนอากาศ
-และค่อยๆ ทำการกางขาออกกว้างๆ ทิ้งไว้ชั่วครู่ แล้วหุบขา จากนั้นทำแบบเดิมวนไป
ท่านี้อาจจะยากตอนที่ต้องแยกขา ใครที่แยกขาได้ไม่กว้าง ไม่เป็นไรนะคะ เอาที่ตัวเองไหว แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับไปเรื่อยๆ ก็ได้ พยายามเกร็งขาเอาไว้ตอนแยกขาออกด้วยนะ
ท่านี้ดีอย่างไร -  ท่านี้จะช่วยในการทำให้ต้นขากระชับ ทั้งด้านใน และ ด้านนอก
ระดับความง่าย - 4 ดาว
ท่าที่ 4

มาถึงท่าลุกขึ้นยืดกันบ้าง ท่านี้จะคล้ายกับท่าสควอช เป็นท่าที่เหมือนเรากำลังนั่งเก้าอี้ในอากาศ ท่านี้สามารถช่วยเบิร์นได้หลายส่วนเลยทีเดียว ไม่ยากมาก แต่ต้องอาศัยความอึดกันนิดหนึ่ง
-ให้สาวๆ ยืนตรงแยกขาออกจากกันเล็กน้อย จากนั้นงอเข่าลง ให้ขาตั้งขนานกับพื้น เหมือนกับเวลาที่เรานั่งเก้าอี้
-โดยจังหวะที่นั่งอาจจะเหยียดแขนไปข้างหน้าร่วมด้วยก็ได้ จังหวะนั่งให้เกร็งไว้ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นกลับเข้าสู่ท่ายืน ทำท่านี้วนไป
เป็นท่าที่อาจจะดูง่าย แต่จะเหนื่อยนิดหนึ่งสำหรับมือใหม่ จังหวะงอเข่าควรจะย่อให้เยอะขึ้นหน่อย แต่หากใครไม่ไหว อาจจะค่อยๆ เพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ
ท่านี้ดีอย่างไร -  ท่านี้ช่วยกระชับต้นขาด้านใน และ ด้านนอก อีกทั้งยังได้ส่วนของสะโพกเพิ่มเติมอีกด้วย
ระดับความง่าย - 3 ดาว
ท่าที่ 5

ท่านี้เป็นท่าในการกระชับต้นขา และ ยังสามารถเบิร์นส่วนอื่นๆ ได้อีกด้วย แต่รับรองว่าไม่ยากเลยค่ะ เล่นขาแต่ได้ส่วนอื่นๆ ร่วมด้วย
-ให้สาวๆ ยืนตรงจากนั้นให้แยกขาออกให้ความกว้างพอดีกับหัวไหล่ จากนั้นให้ย่อขาหลังไปข้างหลัง
-ย่อขาหน้าลงให้เข่าตั้งฉากกับพื้น แล้วให้ทำสลับข้างกับขาอีกข้าง จากนั้นกลับเข้าสู่ท่ายืน ทำแบบนี้สลับไปเรื่อยๆ
ท่านี้จังหวะที่ย่อเข้าแล้วเอียงตัว ควรจะย่อเยอะๆ จากนั้นค้างไว้ชั่วครู่หนึ่ง แล้ว ค่อยเปลี่ยนด้าน อาจจะเริ่มจากจังหวะช้าๆ ก่อน
ท่านี้ดีอย่างไร - ท่านี้จะช่วยเรื่องของต้นขาด้านในได้ดี และ ยังช่วยในส่วนของสะโพกได้อีกด้วย
ระดับความง่าย - 4 ดาว
เริ่ม Challenge 30 วัน ให้ขาเรียวสวย!!!
มาค่ะสาวๆ มาเริ่ม Challenge ขาเรียวสวยใน 30 วันกันเลย โดยเราจะเริ่มจากระดับที่ง่าย และ เบาก่อน โดยเราจะแบ่งท่าออกกำลังกายเป็น 3 ช่วง
ใน 1 สัปดาห์แรก (วันที่ 1 - 7) เราจะเริ่มกันด้วยท่าระดับความง่าย 4 - 5 ดาว โดยเริ่มตั้งแต่จำนวนครั้งน้อยๆ และ เพิ่มจำนวนครั้งขึ้นทุกๆ วัน โดยวันแรกจะเริ่มที่ทำท่าละ 5 ครั้ง จากนั้นก็เพิ่มไปวันละครั้ง
ในสัปดาห์ที่ 2 - 3 (วันที่ 8 - 23) จะเป็นช่วงที่ จะเพิ่มท่าในระดับ 3 ดาวขึ้นมา โดยในช่วงสัปดาห์ที่ 2 จะไม่เพิ่มจำนวนครั้งของท่า แต่จะเพิ่มท่าเข้าไปแทน ส่วนในช่วงสัปดาห์ที่ 3 จะเพิ่มจำนวนครั้งต่อวันขึ้น
ในช่วงสัปดาห์สุดท้าย (วันที่ 24 - 30) จะเป็นการเล่นพวกท่าหนักๆ และ เพิ่มจำนวนครั้งขึ้นต่อจากสัปดาห์ที่ 2 - 3
 
ดูแลร่างกายให้แข็งแรงทุกวันด้วย UC-II

สำหรับใครที่ออกกำลังกายแล้ว รู้สึกเจ็บบริเวณข้อเข่าหรือเริ่มรู้สึกมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดด้านในข้อเข่า นั่นอาจเป็นสัญญาณที่กำลังบ่งบอกว่า เราอาจจะเป็นโรคข้อเสื่อมได้ในอนาคต อย่าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ได้เลย ทั้งการลดน้ำหนักหรือการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดเช่น คอลลาเจน ไทพ์ทู (Collagen Type II) ก็สามารถช่วยฟื้นฟู ซ่อมแซ่ม และลดอาการปวดข้อได้ รวมถึงหากมีอาการปวด การรับประทานสมุนไพรไทยบางชนิดเช่น ขมิ้นชัน ก็สามารถลดและบรรเทาอาการปวดได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นหากใครที่ออกกำลังกายแล้วปวดข้อบ่อย ๆ ก็อย่าลืมหาวิธีที่แนะนำไปใช้ได้เลยนะคะ ดูแลสุขภาพกันตั้งแต่วันนี้ เพราะสุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องดูแลตัวเองนะคะ!!!!
 
 
อย่าพลาดเรื่องราวที่สาวๆ อย่างเราต้องรู้!!!
สาวๆ คนไหนที่ไม่อยากตกเทรนด์ ไม่อยากพลาดข้อมูล ข่าวสารดีๆ ที่เป็นประโยชน์ เคล็ดลับต่างๆ สุขภาพ แฟชั่น เทรนด์ฮิต และ เรื่องของความรัก!!! แล้วคุณจะไม่ตกเทรนด์กับเรา "เพราะเราเป็นมากว่าเพื่อนสาว" มาเป็นสาว Sistalk ด้วยกันนะคะ สาวๆ คนไหน ที่ไม่อยากพลาดข่าวสารดีๆ ก็ไปกดติดตามช่องทางต่างๆ ของเรากันไว้นะ แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะสาวๆ
 
 
สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH


204

อีกหนึ่งปัญหาโลกแตกของเหล่าผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ เราจะมาแนะนำเทคนิค ตั้งค่า GoPro 9 เจ๋งๆ ที่จะทำให้ภาพ วิดีโอของคุณโปรกว่าเดิม อย่ามัวเสียเวลาไปอ่านในบทความกันเลย!!!
จะถ่ายใต้น้ำต้อง ตั้งค่า GoPro 9 ยังไง?

การจะตั้งค่าถ่ายใต้น้ำ จะต้องรู้ว่าเราจะถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอสำหรับใช้ทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ Vlog ถ่ายภาพนิ่ง ถ่ายวิว ถ่ายฟุตเทจ เป็นต้น หากเป็นการถ่ายฟุตเทจที่ต้องการเก็บรายละเอียดชัดๆ อาจจะใช้ความคมชัดสูงๆ อย่าง 5K 30 FPS ถ้าจะบันทึกวิดีโอที่มีความเร็วมากๆ อาจจะเลือกความคมชัดที่ดรอปลงมา แต่ก็ยังสามารถเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วนอยู่อย่างเช่น 4K 60 FPS หรือ การบันทึกวิดีโอที่เน้นการสโลโมชั่นอาจจะใช้ความละเอียดที่ดรอปลงแต่ใช้เฟรมเรทที่สูงขึ้นอย่าง 2.7K 120 FPS เพื่อที่จะไม่พลาดช็อตสำคัญๆ เป็นต้น เมื่อเรารู้แล้วก็ไปตั้งค่ากันเลย
ความละเอียดของไฟล์และเลนส์ที่ควรใช้ - หากเป็นภาพนิ่งอาจจะใช้ประมาณ 4K แต่ถ้าเป็นวิดีโอธรรมดาจะใช้ประมาณ 2.7K 60 FPS และ ทำการตั้งค่า Bit Rate : standard ควรจะเลือกใช้เลนส์ Wide เปิดโหมด HyperSmooth ไปด้วยเพื่อให้ได้ไฟล์ที่สมูทมากขึ้น และ เปิด Speed Shutter เป็นแบบ Auto
ตั้งค่าสี - จะตั้งค่า ISO Min : 100 ส่วน ISO Max : 400 / 800 (ขึ้นอยู่กับค่าแสง) ส่วน White balance จะเลือกเป็น Native รวมถึงค่าชดเชยแสง EV Comp : - 0.5 ส่วนในเรื่องของความคมชัดจะไม่ตั้งค่าสูงเกินไปจะเลือกประมาณ medium / low รวมถึงเลือกตั้งค่าสีเป็นแบบ Flat เพื่อนำไปแต่งสี หากอยากได้สีที่สวย สดใสมากยิ่งขึ้น
ข้อควรรู้ในการ ตั้งค่า GoPro 9 ให้เจ๋งขึ้น

Bit rate เราจะเลือกตั้งค่าให้เป็นแบบ Auto เพื่อทำให้ไฟล์มีความสมูทมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากใครต้องการให้ไฟล์มีความละเอียดสูงๆ ก็อาจจะตั้งค่าให้สูง แต่ในเรื่องความสมูทของวิดีโออาจจะดรอปลงไปบ้าง

Resolution เหมือนตั้งแต่ตอนต้นที่เราได้แนะนำไปว่า ควรจะเลือกให้เหมาะสมกับรูปแบบไฟล์ที่เราจะนำไปใช้ ควรที่จะเลือกความละเอียดสูงๆ เพราะเมื่อทำการ Export ไฟล์ออกมาจะให้ภาพที่สามารถเก็บรายละเอียดได้คมชัด และ ให้ฟีลของภาพ วิดีโอที่มีความสมูทมากกว่า แต่ก็ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่จะมารองรับด้วย หากเราใช้ความละเอียดที่สูงมากแต่คอมพิวเตอร์ดันรับไม่ไหวก็จบ ดังนั้นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมด้วย

Lens เลนส์ที่เราแนะนำให้ใช้เป็นเลนส์ Wide ซึ่งเป็นเลนส์ที่สามารถเก็บรายละเอียดของวิวรอบๆได้ดี หรือ จะเอาไปใช้ถ่าย vlog ถ่ายตัวเองก็สามารถถ่ายได้ ให้ภาพที่ไม่มีมุมโค้ง ไม่กว้าง ไม่แคบจนเกินไป หากกว้างไปก็นำไปแคบภาพให้แคบลงได้ ส่วน HyperSmooth สามารถเปิดระหว่างการถ่ายวิดีโอควรจะทำการเปิดโหมดนี้ไปด้วย จะช่วยทำให้วิดีโอของคุณสมูท ลื่นไหลไม่ติดขัด หากไม่เปิดโหมดนี้วิดีโอจะดูธรรมดา ทำให้เวลาเราจะถ่ายทอดเรื่องราว วิดีโอดูไม่น่าสนใจเท่าที่ควร หากอยากให้วิดีโอดูโปรมากยิ่งขึ้น

ISO ในส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับความสว่างที่แสงส่องมาถึงด้วย หากเป็น ISO Min ความไวแสงต่ำสุด ขอแนะนำให้เลือกประมาณ 100 ส่วน ISO Max อาจจะเลือกประมาณ 400 หรือ 800 ขึ้นอยู่กับแสงตอนนั้น ยิ่งสูงก็จะยิ่งสว่างแต่ก็จะมี Noise ของภาพสูง ทำให้เกิดจุดสีๆ บนภาพ

Sharpness ที่เป็นการตั้งค่าความคมชัดของภาพ เนื่องจากการตั้งค่าที่คมชัดเกินไปจะทำให้ภาพที่ได้ดูแข็ง ไม่สมูท อาจจะปรับให้ความคมชัดอยู่ในระดับกลางๆอย่าง Medium แต่หากเป็นวิดีโออาจจะปรับเป็น Low เพื่อทำให้วิดีโอมีความสมูท

Flat ที่แนะนำให้เลือกเป็นโทนนี้ เพราะเป็นโทนสีที่มีความสมจริง เป็นโหมดโทนสีที่ไม่ถูกแต่งเติมเข้าไป ให้สีที่ดูเป็นธรรมชาติสุด เหมาะสำหรับนำไปแต่งสีต่อ ส่วนใหญ่ภาพที่สวยๆ ที่เรามักจะเห็นคนชอบแชร์กัน มักจะถูกนำไปแต่งเติมสีให้สดขึ้น สวยมากขึ้น จึงอยากแนะนำสีโทนนี้
สามารถอ่านบทความ ตั้งค่า GoPro 9 แบบอื่นเพิ่มเติมได้ที่นี่

Tip and Trick ที่ทำให้ถ่ายโปรมากขึ้น
ในส่วนของ GoPro 9 จะมีประสิทธิภาพในการถ่ายที่ได้พัฒนาขึ้นมาจากโกโปรในรุ่นก่อนๆ หลายอย่าง แต่อย่างที่บอกว่าการถ่ายใต้น้ำเราไม่สามารถไปควบคุมแสงสว่าง สีของภาพได้ นั้นทำให้เราจำเป้นต้องอาศัยเทคนิคเล็กน้อย ที่จะช่วยทำให้ GoPro 9 ของคุณสามารถถ่ายออกมาได้โปรมากยิ่งขึ้น
Red filter สำหรับใครที่ถ่ายใต้น้ำที่แสงสว่างลงไปน้อยๆ หรือ เป็นจุดมุมอับแสง ขอแนะนำให้ใช้ Red filter เสริม ซึ่งจะช่วยในการปรับสีของภาพให้ได้สีที่เหมือนจริงที่สุด เพราะหากว่ายิ่งดำน้ำไปลึกๆ สีของภาพจะถูกสะท้อนทำให้สีเพี้ยนไป นับว่าเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่ควรใช้ หากต้องการภาพที่โปรกว่าเดิม ยิ่งหากใช้กับ GoPro 9 ยิ่งให้ภาพที่สวยมากๆ
การเลือกพื้นที่ดำน้ำให้เหมาะสม อยากที่บอกไปว่าแสงสว่างที่เพียงพอมีผลต่อภาพอย่างมาก นอกจากจะให้ภาพที่เห็นรายละเอียดได้คมชัดแล้ว ยังทำให้ภาพสวยอีกด้วย แต่หากเลือกไม่เหมาะสมก็จะทำให้ภาพที่ได้ดูไม่โปร อย่างเช่นดูว่าวันนั้นน้ำใสหรือไม่ บริเวณที่จะถ่ายเหมาะสมหรือไม่ ดังนั้นบริเวณที่ถ่ายก็นับว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยเสริมที่ทำให้ภาพ วิดีโอสวยมากยิ่งขึ้น
สามารถอ่านบทความ ฟิลเตอร์ GoPro เพิ่มเติมได้ที่นี่

การทำความสะอาด GoPro
หลักจากเล่นน้ำทะเล ดำน้ำมาแล้วมาดูวิธีทำความสะอาดกันดีกว่าจะทำอย่างไร ถึงจะทำให้กล้องสะอาด เพราะน้ำทะเลมักจะมีเศษเกลือติดมากับเสื้อผ้า เรามีวิธีทำความสะอาดมาฝาก
-ก่อนจะทำความสะอาดแนะนำให้ถอดแบตเตอรี่ เมมโมรี่การ์ดออกจากตัวกล้องก่อน
-ล้างด้วยน้ำสะอาด เพื่อล้างคราบเกลือออกจากอุปกรณ์ก่อน
-จากนั้นก็ให้หาผ้าสะอาดเอามาเช็คอุปกรณ์ให้แห้งอย่างเบามือ หรือ อาจจะใช้ไดร์เป่าผมเพื่อช่วยไล่น้ำในจุดที่เราเข้าไปเช็ดไม่ได้
-หากอุปกรณ์เป็นคราบอยู่ก็อาจจะใช้ตัวช่วยอย่าง ยาสีฟันทาลงไปที่ตัวกล้อง จากนั้นให้ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาด ก็จะทำให้คราบต่างๆ หลุดออกมา
เพราะถ้าหากล้างคราบเกลือไม่หมด อาจทำให้อายุการใช้งานของอุปกรณ์ลดลง เพราะคราบเกลือที่เข้าไปอุด หรือ เสียดสีกับกล้อง ดั้งนั้นทุกครั้งที่ใช้งานควรทำความสะอาด และ เก็บให้ระมัดระวัง
 
ถ่ายให้โปรด้วย GoPro 9 และ เทคนิคดีๆจาก Aquapro
ร้านของเราจำหน่ายโกโปรยอดฮิตหลายตัวไม่ว่าจะเป็นโกโปรน้องใหม่อย่าง GoPro 9 รวมทั้งรุ่นอื่นๆ และ อุปกรณ์เสริมอีกมากมาย ทั้งฟิลเตอร์ ไม้เซลฟี่ กล้องโกโปรรุ่นอื่นๆ รวมถึงอุปกรณ์เสริมสำหรับโกโปรหลากหลากนิด มาพร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้ม ของแถมจุกๆ เลือกจะซื้อเลือกร้าน AquaPro และ สำหรับใครที่อยากจะติดตามข่าวสาร ไปติดตาม GoPro Club กันล่ะ แล้วคุณจะรู้เกี่ยวกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น อย่าพลาดข่าวสารดีๆที่เราขนมาให้นะ!!!

 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


205

กลับมาพบกับซีรี่ย์เกี่ยวกับประจำเดือนกันอีกแล้วนะคะ เวลาที่เรามีประจำเดือนบางครั้งสาวๆ เคยสังเกตกันไหมคะว่า ประจำเดือนเป็นลิ่ม เป็นก้อนๆ แบบนี้ถือว่าผิดปกติไหม อันตรายหรือไม่ มาดูดีกว่าว่าสาวๆ จะต้องรับมือกับปัญหาอย่างไร!!!!
 
ประจำเดือนเป็นลิ่ม เกิดจาก?
การที่ประจำเดือนของสาวๆ เป็นลิ่มเลือด เพราะว่าร่างกายไม่สามารถขับเลือดออกมาได้ทัน ทำให้เลือดไปสะสมอยู่ที่ช่องคลอดในช่วงที่ประจำเดือนมามากผิดปกติ ทำให้ขับออกมาเป็นก้อนลิ่มเลือด มักจะมีสีแดงเข้ม สีน้ำตาล ขนาดไม่ควรเกิน 2 เซนติเมตร การที่ประจำเดือนของสาวๆ เป็นลิ่มเลือดไม่ถือว่าผิดปกตินะ สาวๆ หลายคนสามารถเป็นได้ สาเหตุของลิ่มเลือดที่เรามักจะพบได้บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น
-ความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
-การขาดธาตุเหล็ก ในช่วงมีประจำเดือน
-การที่ประจำเดือนมามากผิดปกติ มามากกว่า 7 วัน
-ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด พวกยาสเตียรอยด์ที่มีผลต่อฮอร์โมน
รวมไปถึงสาเหตุอื่นๆ ที่ส่งผลทำให้ประจำเดือนเป็นลิ่มเลือดได้ ส่วนใหญ่จะมีสาเหตุที่มาจากเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งไม่ได้พบได้บ่อยนัก เช่น
-รังไข่มีถุงน้ำหลายใบ ซึ่งมาจากฮอร์โมนที่แปรปรวน
-อาการของเนื้องอกในมดลูก
จะรับมือกับปัญหา ประจำเดือนเป็นลิ่ม ยังไงดี?
หากสาวๆ ที่ประจำเดือนเป็นลิ่มเลือด หรือ มีอาการปวดท้องเมื่อเป็นลิ่มเลือด อย่าปล่อยปัญหานี้ไปนะคะ ถึงแม้จะไม่ได้ส่งผลอันตราย แต่ก็อาจทำให้เลือดเกิดการสะสม ตกค้าง และ ทำให้ขับออกมาได้ลำบาก ดังนั้นเราจึงมีวิธีในการรับมือมาฝากไปดูกันเลย!!!
ดูแลตัวเอง พักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ยิ่งในช่วงที่มีประจำเดือน ควรจะนอนให้เพียงพอ ออกกำลังกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ รวมถึงการทานอาหารที่มีประโยชน์ด้วย พยายามอย่าเครียด งดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับได้ อาจส่งผลทำให้ประจำเดือนเป็นลิ่มเลือดได้
การดื่มน้ำให้ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานได้ดี

นอกจากการพักผ่อนแล้ว การดื่มน้ำยังสามารถช่วยในเรื่องของประจำเดือนเป็นลิ่มเลือดได้อีกด้วย การที่ประจำเดือนเป็นลิ่มมาจากการที่เลือดประจำเดือนค้างอยู่ในช่องคลอด การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานได้ดี และ ช่วยในการลดการเป็นลิ่มเลือดได้ และ ยังช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นอีกด้วย ขอแนะนำให้สาวๆ ไม่ดื่มน้ำเย็นจัด น้ำแข็ง เพราะเป็นการรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้แข็งแรงในช่วงที่เสี่ยงต่อการป่วยไข้ ได้ค่ะ อาจจะเปลี่ยนมาทานน้ำอุ่นๆ แทน เพราะจะทำให้รู้สึกสบายท้องได้อีกด้วย
เสริมธาตุเหล็ก

สาเหตุที่ประจำเดือนเป็นลิ่มเลือด อาจจะมาจากการขาดธาตุเหล็ก ที่เราสูญเสียไปในช่วงมีประจำเดือน ดังนั้นเราจึงต้องเสริมธาตุเหล็กเข้าไปเพื่อชดเชย อาจจะเสริมธาตุเหล็กด้วยอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงๆ เช่น พวกเนื้อสัตว์ ตับ เลือด เครื่องใน ผักใบเขียวต่างๆ หรือ อาจจะเลือกพวกอาหารเสริม ยาที่เสริมธาตุเหล็ก นอกจากธาตุเหล็กแล้วอาจจะเสริมแคลเซียมไปด้วยในตัว ก็จะช่วยลดการเป็นลิ่มเลือดได้
ไปพบแพทย์

สำหรับสาวๆ คนไหนที่เป็นลิ่มเลือดขนาดใหญ่จนเกินไป เป็นลิ่มเลือดทุกๆ เดือนจนมากผิดปกติ หรือว่ารูปร่าง สี กลิ่น ที่ต่างออกไปจากปกติ เช่น มีกลิ่นที่แรง สีที่เข้มจนเกินไป รวมถึงมีอาการปวดท้องร่วมด้วยบ่อยๆ สาวๆ ควรที่จะไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจ ก่อนที่จะมีปัญหาสุขภาพที่รุนแรงอย่างพวก เนื้องอก พังผืดได้
 
 
เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับสาวๆ ที่เป็นประจำเดือน

สำหรับสาวๆ ที่เป็นประจำเดือน อีกหนึ่งไอเทมที่ช่วยสาวๆ ได้ก็คือเจ้า "ยาคุม" นั้นเอง  รู้หรือไม่ว่ายาคุมกำเนิดสามารถช่วยในการลดอาการปวดประจำเดือนได้ด้วย ยาคุมกำเนิดจะมีทั้งแบบ 21 เม็ด (ให้ทาน 21 วัน หยุด 7 วันแล้วค่อยกินต่อ) และ 28 เม็ด (24+4 ให้ทานต่อเนื่องทุกวัน ลดจำนวนวันที่ไม่ได้รับยาลงจาก 7 วัน เหลือแค่ 4 วัน ทำให้ลดอาการไม่พึงประสงค์ก่อนมีรอบเดือนอย่าง PMS และ PMDD ได้) ยาคุมจะประกอบไปด้วย Ethinylestradiol และ Drospirenone ที่มีผลต่อระดับฮอร์โมน รวมทั้งพวกอาการต่างๆ ที่มาในช่วงที่เรามีประจำเดือน ไม่ว่าจะเป็น
-ช่วยเรื่องของสิวประจำเดือน
-ช่วยในเรื่องของผิวมัน
-การปวดท้องประจำเดือน
-รวมทั้งอาการก่อนมีประจำเดือน (PMDD) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์หงุดหงิด เครียด และ ทำให้ประจำเดือนของสาวๆ เป็นลิ่มเลือดอีกด้วย
-นอกจากนั้นยังช่วยทำให้ผิวเป๊ะ หุ่นปัง รักก็ปิ๊งอีกด้วย เพราะช่วยในการลดการบวมน้ำทำให้ไม่อ้วน ช่วยให้ผิวไม่มัน ลดสิว และ ช่วยลดอาการหงุดหงิด เครียด ทำให้ความรักความสัมพันธ์ต่างๆ ดีอีกด้วย
-อีกทั้งตัวนี้ยังไม่มีผลข้างเคียงที่ยาตัวอื่นมี ไม่ว่าจะเป็นการเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน
 
 
อย่าพลาดข่าวสารจาก sistalk นะคะ!!
สาวๆ คนไหนที่ไม่อยากตกเทรนด์ ไม่อยากพลาดข้อมูล ข่าวสารดีๆ ที่เป็นประโยชน์ เคล็ดลับต่างๆ สุขภาพ แฟชั่น เทรนด์ฮิต และ เรื่องของความรัก!!! แล้วคุณจะไม่ตกเทรนด์กับเรา "เพราะเราเป็นมากว่าเพื่อนสาว" มาเป็นสาว Sistalk ด้วยกันนะคะ สาวๆ คนไหน ที่ไม่อยากพลาดข่าวสารดีๆ ก็ไปกดติดตามช่องทางต่างๆ ของเรากันไว้นะ แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะสาวๆ
 
 
สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH


206

จากบทความก่อนที่เราได้แนะนำวิธี live ผ่าน GoPro แบบง่ายไปแล้ว คราวนี้เรามาเอาใจคนที่ต้องการไลฟ์สดให้โปรมากยิ่งขึ้น ขยายขนาดProduction ให้ใหญ่มากขึ้นด้วยการถ่ายงานด้วยกล้องหลายๆตัว ส่วนใหญ่จะใช้กล้อง 2 ตัว ไม่ว่าใช้กล้องใหญ่ตัวหนึ่ง ควบคู่ไปกับกล้อง GoPro ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกันได้ ทำให้ได้หลายมิติมากขึ้นด้วย GoPro live สด แต่จะทำอย่างไรบ้างต้องไปติดตามในบทความเลย
กล้อง GoPro รุ่นไหนบ้างที่ทำได้?
clean HDMI จะช่วยในการแสดงผล ส่งสัญญาณผ่านจากจอภาพ ซึ่งหากกล้องของคุณมี clean HDMI จะทำให้แถบพวกนี้ไม่โผล่ออกมา เป็นเสมือนการซ่อนสถานะการทำงานของกล้อง ทำให้เราสามารถโฟกัสแต่สิ่งที่ต้องการเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราต้องทำการตรวจสอบดูว่ากล้องของเราโดยให้เราดูว่ากล้องของเรามีพอร์ต HTMI / Micro HDMI หรือไม่ จากนั้นให้ลองเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์ หรือ โน๊ตบุ๊คเพื่อดูว่าเสียง ภาพแสดงบนหน้าจอหรือไม่
GoPro รุ่นที่เชื่อมต่อได้เลย (รุ่นที่มีพอร์ต Micro HDMI)
-GoPro Hero 5
-GoPro Hero 6
-GoPro Hero 7
GoPro รุ่นที่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมช่วยอย่าง Media mod (ถึงจะทำให้มีพอร์ต Micro HDMI)
-GoPro Hero 8
-GoPro Hero 9
GoPro รุ่นที่ทำไม่ได้ ไม่รองรับการ live (ไม่มีช่องHDMI)
-GoPro MAX (จะต้องทำการตั้งค่าผ่าน Wifi ทำให้มีข้อจำกัดในการไลฟ์)
1.การเชื่อมต่อแบบนี้จะเพิ่มการ Delay ให้กับกล้อง
2.ไม่สามารถต่อหน้าจอเพื่อดูภาพได้ ไม่สะดวกในการใช้งาน สำหรับ GoPro MAX ไม่แนะนำสำหรับคนที่จริงจังในการไลฟ์
อุปกรณ์ที่จะใช้ในการ live GoPro
ในการไลฟ์จะต้องอาศัยตัวกลางที่มาช่วยนั้นก็คือกล่อง Video Capture ที่ช่วยเชื่อมต่อระหว่างกล้อง และ คอมพิวเตอร์ ทำให้เวลาเราไลฟ์ภาพจะไปแสดงผลบนหน้าจอใหญ่ ทำให้เราเห็นรายละเอียดได้มากขึ้น ซึ่งเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้จะมีพอร์ตในการเชื่อมต่อ 2 พอร์ตคือ
-HDMI ส่งสัญญาณจากกล้องมาที่กล่องตัวรับ
-USB รับสัญญาณจากกล่องตัวรับเข้าไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อแสดงผล
อุปกรณ์ที่จะใช้หลักๆ ก็จะมีดังต่อไปนี้

สาย HDMI เป็นสายหลักที่ใช้ในการเชื่อมต่อทั้งภาพ และ เสียง ที่มีหัวด้านหนึ่งเป็น Micro HDMI (เสียบเข้ากล้อง)อีกหัวเป็น HDMI (เสียบเข้ากล่อง)
สาย USB ที่ใช้ในการเชื่อมต่อสัญญาณเพื่อให้ภาพไปแสดงผลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
กล่อง Video Capture ตัวแปลงสัญญาณภาพ และ เสียงจากกล้องเข้ากับคอมพิวเตอร์
Switcher สำหรับใครที่กล้องหลายตัวจะต้องใช้ตัวนี้ในการสลับกล้องไปมา จะช่วยทำให้สัญญาณที่ส่งมาไม่ชนกัน ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีรูปแบบ และ ลูกเล่นที่ต่างกันออกไป
 
เวลาต่อเป็นกล้องที่ 2 ทำยังไง?
การจะเชื่อมต่อหลายๆกล้อง ก็จะใช้ Video Capture หรือ Switcher ที่มีหลายๆพอร์ต
STEP1 - จะทำการต่อสาย HDMI จากกล้องตัวที่ 1 และ 2 เข้าไปที่ Switercher
STEP2 - จากนั้นจะทำการต่อสาย USB เข้าที่กล่อง Video Capture แล้วต่อเข้าคอม
 
วิธีการใช้ OBS เป็น GoPro live สด
เราจะใช้วิธีในการเชื่อมต่อเพื่อไลฟ์ โดยจะใช้วิธี OBS (OBS Studio) ซึ่งเป็นโปรแกรมฟรี โดยให้เราทำการดาวน์โหลดและติดตั้งให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นไปดูวิธีการติดตั้งกันเลย รับรองได้ว่าง่ายไม่ยาก!!!
STEP1

ให้เสียบสาย USB เข้ากับอีกด้านหนึ่งเข้ากับกล่อง Video Capture และ อีกด้านใช้เสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์
STEP2

ให้ทำการเชื่อมต่อสาย HDMI ด้านที่เป็น Micro HDMI (หัวเล็ก) เข้ากับตัวกล้อง ส่วนด้านที่เป็น HDMI (หัวใหญ่) เข้ากับกล่อง Video Capture
STEP3

จากนั้นให้เปิดโปรแกรม OBS ที่เราทำการดาวน์โหลดและติดตั้งมาแล้ว จากนั้นกดบวก (+) ที่ Source > เลือกที่ Video Capture Device จากนั้นกด OK ก็จะแสดงหน้าต่างภาพขึ้นมา จากนั้นก็ให้เปิดกล้องแค่นี้ภาพที่แสดงบนกล้องจะถูกแสดงบนหน้าจอ
ส่วนใครที่ใช้กล้อง 2 ตัว ก็สามารถต่อสายเพิ่มเติม เพื่อดูภาพจากกล้องทั้งสองตัว สามารถ Add(+) เพิ่มเติมที่ Source ได้
STEP4

เราสามารถไปตั้งค่าอื่นๆได้ที่ Source ไม่ว่าจะเป็นความละเอียด เฟรมเรท (FPS) ทีนี้เราจะเอาเสียงเข้ามา โดยให้กดบวก (+) ที่ Source > เลือกที่ Audio Input Capture > เลือกเสียงจาก Microphone (APS HTMIUSB 3 Audio Capture) หากเสียงยังไม่เป็นที่พอใจอาจจะทำการติดไมโครไฟนเสริมเข้าไป
STEP5

ให้เข้าไปที่หน้าการไลฟ์ของ Facrbook หรือ Youtube > จากนั้นให้ไปที่ Encoder Setup ที่จะมี Server URL และ Stream Key โดยให้เราก็อปปี้สองอันนี้ไปใส่ในโปรแกรม OBS
STEP6

เข้าไปที่โปรแกรม OBS > เลือกที่ Setting > เลือกที่ Stream > เลือกที่ Custom จากนั้นใส่ Server URL และ Stream Key ให้เรียบร้อย
STEP7

จากนั้นเราจะทำการตั้งค่าวิดีโอของเรา โดยสามารถตั้งค่า Video (ความละเอียด เฟรมเรทที่เราต้องการ) , Output (rate control:CBR , bit rate , Keyframe:2) จากนั้นให้กดที่ strat Steaming วิดีโอก็จะถูกแสดงบน URL ที่เราทำการใส่ไปที่ STEP 6
หากใครที่เชื่อมกล้องเข้ากับคอมพิวเตอร์ไม่ได้ ให้ทำตามบทความ วิธีเชื่อมต่อGoProกับคอม ดังต่อไปนี้

 
Tip & Trick ที่ช่วยทำให้โปรมากยิ่งขึ้น
-เปิดกันสั่น การที่เราเปิดกันสั่นของโกโปรระหว่างทำการไลฟ์ จะช่วยในการลดการดีเลของวิดีโอ (Delay)
-ต่อไฟตรง ปกติการไลฟ์จะใช้เวลาในการไลฟ์ค่อนข้างนาน ดังนั้นจึงควรจะชาร์จไฟตรง เพราะหากเสียบชาร์จจากแบตสำรอง อาจทำให้แบตเตอรี่หมด หรือ ไม่พอทำให้วิดีโอดับระหว่างคันได้
-Studio Mode จะทำให้เราเห็นภาพรวมต่างๆก่อนที่เราจะไลฟ์ ถ้าอยากให้โปรอาจจะมีหน้าจอเสริมที่ใช้ในการดู preview ภาพรวมแยกไปกับหน้าจอไลฟ์ก็ได้
 
 
เลือกซื้อกล้องGoPro อุปกรณ์เสริม และ ห้ามพลาดเทคนิคดีๆที่เราเอามาฝาก
ร้านของเราเป็นร้านขายกล้อง GoPro และ อุปกรณ์เสริมหลากหลายประเภทที่พร้อมตอบโจทย์การใช้งานทุกไลฟ์สไตล์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นสายไหนก็ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน พร้อมโปรโมชั่นเด็ดๆ ที่เราขนมาให้คุณอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นอย่าพลาดติดตามข้อมูลข่าวสารดีๆ ที่เกี่ยวกับโกโปรต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณใช้งานกล้องได้ดีมากยิ่งขึ้น

 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


207

อีกหนึ่งปัญหาหนักใจรังแคสามารถเห็นกันได้ง่าย ยิ่งเวลาเราสางผม หวีผม หากใครที่มีรังแคมากๆ อาจทำให้รังแคร่วงใส่เสื้อได้ แล้วยิ่งเป็นเสื้อสีเข้มด้วยแล้วยิ่งเห็นรังแคง่าย รวมทั้งสีผมด้วยใครที่ผมสีดำ สีน้ำตาลเข้มๆ ก็ยิ่งเห็นเจ้ารังแคนี้ชัดเจน รังแคเกิดจากการหลุดร่วงของหนังศีรษะ ความมันส่วนเกินที่ทำให้ผิวหนังชั้นนอกถูกผลักออกมา อาจจะหลุดลอกเป็นสะเก็ดสีขาวเล็กๆ หรือ เป็นแผ่นๆ สาเหตุของรังแคก็มาจากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่แห้ง การระคายเคืองหนังศีรษะ ไปดูวิธีการรักษารังแคง่ายๆ ในบทความกันเลย!!!
รังแคเกิดจากอะไร มาจากไหน ?
ส่วนใหญ่ปัญหารังแคจะพบว่า มาจากเชื้อราบนหนังศีรษะ มักมาคู่กับอาการหนังศีรษะอักเสบที่จะมีลักษณะเป็นปื้นแดงๆ ถ้าไปแกะไปเกา จะมีน้ำเหลือง นับว่าเป็นปัญหาที่ต้องรีบรักษาก่อนจะลามไปใหญ่ ส่วนใหญ่จะไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนมากนัก อาจจะเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่สาเหตุหลักๆ ที่พบได้บ่อยมักจะมาจาก
-การเจริญของเชื้อราที่อาศัยอยู่ตามผิวหนัง จะพบเชื้อรา Malassezia มากในคนที่เป็นรังแค
-ความมันของหนังศีรษะ จะทำให้เชื้อราเปลี่ยนไปเป็นสารที่ทำให้หนังศีรษะอักเสบ
-สภาพอากาศที่หนาวเย็น จะทำให้ผิวแห้งทำให้เกิดรังแคบนหนังศีรษะได้ง่ายขึ้น
-ฮอร์โมนเพศ หากมีฮอร์โมนแอนโดรเจนมาก หรือ ฮอร์โมนเพศชายมาก จะทำให้ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากขึ้น
-ความเครียดสะสม ขาดการพักผ่อน จะทำให้ช่วงนั้นๆ เกิดรังแคได้ง่ายกว่าช่วงปกติ
-การขาดสารอาหารที่จำเป็น เช่น B2,B6,Zinc ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นต่อหนังศีรษะ หากขาดจะทำให้หนังศีรษะผลัดเซลล์ผิวมากขึ้น
-ระบบของภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ โรคทางระบบประสาท และ ปัจจัยทางพันธุกรรมต่างๆ จะทำให้เกิดรังแค เชื้อราบนหนังศีรษะได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
-การดื่มแอลกอฮออล์ ที่มากเกินไป จะทำให้คุณเกิดรังแคบนหนังศีรษะได้
ปัจจัยต่างๆ อาจส่งผลทำให้เกิดเชื้อราบนหนังศีรษะได้ ดังนั้นคุณจึงต้องทำการสังเกตตัวเองให้ดี และ เลือกใช้วิธีการรักษารังแคที่เหมาะสม อาจจะต้องใช้วิธีที่สามารถกำจัดรังแคควบคู่ไปกับการลดการอักเสบของหนังศีรษะที่มาจากเชื้อรา
มีวิธีไหนบ้างที่ช่วยในการกำจัดรังแค
วิธีที่1 - น้ำมะนาวและไข่แดง

สาวๆ คนไหนที่มีปัญหารังแค โดยเฉพาะรังแคที่มาจากสภาพอากาศ สารเคมีต่างๆ เนื่องจากไข่แดงมีโปรตีนที่ช่วยในการซ่อมแซมหนังศีรษะได้สูง อีกทั้งยังช่วยบำรุงผมได้ด้วย รับว่าเป็นวิธีกันตายที่ทุกบ้านต้องมีติดเอาไว้ วิธีนำไข่แดงมาใช้ก็ง่ายมาก
ส่วนผสมสูตรนี้
-ไข่แดง 1 - 2 ฟอง (ให้พอกับความยาวของผม)
-น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
-น้ำสะอาด 1 ถ้วย
วิธีการรักษารังแค
1.ให้นำไข่แดงมาตีให้แตก จากนั้นให้ผสมน้ำมะนาว และ น้ำสะอาดเข้าด้วยกัน
2.ให้ชโลมส่วนผสมทั้งหมดให้ทั่วทั้งหัวในตอนที่ผมแห้ง จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 5 - 10 นาที
3.จากนั้นล้างออก แล้วสระผมด้วยแชมพูอ่อนๆ แล้วเป่าผมให้แห้งก็เป็นอันเรียบร้อย
วิธีที่2 - น้ำชาและน้ำมะนาว

หากสาวๆ ที่มีปัญหารังแคที่มาจากเชื้อรา หรือ เป็นรังแคบ่อย วิธีนี้สามารถช่วยในเรื่องของการกำจัดเซลล์ผิวหนังศีรษะที่ตาย อีกทั้งยังช่วยในการบำรุงเส้นผมให้สวยงามอีกด้วย สำหรับใครที่ไม่ชอบอะไรที่กลิ่นแรงๆ วิธีนี้สาวๆ  หลายคนน่าจะชอบ
ส่วนผสมสูตรนี้
-น้ำชา 1 - 2 ถ้วย
-น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีการรักษารังแค
1.ให้ทำการผสมน้ำชา และ น้ำมะนาวให้เข้ากัน (หากน้อยเกินไปให้เพิ่มสัดส่วนให้พอดีกับขนาดของผม)
2.ชโลมให้ทั่วเส้นผม โดยเฉพาะหนังศีรษะ จากนั้นทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที และ ทำการล้างออกด้วยน้ำสะอาดก็เป็นอันเสร็จ
วิธีที่ 3 -  น้ำมะกรูด

มาถึงการใช้สมุนไพรบ้านเราบ้าง มะกรูดนับว่าเป็นสมุนไพรที่ช่วยในการกำจัดรังแคที่หลายๆ คนเลือกใช้ ทำให้เรามักจะเห็นพวกแชมพูมะกรูดอยู่บ่อยๆ ครั้ง เพราะมะกรูดสามารถช่วยในการลดความมันของหนังศีรษะได้ดี ทำให้รากผมแข็งแรง นอกจากการกำจัดรังแคยังช่วยให้ผมนุ่มอีกด้วย แต่บางคนก็อาจจะไม่ชอบกลิ่นมะกรูดมากนัก
ส่วนผสมสูตรนี้
-น้ำมะกรูด 1 - 2 ถ้วย
วิธีการรักษารังแค
1.ทำการคั้นน้ำมะกรูดออกมา จากนั้นให้ชโลมให้ทั่วหัว แล้วทิ้งเอาไว้ประมาณ 5 นาที
2.เมื่อถึงเวลาให้ลองขยี้ผมเพื่อดูว่าซึมเข้าไปทั่วหัวหรือไม่ ทำการล้างออกด้วยน้ำสะอาด และ สระผมด้วยแชมพูอ่อนๆ ก็เป็นอันเรียบร้อย
วิธีที่ 4 - น้ำมันมะกอก

สำหรับใครที่มีปัญหารังแคที่มาจากหนังศีรษะแห้งจากความร้อน หรือ ไม่ชอบวิธีที่ยุ่งยากต้องวิธีนี้เลย น้ำมันมะกอกนอกจากจะช่วยทำให้เส้นผมสลวยแล้ว ยังช่วยทำให้หนังศีรษะชุ่มชื้น และ ลดรังแคได้อีกด้วย แต่วิธีอาจจะใช้เวลามากกว่าวิธีอื่นๆ วิธีนี้แนะนำให้ทำตอนกลางคืน
ส่วนผสมสูตรนี้
-น้ำมันมะกอก
วิธีการรักษารังแค
1.ให้ทำการชโลมน้ำมันมะกอกให้ทั่วทั้งหัว จากนั้นให้นวดให้น้ำมันซึมเข้าหนังศีรษะ
2.จากนั้นให้ทำการหมักทิ้งไว้ทั้งคืน จากนั้นตื่นมาล้างผมออก และ สระผมตามปกติก็เป็นอันเรียบร้อย
วิธีที่ 5 - แชมพูขจัดรังแค

หากสาวๆ คนไหนที่ทำไม่ค่อยมีเวลา เป็นรังแคที่มีอาการคัน หรือ เชื้อราร่วมด้วย ให้ลองใช้แชมพูกำจัดรังแคช่วย โดยเลือกแชมพูที่มีส่วนผสมในการป้องกันการกลับมาเป็นรังแคซ้ำอย่าง 2% Ketoconazole Shampoo ที่เป็นแชมพูในการจำกัดรังแคโดยเฉพาะ อีกทั้งยังช่วยในการป้องกันเชื้อราอีกด้วย
คุณสมบัติของแชมพูกำจัดรังแค 2% Ketoconazole Shampoo
-ฆ่าเชื้อราบนหนังศีรษะ
-ลดการอักเสบของหนังศีรษะ
-ทำให้หนังศีรษะแข็งแรง ลดความมันของหนังศีรษะ
-ป้องกันการกลับมาเป็นรังแคซ้ำ
-มีกลิ่นหอมน่าใช้
-ไม่ทำให้ระคายเคืองหนังศีรษะ
-ใช้กับผมทำสีได้ ไม่ทำให้สีผมเพี้ยนไปจากเดิม
วิธีการรักษารังแค
1.ทำการสระผมด้วยแชมพู Fungazol แทนยาสระผมปกติ ทิ้งไว้ 3 - 5 นาที โดยให้สระผมอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง และ ใช้ให้ติดต่อกันอย่างน้อย 2 - 4 สัปดาห์
2.จากนั้นให้ล้างออกให้สะอาด แล้วเป่าผมให้แห้งอย่าทิ้งให้ผมเปียก
ในกรณีที่ป้องกันการกลับมาเป็นรังแคซ้ำ ให้สระผมด้วยแชมพูอาทิตย์ละ 1 ครั้ง หรือ 2 อาทิตย์ครั้ง แชมพู Fungazol มีส่วนผสมของ 2% Ketoconazole ให้ผลที่ดีในการรักษารังแค และ ลดรังแคได้รวดเร็ว นอกจากนั้นยังสามารถรักษาอาการเกลื้อนที่มาจากเชื้อราได้อีกด้วย
 
ลองเอาวิธีเหล่านี้ไปใช้งานกันนะคะ ใครที่ชอบวิธีไหนก็ให้ใช้วิธีนั้น แต่หากใครยังมีปัญหารังแคกวนใจไม่หายสักทีให้ลองใช้แชมพูขจัดรังแคดูนะคะ แต่อย่าลืมที่จะดูว่าจริงๆ แล้ว รังแคของคุณมาจากสาเหตุไหนกันด้วย เพื่อที่จะเลือกใช้วิธีในการกำจัดรังแคได้อย่างเหมาะสม ถ้าทำแล้วดีอย่าลืมบอกต่อเพื่อนสาวคนอื่นๆ ด้วยนะคะ
 
พบกับเทคนิคเคล็ดลับดีๆที่ Sistalk
สาวๆ คนไหนที่ไม่อยากตกเทรนด์ ไม่อยากพลาดข้อมูล ข่าวสารดีๆ ที่เป็นประโยชน์ เคล็ดลับต่างๆ สุขภาพ แฟชั่น เทรนด์ฮิต และ เรื่องของความรัก!!! แล้วคุณจะไม่ตกเทรนด์กับเรา "เพราะเราเป็นมากว่าเพื่อนสาว" มาเป็นสาว Sistalk ด้วยกันนะคะ สาวๆ คนไหน ที่ไม่อยากพลาดข่าวสารดีๆ ก็ไปกดติดตามช่องทางต่างๆ ของเรากันไว้นะ แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะสาวๆ
 
 
 
สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH


208

หากพูดถึงกล้องตัวเด็ดของโกโปรในตอนนี้คงหนีไม่พ้นเจ้า GoPro 9 เป็นแน่ ด้วยประสิทธิภาพที่อัดมาแน่นตัวเครื่อง ทำให้ใครๆก็หลงรัก ด้วยเซนเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ได้คุณภาพของภาพที่คมชัด แต่รู้หรือไม่ว่าคุณสามารถตั้งค่าให้ได้ภาพโปรมากยิ่งขึ้นได้ เสมือนวิดีโอแบบ Cinema บนจอหนังด้วยเพียงการ ตั้งค่า GoPro 9 แบบ Cinematic Look แต่จะทำอย่างไร ไปอ่านในบทความกันเลย!!!
เลือก ตั้งค่า GoPro 9 ง่ายๆตามสไตล์ของคุณ
การเลือกการตั้งค่า คุณจะต้องคำนึงถึงจุดประสงค์ในการใช้งานก่อนว่าต้องการนำไปใช้งานรูปแบบไหน ต้องการนำไปใช้ถ่ายกลางวัน หรือ กลางคืน เนื่องจากการช่วงเวลา รูปแบบที่ต่างกันก็จะใช้การตั้งค่าที่แตกต่างกัน มาดูเทคนิคการตั้งค่าที่เราเอามาฝากกันดีกว่า
ตั้งค่าสำหรับการถ่ายฟิลภาพยนตร์

สำหรับใครที่อยากได้ฟิลแบบภาพยนตร์ แบบหนังฟอร์มยักษ์ ไม่อยากได้ภาพโทนธรรมชาติ อยากได้ภาพที่โทนสีดูมีลูกเล่น โดดเด่นไม่เหมือนใคร ต้องตั้งค่าตามนี้เลย
ความละเอียดวิดีโอและเลนส์ - ใช้ความละเอียดสูงสุดของโกโปร ในรุ่นโกโปร 9 ก็จะใช้ 5K 30FPS รวมทั้งจะใช้ HyperSmooth แบบ Boost และ เลือกใช้เลนส์แบบ Linear รวมถึงเปิดโหมด Horizon Leveling เพื่อจะได้วิดีโอแบบโปรๆ
ตั้งค่าสี - เลือก White balance ให้สูงๆ ซักประมาณ 4500K แต่จะเลือกความคมชัดให้สูงด้วย เพื่อให้ได้วิดีโอแบบภาพยนตร์จริงๆ จากนั้นจะเลือก ISO Max : 200 และ ISO Min : 100 รวมถึงเลือกตั้งค่าสีเป็นแบบ Flat เพื่อนำไปแต่งสี เนื่องจากส่วนใหญ่สีที่ภาพยนตร์นำเสนอจะเป็นสีที่เกินจริง มีความสด น้ำสีใส ถ้าเราจะเอาสีแบบนั้นจะต้องไปแต่งเอาเอง
>> แต่อย่าพึ่งทำตามกันล่ะ หากคุณยังไม่เข้าใจมันจริงๆ มาอ่านต่อกันอีกนิดดีกว่า เพราะเราจะทำให้คุณสามารถใช้ GoPro9 รวมถึง GoPro รุ่นอื่นๆ ที่จะทำให้คุณสามารถถ่ายวิดีโอได้แบบภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น <<
ทำไมต้อง ตั้งค่า GoPro 9 แบบนั้น?
จากตัวอย่างที่เราแนะนำสำหรับการตั้งค่าไปแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่า ทำไมเราถึงเลือกการตั้งค่าแบบนั้น ซึ่งคุณสามารถนำไปประยุกต์ ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณได้

Resolution ให้วิดีโอคมชัดสะใจ
หากคุณอยากได้ไฟล์รูป วิดีโอที่คมชัด สามารถนำไปแต่งต่อได้สวย การใช้ไฟล์ความละเอียดสูงๆจะทำให้คุณสามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้มาก อย่างในตัวอย่างจะใช้ความละเอียดของวิดีโอที่ 2.7K ที่เป็นไฟล์ที่มีความละเอียดสูง ทำให้เราสามารถนำมาตัดต่อ แต่งเติมได้ เวลาเราเอามาใช้งานจริง จะใช้เป็นไฟล์รูปแบบ Full HD หรือความละเอียดที่ต่ำกว่า ทำให้เวลาที่เรา render จะทำให้วิดีโอมีความสมูทมากกว่า รายละเอียดของภาพดีกว่า  แต่เมื่อคุณจะทำการ Export ไฟล์ออกไปเพื่อไปแต่งต่อในคอมพิวเตอร์ ให้ดูว่าคอมสามารถรองรับไฟล์ไหวแค่ไหน แต่หากไฟล์ใหญ่ไป รองรับไม่ไหวก็จะใช้การทำ Proxy แทน

Lens ถ่ายวิดีโอบุคคลดี ถ่ายวิวก็สวย
การถ่ายให้ได้มุมมองแบบภาพยนตร์ ควรจะเลือกเลนส์ที่เหมาะสำหรับการถ่ายทั้งภาพบุคคล และ สามารถถ่ายเก็บวิวได้ด้วย แต่ไม่ควรเลือกเลนส์ที่มีความโค้ง เพราะจะให้วิดีโอที่ได้ดูไม่สมจริง ซึ่งเลนส์ที่ตัวอย่างได้แนะนำก็คือ Linear ที่เป็นเลนส์ระยะไม่ใกล้จนเกินไป และ ไม่ไกลจนโฟกัสคนไม่ได้ เป็นระยะเลนส์ที่พอดีกับระดับสายตา ตัวเลนส์ไม่โค้งมน ช่วยทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ในสถานการณ์จริง เห็นมุมมองตัวละครนั้นจริงๆ ให้ภาพที่ดูสมจริง น่ามอง น่าติดตาม

HyperSmooth ให้วิดีโอลื่นไหล ไม่มีสะดุด
อีกหนึ่งเทคนิคที่ภาพยนตร์ใช้ก็คือ การถ่ายวิดีโอที่มีความลื่นไหล่ ไม่มีสะดุด ซึ่งไอ้เจ้า HyperSmooth เป็นระบบที่จะช่วยในการกันสั่นของวิดีโอ ทำให้คุณได้วิดีโอที่มีความสมูทลื่นไหล น่าติดตาม ซึ่งอาจจะใช้งานควบคู่ไปกับ Horizon Levelin ที่จะช่วยรักษาระดับในการถ่าย ทำให้วิดีโอไม่ส่ายไปส่ายมา เพียงแค่ใช้งานโหมดนี้ ก็จะทำให้วิดีโอของคุณลื่นไหลเหมือนใช้กล้องระดับโปร!!!

Bit rate ให้ไฟล์ลื่นไหล สมูททุกเรื่องราว
นอกจากค่าความละเอียดของวิดีโอแล้ว ยังต้องเลือกค่าของข้อมูลที่ถูกประมวลผลด้วย ซึ่งถ้าค่า bit สูงๆไฟล์ของเราก็จะมีความลื่นไหล ส่วนใหญ่หากอยากได้ความคมชัด เราจะเลือกตั้งค่าบิตให้สูงๆ แต่บางครั้งเพื่อความสมูทของไฟล์ก็จะใช้เป็นแบบ Auto ให้ระบบประมวลผลเอง แต่หากใครที่ต้องการตั้งค่าเองก็สามารถไปตั้งค่าได้ แต่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานด้วย

ISO ปรับแสงสว่างแม้แสงจะมืดก็ไม่หวั่น
ความแตกต่างของวิดีโอทั่วไปกับวิดีโอภาพยนตร์นั้นก็คือ เรื่องของแสงที่มีความพอดี ดูเป็นเรื่องราวเดียวกัน ไม่โดดจนแตกต่าง โดยเราสามารถทำได้ด้วยการปรับ ISO ที่เป็นตัวเร่งความไวแสง ซึ่งจะทำให้ภาพสว่าง หรือ มืดก็ได้ แต่ยิ่งปรับค่าให้สูงก็จะยิ่ง จะทำให้เกิด Noise รบกวนรูปภาพได้ ดังนั้นจึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม และ ดูว่าแสงที่เราถ่ายเป็นอย่างไร

White Balance ปรับสีให้ไม่เพี้ยนเปลี่ยนโทนให้ภาพสวย
นอกจากแสงที่ต้องเหมาะสมแล้ว สีของภาพยังเป็นตัวที่แยกความแตกต่างระหว่างภายยนตร์อีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ภายยนตร์จะมีสีที่เป็นโทนเดียวกัน ให้สีที่ดูเป็นธรรมชาติ พอเหมาะพอดีไม่โดดเด่นจนเกินไป โดยการตั้งค่าสมดุลแสงสีขาว ซึ่งช่วยในการแก้สีที่ติดฟ้าหรือส้มเกินไป ยิ่งสูงจะยิ่งเป็นโทนติดฟ้า ถ้าน้อยๆจะเป็นโทนติดเหลือง สำหรับใครที่ไม่อยากต้องมาตั้งค่าเองก็ให้เลือก Auto แต่ถ้าใครอยากเลือกโทนสีก็สามารถล็อคค่าได้ ทำให้วิดีโอเป็นสีโทนนั้นทั้งหมด

Sharpness ให้ความคมชัด เห็นทุกรายละเอียด
การตั้งค่าความคมของภาพ ควรจะให้เหมาะสม ถ้าน้อยเกินไปจะทำให้วิดีโอของเราเห็นรายละเอียดไม่ชัดเจน แต่ถ้ามากก็จะให้วิดีโอที่สามารถเก็บรายละเอียดได้คมชัด การเลือกความคมชัดจะขึ้นอยู่ที่ว่าเราถ่ายอะไร หากถ่ายคนก็ไม่ควรเลือกให้คมชัดจนเกินไป เพราะจะทำให้เห็นรายละเอียดพวกสิว กระบนหน้าชัดเกิน ทำให้ถ่ายออกมาไม่สวย แต่ถ้าเป็นภาพวิวที่เน้นรายละเอียดก็ให้ใช้ความคมชัดสูงๆ เพื่อเก็บรายละเอียดต่างๆ

Flat ให้โทนสีสำหรับนำไปแต่งให้สวย
เคยสังเกตไหมว่า บางครั้งสีโทนในหนังก็แตกต่างจากความเป็นจริง บางครั้งให้โทนที่ดูมืดๆลึกลับ แฟนตาซีสีสันสดใส ซึ่งมาจากการนำไปแต่งสีโทนต่อนั้นเอง Flat เป็นโหมดสีในการเลือกสีของโกโปร จะให้ภาพสีจืดๆ ปกติแล้วรูปที่มีสีจะถูก software คำนวณมาให้ แต่ถ้าเป็นสีแบบ Flat จะสามารถนำไปแต่งสีได้ดีกว่าการถ่ายด้วยสีปกติ เนื่องจากไฟล์เป็นไฟล์ที่ยังไม่ถูกซอร์ฟแวร์คำนวณมา ทำให้สามารถเก็บสีได้มากกว่าวิดีโอปกติที่ซอร์ฟแวร์คิดมาให้แล้ว ทำให้สีที่เรานำไปแต่งต่อไม่เพี้ยน นำไปแต่งสีต่อได้ง่าย ให้สีที่คมชัดตามที่เราต้องการ
 
Tip & Trick แนะนำสำหรับใครอยากให้วิดีโอโปรขึ้น
นอกจากการตั้งค่าพื้นฐานแล้ว เรายังจะมาแนะนำเทคนิคเสริมที่ช่วยให้วิดีโอของคุณโปรมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ทำให้ได้วิดีโอที่เหมือนภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น

Slow motion การใส่การสโลไปในบางจังหวะจะทำให้วิดีโอดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจังหวะที่ต้องการโชว์รายละเอียดสวยๆ เช่น ฉากนก หรือ สัตว์สะบัดน้ำออกจากตัว ฉากที่เราต้องการเน้นโชว์รายละเอียด

Scale & Ratio เป็นการเลือกอัตราส่วนส่วน และ สัดส่วนที่เหมาะสมให้กับวิดีโอ การเลือกผิดจะทำให้ถึงแม้ว่าวิดีโอของคุณจะน่าดูแค่ไหน ก็จะทำให้ความน่าสนใจลดลง ซึ่งสัดส่วนของวิดีโอแบบภาพยนตร์จะนำเสนอในรูปแบบ 4:3 หรือ 16:9 ที่เป็นสัดส่วนที่สามารถเก็บรายละเอียดได้ครบทั้งแนวนอน และ แนวตั้ง ส่วนอันตราส่วนอาจจะใช้รูปแบบตาราง 9 ช่องในการแบ่งสัดส่วน ทำให้เราสามารถจัดองค์ประกอบออกมาได้ดี และ เหมาะสม

ND filter เพิ่มลูกเล่นให้กับวิดีโอ อีกทั้งยังทำให้วิดีโอโปรมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ฟิลเตอร์เลนส์ในการช่วย ทำให้ได้ภาพฟุ้งๆ ดูน่าค้นหา ซึ่งทำให้คุณได้วิดีโอแบบไม่จำเจ แตกต่างและโดดเด่นขึ้น
อ่านบทความ ฟิลเตอร์ GoPro เพิ่มเติมได้
เลือกซื้อGoProและอุปกรณ์เสริมสุดเจ๋งตามสไตล์ของคุณ
ร้านของเราจำหน่าย GoPro และ อุปกรณ์เสริมสำหรับโกโปรที่หลากหลาย มาพร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้ม ของแถมจุกๆ เลือกจะซื้อเลือกร้าน AquaPro และ สำหรับใครที่อยากจะติดตามข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติม เคล็ดลับต่างๆที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าพลาดข่าวสารดีๆที่จะคุณอาจจะยังไม่รู้ และ เทคนิคที่จะช่วยให้คุณใช้กล้องได้โปรมากยิ่งขึ้น อย่าลืมไปติดตาม GoPro Club ด้วยนะ

ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


209

จากบทความก่อนเราได้มีการแนะนำยาแก้ปวดท้องเมน และ เครื่องดื่มแก้ปวดท้องเมนกันไปแล้ว สำหรับสาวๆ บางคนที่มักจะปวดท้องเวลานอน หรือ เวลาปวดท้องมักจะนอนทั้งวัน หากสาวๆ คนไหนเป็นคนชอบนอนรับรองได้ว่าจะต้องถูกใจวิธีนี้ เพราะเราได้รวบรวม ท่านอนแก้ปวดท้องเมน ที่จะช่วยลดการปวดท้องของสาวๆ หากใครไม่อยากทานยาไม่ชอบวิธียุ่งยากวิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ตอบโจทย์มากๆ แต่จะมีท่านอนแบบไหนบ้างไปดูกันเลย
ต้องนอนยังไง ท่านอนแก้ปวดท้องเมน ง่ายๆทำได้สบายตัว
สาวๆ รู้หรือไหมคะว่าท่านอนมีผลอย่างมากต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกับในช่วงวันนั้นของเดือน ที่สาวๆ มักจะนอนปวดท้องเกร็ง แต่หมดกังวลได้เลยค่ะสาวๆ เพราะเราจะมาแนะนำท่านอนที่แค่เปลี่ยนก็ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องได้
ท่าที่1  - นอนหงาย หนุนเข่า

ท่านี้ไม่ใช่ท่านอนหงายธรรมดาๆ แต่เป็นการนอนหงายโดยการใช้หมอนมาหนุนรองที่เข่า เพื่อช่วยรองรับสรีระ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเวลาที่นอน 1.ท่านี้อาจจะเลือกใช้หมอนที่นิ่มๆ ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไปมาช่วย
ให้สาวๆ นอนหงายแบบปกติ ให้ลำตัวแนบไปกับที่นอน แขน ขาเหยียดตรง แต่ไม่ต้องเกร็งนะ ให้อยู่ในท่าที่รู้สึกสบาย
2.จากนั้นให้ยกตัวขึ้นนิดหน่อย แล้วเอาหมอนมารองช่วงเข่าเอาไว้ให้เข่ายกขึ้น
ท่านี้จะช่วยลดการปวดท้องได้มาก ทำให้ท้องที่เกร็งได้รับการผ่อนคลายจากการบีบตัวมาทั้งวัน แถมยังรองรับกระดูกสันหลังอีกด้วย ใครที่ปวดหลังร่วมด้วยช่วงมีประจำเดือน ท่านี้ถือว่าตอบโจทย์มาก หากรู้สึกว่ายังไม่สบายตัว ให้เอาหมอนมารองส่วนอื่นๆเสริม เช่น เอาหมอนมาหนุนใต้ขา หนุนเอว ก็จะช่วยลดการปวดได้มากขึ้น
ท่านี้เหมาะกับใครบ้าง
-สาวๆ ที่ปวดท้องประจำเดือน
-สาวๆ ที่มีอาการปวดคอ ปวดหลัง ปวดเอวร่วมด้วย
-รวมถึงสาวๆที่มีอาการกรดไหลย้อน ก็สามารถใช้ท่านี้ได้
ข้อควรระวัง - ระดับของหมอนไม่ควรสูง หรือ ต่ำจนเกินไป ไม่ควรใช้หมอนใบใหญ่เกิน เพราะจะทำให้ขายกสูงไป ทำให้เลือดลมทำงานได้ไม่ดี ต้องใช้หมอนใบเล็กๆ นุ่มๆ ในการหนุนแทน
ท่าที่2 - นอนตะแคง หนุนเข่า

สำหรับใครที่ไม่ชอบการนอนหงาย ท่านี้ก็นับว่าเป็นท่าที่ตอบโจทย์สาวๆ ชอบนอนตะแคง การนอนตะแคงจะช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ โดยหากใครที่รู้สึกว่ายังไม่สบายตัวอาจจะใช้หมอนเอามารองเข่าช่วย
1.ให้สาวๆ นอนตะแคงแบบปกติ โดยตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่ง ที่รู้สึกว่าสบายตัว
2.ให้งอเข่าข้างเดียวกับที่นอนตะแคงเล็กน้อย แล้วให้เอาหมอนมาหนุนเข่าเอาไว้ โดยให้ความสูงอยู่ระดับเดียวกับหัว จะทำให้รู้สึกสบายมากยิ่งขึ้น
การนอนตะแคงจะไปลดแรงที่มากดทับมดลูกของเราทำให้เรารู้สึกสบายตัว ลดการปวดท้องประจำเดือน และ ช่วยทำให้แนวกระดูกสันหลังอยู่ในแนวระดับที่เหมาะสม ยังช่วยลดการปวดหลัง ปวดเอวที่เป็นการอาการในช่วงมีประจำเดือนได้ด้วย อาจจะใช้การหนุนด้วยหมอนข้างแทนก็ได้ เพราะจะให้ระดับที่พอดีกับหัวมากกว่าหมอน
ท่านี้เหมาะกับใครบ้าง
-สาวๆ ที่ปวดท้องประจำเดือน
-สาวๆ ที่มีอาการปวดหลัง ปวดคอร่วมด้วย
-อีกทั้งท่านี้ยังเหมาะกับสาวๆ ที่นอนกรน และ เป็นกรดไหลย้อนได้อีกด้วย
ข้อควรระวัง - การนอนตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่งมากๆ อาจะไม่ดีนัก และ ทำให้เกิดแรงกดทับบริเวณสะโพกได้ ดังนั้นอาจจะใช้หมอนบางๆ มารองระหว่างขาทั้งสองข้างร่วมด้วย
ท่าที่3 - ท่านอนขด

ใครบอกว่าการนอนขดตัวไม่ดี ไม่ใช่กับสาวๆช่วงมีประจำเดือนแน่ๆ การนอนขดแบบทารกในครรภ์ หรือ แบบน้องแมวนอนขดตัว สามารถช่วยทำให้สาวๆ รู้สึกสบายตัวมากยิ่งขึ้นได้ ท่านี้เป็นท่าที่ส่งผลอย่างมากกับระบบไหลเวียนเลือด และ ไม่จำเป็นต้องใช้หมอนช่วยเหมือนท่าอื่นๆ
1.ให้เรานอนแบบปกติ โดยเลือกตะแคงตัวไปด้านใดด้านหนึ่งที่รู้สึกว่าสบายตัว หรือ รู้สึกถนัด
2.ให้งอเข่าขึ้นมาให้สูงๆ พยายามงอให้พอรู้สึกสบาย
3.จากนั้นให้ก้มหน้าลงเล็กน้อย ให้ท่ามีลักษณะขดตัวอย่างพอเหมาะ ไม่ต้องเกร็งตัว
ท่านอนขดจะช่วยทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ส่งผลต่อการปวดประจำเดือน และ ยังลดแรงกดทับบริเวณมดลูกอีกด้วย เพราะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณท้องได้ยืดหยุ่น ผ่อนคลาย ทำให้ปวดท้องน้อยลง แต่อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่มีอาการปวดหลังร่วมจากการเป็นประจำเดือน
ท่านี้เหมาะกับใครบ้าง
-สาวๆ ที่ปวดท้องประจำเดือน
-สาวๆ ที่ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี
ข้อควรระวัง - ไม่ควรขดตัวจนเกินไป หรือ เกร็งตัวบ่อยๆเวลานอนขด เพราะจะทำให้หายใจได้ลำบาก และ อาจจะทำให้ปวดหลัง ปวดตัวมากยิ่งขึ้นแทนได้
ท่านอนไหน แก้ปวดท้องเมน ได้ดีที่สุด

ท่าที่ช่วยแก้ปวดท้องได้ดีที่สุด ก็คือท่านอนที่เรารู้สึกว่าสบายตัวที่สุด คงไม่มีท่าที่ดีที่สุด เพราะต่างคนก็ต่างความรู้สึก อย่างเราอาจจะชอบท่านอนตะแคง เพราะเป็นท่านอนประจำ ทำให้รู้สึกสบายตัวกับท่านี้เป็นพิเศษ แต่ถ้าสาวๆคนไหนทำแล้ว แต่ก็ยังปวดท้องอยู่อาจจะต้องทานยาร่วมไปด้วย ให้เลือกตัวยาที่ไม่ออกฤทธิ์แรงจนเกินไป ตัวยาที่แรงหากไม่ทานอาหารมาก่อนจะทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ มีหวังสาวๆ ได้ปวดท้องยิ่งกว่าเดิม ตัวยานี้สามารถลดการปวดท้อง และ การสูญเสียเลือดประจำเดือนได้ดีกว่าตัวยาอื่นๆ นอกจากนั้นยังไม่ทำให้มีอาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ อย่างการระคายเคืองกระเพาะอาหาร หากเทียบกับยากลุ่มอื่นๆ ที่มีการระคายเคืองกระเพาะมากกว่า 40% อาจจะเลือกที่แก้ปวดได้ยาวนานหน่อยเม็ดเดียวเอาอยู่ทั้งวัน สาวๆจะได้ไม่ต้องตื่นมาทานยาแก้ปวดกลางดึก เพราะงั้นเลือกยาตัวที่แก้ปวดได้ยาวนานหน่อยก็จะดีกว่า ไม่ใช่แค่ยาแก้ปวดอะไรก็ได้ แต่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม ถ้าดีอย่าลืมบอกต่อเพื่อนสาวคนอื่นๆ ด้วยน้าาาา
สาวๆ สามารถอ่านบทความ ยาแก้ปวดท้องเมน ยอดฮิตเพิ่มเติมได้

คุณเองก็เป็นสาว Sistalk ได้อย่าพลาดสาระดีๆ!!!
สาวๆ คนไหนที่ไม่อยากตกเทรนด์ ไม่อยากพลาดข้อมูล ข่าวสารดีๆ ที่เป็นประโยชน์ เคล็ดลับต่างๆ สุขภาพ แฟชั่น เทรนด์ฮิต และ เรื่องของความรัก!!! แล้วคุณจะไม่ตกเทรนด์กับเรา "เพราะเราเป็นมากว่าเพื่อนสาว" มาเป็นสาว Sistalk ด้วยกันนะคะ สาวๆ คนไหน ที่ไม่อยากพลาดข่าวสารดีๆ ก็ไปกดติดตามช่องทางต่างๆ ของเรากันไว้นะ แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะสาวๆ
 
สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH


210

โอ้ย...ปวดท้องประจำเดือนอีกแล้ว!!!  สำหรับสาวๆ คนไหนที่มีอาการปวดท้องเมนส์ เราขอเสนออีกหนึ่งซีรีส์แก้ปวดท้องเมนส์ สำหรับใครที่ไม่ชอบกินยาแก้ปวดท้องเมนส์ เราสามารถใช้วิธีแบบธรรมชาติได้นะ โดยเราจะใช้ เครื่องดื่มแก้ปวดท้องเมนส์ ในการแก้ปวดแทน ที่จะทำให้สาวๆ รู้สึกผ่อนคลาย สบายท้อง แถมเครื่องดื่มบางตัวสาวๆ สามารถหาได้ภายในบ้าน แค่เปิดตู้เย็น จะมีเครื่องดื่มอะไรบ้างไปดูกันเลย!!!!
รู้จักสรรพคุณลดการปวดท้องเมนส์ แร่ธาตุไหนช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
เราได้ทำการรวบรวมเครื่องดื่มตัวเด็ด ที่แต่ละตัวก็มีสรรพคุณหลากหลาย และ เราได้ทำการสังเกตพบว่าเครื่องดื่มที่ช่วยแก้ปวดท้องเมนส์มักจะมีแร่ธาตุหลักๆ ที่คล้ายๆ กันอยู่ และ เราก็ไปศึกษามาและพบความลับว่า เจ้าแร่ธาตุพวกนี้แหละที่ช่วยลดการปวดท้องประจำเดือนของสาวๆ !!! มารู้จักแร่ธาตุบางชนิดกันดีกว่าว่า ตัวไหนช่วยเรื่องอะไรบ้าง
แมกนีเซียม (Magnesium) ที่จะช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และ ยังช่วยลดการปวดประจำเดือนอีกด้วย
วิตามิน (Vitamin) จะช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย หายหงุดหงิดในช่วงมีประจำเดือน
ธาตุเหล็ก (Iron) จะช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดในร่างกาย ที่เราสูญเสียไปในช่วงที่มีประจำเดือน รวมถึงช่วยเรื่องระบบเผาผลาญต่างๆ อีกด้วย
แคลเซียม (Calcium) ช่วยในการควบคุมการหดรัดของกล้ามเนื้อ ระบบประสาท รวมถึงช่วยเรื่องของกระดูก ใครที่ปวดหลัง ปวดเอว ปวดขาช่วงเมนส์มาแคลเซียมช่วยได้
โพแทสเซียม (Potassium) ช่วยในการรักษาสมดุลของร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อ รวมถึงช่วยให้ความดันเลือดสมดุลในช่วงมีประจำเดือน
ฟอสฟอรัส (Phosphorus) ช่วยกระตุ้นการทำงานของโปรตีน เอนไซม์ และ ควบคุมสมดุลกรดด่างในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงมีประจำเดือนที่มีความเป็นกรด - ด่างสูง
สังกะสี (Zinc) ช่วยในเรื่องของระบบภูมิคุ้มกัน การทำงานของเอนไซม์ ปรับสมดุลร่างกาย อีกทั้งช่วยรักษาสิวช่วงที่ประจำเดือนมา
เครื่องดื่มแก้ปวดท้องเมนส์ ตัวไหนดี ตัวไหนเด็ด?
เราได้ลองเครื่องดื่มที่ช่วยลดการปวดท้องเมนส์มาหลายตัว ทำให้พบเครื่องดื่มตัวเด็ดที่ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือน อีกทั้งบางตัวยังช่วยเรื่องปวดหลัง ปวดเอว รวมถึงช่วยแก้อาการหงุดหงิดช่วงมีเมนส์ได้ด้วย รับรองได้ว่าให้ผลดีจนอยากจะบอกต่อสาวๆ เลยแหละ สามารถหาทานได้ง่าย บางอย่างก็สามารถหาได้ในบ้านของคุณ อย่ามัวรอช้าไปดูดีกว่ามีเครื่องดื่มตัวไหนบ้าง
น้ำอุ่น

ตัวแรกเป็นน้ำที่ทุกบ้านมี สามารถหาได้ง่าย สาวๆ รู้ไหมคะว่าน้ำอุ่น ถึงแม้จะดูเป็นน้ำที่ไม่มีอะไรพิเศษ แต่น้ำอุ่นกับมีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย การดื่มน้ำอุ่นๆ ก่อนนอน ในตอนเช้า หรือ ในช่วงเป็นเมนส์ จะช่วยบรรเทาการเจ็บป่วยต่างๆ ช่วยขับสารพิษ ช่วยให้ร่างกายสดชื่น และ ยังช่วยบำรุงผิวพรรณด้วย
แร่ธาตุหลักที่มี - แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม และ แร่ธาตุอื่นๆ
น้ำอุ่นช่วยเรื่องอะไรบ้าง - นอกจากจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นแล้ว การทานน้ำอุ่นยังสามารถช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ที่สาวๆ อย่างเราต้องเจอเมื่อมีประจำเดือนได้หลายอย่าง
-ช่วยปรับอารมณ์ให้สดใส
-ช่วยลดการอ่อนเพลีย ความเมื่อยล้า
-ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดปัญหาสิว
-ช่วยลดการปวดท้องประจำเดือน
หากสาวๆ จิบน้ำอุ่นระหว่างวันในช่วงมีประจำเดือน จะช่วยลดอาการปวดท้องได้พอสมควรเลยนะ ทำให้รู้สึกอุ่นๆ ที่ท้อง เหมือนเวลาเราใช้ถุงน้ำร้อนประคบที่ท้อง เพียงแต่เป็นความรู้สึกอุ่นๆ ภายใน สามารถใช้ได้กับอาการปวดน้อยๆ แต่หากปวดท้องมากๆอาจจะต้องใช้วิธีอื่นๆร่วมด้วย
น้ำขิง

มาถึงเครื่องดื่มสมุนไพรกันบ้าง สำหรับใครที่ไม่ชอบทานผัก สมุนไพร อย่าพึ่งแหวะกันนะ หากบ้านไหนที่มีผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ก็น่าจะต้องมีน้ำขิงติดบ้านเอาไว้บ้าง ทั้งในรูปแบบของขิงสด หรือ น้ำขิงสำเร็จรูป สมุนไพรไทยอย่างขิงมีสรรพคุณทางยาหลายอย่าง อีกทั้งยังสามารถหาทานได้ไม่ยากอีกด้วย
แร่ธาตุหลักที่มี - ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส และ วิตามินเอ บี ซี
น้ำขิงช่วยเรื่องอะไรบ้าง - น้ำขิงนับว่ามีแร่ธาตุ คุณประโยชน์ที่จำเป็นต่อสาวๆ ช่วงมีประจำเดือนอย่างมาก โดยเฉพาะรสเผ็ดอ่อนๆ ของขิง
-ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
-ช่วยลดการปวดกล้ามเนื้อเมื่อมีประจำเดือน
-ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน
-ช่วยให้ผ่อนคลาย รู้สึกสดชื่น
ด้วยสรรพคุณของน้ำขิงที่มีแร่ธาตุหลายอย่าง ยิ่งทานตอนอุ่นๆ ยิ่งสามารถช่วยลดอาการปวดท้องเมนส์ได้ดีมากเลย ส่วนใหญ่ควรทานในช่วงวันที่เมนส์มาวันแรกๆ แต่ก็มีสาวๆ หลายคนที่ไม่ชอบน้ำขิง เนื่องจากรสชาติของมันที่ดื่มยาก มีรสเผ็ดร้อน อาจจะต้องเปลี่ยนไปดื่มตัวอื่นแทนนะ
น้ำผึ้งผสมมะนาว

สาวๆคนไหนที่คิดว่าพวกน้ำสมุนไพรมันทานยากไป มาถึงตัวที่ทานได้ง่ายสุดๆ รับรองว่าสาวๆต้องชอบ น้ำผึ้งผสมมะนาวนับว่าเป็นเครื่องดื่มที่สาวๆ หลายๆ คนเลือก สามารถดื่มได้ทั้งแบบร้อน และ แบบเย็น สรรพคุณของมันก็ไม่น้อยหน้าตัวอื่นๆ เลยนะ แถมมีวิตามินซีสูงอีกด้วย
แร่ธาตุหลักที่มี - วิตามินซี เอ บี1 บี2 แมกนีเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส และ ธาตุเหล็ก
น้ำผึ้งผสมมะนาวช่วยเรื่องอะไรบ้าง - นอกจากวิตามินซีที่สูงแล้ว ยังมีแร่ธาตุอื่นๆ อีกมาก เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของสาวๆ ที่มีประโยชน์มากทั้งต่อผิวพรรณ และ ร่างกาย
-ช่วยลดปัญหาสิว สร้างคอลลาเจน
-ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
-ช่วยในการบำรุงเลือดช่วงมีประจำเดือน
-ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
นับว่าเป็นหนึ่งใน เครื่องดื่มแก้ปวดท้องเมนส์ ดื่มง่ายสบายคล่องคอ ด้วยรสหวานๆ เปรี้ยวๆ สามารถแก้การปวดท้องเมนส์ได้โอเคระดับหนึ่ง สำหรับคนที่ไม่ปวดหนักๆ อาจจะใช้การจิบน้ำผึ้งผสมมะนาวอุ่นๆ ช่วยบรรเทาอาการปวดได้
น้ำสับปะรด

สับปะรดนับว่าเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์อย่างมาก มีรสชาติอร่อย ยิ่งกินเย็นๆ ยิ่งสดชื่น น้ำสับปะรดนับว่าเป็นเครื่องดื่มเย็นที่สามารถหาทานได้ง่าย ทานได้ทั้งแบบเย็น แบบปั่น หากใครกลัวว่าจะเปรี้ยวไป อาจจะใส่น้ำเชื่อมลงไปนิดๆ ให้ทานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
แร่ธาตุหลักที่มี - วิตามินซี บี1 บี2 แคลเซียม โฟแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และ สังกะสี
น้ำสับประรดช่วยเรื่องอะไรบ้าง - สรรพคุณของสับประรดนอกจากจะช่วยในการแก้ปวดประจำเดือนแล้ว ยังช่วยเรื่องระบบภายในของผู้หญิงอย่างเราๆ ด้วย
-ช่วยให้ผ่อนคลาย สดชื่น
-ช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
-ช่วยบำรุงเลือดในช่วงมีประจำเดือน
-ช่วยลดการตกขาวในช่วงก่อนและหลังมีประจำเดือน
เป็นเครื่องดื่มที่สามารถช่วยลดการปวดประจำเดือนได้ดี แต่มีน้ำตาลสูง ทำให้ต้องทานในปริมาณที่พอเหมาะ สำหรับใครที่ชอบทานผลไม้น้ำสับปะรดเป็นอีกตัวที่ตอบโจทย์อย่างมาก
ชาคาโมมายล์

ชาตัวนี้เลย รสชาติ และ กลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยให้ผ่อนคลาย คาโมมายล์เป็นดอกไม้ที่มีสารช่วยในการผ่อนคลาย นอกจากนั้นยังช่วยลดการปวดท้องให้สาวๆ ในวันนั้นของเดือน และ เป็นชาที่ไม่มีคาเฟอีนอีกด้วย
แร่ธาตุหลักที่มี - กรดอะมิโน GABA และ แร่ธาตุต่างๆ
ชาคาโมมายล์ช่วยเรื่องอะไรบ้าง - นอกจากกลิ่นของคาโมมายล์ที่โดดเด่นในการช่วยให้ผ่อนคลายแล้ว ยังมีสารที่จะช่วยแก้พวกอาการอักเสบ ปวดเกร็งได้อีก
-ช่วยให้ผ่อนคลาย รู้สึกสบายตัว
-ช่วยลดการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ
-ช่วยให้มดลูกคลายตัว และ ช่วยลดการปวดท้องประจำเดือน
สำหรับใครที่ชอบเสพกลิ่นหอมๆ ชาคาโมมายล์นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่สามารถตอบโจทย์ได้ดี อีกทั้งเมื่อดื่มอุ่นๆ จะช่วยให้ผ่อนคลาย หลับสบาย กลิ่นหอมของมันช่วยในการผ่อนคลายเวลาปวดท้อง และ เวลาที่อารมณ์ไม่คงที่
ชาเปปเปอร์มินต์

มาถึงเครื่องดื่มตัวสุดท้าย ก็ยังอยู่ในหมวดของชา เปปเปอร์มินต์ หรือ ที่คนไทยจะรู้จักกันในชื่อ "สะระแหน่" เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอม รสชาติเป็นเอกลักษณ์ ช่วยให้ผ่อนคลาย สดชื่น รู้สึกกระฉับกระเฉง
แร่ธาตุหลักที่มี -  ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส และ วิตามินซี บี1 บี 2
ชาเปปเปอร์มินต์ช่วยเรื่องอะไรบ้าง - ด้วยกลิ่นหอมๆ และ รสชาติเย็นๆ ของเปปเปอร์มินต์ ที่ถือว่าเป็นยาเย็น มีสรรพคุณช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งยัง เป็นตัวช่วยที่ทำให้สาวๆ รู้สึกสบายตัวในช่วงมีประจำเดือนอีกด้วย
-ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น ปรับอารมณ์ให้สดใส
-ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด
-ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
-ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือน
ด้วยกลิ่นที่หอม ทำให้สาวๆ หลายคนหลงรักเปปเปอร์มินต์ สามารถแก้อาการปวดท้องเมนส์ ควบคู่ไปกับช่วยให้ผ่อนคลายได้ดี ช่วยปรับอารมณ์สำหรับสาวๆ ที่รู้สึกหงุดหงิด ไม่สบายตัว ชาเปปเปอร์มินต์ก่อนนอนสักแก้วก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเลย
เครื่องดื่มที่ต้องระวังช่วงมีปจด!!!
สาวๆ รู้ไหมว่า เครื่องดื่มบางชนิด ในช่วงมีประจำเดือนก็ควรหลีกเลี่ยงด้วยนะ ถ้าไม่อยากปวดท้องหนักๆ ไปกว่าเดิม เครื่องดื่มที่สาวๆควรหลีกเลี่ยงได้แก่
เครื่องดื่มมีคาเฟอีน ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ น้ำอัดลม ในช่วงมีประจำเดือนควรงดก่อนเลยนะ เพราะคาเฟอีนจะทำให้สาวๆ รู้สึกปวดท้องมากกว่าเดิม และ มีผลต่อการนอน ทำให้สาวๆ รู้สึกไม่สดชื่นอีกด้วย
เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ กอดคอโยนทิ้งไปกับเครื่องดื่มมีคาเฟอีนเลยค่ะ ช่วงมีประจำเดือนขอให้งดไว้ก่อน พอหมดช่วงนี้ไปจะดื่มก็ไม่มีปัญหา เพราะแอลกอฮอล์จะส่งผลทำให้ระบบไหลเวียนเลือดเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เราปวดท้องหนัก และ รู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก
เครื่องดื่มเย็นจัดๆ สำหรับใครที่รู้สึกไม่สบายตัว หงุดหงิดอยากกินน้ำเย็นๆ อาจจะทานได้บางในกรณีเป็นน้ำเย็นทั่วไป แต่ให้พยายามหลีกเลี่ยงการกินน้ำเย็นจัด เช่น น้ำเย็นที่ใส่น้ำแข็งจนเต็มแก้ว จะไปทำให้ปวดท้องมากขึ้น และ ทำให้ประจำเดือนจับตัวเป็นก้อนอีกด้วย
น้ำหวาน สาวๆหลายคนเลือกจะทานน้ำหวานๆ เพราะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี แต่รู้หรือไม่ว่าหลังจากที่ผ่อนคลายไปได้สักพัก คุณจะเริ่มปวดท้องหนักขึ้น การทานให้พอผ่อนคลายสามารถทานได้ แต่ทานหนักๆ จะไม่ดี ควรเปลี่ยนไปทานพวกผลไม้ที่มีรสหวานแทนอาจจะดีกว่า
 
เคล็ด(ไม่)ลับ แก้ปวดประจำเดือน!!!

สำหรับใครที่ลองเครื่องดื่มแก้ปวดท้องเมนส์แล้วยังไม่หาย...เรามีวิธีในการเลือกยาแก้ปวดท้องเมนส์แบบปลอดภัยมาฝาก ในกรณีที่ปวดท้องระดับกลางๆ จนถึงมาก การทานยาแก้ปวดท้องเมนส์โดยเฉพาะจะให้ผลที่ดีกว่ามากค่ะ สาวๆ ควรจะเลือกตัวยาที่เป็น Etoricoxib ที่จะให้ผลในการลดการปวดท้องเมนส์ และ ยังลดการสูญเสียเลือดประจำเดือนได้ดีอีกด้วย อีกทั้งยังแทบไม่ทำให้มีอาการไม่พึ่งประสงค์อื่นๆ เช่น การระคายเคืองกระเพาะอาหาร เมื่อเทียบกับยาแก้ปวดประจำเดือนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีการระคายเคืองกระเพาะอาหารมากกว่าถึง 40% ดังนั้นหากสาวๆ มีอาการปวดท้องเมนส์ ควรจะเลือกยาก่อนที่จะทาน ไม่ใช่ว่าแค่รับประทานยาแก้ปวดอะไรก็ได้ แต่เราอยากให้สาวๆ ใส่ใจกับตัวยากันสักนิด ไม่อย่างงั้นการเลือกตัวยาที่ผิด หรือ แรงจนเกิดไปอาจทำให้สาวๆ ปวดท้องมากกว่าเดิมได้!!!
 
 
 
อย่าพลาดข้อมูลดีๆที่เราขนมาให้สาวๆ Sistalk กันนะพส!!!
สาวๆ คนไหนที่ไม่อยากตกเทรนด์ ไม่อยากพลาดข้อมูล ข่าวสารดีๆ ที่เป็นประโยชน์ เคล็ดลับต่างๆ สุขภาพ แฟชั่น เทรนด์ฮิต และ เรื่องของความรัก!!! แล้วคุณจะไม่ตกเทรนด์กับเรา เราพร้อมจะให้สาระดี ข้อมูลเจ๋งๆที่เป็นประโยชน์กับคุณ มาเป็นสาว Sistalk ด้วยกันนะคะ ไม่อยากพลาดข่าวสารดีๆ ก็ไปกดติดตามช่องทางต่างๆ กันไว้เลย แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะสาวๆ
 
สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH


211

หากเวลาที่หนุ่มๆงอนสาวๆ อย่างเราจะต้องรับมือกันยังไง สำหรับสาวๆคนไหนที่ไม่รู้จะง้อแฟนยังไง จะทำอย่างไรแฟนถึงจะกลับมาคืนดีด้วย บทความนี้เรามี วิธีง้อแฟน ง่ายๆแต่จะมีวิธีไหนบ้างไปดูกันเลยค่ะสาวๆ
วิธีง้อแฟน 6 วิธีเด็ดสุดปัง
วิธีการง้อแฟนแต่ละวิธีก็จะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน บางคนเป็นคนนิ่งๆ บางคนเป็นคนอารมณ์ร้อน บางคนเวลางอนแฟนต้องการเวลาให้กับตัวเอง บางคนต้องการให้แฟนง้อไวๆ การเลือกวิธีง้อแฟนให้ได้ผลดี จะต้องดูด้วยว่าแฟนของเราเป็นคนยังไง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร จากนั้นให้เราลองเลือกวิธีที่เหมาะกับแฟนของเรา บางคนถ้าหนึ่งวิธีไม่หาย อาจจะลองใช้วิธีสอง สามดู รับรองเป็นใครก็หายงอน
วิธีที่1 - ขอโทษ

ที่สุดแห่งความเบสิกแต่มีคุณภาพ สาวๆรู้ไหมว่าการยอมรับผิดแล้วขอโทษถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยในการขอคืนดีที่ดีที่สุด  เพราะ เป็นการแสดงออกถึงความความจริงใจของคนที่ขอโทษ มีหลายๆคู่ที่ไม่ค่อยจะยอมขอโทษกันเวลามีปัญหา ทำให้คู่ๆนั้นทะเลาะกัน การขอโทษที่ดีที่สุด คือ การไปขอโทษต่อหน้า เพราะนอกจากคำขอโทษที่เราพูดออกไปแล้ว สายตาที่เราต้องการขอโทษจริงๆจะไปช่วยทำให้คุณแฟนใจอ่อนขึ้นด้วย(เพราะสายตาหลอกกันไม่ได้นะจ๊ะ) แต่สำหรับใครที่ไม่สะดวกไปขอโทษต่อหน้า เช่น อยู่คนละที่กับแฟน เวลาไม่ตรงกัน ก็อาจจะใช้การโทร หรือ วิดีโอคอลไปขอโทษให้เร็วที่สุด
วิธีนี้เหมาะกับ - หนุ่มๆที่ขี้งอน ขี้น้อยใจ หรือ หนุ่มที่มีความเป็นผู้ใหญ่ วิธีนี้รับรองได้ว่าหายงอนแน่นอน (ก็แฟนอุส่ามาง้อนี่!!!)
วิธีที่2 - พยายามเปลี่ยนตัวเอง

ถึงการขอโทษจะเป็นวิธีที่ดีแค่ไหนก็ตาม การขอโทษทุกรอบแต่ไม่ปรับปรุงตัวก็วนลูปเดิมนะ เพราะทุกคนมีลิมิตของตัวเอง การทำผิดซ้ำๆ ขอโทษเรื่องซ้ำๆ อาจจะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย น้อยใจกันเสียเปล่า ดังนั้นหากการขอโทษไม่เป็นผล ลองใช้การเปลี่ยนตัวเองให้เขาเห็นแทน วิธีให้ผลดีทั้งกับตัวเราและแฟน การเปลี่ยนตัวเองอาจจะยากในช่วงแรกๆ อาจจะมีสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้างแต่อย่าพึ่งท้อ เพียงแค่เราพยายามรับรองได้ว่าคุณแฟนจะต้องเห็นความพยายามของคุณแน่นอน การเปลี่ยนตัวเองไม่ใช่แค่ภายในเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภายนอกด้วย เช่น ปกติจะต้องเถียงกันกับแฟนตลอดเรื่องไปเที่ยวกลางคืน ลองปรับมาเป็นการพูดจาดีๆ หรือ ปรับคนละครึ่งทางกับแฟน เช่น ถ้าเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน ก็ให้กลับมาให้ตรงเวลาที่บอกเอาไว้อะไรแบบนี้ ถึงจะขัดใจเราไปบ้างแต่ก็สบายใจด้วยกันทั้งคู่จริงไหมคะ
วิธีนี้เหมาะกับ - หนุ่มๆที่เป็นผู้ใหญ่ หรือ เป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ ไม่เน้นพูดเน้นการกระทำเป็นหลัก เห็นแบบนี้ใครจะไม่ใจอ่อนกันบ้าง
วิธีที่3 - พูดเรื่องตลก ชวนคุย

วิธีนี้จะต้องดูสถานการณ์ให้ดีก่อนใช้ การพูดตลก หรือ เล่าเรื่องตลกไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมาเล่นมุขขำๆ แต่การจะใช้วิธีนี้ควรให้คุณแฟนอารมณ์เย็นลงก่อน ห้ามไปใช้วิธีนี้ตอนพึ่งงอนกันใหม่ๆเด็ดขาด การพูดเรื่องตลก หรือ การชวนคุยเป็นการปรับสถานการณ์ให้ซอร์ฟลง ถึงแม้จะตึงๆกันอยู่บ้าง แต่ว่าคุณแฟนก็น่าจะยอมพูดคุยด้วย วิธีนี้เป็นวิธีตีเนียนแบบง่ายๆ แต่ไม่ใช่จะใช้ตลอด แต่ให้ใช้เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเท่านั้น หากแฟนของคุณอารมณ์ดีขึ้นแล้วก็อย่าลืมไปขอโทษด้วยนะ วิธีนี้อาจจะใช้ไม่ได้กับทุกคนเหมือน 2 วิธีแรก อีกทั้งคนง้อยังจะต้องมีสกิลการพูดระดับหนึ่ง เพราะถ้าไปเล่นมุขแป๊กๆ หรือ พูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง อาจจะทำให้แฟนของคุณงอนมากกว่าเดิมได้
วิธีนี้เหมาะกับ - หนุ่มใจดี หนุ่มที่ขี้เล่น หรือ หนุ่มศิลปิน อารมณ์ติสท์ๆ การพูดคุยเรื่องสนุกๆบางเรื่อง อาจจะช่วยให้คืนดีกันได้ง่ายขึ้น
วิธีที่4 - บอกรัก

นอกจากการพูดขอโทษแล้ว การบอกรักคุณแฟนอาจจะเป็นสิ่งที่หลายๆคู่ไม่ทำกัน อาจจะเพราะเขินอาย แต่รู้ไหมคะว่าการบอกรัก จะช่วยให้รักกันมากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าคู่ที่ไม่บอกรักกันจะไม่ได้รักกันนะ แต่การแสดงความรักบ้างจะทำให้ความรักไม่จืดจาง มีสีสัน และ ยังเป็นวิธีง้อที่ให้ผลดีมากอีกด้วย ถึงแม้จะเป็นหนุ่มๆก็ตาม การมีสาวมาบอกรักหนุ่มๆจะทนไหวจริงหรอคะ การบอกรักที่ดีคือการบอกรักจากใจจริง การพูดความรู้สึกที่เรามีให้เขารับรู้ นับว่าเป็นการแสดงความจริงใจที่สามารถทำได้ง่ายอีกวิธีหนึ่ง หรือ อาจจะเพิ่มลูกเล่นด้วยการบอกรักเป็นเพลงก็เก๋ไปอีกแบบนะ (จัดเพลงรักให้คุณแฟนสักเพลงก็ดูน่ารักดีนะ)
วิธีนี้เหมาะกับ - หนุ่มประเภทเฟรนลี่ ขี้เล่น หรือ หนุ่มขรึมๆ นานๆพูดที รับรองเขิลแต่ไม่แสดงออกหรอก
วิธีที่5 - กอด

วิธีขอโทษก็ทำแล้ว วิธีบอกรักก็ทำแล้ว มีแต่ภาษาพูดกันทั้งนั้น แต่อะไรจะดีกว่าการง้อด้วยอ้อมกอดที่อบอุ่น แค่พูดก็ฟินแล้วค่ะสาวๆ ถ้าหนุ่มๆคนไหนใจแข็งนัก ก็เข้าไปกอดเลยค่ะ แต่ต้องดูสถานการณ์ด้วยนะว่าจังหวะนั้นกอดได้ไหม ไม่ใช่จะกอดก็กอดนะ อาจจะต้องรอเขาอารมณ์เย็นลงก่อน หรือ มีท่าทีอยากให้เราง้อ อาจจะเป็นการกอดก่อนนอน กอดตอนดูหนัง เอาไว้ใช้ตอนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าไปกอดง้อตอนอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆนะ เพราะอาจจะทำให้เขางอนกว่าเดิมได้ หรือ อาจจะใช้การเนียนกอด เช่น แกล้งว่าหนาวจังเลยขอกอดหน่อยได้ไหม แล้วเนียนไปกอดแบบซีรี่เกาหลีอะไรแบบนี้ บอกเลยไม่มีหรอกไม่หายงอน!!!
วิธีนี้เหมาะกับ - แฟนที่สนิทกันแล้วระดับหนึ่ง สามารถกอด สามารถเล่นกันได้ (ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบให้โดนเนื้อโดนตัว)
วิธีที่6 - ให้ของขวัญ

แฟนใครที่แค่พูดแล้วยังงอนอยู่ให้ใช้วิธีนี้เลย ร้อยทั้งร้อยตายเรียบ การเลือกของขวัญในการง้อแฟน ไม่ใช่แค่ว่าจะเอาของขวัญไปง้อให้คืนดีเท่านั้น แต่เป็นการแสดงออกว่าเราอยากจะขอโทษ อยากจะง้อจริงๆ ให้ของขวัญเป็นสื่อกลางเชื่อมความสัมพันธ์ ของขวัญในที่นี้ไม่จำเป็นจะต้องมีราคาแพง แต่ให้มาจากใจ อาจจะอยู่ในรูปแบบของการกระทำ เช่น การทำอาหารจานพิเศษให้แฟน การพาไปเที่ยวสถานที่สวยๆ การให้ของขวัญทำมือ(Handmade) หรือ ของขวัญที่เราตั้งใจเลือกมาเพื่อเขา รับรองได้ว่าถ้าเราให้ด้วยใจ แม้แฟนใจแข็งแค่ไหนก็ต้องยอม
วิธีนี้เหมาะกับ - หนุ่มขี้งอน หนุ่มเฟรนลี่ หนุ่มขรึม รับรองได้ว่าร้อยทั้งร้อยก็ยอมจ้า

แล้วง้อแฟนอย่างไรถึงจะดี?
การง้อไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย หรือ เกี่ยงกันว่าฝ่ายไหนต้องง้อ สาวๆหากคุณเป็นคนผิดการยอมง้อ เป็นการแสดงออกว่าเราแคร์ความรู้สึกของอีกฝ่ายใครไหน อย่าเป็นแต่ฝ่ายที่งอน แต่ควรเป็นฝ่ายที่ง้อบ้างหากเราผิดจริงๆ หนุ่มๆเขาก็รู้สึกงอนได้เหมือนกับเรา เพียงแต่จะไม่แสดงออกเหมือนกับผู้หญิง หากแฟนของคุณงอนอย่าปล่อยผ่านนะคะ ไม่อย่างงั้นจะทำให้เรื่องยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ดังนั้นการจะง้อด้วยการขอโทษ การกอด หรือ วิธีอื่นๆ ก็ควรจะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับคน และ สถานการณ์ ไม่ว่าจะง้อยังไงการพูดจาดีๆ ให้ผลดีที่สุด
 
อย่าพลาดข้อมูลดีๆที่เราขนมาให้สาวๆ Sistalk กันนะพส!!!
สาวๆคนไหนที่ไม่อยากตกเทรนด์ ไม่อยากพลาดข้อมูล ข่าวสารดีๆ ที่เป็นประโยชน์ เคล็ดลับต่างๆ สุขภาพ แฟชั่น เทรนด์ฮิต และ เรื่องของความรัก!!! พบกับสาระดีๆ ข้อมูลเจ๋งๆที่เป็นประโยชน์กับคุณ มาเป็นสาว Sistalk ด้วยกันนะคะ ไม่อยากพลาดข่าวสารดีๆ ก็ไปกดติดตามช่องทางต่างๆกันไว้เลย แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะสาวๆ
 
 
สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH


212

สาวๆคนไหนที่รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองรูปร่างไม่กระชับเอาซะเลย มีไขมันส่วนเกินตามจุดต่างๆ วันนี้เราจะมาแนะนำ ท่าคาร์ดิโอ ที่จะช่วยลดไขมันให้สาวๆกลับมามีหุ่นที่ปังอีกครั้ง ท่าเหล่านี้สาวๆอย่างเราสามารถทำได้เองที่บ้านด้วยท่าออกกำลังกายง่ายๆ ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ มาหุ่นดี รูปร่างเป๊ะปังไปด้วยกันนะ
 
ทำความรู้จัก คาร์ดิโอ คืออะไร?
Cardiovascular Training เป็นการออกกำลังกายที่จะช่วยในการ กระตุ้นการไหลเวียนเลือด และ ระบบเผาผลาญ ยิ่งถ้าเราทำคาร์ดิโอบ่อยๆ ระบบหมุนเวียนเลือดของเราก็จะไหลเวียนได้ดี การทำคาร์ดิโอเป็นการออกกำลังกายที่ไม่เน้นการใช้พลังงานจากมัดกล้ามเนื้อ แต่เน้นการขยับร่างกายที่ส่งผลต่อการเต้นของหัวใจแทน เป็นการออกกำลังกายที่ทำให้เราเหนื่อย หอบ หัวใจเต้นเร็ว เลือดสูบฉีดมากขึ้น ส่งผลทำให้ระบบเผาผลาญของเราดีขึ้น หัวใจของเราแข็งแรงขึ้น
 
ช่วงไหนทำ คาร์ดิโอ ดีที่สุด?
Q : ช่วงเวลาไหนทำคาร์ดิโอดีที่สุด ทำตอนก่อนทานข้าวดีไหมหรือต้องทำหลังทานอาหารดีกว่า?
A : นี้อาจจะเป็นคำถามยอดฮิตสำหรับสาวๆคนไหนที่ต้องการหุ่นดี กำจัดไขมันส่วนเกินในร่างกาย สาวๆสามารถทำคาร์ดิโอได้ในบ้าน ทุกเมื่อ ทุกเวลาที่ต้องการได้เลย!!!
ทำตอนท้องว่างก็ได้ แต่ถ้าหากสาวๆคนไหนรู้สึกไม่มีแรงในการออกกำลังกาย  อาจจะต้องหาอะไรทานรองท้องก่อนก็ดีนะ
สำหรับสาวๆคนไหนที่จะทานอาหารรองท้อง ไม่ควรทานเยอะจนเกินไป อาจจะทานเป็นขนมปัง กล้วยหอม ผลไม้ แต่พยายามหลีกเลี่ยงพวกแป้งที่ไม่ขัดขาว น้ำตาล เพราะ มันอาจจะทำให้คุณง่วงได้!!!
ทางที่ดีควรทานอาหารก่อนที่จะคาร์ดิโออย่างน้อย 90 นาที ถ้าทานของที่ย่อยง่ายๆ อาจจะย่นเวลาขึ้นมาให้เร็วกว่าเดิม แต่ควรรอให้อาหารที่ทานนั้นย่อยก่อน เพราะไม่อย่างงั้นสาวๆอาจจะจุกได้นะ
 
6 ท่าคาร์ดิโอ ท่าไหนดีท่าไหนปัง!!!

สาวๆรู้หรือไม่ว่าการทำคาร์ดิโอสามารถแบ่งประเภทได้ตาม ระดับความเข้มข้น* (ระดับในการเบิร์นไขมัน) และ เวลาที่ใช้ในการออกกำลัง ซึ่งเราจะสามารถแยกประเภทของการคาร์ดิโอได้เป็น 2 ประเภท
LISS (Low Intensity Interval Training) เป็นการออกกำลังความเข้มข้นต่ำ แต่เวลาที่ใช้ในการออกกำลังจะนาน และ ต่อเนื่องกัน วิธีนี้จะช่วยในการเบิร์นไขมัน 80% และ คาร์โบไฮเดรตถึง 20% เช่น การเดินเร็วๆ การวิ่งจ๊อกกิ้ง อย่างน้อย 30 นาที - 1 ชั่วโมง เป็นต้น
HIIT (High Intensity Interval Training) เป็นการออกกำลังความเข้มข้นสูง แต่จะมีการหยุดพักเป็นเซตๆไป วิธีนี้จะช่วยในการเบิร์นไขมัน 50% และ คาร์โบไฮเดรตถึง 50% เช่น การวิ่งในระดับความชันที่มาก วิ่งเร็วมากๆ จากนั้นพักครู่หนึ่ง และ ทำการวิ่งต่อ ส่วนใหญ่จะทำเป็นเซตๆไป
ซึ่งท่าที่เราจะมาแนะนำสาวๆ เป็นท่าคาร์ดิโอแบบ LISS ที่ไม่หนักจนเกินไป แต่จะเน้นใช้การออกกำลังอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ซึ่งเหมาะมากสำหรับสาวๆที่เป็นมือใหม่หัดคาร์ดิโอ
Q : หลายๆคนก็จะตั้งคำถามว่าการออกกำลังแบบ HIIT น่าจะดีกว่าในเมื่อออกหนักๆก็จะยิ่งเผาผลาญไขมันได้ดี?
A : ไม่ผิดค่ะการออกแบบ HIIT ให้ผลในการเบิร์นไขมันที่ดีกว่า แต่ก็หนักมากกว่าด้วย อีกทั้งยังไม่สามารถทำได้ในทุกๆวันเหมือนกับการออกแบบ LISS
ท่าที่ 1 - Jumping Jacks

มาเริ่มด้วยท่าเบาๆกันก่อน ท่านี้เป็นท่ากระโดดยกแขน คล้ายๆกับท่ากระโดดตบของบ้านเรา ท่านี้จะช่วยลดไขมันได้ทุกส่วน ถือว่าเป็นท่าเบสิกที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นออกกำลัง
-ให้ยืนแยกเท้าให้ความกว้างของเท้าพอดีกับหัวไหล่ และ ให้แขนเหยียดตรง
-ให้เหยียดแขนออกไปด้านข้าง และ กระโดดโดยให้แขนเหยียดตรงขึ้นไปในอากาศโดยให้เท้าแยกออกจากกัน
-จากนั้นให้กลับสู่ท่าเดิม และ ทำท่านี้วนไป
ไม่จำเป็นจะต้องกระโดดให้สูงมากหากพึ่งเริ่ม แต่ถ้าหากต้องการเพิ่มการเบิร์นไขมันให้กระโดดสูงๆ และ กระโดดให้เร็วขึ้น
ท่าที่ 2 - Mountain Climber

ท่าต่อไป เราจะเปลี่ยนจากท่ายืนบ้าง ท่านี้เราจะรู้จักกันในชื่อท่านักปีนเขา คล้ายๆกับท่าวิดพื้นบ้านเราแต่จะไม่เอาตัวลงไปแนบชิดกับพื้น ซึ่งท่านี้จะช่วยในการเบิร์นไขมันส่วนล่าง เป็นท่าที่ดูจะยากในช่วงแรกๆแต่เมื่อทำจนชิน จะรู้สึกว่าไม่ยากเลย
-ให้โค้งตัวลงไปกับพื้น โดยเหยียดขาให้ตึง และ เอามือดันไว้ที่พื้น โดยให้แขนตั้งฉากกับพื้น ที่ระดับความสูงอยู่ประมาณสะโพก
-ย่อขาข้างหนึ่งมาข้างหน้า ทำท่าคล้ายๆกับเวลาจะวิ่งออกตัวของพวกนักกีฬา โดยให้สลับระหว่างขาซ้ายและขวาอย่างเร็ว โดยมือก็ยังต้องดันพื้นเอาไว้เสมอ
ในตอนแรกอาจจะไม่ต้องทำเร็วมาก แต่ค่อยๆเพิ่มระดับความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ และ ยกขาให้สูงขึ้นก็จะยิ่งเบิร์นไขมันได้ดี
ท่าที่ 3 - Lateral Shuffles

ต่อไปจะกลับเข้าสู่ท่ายืนอีกครั้ง โดยท่านี้จะคล้ายๆกับการสไลด์ตัวไปข้างๆ ซึ่งเรามักจะเห็นท่านี้กับพวกนักกีฬาที่วอร์มร่างกาย เป็นท่าที่ช่วยในการเบิร์นไขมันทุกส่วน แต่ไม่ยาก และ เหนื่อยจนเกินไป
-ให้ยืนแยกขาให้ความกว้างของขาพอดีกับหัวไหล่ ย่อตัวเล็กน้อย
-ขยับเคลื่อนตัวไปด้านข้าง และ ให้เท้าชิดกันขณะเคลื่อนที่ โดยจะเคลื่อนที่เป็นสเต็ป
หากรู้สึกว่าเบาไป ให้ทำการเพิ่มความเร็ว และ ความกว้างของระยะในการขยับ เพื่อเพิ่มการเบิร์นไขมัน
ท่าที่ 4 - Burpees
ท่านี้เรียกได้ว่าเป็นท่า 2 IN 1 เป็นท่าที่จะต้องทำ 2 STEP คือ จังหวะหมอบ และ จังหวะกระโดด เรียกได้ว่าเป็นท่าที่เรียกเหงื่อได้เบาๆ แต่จะช่วยในการเบิร์นไขมันทุกส่วนของร่างกาย
STEP 1 - จังหวะหมอบ

-ให้อยู่ในท่าคล้ายๆกับท่าวิดพื้น ให้แขนต้องฉากกับลำตัว ขาเหยียดตรง
-ให้กดหน้าอกลงกับพื้น งอแขน จากนั้นให้ดันตัวขึ้นอยู่ในท่านั่งหมอบ
STEP 2 - จังหวะกระโดด

-จังหวะที่เรากระโดด ให้เหยียดมือไปข้างหลัง
-จากนั้นให้เข้าสู่ท่าสควอช(Aquat) และ กลับสู่ท่าหมอบใน STEP1
ทำท่านี้สลับกันไป โดยเริ่มจากจังหวะช้าๆก่อน หากรู้สึกว่าเบาไปให้ทำให้เร็ว และ ถี่มากยิ่งขึ้น
ท่าที่ 5 - Jogging in place

หลังจากที่เราทั้งหมอบ ทั้งกระโดดไปแล้ว เราจะไปที่ท่าเบาๆเพื่อเป็นการผ่อนการหายใจบ้าง ท่านี้เป็นท่าเบสิกที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเต้นของหัวใจได้ดี ท่านี้จะเป็นท่าที่เหมือนเราวิ่งอยู่กับที่ แต่จะอาศัยการแกว่งแขนร่วมด้วย ทำให้สามารถเบิร์นได้ทั้งแขน และ ขา
-ให้เราวิ่งอยู่กับที่ โดยพยายามวิ่งเบาๆให้ผ่อนคลาย แต่ให้ใช้การยกขาสูงๆเพื่อเพิ่มความเหนื่อยแทน
-ในขณะที่วิ่งให้ทำการแกว่งแขนสูงๆร่วมไปด้วย จะยิ่งทำให้เบิร์นได้มากขึ้น
หากทำแล้วรู้สึกว่าเบาไป ให้วิ่งให้ถี่มากยิ่งขึ้น ยกขา และ แกว่งแขน ให้สูงมากขึ้น จะยิ่งช่วยเบิร์นไขมันได้ดี
ท่าที่ 6 - Screamer Lunges

ท่าสุดท้ายนี้เราจะจบกันด้วยท่าเบาๆ ไม่หนักมาก เป็นท่าคล้ายๆกับท่าวิ่งของนักกีฬา หรือ ท่าเดินของตัวการ์ตูนมาริโอ้นั้นเอง เป็นท่าที่จะช่วยในการเบิร์นไขมันช่วงล่าง โดยเฉพาะขา ให้เริ่มทำช้าๆก่อน จากนั้นค่อยเพิ่มความเร็วขึ้น จังหวะย่อกระโดดให้ทำการสลับขา ยิ่งย่อเยอะก็ยิ่งเบิร์นได้ดี
-ให้ยืนตัวตรงแยกขาให้พอดีกับหัวไหล่ จากนั้นให้กระโดดดันขาข้างหนึ่งไปข้างหน้าแล้วย่อตัวลง โดยให้หัวเข่าตั้งฉากกับพื้น
-จากนั้นสลับขากัน จังหวะกระโดดขาหลังหัวเข่าจะต้องลงไปกับพื้น และ ดันตัวขึ้นเมื่อต้องสลับขา
ให้เราทำท่าทั้งหมดอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาที โดยเฉลี่ยแล้วจะต้องทำท่าละ 5 นาที หรือ ใครอยากจะแบ่งเป็นอย่างละ 2 เซต เซตละประมาณ 2.30 นาทีก็ได้ นั้นก็คือ จะต้องทำ 6 ท่าวนไปให้ครบท่าละ 2 เซตนั้นเอง
 
ควรทำ ท่าคาร์ดิโอ ประมาณไหนถึงจะดี?
Q : ทำท่าคาร์ดิโอประมาณไหนถึงจะดี?
A : หากคุณเป็นมือใหม่ หรือ พึ่งจะเริ่มทำ ขอแนะนำให้เริ่มทำอาทิตย์ละ 150 นาที อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน เช่น ทำ 5 วันเว้นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เฉลี่ยสาวๆต้องออก 30 นาทีต่อวัน
อย่างที่เราบอกได้บอกสาวๆไปข้างต้นว่าการออกแบบ LISS ต้องอาศัยความต่อเนื่องของเวลา
-สาวๆคนไหนอยากจะหุ่นดี หุ่นเป๊ะ ต้องหมั่นออกกำลังอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
-ถ้ารู้สึกว่าอยากจะเบิร์นเพิ่ม อาจจะเพิ่มเวลาต่ออาทิตย์ขึ้นเป็นอย่างน้อย 180 นาที
-แต่อย่าลืมประเมินความพร้อมในการออกกำลังของตัวเอง และ อย่าหักโหมมากจนเกินไปด้วยนะ
-หากใครที่ออกมาสักพักแล้วน้ำหนักคงที่ไม่ลดลงกว่านี้ ให้ลองเพิ่มระดับความหนักในคาร์ดิโอขึ้นในระดับที่ตนเองไหว
 
ไอเทม(ไม่)ลับสำหรับสาวๆที่ออกกำลังกาย

สาวๆเคยไหมคะที่บางครั้งเวลาเราออกกำลังกาย รู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หายใจหอบ หรือ หายใจถี่เกินไป บางครั้งก็รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอกร่วมด้วย เราก็เป็นคนหนึ่งที่เจอกับปัญหานั้นอยู่ค่ะ จากประสบการณ์ของเรา ที่เราพยายามลองหาวิธีอยู่หลายอย่าง โดยส่วนตัวเราไม่ใช่คนที่ออกกำลังกายหนักๆมากนัก เพราะเรารู้สึกเหนื่อยง่าย ยิ่งอายุมากขึ้นออกกำลังนิดเดียวก็หอบแล้ว เราจึงได้ไปศึกษาพบว่า ที่ร่างกายของเราเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หรือ เจ็บปวดกล้ามเนื้อเวลาออกกำลังกาย สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะเราขาดเจ้าสารที่ชื่อว่า โคคิวเท็น (CoQ10) ซึ่งเป็นสารอาหารที่ร่างกายของเราสังเคราะห์เพื่อช่วยในการสร้างพลังงานให้กับร่างกาย ยิ่งอายุมากขึ้นโคคิวเท็นในร่างกายจะยิ่งลดน้อยลง ไม่เพียงเท่านั้นยิ่งเราเผาผลาญพลังงานเยอะขึ้น , การมีความเครียด หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง รวมถึงการรับประทานยาลดไขมันบางชนิดก็จะไปลดการสร้างโคคิวเท็นในร่างกายเราด้วย
หากเราออกกำลังกายเป็นประจำ ก็ยิ่งควรที่จะได้รับโคคิวเท็นให้เพียงพอ ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีโคคิวเท็นสูงๆ เช่น ปลาซาร์ดีน ผักโขม เนื้อไก่ เนื้อแดง เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ แต่ถ้าสาวๆ ยังกลัวว่าจะได้รับโคคิวเท็นไม่เพียงพอ ก็สามารถหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีโคคิวเท็นมารับประทานเสริมกันได้ง่ายๆ
ซึ่งส่วนตัวเราเองมีทริคในการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทโคคิวเท็น โดยจะสังเกตว่าเป็นโคคิวเท็นชนิดไหนก่อนที่จะซื้อ เพราะส่วนมากโคคิวเท็นที่มีขายกันจะเป็นชนิด "ยูบิควิโนน" (Ubiquinone) ซึ่งเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะต้องรอการเปลี่ยนฟอร์มก่อน ถึงจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้ แต่เดี๋ยวนี้มีการพัฒนาโคคิวเท็นออกมาในรูปแบบใหม่เรียกว่า "ยูบิควินอล" (Ubiquinol) ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันทีเมื่อรับประทาน และยังสามารถดูดซึมได้ดีกว่าชนิดเดิม 3-8 เท่าเลยทีเดียว
ดังนั้น เวลาเลือกซื้อโคคิวเท็น "เราจะมองหาโคคิวเท็น ชนิดยูบิควินอลเสมอ" เพราะเมื่อรับประทานแล้วร่างกายจะดูดซึมไปใช้ได้ทันที และมีประสิทธิภาพดีกว่าโคคิวเท็นชนิดยูบิควิโนน
หากสาวๆคนไหนที่เวลาออกกำลังกายแล้วรู้สึกเหมือนเรา นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายของคุณต้องการโคคิวเท็น อ๋อลืมบอกไป นอกจากเรื่องการออกกำลังกายแล้ว โคคิวเท็นยังช่วยให้ผิวพรรณของเราสดใสเปล่งปลั่งได้อีกด้วยนะคะ
 
 
อย่าพลาดบทความจาก Sistalk
สำหรับสาวๆที่ไม่อยากพลาดข้อมูล ข่าวสารดีๆ ที่เป็นประโยชน์ เคล็ดลับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ แฟชั่น เทรนด์ฮิตต่างๆ รวมไปถึงเรื่องของความรัก ที่เราขนมาให้คุณแบบจัดเต็ม อย่าพลาดเรื่องราวดีๆที่เรานำมาให้คุณ แล้วคุณจะไม่ตกเทรนด์กับเรา ใครไม่ทอล์ก Sistalk นะสาวๆ!!!
 
 
สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH
 


213

สวัสดีค่าสาวๆ สำหรับผู้หญิงเราในทุกๆเดือน ในบางครั้งเราต้องเจอกับปัญหาในเรื่องของการปวดท้องประจำเดือน หรือ ที่เราเรียกกันว่าปวดท้องเมนส์นั้นเอง การปวดจะมีหลายระดับขึ้นอยู่กับแต่ละคน ตั้งแต่ไม่มีอาการปวดเลย จนถึงการปวดท้องมากๆ ทำให้หลายๆคนถึงขนาดนอนซมได้เลยนะ และ ยังทำให้สาวๆอย่างเรามีอาการปวดหลัง ปวดเอว ร่วมด้วย การปวดท้องเมนส์ทำให้การใช้ชีวิตของเราสะดุดไปได้ง่ายๆเลยนะ เพื่อนๆเคยไหม? เวลาปวดท้องไม่อยากจะทำอะไรเลย รู้สึกไม่สบายตัวอยากจะอยู่เฉยๆ แต่บางครั้งเราก็ต้องทำงาน เรียน หรือ ทำกิจกรรมต่างๆ แม้จะปวดท้องแค่ไหนแต่ก็ต้องทำ นั้นทำให้เราต้องมี " ยาแก้ปวดท้องเมนส์ " ตัวช่วยสำคัญที่แม้ว่าประจำเดือนจะมาก็ไม่หวั่น!!!
ปวดท้องเมนส์ต้องแก้ปวดอย่างไร?
เคยสงสัยกันไหมว่าไอ้เจ้าอาการปวดท้องเมนส์มันคืออะไร และ เกิดขึ้นได้อย่างไร เพื่อนๆบางคนอาจจะสับสนระหว่างปวดท้องเมนส์ หรือ การปวดท้องอื่นๆ ทำให้แยกไม่ออกว่าสรุปแล้วปวดท้องอะไรกันแน่!!!
อาการปวดท้องเมนส์เป็นการปวดบริเวณท้องน้อย ปวดหน่วงๆบริเวณอุ้งเชิงกราน จนไปถึงปวดท้องอย่างรุนแรงที่เกิดจากการหดตัว และ เกร็งตัวของมดลูกขณะมีประจำเดือน อาจทำให้สาวๆอย่างเรามีอารมณ์แปรปรวน ปวดหลัง ปวดหน้าขาร่วมด้วย การปวดท้องเมนส์หากเป็น การปวดแบบทั่วไป เราสามารถรักษาได้ด้วยการประคบถุงน้ำร้อน การพักผ่อน และ การทานยาแก้ปวดท้องประจำเดือน แต่ก็มีสาวๆหลายคนมักเลือกทานยาแก้ปวดลดไข้ทั่วไป อย่างยาพารา สาวๆสามารถทานได้เหมือนกันแต่จะให้ผลที่ไม่เท่ากับยาแก้ปวดท้องประจำเดือนโดยเฉพาะนั้นเอง
-การทานยาที่มีฤทธิ์ในการแก้ปวดประจำเดือนจะสามารถระงับปวดได้ดี
-สามารถช่วยลดปริมาณเลือดที่เสียไประหว่างรอบเดือนได้ดีกว่า
-สะดวกต่อการทานมากกว่า ยาบางตัวทานแค่วันละเม็ดก็เอาอยู่ทั้งวัน ไม่เหมือนพวกยาพาราที่ต้องทานตลอดเพื่อระงับปวด
แต่ถ้าหากยังมีอาการ ปวดมากกว่าปกติ ขอแนะนำให้สาวๆไปพบแพทย์เพื่อตรวจ และ ทำการรักษา ไม่อย่างงั้นอาจจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้
 
กินยาแก้ปวดท้องเมนส์ แล้วอันตรายไหม?
ไม่ว่าเราจะทานอาหาร หรือ ยา การทานที่มากจนเกินไปนั้น ส่งผลต่อสุขภาพของเราได้ ยาทุกตัวมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สาวๆอย่างเรามักจะทานยาแก้ปวดท้องเมนส์บ่อยๆ ไม่ว่าจะปวดมาก ปวดน้อยก็ตาม ยาแก้ปวดท้องเมนส์สามารถทานได้ หากทานอย่างพอดี โดยเฉพาะยาแก้ปวดกลุ่มเดิมๆ ไม่ควรจะทานติดต่อกันนานเกิน 7 วัน หรือ มากกว่า 3 ครั้งต่อวัน เพราะ จะทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหารได้ ปวดหัวง่าย ร่างกายอ่อนเพลีย จนไปถึงขั้นร้ายแรง อย่างหัวใจล้มเหลว
Q : สาวๆอาจจะมีข้อสงสัยว่า แล้วปวดแค่ไหนถึงจะกินยาได้นะ?
A : การทานยาแก้ปวดท้องเมนส์ สามารถทานได้ตั้งแต่ปวดน้อยๆ ไปจนถึงปวดท้องมากๆ
แต่กรณีที่ปวดน้อยๆ อาจจะทานแค่พาราเซตามอลก็เอาอยู่ แต่ถ้าเอาไม่อยู่ก็ต้องเลือกเป็นกลุ่มยาที่มีฤทธิ์แก้ปวดโดยเฉพาะนะ
 
รีวิวยาแก้ปวดท้องเมนส์ ตัวไหนดีตัวไหนเด่น?
หากพูดถึงยาแก้ปวดท้องเมนส์ สาวๆหลายคนก็คงจะคุ้นเคยกับยาบางชนิดมาบ้างแล้ว หรือ บางคนอาจจะไม่รู้ว่ายาแก้ปวดท้องเมนส์มีตัวอื่นๆด้วย วันนี้เราเลยจะมารีวิวยาแก้ปวดท้องเมนส์ยอดฮิต ว่าตัวไหนมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง และ ตัวไหนสาวๆควรมีติดกระเป๋าเอาไว้
Q : ปวดท้องประจำเดือนจังเลย มียาตัวไหนแนะนำให้ได้บ้างไหม (T^T)
A : เราอยากแนะนำยาแก้ปวดท้องเมนส์ 5 ตัวยอดฮิต ว่าตัวไหนเหมาะกับสาวๆไลฟ์สไตล์ไหนบ้าง
 
Ponstan

สาวๆหลายคนคงจะคุ้นเคยกับเจ้ายาตัวนี้ดี พอนสแตนเป็นยาแผงสีเหลือง เม็ดยาเป็นทรงรีสีเหลือง มีปริมาณตัวยาอยู่ 500 mg / เม็ด ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับยาตัวอื่นๆ เป็นยาที่ทานครั้งละ 1 เม็ด และ วันหนึ่งไม่ควรทานเกิน 3 เม็ดต่อวัน
-พอนสแตนเป็นยาที่สามารถใช้ได้กับอาการปวดน้อยๆ ตั้งแต่ปวดทั่วไปจนไปถึงอาการปวดกลางๆ อย่างเช่น การปวดที่มาจากการผ่าตัด รวมไปถึงการปวดประจำเดือนด้วย
-ตัวยานี้จะใช้เวลาในการออกฤทธิ์ประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมง และ สามารถบรรเทาอาการปวดได้ยาวนานถึง 6 ชั่วโมง
-แต่ในการทานต้องระวังให้ดี เนื่องจากเป็นยาที่มีฤทธิ์ในการแก้ปวด ขณะเดียวกันก็ระคายเคืองกระเพาะอาหารด้วย ดังนั้นควรจะกินพอสแตนพร้อมกับอาหารและดื่มน้ำตามเยอะๆ ไม่อย่างงั้นยาอาจจะไปกัดกระเพาะของคุณได้
พอนแสตนถือว่าเป็นยาที่สาวๆสามารถหาซื้อได้ง่าย สามารถซื้อได้ที่ร้านค้า ร้านขายยา และ ร้านขายยาตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ในราคาเพียงแค่ 50 บาท* เท่านั้น (ราคาขึ้นอยู่กับร้านค้าที่จำหน่าย) ทำให้ยาตัวนี้นับว่าเป็นยาติดกระเป๋าสำหรับหลายคนเลย
เหมาะกับสาวๆ - ปวดท้องกลางๆ อยากได้ยาที่หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก แก้ปวดได้ดี ต้องตัวนี้เลย!!!
Gofen

มาที่ตัวที่สอง ยาตัวนี้เป็นยากล่องสีฟ้า ตัวยาจะเป็นเม็ดแคปซูลนิ่มๆ มีปริมาณตัวยาอยู่ 400 mg / เม็ด ใช้ทานครั้งละ 1 เม็ด และ วันหนึ่งไม่ควรทานเกินวันละ 3 เม็ด สามารถทานได้ทุก 4-6 ชั่วโมง
-โกเฟนเป็นยาแก้ปวดสารพัด สาวๆสามารถทานได้ตั้งแต่ปวดน้อยจนถึงปวดกลางๆ ไม่ว่าจะ ปวดฟัน ปวดไมเกรน หรือ ปวดประจำเดือน
-สามารถทานได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กที่อายุ 12 ปีขึ้นไป
-แม้โกเฟนจะเป็นเม็ดแคปซูลนิ่มๆ แต่สาวๆก็อย่าเผลอกัดไปล่ะ เพราะ ยาตัวนี้ออกฤทธิ์แรง
-การทานยาตัวนี้ควรทานยาพร้อมกับอาหารทันที ตัวยาจะใช้เวลาในการออกฤทธิ์ประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมง
เป็นยาที่กินได้ง่ายเนื่องจากเป็นแคปซูลนิ่มๆ หาซื้อได้ไม่ยากส่วนใหญ่จะจำหน่ายในร้านขายยา และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ในราคา 125 บาท* (ราคาขึ้นอยู่กับร้านค้าที่จำหน่าย) โกเฟนถือว่าเป็นยาที่หลายๆคนยกให้เป็นยาสามารถประจำบ้านสำหรับผู้หญิงที่ต้องมีติดบ้านไว้
เหมาะกับสาวๆ - ที่กินยายาก โกเฟนเป็นยารูปแบบแคปซูลนิ่มๆ ทำให้กินได้ง่ายและแก้ปวดท้องได้ดี
Nurofen

มาถึงยาตัวที่สาม นิวโรเฟนเป็นยาแผงสีเทา เม็ดสีขาว มีปริมาณตัวยาอยู่ 400 mg / เม็ด เป็นยาที่ใช้ทานครั้งละ 1 เม็ด วันหนึ่งไม่ควรทานเกินวันละ 3 เม็ด
-เป็นยาที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่ปวดน้อยๆ จนถึงปวดกลางๆและสามารถลดไข้ได้อีกด้วย
-เป็นยาที่ออกฤทธิ์แรง สามารถทานได้ทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ไม่ควรทานติดต่อกันเกิน 10 วัน
-เวลาทานต้องทานพร้อมกับอาหารทันที เพราะ มีความระคายเคืองกระเพาะอาหารสูง
-ยาตัวนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร และ ยังเป็นยาที่ควรทานตามแพทย์สั่งเท่านั้น เพราะอาจจะส่งผลข้างเคียงอื่นได้ๆ
เป็นยาที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยา ในราคาแผงละ 290 บาท* (ราคาขึ้นอยู่กับร้านค้าที่จำหน่าย) ถึงแม้จะมีการระคายเคืองกระเพาะอาหารแต่ก็สามารถระงับปวดได้ดี ทำให้สาวๆหลายคนเลือกทานยาตัวนี้
เหมาะกับสาวๆ - มีการปวดท้องร่วมกับไข้ แต่ก็ควรได้รับคำแนะนำในการทานยาด้วยนะ
Naproxen

ยาตัวนี้เป็นยากล่องสีขาว เม็ดสีเหลือง ปริมาณตัวยาอยู่ 500 mg / เม็ด เป็นยาที่ใช้ทานครั้งละ 1 เม็ด วันหนึ่งไม่ควรทานเกินวันละ 2 เม็ด สามารถทานได้ทุก 6-8 ชั่วโมง
-สามารถบรรเทาอาการปวดน้อยๆไปจนถึงปวดมาก รวมทั้งการปวดประจำเดือนด้วย
-เป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็วมาก ทำให้ควรทานในกรณีที่ปวดทันที
-เป็นยาที่ออกฤทธิ์แรงอีกตัว ควรทานพร้อมอาหาร หรือ ทานหลังอาหารทันที
-ยาตัวนี้มีผลข้างเคียงหลายอย่างเป็นยาที่ไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็น โรคหัวใจ โรคซึมเศร้า หอบหืด
-เนื่องจากมีผลข้างเคียงการทานยาควรจะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ในการทาน
ถือว่าเป็นยาที่ราคาต่อกล่องที่ค่อนข้างสูง สามารถซื้อได้ที่ร้านขายยา  หรือ ควรได้รับคำแนะนำจากเภสัชในการทาน ซึ่งราคาอยู่ที่กล่องละ 650 บาท ต่อ 500 เม็ด* (ราคาขึ้นอยู่กับร้านค้าที่จำหน่าย) สำหรับสาวๆคนไหนที่ปวดท้องมากๆ หรือ จำเป็นจะต้องไปทำงาน เรียนต่อ ทำกิจกรรมอื่นๆ ยาตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานแบบทันทีค่อนข้างมาก ถือว่าเป็นยาอีกหนึ่งตัวที่ยอดฮิต แต่ต้องระวังการใช้ยาให้ดี
เหมาะกับสาวๆ - ปวดท้องแบบทันทีทันใด อยู่ดีๆก็ปวด ยาตัวนี้สามารถแก้ปวดได้ทันที แต่ก็มีควรระวังในการทานนะ
Nosmen

มากันที่ยาตัวสุดท้าย นอสเมนเป็นยากล่องสีแดง มีปริมาณตัวยาอยู่ 120 mg / เม็ด ยาออกฤทธิ์ค่อนข้างเร็วไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ลดปวดได้แล้ว
-นอสเมนเป็นยาแก้ปวดที่ใช้ได้ตั้งแต่การปวดน้อยๆจนไปถึงการปวดกลางๆ
-ยาตัวนี้เป็นสูตรที่พัฒนาจากยากลุ่มแก้ปวดตัวเดิม ทำให้มีการระคายเคืองกระเพาะอาหารน้อยลง เมื่อเทียบกับยาแก้ปวดอื่นๆ ที่เป็นกลุ่มยาแก้ปวดท้องเมนส์แบบเดิม
-สามารถทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ไม่ต้องกินพร้อมกับอาหารเหมือนยาตัวอื่นๆ โดยให้ทานครั้งละ 1 เม็ด เริ่มกินตั้งแต่วันแรกที่มีประจำเดือน
-เป็นตัวยาที่ออกฤทธิ์นานถึง 24 ชั่วโมง ทำให้สะดวกต่อการใช้ในชีวิตประจำวันมาก เพราะแค่เม็ดเดียวก็เอาอยู่ทั้งวัน
เป็นยายอดฮิตอีกตัวที่สาวๆเลือกทานกัน สามารถซื้อได้ตามร้านขายยา ทั่วไป ในราคาแผงละ 170 บาท* (ราคาขึ้นอยู่กับร้านค้าที่จำหน่าย) ด้วยตัวยาที่ไม่แรงจนเกินไป แก้ปวดได้นานถึง 24 ชั่วโมง ถือว่าเป็นยาที่สาวๆควรพกติดกระเป๋าเอาไว้เลยช่วงมีประจำเดือนอีกชิ้นเลยทีเดียว
เหมาะกับสาวๆ - ที่ไม่ชอบทานยาอย่างเรามากๆ แค่เม็ดเดียวก็เอาอยู่ ไม่ต้องทานหลายเม็ดให้ยุ่งยาก อีกทั้งยังสามารถทานตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องทานอะไรลองท้อง ใครที่ชอบความง่าย สะดวก ต้องยาตัวนี้เลย

ข้อควรระวังในการทานยา
-ไม่ควรทานยาเกินจำนวนที่กำหนดไว้ ยิ่งยามีฤทธิ์แรงก็ยิ่งควรทานในปริมาณที่กำหนด เพื่อป้องกันการกัดกระเพาะ
-ทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที ยาแก้ปวดประจำเดือนส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์แรง ทำให้ไม่ควรทานเปล่าๆโดยไม่ทานอาหาร
-ควรศึกษาตัวยาก่อนทาน ยาบางตัวมีผลข้างเคียงโดยเฉพาะกับคนที่มีโรคประจำตัว ดังนั้นจึงควรศึกษาให้ดีก่อนทาน
-เลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับตนเอง หากปวดน้อยอาจจะเลือกใช้ยาที่มีฤทธิ์ไม่แรงมาก หรือ หากต้องการบรรเทาอาการปวดทันทีก็ให้เลือกยาที่ออกฤทธิ์เร็วหน่อย
 
 
บอกเล่าเรื่องราวดี กับ Sistalk กันนะพส!!!
สำหรับสาวๆที่ไม่อยากพลาดข้อมูล ข่าวสารดีๆ ที่เป็นประโยชน์ เคล็ดลับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ แฟชั่น เทรนด์ฮิตต่างๆ รวมไปถึงเรื่องของความรัก ที่เราขนมาให้คุณแบบจัดเต็ม อย่าพลาดเรื่องราวดีๆที่เรานำมาให้กันนะพส!!!
 
 
สามารถติดต่อสอบถาม Sistalk ช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : sistalk.in.th
Instagram : sistalk.in.th
Twitter : @SistalkTH


214

สำหรับใครที่จะซื้อ กล้องGoPro แต่ไม่ต้องการจ่ายรวดเดียว อยากผ่อนแต่ไม่มีบัตรเครดิต แล้วจะสามารถใช้วิธีอื่นๆได้หรือไม่ในการ ผ่อน GoPro ไม่ใช้บัตร ขอแนะนำวิธีผ่อนสินค้าด้วย SPayLater ที่จะช่วยให้คุณสามารถช็อปสินค้าที่คุณต้องการได้ เสมือนใช้บัตรเครดิต แต่ง่ายกว่านั้น มารู้จักเจ้า SPayLater กันดีกว่า
SPayLater คืออะไร?

เป็นการผ่อนชำระเป็นบนแอพพลิเคชั่น Shopee ซื้อสินค้าได้ก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินทีหลัง เป็นระบบโดนตรง ที่มีอยู่บนแอพพลิเคชั่น Shopee การผ่อนเพื่อชำระสินค้าจะผ่านตัวกลางที่เป็นระบบ Official ของแอพโดนตรงทำให้มั่นใจว่าจะปลอดภัยแน่นอน
-เลือกซื้อก่อนจ่ายเงินทีหลัง (หลังจากซื้อสินค้าแล้ว 1 เดือน)
-เลือกเป็นการผ่อนชำระเป็นเดือนๆไป ในกรณีวงเงินไม่เกิน 15,000 บาท* สูงสุด 3 เดือน (คุณสามารถขอเพิ่มวงเงินได้ภายหลัง)
เงื่อนไขในการใช้งาน

ซึ่งคุณสามารถสมัครได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้หลักประกันใดๆ เหมือนการผ่อนผ่านบัตรเครดิต แต่มีเงื่อนไขในการใช้งานนั้นก็คือ คุณจะต้องมี
-มีบัญชี Shopee และ บัญชี AirPay
-มีสัญชาติไทย
-มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
-มีเอกสารแสดงรายได้ เช่น สลิปเงินเดือน , รายการเดินบัญชี , แผนธุรกิจ (ซึ่งจะใช้สำหรับการขอวงเงินในการผ่อนชำระ)
ค่าธรรมเนียมในการผ่อน
สำหรับใครที่กังวลว่าแล้วดอกเบี้ยในการผ่อนชำระเป็นอย่างไร สำหรับการผ่อนชำระแบบ 3 เดือน ซึ่งสามารถเลือกเวลาในการผ่อนชำระได้ทั้ง 1 เดือน 2 เดือน และ 3 เดือน จะมีอัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก และ อัตราดอกเบี้ยไม่เกินอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารกำหนด) แต่ในกรณีที่ทำผิดเงื่อนไขของระบบ
-กรณีที่ผิดนัดในการผ่อนชำระ จะต้องเสียดอกเบี้ยรวมสูงสุดไม่เกิน 2.05% ต่อเดือน หรือ 25% ต่อปี
-เสียค่าในการติดตามการ่อนชำระ 100 บาท / รอบ
วิธีในการสมัครการ ผ่อน GoPro ไม่ใช้บัตร ต้องทำอย่างไรบ้าง?
ทำการดาวน์โหลดแอพShopee ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นให้เข้าไปที่แอพพลิเคชั่น แล้วทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้แบบ STEP BY STEP รับรองว่าง่ายไม่ยาก
STEP1

ไปที่หน้าของฉัน > เลือกที่ My SPayLater > เลือกที่สมัครเลย
STEP2

จากนั้นจะต้องยืนยันตัวเอง โดยกดที่เริ่มการเชื่อมโยง จากนั้นให้ใส่ Payment Passcode
STEP3

จากนั้นให้ใส่รายละเอียดต่างๆไม่ว่าจะเป็นรายได้ ข้อมูลติดต่อต่างๆ รวมทั้งหลักฐานรายได้อื่นๆ > เมื่อใส่ข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ให้กดตกลง
STEP4

จากนั้นระบบจะให้ทำการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า และ จากนั้นจะมีเลข OTP ส่งไปที่เบอร์โทรศัพท์ของเราที่เราได้ใส่ข้อมูลเอาไว้ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
STEP5

จากนั้นระบบจะให้เลือกวันครบกำหนดชำระ จากนั้นจะแสดงเครดิตที่เราสามารถใช้ผ่อนได้ต่อเดือน เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็ให้รอการอนุมัติภายใน 1 วัน

ผ่อนกล้องกับร้าน AquaPro ต้องทำอย่างไรบ้าง?

ไปหน้าร้านค้าเลือกสินค้าที่ต้องการผ่อนชำระ โดยสินค้าควรจะอยู่วงเงินที่เรามีเครดิต กดเพิ่มสินค้าที่เราต้องการ จากนั้นจะขึ้น SPayLater ให้เราเลือกระยะเวลาในการผ่อนชำระ ซึ่งราคาที่เราต้องผ่อนต่อเดือนจะถูกกำหนดมาโดยระบบ และกดซื้อสินค้า เพียงเท่านี้ก็สามารถเลือกผ่อนสินค้าได้แล้ว
-1 เดือน
-2 เดือน
-3 เดือน
วิธีนี้เหมาะกับใคร?
วิธีสามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้เอกสารเยอะๆ อีกทั้งยังสามารถทำได้บนแอพพลิเคชั่นได้เลย ใช้เวลาเพียงแค่ไม่นานก็สามารถสมัครเสร็จเรียบร้อย และ ใช้เวลาในการอนุมัติเพียงแค่ 1 วันเท่านั้นก็สามารถใช้งานระบบนี้ได้แล้ว เรียกได้ว่าถูกใจทั้งผู้ขาย ที่สามารถขายสินค้าให้กับลูกค้าได้ และ ผู้ซื้อ ที่ต้องการผ่อนชำระเป็นงวดๆไป วิธีนี้เหมาะสำหรับ
-คนที่เริ่มต้นมีรายได้แต่ยังไม่มีบัตรเครดิต
เลือกซื้อGoPro เลือกร้านAquaPro
-มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย เลือกไม่ไหวจะเป็นสายไหนก็ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น กล้องGoPro , แบตเตอรี่ , ไม้เซลฟี่ ขาตั้ง , เคสกันน้ำ และ สินค้าอื่นๆ
-โปรโมชั่นเด็ดโดนใจทุกเซต จัดเซตกล้อง GoPro และ อุปกรณ์สุดคุ้ม ให้คุณได้ช็อปทุกเทศกาล
-ของแถมจุใจจัดเต็มตลอด เรียกได้ว่าเกินคุ้ม ใครที่ชอบของแถมต้องร้านของเราเลย
-โปรจัดส่งฟรี* ส่งเร็ว เก็บค่าส่งไว้ช็อปต่อให้หนำใจ (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ร้านกำหนด)
-โปรผ่อน 0%  นาน 10 เดือน (เฉพาะบัตรที่เข้าร่วมรายการเท่านั้น)
-มีสินค้าพร้อมส่ง ไม่ต้องรอพรีให้เสียเวลา ทันใช้แน่นอน
-มีบริการหลังการขายตลอด สำหรับสินค้าที่ชำรุด สามารถเข้ามาเปลี่ยนสินค้าใหม่ได้เลยภายใน 7 วัน
-ซื้อสินค้าได้ง่ายบนช่องทางออนไลน์ที่หลากหลาย สั่งซื้อของสบายๆที่บ้าน ไม่ต้องเดินทางให้เหนื่อย
-สามารถออกใบกำกับภาษีได้ ใครที่ต้องการเอกสารประกอบสามารถแจ้งกับที่ร้านได้เลย
"นึกจะซื้อ GoPro นึกถึงร้าน AquaPro ทั้งครบ ทั้งคุ้ม"

ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


215

สำหรับใครที่จะซื้อ กล้องGoPro แต่ไม่ต้องการจ่ายรวดเดียว อยากผ่อนแต่ไม่มีบัตรเครดิต แล้วจะสามารถใช้วิธีอื่นๆได้หรือไม่ในการ ผ่อน GoPro ไม่ใช้บัตร ขอแนะนำวิธีผ่อนสินค้าด้วย SPayLater ที่จะช่วยให้คุณสามารถช็อปสินค้าที่คุณต้องการได้ เสมือนใช้บัตรเครดิต แต่ง่ายกว่านั้น มารู้จักเจ้า SPayLater กันดีกว่า
SPayLater คืออะไร?

เป็นการผ่อนชำระเป็นบนแอพพลิเคชั่น Shopee ซื้อสินค้าได้ก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินทีหลัง เป็นระบบโดนตรง ที่มีอยู่บนแอพพลิเคชั่น Shopee การผ่อนเพื่อชำระสินค้าจะผ่านตัวกลางที่เป็นระบบ Official ของแอพโดนตรงทำให้มั่นใจว่าจะปลอดภัยแน่นอน
-เลือกซื้อก่อนจ่ายเงินทีหลัง (หลังจากซื้อสินค้าแล้ว 1 เดือน)
-เลือกเป็นการผ่อนชำระเป็นเดือนๆไป ในกรณีวงเงินไม่เกิน 15,000 บาท* สูงสุด 3 เดือน (คุณสามารถขอเพิ่มวงเงินได้ภายหลัง)
เงื่อนไขในการใช้งาน

ซึ่งคุณสามารถสมัครได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้หลักประกันใดๆ เหมือนการผ่อนผ่านบัตรเครดิต แต่มีเงื่อนไขในการใช้งานนั้นก็คือ คุณจะต้องมี
-มีบัญชี Shopee และ บัญชี AirPay
-มีสัญชาติไทย
-มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
-มีเอกสารแสดงรายได้ เช่น สลิปเงินเดือน , รายการเดินบัญชี , แผนธุรกิจ (ซึ่งจะใช้สำหรับการขอวงเงินในการผ่อนชำระ)
ค่าธรรมเนียมในการผ่อน
สำหรับใครที่กังวลว่าแล้วดอกเบี้ยในการผ่อนชำระเป็นอย่างไร สำหรับการผ่อนชำระแบบ 3 เดือน ซึ่งสามารถเลือกเวลาในการผ่อนชำระได้ทั้ง 1 เดือน 2 เดือน และ 3 เดือน จะมีอัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก และ อัตราดอกเบี้ยไม่เกินอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารกำหนด) แต่ในกรณีที่ทำผิดเงื่อนไขของระบบ
-กรณีที่ผิดนัดในการผ่อนชำระ จะต้องเสียดอกเบี้ยรวมสูงสุดไม่เกิน 2.05% ต่อเดือน หรือ 25% ต่อปี
-เสียค่าในการติดตามการ่อนชำระ 100 บาท / รอบ
วิธีในการสมัครการ ผ่อน GoPro ไม่ใช้บัตร ต้องทำอย่างไรบ้าง?
ทำการดาวน์โหลดแอพShopee ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นให้เข้าไปที่แอพพลิเคชั่น แล้วทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้แบบ STEP BY STEP รับรองว่าง่ายไม่ยาก
STEP1

ไปที่หน้าของฉัน > เลือกที่ My SPayLater > เลือกที่สมัครเลย
STEP2

จากนั้นจะต้องยืนยันตัวเอง โดยกดที่เริ่มการเชื่อมโยง จากนั้นให้ใส่ Payment Passcode
STEP3

จากนั้นให้ใส่รายละเอียดต่างๆไม่ว่าจะเป็นรายได้ ข้อมูลติดต่อต่างๆ รวมทั้งหลักฐานรายได้อื่นๆ > เมื่อใส่ข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ให้กดตกลง
STEP4

จากนั้นระบบจะให้ทำการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า และ จากนั้นจะมีเลข OTP ส่งไปที่เบอร์โทรศัพท์ของเราที่เราได้ใส่ข้อมูลเอาไว้ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
STEP5

จากนั้นระบบจะให้เลือกวันครบกำหนดชำระ จากนั้นจะแสดงเครดิตที่เราสามารถใช้ผ่อนได้ต่อเดือน เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็ให้รอการอนุมัติภายใน 1 วัน

ผ่อนกล้องกับร้าน AquaPro ต้องทำอย่างไรบ้าง?

ไปหน้าร้านค้าเลือกสินค้าที่ต้องการผ่อนชำระ โดยสินค้าควรจะอยู่วงเงินที่เรามีเครดิต กดเพิ่มสินค้าที่เราต้องการ จากนั้นจะขึ้น SPayLater ให้เราเลือกระยะเวลาในการผ่อนชำระ ซึ่งราคาที่เราต้องผ่อนต่อเดือนจะถูกกำหนดมาโดยระบบ และกดซื้อสินค้า เพียงเท่านี้ก็สามารถเลือกผ่อนสินค้าได้แล้ว
-1 เดือน
-2 เดือน
-3 เดือน
วิธีนี้เหมาะกับใคร?
วิธีสามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้เอกสารเยอะๆ อีกทั้งยังสามารถทำได้บนแอพพลิเคชั่นได้เลย ใช้เวลาเพียงแค่ไม่นานก็สามารถสมัครเสร็จเรียบร้อย และ ใช้เวลาในการอนุมัติเพียงแค่ 1 วันเท่านั้นก็สามารถใช้งานระบบนี้ได้แล้ว เรียกได้ว่าถูกใจทั้งผู้ขาย ที่สามารถขายสินค้าให้กับลูกค้าได้ และ ผู้ซื้อ ที่ต้องการผ่อนชำระเป็นงวดๆไป วิธีนี้เหมาะสำหรับ
-คนที่เริ่มต้นมีรายได้แต่ยังไม่มีบัตรเครดิต
เลือกซื้อGoPro เลือกร้านAquaPro
-มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย เลือกไม่ไหวจะเป็นสายไหนก็ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น กล้องGoPro , แบตเตอรี่ , ไม้เซลฟี่ ขาตั้ง , เคสกันน้ำ และ สินค้าอื่นๆ
-โปรโมชั่นเด็ดโดนใจทุกเซต จัดเซตกล้อง GoPro และ อุปกรณ์สุดคุ้ม ให้คุณได้ช็อปทุกเทศกาล
-ของแถมจุใจจัดเต็มตลอด เรียกได้ว่าเกินคุ้ม ใครที่ชอบของแถมต้องร้านของเราเลย
-โปรจัดส่งฟรี* ส่งเร็ว เก็บค่าส่งไว้ช็อปต่อให้หนำใจ (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ร้านกำหนด)
-โปรผ่อน 0%  นาน 10 เดือน (เฉพาะบัตรที่เข้าร่วมรายการเท่านั้น)
-มีสินค้าพร้อมส่ง ไม่ต้องรอพรีให้เสียเวลา ทันใช้แน่นอน
-มีบริการหลังการขายตลอด สำหรับสินค้าที่ชำรุด สามารถเข้ามาเปลี่ยนสินค้าใหม่ได้เลยภายใน 7 วัน
-ซื้อสินค้าได้ง่ายบนช่องทางออนไลน์ที่หลากหลาย สั่งซื้อของสบายๆที่บ้าน ไม่ต้องเดินทางให้เหนื่อย
-สามารถออกใบกำกับภาษีได้ ใครที่ต้องการเอกสารประกอบสามารถแจ้งกับที่ร้านได้เลย
"นึกจะซื้อ GoPro นึกถึงร้าน AquaPro ทั้งครบ ทั้งคุ้ม"

ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


216

Action camera อย่าง GoPro คงจะรู้ถึงความสามารถในการถ่ายวิดีโอ และ ความเจ๋งของระบบต่างๆที่จะช่วยซัพพอร์ตการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบที่ช่วยการกันสั่น ระบบที่ช่วยการกันกล้องเอียง รวมไปถึงระบบต่างๆ หลายๆคนอาจจะคิดว่าโกโปรมีดีแค่การถ่ายวิดีโอเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ ว่าโกโปรสามารถถ่ายภาพได้ดีกว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะโกโปรรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง GoPro 9 ที่สามารถถ่ายภาพได้ความละเอียดถึง 20 MP ซึ่งให้ภาพที่มีความสมจริง บทความนี้จะมาทำการแนะนำการใช้งานความละเอียดที่สูงมากกว่าโกโปรทุกรุ่น รวมถึงกล้องบางยี่ห้ออีกด้วย GoPro 9 ถ่ายรูป ว่าจะดีจริงไหม ใช้งานแล้วเป็นอย่างไรบ้าง มีฟังก์ชั่นที่แตกต่างจากการถ่ายวิดีโอหรือไม่ ไปอ่านในบทความเลย
ใช้ GoPro 9 ถ่ายรูป ทำได้อย่างไรบ้าง?
โกโปรสามารถใช้งานฟังก์ชั่น โหมดต่างๆ ในการช่วยทำให้วิดีโอของคุณโปรมากขึ้น มีมิติมากขึ้น ซึ่งในเรื่องของการถ่ายรูปก็สามารถปรับแต่ง ตั้งค่าได้ไม่น้อยไปกว่าการถ่ายวิดีโอเลย มาดูกันว่าเราจะสามารถใช้กล้องโกโปรในการถ่ายรูป
ระยะในการถ่ายภาพ
โกโปรมีระยะให้เราได้เลือกใช้งานถึง 4 ระยะ ซึ่งมีตั้งแต่ระยะใกล้สำหรับคนที่ต้องการการโฟกัส หรือ เน้นถ่ายเฉพาะจุด จนถึงระยะไกล ที่ช่วยในการเก็บบรรยากาศรอบๆ มาดูกันดีกว่าว่ามีระยะอะไรบ้าง

Superview เป็นระยะการถ่ายภาพที่กว้างที่สุด ใช้ระยะในการถ่ายภาพอยู่ที่ 16 MM ให้มุมมองภาพที่ช่วยการเก็บบรรยากาศ ให้ภาพที่กว้างแต่จะมีมุมโค้งของภาพเล็กน้อย เพื่อช่วยในการเก็บรายละเอียดรอบๆ หากใช้ถ่ายคนจะช่วยทำให้ดูแขนขายาวมากยิ่งขึ้น หากถ่ายวิวจะให้ภาพที่ดูมีมิติ ไม่เรียบ และ แบนจนเกินไป ให้รูปในระยะที่สามารถถ่ายเก็บบรรยากาศกว้างๆได้  ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายวิว ถ่ายคนจำนวนเยอะๆ หรือ แม้แต่ถ่ายภาพด้วยเลนส์เสริมอย่าง Max lens mod ที่จะเพิ่มมุมมองภาพให้กว้างถึง 155 องศา (Max Superview)

Wide เป็นมุมมองภาพที่แคบรองลงมาจากระยะ Superview ใช้ระยะในการถ่ายภาพที่ 16 - 34 MM ให้มุมมองภาพกว้าง แต่ไม่มีขอบโค้งแบบระยะแรก เหมาะทั้งสำหรับถ่ายเก็บบรรยากาศ อีกทั้งยังใช้ในการถ่ายเซลฟี่ หรือ ถ่ายบุคคลได้สวยเลยทีเดียว นับว่าเป็นระยะใกล้เคียงกับสายตาของเรา ให้รูปในระยะที่สามารถถ่ายสถานที่เที่ยว บรรยากาศต่างๆ รวมถึงถ่ายภาพที่เน้นเก็บบรรยากาศ และ ภาพบุคคล

Linear เป็นมุมมองภาพที่แคบขึ้นมาอีก ใช้ระยะในการถ่าย 19 - 39 MM ให้มุมมองภาพใกล้เรา สามารถเก็บบรรยากาศได้ในระดับหนึ่ง และ สามารถเก็บภาพบุคคลได้ดี ขอบภาพไม่โค้ง มีความเสมือนจริง ให้รูปในระยะที่เหมาะสำหรับการถ่ายทั่วไป เป็นระยะที่ถ่ายเซลฟี่ได้สวย ถ่ายรูปบุคคลกำลังดี

Narrow เป็นมุมมองภาพที่แคบที่สุด ใช้ระยะในการถ่าย 27 MM ให้มุมมองภาพที่เน้นการถ่ายบุคคล สิ่งของ เป็นระยะที่จะมีการถ่ายซูมเข้าไป ให้รูปในระยะการถ่ายแบบ Portrait การถ่ายเน้นจุดโฟกัส เป็นระยะที่ใช้ถ่ายภาพลงโซเชียลกำลังดี
ระบบกันสั่น

หากพูดถึงระบบกันสั่นของวิดีโอโกโปร หลายๆคนก็คงจะรู้ดีว่าในเรื่องกันสั่นโกโปรทำออกมาได้ดีขนาดไหน และ ในส่วนการกันสั่นของภาพก็ถือว่าทำออกมาได้ดี ในการถ่ายภาพนิ่งภาพที่มีความคมชัด ให้ภาพที่ค่อนข้างนิ่งไม่หลุดโฟกัส เนื่องจากเซนเซอร์ที่สามารถทำงานได้ดี แต่หากใครถ่ายแล้วภาพสั่นอาจจะต้องทำการอัพเดต Firmware ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด เพื่อเพิ่มความเสถียรในการใช้งาน ทำให้คุณสามารถกดถ่ายภาพได้ไม่พลาดช็อตสวยๆแน่นอน
ISO

ISO (International Organisation for Standardisation) เป็นการปรับระดับของความไวแสงที่จะมากระทบเข้ากับเซนเซอร์ของภาพ ซึ่งความไวแสงจะเข้ามาช่วยในกรณีที่เราถ่ายภาพในที่แสงน้อย ยิ่งค่า ISO สูง จะทำให้รูรับแสงกว้างขึ้น  และ เกิดNoiseของภาพได้มากกว่า (ความไม่สม่ำเสมอของแสงและสีทำให้เกิดเป็นจุดเล็กๆในภาพ) ซึ่งจะช่วยให้ภาพที่ได้สว่าง เช่น ISO 800 ก็ยิ่งทำให้สามารถถ่ายได้ดีในที่แสงน้อย ส่วนการใช้ค่า ISO ต่ำ จะทำให้รูรับแสงแคบลง เช่น ISO 100 ในกรณีที่มีแสงสว่างพอดีแล้ว หรือ ต้องการใช้แฟลชนั้นเอง อีกทั้งการเพิ่ม ISO จะทำให้ความเร็วของชัตเตอร์เพิ่มมากขึ้น และ ยังช่วยทำให้ได้ภาพที่ดีมีความชัดมากขึ้นอีกด้วย อย่างเช่น ISO 200 จะให้ความเร็วของชัตเตอร์ที่ 1/50 แต่ถ้าหากเป็น ISO 800 จะให้ความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/200 ซึ่งเหมาะมากในการใช้จับภาพที่ต้องการ Activity อย่างเช่น ตอนกระโดด หรือ ลอยตัว

ค่า ISO ต่ำสุดคือ 100 และ สูงสุดคือ 3200 ซึ่งการทำงานของ ISO จะขึ้นอยู่กับการตั้งค่าชัตเตอร์บน Protune ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวะของแสง แต่เราสามารถทำการตั้งค่าเพิ่มเติมได้ ในกรณีที่อยากจะล็อคค่า ISO ให้ทำการตั้งค่า ISO สูง และ ต่ำ เป็นค่าเดียวกัน
Speed Shutter

Speed Shutter หรือ ความเร็วชัตเตอร์ในการเปิดออกเพื่อให้แสงเข้ามาที่เซนเซอร์ในขณะที่ถ่ายภาพ
ความเร็วของชัตเตอร์ไว : จะให้รูปที่เหมือนหยุดนิ่ง เช่น รูปที่กำลังกระโดดน้ำ อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการถ่ายภาพในตอนกลางคืนอีกด้วย ในช่วงที่ท้องฟ้ามืดๆ การตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์เร็วๆ จะช่วยทำให้ได้ภาพที่คมชัด และ ช่วยในการบันทึกภาพขณะเคลื่อนไหวได้ดี Speed Shutter สูงๆอย่าง 20 - 30s เหมาะสำหรับถ่ายดาวตก ถ่ายการเคลื่อนไหว
ความเร็วของชัตเตอร์ที่ช้า : จะส่งผลทำให้ภาพเบลอในขณะที่เคลื่อนไหว เช่น ภาพการถ่ายรถวิ่งตอนกลางคืน จะทำให้เราเห็นไฟของรถเบลอๆ  สำหรับใครที่ต้องการภาพที่มีความเบลอๆ เพื่อสร้างมิติให้แก่ภาพถ่าย ส่วน Speed Shutter ต่ำๆอย่าง 2 , 5 , 10 , 15s เหมาะสำหรับการถ่ายสายหมอก ไฟรถที่วิ่งเป็นเส้นๆ
โหมดในการถ่ายรูป

โหมดในการถ่ายภาพมีหลากหลายโหมดไม่แพ้การถ่ายด้วยวิดีโอเลย ทั้ง SuperPhoto ซึ่งจะเป็นโหมดที่จะช่วยในการวิเคราะห์ฉาก และ ประมวลผลแบบอัตโนมัติ รวมถึงโหมดอื่นๆ ซึ่งสามารถเลือกให้เข้ากับสภาวะของแสง และ การเคลื่อนไหวได้ ได้แก่
Standard เป็นการถ่ายรูปในโหมดปกติ
HDR เป็นการรวมภาพที่มีความแตกต่างกันของภาพที่มืด และ สว่างเข้าด้วยกัน แล้วทำให้เกิดความสมดุลของภาพ ทำให้ภาพไม่มืดไป หรือ สว่างไป
SuperPhoto เป็นโหมดที่จะช่วยเก็บรายละเอียดของภาพได้ดีกว่าแบบปกติ ซึ่งจะเป็นโหมดที่จะช่วยในการวิเคราะห์ฉาก และ ประมวลผลแบบอัตโนมัติ
Raw เป็นไฟล์ที่สามารถนำไปใช้ในการแต่งภาพต่อ ทำให้ได้ไฟล์ที่เมื่อนำไปใช้แต่งต่อมีความคมชัด ไม่แตก
Live Burst จะช่วยในการบันทึกภาพก่อนและหลังที่เรากดชัตเตอร์ 1.5s
Burst เป็นการกำหนดว่าหนึ่งชัตเตอร์เราจะเอากี่ภาพ เช่น 5 ภาพต่อหนึ่งวินาที
Night Photo เป็นโหมดในการใช้งานตอนกลางคืน หรือ ที่แสงน้อย
Hind sight เป็นโหมดที่สามารถย้อนเวลาไปก่อนที่จะกดชัตเตอร์ 15s , 30s ทำให้เราไม่พลาดช็อตดีๆ
ซึ่งถ้าคุณจะนำรูปมาแต่งต่อขอแนะนำให้ใช้ไฟล์แบบ Raw ซึ่งเป็นการบันทึกภาพแบบ .jpg และ .gpr ซึ่งสามารถนำไปใช้งานร่วมกับ Adobe Camera Raw และ Adobe Photoshop Lightroom ได้ ไฟล์ Raw สามารถใช้งานได้ทั้งการถ่ายภาพ , ถ่ายรัวๆ , ถ่ายกลางคืน , ถ่ายไทม์แล็ปส์ , ถ่ายไนท์แล็ปส์
ทริคสำหรับการถ่ายภาพด้วย GoPro

คุณสามารถถ่ายภาพด้วยโกโปร ไม่ว่าจะเป็นกลางวัน หรือ กลางคืน ได้ง่ายๆ หากคุณนำไปใช้ ถ่ายในตอนกลางวัน ด้วยความละเอียดของภาพที่สูงถึง 20 MP ทำให้เราสามารถเก็บรายละเอียดต่างๆได้คมชัด สามารถถ่ายย้อนแสงได้ดีขึ้น สว่างมากขึ้น ถือว่าได้พัฒนาขึ้นมามากกว่ารุ่นก่อนๆ แต่ถ้าหากใช้โหมดต่างๆช่วยอย่างโหมด HDR ก็จะช่วยทำให้ภาพสว่างมากยิ่งขึ้นถึงแม้จะถ่ายย้อนแสงก็ตาม และ ถ้าเปิดเป็น SuperPhoto ก็จะช่วยเพิ่มการเก็บรายละเอียดต่างๆ และ ถ้าหากเป็นการ ถ่ายในตอนกลางคืน หรือ ในที่แสงน้อย จะให้ภาพที่สว่างขึ้น เห็นรายละเอียดได้ดีกว่าโกโปรรุ่นก่อนๆ ให้ภาพที่สว่างมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้โหมด Night Photo ซึ่งถือว่าพัฒนาขึ้นมาได้อย่างเด่นชัดกว่ารุ่นก่อนๆอย่างมาก แต่ก็ยังทำให้ภาพเกิด Noise เราเลยอยากจะแนะนำให้ถ่ายเป็นไฟล์ Raw เพื่อที่เราจะสามารถนำไปแก้ไขได้ แต่เพราะ GoPro 9 เนื่องจากมีเซนเซอร์ที่เล็กนั้นทำให้ได้คุณภาพของภาพ (Quality) เป็นที่หน้าพอใจ สำหรับมือใหม่ในการถ่ายภาพ
จะถ่ายรูปควรซื้อ GoPro 9 หรือไม่?
-สามารถนำมาถ่ายภาพได้มุมมองภาพที่หลากหลาย สามารถเลือกระยะในการถ่ายได้ถึง 4 ระยะ
-สามารถตั้งค่า Preset เพื่อให้สีของภาพเป็นไปในโทนเดียวกัน
-สามารถใช้กล้องหน้าในการถ่าย Selfie ตัวเอง หรือ ถ่ายภาพด้วยตัวเอง (อาจจะต้องใช้รีโมทในการกดถ่าย)
-สามารถถ่ายภาพได้หลากหลายโหมด ตามไลฟ์สไตล์การใช้งาน
-สามารถตั้งเวลาให้โกโปรถ่ายภาพเองได้ที่โหมด Scheduled Capture (ไม่ใช่การตั้งเวลาถ่ายแต่เป็นการตั้งเวลาที่จะให้กล้องถ่าย เช่น 16.00 แม้จะปิดกล้องแต่เมื่อถึงเวลากล้องจะเปิดแล้วทำการถ่ายอัตโนมัติ )
-สามารถตั้งค่าต่างๆได้ใกล้เคียงกับการถ่ายวิดีโอเลย
 
สุดคุ้มซื้อ GoPro และ อุปกรณ์เสริมกับเรา!!!
ร้านของเราจำหน่ายกล้อง GoPro Hero 9 รวมทั้งโกโปรรุ่นอื่นๆ และ อุปกรณ์เสริมสำหรับโกโปรที่หลากหลาย รวมทั้งโปรโมชั่นซื้อโกโปรพร้อมของแถมสุดคุ้ม ราคาสุดพิเศษเฉพาะที่ร้านของเรา มีแต่โปรโมชั่นดีๆ ของแถมจุกๆ พร้อมโปรโมชั่นที่จัดมาให้คุณเต็มๆ ตามไลฟ์สไตล์ของคุณ อย่าพลาดสิ่งดีๆ เลือกจะซื้อเลือกร้าน AquaPro และ สำหรับใครที่อยากจะติดตามข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติม เคล็ดลับต่างๆที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อยากลืมไปติดตาม GoPro Club กันล่ะ แล้วคุณจะรู้เกี่ยวกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น อย่าพลาดข่าวสารดีๆที่เราขนมาให้นะ!!!

ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro



217

Action camera อย่าง GoPro คงจะรู้ถึงความสามารถในการถ่ายวิดีโอ และ ความเจ๋งของระบบต่างๆที่จะช่วยซัพพอร์ตการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบที่ช่วยการกันสั่น ระบบที่ช่วยการกันกล้องเอียง รวมไปถึงระบบต่างๆ หลายๆคนอาจจะคิดว่าโกโปรมีดีแค่การถ่ายวิดีโอเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ ว่าโกโปรสามารถถ่ายภาพได้ดีกว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะโกโปรรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง GoPro 9 ที่สามารถถ่ายภาพได้ความละเอียดถึง 20 MP ซึ่งให้ภาพที่มีความสมจริง บทความนี้จะมาทำการแนะนำการใช้งานความละเอียดที่สูงมากกว่าโกโปรทุกรุ่น รวมถึงกล้องบางยี่ห้ออีกด้วย GoPro 9 ถ่ายรูป ว่าจะดีจริงไหม ใช้งานแล้วเป็นอย่างไรบ้าง มีฟังก์ชั่นที่แตกต่างจากการถ่ายวิดีโอหรือไม่ ไปอ่านในบทความเลย
ใช้ GoPro 9 ถ่ายรูป ทำได้อย่างไรบ้าง?
โกโปรสามารถใช้งานฟังก์ชั่น โหมดต่างๆ ในการช่วยทำให้วิดีโอของคุณโปรมากขึ้น มีมิติมากขึ้น ซึ่งในเรื่องของการถ่ายรูปก็สามารถปรับแต่ง ตั้งค่าได้ไม่น้อยไปกว่าการถ่ายวิดีโอเลย มาดูกันว่าเราจะสามารถใช้กล้องโกโปรในการถ่ายรูป
ระยะในการถ่ายภาพ
โกโปรมีระยะให้เราได้เลือกใช้งานถึง 4 ระยะ ซึ่งมีตั้งแต่ระยะใกล้สำหรับคนที่ต้องการการโฟกัส หรือ เน้นถ่ายเฉพาะจุด จนถึงระยะไกล ที่ช่วยในการเก็บบรรยากาศรอบๆ มาดูกันดีกว่าว่ามีระยะอะไรบ้าง

Superview เป็นระยะการถ่ายภาพที่กว้างที่สุด ใช้ระยะในการถ่ายภาพอยู่ที่ 16 MM ให้มุมมองภาพที่ช่วยการเก็บบรรยากาศ ให้ภาพที่กว้างแต่จะมีมุมโค้งของภาพเล็กน้อย เพื่อช่วยในการเก็บรายละเอียดรอบๆ หากใช้ถ่ายคนจะช่วยทำให้ดูแขนขายาวมากยิ่งขึ้น หากถ่ายวิวจะให้ภาพที่ดูมีมิติ ไม่เรียบ และ แบนจนเกินไป ให้รูปในระยะที่สามารถถ่ายเก็บบรรยากาศกว้างๆได้  ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายวิว ถ่ายคนจำนวนเยอะๆ หรือ แม้แต่ถ่ายภาพด้วยเลนส์เสริมอย่าง Max lens mod ที่จะเพิ่มมุมมองภาพให้กว้างถึง 155 องศา (Max Superview)

Wide เป็นมุมมองภาพที่แคบรองลงมาจากระยะ Superview ใช้ระยะในการถ่ายภาพที่ 16 - 34 MM ให้มุมมองภาพกว้าง แต่ไม่มีขอบโค้งแบบระยะแรก เหมาะทั้งสำหรับถ่ายเก็บบรรยากาศ อีกทั้งยังใช้ในการถ่ายเซลฟี่ หรือ ถ่ายบุคคลได้สวยเลยทีเดียว นับว่าเป็นระยะใกล้เคียงกับสายตาของเรา ให้รูปในระยะที่สามารถถ่ายสถานที่เที่ยว บรรยากาศต่างๆ รวมถึงถ่ายภาพที่เน้นเก็บบรรยากาศ และ ภาพบุคคล

Linear เป็นมุมมองภาพที่แคบขึ้นมาอีก ใช้ระยะในการถ่าย 19 - 39 MM ให้มุมมองภาพใกล้เรา สามารถเก็บบรรยากาศได้ในระดับหนึ่ง และ สามารถเก็บภาพบุคคลได้ดี ขอบภาพไม่โค้ง มีความเสมือนจริง ให้รูปในระยะที่เหมาะสำหรับการถ่ายทั่วไป เป็นระยะที่ถ่ายเซลฟี่ได้สวย ถ่ายรูปบุคคลกำลังดี

Narrow เป็นมุมมองภาพที่แคบที่สุด ใช้ระยะในการถ่าย 27 MM ให้มุมมองภาพที่เน้นการถ่ายบุคคล สิ่งของ เป็นระยะที่จะมีการถ่ายซูมเข้าไป ให้รูปในระยะการถ่ายแบบ Portrait การถ่ายเน้นจุดโฟกัส เป็นระยะที่ใช้ถ่ายภาพลงโซเชียลกำลังดี
ระบบกันสั่น

หากพูดถึงระบบกันสั่นของวิดีโอโกโปร หลายๆคนก็คงจะรู้ดีว่าในเรื่องกันสั่นโกโปรทำออกมาได้ดีขนาดไหน และ ในส่วนการกันสั่นของภาพก็ถือว่าทำออกมาได้ดี ในการถ่ายภาพนิ่งภาพที่มีความคมชัด ให้ภาพที่ค่อนข้างนิ่งไม่หลุดโฟกัส เนื่องจากเซนเซอร์ที่สามารถทำงานได้ดี แต่หากใครถ่ายแล้วภาพสั่นอาจจะต้องทำการอัพเดต Firmware ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด เพื่อเพิ่มความเสถียรในการใช้งาน ทำให้คุณสามารถกดถ่ายภาพได้ไม่พลาดช็อตสวยๆแน่นอน
ISO

ISO (International Organisation for Standardisation) เป็นการปรับระดับของความไวแสงที่จะมากระทบเข้ากับเซนเซอร์ของภาพ ซึ่งความไวแสงจะเข้ามาช่วยในกรณีที่เราถ่ายภาพในที่แสงน้อย ยิ่งค่า ISO สูง จะทำให้รูรับแสงกว้างขึ้น  และ เกิดNoiseของภาพได้มากกว่า (ความไม่สม่ำเสมอของแสงและสีทำให้เกิดเป็นจุดเล็กๆในภาพ) ซึ่งจะช่วยให้ภาพที่ได้สว่าง เช่น ISO 800 ก็ยิ่งทำให้สามารถถ่ายได้ดีในที่แสงน้อย ส่วนการใช้ค่า ISO ต่ำ จะทำให้รูรับแสงแคบลง เช่น ISO 100 ในกรณีที่มีแสงสว่างพอดีแล้ว หรือ ต้องการใช้แฟลชนั้นเอง อีกทั้งการเพิ่ม ISO จะทำให้ความเร็วของชัตเตอร์เพิ่มมากขึ้น และ ยังช่วยทำให้ได้ภาพที่ดีมีความชัดมากขึ้นอีกด้วย อย่างเช่น ISO 200 จะให้ความเร็วของชัตเตอร์ที่ 1/50 แต่ถ้าหากเป็น ISO 800 จะให้ความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/200 ซึ่งเหมาะมากในการใช้จับภาพที่ต้องการ Activity อย่างเช่น ตอนกระโดด หรือ ลอยตัว

ค่า ISO ต่ำสุดคือ 100 และ สูงสุดคือ 3200 ซึ่งการทำงานของ ISO จะขึ้นอยู่กับการตั้งค่าชัตเตอร์บน Protune ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวะของแสง แต่เราสามารถทำการตั้งค่าเพิ่มเติมได้ ในกรณีที่อยากจะล็อคค่า ISO ให้ทำการตั้งค่า ISO สูง และ ต่ำ เป็นค่าเดียวกัน
Speed Shutter

Speed Shutter หรือ ความเร็วชัตเตอร์ในการเปิดออกเพื่อให้แสงเข้ามาที่เซนเซอร์ในขณะที่ถ่ายภาพ
ความเร็วของชัตเตอร์ไว : จะให้รูปที่เหมือนหยุดนิ่ง เช่น รูปที่กำลังกระโดดน้ำ อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการถ่ายภาพในตอนกลางคืนอีกด้วย ในช่วงที่ท้องฟ้ามืดๆ การตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์เร็วๆ จะช่วยทำให้ได้ภาพที่คมชัด และ ช่วยในการบันทึกภาพขณะเคลื่อนไหวได้ดี Speed Shutter สูงๆอย่าง 20 - 30s เหมาะสำหรับถ่ายดาวตก ถ่ายการเคลื่อนไหว
ความเร็วของชัตเตอร์ที่ช้า : จะส่งผลทำให้ภาพเบลอในขณะที่เคลื่อนไหว เช่น ภาพการถ่ายรถวิ่งตอนกลางคืน จะทำให้เราเห็นไฟของรถเบลอๆ  สำหรับใครที่ต้องการภาพที่มีความเบลอๆ เพื่อสร้างมิติให้แก่ภาพถ่าย ส่วน Speed Shutter ต่ำๆอย่าง 2 , 5 , 10 , 15s เหมาะสำหรับการถ่ายสายหมอก ไฟรถที่วิ่งเป็นเส้นๆ
โหมดในการถ่ายรูป

โหมดในการถ่ายภาพมีหลากหลายโหมดไม่แพ้การถ่ายด้วยวิดีโอเลย ทั้ง SuperPhoto ซึ่งจะเป็นโหมดที่จะช่วยในการวิเคราะห์ฉาก และ ประมวลผลแบบอัตโนมัติ รวมถึงโหมดอื่นๆ ซึ่งสามารถเลือกให้เข้ากับสภาวะของแสง และ การเคลื่อนไหวได้ ได้แก่
Standard เป็นการถ่ายรูปในโหมดปกติ
HDR เป็นการรวมภาพที่มีความแตกต่างกันของภาพที่มืด และ สว่างเข้าด้วยกัน แล้วทำให้เกิดความสมดุลของภาพ ทำให้ภาพไม่มืดไป หรือ สว่างไป
SuperPhoto เป็นโหมดที่จะช่วยเก็บรายละเอียดของภาพได้ดีกว่าแบบปกติ ซึ่งจะเป็นโหมดที่จะช่วยในการวิเคราะห์ฉาก และ ประมวลผลแบบอัตโนมัติ
Raw เป็นไฟล์ที่สามารถนำไปใช้ในการแต่งภาพต่อ ทำให้ได้ไฟล์ที่เมื่อนำไปใช้แต่งต่อมีความคมชัด ไม่แตก
Live Burst จะช่วยในการบันทึกภาพก่อนและหลังที่เรากดชัตเตอร์ 1.5s
Burst เป็นการกำหนดว่าหนึ่งชัตเตอร์เราจะเอากี่ภาพ เช่น 5 ภาพต่อหนึ่งวินาที
Night Photo เป็นโหมดในการใช้งานตอนกลางคืน หรือ ที่แสงน้อย
Hind sight เป็นโหมดที่สามารถย้อนเวลาไปก่อนที่จะกดชัตเตอร์ 15s , 30s ทำให้เราไม่พลาดช็อตดีๆ
ซึ่งถ้าคุณจะนำรูปมาแต่งต่อขอแนะนำให้ใช้ไฟล์แบบ Raw ซึ่งเป็นการบันทึกภาพแบบ .jpg และ .gpr ซึ่งสามารถนำไปใช้งานร่วมกับ Adobe Camera Raw และ Adobe Photoshop Lightroom ได้ ไฟล์ Raw สามารถใช้งานได้ทั้งการถ่ายภาพ , ถ่ายรัวๆ , ถ่ายกลางคืน , ถ่ายไทม์แล็ปส์ , ถ่ายไนท์แล็ปส์
ทริคสำหรับการถ่ายภาพด้วย GoPro

คุณสามารถถ่ายภาพด้วยโกโปร ไม่ว่าจะเป็นกลางวัน หรือ กลางคืน ได้ง่ายๆ หากคุณนำไปใช้ ถ่ายในตอนกลางวัน ด้วยความละเอียดของภาพที่สูงถึง 20 MP ทำให้เราสามารถเก็บรายละเอียดต่างๆได้คมชัด สามารถถ่ายย้อนแสงได้ดีขึ้น สว่างมากขึ้น ถือว่าได้พัฒนาขึ้นมามากกว่ารุ่นก่อนๆ แต่ถ้าหากใช้โหมดต่างๆช่วยอย่างโหมด HDR ก็จะช่วยทำให้ภาพสว่างมากยิ่งขึ้นถึงแม้จะถ่ายย้อนแสงก็ตาม และ ถ้าเปิดเป็น SuperPhoto ก็จะช่วยเพิ่มการเก็บรายละเอียดต่างๆ และ ถ้าหากเป็นการ ถ่ายในตอนกลางคืน หรือ ในที่แสงน้อย จะให้ภาพที่สว่างขึ้น เห็นรายละเอียดได้ดีกว่าโกโปรรุ่นก่อนๆ ให้ภาพที่สว่างมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้โหมด Night Photo ซึ่งถือว่าพัฒนาขึ้นมาได้อย่างเด่นชัดกว่ารุ่นก่อนๆอย่างมาก แต่ก็ยังทำให้ภาพเกิด Noise เราเลยอยากจะแนะนำให้ถ่ายเป็นไฟล์ Raw เพื่อที่เราจะสามารถนำไปแก้ไขได้ แต่เพราะ GoPro 9 เนื่องจากมีเซนเซอร์ที่เล็กนั้นทำให้ได้คุณภาพของภาพ (Quality) เป็นที่หน้าพอใจ สำหรับมือใหม่ในการถ่ายภาพ
จะถ่ายรูปควรซื้อ GoPro 9 หรือไม่?
-สามารถนำมาถ่ายภาพได้มุมมองภาพที่หลากหลาย สามารถเลือกระยะในการถ่ายได้ถึง 4 ระยะ
-สามารถตั้งค่า Preset เพื่อให้สีของภาพเป็นไปในโทนเดียวกัน
-สามารถใช้กล้องหน้าในการถ่าย Selfie ตัวเอง หรือ ถ่ายภาพด้วยตัวเอง (อาจจะต้องใช้รีโมทในการกดถ่าย)
-สามารถถ่ายภาพได้หลากหลายโหมด ตามไลฟ์สไตล์การใช้งาน
-สามารถตั้งเวลาให้โกโปรถ่ายภาพเองได้ที่โหมด Scheduled Capture (ไม่ใช่การตั้งเวลาถ่ายแต่เป็นการตั้งเวลาที่จะให้กล้องถ่าย เช่น 16.00 แม้จะปิดกล้องแต่เมื่อถึงเวลากล้องจะเปิดแล้วทำการถ่ายอัตโนมัติ )
-สามารถตั้งค่าต่างๆได้ใกล้เคียงกับการถ่ายวิดีโอเลย
 
สุดคุ้มซื้อ GoPro และ อุปกรณ์เสริมกับเรา!!!
ร้านของเราจำหน่ายกล้อง GoPro Hero 9 รวมทั้งโกโปรรุ่นอื่นๆ และ อุปกรณ์เสริมสำหรับโกโปรที่หลากหลาย รวมทั้งโปรโมชั่นซื้อโกโปรพร้อมของแถมสุดคุ้ม ราคาสุดพิเศษเฉพาะที่ร้านของเรา มีแต่โปรโมชั่นดีๆ ของแถมจุกๆ พร้อมโปรโมชั่นที่จัดมาให้คุณเต็มๆ ตามไลฟ์สไตล์ของคุณ อย่าพลาดสิ่งดีๆ เลือกจะซื้อเลือกร้าน AquaPro และ สำหรับใครที่อยากจะติดตามข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติม เคล็ดลับต่างๆที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อยากลืมไปติดตาม GoPro Club กันล่ะ แล้วคุณจะรู้เกี่ยวกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น อย่าพลาดข่าวสารดีๆที่เราขนมาให้นะ!!!

ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro



218

ฟิลเตอร์ GoPro อุปกรณ์เสริมโกโปรที่จะช่วยทำให้ภาพของคุณมีมิติ และ เจ๋งมากยิ่งขึ้น หลายๆคนจะคิดว่าฟิลเตอร์มีไว้สำหรับใช้งานใต้น้ำ สำหรับเวลาที่เราลงไปถ่ายใต้น้ำเพื่อให้สีสันสดใสเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากฟิลเตอร์ถ่ายใต้น้ำแล้ว ยังมีฟิตเตอร์ที่จะช่วยให้ภาพของคุณละมุนขึ้น ทำให้สีของรูปสวยขึ้น วันนี้ทาง Aquapro เลยจะมาแนะนำเทคนิคในการเลือกใช้งานฟิลเตอร์ที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ ไปอ่านในบทความเลย!!!
มารู้จัก ฟิลเตอร์ GoPro มีกี่ประเภท?
อย่างที่เรารู้ๆกันว่าฟิลเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่จะทำงานกับแสงโดยตรง ความแตกต่างของรูปแบบฟิลเตอร์ทั้งขนาด รูปทรง รวมถึงสี ไม่ใช่ว่าจะสามารถใช้รูปแบบไหนก็ได้ แต่ต้องเลือกใช้ฟิลเตอร์ที่เหมาะสมถึงจะดี งั้นเรามารู้จักรูปแบบของฟิลเตอร์ต่างๆกันดีกว่าว่า มีอะไรบ้าง
-ND Filter
-CPL Filter
-Red Filter
ND Filter

ND Filter หรือ Neutral Density Filter เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการกรองแสงสว่าง แต่ไม่ทำให้สีของภาพเพี้ยนไปจากเดิม ซึ่งจะเป็นฟิลเตอร์ที่จะทำการตัดแสงที่จะเข้าสู่เซนเซอร์ของภาพ อย่างเช่น เวลาที่เราไปถ่ายในที่แสงสว่างจ้าๆเกินไป ถ่ายอะไรออกมาสีเพี้ยนจากความเป็นจริง ฟิลเตอร์นี้จะช่วยลดแสงที่สว่างเกินไปให้แสงกลับมาสว่างพอดี โดยที่รายละเอียดของภาพไม่เสียหาย เราสามารถเลือกลดความสว่างได้หลากหลายตามระดับ ยิ่งระดับสูงๆยิ่งทำให้ภาพที่ติดฟิลเตอร์ยิ่งมืด แม้ว่าแสงจริงๆตอนนั้นจะสว่างมากก็ตาม

รูปแบบของ ND Filter มีให้เลือกหลายๆ ทั้งรูปแบบที่เป็นแผ่นสี่เหลี่ยม จะต้องใส่เข้ากับตัวล็อคฟิลเตอร์สามารถใส่แผ่นซ้อนกันได้ แต่ต้องระวังการใส่กับฟิลเตอร์ที่หนาจนเกินไป (มีขนาดให้เลือกหลากหลาย) และ แบบที่เป็นแผ่นวงกลม (จะต้องเลือกขนาดให้ตรงกับเลนส์ที่ใช้ ซึ่งสามารถปรับค่าความเข้มของฟิลเตอร์ได้) นอกจากนั้นยังมีแบบเต็มแผ่น (สีทั้งแผ่น) และ ครึ่งแผ่น (สีแค่ครึ่งแผ่นอีกส่วนจะเป็นสีใส โดยส่วนใหญ่จะให้ส่วนที่มืดเป็นส่วนของท้องฟ้า) อีกทั้งแบบครึ่งแผ่นจะสามารถแบ่งย่อยๆได้เป็นแบบ Hard และ Soft (ที่เป็นตัวแบ่งระดับความใสของส่วนที่ไม่ได้เป็นสีดำ ถ้าเป็นsoftจะใส ถ้าเป็นHardจะขุ่น) คุณสามารถเลือกใช้งานได้ตามสไตล์ของแต่ละคน ใครชอบแบบไหนก็เลือกแบบนั้น นอกจากสีดำแล้วแบบครึ่งแผ่น หรือ Graduated ND Filter ยังมีหลากหลายสีอีกด้วย ทั้งสีชมพู สีส้ม สีเขียว เป็นต้น

จากที่เคยบอกไปว่าฟิลเตอร์สามารถเลือกลดความสว่างได้หลายระดับ ซึ่งระดับของฟิลเตอร์จะถูกเรียกว่าสต็อป (Stop) ยิ่ง stop มากก็ยิ่งลดแสงได้มาก โดยจะมีระดับตั้งแต่ 2 stop จนถึง 20 stop ให้เลือกใช้งาน ระดับของ stop ตั้งแต่ 10 ขึ้นไปจะทำให้ภาพค่อนข้างมืดแม้จะอยู่ในที่แสงสว่างก็ตาม ส่วนใหญ่เราจะเลือกใช้งานฟิลเตอร์ ND เพื่อทำให้ภาพมีมิติต่างไปจากเดิม มักจะใช้คู่กับ shutter speed น้อยๆ จะทำให้ภาพที่ได้มีความนวลๆ ฟุ้งๆ ซึ่งนั้นทำให้ภาพออกมาแตกต่างจากการถ่ายแบบไม่ใส่ฟิลเตอร์นั้นเอง
CPL Filter

CPL Filter หรือ Circular Polarized Filter เป็นฟิลเตอร์ที่จะช่วยเพิ่มสีสันให้กับภาพ ที่ช่วยในการตัดแสง และ เงาสะท้อนของภาพ จะทำหน้าที่หักเหแสงออกไป ทำให้สีของภาพสดมากยิ่งขึ้น เห็นสีจริงๆของวัตถุนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ฟิลเตอร์นี้กับท้องฟ้า และ น้ำ ที่มักจะมีแสงตกกระทบเยอะ ทำให้สีเพี้ยนจากความเป็นจริง รวมถึงสิ่งของอื่นๆด้วย แต่เมื่อใช้ฟิลเตอร์นี้จะส่งผลทำให้แสงลดลงไป 1-2 stop (รูปจะมืดลง รูปเข้มขึ้น) ซึ่งให้เราทำการปรับ shutter speed ลงเพื่อชดเชยเรื่องแสงเอา

ฟิลเตอร์นี้มีรูปแบบเดียวคือเป็น วงกลม และ บางยี่ห้อจะเป็นทรง สี่เหลี่ยม ส่วนใหญ่ขนาดจะเป็นขนาดมาตรฐานของกล้อง แต่จะมีหลากหลายเกรดให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นเกรดที่ไม่มีสารเคลือบฟิลเตอร์ ทำให้เวลาถ่ายย้อนแสง แสงจะฟุ้งเกินไป รวมไปถึงแบบที่มีสารเคลือบตั้งแต่1ชั้น จนไปถึงแบบเคลือบหลายชั้น และ แบบที่ใช้วัสดุที่ทนทานกันแสง UV ทำให้ใช้งานได้ยาวนาน ฟิลเตอร์นี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมใช้งานกัน เนื่องจากหากเป็นเรื่องของสี เรื่องของความสว่างยังสามารถปรับแต่งได้ แต่ไม่สามารถปรับให้ภาพเหมือนเวลาที่เราใช้ฟิลเตอร์นี้ได้ นั้นทำให้ฟิลเตอร์นี้นับเป็นหนึ่งในฟิลเตอร์ยอดนิยม
Red Filter

Red Filter เป็นฟิลเตอร์สำหรับการใช้งาน GoPro ถ่ายใต้น้ำ ที่จะช่วยในการปรับสีของภาพในน้ำ ซึ่งจะทำหน้าที่ในการดูดกลืนแสง ทำให้บริเวณที่แสงส่องไปไม่ถึงสีไม่เพี้ยน อย่างที่เรารู้ๆกันว่ายิ่งลึก แสงยิ่งส่องลงไปไม่พอ ส่งผลทำให้สีของภาพเพี้ยนจากสีจริง นั้นทำให้เราต้องมี Red Filter ที่ช่วยดูดแสงโดยเฉพาะแสงสีแดง ทำให้สีของภาพที่ดูดเด่นขึ้นมานั้นเอง และ ภาพดูสว่างมากยิ่งขึ้น

ฟิลเตอร์นี้มีให้เลือกหลากหลายสีด้วยกัน ซึ่งแต่ละสีก็จะขึ้นอยู่กับระดับความลึกของน้ำที่ดำลงไป การดำน้ำจำเป็นมากที่ต้องใช้ฟิลเตอร์นี้ เพราะเรามักจะดำน้ำกันลึกกว่า 5 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่แสงส่องไปไม่พอ จะมีสีของฟิลเตอร์ให้เลือกหลากหลายสี ให้เลือกใช้งานฟิลเตอร์ให้เหมาะสมกับระดับความลึก

เมื่อใส่ฟิลเตอร์แล้วจะช่วยทำให้สีสันของวัตถุที่อยู่ใต้น้ำเด่นชัดขึ้นมา จากวิดีโอจะเห็นได้ว่า ระหว่างการใส่ฟิลเตอร์กับไม่ใส่ฟิลเตอร์ค่อนข้างแตกต่างกันมาก เมื่อไม่ใส่ภาพที่ได้จะค่อนข้างเป็นโทนฟ้า แยกความแตกต่างระหว่างสีได้ยาก แต่เมื่อใส่แล้วสีของภาพจะโดดเด่นขึ้นมาเลย เนื่องจากส่วนใหญ่ฟิลเตอร์จะดูดสีแดงขึ้นมาได้ดี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสีของฟิลเตอร์ที่ใช้งานด้วย
-Shallow filter จะมีสีส้ม เหมาะสำหรับระดับความลึก 5-20 ฟุต
-Dive filter จะมีสีแดง เหมาะสำหรับระดับความลึก 20-50 ฟุต
-Deep filter จะมีสีส้มอมแดง เหมาะสำหรับระดับความลึก 50 ฟุตขึ้นไป
-Greenwater filter จะมีสีชมพู เหมาะสำหรับระดับความลึก 15-70 ฟุต
-Night sea filter จะมีสีเหลือง เหมาะสำหรับระดับความลึกมากๆ (จะต้องใช้ไฟเสริมในการดำน้ำ)

สามารถอ่านบทความ GoPro ถ่ายใต้น้ำ และ ฟิลเตอร์เพิ่มเติมได้ที่นี่
หากคุณเป็นคนที่ต้องใช้งานโกโปรกลางแจ้งบ่อยๆ อยากได้ภาพ วิดีโอที่แสงไม่จ้าจนเกินไป เป็นคนที่ต้องถ่ายvlog ควรต้องมี ND Filter ที่จะช่วยในการลดแสง ทำให้คุณสามารถถ่ายวิดีโอได้ไม่ต้องแคร์เรื่องแดดเลย แต่หากใครที่เน้นกิจกรรม เน้นเก็บบรรยากาศ อยากให้ภาพที่สีสดๆ ต้องมี CPL Filter ที่ช่วยทำให้สีของภาพคมชัดมากยิ่งขึ้น และ สำหรับใครที่เป็นสายดำน้ำ ต้องมี Red Filter ที่จะช่วยให้คุณสามารถบันทึกภาพใต้น้ำได้เสมือนตามองเห็น ให้ภาพที่สีสดใส เก็บทุกบรรยากาศได้ทุกจุด
 
เลือกฟิลเตอร์ และ อุปกรณ์เสริมอื่นๆที่เหมาะกับคุณ
ร้านของเราจำหน่ายอุปกรณ์เสริม GoPro ทั้งฟิลเตอร์ ไม้เซลฟี่ กล้องโกโปรรุ่นอื่นๆ รวมถึงอุปกรณ์เสริมสำหรับโกโปรหลากหลากนิด มาพร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้ม ของแถมจุกๆ เลือกจะซื้อเลือกร้าน AquaPro และ สำหรับใครที่อยากจะติดตามข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติม เคล็ดลับต่างๆที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อยากลืมไปติดตาม GoPro Club กันล่ะ แล้วคุณจะรู้เกี่ยวกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น อย่าพลาดข่าวสารดีๆที่เราขนมาให้นะ!!!

 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


219

ใครที่ชอบการตัดต่อ ก็จะต้องทำการอัปโหลดไฟล์วิดีโอลงคอมพิวเตอร์ก่อนจากนั้นก็ค่อยนำไฟล์ไปตัดต่อวิดีโอนั้นเอง การอัปโหลดไฟล์ลงบนคอมพิวเตอร์ อาจจะไม่เหมือนกับการอัปโหลดบนโทรศัพท์มือถือ สำหรับใครที่กังวลว่าการเชื่อม ต่อ GoPro กับคอม ที่สามารถทำได้ภายในไม่กี่ขั้นตอน ไปดูกันเลย!!!!
วิธีการเชื่อมต่อ GoPro กับคอม ต้องทำยังไง?

การเชื่อมต่อโกโปรเข้ากับคอมพิวเตอร์ สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งเราจะแนะนำวิธีเชื่อมต่อง่ายๆ ที่แม้จะเป็นมือใหม่ก็สามารถทำได้ โดยวิธีที่เราจะมาแนะนำ 2 วิธีนั้นก็ คือ
-เชื่อมต่อด้วยสายUSB
-เชื่อมต่อด้วยอะแดปเตอร์

การเชื่อมต่อด้วยสายUSB ในกรณีที่เราทำการอัพเดท เฟิร์มแวร์ (Firmware) จะทำให้เราสามารถไปใช้ฟีเจอร์อื่นๆ ของตัวกล้องได้ดีมากยิ่งขึ้น อย่างการใช้กล้องGoProเป็นWebcam สำหรับนำไปใช้ในการไลฟ์​ (Live) ส่วนการเชื่อมต่อด้วยอะแดปเตอร์ จะช่วยในการดึงไฟล์จากโฟเดอร์นั้นๆได้เลย โดยที่ไม่ต้องยุ่งกับระบบของตัวกล้องเอง
สามารถอ่านบทความ เทคนิคการใช้ GoPro เป็น Webcam เพิ่มเติมได้ที่นี่
ขั้นตอนการ ต่อ GoPro กับคอม STEP BY STEP
เมื่อเรารู้แล้วว่าจะสามารถเชื่อมต่อโกโปรเข้ากับคอมพิวเตอร์ได้ด้วยวิธีอะไรบ้างแล้ว ทั้งวิธีเชื่อมต่อด้วยสายUSB และ วิธีเชื่อมต่อด้วยอะแดปเตอร์ มาดูวิธีการเชื่อมต่อโกโปรเข้ากับคอมง่ายๆที่สามารถทำได้เพียงไม่กี่ขั้นตอน ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อบนอุปกรณ์บน Window หากใช้ IOS สามารถทำด้วยวิธีที่คล้ายคลึงกัน
เชื่อมต่อด้วยสายUSB
สำหรับวิธีนี้สามารถทำได้โดยตรง บนอุปกรณ์กล้องโกโปรง่ายๆ ใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วนั้นก็คือ สาย USB - C หากใครที่ต้องการเชื่อมต่อเพื่อนำรูป หรือ วิดีโอลงบนคอมพิวเตอร์ วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมอื่นๆ ซึ่งสามารถทำได้ดังขั้นตอนต่อไปนี้
STEP1

ให้เสียบสาย USB - C เข้ากับตัวกล้องโดยเปิดฝาด้านข้างออก แล้วเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์
STEP2

ไปที่เมนูตั้งค่าบนคอมพิวเตอร์ จากนั้นให้ไปดูที่ Device Manager > ดูที่ MTP USB Device จากนั้นให้ดูว่าขึ้นชื่ออุปกรณ์หรือไม่ (ชื่อรุ่นของ GoPro)

เชื่อมต่อด้วยอะแดปเตอร์
การเชื่อมต่อด้วยอะแดปเตอร์ จะใช้อุปกรณ์เสริมในการต่อเข้ากับ SD Card ซึ่งก็มีตัวเชื่อมต่อหลายรูปแบบ ทั้งแบบที่เป็นพอร์ตแบนแบบSD Card หรือ แบบทรงแฟลชไดร์ฟที่มีหัวต่อเข้ากับพอร์ตแบบ USB ในการเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถเข้าถึงไฟล์รูป วิดีโอได้รวดเร็วมาก และ ง่ายมาก ดังขั้นตอนต่อไปนี้
STEP1

ให้ทำการเปิดฝาด้านข้างของกล้องออกจากนั้นให้เอาแบตเตอรี่ และ SD Card ออกมา
STEP2

จากนั้นให้นำ SD Card ต่อเข้ากับอะแดปเตอร์ในการเชื่อมต่อ > เสียบอะแดปเตอร์ที่มี SD Card เข้ากับคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็ให้เข้าไปที่ชื่อของอุปกรณ์

ทำไมเชื่อมต่อแล้วอุปกรณ์ไม่ขึ้น?
ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อได้ หรือ ชื่อของอุปกรณ์ไม่แสดงขึ้นมา อาจจะมาจากซอฟต์แวร์ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้อัพเดต ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นของ IOS , Windows10 , Windows7 ให้ทำการลบอุปกรณ์แล้วเชื่อมต่อใหม่ หรือ จากการตั้งค่าที่ตัวกล้อง ให้ไปตั้งค่าตามวิธีข้างต้นในการเชื่อมต่อโดยตรงกับตัวกล้อง อาจจะเป็นเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ไม่สามารถเชื่อมต่อได้ ให้ทำการตรวจสอบสาเหตุให้ดี
ก่อนอื่นให้เราไปเช็คดูว่าตัวกล้องของเราได้ทำการตั้งค่ากล้องไว้เป็นอย่างไร ซึ่งบางครั้งที่เราคนหาอุปกรณ์ไม่เจออาจจะเป็นเพราะเรายังไม่ได้ตั้งค่า ดังนั้นเราจึงต้องตั้งค่าอุปกรณ์ให้เป็น MTP (Media Transfer Protocol) ซึ่งเป็นการโอนข้อมูลโดยใช้สาย USB ที่จะช่วยในการป้องกันการติดไวรัสผ่านการโอนถ่ายข้อมูล วิธีนี้จะป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าไปในพื้นที่บางส่วน โดยจะจำกัดเฉพาะไฟล์ที่สามารถเข้าถึงได้ในการถ่ายโอนข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลรูปภาพ ไฟล์วิดีโอ ไฟล์เพลง ดังนั้นถ้าไม่ตั้งค่าเป็น MTP ก็จะไม่สามารถเชื่อมต่อได้
STEP1
ให้ทำการตั้งค่าที่ตัวกล้องก่อนที่จะไปทำการตั้งค่าบนคอมพิวเตอร์

1.เปิดกล้องโกโปรจากนั้นจะทำการตั้งค่า โดยการสไลด์หน้าจอของกล้องโกโปรลงมา > เลือกที่ Perferences
2.เลือกที่ Connection > จากนั้นให้เลือกที่ USB Connection
3.แล้วเลือกที่ MTP เพียงเท่านี้ก็สามารถเชื่อมต่อได้แล้ว


เข้าไปที่ตั้งค่าของคอมพิวเตอร์ > เลือกที่ชื่ออุปกรณ์ > ทำการลบอุปกรณ์เก่าออก
STEP2

เมื่อลบอุปกรณ์เก่าแล้ว > ให้ทำการค้นหาอุปกรณ์ใหม่อีกครั้ง
STEP3

เมื่อทำการค้นหาเรียบร้อย ให้ทำการรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ใหม่ เมื่อเครื่องรีสตาร์ทเรียบร้อย > ให้กดเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อีกที ใช้เวลาในการเชื่อมต่อสักครู่หนึ่ง จากนั้นหน้าจอจะแสดงอุปกรณ์ที่อัปเดตขึ้นมา เป็นอันเรียบร้อย

เคล็ด(ไม่)ลับการใช้งานGoPro
สำหรับใครที่มีปัญหาและข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งานโกโปร และ อุปกรณ์เสริมGoPro เราขอแนะนำ GoPro Grop กลุ่มสำหรับพูดคุย และ แลกเปลี่ยนข้อมูลการใช้งาน ความคิดเห็นสำหรับกล้องโกโปรโดยเฉพาะ ที่สาวกโกโปรทุกสายต้องห้ามพลาด

ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


220

สำหรับใครที่ชื่นชอบกิจกรรมทางน้ำ ดำน้ำดูปะการัง คงไม่อยากจะพลาดเก็บภาพ และ วิดีโอสวยๆ ที่บันทึกภาพความสวยงามของโลกใต้น้ำ ไม่ว่าจะเป็นปลาแปลกๆ ปะการังสีสวย กล้องถ่ายใต้น้ำ GoPro ที่จะช่วยให้คุณเก็บภาพความประทับใจเอาไว้ได้ ซึ่งทางเราอยากแนะนำเป็นยี่ห้อ GoPro เนื่องจากโกโปรเป็นกล้อง action camera ที่ตัวเล็กพกพาง่าย แต่คุณภาพเทียบเท่าระดับโปรได้เลย อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ใครที่จะถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอใต้น้ำต้องห้ามพลาดเด็ดขาด!!!
4 อันดับ กล้องถ่ายใต้น้ำ GoPro ยอดฮิต
เนื่องจากความสามารถในการถ่ายใต้น้ำ ที่ถือว่าเป็นลักษณะเด่นของกล้องโกโปร แล้วยังมีอุปกรณ์อื่นๆที่ช่วยให้การถ่ายใต้น้ำของคุณสนุก และ เจ๋งมากยิ่งขึ้น สำหรับใครที่ไม่อยากพลาดที่จะเก็บบรรยากาศใต้น้ำ ต้องอย่าพลาด 4 อันดับกล้อง GoPro ตัวท็อปกันดีกว่าว่าจะมีตัวไหนกันบ้าง
GoPro Hero 8

ถ้าพูดถึงกล้องโกโปรยอดฮิตของหลายๆคน คงหนีไม่พ้น GoPro Hero 8 ที่ได้ออกมาในปี 2562 ที่มาพร้อมกับสเปคการใช้งานเจ๋งๆ อีกทั้งยังถือว่าเป็นกล้องที่มีขนาดพอเหมาะมือ มีน้ำหนักกำลังพอดี และ มีโหมด ฟีลเจอร์เจ๋งๆ ไม่ว่าจะเป็น HyperSmooth 2.0 ระบบกันสั่นที่ยอดเยี่ยมของโกโปร ที่ทำให้ถ่ายวิดีโอได้นิ่งมากยิ่งขึ้น , โหมด TimeWarp 2.0 เป็นโหมดที่สามารถปรับลดความเร็วในการเคลื่อนไหวได้ มาพร้อมความละเอียดถึง 12 MP สามารถถ่ายวิดีโอได้ถึง 4K อีกทั้งยังมีโหมด SuperPhoto ที่จะช่วยปรับให้ภาพมีมิติ มีเงา และดูสมจริงมากยิ่งขึ้น และ โหมดอื่นๆที่ทำให้การใช้งานโกโปรสนุกขึ้นกว่าเดิม
สามารถใช้งานในน้ำได้ลึก : 10 เมตร โดยไม่ต้องใส่เคสป้องกัน (Housing) แต่สำหรับใครที่จะดำน้ำลึกกว่านั้น สามารถใส่เคสป้องกันเพื่อเพิ่มระดับความลึกได้ อีกทั้งหากใครที่ชอบดำน้ำลึกๆ ก็อาจจะใส่ลูกเล่นให้กับวิดีโอด้วยการติด filter สีต่างๆ ที่จะช่วยทำให้ได้ภาพที่สีสันสวยงาม หมดกังวลเรื่องแสงไม่พอใต้น้ำไปได้เลย จะกี่เมตรก็ไม่มีปัญหา
จุดเด่นของรุ่นนี้ :
-เป็นกล้อง action camera ที่สามารถพกพาได้ง่าย น้ำหนักกำลังพอดี และ ตัวเครื่องเหมาะมือ สามารถถือได้ง่าย
-ได้มีการพัฒนาอัพเดตเวอร์ชั่นของโหมดต่างๆ เป็นเวอร์ชั่น 2.0 ที่ดีมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น TimeWarp 2.0 , HyperSmooth 2.0 เจ๋งมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับโกโปรรุ่นก่อนๆ อย่าง GoPro 7
-ทำให้ภาพมีความสมจริงมากยิ่งขึ้นด้วยโหมด SuperPhoto เวลาที่ถ่ายใต้น้ำก็ให้ภาพที่สมจริง
-เลนส์มีความทนทานมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆถึง 2 เท่า ที่จะช่วยปกป้องเลนส์เวลาใช้งานใต้น้ำ
จุดด้อยของรุ่นนี้ : มุมมองในการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ และ โหมดต่างๆ อาจจะสู้โกโปรในรุ่นที่ใหม่กว่ายังไม่ได้ แต่ในเรื่องการใช้งานถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากนัก
ราคาปกติ: 14,500 บาท
GoPro Hero 9

โกโปรน้องใหม่ล่าสุดจากค่าย ที่พึ่งออกมาจำหน่ายในปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นที่ได้มีการอัพเกรดสเปค และ รูปแบบให้เจ๋งขึ้นกว่าเดิม มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่ ทั้งเซนเซอร์ที่ทำให้ถ่ายได้คมชัดมากยิ่งขึ้นถึง 20 MP อีกทั้งการถ่ายวิดีโอแบบ 5K 30 FPS นอกจากนั้นยังมีการปรับรูปแบบหน้าจอให้ใช้งานได้ดีมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้อัพเกรด HyperSmooth ระบบกันสั่นที่ช่วยทำให้วิดีโอของคุณเสมือนหยุดนิ่ง ไม่ต้องกลัวมือสั่นอีกต่อไป , Horizon Leveling ที่ช่วยในการปรับระดับของภาพให้ตรงกับเส้นขอบฟ้า ทำให้หมดปัญหาเรื่องกล้องจะเอียง ไม่ว่าจะถือยังไงกล้องก็ตรง ทำให้ถ่ายวิดีโอออกมาได้เป๊ะมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถทำบนตัวเครื่องได้เลย ไม่ต้องไปทำบนแอพพลิเคชั่นแบบในรุ่นก่อนๆอีกต่อไป และ TimeWrap ที่สามารถปรับลดความเร็วได้ แบบเวอร์ชั่น 3.0 ที่เจ๋งขึ้นกว่าเดิม ทำให้คุณสนุกกับการถ่ายวิดีโอมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีโหมดต่างๆที่ได้อัพเดตขึ้นอีกด้วย
สามารถใช้งานในน้ำได้ลึก : 10 เมตร แบบไม่ต้องใส่เคสป้องกัน อีกทั้งด้วยรูปแบบของหน้าจอที่สามารถดูผ่านจอหน้าได้ ทำให้เวลาเซลฟี่ใต้น้ำสามารถเห็นมุมมองภาพได้ และ ให้เสียงที่ดีเนื่องจาก และ สามารถใส่ filter สีๆ เพื่อป้องกันสีของภาพเพี้ยนเวลาดำน้ำในที่แสงน้อย
จุดเด่นของรุ่นนี้ :
-กล้องที่ใหญ่มากขึ้น ทำให้ถ่ายภาพได้กว้างมากยิ่งขึ้น และ หน้าจอด้านหน้าที่สามารถดูเวลาที่ถ่ายได้ ทำให้เซลฟี่ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น จะถ่ายเดี่ยว ถ่ายคู่ก็หมดปัญหา
-แบตเตอรี่ที่มากกว่าเดิมถึง 30% ทำให้สามารถใช้งานในน้ำได้นานมากกว่ารุ่นก่อนๆ หมดกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดระหว่างดำน้ำไปได้เลย
-มาพร้อมกับความละเอียดของภาพที่สูงถึง 20 MP และ วิดีโอ 5K ที่ทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัด สมจริงกว่าเดิม
-ได้อัพเกรดเวอร์ชั่นโหมดต่างๆ ให้เป็นเวอร์ชั่น 3.0 ทำให้ใช้งานได้สะดวก ง่าย และ ดีมากยิ่งขึ้น
จุดด้อยของรุ่นนี้ : เนื่องจากขนาดกล้องที่ใหญ่ขึ้น อาจจะทำให่คนที่ไม่ชอบพกกล้องใหญ่ๆ อาจจะถือได้ไม่ถนัดมือเท่ากับกล้องรุ่นก่อนๆ
ราคาปกติ : 15,990 บาท
สามารถอ่านบทความ GoPro ถ่ายใต้น้ำ และ filter เพิ่มเติมได้ที่นี่
GoPro MAX

เป็นโกโปรที่แตกต่างจากในรุ่นของ Hero รุ่นอื่นๆ ซึ่งได้ออกจำหน่ายมาในปี 2562 เช่นเดียวกับ GoPro 8 มาพร้อมกับการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอแบบ 360 องศา ซึ่งถือว่าเป็นการพลิกรูปแบบของโกโปรเลยก็ว่าได้ ด้วยรูปทรงที่แตกต่างจากรุ่นฮีโร่ อีกทั้งยังสามารถถ่าย PowerPano โหมดที่จะช่วยเก็บภาพในมุมกว้างได้ถึง 270 องศาโดยไม่ต้องมาหมุนกล้องเอง เพียงแค่กดถ่ายเท่านั้น , MAX HyperSmooth ระบบกันสั่นที่ทำให้คุณสามารถเก็บภาพ 360 องศาได้รอบทิศ ซึ่งระบบจะทำการล็อคตรงกลางของภาพ และ ปรับองศาอัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องกลัวหลุดเฟรม หรือภาพขาดเลย ทำให้ได้มุมมองที่แตกต่างจากในรุ่นโกโปรฮีโร่
สามารถใช้งานในน้ำได้ลึก : 5 เมตร ถึงแม้จะสามารถใช้งานในน้ำได้น้อยกว่าในรุ่นของ Hero แต่ก็ให้มุมมองภาพแบบรอบทิศ สามารถใส่เคสกันน้ำเพื่อเพิ่มการใช้งานในระดับความลึกที่เพิ่มขึ้นได้
จุดเด่นของรุ่นนี้ :
-การใช้มุมมองภาพที่มีความหลากหลาย กว้างมากกว่าเดิม ให้ภาพมีมิติ ด้วยการถ่าย 360 องศา
-โหมดต่างๆ เป็นเวอร์ชั่นแบบเฉพาะของรุ่นนี้ด้วย Max HyperSmooth ที่ช่วยในการกันสั่นเวลาถ่าย 360 องศา และ Max TimeWrap ที่ช่วยในการเลือกมุมมองทำให้สามารถแพลนกล้องไปได้หลากหลายมุมแบบ 360 องศา
-สามารถเลือกสลับระหว่างโหมด 360 กับ โหมดของฮีโร่ปกติได้ เพียงแค่แตะที่หน้าจอ ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ไปมา หากไม่อยากถ่ายแบบรอบทิศ ก็เลือกถ่ายแบบธรรมดาได้
จุดด้อยของรุ่นนี้ : การกันน้ำที่น้อยกว่าในรุ่นอื่นๆ สามารถดำน้ำลึกได้เพียงแค่ 5 เมตรเท่านั้น ซึ่งหากต้องการให้กันมากขึ้นอาจจะต้องใส่เคสกันน้ำ แต่ก็อาจจะไม่สามารถดำได้ลึกเหมือนกับรุ่นอื่นๆ
ราคาปกติ : 17,000 บาท
GoPro 10 / GoPro X

ในโกโปรรุ่นนี้มีแพลนว่าจะจัดจำหน่าย ในปี 2564 ปีนี้นั่นเอง ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป อีกทั้งอาจจะมีการเปลี่ยนชื่อใหม่ เลนส์ที่จะมีการปรับปรุงให้ดีมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงหน้าจอใหม่ที่คาดการณ์ว่าจะสามารถถอดออกได้อีกด้วย
สามารถใช้งานในน้ำได้ลึก : ยังไม่มีข้อมูลออกมา แต่คาดการณ์ว่าน่าจะไม่แตกต่างจากในรุ่นก่อนๆมากนัก ก็ต้องรอลุ้นกันอีกที
จุดเด่นของรุ่นนี้ :
-การอัพเดตรูปแบบภายนอกของตัวกล่องใหม่ อาจจะมาพร้อมกับรูปแบบที่แตกต่างไปอาจจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และ มาพร้อมกับชื่อใหม่
-หน้าจอใหม่ คาดว่าหน้าจอจะสามารถถอดออกได้ หรือ พลิกได้
-เลนส์ใหม่ ที่จะทำให้สามารถถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอได้ดีมากยิ่งขึ้น กว้างมากขึ้น หรือ ได้มุมมองภาพใหม่ๆ
-รวมทั้งระบบปฏิบัติการภายในที่อาจจะมีการอัพเกรดให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ราคาคาดว่า : จะอยู่ราวๆ 600 เหรียญ หรือ ประมาณ 18,000 - 19,000 บาท
สามารถอ่านบทความ คาดการณ์สเปค GoPro 10 เพิ่มเติมได้ที่นี่

สรุป กล้องถ่ายใต้น้ำ GoPro รุ่นไหนดีกว่ากัน?

หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบกล้องตัวเล็กๆ แต่สามารถใช้งานได้หลากหลายต้อง GoPro Hero 8 เพราะสามารถใช้งานในน้ำได้ถึง 10 เมตร สามารถใช้งานอุปกรณ์เสริมได้หลากหลาย
สำหรับใครที่อยากจะได้กล้องที่ได้มีการอัพเกรดให้ดีขึ้นกว่าในรุ่นก่อน ซึ่งมาพร้อมกับโหมดในเวอร์ชั่น 3.0 อย่าง GoPro Hero 9 น้องใหม่ตัวล่าสุดจากค่าย ที่สามารถใช้งานในน้ำได้ถึง 10 เมตร
แต่ว่าหากคุณชอบการถ่ายภาพในมุมมองที่แตกต่างต้อง GoPro MAX เพราะสามารถให้มุมมองรอบทิศแบบ 360 องศาได้ แต่สามารถใช้งานในน้ำได้เพียงแค่ 5 เมตรเท่านั้น
ส่วนว่าที่น้องใหม่ตัวล่าสุดที่น่าจะวางจำหน่ายอย่าง GoPro Hero 10 คาดการณ์ว่าจะมาพร้อมกับสเปคใหม่ๆ แต่จะสามารถกันน้ำได้ลึกเท่าไหร่ ต้องรอวางจำหน่าย
 
อุปกรณ์เสริมการถ่ายใต้น้ำที่ควรมี
ถึงแม้กล้องโกโปรจะมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมในการถ่ายใต้น้ำแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งทำให้การใช้งานได้ง่าย และ สนุกมากยิ่งขึ้น ก็อาจจะต้องมีอุปกรณ์เสริมที่จะมาช่วยทำให้การถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอใต้น้ำสนุกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งกล้องโกโปร ยังมีอุปกรณ์เสริมที่มีคุณภาพที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นของแท้ หรือ ของเทียบ ตามไลฟ์สไตล์การใช้งานของคุณ สำหรับอุปกรณ์ถ่ายใต้น้ำก็มีอุปกรณ์ให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็น

ไม้เซลฟี่ หากใครที่อยากได้มุมมองภาพกว้างๆ และ เพื่อความสะดวกในการดำน้ำ ว่ายน้ำ ไม้เซลฟี่ถือว่าเป็นหนึ่งอุปกรณ์ที่จะช่วยซัพพอร์ตคุณได้ดี เหมาะสำหรับคนที่ดำน้ำคนเดียว หรือ ต้องการเซลฟี่ให้เห็นบรรยากาศโดยรอบชัดๆ
เคสกันน้ำ ถึงแม้กล้องโกโปรจะสามารถใช้งานในน้ำได้ แต่หากปิดฝาแบตเตอรี่ไม่ดี หรือ ทำให้น้ำเข้าไปในตัวกล้องก็คงไม่ดี เคสกันน้ำจะช่วยป้องกันอันตรายต่างๆที่จะเกิดกับกล้อง อีกทั้งยังทำให้ดำน้ำได้ลึกมากขึ้นอีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่ดำน้ำลึกๆ หรือ ดำน้ำแถบที่มีปะการังซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้อุปกรณ์ได้
Filter สำหรับใครที่ดำน้ำลึก หรือ ดำน้ำในที่แสงส่องไปไม่ถึง แล้วอยากได้ภาพที่สีไม่เพี้ยนไปจากความเป็นจริงเนื่องจากแสงที่ส่องลงมาไม่พอ ฟิลเตอร์สีๆ จะช่วยทำให้ภาพของคุณสีสดมากขึ้น สีไม่เพี้ยน ช่วยทำให้ภาพสว่างขึ้น อีกทั้งยังมีสีให้เลือกหลากหลายตามระดับความลึกที่ดำน้ำลงไป เหมาะสำหรับคนที่ต้องการดำน้ำลึกๆ ต้องการเก็บภาพที่มีความสมจริง
สามารถอ่านบทความ GoPro ถ่ายใต้น้ำต้องเตรียมอะไรไปบ้าง เพิ่มเติมได้ที่นี่

คุณภาพ และ การรับประกัน
มีการรับรองคุณภาพ แฃะ มาตรฐาน หากอุปกรณ์ได้รับความเสียหายที่เป็นไปตามเงื่อนไขการรับประกันไม่ว่าจะเป็นการชาร์จไฟไม่เข้า , กล้องเปิดไม่ติด , หน้าจอไม่แสดงภาพ หรือ อาการอื่นๆ จากซอร์ฟแวร์ หากอยู่ในเงื่อนไขการรับประกัน และ ระยะเวลา สามารถส่งอุปกรณ์มาเคลมได้ (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)
 
เลือกซื้อกล้อง GoPro รุ่นต่างๆกับเราดีอย่างไร
ร้านของเราจำหน่ายกล้อง GoPro Hero 8 , GoPro Hero 9 รวมถึง GoPro MAX และ อุปกรณ์เสริมสำหรับโกโปรที่หลากหลาย รวมทั้งโปรโมชั่นซื้อโกโปรพร้อมของแถมสุดคุ้ม ราคาสุดพิเศษเฉพาะที่ร้านของเรา มีแต่โปรโมชั่นดีๆ ของแถมจุกๆ พร้อมโปรโมชั่นที่จัดมาให้คุณเต็มๆ ตามไลฟ์สไตล์ของคุณ อย่าพลาดสิ่งดีๆ เลือกจะซื้อเลือกร้าน AquaPro !!!!
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : [url=http://GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro]GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro[/url][/color]


221

ไม้ 3 way GoPro 2.0 ตัวใหม่ล่าสุด หากใครต้องการอุปกรณ์เสริมที่จะช่วยซัพพอร์ตการใช้งานของคุณ ที่ไม้ในรุ่นนี้ทางโกโปรได้มีการอัพสเปคใหม่ๆ ให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่จะมีอะไรเปลี่ยนบ้าง แล้วคุ้มค่าไหมถ้าจะซื้อรุ่นนี้ อย่ารอช้าไปอ่านในบทความกันเลย!!!
ไม้ 3 way GoPro 2.0 ในกล่องมีอะไรบ้าง?

มาเปิดกล่องไม้ 3 Way รุ่นนี้ดูกันดีกว่า ว่าอุปกรณ์จะให้อะไรมาบ้าง มาดูที่รูปลักษณ์ของกล่องภายนอกกันก่อน ในรุ่นนี้ได้มีการปรับรูปแบบของกล่องภายนอก ให้อยู่ในรูปแบบของกล่องแนวตั้ง สีเทา ซึ่งต่างจากในรุ่น1.0 ที่เป็นกล่องแนวนอน ส่วนด้านหลังของกล่องก็จะมีบอกข้อมูลการใช้งานเล็กน้อย
เมื่อเปิดกล่องออกมา เราจะเห็นสายคล้องมือเป็นอันดับแรกที่ได้คล้องเข้ากับตัวไม้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชั้นต่อไปตามมาด้วย ไม้3 way 2.0 ที่ประกอบไปด้วยฐานหมุนสำหรับเชื่อมต่อกับ GoPro ที่ประกอบมาในกล่องเรียบร้อย พร้อมที่จะใช้งาน และ คู่มือการใช้งานสำหรับมือใหม่หัดใช้ ส่วนอุปกรณ์ภายในกล่องก็จะมีความคล้ายคลึงกับไม้ในรุ่นแรก เพียงแต่ว่าอุปกรณ์ และ รูปแบบบางส่วนของไม้รุ่นนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่จะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ทั้งรูปลักษณ์ และ การใช้งาน ต้องไปดูสเปคว่าทำอะไรได้!!!
 
สเปคของไม้ 3 way GoPro 2.0 รุ่นนี้เป็นอย่างไร?

-ในส่วนของตัวไม้ (Hand Grip) มาในรูปแบบดีไซน์ที่สวยงาม ทันสมัยมากขึ้น สามารถจับได้ถนัดมากยิ่งขึ้น ด้วยน้ำหนักที่เบากว่าเดิม และ สามารถกันเหงื่อ ทำให้จับได้กระชับมือ อีกทั้งยังมาพร้อมกับสายคล้องที่ทำให้ใช้งานได้ปลอดภัยมากขึ้น
-สามารถยืดเป็นไม้เซลฟี่ แบบไม่เห็นด้ามจับของไม้ได้ ด้วยการปรับให้ส่วนที่เราจะถืองอเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติของไม้ที่ยี่ห้ออื่นๆทำไม่ได้
-ส่วนขาสามารถใช้งานเป็นขาตั้งกล้องได้ง่ายมากขึ้น แข็งแรงมากขึ้น ซึ่งในรุ่นก่อนถ้าจะใช้ขาตั้งกล้องจะต้องไขออกมา แล้วประกอบเป็นขาตั้งซึ่งยุ่งยากมาก อีกทั้งขาตั้งในรุ่นเก่ายังมีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก ทำให้ไม่มั่นคงในการถ่ายเหมือนรุ่นนี้
-สามารถปรับรูปแบบได้หลากหลาย จะยืด จะดัด ได้ตามสไตล์ของคุณ อีกทั้งยังปรับความสูงได้เช่นกัน กรณีอยู่ในรูปแบบของขาตั้ง จะสามารถยืดได้สูงกว่าในรุ่นก่อน

-ในรุ่นนี้จะมีการเป็นส่วนหัว (ส่วนที่ใช้ยึดกล้องโกโปรกับไม้) จากเดิมที่ต้องหมุนเพื่อล็อคกล้องโกโปรกับไม้ ซึ่งทำให้ช้าในการนำไปใช้งาน และ ยังได้เปลี่ยนเป็นรูปแบบของส่วนหัวมาเป็นแบบหัวบอล (quick release buckle mouth) ทำให้การใช้งานของคุณง่าย และ รวดเร็วขึ้น
-ในส่วนของหัวบอล สามารถหมุนได้ถึง 360 องศา ทำให้คุณสามารถสลับเปลี่ยนด้านหน้า - หลังได้รวดเร็ว ซึ่งจะมีตัวล็อคที่หัวบอล ทำให้ใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้นกว่าแบบเก่าที่เป็นสกรูหมุน

-ตัวล็อคแต่ละส่วนเวลาใช้งาน แข็งแรงมากขึ้น ไม่ต้องหมุนแน่นมากก็ยังล็อคได้ดี เมื่อเทียบกับตัวเก่าที่ต้องหมุนล็อคให้แน่น
เท่านั้นยังไม่พอสำหรับใครที่เป็นสายกิจกรรม สายต้องการความคล่องตัว สายลุย ในรุ่นนี้ก็มาพร้อมสายคล้องมือ ที่ช่วยป้องกันอุปกรณ์หลุดเวลาใช้งาน ด้วยน้ำหนักเบา ควาสามารถกันน้ำ ทำให้ไม้รุ่นนี้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ในสไตล์ของคุณได้แบบ 3 IN 1 ครบจบในตัวเดียว!!!
เทียบกันver 1.0 vs 2.0 มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง?

น้ำหนัก : ในver 2.0 มีการปรับให้น้ำหนักเบากว่ารุ่น 1.0
ความแข็งแรง : ver 2.0โครงสร้างมีความแข็งแรง ทนทานมากกว่ารุ่น 1.0 ทั้งด้านจับ และ ขาตั้งกล้อง
ฐานยึด : ในver 1.0 ตัวยึดจะเป็นแผ่นยึด ในรุ่น 2.0 เปลี่ยนเป็น mounts ที่ทำให้ยึดได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถหมุนได้ดีขึ้น และ กว้างมากขึ้นถึง 360 องศา
ขาตั้ง : ในรุ่น 1.0 หากจะปรับเปลี่ยนขาตั้งกล้องจะต้องถอดขาออกมาจากแกนก่อนที่จะปรับเป็นขาตั้ง แต่มาในรุ่น 2.0 สามารถใช้งานเป็นขาตั้งกล้องได้เลย ซึ่งรวดเร็วกว่ามาก
การดูแลรักษา และ การรับประกัน
การดูแลรักษา และ ถนอมให้อุปกรณ์สามารถใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการดูแลรักษาที่ดีจะช่วยทำให้อุปกรณ์สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
-ไม่ควรใช้งาน และ เก็บรักษาในที่อุณหภูมิสูง(ร้อนจัด) หรือ ต่ำจันเกินไป(เย็นจัด) เพื่อยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์
-ไม่ควรใช้งาน หรือ เก็บอุปกรณ์ให้ผิดรูป ทั้ง การบิด การงอ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อตัวอุปกรณ์
-ไม่ควรเก็บอุปกรณ์ร่วมกับของมีคม เนื่องจากจะทำให้อุปกรณ์เสียหายได้
การรับประกัน หากซื้อสินค้ากับตัวแทนของ GoPro ทางบริษัทจะทำการรับประกันสินค้าให้ 7 วัน (นับจากวันที่ซื้อสินค้าไป) และ กรณีที่สินค้าเสียหาย ชำรุด จากการผลิต สามารถเปลี่ยนสินค้าใหม่ได้ภายใน 7 วัน (นับจากวันที่ซื้อสินค้าไป) หากเกินเวลาที่กำหนด จะต้องส่งเคลมตามขั้นตอนปกติ
 
3 way GoPro 2.0 ดีไหม คุ้มค่าหรือไม่?
หากใครที่เป็นสาวก GoPro ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ แล้วกำลังลังเลว่าจะซื้อไม้ รุ่น2.0 ดีไหม จะเหมาะกับคุณหรือเปล่า?
-หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการถ่ายวิดีโอ ถ่ายvlog จะทำให้คุณถ่ายวิดีโอได้ง่าย และ มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
-หากคุณเป็นสายกิจกรรม ชอบลุย จะทำให้คุณสามารถปรับรูปแบบของอุปกรณ์ให้เข้ากับกิจกรรม และ ไลฟ์สไตล์ของคุณได้ อีกทั้งยังเบาขึ้นอีกด้วย
-หากคุณเป็นคนชอบความเรียบง่าย และ รวดเร็ว เจ้าไม้รุ่นนี้ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานมาก เนื่องจากใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังรวดเร็วกว่ารุ่นก่อนๆ ใครที่ไม่อยากใช้งานอุปกรณ์ยากๆ บอกเลยว่าต้องห้ามพลาด
 
 
ซื้ออุปกรณ์เสริม GoPro กับเราคุ้มค่าสุด!!
ร้านของเราจำหน่ายกล้อง GoPro และ อุปกรณ์เสริมที่หลากหลาย กับทุกไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณ ไม่ว่าจะเป็นสายกิจกรรม สายวิดีโอ สายลุย ก็หมดกังวลด้วยไม้ 3 way GoPro รุ่น 2.0 ที่จะช่วยให้การถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอของคุณลื่นไหล และ สนุกมากยิ่งขึ้น ซื้อกับร้านเรา มีแต่โปรโมชั่นดีๆ ของแถมจุกๆ พร้อมโปรโมชั่นที่จัดมาให้คุณเต็มๆ อย่าพลาดสิ่งดีๆ เลือกจะซื้อเลือกร้าน AquaPro !!!!
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


222

คุณอาจจะเคยเจอกับปัญหาเวลาที่ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงๆ ออกมาแล้วพบว่าวิดีโอของคุณดันกระตุก ซึ่งนั้นคงสร้างความหงุดหงิดให้กับหลายๆคน เพราะเหมือนต้องทิ้งวิดีโออันนั้นไปเสียเปล่าๆ ทางร้าน Aquapro จึงจะมาแชร์เทคนิคการ ตัดต่อวีดีโอ GoPro คุณภาพสูงๆ ไม่ว่าจะเป็น 4K 5K ก็ไม่ทำให้วิดีโอของคุณกระตุก ไหล่ลื่นไม่มีสะดุด
โปรแกรมแนะนำสำหรับใช้ตัดต่อ
สำหรับโปรแกรมที่ใช้ในการตัดต่อ ก็จะมีหลายรูปแบบ หลายโปรแกรม ขึ้นอยู่กับความชอบ และ ความถนัดของแต่ละคน โปรแกรมที่แนะนำสำหรับตัดต่อที่มีหลายฟังกฺชั่นให้เล่นได้แก่
Premiere Pro โปรแกรมในการตัดต่อวิดีโอ ทั้งภาพ เสียง และ เอฟเฟกต์ต่างๆ ให้แก่วิดีโอของคุณ ถือว่าเป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรแกรมของค่าย Adobe ที่สามารถใช้งานได้ครอบคลุม
Vegas เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอยอดนิยมอีกตัวหนึ่ง ของระบบ Windows สามารถตัดต่อได้หลากหลาย ทั้งเสียง ทั้งเอฟเฟกต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโทนสี โทนเสียง การซ้อนภาพ ซึ่งเป็นโปรแกรมจากค่าย Sony
ส่วนโปรแกรมเสริมที่ใช้ในการแปลงไฟล์ สำหรับมือใหม่ ขอแนะนำ
Format factory โปรแกรมฟรีสำหรับแปลงไฟล์ สามารถแปลงได้ทั้งไฟล์วิดีโอ ไฟล์เพลง รูปภาพนิ่ง สามารถเลือกนามสกุลไฟล์ได้หลากหลาย และ ใช้งานง่ายไม่ยาก
รู้จักการทำ Proxy หรือ การรีไฟล์ ?

เรารู้จักโปรแกรมที่ใช้ในการตัดต่อไปแล้ว มารู้จักการรีไฟล์ หรือ การทำ Proxy ให้ไฟล์มีความละเอียดที่ต่ำลง การที่ไฟล์วิดีโอกระตุก อาจจะเป็นเพราะ ความละเอียดของไฟล์ที่สูงเกิดไป (High resolution : 4K) นั้นทำให้วิดีโอไม่สมูท เราจึงทำการรีไฟล์ ซึ่งเสมือนการก็อปปี้ไฟล์แล้วบีบอัดให้ความละเอียดไฟล์น้อยลง (Low resolution : HD) จากนั้นเมื่อเรานำมาตัดต่อ จะทำให้ไฟล์ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น ไม่กระตุกเหมือนตอนแรกๆ แต่เมื่อเรานำไฟล์ออก (Export) เราจะต้องเลือกใช้ไฟล์ความละเอียดเดิม ที่เป็น High resolution พวกไฟล์ 4K 5K พูดง่ายๆคือ เราจะทำไฟล์ให้เล็ก แล้วเอาไฟล์เล็กไปตัดต่อแทน แต่เราจะ Export ไฟล์ ให้เลือกเป็นไฟล์ความละเอียดสูงเพื่อความคมชัดนั้นเอง
วิธีการตัดต่อวีดีโอ GoPro Step by Step
สำหรับใครที่เป็นมือใหม่หัดตัดต่อ แล้วกลัวว่าการรีไฟล์จะยาก เรามีเทคนิคในการทำง่ายๆ ที่ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะเราจะมาบอกวิธีแบบ step by step มาทำไปพร้อมๆกันเลย ซึ่งวิธีที่เราจะแนะนำจะมี 2 รูปแบบ นั้นก็คือ
การทำ Proxy บนโปรแกรม Premiere Pro (สำหรับใครที่ชอบครบจบในโปรแกรมเดียว)
การรีไฟล์ บนโปรแกรม Format factory (สำหรับใครที่ชอบโปรแกรมง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก)
วิธีที่1 - Proxy ในโปรแกรม Premiere Pro
หากใครที่เป็นสายไม่ชอบใช้งานหลายๆโปรแกรม ให้ใช้โปรแกรม Premiere Pro ในการตัดต่อ ซึ่งคุณสามารถทำการรีไฟล์แบบ Proxy บนโปรแกรมได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเข้าหลายๆโปรแกรมให้ยุ่งยาก
STEP1

ให้เราทำการดึงไฟล์วิดีโอที่เราต้องการไปใส่ในโปรแกรม > จากนั้นให้เราเลือกไฟล์ทั้งหมดแล้วคลิกขวา > เลือกที่ Proxy > Createv Proxies
STEP2

ทำการเลือก Format ที่ H264 > เลือก Preset (ขนาดของ Proxy) ที่ HD 1200x720 > เลือกว่าจะเซฟไฟล์ไว้ที่ไหน จากนั้นกด OK จากนั้นให้รอรีไฟล์จนเสร็จ แล้วเข้าไปดูในโฟเดอร์ที่เลือกเซฟ ก็จะพบไฟล์ที่เป็น Proxy ที่เราได้ทำการย่อเอาไว้
STEP3

จากนั้นให้ไปเพิ่มปุ่มเพื่อใช้งาน Proxy ในโปรแกรม > เลือกที่เครื่องหมาย (+) > เลือกที่ Toggle Proxies แล้วลากเอามาวางตรงแถบเครื่องมือ > กดที่Toggle Proxies ให้เป็นสีฟ้า
STEP4

เลือกไฟล์ที่เราจะ Export ให้เป็นไฟล์ 4K เพื่อความคมชัดของวิดีโอ
 
วิธีที่2 - การรีไฟล์ในโปรแกรม Format factory
หากคุณไม่มีโปรแกรม Premiere Pro หรือ ต้องการวิธีที่ง่ายขึ้น ให้ใช้โปรแกรมแปลงไฟล์อัตโนมัติอย่าง Format factory จากนั้นค่อยเอาไฟล์ไปตัดต่อในโปรแกรม Vegas หรือ โปรแกรมอื่นๆ ซึ่งสามารถเลือกนามสกุลของไฟล์ได้หลากหลายตามความต้องการ อีกทั้งยังเป็นโปรแกรมแปลงไฟล์ฟรีอีกด้วย!!!
STEP1

ลากไฟล์วิดีโอที่เราต้องการรีไฟล์ เข้ามาในโปรแกรม > เลือกไฟล์เป็นแบบ MP4
STEP2

จากนั้นเลือกที่ตั้งค่า > เลือกที่การเข้ารหัส เลือกที่เป็น AVC(H264) > เลือกขนาดวิดีโอให้เหลือแค่ HD > เลือกที่เปลี่ยนแปลง โดยเลือกโฟเดอร์ที่เราต้องการ
STEP3

จากนั้นให้กดที่ปุ่มเริ่ม > ไฟล์วิดีโอจะถูกรันอยู่บนโปรแกรม จากนั้นให้รอจนไฟล์ถูกรีจนหมด
STEP4

จากนั้นก็ให้ลากไฟล์ที่ทำการรีไฟล์เรียบร้อยแล้ว เข้าสู่โปรแกรม Vegas เพื่อตัดต่อวิดีโอ (ให้ไปลบไฟล์ในโฟเดอร์ที่เรารีไฟล์ออกไปก่อน ให้เหลือแต่ไฟล์หลัก 4K ที่ชื่อเหมือนกันนำมาเรนเดอร์) > ให้เรนเดอร์เรียบร้อย (โดยให้เลือก Formate เป็น 4K)
เพียงเท่านี้คุณก็จะได้วิดีโอที่คมชัด แต่ไม่กระตุกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนจะ Proxy หรือ การรีไฟล์ คุณสามารถเลือกวิธีตามความถนัด ความชอบ ไม่ว่าจะเป็นสายจบในโปรแกรมเดียว หรือ สายเน้นง่ายขอแบบรวดเร็วๆ แค่ไม่กี่ขั้นตอนง่ายๆ ก็เปลี่ยนให้วิดีโอของคุณลื่นไหลได้แล้ว ง่ายมากเลยใช่ไหม แต่ละโปรแกรมก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล บางคนอาจจะใช้โปรแกรมอื่น ที่สามารถรีไฟล์ได้เหมือนกันก็ได้ตามแต่ความถนัด โปรแกรมที่แนะนำเป็นโปรแกรมที่หลายๆคนนิยมใช้งาน แล้วก็ใช้งานได้ง่าย แค่นี้คุณก็สนุกกับวิดีโอแบบลื่นไหล ไม่มีสะดุดได้แล้ว!!!!
 
เลือกจะซื้อกล้อง GoPro และ อุปกรณ์เสริมกับเราดีอย่างไร?
ร้านของเราจำหน่ายกล้อง GoPro และ อุปกรณ์เสริมที่หลากหลาย กับทุกไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณ ไม่ว่าจะเป็นสายกิจกรรม สายวิดีโอ สายลุย ซื้อกับร้านเรา มีแต่โปรโมชั่นดีๆ ของแถมจุกๆ พร้อมโปรโมชั่นที่จัดมาให้คุณเต็มๆ อย่าพลาดสิ่งดีๆ เลือกจะซื้อเลือกร้าน AquaPro !!!!
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


223

คุณอาจจะเคยเจอกับปัญหาเวลาที่ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงๆ ออกมาแล้วพบว่าวิดีโอของคุณดันกระตุก ซึ่งนั้นคงสร้างความหงุดหงิดให้กับหลายๆคน เพราะเหมือนต้องทิ้งวิดีโออันนั้นไปเสียเปล่าๆ ทางร้าน Aquapro จึงจะมาแชร์เทคนิคการ ตัดต่อวีดีโอ GoPro คุณภาพสูงๆ ไม่ว่าจะเป็น 4K 5K ก็ไม่ทำให้วิดีโอของคุณกระตุก ไหล่ลื่นไม่มีสะดุด
โปรแกรมแนะนำสำหรับใช้ตัดต่อ
สำหรับโปรแกรมที่ใช้ในการตัดต่อ ก็จะมีหลายรูปแบบ หลายโปรแกรม ขึ้นอยู่กับความชอบ และ ความถนัดของแต่ละคน โปรแกรมที่แนะนำสำหรับตัดต่อที่มีหลายฟังกฺชั่นให้เล่นได้แก่
Premiere Pro โปรแกรมในการตัดต่อวิดีโอ ทั้งภาพ เสียง และ เอฟเฟกต์ต่างๆ ให้แก่วิดีโอของคุณ ถือว่าเป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรแกรมของค่าย Adobe ที่สามารถใช้งานได้ครอบคลุม
Vegas เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอยอดนิยมอีกตัวหนึ่ง ของระบบ Windows สามารถตัดต่อได้หลากหลาย ทั้งเสียง ทั้งเอฟเฟกต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโทนสี โทนเสียง การซ้อนภาพ ซึ่งเป็นโปรแกรมจากค่าย Sony
ส่วนโปรแกรมเสริมที่ใช้ในการแปลงไฟล์ สำหรับมือใหม่ ขอแนะนำ
Format factory โปรแกรมฟรีสำหรับแปลงไฟล์ สามารถแปลงได้ทั้งไฟล์วิดีโอ ไฟล์เพลง รูปภาพนิ่ง สามารถเลือกนามสกุลไฟล์ได้หลากหลาย และ ใช้งานง่ายไม่ยาก
รู้จักการทำ Proxy หรือ การรีไฟล์ ?

เรารู้จักโปรแกรมที่ใช้ในการตัดต่อไปแล้ว มารู้จักการรีไฟล์ หรือ การทำ Proxy ให้ไฟล์มีความละเอียดที่ต่ำลง การที่ไฟล์วิดีโอกระตุก อาจจะเป็นเพราะ ความละเอียดของไฟล์ที่สูงเกิดไป (High resolution : 4K) นั้นทำให้วิดีโอไม่สมูท เราจึงทำการรีไฟล์ ซึ่งเสมือนการก็อปปี้ไฟล์แล้วบีบอัดให้ความละเอียดไฟล์น้อยลง (Low resolution : HD) จากนั้นเมื่อเรานำมาตัดต่อ จะทำให้ไฟล์ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น ไม่กระตุกเหมือนตอนแรกๆ แต่เมื่อเรานำไฟล์ออก (Export) เราจะต้องเลือกใช้ไฟล์ความละเอียดเดิม ที่เป็น High resolution พวกไฟล์ 4K 5K พูดง่ายๆคือ เราจะทำไฟล์ให้เล็ก แล้วเอาไฟล์เล็กไปตัดต่อแทน แต่เราจะ Export ไฟล์ ให้เลือกเป็นไฟล์ความละเอียดสูงเพื่อความคมชัดนั้นเอง
วิธีการตัดต่อวีดีโอ GoPro Step by Step
สำหรับใครที่เป็นมือใหม่หัดตัดต่อ แล้วกลัวว่าการรีไฟล์จะยาก เรามีเทคนิคในการทำง่ายๆ ที่ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะเราจะมาบอกวิธีแบบ step by step มาทำไปพร้อมๆกันเลย ซึ่งวิธีที่เราจะแนะนำจะมี 2 รูปแบบ นั้นก็คือ
การทำ Proxy บนโปรแกรม Premiere Pro (สำหรับใครที่ชอบครบจบในโปรแกรมเดียว)
การรีไฟล์ บนโปรแกรม Format factory (สำหรับใครที่ชอบโปรแกรมง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก)
วิธีที่1 - Proxy ในโปรแกรม Premiere Pro
หากใครที่เป็นสายไม่ชอบใช้งานหลายๆโปรแกรม ให้ใช้โปรแกรม Premiere Pro ในการตัดต่อ ซึ่งคุณสามารถทำการรีไฟล์แบบ Proxy บนโปรแกรมได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเข้าหลายๆโปรแกรมให้ยุ่งยาก
STEP1

ให้เราทำการดึงไฟล์วิดีโอที่เราต้องการไปใส่ในโปรแกรม > จากนั้นให้เราเลือกไฟล์ทั้งหมดแล้วคลิกขวา > เลือกที่ Proxy > Createv Proxies
STEP2

ทำการเลือก Format ที่ H264 > เลือก Preset (ขนาดของ Proxy) ที่ HD 1200x720 > เลือกว่าจะเซฟไฟล์ไว้ที่ไหน จากนั้นกด OK จากนั้นให้รอรีไฟล์จนเสร็จ แล้วเข้าไปดูในโฟเดอร์ที่เลือกเซฟ ก็จะพบไฟล์ที่เป็น Proxy ที่เราได้ทำการย่อเอาไว้
STEP3

จากนั้นให้ไปเพิ่มปุ่มเพื่อใช้งาน Proxy ในโปรแกรม > เลือกที่เครื่องหมาย (+) > เลือกที่ Toggle Proxies แล้วลากเอามาวางตรงแถบเครื่องมือ > กดที่Toggle Proxies ให้เป็นสีฟ้า
STEP4

เลือกไฟล์ที่เราจะ Export ให้เป็นไฟล์ 4K เพื่อความคมชัดของวิดีโอ
 
วิธีที่2 - การรีไฟล์ในโปรแกรม Format factory
หากคุณไม่มีโปรแกรม Premiere Pro หรือ ต้องการวิธีที่ง่ายขึ้น ให้ใช้โปรแกรมแปลงไฟล์อัตโนมัติอย่าง Format factory จากนั้นค่อยเอาไฟล์ไปตัดต่อในโปรแกรม Vegas หรือ โปรแกรมอื่นๆ ซึ่งสามารถเลือกนามสกุลของไฟล์ได้หลากหลายตามความต้องการ อีกทั้งยังเป็นโปรแกรมแปลงไฟล์ฟรีอีกด้วย!!!
STEP1

ลากไฟล์วิดีโอที่เราต้องการรีไฟล์ เข้ามาในโปรแกรม > เลือกไฟล์เป็นแบบ MP4
STEP2

จากนั้นเลือกที่ตั้งค่า > เลือกที่การเข้ารหัส เลือกที่เป็น AVC(H264) > เลือกขนาดวิดีโอให้เหลือแค่ HD > เลือกที่เปลี่ยนแปลง โดยเลือกโฟเดอร์ที่เราต้องการ
STEP3

จากนั้นให้กดที่ปุ่มเริ่ม > ไฟล์วิดีโอจะถูกรันอยู่บนโปรแกรม จากนั้นให้รอจนไฟล์ถูกรีจนหมด
STEP4

จากนั้นก็ให้ลากไฟล์ที่ทำการรีไฟล์เรียบร้อยแล้ว เข้าสู่โปรแกรม Vegas เพื่อตัดต่อวิดีโอ (ให้ไปลบไฟล์ในโฟเดอร์ที่เรารีไฟล์ออกไปก่อน ให้เหลือแต่ไฟล์หลัก 4K ที่ชื่อเหมือนกันนำมาเรนเดอร์) > ให้เรนเดอร์เรียบร้อย (โดยให้เลือก Formate เป็น 4K)
เพียงเท่านี้คุณก็จะได้วิดีโอที่คมชัด แต่ไม่กระตุกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนจะ Proxy หรือ การรีไฟล์ คุณสามารถเลือกวิธีตามความถนัด ความชอบ ไม่ว่าจะเป็นสายจบในโปรแกรมเดียว หรือ สายเน้นง่ายขอแบบรวดเร็วๆ แค่ไม่กี่ขั้นตอนง่ายๆ ก็เปลี่ยนให้วิดีโอของคุณลื่นไหลได้แล้ว ง่ายมากเลยใช่ไหม แต่ละโปรแกรมก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล บางคนอาจจะใช้โปรแกรมอื่น ที่สามารถรีไฟล์ได้เหมือนกันก็ได้ตามแต่ความถนัด โปรแกรมที่แนะนำเป็นโปรแกรมที่หลายๆคนนิยมใช้งาน แล้วก็ใช้งานได้ง่าย แค่นี้คุณก็สนุกกับวิดีโอแบบลื่นไหล ไม่มีสะดุดได้แล้ว!!!!
 
เลือกจะซื้อกล้อง GoPro และ อุปกรณ์เสริมกับเราดีอย่างไร?
ร้านของเราจำหน่ายกล้อง GoPro และ อุปกรณ์เสริมที่หลากหลาย กับทุกไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณ ไม่ว่าจะเป็นสายกิจกรรม สายวิดีโอ สายลุย ซื้อกับร้านเรา มีแต่โปรโมชั่นดีๆ ของแถมจุกๆ พร้อมโปรโมชั่นที่จัดมาให้คุณเต็มๆ อย่าพลาดสิ่งดีๆ เลือกจะซื้อเลือกร้าน AquaPro !!!!
 
ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group  : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


224

น้องๆรู้หรือไม่ว่า ท่านั่งวาดรูป เป็นสิ่งสำคัญที่หลายๆคนมองข้ามไป แต่รู้หรือไม่ท่าในการนั่ง ระยะในการนั่งอาจจะส่งผลกระทบต่องานศิลปะ และ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของน้องๆในระยะยาว สำหรับน้องๆคนที่ไหนที่ปวดคอ ปวดหลัง เพราะนั่งผิดท่า บทความนี้ขอนำเสนอเทคนิคนท่านั่ง จาก อ.อะไหล่ มาฝาก อย่ามัวรอช้าไปอ่านในบทความกันเลย!!!!
ท่านั่งวาดรูป และ ระยะในการวาดภาพส่งผลกับงานศิลปะอย่างไร?

"ระยะในการมองผลงานจะแปรผันไปกับขนาดของผลงาน"
น้องๆเคยสังเกตไหมว่า ทำไมเวลาเราวาดภาพใกล้ๆ กับ เวลาวาดภาพภาพไกลๆถึงแตกต่างกัน หลายๆคนมองว่าระยะในการวาด และ ท่านั่งไม่ได้สำคัญ เพราะในการวาดเราใช้มือไม่ได้ใช้สายตา จริงอยู่ที่เราใช้มือในการวาด แต่น้องๆรู้หรือไม่ว่า การวาดรูปไม่ได้ใช้แค่มือในการวาดเท่านั้น แต่การวาดรูปยังใช้ทั้ง ข้อศอก หัวไหล่ ศีรษะ และ สายตา ร่วมกันในการสร้างสรรค์งานศิลปะขึ้นมา
"สายตาของเรามีการโฟกัสเป็นรัศมีกางออกเหมือนไฟฉาย"
ถ้าหากน้องๆสามารถจัดการขนาดได้ดี จะส่งผลทำให้ความแม่นยำในการวาดของน้องๆดีมากยิ่งขึ้น หากน้องๆวาดรูปใกล้ๆ จะเลือกนั่งระยะประมาณไหนก็ได้ แต่ถ้าหากน้องๆวาดรูปที่ใหญ่มากยิ่งขึ้น ระยะการนั่งก็เริ่มจะมีผลต่องานบ้างแล้ว ยิ่งระยะใกล้ยิ่งทำให้เราโฟกัสได้แคบลง ดังนั้นการนั่ง และ ระยะ นับว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลอย่างมากในการวาดรูปเลยทีเดียว
-เคยสงสัยไหม ว่าทำไมคนวาดรูปต้องออกไปมองรูปไกลๆ?
-เคยไหมทำไมวาดรูปออกมาแล้ว พอไปมองไกลๆ ไม่เห็นเป็นเหมือนที่คิดไว้?
-เคยไหมที่พอวาดรูปไปซักระยะหนึ่ง ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ?
-เคยเป็นไหมที่บางครั้งวาดรูปตรง แต่ทำไมภาพที่ได้เอียง?
-เคยเห็นความแตกต่าง ของคนที่สามารถนั่งวาดรูปได้นานๆ กับ คนที่วาดไปแค่นิดเดียว แล้วต้องเปลี่ยนท่าทางบ้างไหม?
 
ท่านั่งวาดรูป ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร?

นอกจากท่านั่งจะส่งผลอย่างมากกับการวาดรูปแล้ว ยังส่งผลในระยะยาวกับสุขภาพด้วย การนั่งที่ผิดวิธี อาจจะส่งผลมากกว่าแค่อาการปวด น้องๆเคยหรือไม่ที่บางทีนั่งๆอยู่ ก็ดันปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ ไปๆมาๆปวดหัว ปวดตาไปด้วย แล้วถ้าหากยังนั่งผิดวิธีต่อไปนานๆ อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น
-โรคออฟฟิศซินโดรม เป็นโรคที่ซึ่งส่งผลทำให้กระดูกยึด หรือ กดทับเส้นประสาทได้ ซึ่งเกิดจากการเจ็บปวดซ้ำๆ และ อาจจะส่งผลกับระบบประสาทอัตโนมัติร่วมด้วย ซึ่งทำให้อาจจะมึนงง รู้สึกช้า ตาหร่า หรือ หูอื้อ ร่วมด้วยได้
-อาจจะส่งผลกระทบรุนแรงถึงขั้นเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน และ โรคอื่นๆ
-บางคนอาจจะทำให้ ไม่สามารถนั่งวาดรูปได้นาน ต้องขยับลุกบ่อยๆ และ อาจจะทำให้วาดรูปได้แย่ลงเนื่องจากอาการปวดที่ตามมา
ท่านั่งที่ถูกต้องเป็นอย่างไร แล้วทำไมต้องนั่งให้ถูก!!!
ท่านั่งในการวาดที่ถูกต้อง คือ การนั่งตัวตรง เพราะจะทำให้เราไม่ปวดหลัง และ ยังช่วยในการจัดระเบียบกระดูกของเราด้วย  ควรพยายามไม่ก้มลงไปเยอะเกิน แต่ให้ใช้การเอียงกระดานวาดรูปแทน ในการวาดรูปที่ถูกต้องเราจะไม่วางกระดานวาดรูปบนโต๊ะ แต่เราจะตั้งกระดานให้พาดไว้กับโต๊ะแทน (ให้ทำมุมกับโต๊ะ) แต่หากวาดภาพที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น อาจจะใช้ขาตั้งรูป เพราะช่วยในการกะระยะ หรือ หากใครมีโต๊ะเขียนแบบ ก็สามารถใช้ได้ น้องๆควรปรับเก้าอี้ให้อยู่ในระยะที่พอดี ไม่สูงเกินไป ไม่ต่ำเกินไปกว่าโต๊ะที่เราใช้ในการวาดรูป เพราะอาจจะทำให้น้องๆปวดคอได้
>>น้องๆสามารถเข้าไปดูคลิปท่านั่ง และ การกะระยะที่ถูกต้อง จาก อ.อะไหล่ เพิ่มเติมได้ อย่าลืมเข้าไปดูกันนะ Click Here <<

 
ทำไมต้องนั่งให้ถูกวิธี?
-หากเรานั่งให้ถูกต้อง จะทำให้จัดการระยะ และ ขนาดในการวาดได้ดีจะทำให้เราแม่นยำมากยิ่งขึ้น
-การโฟกัส การกะสัดส่วน และ องค์ประกอบของภาพจะดีมากยิ่งขึ้น
-ที่สำคัญน้องๆ จะไม่ปวดหลัง ปวดคอ และ เสียสุขภาพ
-จะทำให้น้องๆ ไม่เสียบุคลิคในการนั่ง
 
เรียนศิลปะที่ โรงเรียนสอนศิลปะ VA ดีอย่างไร?
viridian academy of art (VA) เป็นโรงเรียนสอนศิลปะ ที่มีคอร์สศิลปะให้เลือกมากมาย ทั้งแบบติวสอบเข้ามหาลัย ฝึกทักษะ สร้างงานอดิเรก อีกทั้งยังมีแบบเป็นคอร์ส เรียนศิลปะออนไลน์ ด้วยสำหรับใครที่ไม่สะดวกมาเรียนเอง  หรือ อยากจะใช้เวลาว่างในการเก็บเกี่ยวความรู้ในช่วงนี้ เลือกเรียนศิลปะ เลือกที่ viridian academy of art แล้วน้องๆจะชอบศิลปะมากยิ่งขึ้น
 
สามารถติดตาม viridian academy of art
และ ช่องทางต่างๆได้ดังนี้
เบอร์โทรศัพท์ : 083-615-2391
Facebook : viridian academy of art
Line : @viridian
Instargram : viridian academy of art
Email : viridian.academy.2019@gmail.com


225

GoPro 10 คาดการณ์สเปคจากสื่อต่างประเทศ !!!
ทางสื่อต่างประเทศหลายๆเจ้า ได้ออกมาคาดการณ์เจ้า GoPro 10 ซึ่งพอมาถึงรุ่นล่าสุด ก็ทำให้สาวกโกโปรหลายๆคน ลุ้นว่าในรุ่นนี้จะมีอะไรมาอัพเดตบ้าง มาดูการคาดการณ์จะแหล่งข่าวต่างประเทศกันเลย!!!
แหล่งข่าวต่างประเทศกับคาดการณ์ GoPro 10
คาดการณ์ว่าโกโปรรุ่นใหม่ในช่วงเดือนกันยายน 2021 นั้นก็คือเจ้าGoPro Hero 10 นั้นเอง ซึ่งทางสื่อต่างประเทศก็ได้มีการคาดการณ์สเปคของเจ้าโกโปรน้องใหม่ออกมาคร่าวๆ มาดูสเปคที่สื่อต่างประเทศคาดการณ์กันดีกว่า ว่าจะมีอะไรเด็ดๆบ้าง

การอัพเดตภายนอก
-เปลี่ยนชื่อใหม่ มีการคาดการณ์ออกมาว่าในรุ่นของโกโปร10 จะมีการเปลี่ยนชื่อให้ต่างจากเดิม โดยอาจจะใช้ชื่อว่า GoPro X (ซึ่งมีความหมายว่าสิบ ตามรูปแบบของเลขโรมัน) หรือ อาจจะใช้ชื่อGoPro 10แบบเดิม ต้องมารอลุ้นกันอีกที
-รูปลักษณ์ใหม่ ว่ากันว่าในรุ่นนี้ จะมีการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ของโกโปร ให้เปลี่ยนรูปแบบจากโกโปรรุ่นก่อนๆ ซึ่งอาจจะไม่เปลี่ยนทั้งหมด แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนเลนส์ให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่คาดกันว่าในรุ่นนี้กล้อง อาจจะมีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้นกว่ารุ่นอื่นๆ
-หน้าจอแบบใหม่ คาดว่าหน้าจออาจจะสามารถถอดออกได้ หรือ ที่เรียกว่า end-to-end ที่สามารถเพิ่มพื้นที่ในการใช้งานให้มากขึ้น ซึ่งถ้าหากเป็นจริงตามการคาดการณ์ จะทำให้สามารถถ่าย Vlog ได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
-เลนส์ที่พัฒนาขึ้น จากรุ่นของ GoPro 9 ที่ได้ออกเลนส์เสริมอย่าง Max lens Mod ที่ช่วยให้สามารถถ่ายรูป และ วิดีโอได้กว้างมากยิ่งขึ้น มาในรุ่นนี้ อาจจะมีการพัฒนาเลนส์ Max lens Mod ให้ดีขึ้น ในรูปแบบของ Ultra fight ที่ทำให้สามารถถ่ายภาพได้มุมกว้างมากยิ่งขึ้นกว่า 155 องศา

การอัพเดตภายใน
-ความละเอียดสูงขึ้น คาดการณ์ว่าในรุ่นนี้ ความละเอียดจะสูงมากยิ่งขึ้น อาจจะสามารถถ่ายด้วยความละเอียดได้ถึง 5K 120 FPS ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับกล้อง action camera
-Slow Motion  คาดกันว่าในรุ่นสิบนี้ อาจจะมีการเพิ่มความเร็วในการสโลโมชั่น ซึ่งทำให้สามารถถ่าย Slow Motion ที่ความละเอียด 2.7K ซึ่งมาพร้อมกับเฟรมเรท 480 FPS ซึ่งจะทำให้สามารถถ่ายรูปได้ดีมากยิ่งขึ้น
-ฟิลเตอร์ใหม่ๆ คาดกันว่าในรุ่นนี้ จะมีการเพิ่มฟิลเตอร์ใหม่ๆ บนกล้องให้มากยิ่งขึ้น หรือ อาจจะเป็นการพัฒนาฟิลเตอร์เดิมๆ ให้สามารถใช้งานได้ดีมากยิ่งขึ้น อาจจะมีการพัฒนาเอฟเฟ็กต์ ให้รองรับโซเชียลมีเดียมากยิ่งขึ้น แต่จะมีฟิลเตอร์อะไรใหม่ๆบ้าง ต้องรอทางค่ายเมนตาแกรมเปิดตัวในเดือน กันยายน 2021
-ถ่ายวิดีโอได้ดีมากขึ้น คาดการณ์ว่าในรุ่นโกโปร รุ่นนี้ จะสามารถถ่ายวิดีดีได้ดีมากขึ้น ด้วยความละเอียด 4K ที่ 120 FPS และ ที่ความละเอียดแบบ Full HD 480 FPS และ อาจจะมีการปรับเซ็นเซอร์ของกล้องให้ดีกว่าเดิ
-เซนเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น อาจจะพัฒนาการถ่ายภาพในตอนกลางคืน หรือ ในที่แสงน้อยให้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยการปรับเซนเซอร์ให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจจะมีการตรวจจับสภาพแวดล้อมที่ดีมากขึ้น ที่ช่วยทำให้สามารถเก็บภาพสวยๆ ตอนกลางคืนได้ดีมากขึ้น

เรื่องอื่นๆที่อัพเดต
-ที่ชาร์จไร้สาย คาดกันว่าในรุ่นนี้ อาจจะสามารถใช้ร่วมกันกับที่ชาร์จแบบไร้สายได้ ซึ่งอาจจะมีแผ่นชาร์จไร้สายที่เพียงแค่วาง ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เลย ซึ่งจะทำให้สะดวกสบายในการใช้งานขึ้น
-อุปกรณ์เสริม น่าจะมีการออกอุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้การถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอของคุณดี และ สนุกมากยิ่งขึ้น
-ราคา คาดกันว่าราคาอาจจะมีการปรับเปลี่ยน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติต่างๆ และ ข้อกำหนดหลายๆอย่าง ซึ่งคาดว่าราคาน่าจะอยู่ราวๆ 600 เหรียญ ซึ่งคงจะต้องรอเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ถึงจะทราบราคาที่แท้จริง
Cr.แหล่งที่มา : Website - StanFord.ArtsReview , Youtube - Tech Square , Youtube - The Mobile Lab
สรุปมีอะไรเปลี่ยนบ้างในรุ่นGoPro 10
จากการคาดการณ์ของสื่อต่างประเทศ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างจากโกโปรรุ่นก่อนๆ จะมีการเปลี่ยนรูปทรงแบบ GoPro MAX ไหม หรือ จะมีการอัพเดตรูปร่างแบบ GoPro 9
-ชื่อใหม่ และ รูปทรงใหม่ กล้องอาจจะใหญ่มากขึ้น มากพร้อมรูปทรงที่อาจจะโดดเด่นยิ่งขึ้น
-เลนส์ที่พัฒนาให้ดีขึ้น อาจจะปรับปรุงให้สามารถถ่ายได้มุมมองที่กว้างขึ้น
-ความละเอียดที่สูง ทำให้สามารถถ่ายวิดีโอ ถ่ายรูปได้คมชัดมากยิ่งขึ้น
-อุปกรณ์ที่สะดวกมากขึ้น อาจจะสามารถใช้งานได้ง่าย และ รวดเร็วมากขึ้น
 
เลือกจะซื้อกล้อง GoPro เลือกร้าน AquaPro
เลือกจะซื้อกล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมโกโปร ที่คุ้มค่า มาพร้อมของแถมเพียบ และ โปรโมชั่นดีๆ ลด แลก แจก แถม แบบเต็มๆ และ สามารถผ่อน 0%  นาน 10 เดือน (เฉพาะบัตรที่ร่วมรายการเท่านั้น) อีกทั้งส่งฟรีกันไปเลย เฉพาะที่ร้าน AquaPro เท่านั้น!!!!
"นึกจะซื้อ GoPro นึกถึงร้าน AquaPro ทั้งครบ และ คุ้ม ส่งตรงถึงหน้าบ้านคุณ"

ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand



226

GoPro 10 คาดการณ์สเปคจากสื่อต่างประเทศ !!!
ทางสื่อต่างประเทศหลายๆเจ้า ได้ออกมาคาดการณ์เจ้า GoPro 10 ซึ่งพอมาถึงรุ่นล่าสุด ก็ทำให้สาวกโกโปรหลายๆคน ลุ้นว่าในรุ่นนี้จะมีอะไรมาอัพเดตบ้าง มาดูการคาดการณ์จะแหล่งข่าวต่างประเทศกันเลย!!!
แหล่งข่าวต่างประเทศกับคาดการณ์ GoPro 10
คาดการณ์ว่าโกโปรรุ่นใหม่ในช่วงเดือนกันยายน 2021 นั้นก็คือเจ้าGoPro Hero 10 นั้นเอง ซึ่งทางสื่อต่างประเทศก็ได้มีการคาดการณ์สเปคของเจ้าโกโปรน้องใหม่ออกมาคร่าวๆ มาดูสเปคที่สื่อต่างประเทศคาดการณ์กันดีกว่า ว่าจะมีอะไรเด็ดๆบ้าง

การอัพเดตภายนอก
-เปลี่ยนชื่อใหม่ มีการคาดการณ์ออกมาว่าในรุ่นของโกโปร10 จะมีการเปลี่ยนชื่อให้ต่างจากเดิม โดยอาจจะใช้ชื่อว่า GoPro X (ซึ่งมีความหมายว่าสิบ ตามรูปแบบของเลขโรมัน) หรือ อาจจะใช้ชื่อGoPro 10แบบเดิม ต้องมารอลุ้นกันอีกที
-รูปลักษณ์ใหม่ ว่ากันว่าในรุ่นนี้ จะมีการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ของโกโปร ให้เปลี่ยนรูปแบบจากโกโปรรุ่นก่อนๆ ซึ่งอาจจะไม่เปลี่ยนทั้งหมด แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนเลนส์ให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่คาดกันว่าในรุ่นนี้กล้อง อาจจะมีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้นกว่ารุ่นอื่นๆ
-หน้าจอแบบใหม่ คาดว่าหน้าจออาจจะสามารถถอดออกได้ หรือ ที่เรียกว่า end-to-end ที่สามารถเพิ่มพื้นที่ในการใช้งานให้มากขึ้น ซึ่งถ้าหากเป็นจริงตามการคาดการณ์ จะทำให้สามารถถ่าย Vlog ได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
-เลนส์ที่พัฒนาขึ้น จากรุ่นของ GoPro 9 ที่ได้ออกเลนส์เสริมอย่าง Max lens Mod ที่ช่วยให้สามารถถ่ายรูป และ วิดีโอได้กว้างมากยิ่งขึ้น มาในรุ่นนี้ อาจจะมีการพัฒนาเลนส์ Max lens Mod ให้ดีขึ้น ในรูปแบบของ Ultra fight ที่ทำให้สามารถถ่ายภาพได้มุมกว้างมากยิ่งขึ้นกว่า 155 องศา

การอัพเดตภายใน
-ความละเอียดสูงขึ้น คาดการณ์ว่าในรุ่นนี้ ความละเอียดจะสูงมากยิ่งขึ้น อาจจะสามารถถ่ายด้วยความละเอียดได้ถึง 5K 120 FPS ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับกล้อง action camera
-Slow Motion  คาดกันว่าในรุ่นสิบนี้ อาจจะมีการเพิ่มความเร็วในการสโลโมชั่น ซึ่งทำให้สามารถถ่าย Slow Motion ที่ความละเอียด 2.7K ซึ่งมาพร้อมกับเฟรมเรท 480 FPS ซึ่งจะทำให้สามารถถ่ายรูปได้ดีมากยิ่งขึ้น
-ฟิลเตอร์ใหม่ๆ คาดกันว่าในรุ่นนี้ จะมีการเพิ่มฟิลเตอร์ใหม่ๆ บนกล้องให้มากยิ่งขึ้น หรือ อาจจะเป็นการพัฒนาฟิลเตอร์เดิมๆ ให้สามารถใช้งานได้ดีมากยิ่งขึ้น อาจจะมีการพัฒนาเอฟเฟ็กต์ ให้รองรับโซเชียลมีเดียมากยิ่งขึ้น แต่จะมีฟิลเตอร์อะไรใหม่ๆบ้าง ต้องรอทางค่ายเมนตาแกรมเปิดตัวในเดือน กันยายน 2021
-ถ่ายวิดีโอได้ดีมากขึ้น คาดการณ์ว่าในรุ่นโกโปร รุ่นนี้ จะสามารถถ่ายวิดีดีได้ดีมากขึ้น ด้วยความละเอียด 4K ที่ 120 FPS และ ที่ความละเอียดแบบ Full HD 480 FPS และ อาจจะมีการปรับเซ็นเซอร์ของกล้องให้ดีกว่าเดิ
-เซนเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น อาจจะพัฒนาการถ่ายภาพในตอนกลางคืน หรือ ในที่แสงน้อยให้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยการปรับเซนเซอร์ให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจจะมีการตรวจจับสภาพแวดล้อมที่ดีมากขึ้น ที่ช่วยทำให้สามารถเก็บภาพสวยๆ ตอนกลางคืนได้ดีมากขึ้น

เรื่องอื่นๆที่อัพเดต
-ที่ชาร์จไร้สาย คาดกันว่าในรุ่นนี้ อาจจะสามารถใช้ร่วมกันกับที่ชาร์จแบบไร้สายได้ ซึ่งอาจจะมีแผ่นชาร์จไร้สายที่เพียงแค่วาง ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เลย ซึ่งจะทำให้สะดวกสบายในการใช้งานขึ้น
-อุปกรณ์เสริม น่าจะมีการออกอุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้การถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอของคุณดี และ สนุกมากยิ่งขึ้น
-ราคา คาดกันว่าราคาอาจจะมีการปรับเปลี่ยน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติต่างๆ และ ข้อกำหนดหลายๆอย่าง ซึ่งคาดว่าราคาน่าจะอยู่ราวๆ 600 เหรียญ ซึ่งคงจะต้องรอเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ถึงจะทราบราคาที่แท้จริง
Cr.แหล่งที่มา : Website - StanFord.ArtsReview , Youtube - Tech Square , Youtube - The Mobile Lab
สรุปมีอะไรเปลี่ยนบ้างในรุ่นGoPro 10
จากการคาดการณ์ของสื่อต่างประเทศ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างจากโกโปรรุ่นก่อนๆ จะมีการเปลี่ยนรูปทรงแบบ GoPro MAX ไหม หรือ จะมีการอัพเดตรูปร่างแบบ GoPro 9
-ชื่อใหม่ และ รูปทรงใหม่ กล้องอาจจะใหญ่มากขึ้น มากพร้อมรูปทรงที่อาจจะโดดเด่นยิ่งขึ้น
-เลนส์ที่พัฒนาให้ดีขึ้น อาจจะปรับปรุงให้สามารถถ่ายได้มุมมองที่กว้างขึ้น
-ความละเอียดที่สูง ทำให้สามารถถ่ายวิดีโอ ถ่ายรูปได้คมชัดมากยิ่งขึ้น
-อุปกรณ์ที่สะดวกมากขึ้น อาจจะสามารถใช้งานได้ง่าย และ รวดเร็วมากขึ้น
 
เลือกจะซื้อกล้อง GoPro เลือกร้าน AquaPro
เลือกจะซื้อกล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมโกโปร ที่คุ้มค่า มาพร้อมของแถมเพียบ และ โปรโมชั่นดีๆ ลด แลก แจก แถม แบบเต็มๆ และ สามารถผ่อน 0%  นาน 10 เดือน (เฉพาะบัตรที่ร่วมรายการเท่านั้น) อีกทั้งส่งฟรีกันไปเลย เฉพาะที่ร้าน AquaPro เท่านั้น!!!!
"นึกจะซื้อ GoPro นึกถึงร้าน AquaPro ทั้งครบ และ คุ้ม ส่งตรงถึงหน้าบ้านคุณ"

ติดตาม AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro  ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line :  @aquapro
Shopee : Aquaprothailand


227

คณะออกแบบแฟชั่นนับว่าเป็นคณะในฝันของน้องๆหลายๆคน การวาดหุ่นแฟชั่น ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญก่อนที่จำออกแบบแฟชั่นได้ หลายๆคนอาจจะมองข้ามพื้นฐานในเรื่องนี้ไป ทำให้ขาดทักษะในการวาดหุ่น ทำให้ผลงานที่ออกมาไม่ถูกต้องตามสัดส่วน บทความนี้พี่ๆ VA เลยจะมาแนะนำ  เทคนิคการวาดหุ่นแฟชั่นที่สามารถทำตามได้ ไปอ่าน และ ฝึกตามในบทความกันเลย!!!
หุ่นแฟชั่น คืออะไร สำคัญอย่างไร?

มาทำความรู้จักหุ่นแฟชั่นก่อนที่จะไปรู้เทคนิคในการวาดกันดีกว่า หุ่นแฟชั่น คือ หุ่นวาดแบบที่ใช้ในการออกแบบแฟชั่น ซึ่งเป็นการจำลองรูปร่างจากอัตราส่วน สัดส่วนของมนุษย์ เป็นส่วนต่างๆ ได้ 8 - 10 ส่วน (แล้วแต่ว่าออกแบบสำหรับอะไร หากเป็นหุ่นปกติจะใช้ 8 ส่วน แต่ถ้าหากเป็นหุ่นแฟชั่นจะนิยมใช้หุ่น 9-10 ส่วน) ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มส่วนช่วงขาที่ยาวกว่าปกติเข้ามา เพื่อใช้ในการออกแบบเสื้อผ้าให้เข้ากับรูปร่างของหุ่น ทั้งหุ่นผู้ชาย และ หุ่นผู้หญิง
"สวยไม่สวยดูที่หุ่น ถ้าหุ่นสวยจะช่วยเสริมให้เสื้อผ้ายิ่งดูสวย"
ความสำคัญของหุ่นแฟชั่นที่ทำไมคนออกแบบแฟชั่นจะต้องรู้จัก น้องๆเคยสังเกตกันหรือไม่ว่า ทำไมเวลาโชว์เสื้อผ้าเขาถึงเลือกแต่นางแบบหุ่นดีๆ นั้นก็เพราะรูปทรงที่สวยงามจะช่วยทำให้เสื้อผ้าสวยมากย่ิงขึ้น  ทำให้เวลาน้องๆเดินผ่านแผนกเสื้อผ้า จะเห็นหุ่นโชว์ที่สูง ขายาว เมื่อเสื้อผ้าออกมาสวยยิ่งทำให้คนสนใจ
เนื่องจากร่างการของมนุษย์มีสัดส่วน ส่วนเว้า ส่วนโค้ง ที่แตกต่างกัน ผู้หญิงจะต้องมีสัดส่วนโครงร่างที่มีรูปทรงมากกว่า ที่ต้องดีไซน์เสื้อผ้าให้เหมาะสม ส่วนผู้ชายก็จะมีโครงร่างที่ใหญ่ แข็งแรงมากกว่า จะต้องออกแบบเสื้อผ้าให้เหมาะ การวาดหุ่นแฟชั่นได้จะช่วยในเรื่องของการออกแบบให้เสื้อผ้า เหมาะกับรูปทรงของเพศนั้นๆได้ นั้นทำให้น้องๆ ที่เรียนออกแบบแฟชั่น จะต้องสามารถวาดหุ่นแฟชั่นได้นั้นเอง
 
วิธีใน การวาดหุ่นแฟชั่น STEP BY STEP

หากน้องคนไหนที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มวาดจากส่วนไหนก่อน วันนี้มาเริ่มวาดหุ่นแฟชั่นไปพร้อมๆกัน วาดไปทีละสเต็ปกับพี่ๆ VA กันเลย ซึ่งวันนี้จะวาดหุ่นแบบ 9 ส่วน ซึ่งเป็นหุ่นผู้หญิงทรงตรง
STEP1
ให้วัดจากหัวกระดาษลงมาประมาณครึ่งนิ้ว จากนั้นให้แบ่งช่องเป็น 9 ช่องตามแนวนอน (ซึ่งจะของเรียกเป็นช่องๆเพื่อให้ง่ายต่อการวาด)โดยให้แต่ละช่องห่างกันประมาณ 1 นิ้ว จากนั้นให้น้องๆลากเส้นแกนแบ่งครึ่งหน้ากระดาษตามแนวตั้งให้สมมาตรกัน ทั้งซ้าย และ ขวา
STEP2
สำหรับน้องๆมือใหม่ให้ทำการเขียนเลข และ ระบุว่าช่องนั้นคือสัดส่วนของอะไร เพื่อความง่าย และ สะดวกในการวาด
ช่องที่1 - ส่วนหัว (จะแบ่งย่อยๆเป็น 3 ส่วน : ตา จมูก ปาก)
ช่องที่2 - ส่วนคอจนถึงไหล่
ช่องที่3 - ส่วนอกจนถึงเอว และ ข้อศอก
ช่องที่4 - ส่วนของสะโพก
ช่องที่5 - ส่วนของสะโพกจนถึงเข่า  , ส่วนของเป้ากางเกง และ มือ
ช่องที่6 - ส่วนเข่า
ช่องที่7 - ส่วนขา
ช่องที่8 - ส่วนข้อเท้า
ช่องที่9 - ส่วนเท้า

STEP3
เมื่อแบ่งช่องต่างๆแล้ว ให้น้องๆ วาดรูปร่างตามช่องที่ได้แบ่งเอาไว้คร่าวๆก่อน หากเป็นมือใหม่ให้วาดฝั่งใดฝั่งหนึ่งก่อน โดยให้วาดด้วยการยึดหลักของสัดส่วนมนุษย์ที่ช่วงอก เอว สะโพก และ ขาจะต้องโค้งเข้าไป ส่วนของแขนจะวาดให้ยืดตรง หรือ งอเข้าก็ได้ หากเป็นมือใหม่อาจจะวาดเป็นเส้นตรงแล้วค่อยมาเก็บรายละเอียดทีหลังได้ เวลาวาดอาจจะวาดทีละซีกก่อน เพื่อดูว่าสัดส่วนใช่ได้หรือไม่
STEP4
หากน้องๆคนไหนวาดเป็นเส้นตรง ให้มาแบ่งสัดส่วนย่อยๆ และ ลงรายละเอียดต่างๆ ดังต่อไปนี้

ช่องที่1 - ให้แบ่งครึ่งช่องตามแนวนอน ให้เป็นส่วนของตา และ แบ่งอีกครึ่งล่างเป็น 2 ส่วน คือ จมูก และ ปาก จากนั้นให้วาดหัวเป็นทรง

ช่องที่2 - ให้แบ่งส่วนให้ความกว้างคอเท่ากับความกว้างส่วนที่วาดปากแล้วลากลงมา เพื่อวาดเป็นทรงคอลงมา (ความยาวคอ = ความกว้างของช่องที่วาดปาก) จากนั้นให้วาดไหล่ทีละฝั่ง โดยให้ระยะพอๆกับขนาดความกว้างของศีรษะ (ไหล่แต่ละข้าง = หัว)

ช่องที่3 - ให้แบ่งครึ่งหนึ่งของไหล่แต่ละฝั่ง ลากลงมาตามแนวเฉียงเข้าหาลำตัว จะได้เป็นส่วนของเอว (เอว = ไหล่หาร2)

ช่องที่4 - ให้วาดสะโพกโดยการยึดความกว้างตามขนาดของไหล่ โดยให้วาดโค้งเข้าหาลำตัว

ช่องที่5 และ 6 - ให้แบ่งระยะครึ่งหนึ่งของสะโพกล่าง (ปลายของส่วนที่4) โดยวาดให้เส้นเฉียงเข้าหาลำตัว (เข่า = สะโพกหาร2)

ช่องที่7 และ 8 - ในส่วนของข้อเท้าให้แบ่งครึ่งหนึ่งของเข่า ในการวาดส่วนนี้ให้วาด ให้มีส่วนโค้งที่เป็นส่วนของน่องนิดหนึ่ง (ข้อเท้า = เข่าหาร2)

ช่องที่9 - วาดส่วนของเท้า อาจจะวาดให้เป็นทรงเรียวๆ ตรงๆ

ให้วาดแขนเป็นขั้นสุดท้าย - โดยให้ความยาวของแขนจากไหล่ยาวจนถึงส่วนของสะโพกล่าง (ช่องที่2-4) เพื่อเป็นส่วนของแขน และ ให้ยาวมาจนถึงส่วนที่ 5 ประมาณครึ่งเพื่อเป็นส่วนของข้อมือ ซึ่งอาจจะวาดเป็นทรงรี หรือ มีความงุ้มเข้าแล้วแต่คน
การวาดหุ่นแฟชั่นอาจจะมีการปรับแต่งให้เข้ากับสไตล์ของผู้ออกแบบ แต่ให้ยึดสัดส่วนดังกล่าว สำหรับมือใหม่หัดเริ่ม
เปิดประสบการณ์ที่มากกว่าแค่ออกแบบกับ VA
เพราะเราไม่ใช่แค่สอน แต่ยังช่วยให้น้องๆดึงเอกลักษณ์ของน้องๆออกมา และ พัฒนาให้ดีขึ้น ด้วยครู และ พี่ๆเฉพาะทาง ที่จะช่วยให้น้องๆสามารถทำตามความฝันของน้องๆได้ เพราะพื้นฐานเป็นเรื่องที่สำคัญ เรียนรู้ และ พัฒนาทักษะไปกับเรา เลือกเรียนที่ viridian academy of art
 
สามารถติดตาม viridian academy of art ช่องทางต่างๆได้ดังนี้
เบอร์โทรศัพท์ : 083-615-2391
Facebook : viridian academy of art
Line : @viridian
Instargram : viridian academy of art
Email : viridian.academy.2019@gmail.com



228

รู้หรือไม่ว่าไม้พาเลทไม่ไม่ตรวจให้ดีก่อนนำมาใช้งานถือว่าเป็น  ไม้พาเลทอันตราย   มารู้จักข้อควรระวังก่อนนำไปใช้กันเถอะ   รู้ทันอันตรายเรื่องไม้พาเลท ไปอ่านบทความกันเลย!!!
มารู้จักไม้พาเลท ก่อนนำไปใช้งานกันดีกว่า?
ไม้พาเลทเป็นไม้ที่ถูกนำมาแปรรูปจากไม้แท่ง ให้มาอยู่ในรูปแบบของการประกอบไม้เป็นทรงสี่เหลี่ยม โดยให้มีคานเพื่อรองรับน้ำหนักด้วย  และ ยังเอาไว้สำหรับให้รถยกของใช้แขนยก  สำหรับการขนย้ายสินค้า   ซึ่งไม้พาเลทจะใช้ไม้หลายชนิดในการนำมาทำ  ขึ้นอยู่กับความชอบ  ความทนทาน   เช่น   ไม้ยางพารา   ไม้เต็ง  สามารถแบ่งประเภทของไม้พาเลทได้หลากหลาย   ขึ้นอยู่กับว่าแบ่งตามอะไร   เช่น
แบ่งตามประเภทของคาน   :   พาเลทไม้ขาเต็ม   ,   พาเลทไม้ขาเต๋า   ,   พาเลทไม้ขาเว้า
แบ่งตามจำนวนครั้งในการใช้งาน   :   แบบใช้ครั้งเดียว(Single use)  ,   แบบใช้หลายครั้ง(Recycle used)
แบ่งตามวัสดุที่นำมาใช้   :   พาเลทไม้  , พาเลทโฟม   , พาเลทพลาสติก   , พาเลทกระดาษ   , พาเลทเหล็ก
แบ่งตามมาตรฐาน   :   มาตรฐาน ISO  , มาตรฐาน North America  ,  มาตรฐาน EURO Pallet
ไม้พาเลทอันตราย อย่างไรมีข้อควรระวังอะไรบ้าง?
หากคุณจะเลือกซื้อไม้พาเลทไม่ว่าจะมือหนึ่ง   มือสอง   ให้ตรวจสอบให้ดีก่อนนำมาใช้งาน   ยิ่งเป็นไม้พาเลทมือสอง   ที่ราคาถูกๆ หลายๆคนจึงเลือกนำมาใช้งาน   แต่หารู้ไม่ว่า   สิ่งที่มาคู่กับไม้พาเลทที่ใช้งานแล้ว   โดยเฉพาะไม้ที่มาจากต่างประเทศ   มาพร้อมกยับเชื้อรา   เชื้อโรคหลายชนิด   ซึ่งควรที่จะระมัดระวังให้ดี   โดยที่คุณควรจะดูสิ่งเหล่านี้ให้ดีก่อนที่จะนำไม้มาใช้งาน ซึ่งเราสามารถตรวจดูเครื่องหมาย และ   ตราประทับต่างๆได้ที่ด้านบน และ ด้านข้างของไม้พาเลท   โดยให้ดูหลักๆคือ

1.มีตรา  IPPC   - ซึ่งเป็นการรับรองมาตรฐานสากล   ซึ่งถือว่าหากมีตรานี้แสดงว่า   ไม้พาเลทได้ผ่านการอบไม้   เพื่อป้องกันความชื้น   แมลงศัตรูพืชที่อยู่ในไม้   อีกทั้งยังเป็นการคุมครองป่าไม้   ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการขนส่งด้วย   ซึ่งบางประเทศหากไม่มีตรานี้จะไม่สามารถขนส่งได้
2.มีแหล่งที่มาชัดเจน   -   ถ้าหากผลิตในประเทศไทยจะต้องมี   TH   หรือ ถ้าหากมากจากประเทศอื่น ก็จะมีตัวอักษรย่อภาษาอังกฤษบอก เช่น   US   (อังกฤษ)   ,   GB   (สหราชอาณาจักร)   เป็นต้น
3.มีตัวเลขทะเบียนบริษัท   -   ต้องสามารถตรวจสอบเลขทะเบียนได้
4.มีตราแสดงกระบวนการที่ได้รับการตรวจสอบมา   -   เช่น   หากผ่านการฆ่าเชื้อก็จะมีตรา   HT   , หากผ่านการอบแห้งไม้แล้วจะมีตรา   KD
สามารถดูวิธีการสังเกต พาเลทไม้ส่งออก   เพิ่มเติมได้ที่นี่
มีแหล่งที่มาหรือไม่

ถ้าไม่มีแหล่งที่มาพยายามอย่านำมาใช้งานในบ้าน   แต่ถ้าใช้งานนอกอาคารอาจจะพอได้   เนื่องจากอาจเป็นไม้ที่มีสารเคมีตกค้าง   ผิวไม่เรียบเสมอกัน มีเสี้ยนซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายได้  และ อาจจะเป็นแหล่งสะสมของแมลง
มีตราประทับหรือไม่

หากไม่มีการประทับตรารับรอง   พยายามหลีกเลี่ยงการใช้งาน   โดยเฉพาะกับไม้พาเลทมือสอง   ส่วนใหญ่ไม้พาเลทที่ผลิตใช้งานในประเทศจะไม่ค่อยมีตรารับรอง   ให้ตรวจสอบให้ดี เพราะ อาจจะผ่านกระบวนการทางเคมีมา เนื่องจากไม่มีตรารับรอง ทำให้ไม้อาจจะมีสารอันตรายตกค้างในไม้ได้   ดังนั้นไม่ควรนำมาใช้งาน
ตรา Heat Treatment

ตราHT (Heat Treatment) หากมีตรานี้ สามารถนำมาใช้งานต่อได้  เนื่องหากมีการฆ่าเชื้อโรคแล้ว ทำให้ไม้ปลอดภัยจากเชื้อรา สารเคมี แต่ถ้าหากไม้ผุพัง  อาจจะต้องหลีกเลี่ยงการ เพราะอาจจะมีเสี้ยนไม้ทำให้เกิดอันตรายได้
ตรา Kiln Dried

ตราKD (Kiln Dried)  หากมีตรานี้ แปลว่าไม้พาเลทได้ผ่านการอบแห้งแล้ว สามารถนำมาใช้งานได้   ทำให้ไม่มีเชื้อรา และ ไม้ไม่โก่งงอ   เนื่องจากการอบไม้เป็นการรักษาความชื้นภายใน
ตรา Methyl Bromide

ตราMB (Methyl Bromide) หากมีตรานี้ ห้ามนำมาใช้งาน เนื่องจากเป็นสารเคมีอันตราย ไม่ควรนำมาใช้งานต่อ  เนื่องจากผ่านกระบวนการทางเคมี ทำให้อาจมีสารเคมีตกค้างในไม้ได้
ตรา Debarked

ตราDB (Debarked)  เป็นตราที่บอกว่าเป็นไม้พาเลทที่ต้องผ่านการลอกเปลือก ออกให้เห็นเนื้อไม้สีอ่อนก่อนนำมาใช้งาน เป็นไม้ที่ผ่านมาตรฐานการผลิต IPPC ในการป้องกันแมลงศัตรูพืช ที่ทำอันตรายกับไม้อย่าง ปลวก มอด  มาแล้ว
DBคู่กับตราMB  ด้วยให้ทำการลอกเปลือกออกก่อน จากนั้นให้ทำการบำรุงรักษา
DBคู่กับตราHT  ลอกเปลือกก่อนหรือหลังใช้งานก็ได้
ดูให้ดีก่อนทำการเลือกซื้อไม้พาเลท
เราควรตรวจสอบดูให้ดีก่อนจะเลือกไม้พาเลทนำมาใช้งาน ว่าไม้พาเลทของเราได้มาตรฐานหรือไม่
-ดูรูปทรงไม้ว่ามีการบิดงอ โก่งงอหรือไม่
-ดูว่ามีเชื้อรา สารพิษ หรือ แมลงอยู่หรือไม่
-ดูแหล่งที่มาว่า มีตรารับรองมาตรฐานหรือไม่
-หากมีตราประทับให้ดูว่า ตรานั้นเป็นตราอันตรายหรือไม่
-หากเป็นตราประทับคู่   ให้ดูว่าเป็นตราที่สามารถนำมาใช้งานได้อยู่หรือไม่ อย่างเช่น ตรา DB -   HT  แสดงว่าผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้ว   หากลอกเปลือกออก ก็สามารถนำมาใช้งานใหม่ได้
 
เลือกไม้พาเลทที่ดี เลือกไม้ที่โรงงาน MTK WOOD
ผ่านการรับรองมาตรฐาน IPPC ไม้พาเลท และ ไม้แปรรูปของโรงงานเราได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมวิชาการเกษตร ทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะได้ไม้ที่ดีมีมาตรฐาน
ผ่านการอัดน้ำยา เพื่อป้องกันเชื้อรา และ แมลงศัตรูพืช
ผ่านการอบแห้งไอน้ำ เพื่อฆ่าเชื้อ และ รักษาความชื้น
ผ่านกระบวนการคุณภาพต่างๆ ทุกขั้นตอนจะใช้เครื่องจักรสำหรับไม้โดยเฉพาะทำให้มั่นใจได้ว่า ได้ไม้ตรงตามมาตรฐานแน่นอน

 
คุณจึงมั่นใจได้ว่า ซื้อไม้แปรรูป กับ   MTK WOOD   ได้ไม้ดี   ไม้คุณภาพ    ไม้แปรรูปที่หลากหลาย   และ   ได้ไม้ถึงมือท่านด้วยความปลอดภัยอย่างแน่นอน   ซื้อไม้พาเลทเลย   Click here   !!!!
 
สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม MTK   ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :   @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


229

การเลือกกลุ่มเป้าหมายในการยิง Ads ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าพลาดนั้นหมายถึงการเสียเงินไปเปล่าๆ จะเลือกอย่างไร บางครั้งก็กว้างเกินไป และแบบ Lookalike Audience คือ การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะช่วยทำให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่คล้ายคลึงกับที่คุณเลือกได้ แล้วคุณจะทำการลาดได้ปังกว่าเดิม!!!
 
 
Highlight WordPress ที่ต้องรู้!!!
-Lookalike Audience คืออะไร?
-ทำLookalike Audience อย่างไรให้ได้ผลดี
-วิธีการทำ Lookalike ทำอย่างไร?
-Audience size ควรตั้งเท่าไหร่ถึงจะดี?
 
Lookalike Audience คือ อะไร?

เคยเล่นแอพพลิเคชั่นที่แอพจะให้เราเลือกความชอบ งานอดิเรก สไตล์ที่เราชอบทำ แล้วแอพก็จะทำการแนะนำสิ่งที่คล้ายๆกับที่เราเลือกไป Lookalike Audience คือ การหากลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายๆคลึง เกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่เราได้เลือกไว้(กลุ่มเป้าหมายหลัก) เพื่อเพิ่มขนาดของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งFacebook จะทำเอาข้อมูลตรงนี้มาหาคนที่มีความสนใจคล้ายๆกับกลุ่มเป้าหมายหลักของเรา เพื่อดึงคนเรานั้นให้เห็นโฆษณาของเรา
 
 
ทำ Lookalike Audience อย่างไรให้ได้ผลดี
การเลือกกลุ่มLookalike Audience ให้ดี ให้ทำการเลือกจากข้อมูลเดิมของกลุ่มลูกค้า หรือ กลุ่มเป้าหมายหลัก ซึ่งจะอาศัยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์ว่าเนื้อหาของ content campaign ที่เราทำนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร หากต้องการฐานของลูกค้าที่กว้างขึ้นยิ่งควรใช้เปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้นตามความเหมาะสม การเลือกเปอร์เซ็นต์สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม
-กลุ่มเป้าหมายที่ Action กับโฆษณาของเรา  ได้แก่คนที่ดูโฆษณา , เข้าสู่หน้าเว็บไซต์ของเรานานๆ , คนที่ทำการทักแชทสอบถาม หรือ ลงทะเบียนกับเราเอาไว้ ต้องการความคล้ายคลึงของกลุ่มเป้าหมายสูงๆ
-กลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้ากับเราแล้ว  ได้แก่ กลุ่มที่เป็นลูกค้าเก่าที่ทำการซื้อสินค้าโดยตรง หรือ มาจากโฆษณา ต้องการฐานของลูกค้ากว้างๆ หรือ ความคล้ายคลึงของกลุ่มเป้าหมายสูงๆ
ควรเลือกเปอร์เซ็นต์ในการทำ Lookalike ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ อาจจะมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามสินค้า ธุรกิจที่ทำ และ ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และ วัตถุประสงค์ ถึงจะเป็นข้อมูลที่ดีในการนำไปใช้งาน
 
 
วิธีการทำ Lookalike ทำอย่างไร?
มาดูวิธีในการตั้งค่าเพื่อหากลุ่มเป้าหมายที่มีความคล้ายคลึงกับลูกค้าเรา บอกเลยว่าไม่ยากอย่างที่คิด ไปดูกันแบบ STEP BY STEP กันเลย
STEP1

ให้เข้าไปที่ Ad Center > เลือก Ad Manager > เลือก Audience

STEP2

ไปที่ Create Audience > เลือกที่ Create Lookalike Audience เมื่อคลิกเพื่อทำการสร้าง
STEP3

Lookalikeแล้ว จะปรากฎหน้าต่างแสดง ให้ใส่ข้อมูล(list) ของกลุ่มลูกค้าที่เราบันทึกเอาไว้ ตรงช่อง Sourch  หรือ จะเป็นชื่อเพจเฟสบุ๊ค ส่วนตรงประเทศถ้าเป็นประเทศไทยให้ใส่ชื่อแล้วตามด้วยอักษรย่อ เช่น ไทย(TH)
STEP4

ตั้ง Audience Size ตามที่คุณต้องการ ยิ่งเปอร์เซ็นต์เยอะ กลุ่มเป้าหมายที่ Facebook หาก็จะยิ่งกว้าง ยิ่งทำให้ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายหลัก (1 - 10%)
STEP5
เมื่อเลือกเรียบร้อยแล้ว เราจะต้องรอการอนุมัติให้เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว ให้ทำการสร้างโฆษณาเลย โดยให้เราใส่ข้อมูลตามปกติ แต่ในช่อง Interest ไม่ต้องใส่ เนื่องจากเราตั้งค่าไปแล้ว
จะเห็นได้ว่าง่ายมากๆ เพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอน ซึ่งหลายๆคนไม่ได้ให้ความสนใจในจุดนี้ ทำให้พลาดในการเพิ่มกลุ่มเป้าหมาย ที่จะมาเป็นกลุ่มลูกค้าของคุณ
 
 
Audience size ควรตั้งเท่าไหร่ถึงจะดี?
จะต้องเลือก Audience size ยังไงถึงจะดี ยิ่งเปอร์เซ็นต์เยอะความคล้ายคลึงของกลุ่มเป้าหมายยิ่งน้อยลง เพราะ จะทำให้ Audience size ยิ่งเพิ่มขึ้น ควรจะเลือกเปอร์เซ็นต์ให้เหมาะสมกับธุรกิจ บริการ และ ยังต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ที่ต้องการทำด้วย ว่าเน้นยอดขาย เน้นสร้างการเป็นที่รู้จัก เน้นการขยายฐานลูกค้า ควรเลือกขนาดให้เหมาะสม ยิ่งฐานลูกค้ากว้าง ก็จะได้ความคล้ายคลึงของกลุ่มเป้าหมายน้อยลง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ดี หากคุณต้องการขยายฐานลูกค้า การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งทำให้คนรู้จักสินค้าของเรา
 
ทำการตลาด และ ปรึกษาธุรกิจกับเราดีอย่างไร?
นอกจากการทำเว็บไซต์แล้ว บริษัทของเรายังให้บริการทำการตลาดออนไลน์ในรูปแบบอื่นๆ ทั้งการAds การทำ SEO SEM รวมถึงรูปแบบอื่นๆ นอกจากนั้นเราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ที่พร้อมให้บริการวางแผนธุรกิจ และ ช่วยดูแลธุรกิจของคุณเสมือนเป็นธุรกิจของเราเอง เพื่อช่วยทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
 
 

สามารถติดต่อสอบถาม bemyfriend ทางช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


230

เว็บไซต์นับว่าเป็นช่องในการโฆษณา โปรโมทสินค้าที่คนทำธุรกิจเลือกใช้ ยังมีคนจำนวนมากที่ใช้อินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสาร ค้นหาสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะกับช่องทางบน Google ที่คนส่วนมากเลือกใช้งาน และ หากคุณมีเว็บไซต์ในการโปรโมท หรือ ลงโฆษณาบนกูเกิ้ลก็จะช่วยทำให้คนเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มลูกค้าให้กับ เว็บไซต์ อีกด้วยการทำ SEO SEM และ ยังมีเครื่องมืออีกตัวหนึ่งที่ช่วยในการจัดการเว็บไซต์ ซึ่งเครื่องมือตัวนั้นมีชื่อว่า WordPress คือ เครื่องมือสำคัญที่คนทำเว็บไซต์ควรที่จะต้องรู้!!!
 
 
Highlight WordPress ที่ต้องรู้!!!
-ทำความรู้จักWordPress คืออะไร?
-WordPress มีกี่ประเภท?
-WordPress ดีอย่างไร ทำไมถึงดีกว่าตัวอื่น?
-ประโยชน์ในการทำการตลาดของWordPress
 
 

ทำความรู้จักเครื่องมือ WordPress คือ อะไร?

WordPress เป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่ช่วยในการจัดการเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล เนื้อหา บทความ รูปภาพ ที่เรียกว่า CMS (Content Management System) โดยที่แม้ไม่มีพื้นฐานเรื่องของโค้ดด้านภาษาของคอมพิวเตอร์ หรือ ความรู้ด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่าง PHP , BB Code , HTML ก็สามารถใช้งานได้ ซึ่งการจัดการเว็บไซต์ของเวิร์ดเพรสจะเป็น การจัดการหลังบ้าน (Dashboard) โดยจะแสดงผลการจัดการที่หน้าบ้าน (หน้าเว็บไซต์)
เพียงแค่ใช้งานWordPress ก็สามารถทำให้การจัดการเว็บไซต์ได้เป็นเรื่องง่ายๆ จบ ครบ ในตัวเดียว โดยสามารถแบ่งองค์ประกอบของเวิร์ดเพรสได้เป็น 3 ส่วนหลักๆ
-WordPress Core เป็นส่วนสำคัญ ซอฟแวร์หลักในการจัดการเว็บไซต์
-Theme ส่วนแสดงผลหน้าบ้านของเว็บไซต์ โดยธีมแต่ละรูปแบบก็จะแสดงผลแตกต่างกันออกไปตามแต่ละลักษณะ มีทั้งธีมฟรี และ ธีมเสียเงิน
-Plugin ส่วนเสริมอื่นๆที่สามารถใส่เข้ามาในเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มความสามารถให้แก่เว็บไซต์ ทำให้สามารถใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
 
 
ทำความรู้จัก WordPress มีกี่ประเภท?
นอกจากองค์ประกอบหลักของWordPressได้แล้ว รู้หรือไม่ว่ายังสามารถแบ่งรูปแบบการจัดการเวิร์ดเพรสได้เป็น 2 แบบ คือแบบ .com และ .org ดังต่อไปนี้
-WordPress.com
-WordPress.org


WordPress.com

เป็นรูปแบบที่เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นทดลองใช้ หรือ ใช้ในการเขียนบทความต่าง เนื่องจากเป็นรูปแบบที่ให้บริการฟรี แต่อาจจะมีข้อจำกัดบางอย่าง ทั้งในเรื่องของTheme รวมทั้ง Plugin จากข้างนอกที่ไม่สามารถนำเข้ามาติดตั้งได้ แต่สามารถเพิ่มความสามารถของเว็บไซต์ได้ด้วยการเสียเงินรายปี เพื่อเพิ่มการใช้งานต่างๆให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนธีม เพิ่มปลั๊กอิน พื้นที่ในการเก็บข้อมูลเพิ่มเติม
เหมาะสำหรับ : เว็บไซต์ที่เน้นการเขียนBlog บทความต่างๆ และ เว็บไซต์ที่เรียบง่าย หรือ พึ่งเริ่มทำเว็บไซต์

WordPress.org

เป็นอีกรูปแบบที่สามารถใช้งานได้ฟรีเหมือนกับตัว .com แต่มีลูกเล่น และ ความยืดหยุ่นมากกว่า ทั้งธีม ปลั๊กอิน ที่สามารถนำเข้ามาติดตั้งเพิ่มได้ รวมถึงการปรับแต่งหน้าเว็บ ดีไซน์ต่างๆ แต่อาจจะต้องมีเสียเงินในส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การจดชื่อ Domain , การเช่า Hosting รวมไปถึงการซื้อ Theme สวยๆจากข้างนอกอีกด้วย ทำให้มีเว็บไซต์จำนวนไม่น้อยนิยมใช้WordPress.org รวมถึงเว็บไซต์ฮิตๆ เว็บไซต์ใหญ่ๆด้วย เช่น The New Yorker , BBC America , The Official Star Wars Blog , Microsoft News Center , The Walt Disney Company , The Wall Street Journal Law Blog และ Mercedes-Benz เป็นต้น
เหมาะสำหรับ : เว็บไซต์ที่ต้องการปรับแต่งส่วนต่างๆ เน้นรูปแบบที่โดดเด่น และ ต้องการเพิ่มปลั๊กอินต่างๆในการจัดการเว็บไซต์
 

WordPress ดีอย่างไร ทำไมถึงดีกว่าตัวอื่น?
หากเมื่อเปรียบเทียบตัวเวิร์ดเพรสกับ CMS ตัวอื่นๆ จะรู้เหตุผลที่ทำให้เวิร์ดเพรสเป็นที่นิยมในผู้ใช้งานเว็บไซต์จำนวนมากถึง 200 ล้านเว็บไซต์ ด้วยข้อดีต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่
-เป็นเครื่องมือฟรี เปิดให้ใช้งานฟรี แต่ถ้าหากต้องการเพิ่มฟังก์ชั่นต่างๆสามารถซื้อเพิ่มได้ แต่ที่ให้ใช้งานฟรีก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับเว็บไซต์ใหม่
-ง่ายต่อการปรับแต่ง ถึงแม้จะเป็นเครื่องมือฟรี แต่ลูกเล่นต่างๆที่ให้โหลดได้ฟรี ทั้งธีม ทั้งดีไซน์ต่างๆ อีกทั้งยังมีปลั๊กอินเพิ่มเติมได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเกินคำว่าฟรี
-ง่ายต่อการทำ SEO เวิร์ดเพรสมีโครงสร้างที่รองรับการทำการตลาดแบบ SEO อีกทั้งยังสามารถปรับแต่งปลั๊กอินที่ซับพอร์ตการทำได้อีกด้วย เรียกง่ายๆว่าเป็นตัวช่วยในการทำ SEO ที่สำคัญ
-มีการปรับปรุงพัฒนาตลอด เนื่องจากมีผู้ใช้งานจำนวนมาก ทางผู้พัฒนาจึงได้มีการปรับปรุง พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งธีม ปลั๊กอิน
-มีความปลอดภัยสูง เวิร์ดเพรสออกแบบมาให้รองรับการป้องกันแฮกเกอร์อย่างสูง แต่ให้ทำตามคำแนะนำของผู้พัฒนา นั้นเป็นสาเหตุให้หลายๆคนเลือกที่จะใช้งานเวิร์ดเพรสนั้นเอง
 
 
ประโยชน์ในการทำการตลาดของ WordPress คือ ?
WordPress นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการทำการตลาดในรูปแบบ SEO อย่างมาก ทั้งหน้าบ้าน(หน้าเว็บไซต์) และ หลังบ้าน ด้วยการติดตั้งปลั๊กอิน Yoast SEO ที่เป็นตัวช่วยในการทำSEO ถ้าหากเว็บไซต์มีการทำSEOดี จะช่วยทำให้อันดับของเว็บไซต์ดี และ ช่วยทำให้มีลูกค้าเข้าเว็บไซต์จำนวนมาก ยิ่งอันดับในการค้นหาดี ลูกค้ายิ่งเจอเราได้ง่าย นั้นเป็นสาเหตุที่ทำไมใครๆก็อยากจะได้อันดับดีๆบน Google นั้นเอง
 
 
ทำเว็บไซต์และการตลาดกับเราดีอย่างไร?
นอกจากการทำเว็บไซต์แล้ว บริษัทของเรายังให้บริการทำการตลาดออนไลน์ในรูปแบบอื่นๆ ทั้งการAds การทำ SEO SEM รวมถึงรูปแบบอื่นๆ นอกจากนั้นเราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ที่พร้อมให้บริการวางแผนธุรกิจ และ ช่วยดูแลธุรกิจของคุณเสมือนเป็นธุรกิจของเราเอง เพื่อช่วยทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
 
 
สามารถติดต่อสอบถาม bemyfriend ทางช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


231

Facebook Ads มีกี่ประเภท เลือกใช้อย่างไรให้ปัง?
Facebook เป็นช่องทางยอดนิยมของคนไทยที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดถึง 94% เฟสบุ๊คถือว่าเป็นช่องทางที่เหมาะในการทำการตลาดออนไลน์อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการยิงAdsซึ่งถือว่าเป็นการทำการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น และ นอกจากนี้ควรจะรู้ว่า Facebook Ads มีกี่ประเภท เพื่อที่จะได้เลือกใช้งานได้อย่างเหมาะสม และ เพื่อให้ได้ผลตอบรับที่ดีกลับมา มารู้จักประเภทของfacebook Adsไปด้วยกันในบทความเลย
 
 
Highlight Facebook Ads ที่ต้องรู้!!!
-มารู้จักว่าFacebook Ads มีกี่ประเภท?
-ทำอย่างไรให้ Ads ดึงดูดใจลูกค้า!!!
 

มารู้จักว่า Facebook Ads มีกี่ประเภท มีอะไรบ้าง?
การทำโฆษณาบนช่องทาง Facebook ไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว เพราะว่ากลุ่มเป้าหมายมีหลากหลาย อีกทั้งวัตถุประสงค์ในการโฆษณายังมีหลายประเภทอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การสร้างการรับรู้ ซึ่งเป็นการทำให้คนรู้จักแบรนด์ สินค้าของคุณ การสร้างการพิจารณา การทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามามีบทบาทกับโฆษณาของคุณ และ การสร้างคอนเวอร์ชั่น ให้กับกลุ่มเป้าหมาย ประเภทของโฆษณาเฟสบุ๊ค มีทั้งหมด 5 ประเภท ดังต่อไปนี้
Image Ads - โฆษณารูปแบบรูปภาพ
Video Ads - โฆษณารูปแบบวิดีโอ
Carousel Ads - โฆษณารูปแบบภาพสไลด์
Collection Ads - โฆษณารูปแบบคอลเลกชั่นรูปภาพ

Image Ads

เป็นโฆษณารูปแบบที่ใช้ภาพเกี่ยวกับแบรนด์ หรือ สินค้าในการดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสามารถเลือกให้โฆษณาแสดงรูปภาพบนฟีดข่าวได้ เพื่อกระตุ้นให้คนเกิดความสนใจ นอกจากรูปภาพแล้วยังสามารถเพิ่มข้อความอธิบายได้ ซึ่งไม่ควรให้เกิน 30 ตัวอักษร
ประเภทของไฟล์ภาพที่แนะนำ : ไฟล์ JPG หรือ PNG
อัตราส่วนภาพที่แนะนำ : 1:1 (1080 x 1080 px) หรือ 1.91:1 (1080 x 565 px)
ข้อดีของโฆษณารูปแบบนี้ : เข้าใจได้ง่าย แสดงให้เห็นรูปของแบรนด์ สินค้าได้อย่างชัดเจน
เหมาะสำหรับใช้งานแบบไหน : การโปรโมทสินค้า สร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์
 
Video Ads

รูปแบบของโฆษณาที่จะช่วยในการนำเสนอสินค้า บริการของคุณให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสร้างการจดจำได้ง่าย อาจจะใช้วิดิโอที่มีทั้งภาพ และ เสียงเพื่อความน่าสนใจ ควรใช้วิดีโอสั้นๆ อย่างน้อย 6 นาทีหรือสั้นกว่านั้น เพื่อความกระชับ
ช่องทาง และ อัตราส่วนของวิดีโอที่แนะนำ : ฟีดข่าว (4:5) สตอรี่ (9:16) และ สตรีม (16:9)
ข้อดีของโฆษณารูปแบบนี้ : ดึงดูดความสนใจได้ดี ดูแล้วเข้าใจได้ง่ายไม่จำเป็นต้องใช้ข้อความช่วย
เหมาะสำหรับใช้งานแบบไหน : ทำให้คนรู้จักแบรนด์ สินค้าเรามากยิ่งขึ้น และ ช่วยในการโน้มน้าวใจลูกค้า
 
Carousel Ads

เป็นโฆษณารูปแบบของสไลด์แสดงรูปภาพ และ วิดีโอ ที่ช่วยให้คุณสามารถแสดงรูปภาพ วิดีโอต่างๆ ได้หลายๆชิ้นในโฆษณาตัวเดียว  (ภาพ/วิดีโอตั้งแต่ 2 ขึ้นไป) ซึ่งแต่ละภาพ หรือ วิดีโอก็สามารถที่จะคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ หรือ ลิ้งค์ของคุณได้ อีกทั้งยังทำให้สามารถเล่าเรื่องเป็นเรื่องราวที่ต่อกันได้
อัตราส่วนของวิดีโอที่แนะนำ : 1.91:1
ข้อดีของโฆษณารูปแบบนี้ : สามารถดึงลูกค้าไปยังลิ้งค์อื่นๆ หรือ เว็บไซต์เพิ่มเติมได้ และ สามารถเข้าถึงสินค้าได้หลากหลายชนิด
เหมาะสำหรับใช้งานแบบไหน : ใช้ในการแสดงสินค้าที่ต้องการแนะนำ หรือ โปรโมท และ ใช้ในการเล่าเรื่อง แสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องกัน
 
Collection Ads

เป็นโฆษณารูปแบบของรูปภาพ หรือ วิดีโอที่ช่วยให้เข้าถึงสินค้า ของคุณมากยิ่งขึ้น ใช้ในการแสดงให้เห็นสินค้ามุมต่างๆ หรือ สีต่างๆ หรือ สินค้าที่ต้องการโปรโมทในคอลเลกชั่นเดียวกัน โดยจะแสดงรูปแบบของโฆษณาเป็นรูปเล็กๆ แต่เมื่อคลิกเข้าไปจะกลายเป็นรูปขนาดเต็มหน้าจอ (Instant Experience)
รูปแบบของคอลเลกชั่นที่แนะนำ : รูปแบบของคอลเลกชั่นคือจะมีรูปหลัก และ รูปย่อยๆแบบ 1+3 (รูปปก 1 + รูปเล็ก 3) และ 1+2 (รูปปก 1 + รูปเล็ก 2)
อัตราส่วนภาพที่แนะนำ : 1+3 ให้ใช้รูปปกขนาด 720 x 1080 px + รูปเล็กขนาด 1:1 และ คอลเลกชั่นแบบ 1+2 ให้ใช้รูปปกขนาด 540 x 1080 px + รูปเล็กขนาด 1:1
ข้อดีของโฆษณารูปแบบนี้ : ช่วยทำให้เห็นสินค้าได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะไม่เหมือนแบบสไลด์ที่ต้องปัดเพื่อดูสินค้าเพิ่มเติม และ กระตุ้นให้คนคลิกเข้าไปดูสินค้ารูปใหญ่ เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม
เหมาะสำหรับใช้งานแบบไหน : นำเสนอสินค้าที่เป็นเช็ต หรือ นำเสนอสินค้าหลายๆชิ้นในคอลเลกชั่นเดียวกัน
 
 

ทำอย่างไรให้ Ads ดึงดูดใจลูกค้า!!!
นอกจากการเลือกรูปแบบของโฆษณาให้เหมาะสมกับแบรนด์ สินค้า หรือ กลุ่มเป้าหมายแล้ว ยังต้องอาศัยเทคนิคในการดึงดูดใจลูกค้าอีกด้วย ซึ่งจะทำให้โฆษณาของคุณน่าสนใจมากยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเข้าใจผู้บริโภคว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร ความสนใจ และ พฤติกรรมเป็นอย่างไร
-ข้อความดึงดูดใจ นอกจากรูปภาพที่จะต้องดูสวยงามแล้ว คนยังให้ความสนใจกับข้อความที่โดดเด้นอีกด้วย อาจจะใช้ข้อความที่สื่อถึงสินค้า ที่สั้นแต่กระชับ ได้ใจความโดนใจลูกค้า โดยดูจากพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากกลุ่มเป้าหมายเป็นแม่บ้าน หรือ คนวัยทำงาน ก็ให้ข้อความที่เน้นโปรโมชั่น อาทิ โปรแรงลดกว่าครึ่ง , โปรโมชั่นลดหนักแจกเต็มๆ หากเป็นวัยรุ่นอาจจะใช้ข้อความที่เป็นที่นิยม เช่น ลดกระหน่ำปังไม่ไหว เป็นต้น
-ข้อความที่เป็นคำถาม/คำตอบ การสร้างข้อความที่เป็นคำถามเพื่อดึงให้ลูกค้าอยากหาคำตอบให้เหมาะกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น การใช้คำที่อยู่ในชีวิตประจำวัน อาทิ เบื่อไหมการ shopping แบบเดิมๆ? , แก้ปัญหาเรื่องที่คุณกังวลคลิกอ่านเลย เพื่อที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายนึกถึงโฆษณาเรา
-วิดีโอและรูปภาพที่โดดเด่น ใช้วิดีโอเพื่อดึงดูดความสนใจให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากเป็นวัยรุ่น ให้ทำการใส่เพลงประกอบ หรือ ใช้เนื้อหาที่แตกต่างๆโดยอาศัยการเล่าเรื่อง หรือ มุมมองอื่นๆในกลุ่มวัยผู้ใหญ่ แต่ไม่ควรให้เนื้อหาของวิดีโอไม่ควรยาวจนเกินไป เน้นเนื้อหาที่กระชับ ได้ใจความ หากเป็นรูปภาพ ให้ทำ Artwork ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ต้องเน้นรูปให้ดึงดูดในกลุ่มผู้ใหญ่ เน้นรุปประกอบน่ารักในกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น
-เน้นการใส่ชื่อของแบรนด์เพื่อสร้างการรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นรูป หรือ วิดีโอควรใส่ logo หรือ ชื่อ เพื่อสร้างการจดจำ การรับรู้ของแบรนด์ ยิ่งคนเห็นก็จะยิ่งทำให้คนจดจำเราได้ หรือ การใช้สีให้โดดเด่นเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย หากกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใหญ่อาจจะใช้สีที่ดึงดูด แต่ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป เพื่อสร้างความจำ
-สร้างสไตล์แบบเฉพาะ คล้ายๆกับเราใส่ชื่อแบรนด์เพื่อสร้างการรับรู้ แต่เป็นการทำรูป วิดีโอ สไตล์ของเรา เมื่อคนเห็นก็จะรู้ว่านี่เป็นแบรนด์ของคุณ และ เลือกนำเสนอให้เหมาะสม เช่น การวางภาพ สไตล์ของภาพ ควรจะเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่เราเลือก
 
ทำการตลาดกับเราพร้อมวางแผนเพื่อธุรกิจของคุณ
เราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ที่ให้บริการในด้านของการทำ SEM SEO รวมทั้ง การยิงAds และ รูปแบบการทำการตลาดรูปแบบอื่นๆ อีกทั้งเรายังช่วยในเรื่องการวิเคราะห์และทำความเข้าใจธุรกิจตลอดจนการวางแผน และ ออกแบบรูปแบบการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณพร้อมทีม Support ที่ช่วยดูแลธุรกิจของคุณ ให้สามารถทำยอดขาย และ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
 
 
สามารถติดต่อสอบถาม bemyfriend ทางช่องทางอื่นๆได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


232

น้องๆหลายๆคน อาจจะต้องเคยรู้สึกท้อใจ เรียนไม่ไหว วาดรูปไม่เก่ง เหนื่อยกับการสอบเข้าสถาปัตย์ น้องๆหลายๆคนก็อาจจะเตรียมตัวไม่ถูก เพราะไม่ได้มีพื้นฐานด้านศิลปะมาก่อน วันนี้พี่ๆทาง viridian academy of art เลยจะมาแนะนำส่ิงที่น้องๆควรต้องรู้ก่อนสอบเตรียมตัวเข้าสถาปัตย์ ที่จะช่วยให้น้องๆในการเตรียมตัวให้พร้อม จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย!!!!
มาทำความรู้จักว่า สถาปัตย์คืออะไร กันดีกว่า!!!
สถาปัตย์ หรือ ชื่อเต็มๆคือ สถาปัตยกรรม (Architecture) คือ ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของการออกแบบสิ่งต่างๆทางกายภาพ โครงสร้างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทั้ง บ้าน ตึกอาคาร สะพาน อนุเสาวรีย์  ทั้งภายใน และ ภายนอก รวมไปถึงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมรอบๆสิ่งก่อสร้างด้วย ซึ่งคณะสถาปัตย์มีสาขาย่อยๆ และ ชื่อเรียกที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น
สามารถอ่านบทความ คณะสถาปัตย์เรียนเกี่ยวกับอะไร เพิ่มเติมได้
ถ้าจะเข้าสถาปัตย์ ต้องเรียนสายอะไร?

การจะสอบเข้าคณะสถาปัตย์ แต่ละมหาวิทยาลัยก็จะมีการรับนักเรียนในสายที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแต่ละสายที่รับก็จะขึ้นอยู่กับการสอบแต่ละรูปแบบ ซึ่งสามารถแบ่งรูปแบบได้เป็น 4 รูปแบบ
-ข้อสอบกลางสทศ อันได้แก่ GAT PAT (สอบPAT4) , 9 วิชาสามัญ , O-net และ admission สามารถสมัครได้ทุกสายการเรียน
-ข้อสอบตรงคณะสถาปัตยกรรม เป็นข้อสอบที่ออกโดยมหาวิทยาลัยนั้นๆ สามารถสมัครได้ทุกสายการเรียน
-แบบยื่นโควต้า รับเฉพาะสายการเรียนวิทย์-คณิต และ ศิลป์-คำนวณ
-แบบยื่น Portfolio รับเฉพาะสายการเรียนวิทย์-คณิต และ ศิลป์-คำนวณ และ ศิลป์-ภาษา
เราชอบสถาปัตย์จริงไหมค้นหาตัวเองก่อน เข้าสถาปัตย์ ?

เริ่มต้นจากการเข้าใจตนเองก่อน ให้น้องๆพิจารณาตนเองว่า น้องๆชอบสถาปัตยกรรมด้านไหน สาขาใดเป็นพิเศษ เช่น น้องชื่นชอบการออกแบบ จัดวางเฟอร์นิเจอร์ การตกแต่งภายในเป็นพิเศษ แสดงว่าน้องเหมาะสำหรับสาขาสถาปัตยกรรมภายใน เมื่อน้องๆรู้ตัวว่าชอบสาขาไหน จะทำให้น้องๆวางแผนการสอบได้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น กว่าการสอบกว้างๆแบบที่ไม่เจาะจงสาขา
-หมั่นเข้าค่าย หรือทำ work shop เมื่อน้องๆรู้ว่าน้องชื่นชอบสาขาไหนของสถาปัตย์แล้ว ให้น้องๆหาเวลาว่างในการไปเข้าค่าย หรือ work shop ทางด้านสาขาที่น้องๆอยากจะสอบเข้า การเข้าค่ายจะทำให้น้องๆได้เรียนรู้ และ ยังช่วยเพิ่มทักษะในด้านที่น้องๆชอบอีกด้วย ทั้งการวาดภาพ การออกแบบ อีกทั้งยังได้ประสบการณ์จากรุ่นพี่ และ ผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย
-ฝึกทำข้อสอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าต้องการสอบเข้าคณะสถาปัตย์สาขาที่ต้องการจริงๆ ให้น้องๆ หาข้อสอบที่ต้องใช้ในการสอบมาลองทำ ทั้งข้อสอบความรู้ และ  ข้อสอบความถนัดทางสถาปัตย์(Pat4) โดยให้แบ่งสัดส่วนที่ต้องเน้นตามสัดส่วนคะแนนที่มหาวิทยาลัยคณะ และ สาขานั้นต้องการ (*ข้อสอบและคะแนนอาจมีการปรับเปลี่ยนตามปี มหาวิทยาลัยนั้นๆ)
-ปรึกษาอาจารย์แนะแนว เมื่อทำการเตรียมตัวเบื้องต้นแล้ว อาจารย์แนะแนวยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเรียนต่อ สอบเข้า การสอบถามกับอาจารย์แนะแนวจะทำให้น้องๆได้รู้ข้อมูลในการสอบเพิ่มเติม
-จำลองการสอบ ถึงแม้จะได้ฝึกทำข้อสอบมาแล้ว แต่ก็ยังอาจจะไม่สามารถกะเวลา หรือ ยังขาดทักษะในการแก้ปัญหา ให้น้องๆลองทำการจำลองข้อสอบเสมือนจริง ทั้งจากในเว็บไซน์ที่มีการจัดสอบออนไลน์ ในการกะเวลา และ ฝึกโจทย์ใหม่ๆ เพื่อจะได้ช่วยลดความตื่นเต้นในการสอบจริง
-หาความรู้เพิ่มเติมจาก open house นอกจากการเข้าค่ายที่น้องๆควรจะไปหาประสบการณ์แล้ว การไป open house ยังถือว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น้องๆไม่ควรพลาด โดยเฉพาะกับการไปคณะ มหาวิทยาลัยที่ชื่นชอบ เพื่อดูสภาพแวดล้อม การเรียนการสอน อีกทั้งยังได้ข้อมูลเพิ่มเติม แนวข้อสอบ รวมไปถึงการได้contactรุ่นพี่ ในการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกด้วย
ให้ลองวาดรูป ออกแบบงานบ่อยๆ การฝึกฝนบ่อยๆจะทำให้น้องๆรู้ว่า งานเป็นอย่างไร ภาพรวมของงาน แล้วให้ลองดูว่าเราสามารถทำมันได้ดี และ ชอบมันจริงๆหรือไม่
ต้องวาดรูปเก่งไหม ทักษะไหนจำเป็น?

คำถามที่น้องๆหลายคน ที่อยากสอบเข้าคณะสถาปัตย์ต้องการรู้มากที่สุด ทักษะไหนจำเป็นในการเรียนสถาปัตย์ มาดูกันเลย
-ทักษะการวาดรูป แม้ว่าจะมีการออกแบบ ร่างแบบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องวาดรูปอย่างเดียวแม้พื้นฐานการวาดจะไม่เทพมาก แต่เพียงเข้าใจหลักการออกแบบ การเขียนภาพ เพราะเดี๋ยวนี้จะเน้นการใช้ภาพสามมิติมากยิ่งขึ้น
-ทักษะทางคณิตศาสตร์ และ ฟิสิกส์ น้องๆหลายๆคนคงจะงงว่า อุส่าห์หนีวิชาการมาแต่ทำไมต้องมาเจอวิชาการอีก เพราะ โครงสร้างต้องอาศัยการคำนวณ ความแม่นยำสูง (*ขึ้นอยู่กับสาขาและมหาลัยที่เรียนด้วย)
-ทักษะทางภาษาอังกฤษ เพราะ เนื้อหาของงานออกแบบ ตำรำ ไอเดีย ข้อมูลหลายๆอย่าง มักจะเป็นภาษาอังกฤษ การที่ได้ภาษาจะช่วยให้ง่ายต่อการหาข้อมูล
-ทักษะอื่นๆ นอกจากการวาดภาพแล้ว ยังต้องอาศัยทักษะในด้านต่างๆ ทั้งการออกแบบ การศึกษาพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม ทฤษฎีโครงสร้าง กฎหมาย และ อีกหลายๆเรื่อง (*ขึ้นอยู่กับสาขาและมหาลัยที่เรียนด้วย)
เตรียมตัวสอบ เข้าสถาปัตย์ !!!
ข้อสอบเข้าสถาปัตย์จะมีทั้งแบบ ปรนัยเพื่อวัดความรู้ ที่เป็นเรื่องความรู้ทางศิลปะ แสง เสียง ลม ความร้อน การจัดวางพื้นที่ กฎหมายอาคาร การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มิติสัมพันธ์ เรขาคณิต ความเชื่อมโยงต่างๆ ข้อสอบมิติสัมพันธ์แสงเงา (Isometric) ที่จะเป็นเรื่องของมิติ 2-3 มิติ การหาพื้นที่แรงเงา ข้อสอบการออกแบบ2มิติ (Graphic design) เป็นการให้ออกแบบสัญลักษณ์ รูป ตามโจทย์ที่กำหนดไว้ ข้อสอบการออกแบบ3มิติ (Sketch design) ส่วนใหญ่จะเป็นการให้ออกแบบสิ่งใช้สอย ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ ตามโจทย์ที่กำหนดไว้ และ ข้อสอบแบบPerspective ที่โจทย์จะระบุสถานที่ เหตุการณ์ ให้น้องๆวาดออกมา ต้องวาดให้หมดตามที่โจทย์กำหนดเอาไว้
สามารถอ่านข้อมูล ติวสถาปัตย์นอกจากPAT4 เพิ่มเติมได้
หากผิดแผนควรเตรียมตัวอย่างไร?
การวางแผนเพื่อเตรียมตัวสอบเข้า ควรรีบเตรียมตัวตั้งแต่ต้นๆ อย่างเร็วคือช่วง ม.4 อย่าให้เกิน ม.5 เพราะ การฝึกฝนจำเป็นต้องใช้เวลาในการพัฒนาทักษะ และ หาความรู้เพิ่มเติม ไม่ใช่สิ่งที่จะทำข้ามคืนได้ ดังนั้นหากใครที่เริ่มช้าไป ในช่วงม.5-6 ที่กำลังจะเข้าสู่การสอบ น้องจะต้องพยายามมากขึ้นเป็นพิเศษ หากคนอื่นพยายาม 1 เท่า น้องจะต้องพยายามมากกว่าคนอื่นเป็นทวีคูณ
-เร่งทำข้อสอบ โดยให้เลือกการรับสมัครเพียงไม่กี่ที แต่ให้ทุ่มให้สุดตัว ไม่เผื่อเลือกมาก เพราะ การรับแต่ละรูปแบบใช้วิธี และ สัดส่วนคะแนนที่ต่างกัน ทั้งข้อสอบวิชาการ ข้อสอบความถนัด (ศึกษาการรับ คะแนน ให้ดีโดยพยายามอัพเดตให้ใหม่อยู่เสมอ)
-ฝึกทักษะที่ต้องใช้ในการสอบ หากฝึกพื้นฐานไม่ทัน ให้ใช้ตัวช่วย เช่น เรียนพิเศษ กวดวิชา
-ลองสอบข้อสอบเสมือนจริงที่เปิดให้ลองสอบ อาจจะเป็นออนไลน์ หรือ ออฟไลน์ โดยให้น้องๆพยายามเสมือนสอบเข้าจริง เพื่อที่จะได้รู้จุดอ่อนของเรา เช่น เวลาในการทำ การตีโจทย์ ทักษะที่ขาดไป แล้วนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น
 
ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี เลือกเรียนที่ VA
หากน้องๆคนไหนมีความกังวลเรื่องทักษะความรู้ ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี หรือ เตรียมตัวช้า ไม่ได้ฝึกฝีมือตั้งแต่ตอนต้น พี่ๆ viridian academy of art ช่วยน้องได้ เพราะ เราสอนตั้งแต่พื้นฐาน เตรียมตัวน้องให้พร้อมสอบติดคณะที่ใช่ เพราะที่นี่เรียนได้แม้ไม่มีพื้นฐานก็ตาม น้องๆสามารถปรึกษาเพิ่มเติมกับพี่ๆ VA เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้
"เลือกโรงเรียนสอนศิลปะ เลือกเรียนกับVA"

 
สามารถติดตาม viridian academy of art ช่องทางต่างๆได้ดังนี้
เบอร์โทรศัพท์ : 083-615-2391
Facebook : viridian academy of art
Line : @viridian
Instargram : viridian academy of art
Email : viridian.academy.2019@gmail.com



233

UTM คือ ทำไมการทำตลาดออนไลน์ต้องใช้ให้เป็น?
การทำโฆษณาบน Facebook , การทำ SEO SEM เมื่อเราทำการตลาดไปแล้วเราจะวัดผลของการทำการตลาดได้อย่างไรกัน มารู้จัก UTM คือ อะไร จะช่วยการวัดผลได้อย่างไร ก่อนที่เราจะไปรู้จักตัวที่ใช้วัดผล เรามารู้จักกับ Parameter ซึ่งเป็นตัวแปรที่เราจะใช้ในการวัดผลของการทำการตลาด ว่าคนเหล่านั้นมาจากไหน ช่องทางไหนที่พาคนเข้ามา หรือ มาจากโฆษณาตัวไหนกันแน่ ซึ่งเมื่อคุณรู้จักตัวแปร รู้จักUTMก็จะทำให้คุณสามารถวิเคราะห์ได้ว่า การตลาดที่คุณทำประสบความสำเร็จหรือไม่
UTM คือ อะไร ย่อมาจากอะไร?
UTM หรือ ชื่อเต็มๆคือ Urchin Tracking Modules ซึ่งก็คือ ชุดของตัวแปร(Parameter) ที่เราใส่ต่อท้ายจากลิ้งค์ปกติของเว็บไซต์(URL) เพื่อใช้ในการตรวจสอบ Traffic ว่าคนที่คลิกลิ้งค์ของเรา มาจากช่องทางไหนบ้าง เพื่อใช้ในการนำข้อมูลไปวิเคราะห์ และ รายงานผล(reports) ได้อย่างถูกต้อง โดยบางคนอาจจะเรียก UTM ว่า UTM Code , UTM Tracking หรือ UTM Parameter
ซึ่งหากพูดให้เข้าใจง่ายๆ UTM ก็เหมือนกับตัวบอกพิกัดในการทำการตลาดออนไลน์นั้นเอง ที่ใช้บอกว่าคนเข้ามาจากช่องทางไหนนั้นเอง ซึ่งจะสังเกตได้จาก URL ที่ยาวมากๆ
 
 

รู้จักโครงสร้างของ UTM
ก่อนที่เราจะใช้งาน UTM เพื่อตรวจสอบ Traffic ที่จะเข้ามา จาก Parameter (ตัวแปรต่างๆ) เราควรที่จะรู้จักโครงสร้างของ UTM กันก่อน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ตัวแปร ดังต่อไปนี้
-utm_source
-utm_medium
-utm_campaign
-utm_term
-utm_content


Source

ถือว่าเป็นตัวแปรที่ใช้งานกันค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นตัวแปรที่ใช้บอกได้ว่า ต้นทางที่นำเข้ามาสู่เว็บไซต์มากจากที่ไหน ใช้ในการระบุผู้ที่ลงโฆษณา ที่เป็นต้นทางในการส่งให้คนเข้ามาสู่เว็บไซต์ของเรา เช่น Google , Facebook , Ads หรือ พวกโฆษณาต่างๆ
ตัวอย่างเช่น - เราทำ SEO บนเว็บไซต์หนึ่งบน Google ชื่อเว็บไซต์ว่า Shop01 (เว็บไซต์สมมติ) แสดงว่า soure ต้นทางของเราก็คือ Shop01 นั้นเอง ทำให้เราสามารถรู้ได้ว่ามีใครบ้างที่เข้ามาจากโฆษณาบน Shop01
ตัวอย่างการใส่ UTM - utm_source=Shop01
 
Medium

เป็นตัวแปรที่ใช้บอก ช่องทาง หรือ ประเภทของคนที่เข้ามาจากต้นทาง ว่าคนที่คลิกลิ๊งค์ของเรา เขาคลิกเข้ามาจากสื่อโฆษณา หรือ การตลาดช่องทางไหน เช่น มาจาก Google (SEO) , SEM , Banner หรือ การBoostpost เป็นต้น ซึ่งเป็นการบอกว่าอะไรที่นำคนเข้ามาสู่เว็บไซต์
ตัวอย่างเช่น - คนคลิกโฆษณาของเราบนเว็บไซต์ Shop01 ที่เราได้ทำ SEO เอาไว้ แสดงว่า SEO เป็น Medium ในการนำคนเข้ามาสู่เว็บไซต์ของเรานั้นเอง
ตัวอย่างการใส่ UTM - utm_medium=SEO
 
Campaign

เป็นตัวแปรที่ใช้ในการบอกชื่อของแคมเปญ ที่นำคนเข้ามาสู่เว็บไซต์ของเรา ว่ามาจากโฆษณาตัวไหน เช่น Flash sela , Big sela หรือ Brand sale เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น - เราทำการลงโฆษณาแบบ Ads หลายตัวบนFacebook โดยแคมเปญที่นำคนเข้ามาสู่เว็บไซต์ของเราเยอะๆ คือ แคมเปญ Big sela นั้นทำให้เรารู้ได้ว่าแคมเปญตัวไหนดีไม่ดีได้
ตัวอย่างการใส่ UTM - utm_campaign=Big sela
 
Term

เป็นการใส่คำค้นหา (Keyword) เพื่อบอกว่าคนที่เข้ามาสู่เว็บไซต์ของเรามาจาก Keyword อะไร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคำที่คนนิยมใช้ หรือ เสียเงินเพื่อซื้อคีย์เวิร์ดมา
ตัวอย่างเช่น - เราซื้อคำว่า หน้ากากอนามัย และ เจลล้างมือ เมื่อมีคนคลิกเข้ามา ด้วยคีย์เวิร์ดใดก็จะทำให้รู้ว่า คีย์เวิร์ดไหนคนคลิกเข้ามาเยอะมากกว่า
ตัวอย่างการใส่ UTM - utm_term=หน้ากากอนามัย (หากเป็นชื่อภาษาไทยจะกลายเป็นลิ้งค์ภาษาแปลกๆที่ยาวมากยิ่งขึ้น)
 
Content

ใช้ในการแยกเนื้อหาของคอนเทนต์ ว่าคนที่คลิกเข้ามามาจากคอนเทนต์ตัวไหน คอนเทนต์ไหนที่คนให้ความสนใจ เป็นต้น อีกทั้งยังทำให้สามารถแยกลิ้งค์หลายๆลิ้งค์ ที่อยู่ในโฆษณาเดียวกันได้ว่าคนคลิกจากลิ้งค์บทความไหนอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น - เราทำ SEO เกี่ยวกับเสื้อผ้าการแต่งกาย 2 ตัว คือ คอนเทนต์เสื้อผ้าเกาหลี และ คอนเทนต์เสื้อผ้า2020 จะทำให้เรารู้ว่าคอนเทนต์ไหนคนให้ความสนใจ
ตัวอย่างการใส่ UTM - utm_content=คอนเทนต์เสื้อผ้า2020 (หากเป็นชื่อภาษาไทยจะกลายเป็นลิ้งค์ภาษาแปลกๆที่ยาวมากยิ่งขึ้น)
 

ประโยชน์ของการทำ UTM
นอกจากจะสามารถบอกพิกัด ที่มาของคนที่เข้ามาสู่เว็บไซต์ (Traffic) UTM ยังมีประโยชน์ที่สามารถนำใช้ในการทำการตลาด ดังต่อไปนี้
-ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เนื่องจากสามารถรู้ได้ถึงที่มาของTraffic ที่ชัดเจน ทำให้ข้อมูลที่เราได้ถูกต้อง แม่นยำ
-ทราบช่องทางที่ได้ผลดี สามารถเทียบได้ว่าสื่อที่เราใช้ ช่องทางไหนให้ผลตอบรับที่ดี
-เปรียบเทียบผลของโฆษณาที่ทำได้ ทำให้เราทราบว่าแคมเปญที่เราทำอยู่ มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ตัวไหนดีไม่ดี
 
 
ทำการตลาดกับเราวิเคราะห์ขาดทุกธุรกิจ!!!
เราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ที่ให้บริการในด้านของการทำ SEM SEO รวมทั้ง การยิงAds และ รูปแบบการทำการตลาดรูปแบบอื่นๆ อีกทั้งเรายังช่วยในเรื่องการวิเคราะห์และทำความเข้าใจธุรกิจตลอดจนการวางแผน และ ออกแบบรูปแบบการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณพร้อมทีม Support ที่ช่วยเหลือธุรกิจของคุณ ให้สามารถทำยอดขาย และ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency



234

วัตถุประสงค์โฆษณา facebook ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้โฆษณาของคุณปังกว่าเดิม เพราะ แต่ละกลุ่มเป้าหมายก็ใช้วิธีในการโฆษณาที่แตกต่างกัน เวลายิง ADs บนfacebook ยิงใน Ads manager จะสามารถตั้งค่าพวกนี้ได้ดีกว่า แล้วแบบนี้ต้องเลือกวัตถุประสงค์ในการโฆษณาอย่างไร ถึงจะทำให้เราปังกว่าคู่แข่งไปอ่านในบทความกันเลย!!!!
 
 
Highlight  วัตถุประสงค์การโฆษณา ที่ต้องรู้!!!
-วัตถุประสงค์โฆษณาfacebookแบบ Objective
-หลักในการเลือกวัตถุประสงค์ ดูจากอะไรบ้าง?
 

วัตถุประสงค์โฆษณา Facebook แบบ Objective
สำหรับใครที่เป็นเจ้าของธุรกิจ และ ต้องพึ่งจะมาเริ่มทำการตลาดประเภทของ Ads โฆษณา บนช่องทางเฟสบุ๊ค อาจจะรู้คร่าวๆมาอยู่แล้วว่า การยิงโฆษณาสามารถช่วยทำให้คนรู้จักสินค้าของเรามากยิ่งขึ้น และ ยังช่วยเพิ่มยอดขายให้เราอีก แต่จริงๆแล้ววัตถุประสงค์โฆษณามีอะไรที่มากกว่านั้น สามารถแบ่งประเภทของประวัตถุประสงค์การโฆษณาออกได้เป็น 3 หมวดใหญ่ๆ ดังนี้
-Awareness (การสร้างการรับรู้)
-Consideration (การสร้างการพิจารณา)
-Conversion (การสร้างคอนเวอร์ชั่น)

 
1.Group Awareness

การสร้าง Awareness เสมือนเป็นการทำให้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเรารู้จักแบรนด์ หรือ สินค้าและบริการของเรามากยิ่งขึ้น สามารถที่จะเห็นโฆษณาของเรา เป็นการโฆษณาในการเข้าถึงคนจำนวนมาก เน้นให้คนเห็นและรู้จักเรา ถือว่าเป็นการทำการตลาดแบบวงกว้าง ซึ่งสามารถแบ่งวัตถุประสงค์ในการโฆษณาได้เป็น 2 ประเภทย่อยๆดังต่อไปนี้
-Brand Awareness - การรับรู้แบรนด์
-Reach - การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย


Brand Awareness (การรับรู้แบรนด์)
เป็นการทำความรู้จัก สร้างความคุ้นเคยระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรกับลูกค้า เพียงแต่ทำให้ลูกค้าจดจำเราได้เท่านั้น เน้นที่จะทำให้คนเห็นเราบ่อยๆ และ จดจำเราได้
เหมาะสำหรับ - การทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก เพื่อทำให้คนเห็นโฆษณา เห็นคุณบ่อยมากยิ่งขึ้น จนสามารถจดจำแบรนด์ของคุณได้ ซึ่งเป็นการสร้างความรู้จัก
Reach (การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย)
เป็นการทำให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เยอะมากยิ่งขึ้น เน้นการทำให้คนที่เห็นโฆษณาของเรามากกว่าการเน้นที่จำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฎ ซึ่งแตกต่างจากBrand Awareness พยายามเน้นการกระจายให้คนกลุ่มต่างๆเห็น เสมือนการเน้นที่ปริมาณคนที่เห็น
เหมาะสำหรับ - สร้างฐานลูกค้าที่ในวงกว้าง เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการทำการโฆษณาให้คนที่เห็นเราเยอะที่สุดเท่าที่ทำได้
 
2.Group Consideration

เน้นจำนวนผู้เข้าชม และ การมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย

เน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อดึงกลุ่มเป้าหมายให้เข้าสู่การสั่งซื้อ

เป็นการทำให้กลุ่มเป้าหมาย เข้ามา action กับโพสต์ เมื่อเราทำให้สร้าง Awareness ให้แบรนด์แล้ว แต่กลุ่มเป้าหมายก็ยังไม่รู้จักแบรนด์ของเรามากนัก จึงต้องกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายเกิดปฎิสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์สินค้า ซึ่งถือว่าเป็นการการทำการตลาดที่แคบลงมาจากแบบแรก ในการช่วยกรองคนที่สนใจได้ในระดับหนึ่ง สามารถแบ่งวัตถุประสงค์ในการโฆษณาออกมาได้เป็น 6 ประเภทย่อยๆ ดังต่อไปนี้
Traffic - จำนวนผู้เข้าชม
Engagement - การมีส่วนร่วม
Message - ข้อความ
Video Views - จำนวนการรับชมวิดีโอ
Lead Generation - การสร้างลูกค้าเป้าหมาย
App Installs - จำนวนการติดตั้งแอพพลิเคชั่น

Traffic (จำนวนผู้เข้าชม)
การทำดึงให้ผู้คนเข้าไปยังเว็บไซต์ หรือ ออกจากเฟสบุ๊คไปยังช่องทางอื่นๆ ที่เป็นหน้าสินค้าโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น line , Blog , App , Messenger เป็นต้น เพื่อทำให้ลูกค้า หรือ กลุ่มเป้าหมาย ได้รู้จัก เห็นข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม และ นำไปสู่การสั่งซื้อ
เหมาะสำหรับ - การเพิ่มช่องทางในการดึงคนเข้าไปสู่ช่องทางต่างๆของเรา เพื่อนำไปสู่การซื้อสินค้า และ การทำให้คนรู้จักช่องทางอื่นๆของเรามากยิ่งขึ้น
Engagement (การมีส่วนร่วม)
เป็นการสร้างปฎิสัมพันธ์ให้กับกลุ่มเป้าหมายกับแบรนด์ ด้วยการไลค์ , การคอมเม้นต์ , แชร์ ทางใดทางหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์มากหากว่ามีโพสต์ตัวใดตัวหนึ่งของคุณที่มีค่าการเข้าชมสูงๆ(Organic) การทำให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมยังเหมาะกับการนำการตลาดแบบ remarketing ซึ่งเป็นรูปแบบของโฆษณาที่จะติดตามกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามายังเว็บไซต์ของเรา เพื่อสร้างความสัมพันธ์ให้กับลูกค้า
เหมาะสำหรับ - การทำ Social Proof (การทำให้ความเห็นของผู้อื่นๆที่แสดงความคิดเห็นบนโพสต์ ช่วยโน้มน้าวจิตใจของกลุ่มเป้าหมายในการตัดสินใจและพฤติกรรมที่มีต่อแบรนด์) และ ยังช่วยในการขยายฐานลูกค้าด้วยการทำ remarketing
Message (ข้อความ)
เป็นการดึงคนให้เข้าสู่การสนทนา หรือ สอบถามกับแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางของ facebook หรือ ช่องทางอื่นๆ เพื่อดึงให้เข้าสู่การขาย ซึ่งจะทำหน้าที่ในการส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายโดยตรง อีกทั้งยังสามารถปรับแต่งข้อความอัตโนมัติได้อีกด้วย
เหมาะสำหรับ - การนำเสนอสินค้า เพื่อโน้มน้าวใจให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณ ซึ่งถือว่าเป็นวัตถุประสงค์ที่เข้าถึงการตัดสินใจลูกค้าได้มาก(การนำสินค้าไปเสนอขายถึงที่)
Video Views (จำนวนการรับชมวิดีโอ)
รูปแบบของโฆษณาแบบวิดีโอ ถือว่าเป็นการตลาดอีกรูปแบบที่ช่วยในการโน้มน้าวใจของลูกค้า ซึ่งวิดีโอบน Facebook มีความคล้ายคลึงกับ video ads บน Youtube โฆษณาแบบวิดีโอสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย อีกทั้งหากคนไหนดูวิดีโอเราก็ยังสามารถทำการ remarketing ได้อีกด้วย Video Views สามารถปรับแต่งได้ 3 แบบ ทั้ง
-ThruPlay - หากดูวิดีโอจนจบ หรือ อย่างน้อย 15s โฆษณาจะถูกส่งไปให้กลุ่มเป้าหมาย
-10 second video views - หากดูวิดีโออย่างน้อย 10s โฆษณาจะถูกส่งไปให้กลุ่มเป้าหมาย
-2 second continuous video views - หากดูวิดีโอต่อเนื่องอย่างน้อย 2s โฆษณาจะถูกส่งไปให้กลุ่มเป้าหมาย

เหมาะสำหรับ - การโน้มน้าวใจกลุ่มเป้าหมายให้สนใจสินค้าและบริการของแบรนด์ เน้นไปที่การมีส่วนร่วมของระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย
Lead Generation (การสร้างลูกค้าเป้าหมาย)
เป็นเสมือนการสร้างฐานข้อมูลของลูกค้า ด้วยการเก็บข้อมูลเบื้องต้นของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ , ที่อยู่ , อีเมล เป็นต้น ด้วยการให้กลุ่มเป้าหมาย ลูกค้า กรอกแบบฟอร์ม
เหมาะสำหรับ - การเก็บข้อมูลของลูกค้าเพื่อนำมาทำ CRM (การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า) เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และ ปรับใช้กับแบรนด์
App Installs (การติดตั้งแอพพลิเคชั่น)
เป็นวัตถุประสงค์ที่เน้นให้คนทำการติดตั้งแอพพลิเคชั่น โดยการบอกถึงประโยชน์ของแอพพลิเคชั่น ส่วนใหญ่โฆษณาแนะนำแอพพลิเคชั่นจะรองรับทั้งระบบ ios และ android ซึ่งเป็นโฆษณาที่จะแสดงบนโทรศัพท์เท่านั้น
เหมาะสำหรับ - การทำให้กลุ่มเป้าหมายติดตั้งแอพพลิเคชั่น เพื่อเพิ่มช่องทางในการติดต่อ สื่อสารระหว่างกลุ่มเป้าหมายกับแบรนด์ให้มากยิ่งขึ้น
 
3.Group Conversion

เป็นการทำให้กลุ่มเป้าหมายทำอะไรบ้างอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การลงทะเบียน , การติดต่อสื่อสาร , การอ่านบทความโพสต์ จนถึงการสั่งซื้อสินค้า ถือว่าเป็นการทำกับกลุ่มเฉพาะที่มีความสนใจ สามารถแบ่งวัตถุประสงค์ในการโฆษณาออกมาได้เป็น 3 ประเภทย่อยๆ ดังต่อไปนี้
Conversion - การสร้างคอนเวอร์ชั่น
Catalog Sale - การสร้างยอดขายจากแค็ตตาล็อค
Store Traffics - การเข้าชมหน้าร้าน

Conversion (การสร้างคอนเวอร์ชั่น)
เป็นการเน้นให้กลุ่มเป้าหมาย action บางอย่างที่เกี่ยวกับเว็บไซต์ เกี่ยวกับแบรนด์ เพียงแต่ว่าต้องรู้ว่าคุณต้องการคอนเวอร์ชั่นรูปแบบไหน ทั้ง การลงทะเบียน การซื้อสินค้า การที่กลุ่มเป้าหมายทำอะไรบ้างอย่างเป็นการแสดงว่ามีความสนใจในแบรนด์
เหมาะสำหรับ - การกระตุ้นยอดขาย การที่กลุ่มเป้าหมายทำอย่างอื่นๆที่ไม่ใช่การสั่งซื้อ เราสามารถที่จะโน้มน้าวกลุ่มเป้าหมายในการปิดการขายได้
Catalog Sale (การสร้างยอดขายจากแค็ตตาล็อค)
เป็นวัตถุประสงค์ในการโฆษณาที่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ทำเว็บไซต์แบบ E-commerce (เว็บไซต์ที่ดำเนินการโดยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย การบริการต่างๆ) ซึ่งเหมาะสำหรับใช้ในการให้เลือกสินค้า หากสินค้าของคุณมีหลากหลาย อีกทั้งยังสามารถทำการ remarketing สำหรับคนที่เคยเข้ามาเว็บไซต์ของคุณได้อีกด้วย
เหมาะสำหรับ - ทำให้ลูกค้า กลุ่มเป้าหมาย เข้าถึงสินค้าได้หลากหลาย เนื่องจากเป็นการแสดงโฆษณาในรูปแบบที่โชว์สินค้าต่างๆของคุณ
Store Traffics (การเข้าชมหน้าร้าน)
เป็นการดึงให้คนที่อยู่ในพื้นที่ใก้ล้เคียง หรือ สถานที่ที่คุณเลือกไว้เห็นโฆษณา ในการดึงคนให้เข้าไปเยี่ยมชมหน้าร้านของคุณ เพื่อให้คนเข้าถึงร้านของคุณมากยิ่งขึ้น
เหมาะสำหรับ - การดึงให้คนเข้ามายังร้านค้าของเรามากยิ่งขึ้น เพราะ เมื่อคนเข้ามายังร้านค้าแล้ว ก็มีโอกาสมากที่จะทำการซื้อสินค้านั้นเอง
 

หลักในการเลือกวัตถุประสงค์ ดูจากอะไรบ้าง?
การที่เราจะเลือกว่าเราจะใช้วัตถุประสงค์ไหนในการโฆษณาดี ถึงจะเหมาะกับธุรกิจ สินค้าและบริการของเรา จะต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
เป้าหมายของคุณคืออะไร - ต้องเลือกว่าผลลัพธ์ของการโฆษณาที่คุณต้องการคืออะไร ไม่ว่าจะเป็น การเน้นคนที่เข้ามา เน้นให้คนรู้จักแบรนด์ เน้นยอดขาย?
การวัดผลตอบโจทย์กับสิ่งที่เลือกหรือไม่ - เมื่อคุณรู้ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร จากนั้นให้ดูว่า ผลลัพธ์ที่คุณจะได้ตอบโจทย์คุณหรือยัง เพียงพอแล้วใช่หรือไม่?
คอนเทนต์ต้องตรงกับวัตถุประสงค์ - ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา รูป วิดีโอต่างๆ ล้วนจะต้องตรงกับวัตถุประสงค์ที่เลือกไว้ เช่น หากต้องการจำนวนคนที่เข้าชม แต่ไปเน้นการขายก็อาจจะไม่ดีนัก
การปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสถานการณ์ - เมื่อเนื้อหา หรือ สถานการณ์เปลี่ยนไปอาจจะต้องปรับวัตถุประสงค์ให้ตรงกับแบรนด์มากขึ้น
 
ทำการตลาดกับเราได้ผลตอบรับดีดังใจ
เราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ที่ให้บริการในด้านของการทำ SEM SEO รวมทั้ง การยิงAds และ รูปแบบการทำการตลาดรูปแบบอื่นๆ อีกทั้งเรายังช่วยในเรื่องการวิเคราะห์และทำความเข้าใจธุรกิจตลอดจนการวางแผน และ ออกแบบรูปแบบการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณพร้อมทีม Support ที่ช่วยดูแลธุรกิจของคุณ ให้สามารถทำยอดขาย และ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
 
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


235

ไม้พาเลท ทําจากไม้อะไร ต่างจากพาเลทไม้ไหมลิ้งค์นี้มีคำตอบ?
ไม้พาเลท ทําจากไม้อะไร  พาเลทไม้ คือ  ไม้ที่แปรรูปในลักษณธของแท่นไม้ที่มีคานในรองรับน้ำหนัก ส่วนใหญ่ไม้ที่นำมาใช้ทำไม้พาเลท เป็นไม้อะไร มารู้จักกันในบทความนี้เลย!!!
ไม้ที่นำมาทำ พาเลทไม้ หรือ ไม้พาเลท ทําจากไม้อะไร มีไม้อะไรบ้าง?
ไม้ที่นิยมนำมาทำไม้พาเลท ควรจะต้องเป็นไม้ที่มีความแข็งแรง สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี  ไม้พาเลทส่วนใหญ่จะเป็นไม้เนื้อแข็ง แต่ก็มีไม้เนื้ออ่อนบางชนิด เนื่องจากคุณสมบัติของไม้พาเลทที่ต้องการความแข็งแรง   จึงทำให้เราต้องเลือกไม้ที่มีความเหมาะสมมาทำไม้พาเลท

ไม้ที่นิยมนำมาทำเฟอร์นิเจอร์   
-ไม้แดง   เป็นไม้ที่มีลาย และ สีของไม่้สวยงาม   แข็งแรง ทนทาน
-ไม้ยางพารา   แข็งแรง   สามารถนำไปย้อมสีได้ง่าย
-ไม้มะค่า   สีของไม้สวยเป็นเอกลักษณ์   มีความแข็งแรงสูง
-ไม้ประดู่  เนื้อไม้สีสวย มีความทนทานสูง
-ไม้พะยูง  สีของไม้สวย เนื้อไม้ขึ้นเงา ทนทาน  มีน้ำมันในตัวเอง
-ไม้ฉำฉา   มีความทนทานสูง   ลายไม้เป็นเอกลักษณ์
-ไม้เต็ง   ง่ายต่อการตัดแต่ง   มีความแข็งแรง   ทนทานสูง
-ไม้ตะแบก สีไม้ค่อนข้างอ่อน ย้อมสีได้ง่าย ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องแมลงรบกวน
คุณสมบัติของไม้ที่ใช้ในการเลือกมาทำไม้พาเลท คือ   ไม้ควรจะมีความทนทาน แข็งแรง   สามารถรองรับน้ำหนักได้มาก   อีกทั้งยังต่อทนทานต่อสภาพอากาศ และ   แมลงศัตรูพืช   ด้วยข้อจำกัดทำให้ไม้ยอดนิยมที่คนส่วนใหญ่ นิยมนำมาทำเป็นไม้พาเลทจะเป็น "ไม้ยางพารา" นั้นเอง  ซึ่งสามารถแยกเกรดของไม้ได้หลายเกรด   ดังต่อไปนี้
-เกรด AB   (เกรดสำหรับนำไปทำเฟอร์นิเจอร์)   ซึ่งเป็นไม้ที่มีตำหนิน้อย   ตัวไม้ค่อนข้างเนียบ   สีเสมอกันทั่วแผ่น
-เกรดC   (เกรดสำหรับใช้ทำไม้พาเลท พาเลทไม้)   ซึ่งเป็นเนื้อไม้ที่ไม่เนียบเท่าไม้เกรด   AB   เนื้อไม้ค่อนข้างขาว สามารถย้อมสีได้ง่าย  มีตำหนิมากกว่าแบบ AB   ใช้สำหรับทำอะไรที่ไม่โชว์เนื้อไม้มากนัก
ไม้พาเลทที่ทำจากไม้ยางพาราดีอย่างไร?

ข้อดีของไม้ยางพารา เนื่องจากคุณสมบัติในเรื่องของสีของเนื้อไม้ ที่ค่อนข้างขาว ทำให้สามารถนำไปย้อมสีได้   อีกทั้งยังสามารถตัดแต่งได้ง่าย ทนทานสูง และ ยังเป็นไม้ที่มีคุณสมบัติทางเคมี ในเรื่องของการปรับแต่งคุณสมบัติของไม้ ให้สามารถกันเชื้อรา ความชื้น ด้วยการอัดน้ำยา อบไม้
ข้อเสียของไม้ยางพารา   เนื้อไม้ของไม้ยางพาราอาจจะไม่สวยงาม เหมือนกับไม้อื่นๆ ที่มีราคาแพง   เช่น   ไม้สัก ที่เนื้อไม้สีเหลืองทอง ค่อนข้างสวย ขัดขึ้นเงา   ไม้ประดู่   ที่เนื้อไม้สีชมพูอมส้ม   ให้สีที่โดดเด่น สวยงาม   หรือ   แม้แต่ไม้แดง   ที่เนื้อไม้สีน้ำตาลอมแดง   สามรถรองรับน้ำหนักได้ดี   ซึ่งยิ่งลายไม้สวย  ยิ่งทำให้เมื่อไปทำไม้พาเลท   หรือ   ประยุกต์ทำเฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างสวย
ขนาดของไม้พาเลทที่นิยมในไทย
80x 120 x 15 cm   เป็นขนาดของไม้พาเลทที่นิยมนำไปผลิต   เพื่อส่งออกต่างประเทศ
110 x 110 x 15 cm  ใช้ผลิตไม้พาเลท สำหรับการขนส่ง   ไม่เน้นการใช้ซ้ำ   หรือ   พาเลทสำหรับวางสินค้าชั่วคราว
110 x 110 x 15 cm   เป็นขนาดที่นิยมกันมากที่สุด   ถือว่าเป้นขนาดมาตรฐานที่หลายๆคนนิยมใช้   ค่อนข้างจะมีความทนทานสูง
 
เลือกไม้พาเลท   เลือกไม้ที่   MTK WOOD
หากต้องการซื้อพาเลทไม้ที่ดี   แข็งแรง   และ ตรงตามสเปคที่ต้องการ   ไม้ดีมีคุณภาพ   ไม้ดีส่งถึงบ้าน   นึกจะซื้อพาเลทไม้   นึกถึงโรงงาน   MTK   พร้อมบริการแปรรูปตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงบริการขนส่งทั่วไทย
ซื้อไม้แปรรูป กับ   MTK WOOD   คุณจะได้ไม้คุณภาพ    ไม้ดี ตรงตามสเปคที่คุณต้องการ   และ   ได้ไม้ถึงมือท่านด้วยความปลอดภัยอย่างแน่นอน   ซื้อไม้ยางพาราแปรรูปเลย   Click here!!!!
 
 
สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม MTK ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :  @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


236

สำหรับน้องๆคนไหน ที่มีความสนใจในเรื่องของแฟชั่น การแต่งกาย และ อยากที่จะสอบเข้าคณะมัณฑนศิลป์ เสื้อผ้าในปัจจุบันมีการพัฒนาไปมาก นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สำหรับน้องๆ ที่กำลังมองหาที่เรียนออกแบบแฟชั่นอยู่ที่ viridian academy of art เปิด สอนออกแบบเสื้อผ้า คอร์สออกแบบแฟชั่น ด้วยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะมาสอนน้องๆ ออกแบบแฟชั่นพร้อมจับมือทำ สอนเทคนิคแบบไม่มีกั๊ก
ทำไมต้องเรียนออกแบบแฟชั่นกับเรา?

ทาง VA เน้นให้น้องๆได้ดึกเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเองออกมา ซึ่งถือว่าเป็น "หัวใจหลักของการออกแบบแฟชั่นดีไซน์" อีกทั้งยังรวมไปถึงการฝึกฝน และ แนะนำเทคนิคจนทำให้น้องๆ สามารถสร้าง Portfolio ในสไตล์ของน้องๆ ที่สวยงาม แตกต่าง และ ถูกใจกรรมการ
-เรียนกับVA ได้เรียนรู้พื้นฐานการออกแบบตั้งแต่เริ่มต้น แม้จะไม่มีพื้นฐานมาก่อน
-เรียนกับ VA น้องๆ จะได้เปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับแฟชั่น รวมถึงการวิเคราะห์แฟชั่นรูปแบบต่างๆ เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในแก่น้องๆ
-นอกจากจะได้เรียนรู้ทฤษฎี และ เทคนิคต่างๆแล้ว ยังได้ฝึกทำข้อสอบ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบเข้าคณะ หรือ สาขาที่เกี่ยวกับการออกแบบแฟชั่น
-เรียนรู้การสร้าง Portfoli สำหรับเตรียมยื่นเพื่อเข้าคณะ หรือ สาขาที่เกี่ยวกับการออกแบบแฟชั่นในฝันของน้องๆ

เรียนออกแบบแฟชั่นกับทาง VA สอนอะไรบ้าง?
ทาง viridian academy of art เรามีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการออกแบบแฟชั่นด้วยวิธีการสอนเสมือนจับมือทำ แม้น้องๆจะไม่มีพื้นฐานก็สามารถเรียนได้ โดยทาง viridian สอนอะไรเกี่ยวกับออกแบบแฟชั่นบ้าง
-สอนตั้งแต่ Fashion figure ซึ่งเป็นหลักการของสัดส่วนกายวิภาค ในแบบของการวาดงานแฟชั่น
-สอนให้เรียนรู้รูปแบบ และ ประเภทของงานแฟชั่นต่างๆ ที่จะทำให้น้องๆ สามารถนำไปพัฒนา และ ต่อยอดกับการทำงานของตัวเองได้
-สอนเจาะข้อสอบ และ สร้าง Portfolio ให้เข้าตากรรมการ  รวมถึงการฝึกฝนจนให้เกิดความชำนาญ เพื่อให้น้องๆ สามารถจัดการกับโจทย์ต่างที่จะต้องเผชิญได้

คอร์สเรียนออกแบบแฟชั่น เหมาะกับใครบ้าง?
-น้องๆ มัธยมศึกษาตอนปลาย 4-6 ที่กำลังเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
-น้องๆที่ซิ่วเพื่อเตรียมตัวสอบเข้าคณะจิตกรรม คณะนิเทศศิลป์ คณะออกแบบภายใน และ คณะที่ต้องอาศัยทักษะการวาดภาพต่างๆ
-น้องๆ ที่ต้องการฝึกทักษะพื้นฐานให้แม่นยำ เพื่อนำไปต่อยอดทักษะวาดภาพในระดับที่สูงขึ้น หรือ ต้องใช้ในการทำงานทางด้านศิลปะ

เรียนกับทาง VA ได้อะไรบ้าง ทำไมใครๆก็มาเรียน?

“เพราะเราไม่ใช่โรงเรียนสอนศิลปะ แต่เราเป็นเสมือนครอบครัว”
ที่พร้อมจะส่งน้องๆ เข้าคณะในฝันที่น้องๆ ต้องการได้ เราไม่ใช่แค่สอนเกี่ยวกับทฤษฎี แต่สอนไปถึงการดึงความคิดสร้างสรรค์ในสไตล์ของตัวเอง สำหรับใครที่อยากเข้าคณะเกี่ยวกับออกแบบแฟชั่นต้องอย่าพลาด เตรียมตัวก่อนมีชัยไปกว่าครึ่ง อย่าให้คณะในฝันของน้องๆหลุดลอย เพราะพี่ๆ และ อาจารย์ของ viridian เตรียมพร้อมแล้วที่จะช่วยให้น้องๆถึงฝั่งฝัน
การเรียนการเรียนเป็นการสร้างโอกาส อย่ามั่วให้โอกาสที่เราจะได้ทำตามความฝัน ความชอบหลุดลอยไป เพราะน้องๆ สามารถคว้าโอกาสนั้นได้
มาทำฝันให้เป็นจริงกับ viridian academy of art กันนะ!!!

 
สามารถติดตาม viridian academy of art ช่องทางต่างๆได้ดังนี้
เบอร์โทรศัพท์ : 083-615-2391
Facebook : viridian academy of art
Line : @viridian
Instargram : viridian academy of art
Email : viridian.academy.2019@gmail.com



237

พาเลทมีกี่ประเภท เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสมที่นี่มีคำตอบ!!!
พาเลท(Pallet) เป็นอุปกรณ์สำหรับรองรับสินค้าที่มีน้ำหนักมากๆ เพื่อให้ง่ายต่อการขนย้าย เพราะ ลักษณะของพาเลทจะเป็นแท่นรูปทรงสี่เหลี่ยม  ฐานของพาเลทจะมีช่องว่างสำหรับให้รถยก(รถโฟคลิฟท์) ซึ่งวัสดุในการทำพาเลทก็จะแตกต่างกันออกไปตามวัสดุที่เลือกใช้  เช่น พาเลทไม้ พาเลทโฟม แท่นพาเลท(เหล็ก) มารู้จักกันว่า พาเลท มีกี่ประเภท   และจะเลือกใช้อย่างไรถึงจะเหมาะสม จากบทความนี้กันเลย!!!
 
ขนาดของ พาเลท   มีกี่ประเภท   มารู้จักกันดีกว่า?
ขนาดของไม้พาเลท   สามารถแบ่งได้อย่างหลากหลาย   ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งขนาดตามประเทศที่นำไปใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งได้ตามมาตรฐานต่างๆ สามารถแยกขนาดของพาเลทได้ตาม   ประเภทที่นิยมใช้งานได้เป็นหลักๆ   ดังต่อไปนี้
-ขนาดEuro pallet   เป็นพาเลทแบบเล็ก   ขนาดประมาณ   80X120X15  cm   ซึ่งเป็นขนาดที่ใช้สำหรับขนส่ง   ขนย้ายเป็นหลัก
-ขนาดJapan pallet   เป็นพาเลทแบบมาตรฐาน   110X110X15 cm เป็นขนาดที่นิยมในแถบเอเชีย   สำหรับการขนส่งสินค้าไปต่างประเทศ
-ขนาดThai pallet   เป็นพาเลทแบบที่นิยมใช้ในไทย   100X120X15   cm   เป็นขนาดที่นิยมใช้ทั้งการขนส่ง และ   นำไปทำเฟอร์นิเจอร์สำหรับตกแต่งบ้าน
สามารถอ่าน บทความขนาดของพาเลทไม้ เพิ่มเติมได้ที่นี่
พาเลทมีกี่ประเภท และ เหมาะสำหรับการใช้งานแบบไหน
นอกจากขนาดของพาเลทที่มีหลากหลายขนาดให้เลือกแล้ว   ประเภทของพาเลทยังมีหลากหลายอีกด้วย   ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีคุณสมบัติ และ การใช้งาน ที่แตกต่างกันออกไป   ประเภทของพาเลทสามารถแบ่งออก ได้ดังต่อไปนี้
-พาเลทไม้
-พาเลทโฟม
-พาเลทพลาสติก
-พาเลทกระดาษ
-พาเลทเหล็ก

พาเลทไม้

พาเลทไม้(Wooden Pallets)   เป็นพาเลทที่นิยมนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายมากที่สุด   เนื่องจากเป็นวัสดุที่หาได้ง่าย   ใช้งานได้ทนทาน   ง่ายต่อการผลิต   และ ยังสามารถเลือกประเภทของไม้ได้หลากหลายอีกด้วย
ข้อดีของพาเลทไม้
-มีความแข็งแรง ทนทาน   สามารถรับน้ำหนักของได้มาก
-หาได้ง่าย   และ   ง่ายต่อการผลิต
-สามารถใช้ซ้ำได้หลายรอบ   และ   สามารถซ่อมแซ่มได้ง่าย
ข้อเสียของพาเลทไม้ 
-อาจจะเกิดการบิดงอ   โก่ง ของไม้ได้
-มีปัญหาเรื่องเชื้อรา   แมลงศัตรูพืช ได้ง่าย
เหมาะสำหรับใช้งานอย่างไร   -   การขนส่งสินค้าต่างๆ   หรือ   นำไปประยุกต์ในการทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ   ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เก้าอี้ เตียง ตู้ ชิงช้า เป็นต้น เนื่องจากเป็นวัสดุที่ค่อนข้างถูก   ทำให้เหมาะสำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัด
พาเลทโฟม

พาเลทโฟม(Foam Pallets)   เป็นประเภทของพาเลทที่สามารถใช้งานได้ง่าย   มีขนาดเบา   สามารถหาวัสดุได้ง่าย   และ   ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย
ข้อดีของพาเลทโฟม
-น้ำหนักเบา   ทำให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย
-ไม่ต้องกังวลเรื่องของเชื้อรา   แมลง   และ ความชื้น
ข้อเสียของพาเลทโฟม
-ไม่ค่อยแข็งแรง ทำให้สามารถรองรับน้ำหนักได้น้อย
-ยากต่อการทำลาย และ ย่อยสลาย
เหมาะสำหรับใช้งานอย่างไร   -   ใช้สำหรับรองคั่นระหว่างของสินค้าแต่ละชั้น   สำหรับสินค้าที่ต้องระวังเสียหายเป็นพิเศษ   เหมาะสำหรับคนที่มีงบประมาณน้อย   เนื่องจากโฟมมีราคาถูก
 
พาเลทพลาสติก

พาเลทพลาสติก(Plastic Pallets)   เป็นพาเลทอีกประเภทที่สามารถใช้งานได้นาน   ทนทานสูง   และ   ยังเป็นอีกประเภทที่นิยมใช้กันอย่างมากอีกด้วย
ข้อดีของพาเลทพลาสติก
-มีน้ำหนักเบา แต่มีความทนทานแข็งแรง
-สามารถนำไปใช้ซ้ำได้   และ   ง่ายต่อการรักษา   ซ่อมแซ่ม
-ไม่ต้องกังวลเรื่องของความชื้น   และ   แมลง
ข้อเสียของพาเลทพลาสติก
-หากพาเลทไม่หนาพอ อาจจะส่งผลต่อการรับน้ำหนักของสินค้าที่มีน้ำหนักมาก
-ยิ่งใช้พลาสติกหนา   พาเลทก็ยิ่งแพง
เหมาะสำหรับใช้งานอย่างไร   -   ใช้ในการวางสินค้า   จัดระเบียบสินค้า   และ  ขนส่งสินค้าที่น้ำหนักไม่ได้มากจนเกินไป   เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความทนทานของวัสดุที่แข็งแรง แต่ไม่หนักจนเกินไป   แต่มีราคาไม่แพง
 
พาเลทกระดาษ

พาเลทกระดาษ(Paper Pallets)   เป็นพาเลทประเภทที่มีน้ำหนักเบาที่สุด   อีกทั้งยังแข็งแรงน้อยที่สุดอีกด้วย   ไม่เหมาะสำหรับใช้งานถาวร   หรือ   ใช้ซ้ำ
ข้อดีของพาเลทกระดาษ
-น้ำหนักเบา ง่ายต่อการใช้งาน   และ   เครื่อนย้าย
-สามารถขนย้ายได้โดยไม่ต้องประทับตรา   IPPC
ข้อเสียของพาเลทกระดาษ
-ความแข็งแรงค่อนข้างน้อย
-ไม่ค่อยทนทานต่อ น้ำ   ความชื้น   และ   แมลง
เหมาะสำหรับใช้งานอย่างไร   -   ใช้ในการรองรับสินค้าไม่ให้สัมผัสกับสินค้าโดยตรง   เหมาะสำหรับคนที่ต้องการวัสดุที่ราคาไม่แพง   และ   การใช้งานสำหรับครั้งเดียว
 
พาเลทเหล็ก

พาเลทเหล็ก(Steel Pallets)   เป็นพาเลทที่อาศัยการนำเหล็กมาตัดเป็นขนาดต่างๆ   เป็นพาเลทที่ไม่เหมาะสำหรับใช้รถยก   เนื่องจากมีน้ำหนักค่อนข้างมาก
ข้อดีของพาเลทเหล็ก
-มีความแข็งแรง ทนทานสูง สามารถรับน้ำหนักได้มาก
-สามารถใช้งานได้ยาวนาน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องแมลง
ข้อเสียของพาเลทเหล็ก
-น้ำหนักค่อนข้างมาก ทำให้ขนย้ายค่อนข้างลำบาก
-มีราคาค่อนข้างสูง
เหมาะสำหรับใช้งานอย่างไร   -   ใช้สำหรับวางสินค้าที่มีน้ำหนักมากๆ   ไม่เหมาะสำหรับใช้ในการขนส่ง   ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีงบจำกัด เพราะ วัสดุค่อนข้างราคาสูง

ถ้าหากต้องการพาเลทที่เน้นการใช้งานในหลายๆครั้ง  สามารถรองรับน้ำหนักได้มาก  ค่อยต่อการผลิต และ ใช้งาน ทั้งการขนส่ง รองรับสินค้า  รวมทั้งนำไปทำเฟอร์นิเจอร์   ขอแนะนำ พาเลทที่ทำจากไม้   เนื่องจากเป็นวัสดุที่ทนทาน   แต่ถ้าหากใครห่วงเรื่องของเชื้อรา และ แมลง ให้เลือกไม้ที่แปรรูปมาแล้ว   (ผ่านการอัดน้ำยาและอบไม้)   ก่อนนำมาทำเฟอร์นิเจอร์   นอกจากนั้นยังควรเลือกพาเลทไม้ที่มีการรับรองมาตรฐาน IPPC   ถึงจะถือว่าเป็นพาเลทไม้ที่เหมาะจะนำมาใช้งาน
 
ซื้อพาเลทไม้ที่MTK WOOD
หากต้องการซื้อพาเลทไม้ที่ดี   แข็งแรง   และ ตรงตามสเปคที่ต้องการ   ไม้ดีมีคุณภาพ   ไม้ดีส่งถึงบ้าน   นึกจะซื้อพาเลทไม้   นึกถึงโรงงาน   MTK   พร้อมบริการแปรรูปตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงบริการขนส่งทั่วไทย
ซื้อไม้แปรรูป กับ   MTK WOOD   คุณจะได้ไม้คุณภาพ    ไม้ดี ตรงตามสเปคที่คุณต้องการ   และ   ได้ไม้ถึงมือท่านด้วยความปลอดภัยอย่างแน่นอน   ซื้อไม้ยางพาราแปรรูปเลย   Click here   !!!!

สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม   MTK   ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :   @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


238

น้องๆคนไหนที่กำลังต้องการจะสอบเข้าคณะที่ต้องอาศัยความรู้ทางศิลปะ หากใครที่ยังไม่มีพื้นฐานในส่วนตรงนี้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดี บทความนี้ขอแนะนำคอร์ส เรียนสเก็ตภาพ ออนไลน์ พื้นฐาน ซึ่งเป็นคอร์สที่จะช่วยปูพื้นฐานของน้องตั้งแต่เริ่มต้น ให้สามารถนำไปต่อยอด พี่ๆทาง viridian จึงได้ออกแบบคอร์สเรียนออนไลน์นี้ขึ้น เพื่อที่น้องๆจะได้ไม่เสียโอกาส ที่จะใช้ในการเตรียมตัวสอบเข้าสำหรับคณะในฝันของน้องๆ อย่าปล่อยให้โอกาสติดมหาลัยหลุดลอย เริ่มก่อนมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะคอร์สของเรา อยู่บ้านก็เรียนได้!!!
คอร์สbasic sketch เรียนสเก็ตภาพ ออนไลน์

คอร์ส basic sketch เป็นคอร์สพื้นฐานรูปแบบออนไลน์ สำหรับใช้ในการสร้างพื้นฐานการวาดภาพ คอร์สนี้ถือว่าเป็นคอร์สพื้นฐาน ที่จำเป็นต้องเรียนก่อนที่จะเรียนคอร์สอื่นๆ ที่มีระดับความยากที่ยากมากยิ่งขึ้น คอร์สนี้จะช่วยปูพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการสเก็ตภาพ พื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการบังคับมือในการลงน้ำหนัก พื้นฐานการใช้ตาเพื่อกะระยะของรูปภาพ เพื่อให้เกิดความแม่นยำ พื้นฐานการใช้น้ำหนักเพื่อแยกการร่างภาพ และ เส้นวาดจริง รวมถึงการเสริมพื้นฐานต่างๆ เพื่อให้น้องๆ เข้าใจโครงสร้าง สัดส่วน รวมถึงฝึกการสังเกตุรายละเอียดของวัคถุที่วาด ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต้องใช้สำหรับ คณะนิเทศศิลป์ ออกแบบตกแต่งภายใน จิตรกรรม และ สาขาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
คอร์ส basic sketch เหมาะกับใคร
-น้องๆ มัธยมศึกษาตอนปลาย 4-6 ที่กำลังเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
-น้องๆที่ซิ่วเพื่อเตรียมตัวสอบเข้าคณะจิตกรรม คณะนิเทศศิลป์ คณะออกแบบภายใน และ คณะที่ต้องอาศัยทักษะการวาดภาพต่างๆ
-น้องๆ ที่ต้องการฝึกทักษะพื้นฐานให้แม่นยำ เพื่อนำไปต่อยอดทักษะวาดภาพในระดับที่สูงขึ้น หรือ ต้องใช้ในการทำงานทางด้านศิลปะ
คอร์สนี้เรียนกี่ครั้ง แต่ละครั้งเมื่อเรียนแล้วจะได้รับอะไรบ้าง?
คอร์สนี้เป็นคอร์สสำหรับฝึกพื้นฐานการสเก็ตภาพ จำนวน 4 บทซึ่งแบ่งเป็น แบบบรรยาย โดยจะใช้เวลาในการเรียนบทละ 60 นาที และ แบบปฏิบัติเอง 2-3 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีการสอนเกล็ดความรู้เสริมรอบด้าน เพื่อที่ผู้เรียนจะสามารถนำไปฝึก และ ปฏิบัติเองได้ โดยการเรียนของเราจะวัดผลโดยการให้ผู้เรียนปฏิบัติงานแล้วส่งงานให้กับอาจารย์ เพื่อที่จะได้ทำการดูภาพรวมมของการเรียนในแต่ละครั้ง นั้นทำให้คอร์สออนไลน์นี้เสมือนเรียนสดกับอาจารย์
-เรียนบรรยาย เพื่อฝึกพื้นฐานการวางมือ การลงน้ำหนัก เพื่อทำให้ที่น้องๆจะสามารถนำไปใช้กับการปฏิบัติ และ ฝึกฝนได้จริง
-เรียนปฏิบัติ เพราะศิลปะคือการลงมือทำ นอกจากภาคบรรยายแล้วยังต้องสามารถปฏิบัติได้จริง จึงมีการเรียนภาคปฏิบัติ โดยจะให้น้องๆส่งงานที่ทำการวาดมาเพื่อตรวจประเมินผล เพื่อที่จะสามารถพัฒนาฝีมือไปได้ตรงจุด
เนื้อหาในการเรียนที่จะได้จากการเรียนคอร์สนี้ มีดังต่อไปนี้
-หลักการ และ เทคนิคต่างๆในการสเก็ตภาพ
-การบังคับมือ ในการลงน้ำหนักในการเก็ตภาพ
-การใช้ตาเพื่อใช้กะระยะ ในการวาดภาพ
-การใช้น้ำหนักของเส้น เพื่อแยกระหว่างภาพร่าง และ ภาพจริง
-การทำความรู้จักโครงสร้างต่างๆ สัดส่วน รวมถึงการฝึกสังเกตุรายละเอียดขสกวัตถุที่วาด
ทำไมต้อง เรียนสเก็ตภาพ ออนไลน์ กับ viridian academy of art

เพราะพื้นฐานการสเก็ตภาพ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องฝึกให้ชำนาญ ดังนั้นหากไม่มีพื้นฐานการสเก็ตไม่ว่าจะเป็นภาพร่าง หรือ ภาพจริง ก็จะทำให้ภาพที่ออกมาไม่สมดุล และ ไม่สามารถนำไปใช้งานได้ ดังนั้นน้องๆคนไหนที่ต้องการเตรียมตัว เพื่อสอบเข้า คณะนิเทศศิลป์ คณะออกแบบตกแต่งภายใน คณะจิตรกรรม และ คณะ สาขาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ แล้วยังไม่มีพื้นฐาน หรือ พื้นฐานยังไม่ดี ไม่แม่นยำ โอกาสที่น้องๆจะได้ทำความเข้าใจการสเก็ต และ พัฒนาทักษะของน้องๆมาถึงแล้ว ถึงแม้พื้นฐานของเราจะไม่ดี ก็ใช่ว่าเราจะไม่สามารถสู้กับคนอื่นได้ เพียงแค่น้องๆตั้งใจ และ มีการเตรียมตัวที่ดี น้องๆก็มีโอกาสติดมหาลัยที่ใช่ คณะที่ชอบแล้ว เพราะพื้นฐานเป็นเรื่องที่สำคัญ เรียนสเก็ตภาพออนไลน์กับVAเลย อย่าปล่อยให้คณะในฝันเป็นแค่ความฝัน เพราะน้องๆทำได้!!!
 
สามารถติดตาม viridian academy of art ช่องทางต่างๆได้ดังนี้
เบอร์โทรศัพท์ : 083-615-2391
Facebook : viridian academy of art
Line : @viridian
Instargram : viridian academy of art



239

Google My Business คือ คนเริ่มทำการตลาดต้องรู้
Google เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการทำการตลาดได้อีกด้วย เครื่องมือที่กูเกิ้ลเปิดให้ใช้งานฟรีสำหรับธุรกิจไม่ว่าจะเป็น Google Trend  , Google Analytics และ Google Ads นอกจากนั้นยังมีเครื่องมืออีกชิ้น Google My Business คือ เครื่องมือที่ช่วยให้เข้าถึงธุรกิจ และ ข้อมูลของธุรกิจได้ดีมากยิ่งขึ้น อ่านบทความกันเลย!!!
 
 
Highlight  Google My Business ที่ต้องรู้!!!
-Google My Businessคืออะไร?
-มารู้จักGoogle My Business ทำอะไรได้บ้าง?
-ทำไมGoogle My Business ถึงมีประโยชน์ต่อคนทำธุรกิจ?
-วิธีการสมัคร และ ใช้งาน
 
 

Google My Business คือ อะไร?

เครื่องมือฟรีสำหรับธุรกิจอย่างGoogle My Business หรือ ที่เรียกสั้นๆว่า GMB ซึ่งเปรียบเสมือน "หน้าร้านออนไลน์" ที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการอำนวยความสะดวกให้กับร้านค้า ธุรกิจ สำหรับการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลของธุรกิจ โดยจะแสดงผลของการค้นหาของ Google search และ Google maps นั้นเอง
 
มารู้จัก Google My Business ทำอะไรได้บ้าง?

อย่างที่ได้บอกไว้ข้างบนว่า GMB เปรียบเสมือนหน้าร้านออนไลน์สำหรับธุรกิจ ซึ่งช่วยทำให้เราเข้าถึงหน้าร้านของเราได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งความสามารถของ GMB มีดังต่อไปนี้
-การเข้าถึงข้อมูลของร้านค้า ธุรกิจง่ายมากยิ่งขึ้น ทำให้เวลาที่ลูกค้าค้นหาเรา ข้อมูลของร้านค้าไม่ว่าจะเป็น เบอร์โทร สถานที่ ช่องทางการติดต่อต่างๆ จะแสดงให้ทำให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย และ รวดเร็ว
-เพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างร้านค้ากับลูกค้า ทำให้สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้ ด้วยระบบรีวิว เรตติ้ง สำหรับให้ลูกค้าให้คะแนน
-การวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ จะสามารถดูได้ว่าลูกค้าเข้ามาจากทางไหน จากการค้นหา หรือ จากแผนที่ ซึ่งระบบวิเคราะห์ของ GMB จะทำให้เราสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อพัฒนาร้านค้า ธุรกิจได้
-การสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดลูกค้า (content) สามารถสร้างโพสต์ สร้างคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นประกาศต่างๆ โปรโมชั่น สำหรับรองรับการค้นหา
 

ทำไม Google My Business ถึงมีประโยชน์ต่อคนทำธุรกิจ?
Google My Business ถือว่าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างหลากหลาย ทั้งความสามารถในการเข้าถึงร้านค้า ความสามารถในการโต้ตอบกับลูกค้า ข้อมูลที่สามารถนำไปวิเคราะห์ต่อยอดได้ และ ยังมีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น
-ทำให้ลูกค้าเข้าถึงร้านค้า ธุรกิจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
-ทำให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับร้านค้ามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่องทางติดต่อต่างๆของร้าน
-ทำให้ลูกค้าเข้าถึงคำแหน่งของร้านค้ามากยิ่งขึ้น
-ทำให้ลูกค้าสามารถค้นหาเจอสินค้า หรือ บริการของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพต่างๆ
-ทำให้สามารถทราบความรู้สึกของลูกค้า ผ่านการให้คะแนนได้
-ทำให้ร้านค้า ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น เพราะได้รับการยืนยันจากทาง Google
-ทำให้ร้านค้าของคุณแสดงทั้งบน Google Search และ Google Maps
-ทำให้สามารถโฆษณาผ่าน Adwords ได้ และ ยังช่วยทำให้มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
 

วิธีการสมัคร และ ใช้งาน
มารู้จักวิธีการสมัคร และ ใช้งาน Google My Business กันดีกว่าว่ามีกี่ขั้นตอนในการสมัคร และ สมัครยากหรือไม่ ขั้นตอนในการสมัคร GMB มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่1 - การสมัครเข้าใช้งาน
ขั้นตอนที่2 - การตรวจสอบข้อมูล
ขั้นตอนที่3 - การยืนยันข้อมูล

ขั้นตอนที่1 - การสมัครเข้าใช้งาน

การสมัครเข้าใช้งาน GMB สามารถทำได้ผ่านทางเว็บไซต์ Google โดยทำตามวิธีดังต่อไปนี้
1.เข้าไปที่เว็บไซต์ Google แล้วค้นหาคำว่า Google My Business หรือ google.com/business
2.ให้สังเกตที่บนมุมขวาเพื่อทำการ login บัญชีของ Google หรือ ถ้าคุณยังไม่เคยมีบัญชีของกูเกิ้ล ให้ทำการสมัครลงทะเบียนเป็นสมาชิก > ทำการ login เข้า
3.เมื่อ login แล้วจากนั้นให้ทำการป้อนชื่อของร้านค้า ธุรกิจ > แล้วคลิกที่ถัดไป
4.จากนั้นให้ใส่ที่อยู่ของร้านค้า ธุรกิจ > แล้วคลิกที่ถัดไป > ให้ทำการวางเครื่องหมาย เพื่อยืนยันตำแหน่งของร้านค้าบนแผนที่ Google maps
5.ทำการเลือกหมวกหมู่ของร้านค้า หรือ ธุรกิจ > แล้วคลิกที่ถัดไป
6.ให้ทำการใส่หมายเลขโทรศัพท์ หรือ ใส่ URL ที่เป็นเว็บไซต์ร้านค้า ธุรกิจ > ให้ลงชื่อสมัครให้เสร็จก็เป็นอันสมบูรณ์
ขั้นตอนที่2 - การตรวจสอบข้อมูล

หากจากทำการสมัครเข้าใช้งาน GMB เรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการยืนยันข้อมูลของร้านค้า และ ธุรกิจ > ให้ทำการตรวจสอบข้อมูลว่า ข้อมูลจากขั้นตอนที่1 ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากข้อมูลที่เรายืนยัน จะถูกแสดงให้ลูกค้าเห็นบน Google ดังนั้นจะต้องตรวจสอบให้ดี แต่ถ้าหากต้องการแก้ไขข้อมูล ให้ทำดังวิธีดังต่อไปนี้
1.เลือกที่คำว่า คลิกภายหลัง > จากนั้นถ้าหากมีตำแหน่งที่ตั้งมากกว่าหนึ่งที่ ให้ทำการเลือกที่เมนู > เลือกที่ จัดการสถานที่ > เลือกสถานที่ที่ต้องการแก้ไข
2.ให้เลือกข้อมูลจากเมนูทางด้านซ้าย > ให้เลือกที่แก้ไข ในส่วนที่ต้องการแก้ไขข้อมูล > จากนั้นให้ยืนยันข้อมูล
ขั้นตอนที่3 - การยืนยันข้อมูล

เมื่อเราทำการตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อย จะเป็นการช่วยป้องกันการโดนแฮกบัญชีของคุณได้ และ เมื่อทำการยืนยันข้อมูลแล้ว จะมีข้อความส่งไปที่ไปรษณีย์ของคุณประมาณ 3-4 วัน ทางมุมซ้ายของหน้าเพจ ด้านบนแผนที่ที่แสดงตำแหน่งของร้านค้า โดยทำดังขั้นตอนต่อไปนี้
1.ให้ทำการตรวจสอบข้อมูลทางธุรกิจ > เลือกที่ส่งไปรษณีย์ (อย่าคลิกที่ยืนยันภายหลัง)
2.ให้ใส่ชื่อของผู้รับไปรษณีย์ยืนยันตนเอง > โดย Google จะทำการส่งไปรษณียบัตรไปตามที่อยู่ที่คุณได้ระบุไว้
3.ทำการคลิกส่งไปรษณียบัตร เพื่อยืนยันการส่ง

แต่ถ้าหากหยุดดำเนินการก่อนที่จะทำการยืนยันข้อมูล จะตั้งทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
-ลงชื่อเข้าใช้ GMB > ค้นหาแบนเนอร์สีแดง > ทำการยืนยันทางด้านขวา
-ข้อความจะถูกส่งไปทางไปรษณีย์ > ป้อนข้อมูลให้เรียบร้อย > คลิกส่งไปรษณีย์
-เมื่อได้รับไปรษณีย์แล้ว > ให้ใส่รหัสบน GMB เพื่อยืนยันข้อมูล
จากนั้นจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ แล้วข้อมูลของร้านค้า ธุรกิจของคุณจะแสดงบน Google และ เราสามารถเข้าไปจัดการข้อมูลต่างๆ หน้าเพจของ Google ได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ ข้อความ และ URL ของเว็บไซต์ได้
 
เตรียมพร้อมทำธุรกิจของคุณให้ปังกับBMF
เพราะเราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ที่ให้บริการในด้านของการทำ SEM SEO รวมทั้ง การยิงAds และ การตลาดอื่นๆ อีกทั้งเรายังช่วยในเรื่องการวิเคราะห์และทำความเข้าใจธุรกิจตลอดจนการวางแผน และ ออกแบบรูปแบบการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่คอย Support ช่วยดูแลธุรกิจของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของคุณให้คุณเติบโตอย่างที่ต้องการ
 
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


240

เนื่องจากสถานการณ์ covid-19 ทำให้การทำธุรกิจออนไลน์มีมากยิ่งขึ้น โอย่างการทำ Google Ads แต่ไม่ใช่ว่าโฆษณาของเราจะชนะคู่แข่งได้ง่ายๆ ดังนั้นก่อนที่คุณจะ ซื้อโฆษณาGoogleคุณควรที่จะรู้จัก โครงสร้าง Google ads ให้ดีเสียก่อนที่คุณจะเสียเงินไปเปล่าๆ บทความนี้ คนที่คิดจะยิงAds ควรจะต้องอ่าน!!!
 
 
Highlight  Google ads ที่ต้องรู้!!!
-รู้จัก โครงสร้าง Google Ads ก่อนเริ่มยิง
-รู้จักAds ระดับCampaign?
-รู้จักAds ระดับ Ads Group?
 

รู้จัก โครงสร้าง Google Ads ก่อนเริ่มยิง

ก่อนที่คุณจะลงมือยิง Ads บน Google คุณควรที่จะรู้โครงสร้าง และ ประเภทของAdsเสียก่อน รู้หรือไม่ว่า Ads ไม่ได้มีเพียงแค่แบบเดียว การยิงโฆษณา มีหลายระดับ หลายโครงสร้าง ก่อนที่จะไปรู้จักโครงสร้างต่างๆ มารู้จักกับ Google Ads Account (AdWords Accout) กันก่อน สำหรับใครที่จะยิงโฆษณาบนกูเกิ้ล จะต้องทำการสมัคร account กับทางกูเกิ้ลก่อน ซึ่งเป็นบัญชีที่ใช่สำหรับ ตั้งค่าต่างๆของAds และ ใช้ในการจ่ายเงินค่ายิงโฆษณา รองลงมาจากระดับ AdWords Accout ก็จะเป็นระดับของ Campaign และ ระดับของ ADS Group หลักๆ ซึ่งโดยหลักๆ ทุกอย่างจะต้องผ่าน AdWords Accout ซึ่งเปรียบเสมือนบอสใหญ่
 
 

รู้จัก Ads ระดับCampaign?

ถ้าระดับแอคเคาท์เปรียบเสมือนบอสใหญ่ ระดับแคมเปญก็คงเหมือนกับหัวหน้าแผนก ที่ทำหน้าที่ในการควบคุม จัดการโฆษณา ในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องงบประมาณที่คุณจะใช้ในการยิง Ads อีกทั้งยังรายละเอียดต่างๆ ซึ่งเราสามารถตั้งค่าต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้
-Keyword ที่เลือกใช้งาน
-Budget ในแต่ละวันที่ใช้
-Ads text รายละเอียดต่างๆ
-Location ที่ต้องการยิง Ads
-Day & Hour ที่ต้องการยิง Ads
-Biding ของเราที่จ่ายไปเพื่อให้ได้อันดับที่ต้องการ
-Ads group ที่เราต้องการทำโฆษณา
ทำไมต้องแยกCampaign? - การแยกแคมเปญจะทำให้เราสามารถแจกแจงงบประมาณในการยิงแต่ละแคมเปญ และ สามารถแยกประเภทของกลุ่มเป้าหมายได้ชัดมากขึ้น
เนื่องจากระดับแคมเปญค่อนข้างใหญ่ เลยทำให้สามารถแยกประเภทของ campaign เป็นหลักๆได้ดังต่อไปนี้ ซึ่งทำหน้าที่ในการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และ ทำให้เกิดการซื้อ การเข้ามาดูเว็บไซต์ ดูสินค้าต่างๆ บนเว็บไซต์
-Search Network Campaigns เป็นรูปแบบของโฆษณาที่ใช้สำหรับยิงคำที่เราซื้อ keyword ไว้ เช่น ซื้อคำว่า รถมือสอง ก็จะเจอโฆษณาของเราขึ้นมา
-Display Network Campaigns รูปแบบของโฆษณาที่แสดงรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว แบนเนอร์ และ ข้อความต่างๆ ที่แสดงขึ้นมาหากเราเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ถูกตั้งไว้
-Shopping Campaigns โฆษณาที่จะแสดงรูปของสินค้า และ ราคาของสินค้าต่างๆ จากนั้นก็จะลิ้งค์ไปที่สินค้านั้นๆ การยิงรูปแบบนี้เว็บไซต์จะต้องเป็นเว็บ E-commeace
Video Campaign รูปแบบโฆษณษวิดีโอ ที่แสดงบน youtube และ เว็บไซต์พาร์ทเนอร์ของ Google
-App Campaign รูปแบบของโฆษณาที่จะแสดงบนมือถือ เพื่อดึงให้คนติดตั้งแอพพลิเคชั่น เพื่อให้ง่ายต่อการซื้อสินค้า
 

รู้จักAds ระดับ Ads Group?

ตัวที่ใหญ่ลงมาจากระดับแคมเปญ ก็คือระดับของ Ads Group ซึ่งเปรียบเสมือนลูกน้อง ที่เป็นหน่วยย่อยๆของแคมเปญ ซึ่งสามารถสร้าง Ads group ย่อยๆได้หลากหลาย ซึ่งทำหน้าที่ในการแบ่งประเภทของ keyword หลักของเรา  แบ่งประเภทกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสามารถตั้งค่าต่างๆได้เพียงแค่
-Keyword ที่เราเลือกใช้งาน
-Ads text ที่บอกรายละเอียดต่างๆ
ซึ่งแตกต่างจากระดับแคมเปญ ที่ตั้งค่าต่างๆได้มากกว่า แต่ในระดับ Ads group จะสามารถสร้าง Ads ย่อยๆกี่ตัวก็ได้ ซึ่งสื่อที่เราใช้โปรโมท ทั้ง รูปภาพ ข้อความ จะขึ้นกับประเภทของโฆษณาที่เราเลือกใช้ในระดับแคมเปญนั้นเอง
ทำไมต้องแยกAds Group? - การแยกads group จะทำให้เราสามารถแยกกลุ่มลูกค้าได้(ลูกค้าที่มีความสนใจจริงๆ ชอบจริงๆ) และ แยกประเภทของโฆษณาได้
 
สรุปโครงสร้าง Google Ads กันหน่อย

ให้ลองมองภาพโครงสร้าง Google ads เป็นบริษัท หรือ ร้านๆหนึ่ง
-โดยที่บริษัทนี่จะมี หัวหน้าใหญ่(AdWords Accout) ที่คอยควบคุมการจัดการต่างๆของบริษัท ทุกอย่างต้องผ่านหัวหน้าใหญ่ เช่น บริษัทขายอาหารเสริมแห่งหนึ่ง
-รองลงมา คือ หัวหน้าแผนกต่างๆ(Campaign) ที่คอยจัดการเรื่องยิบย่อยของแต่ละแผนก เช่น บริษัทนี้ขาย อาหารเสริมเป็นหลัก(Campaign1) และ สินค้าอื่นๆ(Campaign2) ซึ่งแยกประเภทของกลุ่มเป้าหมายที่จะขายไว้ชัดเจน
-จากนั้นก็คือ ลูกน้อง(Ads Group) ที่ต้องขึ้นตรงกับหัวหน้าแผนกของตัวเอง เช่น สินค้าหลักสามารถแบ่งประเภทของอาหารเสริมย่อยๆ(Ads Group) ได้เป็น อาหารเสริมแบบผงไว้ชงกิน(Ads Group1) , อาหารเสริมแบบเม็ด(Ads Group2) ถ้าตัวไหนขายดีก็ยิง Ads เยอะหน่อย ตัวไหนไม่ดีก็ยิงน้อยหน่อย

การแบ่งโครงสร้างจะทำให้เราสามารถยกประเภท และ งบประมาณได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังช่วยทำให้เราดูได้ว่าสินค้าตัวไหนยิงแล้วดี เพื่อนำมาปรับใช้ในการทำการตลาดต่อไป
 
ทำการตลาดให้ปัง เลือกทำกับเรา?
เพราะเราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ที่ให้บริการในด้านของการทำ SEM SEO รวมทั้ง การยิงAds และ การตลาดอื่นๆ อีกทั้งเรายังช่วยในเรื่องการวิเคราะห์และทำความเข้าใจธุรกิจตลอดจนการวางแผน และ ออกแบบรูปแบบการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่คอย Support ช่วยดูแลธุรกิจของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของคุณให้คุณเติบโตอย่างที่ต้องการ
 
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

 
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency



241

ไม้ยางพารา โดนน้ำได้ไหม ข้อควรรู้สำหรับนักทำเฟอร์นิเจอร์
การเพิ่มคุณสมบัติให้กับไม้ยางพารา ในการถนอมเนื้อไม้ให้สีที่สด และ คงความสวยงาม  สมบูรณ์ของเนื้อไม้  จนทำให้เกิดคำถามตามมาว่า   ในเมื่อนำไม้ยางพารามาแปรรูปแล้ว  ไม้ยางพารา โดนน้ำได้ไหม   ซึ่งเป็นคำถามที่นักทำเฟอร์นิเจอร์ นักออกแบบ อยากจะรู้  เพื่อที่จะสามารถนำไม้แปรรูปไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ไม้ยางพารา โดนน้ำได้ไหม สาเหตุที่ทำให้ไม้บวม ?
เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมไม้ถึงบวมน้ำ การบวมน้ำของไม้อาจสร้างความปวดใจให้กับคนที่ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้หลายๆคน   ไม้แพ้เรื่องของปลวกเลย   ยิ่งบ้านไหนเป็นบ้านไม้ เฟอร์นิเจอร์ไม้เยอะๆ สาเหตุที่ไม้บวมน้ำ ความชื้นจากน้ำ   เป็นสาเหตุมาจากคุณสมบัติในการดูดซึมของไม้   เหมือนกับเวลาที่เรารดน้ำต้นไม้  เพียงครู่เดียวดินก็แห้งแล้ว   เหมือนกันกับเวลาที่ไม้โดนน้ำ   ไม้จะทำการดูดซึมน้ำเข้าไป   แต่ต่างกันที่ว่าไม้ไม่สามารถระบายความชื้น   น้ำออกได้เหมือนต้นไม้   นั้นเป็นสาเหตุทำให้ไม้บวมขึ้นมานั้นเอง   ยิ่งช่วงหน้าฝนก็ยิ่งทำให้เฟอร์นิเจอร์บวม หลายคนเลยเกิดคำถามว่า พอจะมีวิธีไหนบ้างที่จะแก้ไขปัญหาการบวมน้ำของเฟอร์นิเจอร์ไม้   ทั้งจากน้ำโดยตรง   และ   จากความชื้นในอากาศ   ถึงแม้ไม้จะไม่ถูกกับน้ำ   แต่ก็ใช่จะไม่มีวิธีในการแก้ปัญหาในเรื่องนี้เลย   เพราะหากไม้ที่คุณใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์   หรือ   ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้   
วิธีการแก้ปัญหาการบวมน้ำของไม้ แก้อย่างไร?
การแก้ไขปัญหาการบวมน้ำ ด้วยวิธีการแปรรูปไม้   เพื่อเพิ่มคุณสมบัติของไม้ คุณสมบัติของไม้ยังคงเป็นแบบธรรมชาติ   ซึ่งไม่สามารถป้องกันการบวมน้ำได้   ทำให้เมื่อไม้บวมก็อาจจะต้องเปลี่ยน หรือ   ทิ้งเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นไป   แต่หากใครไม่อยากต้องมานั่งกังวลเรื่องนี้   ให้ลองเปลี่ยนมาใช้เป็นไม้แปรรูปแทน   ไม้ยางพาราแปรรูป    เป็นไม้ที่ผ่านกระบวน  เพื่อเพิ่มคุณสมบัติภายในของไม้ให้ทนทาน แข็งแรงมากยิ่งขึ้น   ทำไมในการอัดน้ำยา   และ   อบไม้   ถึงช่วยแก้ปัญหาได้

การอัดน้ำยา
กระบวนการแปรรูปด้วยการอัดน้ำยาเข้าไปในเนื้อไม้ (wood impregnation)   ซึ่งน้ำยาที่ใช้อัดเข้าไปเป็นสารประเภทของโบรอนซึ่งมีคุณสมบัติในการชะลอการหลุดร่วงของไม้   ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่เนื้อไม้
-การอัดน้ำยาเป็นการทำเพื่อรักษาเนื้อไม้จาก แมลง   ความชื้น   สภาพอากาศ
-การใช้เครื่องจักรสำหรับอัดน้ำยาโดยเฉพาะ   เพื่อทำให้เกิดแรงดันเพื่อดันน้ำยาเข้าไปในเนื้อไม้
-การใช้เครื่องจักรเพื่อใช้ในการควบคุมปริมาณของน้ำยาที่เข้าไปให้เหมาะสม   เนื่องจากหากไม่ใช่เครื่องอัดโดยเฉพาะน้ำยาที่เข้าไปอาจจะมากจนเกินไป   ซึ่งอาจทำให้ไม้บวมจากภายในได้   อีกทั้งถ้าน้ำยาน้อยเกิินไปก็จะไม่เข้าไปยังทุกส่วนของเนื้อไม้   นอกจากเครื่องจักรโดยเฉพาะแล้ว
-ประเภทของน้ำยายังมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของไม้อีกด้วย    ทางโรงงานของเรามีน้ำยาในการอัดเข้าที่เนื้อไม้อยู่ 2 ประเภท   คือ   น้ำยาขาว   น้ำยาเขียว
ทำไมการอัดน้ำยาถึงช่วยลดการบวมน้ำ   :   เพราะน้ำยาที่เข้าไปในเนื้อไม้   เป็นสารที่จะช่วยทำให้ไม้มีความแข็งแรง   ทนทานต่อสภาพอากาศ   แมลงศัตรูพืช(กลิ่นของสารโบรอนแมลงไม่ชอบ)   และ   รักษาเนื้อไม้ให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น

การอบไม้
นอกจากกระบวนการในการอัดน้ำยาแล้ว   ยังจะต้องผ่านขั้นตอนในการอบไม้ด้วย   เนื่องจากเมื่อผ่านขั้นตอนการอันน้ำยา   น้ำยาจะเข้าไปในเนื้อไม้ซึ่งส่งผลให้ด้านในของไม้ชื้นขึ้นมา   เราจึงต้องทำการไล่ความชื้นออกจากไม้  ไม่เช่นนั้น ไม้อาจจะยืด หดตัว  บิดงอ และ หักได้ โดยที่เป็นเพียงแค่การไล่ความชื้นส่วนเกินแต่ไม่ได้เป็นการไล่น้ำยาออก   การที่จะทำให้ไม้แห้งแต่น้ำยาที่ใช้ในการเพิ่มคุณสมบัติของไม้ไม่หายไปไหน
-จะต้องอาศัย   เครื่องอบไม้แบบเฉพาะ  (kiln Drying)  ที่เป็นการใช้ความร้อนจากไอน้ำในการอบแห้งไม้   และ สามารถควบคุมความชื้นของไม้ได้ หากเป็นเครื่องแบบปกติอาจจะทำให้น้ำยาระเหยไปหมดได้
-จะใช้อุณหภูมิที่เหมาะสมที่   90-95   องศา   เพื่อรักษาความชื้นในไม้ให้สมดุล   ไม่มาก   ไม่น้อยจนเกินไป   ถ้าน้ำยามากเกินไปเนื้อเสีย   ถ้าน้อยเกินไปเนื้อไม้จะแห้ง แตก
ทำไมการอบแห้งไม้ถึงช่วยลดการบวมน้ำ   :   เพราะในไม้มีความชื้นจากการอัดน้ำยา และ ความชื้นจากสภาพอากาศ   การอบไม้จะเป็นการช่วยรักษาความสมบูรณ์ของเนื้อไม้   และ  ควบคุมความชื้นภายในของไม้   ให้ทนทานต่อน้ำ   ความชื้น   สภาพอากาศ
เมื่อไม้ได้ผ่านขั้นตอนในการแปรรูปแล้ว   ทั้งการอัดน้ำยาเพื่อเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ  ทั้งการกันน้ำ  กันแมลง   เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ไม้ได้   เพียงเท่านี้คุณก็สามารถแก้ปัญหาการบวมน้ำของไม้ได้แล้ว   ไม่ว่าจะหน้าฝน   หรือ   ฤดูไหนๆ ก็หมดกังวลเรื่องไม้บวมได้แล้ว!!!
ไม้ยางพาราแปรรูปคุณภาพ   ไม้MTK
การจะเลือกซื้อไม้แปรรูป ควรเลือกไม้แปรรูปที่ผ่านขั้นตอน   กระบวนการในการแปรรูปที่ได้มาตรฐานครบวงจร   ไม่ควรผ่านแค่ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งเท่านั้น   นอกจากนั้นในกระบวนการผลิต ควรใช้เครื่องจักรโดยเฉพาะสำหรับการอัดและอบ   เนื่องจากขั้นตอนในการผลิตแต่ละขั้นตอนมีเงื่อนไขในการใช้งาน   นอกจากนั้นควรจะเลือกโรงงานผลิต   ที่มีมาตรฐานในการรองรับการผลิต   ถ้าต้องการไม้แปรรูปนึกถึงโรงงานไม้   MTK   เพราะ
-โรงงานไม้ของเราเปิดให้บริการมายาวนานกว่า   25   ปี   และ   ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมวิชาการเกษตร
-โรงงานของเราใช้เครื่องจักรในการผลิตที่มีมาตรฐาน   และ   เป็นเครื่องจักรเฉพาะในการผลิต ทำให้ได้ไม้ที่มีคุณภาพ
-โรงงานของเราผลิตไม้แปรรูปหลากหลายประเภท   อีกทั้งยังให้บริการหลากหลาย  และ   ขนส่งไปถึงมือลูกค้าทั่วประเทศ
 
คุณจึงมั่นใจได้ว่า ซื้อไม้แปรรูป กับ   MTK WOOD   คุณจะได้ไม้คุณภาพ    ไม้ดี ตรงตามสเปคที่คุณต้องการ   และ   ได้ไม้ถึงมือท่านด้วยความปลอดภัยอย่างแน่นอน   ซื้อไม้ยางพาราแปรรูปเลย   Click here   !!!!
 
สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม   MTK   ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :   @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


242

Ad Extensions คือ ทำไมคนซื้อโฆษณากูเกิ้ลต้องรู้?
Google Ads เป็นการเครื่องมือในการทำการตลาด สำหรับทำให้สินค้าและบริการของคุณ ติดอยู่บนหน้าแรกของการค้นหาบนกูเกิ้ล แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมAds บางตัวทั้งๆที่อยู่ในหน้าแรก แต่กลับไม่ดีเท่าที่ควร เราเลยจะมาแนะนำให้ท่านรู้จักกับ  Ad Extensions คือ ที่จะช่วยทำให้โฆษณาของคุณปังกว่าเดิมได้อย่างไรบ้าง เหตุผลที่คนซื้อโฆษณาบน Google จะต้องรู้
 
Highlight  Ad Extension ที่ต้องรู้!!!
-Ad Extension คืออะไร?
-ทำแล้วช่วยโฆษณาของเราให้ดีขึ้นอย่างไร?
-ประเภทของ Ad Extension แต่ละประเภทมีหน้าที่อย่างไร?
 
 
Ad Extension คือ อะไร?
ถ้าพูดถึงการซื้อโฆษณาบน Google จะต้องมีการเซ็ตAds และ Ad Extension ซึ่งเป็นเหมือนส่วนที่ใช้เพื่อขยายใจความของโฆษณา เป็นการเพิ่มรายละเอียดของโฆษณา เพื่อทำให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าและบริการของเรามากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นสิ่งที่ทำให้โฆษณาของคุณน่าสนใจ และ โดดเด่นกว่าคู่แข่งของคุณอีกด้วย
สามารถอ่าน บทความBid strategy คนซื้อโฆษณาต้องรู้ เพิ่มเติมได้ที่นี่
 

ทำแล้วช่วยโฆษณาของเราให้ดีขึ้นอย่างไร?
เนื่องจากเวลาเราเห็นโฆษณาบน Google นอกจากหัวข้อที่โดนใจแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ใครหลายๆคนมักจะดูนั้นก็คือ ข้อความข้างใต้ หรือ Ad Extension นั้นเอง หากลองเปรียบเทียบกันระหว่าง โฆษณา 2 ตัว ที่อันแรกไม่มีการอธิบายอะไรเท่าไหร่ กับ โฆษณาที่สอง ที่มีการอธิบายรายละเอียด อีกทั้งยังมีโปรโมชั่นมากมาย คุณจะเลือกคลิกเข้าไปที่โฆษณาอันไหน?
Ad Extension ที่น่าสนใจ โดดเด่น จะช่วยในการดดึงดูดคนให้เข้ามาที่โฆษณาของเรา ซึ่งเป็นตัวช่วยในการเพิ่ม CTR (อัตราของจำนวนคลิกเมื่อเทียบกับจำนวนของโฆษณาที่ปรากฎ) ให้แก่โฆษณาของคุณ ซึ่งส่งผลโดยตรงกับคะแนน(Quality Score) ยิ่งเว็บไซต์มีจำนวนคลิกมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้คุณชนะคู่แข่งได้อย่างง่ายดาย!!!
 
 
ประเภทของAd Extension แต่ละประเภทมีหน้าที่อย่างไร?
ถึงแม้ว่าAd Extension จะเป็นเพียงแค่ส่วนที่จะช่วยในการขยายใจความสำคัญของโฆษณา แต่รูปแบบของExtension ไม่ได้มีเพียงแค่แบบเดียวเท่านั้น มารู้จักแต่ละประเภทของAd Extension กันดีกว่า
 
Extensionเพื่อดึงลูกค้าเข้าสู่เว็บไซต์
-Sitelink Extensions
-Callout Extensions
-Structure Snippet Extensions
-Price Extensions
-Promotions Extension
Extensionเพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับโฆษณา
-Call Extensions
-Locations Extension
-App Extension
-Review Extensions
Sitelink Extensions

รูปแบบของการนำลิ้งค์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า(URL) มาใส่เอาไว้ เพื่อที่จะดึงลูกค้าไปที่หน้าเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นลิ้งค์ ติดต่อเรา หรือ เกี่ยวกับเรา เป็นต้น เพื่อดึงให้คนเข้ามายังหน้าต่างๆของเว็บไซต์ของเรา โดยที่ไม่ใช่ลิ้งค์ที่เหมือนกันกับ URL ของโฆษณา ซึ่งสามารถใส่ลิ้งค์ได้หลายลิ้งค์ อาจจะใส่อย่างน้อย 4 ลิ้งค์ หรือ มากกว่านั้น เพื่อทำให้ลูกค้าสามารถเลือกเข้าไปได้ตามที่ต้องการ
Callout Extensions

เป็นรูปแบบของการเพิ่มส่วนเสริมของข้อความ ที่ช่วยทำให้ข้อความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพื่อเน้นใจความที่กระชับ(เนื่องจากใส่ได้เพียงแค่ 25 ตัวอักษร) เพื่อทำให้เกิด conversion ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น จัดส่งฟรี , ผ่อน0% , ฟรีของแถมพรีเมียม เป็นต้น เป็นการกระตุ้นความสนใจของลูกค้าให้เข้าไปยังหน้าเว็บไซต์ แต่ไม่เหมือนกับ Sitelink Extensions ที่สามารถคลิกไปที่หน้าเพจนั้นๆได้เลย
Structure Snippet Extensions

รูปแบบของส่วนขยายที่ใช้เพื่อแสดงข้อมูล ที่สามารถแยกตามประเภท หมวดหมู่ของสินค้าและบริการได้ หรือ อาจจะใช้เพื่อแบ่งประเภทของแบรนด์สินค้า สำหรับกรณีที่ขายสินค้าหลากหลายแบรนด์ หลายประเภท การแยกประเภทของสินค้าที่ชัดเจน จะเป็นการช่วยดึงลูกค้าเข้าสู่เว็บไซต์เพิ่มเติมได้ ควรใส่หมวดหมู่อย่างน้อย 4 หมวด
Price Extensions

เป็นส่วนที่แสดงราคา หรือ หมวดหมู่ของสินค้าพร้อมกับราคา ทำให้ลูกค้าสามารถดูสินค้าได้โดยตรง เพื่อทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจ และ ดึงลูกค้าเข้าสู่เว็บไซต์ ซึ่งจะมีความคล้ายกับแบบ Sitelink Extensions ที่จะสามารถเข้าไปที่หน้าของสินค้านั้นโดยตรงได้ การทำรูปแบบนี้สามารถทำได้แค่บางประเภทเท่านั้น และ ในประเภทไทยสามารถทำได้แต่ยังไม่สมบูรณ์มากนัก
Promotions Extension

เป็นรูปแบบของส่วนขยายที่จะแสดงโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อบอกว่าร้านของคุณมีโปรโมชั่นอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น การลดราคา โปรโมชั่นล่าสุด ของแถม รวมทั้งบริการเสริมอื่นๆ เพื่อดึงดูดให้คนคลิก Ads ซึ่งสามารถตั้งค่าอายุของโปรโมชั่นของคุณได้ ว่าเริ่มเมื่อไหร่ สิ้นสุดเมื่อไหร่
Call Extensions

เป็นการแสดงเบอร์โทร และ ปุ่มโทร ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับแบบที่ลิ้งค์เข้าไปสู่เว็บไซต์ แต่เป็นการลิ้งค์ไปที่เบอร์โทรโดยตรง ทำให้ลูกค้าไม่ต้องไปนั่งหาเบอร์โทรจากในเว็บ เหมาะสำหรับสินค้าและบริการด่วนๆ หรือ สำหรับลูกค้าที่ต้องการติดต่อโดยตรงกับร้านค้า ซึ่งเบอร์จะต้องมีแสดงอยู่ในเว็บไซต์ของคุณด้วย ถือว่าเป็นExtensionsที่มีประโยชน์มาก
Locations Extension

เป็นรูปแบบของส่วนขยายที่จะโชว์แผนที่ร้านของคุณ สำหรับร้านค้าที่มีหน้าร้าน เพื่อบอกว่าร้านของคุณอยู่ที่ไหน เปิดเมื่อไหร่  โดยจะทำการเชื่อมต่อกับ Google Maps เพื่อแสดงแผนที่ในการเดินทางไปยังร้านค้าของคุณ โดยที่ลูกค้าไม่ต้องไปนั่งหาแผนที่ หรือ โทรสอบถามเส้นทางเอง
App Extension

เป็นรูปแบบของส่วนขยายที่แนะนำการติดตั้ง Application ซึ่งเหมาะกับร้านค้าที่มี App ทั้งแบบ IOS และ Android ซึ่งเป็นรูปแบบที่จะแสดงเฉพาะบนโทรศัพท์มือถือเท่านั้น
 
ทำการตลาดกับเราดีอย่างไร
บริษัทของเรามีความเชี่ยวชาญทางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ให้บริการในการทำ SEM SEO  การยิงAds และ รูปแบบการทำการตลาดรูปแบบอื่นๆ อีกทั้งเรายังช่วยในเรื่องการวิเคราะห์และทำความเข้าใจธุรกิจตลอดจนการวางแผนการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ด้วยทีมงานที่จะคอยช่วยเหลือ และ ดูแลธุรกิจของคุณให้สามารถชนะคู่แข่งของคุณได้
 
 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


243

Google Analytics คือ ? เครื่องมือฟรีที่ไม่ควรพลาด
สำหรับใครที่ทำธุรกิจออนไลน์จะต้องรู้จักการทำ SEM SEOและ การทำ Google Ads บทความนี้จะมาขอแนะนำเครื่องมือที่จะช่วยประมวลผล และ วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับเว็บไซต์ของเรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำตลาดของคุณให้มากยิ่งขึ้น มารู้จักเครื่องมือนี้กันว่า Google Analytics คือ อะไร และ สามารถช่วยเหลืออะไรคุณได้บ้าง ไปอ่านบทความกันเลย!!!
 
 
Highlight Google Analytic ที่ต้องรู้!!!
-Google Analytic คืออะไร?
-GA สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ?
-ความสามารถของGoogle Analytic ทำอะไรได้บ้าง?
-GA ดีอย่างไรต่อคนทำธุรกิจ?
 
 

Google Analytic คือ อะไร?

Google Analytic หรือเรียกย่อยๆว่า GA เป็นเครื่องมือสำหรับใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลทางสถิติบนเว็บไซต์ของเรา เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของผู้ใช้งาน พฤติกรรมของผู้ใช้งาน ช่องทางในการเข้าถึงเว็บไซต์ อีกทั้งยังสถิติต่างๆ เพื่อทำให้เราสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และ นำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณแล้ว ยังเป็นเครื่องมือที่เปิดให้ใช้งานแบบฟรีๆบน Google อีกด้วย!!!
การใช้งาน Google Analytic มีทั้งแบบที่เปิดให้ใช้งานฟรี* และ แบบเสียเงินซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่า สำหรับธุรกิจที่ต้องการข้อมูลเชิงลึก หรือ เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ (*การใช้งานแบบฟรี ข้อมูลที่ได้ถือว่าเพียงพอสำหรับธุรกิจขนาดเล็กจนถึงขนาดกลางแล้ว แต่ถ้าหากต้องการข้อมูลที่ลึกขึ้นสามารถซื้อแบบเสียเงินเพิ่มเติมได้)
สามารถอ่านข้อมูลของ Google Trends ซึ่งเป็นเครื่องมือฟรีจากGoogle เพิ่มเติมได้ที่นี่

GA สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ?
ในปัจจุบันธุรกิจต่างๆ มีอัตราการแข่งขันค่อนข้างสูง ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปขนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างสู้สี นั้นก็คือข้อมูลสถิติต่างๆ เนื่องจากสถิติต่างๆ สามารถนำไปวิเคราะห์สำหรับประยุกต์ให้ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มประสทิธิภาพของเว็บไซต์ และ ทำให้ธุรกิจของคุณประสบความเร็จมากยิ่งขึ้น
 
 
ความสามารถของ Google Analytic ทำอะไรได้บ้าง?

เนื่องจาก Google Analytics คือ เครื่องมือที่ช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งาน นั้นทำให้สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น เราสามารถใช้งาน GA ทำอะไรได้บ้าง มารู้จักเครื่องมือตัวนี้ให้ดีมากขึ้นดีกว่า โดยหลักๆ GA สามารถแบ่งการวิเคราะห์ได้ออกเป็น 5 อย่าง ได้แก่
-Realtime
-Audience
-Acquisition
-Behavior
-Conversion
Realtime
GA สามารถดูสถิติข้อมูล การแสดงผลการใช้งานจริง แบบ Realtime ในเวลาที่เราดูข้อมูลได้ สามารถใช้ดูเพื่อให้ทราบข้อมูลภาพรวมของผู้ใช้งาน
-จำนวนที่คนใช้งานเว็บไซต์
-ช่องทางที่คนเข้าถึงเว็บไซต์
-เวลาที่อยู่ในเว็บไซต์ และ แสดงหน้าเพจที่คนเข้าถึง
Audience
สามารถดูข้อมูลที่ลึกกว่าแบบ Realtime ได้มากขึ้นด้วย ข้อมูลแบบ Audience ซึ่งแสดงข้อมูลของผู้เข้าชมเว็บไซต์แบบละเอียด
-จำนวนคนที่ใช้งานเว็บไซต์ของเรา
-จากจำนวนคนที่เข้ามาเว็บไซต์ มีผู้ใช้งานใหม่กี่คน
-จำนวนครั้ง และ ค่าเฉลี่ยของคน เมื่อเข้าสู่เว็บไซต์
Acquisition
นอกจากจะสามารถแสดงข้อมูลของผู้เข้าชมเว็บไซต์แล้ว ยังสามารถเกี่ยวกับช่องทางในการเข้าถึงเว็บไซต์ของผู้คนได้อีกด้วย ซึ่งจะละเอียดกว่าข้อมูลแบบ Realtime
-คนที่ค้นหา Keyword จาก Google แล้วเจอเรา (SEO และ SEM)
-คนที่ค้นหา เว็บไซต์ของเราโดยตรง (ค้นชื่อเว็บไซต์เลย)
-คนที่เข้ามาจากทาง social ช่องทางออนไลน์ต่างๆ
Behavior
นอกจากข้อมูลที่บอกว่ามีจำนวนคนเข้าสู่เว็บไซต์เท่าไหร่ ข้อมูลที่แสดงถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เข้าสู่เว็บไซต์อีกด้วย ข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้งานนับว่าเป็นส่วนสำคัญ ที่ใช้นำไปทำให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้ามากยิ่งขึ้น
-จำนวนคนที่เข้าชมเว็บไซต์
-คนเข้าชมจากหน้าเพจไหนบ้าง
-คนทำอะไรในหน้าเพจบ้าง เช่น อ่านบทความ ซื้อสินค้า คลิกลิ้งค์
Conversion
ไม่ใช้แค่แสดงข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้งานเท่านั้น แต่ยังสามารถดูข้อมูลของการเกิด Conversion ต่างๆได้ ว่าคนที่เข้ามายังเว็บไซต์ในแต่ละหน้าเขาทำอะไรกันบ้าง เช่น สมัครสมาชิก ซื้อของ ซึ่งถือว่าข้อมูลด้าน Conversion เป็นข้อมูลที่ค่อนข้างสำคัญ ในการนำไปใช้สำหรับวางแผนการตลาด
 

GA ดีอย่างไรต่อคนทำธุรกิจ?

​GA สามารถใช้ในการวางแผน และ วิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้ธุรกิจและบริการของคุณทำการตลาดได้อย่างเหมาะสม และ ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะเราสามารถใช้ GA ในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นต่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น จำนวนคนที่เข้าถึงเว็บไซต์ เวลาที่อยู่ในเว็บไซต์ พฤติกรรมของผู้ใช้งาน รวมถึงข้อมูลสถิติการใช้งานต่างๆ ที่จะทำให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานกับธุรกิจของคุณได้

 
ทำการตลาดกับเราดีอย่างไร
เราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ที่ให้บริการในด้านของการทำ SEM SEO รวมทั้ง การยิงAds และ รูปแบบการทำการตลาดรูปแบบอื่นๆ อีกทั้งเรายังช่วยในเรื่องการวิเคราะห์และทำความเข้าใจธุรกิจตลอดจนการวางแผน และ ออกแบบรูปแบบการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณพร้อมทีม Support ที่ช่วยเหลือธุรกิจของคุณ ให้สามารถทำยอดขาย และ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


244

คอร์สองค์ประกอบศิลป์ ออนไลน์ อยู่บ้านก็เรียนได้
เตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะพื้นฐานที่ดีต้องอาศัยการจัดองค์ประกอบที่ดีร่วมด้วยเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับน้องๆที่ต้องการสอบเข้าคณะที่อาศัยทักษะทางศิลปะ นอกจากที่จะต้องมีทักษะในการวาดภาพแล้ว หากน้องๆไม่รู้จักการจัดวางองค์ประกอบ อาจส่งผลให้ผลงานของน้องๆขาดความสมดุล รูปทรงนี้ควรจัดวางอย่างไร? สีโทนนี้ คู่สีนี้สามารถใช้ร่วมกันได้หรือไม่? มาพัฒนาทักษะองค์ประกอบศิลป์ให้สามารถใช้งานเพื่อต่อยอดได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วย คอร์สองค์ประกอบศิลป์ ออนไลน์ อยู่บ้านก็เรียนได้ เพราเราเล็งเห็นว่าทักษะนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่ใครหลายๆคนมองข้าม
คอร์สองค์ประกอบศิลป์ ออนไลน์ ทักษะที่สำคัญอย่ามองข้าม!!!

"หัวใจสำคัญในการต่อยอดไปสู่งานศิลปะและการออกแบบทุกแขนง"
คอร์ส basic composition เป็นคอร์สเรียนแบบออนไลน์ ที่จะช่วยปูพื้นฐานที่จำเป็นในการวาดภาพ ในการลงสี ระบายสี ร่างภาพ และ ใช้ในงานศิลปะแทบจะทุกอย่าง มาทำความรู้จักกับ "ทัศนธาตุ" และ องค์ประกอบศิลป์ การออกแบบเบื้องต้น ที่จะทำให้น้องๆ สามารถวิเคราะห์งานศิลป์ งานออกแบบได้ เป็นคอร์สเรียรที่ช่วยให้น้องๆเข้าใจองค์ประกอบ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการออกแบบ อีกทั้งยังจำเป็นต้องใช้สำหรับน้องๆ ที่ต้องการเรียนต่อในคณะที่ใช้ทักษะทางศิลป์
คอร์ส Basic composition เหมาะกับใคร
-น้องๆ มัธยมศึกษาตอนปลาย 4-6 ที่กำลังเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
-น้องๆที่ซิ่วเพื่อเตรียมตัวสอบเข้าคณะจิตกรรม คณะนิเทศศิลป์ คณะออกแบบภายใน และ คณะที่ต้องอาศัยทักษะการวาดภาพต่างๆ
-น้องๆ ที่ต้องการฝึกทักษะพื้นฐานให้แม่นยำ เพื่อนำไปต่อยอดทักษะวาดภาพในระดับที่สูงขึ้น หรือ ต้องใช้ในการทำงานทางด้านศิลปะ
คอร์สนี้เรียนกี่ครั้ง แต่ละครั้งเมื่อเรียนแล้วจะได้รับอะไรบ้าง?
คอร์สนี้เป็นคอร์สสำหรับฝึกพื้นฐานการจัดวางองค์ประกอบศิลป์ จำนวน 4 ครั้งซึ่งแบ่งเป็น แบบบรรยาย โดยจะใช้เวลาในการเรียนบทละ 60 นาที และ แบบปฏิบัติเอง 2-3 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีการสอนเกล็ดความรู้เสริมรอบด้านในการจัดวางองค์ประกอบศิลป์ เพื่อที่ผู้เรียนจะสามารถนำไปฝึก และ ปฏิบัติเองได้ โดยการเรียนของเราจะวัดผลโดยการให้ผู้เรียนปฏิบัติงานแล้วส่งงานให้กับอาจารย์ เพื่อที่จะได้ทำการดูภาพรวมมของการเรียนในแต่ละครั้ง นั้นทำให้คอร์สออนไลน์นี้เสมือนเรียนสดกับอาจารย์ เราจึงได้เปิด สอนพื้นฐาน องค์ประกอบศิลปะ ออนไลน์ ขึ้นมาเพราะเห็นว่าพื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก!!!
-เรียนบรรยาย ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติ น้องๆควรที่จะทราบทฤษฏี โครงสร้างของรูปทรง การจัดวาง ประเภทของโทนสี และ องค์ประกอบหลักๆ ของการวาดภาพต่างๆเสียก่อน เพราะที่จะทำให้สามารถจัดวางองค์ประกอบได้อย่างเหมาะสม และ พร้อมที่จะนำไปปฏิบัติจริง
-เรียนปฏิบัติ เพราะศิลปะคือการลงมือทำ นอกจากภาคบรรยายแล้วยังต้องสามารถปฏิบัติได้จริง จึงมีการเรียนภาคปฏิบัติ โดยจะให้น้องๆส่งงานที่ทำการวาดมาเพื่อตรวจประเมินผล เพื่อที่จะสามารถพัฒนาฝีมือไปได้ตรงจุด
เนื้อหาในการเรียนที่จะได้จากการเรียนคอร์สนี้ มีดังต่อไปนี้
-หลักการ และ พื้นฐานในการสร้างงานที่จำเป็น
-การจัดวางทัศนธาตุศิลป์
-พื้นฐานทฤษฏีสี โทนสี การลงสี
-การจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ในงานศิลป์ งานออกแบบ
ทำไมต้องเรียน คอร์สองค์ประกอบศิลป์ ออนไลน์ กับ VA

อย่าปล่อยให้ทักษะนี้หลุดลอยไป เพราะการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ เป็นสิ่งที่จำเป็น ทั้งการร่างแบบ ของคณะสถาปัตย์ การออกแบบภายใน การจัดวางองค์ประกอบ ของสาขาออกแบบภายใน การจัดวางภาพ คอร์สองค์ประกอบศิลป์ ออนไลน์ นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สำคัญให้กับน้องๆ ที่ไม่มีพื้นฐาน และ ต้องการเพิ่มทักษะที่จะช่วยให้น้องๆ สามารถสร้างงานศิลปะที่ดีมากยิ่งขึ้นได้ เมื่อน้องๆมีความเข้าใจในเรื่องการจัดองค์ประกอบต่างๆแล้ว จะทำให้งานที่ออกมาของน้องๆ ดีเทียบเท่าผู้มีพรสวรรค์ได้ไม่ยาก
"เพราะพื้นฐานที่ดี จะนำไปสู่การต่อยอดที่ดีในระดับที่สูงขึ้น"


สามารถติดตาม viridian academy of art ช่องทางต่างๆได้ดังนี้
เบอร์โทรศัพท์ : 083-615-2391
Facebook : viridian academy of art
Line : @viridian
Instargram : viridian academy of art
Email : viridian.academy.2019@gmail.com



245

ไม้ยางพารา ปลวกกินไหม ? เรื่องง่ายๆที่นักทำเฟอร์นิเจอร์ควรรู้
ในปัจจุบันไม้ยางพาราเป็นไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมอย่างมากในการนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ เฟอร์นิเจอร์ไม้ส่วนใหญ่จะเป็นไม้ที่เราคุ้นเคยกันในชีวิตประจำวัน  แล้วจะมีไม้ชนิดไหน   หรือ   ขั้นตอนไหนบ้างที่จะช่วยป้องกันปลวกกินไม้ได้   แล้วถ้าเป็น   ไม้ยางพารา   ปลวกกินไหม   ถ้าอยากรู้แล้วไปอ่านในบทความกันเลย!!!
โครงสร้างไม้ยางพาราเป็นอย่างไร?

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับโครงสร้างของไม้ยางพารากันดีกว่า และ เมื่อเรารู้จักโครงสร้างต่างๆแล้ว   จะทำให้เราสามารถนำไม้ไปแปรรูปได้อย่างเหมาะสม   อย่างที่เรารู้ๆกันว่าไม้ยางพาราเป็นไม้ที่มีลวดลายที่สวยงาม   ง่ายต่อการย้อมสี   น้ำหนักเบา   ราคาถูก   โครงสร้างไม้ยางพารามีลักษณะอย่างไรบ้าง?
-ไม้ยางพาราเป็นไม้เนื้ออ่อน   ที่มีความแข็งแรงเมื่อเทียบกับไม้เนื้ออ่อนด้วยกัน
-สีของเนื้อไม้ยางพาราสีออก   ขาว   เหลือง   แต่เมื่อนำไปตากจนแห้งจะได้สีออก   ขาวผสมน้ำตาลอ่อนๆ   และ   สีจะเข้มขึ้นไปเรื่อยๆ
-เนื้อไม้ยางพาราค่อนข้างละเอียด  มีเสี้ยนเล็กน้อยถึงมาก  ทำให้แปรรูปได้ง่าย
-ไม้ยางมีส่วนประกอบของเซลลูโลส   (cellulose)   อยู่ในลำต้นถึง   40-50%   ซึ่งทำให้ไม้ยางพารามีความแข็งแรง
-ไม้ยางพารามีลินิน   (lignin)   ในลำต้นถึง   15-35%   ซึ่งจะทำให้ไม้ยางพารามีความยืดหยุ่น   สร้างความแข็งแรงแก่พืช  เพื่อป้องกันไม้จากแมลงศัตรูพืช  และ เชื้อรา
-ในไม้ยางพาราจะมีสารแทรก   ซึ่งทำให้ไม้คงรูปได้ดี   อีกทั้งยังส่งผลต่อสี และ   อายุของต้นไม้
-ไม้ยางพารามีคุณสมบัติทางกายภาพสูง   จึงทำให้มีทั้งความยืดหยุ่น และ   ความเหนียว   ที่เหมาะสำหรับนำไปทำเฟอร์นิเจอร์
โครงสร้างแบบนี้ ไม้ยางพารา ปลวกกินไหม ?
ปลวกจะกินไม้ยางพาราหรือไม่   ซึ่งเป็นคำถามที่หลายๆคนที่เป็นคนทำเฟอร์นิเจอร์อยากจะรู้  ไม้ยางพาราด้วย มีคุณสมบัติบางอย่างที่ทำให้แมลงศัตรูพืช อย่างปลวก  หรือ มอดชอบ   เพราะในต้นไม้มีสารบางอย่างที่เป็นอาหารของปลวก   อีกทั้งความชื้น  ในต้นไม้   และ   ยังมีปัจจัยหลายๆอย่างอีกด้วย  นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ปลวกขึ้นไม้นั้นเอง  แต่ถึงปลวกจะชอบขึ้นไม้ ก็ยังมีวิธีที่จะช่วยรับมือกับปัญหาปลวกขึ้นไม้เฟอร์นิเจอร์ของเราได้

ทำไมไม้ยางพาราแปรรูปปลวกไม่ขึ้น?
ที่ไม้ยางพาราแปรรูปปลวกไม่ขึ้น เพราะผ่านกระบวนการแปรรูปหลากหลายขั้นตอนมาแล้ว เนื่องจากกว่าจะได้มาเป็นไม้ยางพาราแปรรูป ที่ทนทานต่อแมลง   ปลวก   มอด   เชื้อรา   ต้้องผ่านขั้นตอนต่างๆดังต่อไปนี้
-ขั้นตอนการคัดเลือกขนาดในการแปรรูป   ไ่ม่ใช่ว่าจะแปรรูปไม้อันไหนก็ได้   แต่การแปรรูปไม้จะต้องมีขนาดที่เหมาะสม   เนื่องจากเป็นขนาดที่เหมาะในการนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ในแต่ละประเภท
-ขั้นตอนการตัดแต่งไม้   ถึงแม้จะทำการคัดเลือกไม้มาแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถนำไปใช้งานได้เลย   แต่จะต้องผ่านการตัดแต่ง   เลื่อยไม้   ซอยไม้ ไสไม้   ให้ได้รูปลักษณ์ที่เหมาะสมก่อนนำมาแปรรูป
-ขั้นตอนการอัดน้ำยาเข้าไปในเนื้อไม้  อย่างที่ได้บอกไปว่า เพราะเป็นไม้แท้ปลวกจึงขึ้น   ดังนั้นจึงต้องทำการอัดน้ำยาเข้าไปในไม้ เพื่อป้องกันไม้จากแมลง   และ เชื้อรา
-ขั้นตอนในการอบไม้ให้แห้งด้วยไอน้ำ   เมื่อทำการอัดน้ำยาแล้วจะส่งผลให้ตัวไม้มีความชื้น จึงต้องทำการไล่ความชื้นด้วยการอบไอน้ำ   เพื่อเป็นการไล่ความชื้น  และ   ควบคุมความชื้นในเนื้อไม้

นื่องจากในแต่ละขั้นตอน จำเป็นต้องอาศัยเครื่องจักรที่ได้มาตรฐาน และ   ทีมงานที่มีความชำนาญในการผลิต   ดังนั้นในขั้นตอนต่างๆจึงต้องอาศัยความระมัดระวังสูง
วิธีการดูแลรักษาไม้ยางพารา
การดูแลไม้ยางพาราที่ดีที่สุด คือ   การป้องกันอย่าให้ไม้มีความชื้นสูง   ทั้งไม้ยางพาราแบบสด   และ   แบบแปรรูป   เพราะถึงแม้ไม้ยางพาราจะผ่านการแปรรูปมาแล้วอาจไม่ทำให้ปลวกขึ้น   แต่จะส่งผลให้เสียรูปทรงได้   เช่น   ไม้บวม  พอง   ไม้โก่ง เป็นต้น   ดังนั้นจึงควรรักษาไม้ดังต่อไปนี้
-อย่าให้เปียกฝน หรือ ชื้น   ทั้งสภาพอากาศที่ชื้น  หรือ  เปียก
-ควรหาอะไรรองไม้ก่อนที่จะวาง   เพราะในพื้นเองก็มีความชื้นอยู่ไม่น้อย   ก่อนที่จะวางจึงควรรองด้วยผ้าใบ   แทนการวางที่พื้นตรงๆ
-อย่าวางไว้กลางแจ้ง   ถึงแม้สภาพอากาศจะไร้ฝนก็ตาม   แต่แดดก็นับว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำลายไม้ได้   ทางที่ดีควรเก็บไม้ไว้ในที่มิดชิด   เช่น วางในโกดัง   โรงไม้ เป็นต้น
จะเลือกซื้อไม้ยางพารา ควรเลือกจากอะไร?
หากใครที่ต้องการจะซื้อไม้ยางพารา   สำหรับนำไปทำเฟอร์นิเจอร์   การจะเลือกไม้ยางพาราให้ได้ไม้ที่ดี   ควรเลือกจากสิ่งดังต่อไปนี้
-เลือกไม้ยางพาราที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน   ถึงไม้ไม้ยางพาราจะดีแค่ไหน แต่หากยังไม่ได้รับการรับรองก็ไม่ควรเสี่ยงซื้อ   เพราะไม้อาจจะมีปัญหาในระยะยาวได้   (รูปทรงผิดจากเดิม เกิดการโค่งงอ ชำรุด อีกทั้งอาจจะส่งผลต่อแมลง ความชื้น)   อย่างโรงงานของเราเป็นโรงงานที่ได้มาตรฐาน   IPPC   จากกรมวิชาการเกษตร
-เลือกไม้ยางพาราที่ผลิตด้วยเครื่องจักรที่ได้มาตรฐาน   นอกจากจะต้องการมาตรฐานการผลิตแล้ว   เครื่องจักรก็ควรจะเป็นเครื่องจักรแบบเฉพาะ   เช่น   จะตัดแต่งไม้ ก็ควรใช้เครื่องไสไม้ เลื่อยสายพาน   แต่ถ้าจะอัดน้ำยาอบไม้   ก็ควรใช้เครื่องอัดน้ำยา เครื่องอบไอน้ำ
-เลือกไม้ที่มีหน้าร้านชัดเจน สามารถตรวจสอบได้   เพราะการผลิตต้องอาศัยความชำนาญ   สถานที่ในการผลิตที่มีมาตรฐาน   โรงงานของเรามีหน้าโรงงานอยู่ที่ จังหวัดระยอง   เปิดให้บริการมายาวนานกว่า 25   ปี

สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม   MTK   ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :   @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


246

Backlink คือ อะไร ทำไมถึงสำคัญต่อการทำ SEO ?
การทำ SEO เป็นการทำการตลาดอีกหนึ่งวิธีหนึ่งที่สามารถให้ผลตอบรับที่ดีในระยะยาว โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาให้กับกูเกิ้ล แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งในการทำ SEOที่คุณต้องรู้ ถึงจะทำให้การทำการตลาดนี้ประสบความสำเร็จ เป็นการทำ Backlink คือ องค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการที่จะทำให้ได้ผลตอบรับที่ดี ที่คนทำการตลาดไม่ควรพลาด มารู้จักการทำแบล็คลิ้งค์ ให้ดีกันดีกว่า ไปอ่านบทความกันเลย!!!
 
Highlight Backlink ที่ต้องรู้!!!
-Backlink คืออะไร?
-ทำไมเราต้องทำ Backlink?
-ไกด์แนะนำในการทำBacklinkให้ได้ผลดี
-ข้อห้ามในการทำBacklinkที่ต้องรู้
 

Backlink คือ อะไร?

การทำBacklink เป็นการลิงค์จากเว็บไซต์อื่นๆ ที่นำคนกลับเข้ามาสู่เว็บไซต์ของเรา โดยเราจะนำ link ของเรา ไม่ว่าจะเป็น link เว็บไซต์ , Facebook , line , Instagram หรือ ช่องทางอื่นๆ ที่นำคนเข้ามาสู่เรา โดยการทำBacklink เป็นการทำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สินค้าและบริการ ในรูปแบบของบทความที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน โดยข้อมูลควรจะเขียนใหม่ขึ้นมาเองห้ามลอกข้อมูลมา แต่สามารถนำข้อมูลของคนอื่นมาอ้างอิงได้ เพื่อให้อันดับในการแสดงผลของเว็บไซต์ของคุณดีมากยิ่งขึ้นโดย Bot ของ Google เป็นการเพิ่มคะแนนให้เว็บไซต์แบบธรรมชาติ
 

ทำไมเราต้องทำ Backlink?
เราจะสามารถแยกเว็บไซต์ที่ดีและมีคุณภาพได้อย่างไร รู้หรือไม่ว่าหน้าต่างๆบนการค้นหาของ Google สามารถใช้วัดคะแนนของเว็บไซต์ได้ (คะแนนเว็บไซต์จะถูกจัดอันดับโดยกูเกิ้ล โดยจะดูภายในของเว็บไซต์ว่ามีลิงค์เชื่อมไปหน้าต่างๆหรือไม่ เนื้อหามีความสอดคลองกับKeyword หรือไม่ และ ดูBacklinkที่เข้ามาสู่เว็บไซต์)
ถ้าเว็บไซต์อยู่ในหน้าแรกๆ อันดับดีๆ นั้นหมายความว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่ดี มีคุณภาพ ซึ่งการที่คุณจะไต่อันดับให้อยู่ในหน้าแรกของกูเกิ้ลได้ ก็ต้องอาศัยการทำBacklink ยิ่งเว็บไซต์เราอยู่ในหน้าแรกๆ ก็ทำให้มีโอกาสที่คนจะคลิกเข้ามาสู่เว็บไซต์ของเรามากกว่าเว็บที่อยู่ท้ายๆ หรือ ไกลมากๆ พฤติกรรมของคนส่วนมาก มักจะใช้เวลาในการค้นหาบนกูเกิ้ลไม่นานนัก โดยจะเลือกเข้าเว็บไซต์ที่อยู่ในหน้าแรกๆ อันดับบนๆไม่เกินสามหน้า เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้วก็จะหยุดการค้นหาทันที นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณต้องเร่งไต่อันดับนั้นเอง แล้วยิ่งอยู่ในหน้าแรกของการค้นหา ยิ่งทำให้มีคนคลิกบทความ และ เข้าสู่เว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น เหตุผลหลักๆที่คุณต้องทำBacklink เพื่อให้ Bot ของ Google เข้ามาเก็บคะแนนเว็บไซต์ของเรา เพื่อช่วยเว็บไซต์ของเราดังต่อไปนี้
-อันดับของเว็บไซต์สูงขึ้น โดยการเก็บคะแนนของ Bot จาก Google ในการเข้ามาอ่านเพื่อจัดอันดับเว็บไซต์
-คนค้นเจอเว็บไซต์ของเรามากยิ่งขึ้น ถ้าอันดับของเว็บไซต์ดีขึ้น และ สามารถไต่อันดับจนติดหน้าแรกได้ จะส่งผลทำให้คนเจอเว็บไซต์ของเรามากขึ้นนั้นเอง ยิ่งอยู่อันดับบนๆยิ่งทำให้คนคลิกเข้าไปมากขึ้น
-ส่งผลให้ยอดเข้าชมเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น ถ้าเรามีคนเข้ามาในเว็บไซต์มากขึ้นก็มีโอกาสที่จะเกิด Conversion มากยิ่งขึ้น
 

ไกด์แนะนำในการทำ Backlink ให้ได้ผลดี
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า จะเริ่มต้นในการทำBacklinkยังไง เราขอแนะนำหลักในการเลือกทำBacklink ที่จะทำให้คุณได้ผลตอบรับในการทำBacklink ดี หลายๆคนทำBacklinkเยอะมาก แต่ผลตอบรับที่กลับมาไม่ดีเท่าที่ควร นั้นเพราะ ไม่ใช่ทุกเว็บไซต์ที่เหมาะจะทำBacklink แต่ต้องเลือกเว็บไซต์ที่เหมาะสม
เว็บที่เราไปควรทำ Backlink

ในการเลือกเว็บไซต์ที่เหมาะสำหรับการทำBacklink จะต้องดูหลักๆ ดังต่อไปนี้
-ค่า DA PA  เป็นเกณฑ์สำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์ของกูเกิ้ล การจะทำBacklink ให้ได้ผลดี ควรเลือกเว็บไซต์ที่มี ค่าDA (Domain Authority) ซึ่งเป็นค่าที่ใช้วัดคุณภาพของโดเมน ยิ่งคะแนนเยอะ ยิ่งส่งผลดีต่ออันดับของเว็บไซต์ โดยค่าDA จะขึ้นกับจำนวนlink ความนิยม อายุของเว็บไซต์ เป็นต้น และ ค่าPA (Page Authority) เป็นค่าที่ใช้ในการวัดคุณภาพของหน้าเว็บเพจ ซึ่งแต่ละหน้าของเว็บก็จะมีคะแนนที่ไม่เท่ากัน โดยค่าPA จะขึ้นกับ อายุของเว็บไซต์(หน้าเพจที่สร้างใหม่จะมีคะแนนน้อยกว่าหน้าที่สร้างมานานแล้ว) จำนวนlink และ อีกหลายปัจจัยเป็นต้น ที่เป็นตัวพิจารณาการจัดอันดับของการทำ SEO โดยมีคะแนนตั้งแต่ 1-100 ดังนั้นจึงควรเลือกเว็บที่มีค่า DA PA สูงๆ จะยิ่งช่วยทำให้การทำBacklink ได้ผลดี
-ความเกี่ยวข้องของเว็บไซต์ ไม่ใช่ว่าจะเลือกเว็บไซต์ไหน หมวดไหนก็ได้ แต่การทำBacklink ควรจะเลือกเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า บริการที่เกี่ยวข้องกับBacklinkที่เราทำ หากทำในเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องอาจจะส่งผลเสียมากกว่าดี เผลอๆอาจจะโดยเว็บไซต์นั้นๆ ลบBacklinkไปก็ได้ (บางเว็บไซต์จะมองว่าเป็นการสแปม)
-ระบบ UX UI ของเว็บไซต์รองรับการใช้งานที่หลากหลาย การเลือกเว็บไซต์ที่สามารถ responsive ได้ทั้งคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ อีกทั้งยังเป็นเว็บไซต์ที่มีความรวดเร็ว ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีในการเลือกเว็บไซต์สำหรับการทำBacklink
วิธีหาเว็บทำ Backlink

ถึงแม้จะรู้ว่าเว็บไซต์ที่ดีควรดีจากอะไรแล้ว แต่จะหาเว็บไซต์จากไหนดี รู้หรือไม่ว่าคุณสามารถหาเว็บไซต์ในการทำBacklink ได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้
-ดูจากคู่แข่ง การทำBacklink โดยใช้เว็บไซต์ที่คู่แข่งใช้ เพื่อเป็นแนวทางในการไต่อันดับ เนื่องจากหากอันดับของคู่แข่งดี นั้นแสดงว่าเว็บที่เขาใช้ทำBacklink ถือว่าตอบโจทย์
-ค้นหาจากทาง Google ลองใช้งาน Google search ให้เป็นประโยชน์ โดยการพิมพ์ค้นหาเว็บบอร์ดในการทำBacklink
-ใช้เครื่องมือช่วย คุณสามารถค้นหาBacklinkได้ ด้วยเว็บไซต์ฟรี เช่น เว็บไซต์ Ubersuggest ที่จะช่วยคุณในการหาBacklink อีกทั้งยังมีเว็บไซต์อื่นๆ เช่น Ahrefs backlink-checker เป็นต้น

ข้อห้ามในการทำ Backlink
ในการทำBacklink ห้ามทำ การสแปม เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการสแปม Keyword การสแปมBacklinkถี่ๆ เช่น ลงBacklinkเดิมติดๆกันในเว็บเดียวกัน และ การทำBacklinkแบบสายดำ (ทำBacklinkด้วยโปรแกรมสแปม ใช้โปรแกรมในการรันBacklinkแบบอัตโนมัติ)
 
 
ทำSEOและBacklinkกับเราดีอย่างไร
เราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ที่ให้บริการในด้านของการทำ SEM SEO รวมทั้ง การยิงAds และ รูปแบบการทำการตลาดรูปแบบอื่นๆ อีกทั้งเรายังช่วยในเรื่องการวิเคราะห์และทำความเข้าใจธุรกิจตลอดจนการวางแผน และ ออกแบบรูปแบบการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณพร้อมทีม Support ที่ช่วยดูเหลือธุรกิจของคุณ ให้สามารถทำยอดขาย และ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


247

Bid strategy คือ ทำไมคนซื้อโฆษณาGoogleต้องรู้?
จะซื้อโฆษณา Google อย่างไรถึงจะทำให้โฆษณาปัง การแข่งขันสำหรับการซื้อโฆษณา ก็นับว่าเป็นการแข่งขันที่มีการแข่งค่อนข้างสูง นั้นก็คือการแข่งการบิด ไม่ใช่ว่าแค่เงิน แต่การบิด คือการทำกลยุทธ์การตลาดอย่างหนึ่ง การบิดที่ดี คือการบิดให้เหมาะสำหรับธุรกิจของตัวคุณเอง มาทำความรู้จักว่า Bid strategy คือ อะไรกันดีกว่า เพื่อให้เข้าใจหลักการ และ รู้จักประเภทของบิดให้ดีมากยิ่งขึ้น จะใช้การบิดแบบไหนถึงจะดี ไปอ่านบทความกันเลย!!!

Highlight Bid strategy ที่ต้องรู้!!!
-Bid strategy คืออะไร?
-ประเภทของ Bid strategy มีอะไรบ้าง
-Smart bid คืออะไร?

Bid strategy คือ ?
Bid strategy คือกลยุทธ์การประมูลราคา เป็นการเสนอราคาที่อยากจะจ่ายสำหรับการขึ้นโฆษณาในอันดับต่างๆ บนหน้าแรกของโฆษณาบน Google ซึ่งสามารถแยกประเภทของBid strategyออกได้เป็น 2 อย่างหลักๆ ดังต่อไปนี้
-Vanity Bidding
-Smart Bidding
สามารถอ่าน บทความ Google Ads คืออะไร เพิ่มเติมได้ที่นี่


ประเภทของ Bid strategy มีอะไรบ้าง?
เราสามารถแยกประเภทของ Bid strategy ออกได้เป็น 8 ประเภทหลัก สำหรับใช้ในการ Bidding มารู้จักการบิดแต่ละประเภทกันดีกว่า ว่าแต่ละประเภททำงานอย่างไรกันบ้าง
 
Vanity Bidding

เป็นรูปแบบที่เราสามารถเสนอราคาตามที่เรากำหนดไว้เองได้ ซึ่งจะมีรูปแบบดังต่อไปนี้
-Manual CPC
-Maximize Click
-Target Search Page Location
-Target Outranking Share
Manual CPC (Cost Per Click)
เป็นรูปแบบการบิดที่จะกำหนดราคาสูงที่สุดของโฆษณาต่อหนึ่งการคลิก (CPC) เป็นรูปแบบที่เน้น อันดับในการแสดงผล ของโฆษณา ซึ่งเราสามารถเสนอราคาที่เราพึ่งพอใจจะจ่ายได้เอง ไม่เหมือนแบบ Smart Bidding ทำให้เราสามารถเลือกบิด Keyword ที่ได้ผลตอบรับดีได้ (มีการแข่งขันสูง)
การทำงาน : ใครที่บิดราคาที่สูงกว่าก็จะได้อันดับที่ดีกว่า (เน้นอันดับในการแสดงผล) โดยสามารถเสนอราคาได้เอง
เหมาะสำหรับ : การเน้นอันดับในการแสดงผล เช่น ธุรกิจที่เร่งด่วน ลูกค้าไม่สามารถเปรียบเทียบราคา จำเป็นต้องใช้งานในเวลานั้นๆทันที
สามารถ Set อะไรได้บ้าง : Campaign และ Ads Group
 
Maximize Click
เป็นรูปแบบการบิดที่คุณสามารถเสนอราคา เพื่อให้คุณได้ จำนวนคลิกมากที่สุด ที่เข้าไปสู่เว็บไซต์ ซึ่งเป็นการเสนอราคาแบบอัตโนมัติ โดยเราจะตั้งค่างบประมาณของเราได้ เพื่อเป็นการคุมงบไม่ให้มากจนเกินไป
การทำงาน : Google จะทำการบิดให้เราอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มจำนวนคลิกของเราให้สูงที่สุด โดยเราสามารถตั้งค่างบประมาณของเราได้ว่าไม่ให้เกินเท่าไหร่
เหมาะสำหรับ : เพิ่มการคลิกเพื่อเข้าถึงเว็บไซต์ให้มากยิ่งขึ้น และ สำหรับเว็บไซต์ที่ลูกค้ามีเวลาในการเปรียบเทียบราคา ซึ่งอันดับไม่มีผลมากนัก
สามารถ Set อะไรได้บ้าง : Budget (ตั้งค่างบไม่ให้เกิดเท่าไหร่ได้) และ Campaign
 
Target Search Page Location
เป็นรูปแบบการบิดแบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มและลดราคาของโฆษณา เป็นการบิดสู้เพื่อให้ได้อันดับที่ดี แต่ก็เป็นการคุมงบประมาณไม่ให้เกิดที่กำหนดไว้
การทำงาน : Google จะทำการบิดให้เราอัตโนมัติ โดยพยายามให้คุณอยู่ในอันดับดีๆ แต่ไม่เกินงบประมาณที่ตั้งเอาไว้
เหมาะสำหรับ : สร้าง Awareness เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น และ เว็บไซต์เปิดใหม่ที่ต้องการโปรโมทเว็บไซต์
สามารถ Set อะไรได้บ้าง : Campaign และ Budget
 
 
Target Outranking Share
การเสนอราคาเพื่อให้ชนะเป้าหมายเพื่อให้เรามีอันดับสูงกว่า (โฆษณาอื่นที่อยู่อันดับต้นๆแต่ไม่ยอมให้คนอื่นได้อันดับที่ดีกว่า) โดยไม่สนใจว่า ROAS และ CPA ซึ่งเราสามารถตั้งค่า Cost Per Click ได้
การทำงาน : Google จะทำการบิดให้เราอัตโนมัติ โดยเราสามารถตั้งค่าได้ว่าต้องการอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ เพื่อให้โฆษณาของคุณอันดับดีกว่าคู่แข่ง (ไม่รวมถึงอันดับโดยรวมของเว็บไซต์)
เหมาะสำหรับ : ต้องการให้โฆษณาแสดงในอันดับที่สูงกว่าคู่แข่ง
สามารถ Set อะไรได้บ้าง : Campaign และ CPC
 
 
Smart Bidding

การบิดแบบอัตโนมัติ โดยจะต้องมีเงื่อนไขในการยิง ​Ads เพื่อเก็บข้อมูลก่อน หรือมีผู้ใช้งานเว็บไซต์จากการยิง Ads ในจำนวนนึง ซึ่งจะมีรูปแบบดังต่อไปนี้
-Maximize Conversion
-Maximize Conversion Value
-Target CPA
-Target ROAS
Maximize Conversion
การบิดที่เป็นแบบ Smart Bidding ที่ทาง Google จะเข้ามาช่วยในการประมวลผลว่าควรที่บิดตอนไหน จากสถิติที่เก็บรวบรวม เพื่อให้คุณได้จำนวน Conversion (การกระทำบางอย่างจากคนที่เข้าสู่เว็บไซต์ของเรา เช่น การซื้อสินค้า ลงทะเบียน อ่านบทความ) มากที่สุด โดยเราจะไม่สนใจว่าอันดับการแสดงผล หรือ จำนวนคลิกเลย
การทำงาน : Googleจะทำการบิดให้เราอัตโนมัติ โดยมี Algorithm ช่วยในการตัดสินใจ และ จะต้องมีการออนไลน์ Ads มามากกว่า 3 เดือน และต้องเกิด Conversionระดับหนึ่ง
เหมาะสำหรับ : ธุรกิจที่มีจุดประสงค์ในการสร้างยอดขาย การสมัครสมาชิก หรือ Conversionในจำนวนมากที่สุด
สามารถ Set อะไรได้บ้าง : Set Conversion และ Campaign
 
Maximize Conversion Value
จะทำงานคล้ายกับตัวของ Maximize Conversion แต่จะแตกต่างกันตรงที่ จะเป็นการบิดที่เน้นไปที่ Conversion Value (มูลค่าในการสั่งซื้อต่อ1 order) ที่เยอะที่สุด โดยเราจะไม่สนใจว่าอันดับการแสดงผล หรือ จำนวนคลิกเลย
การทำงาน : Google จะทำการบิดให้เราอัตโนมัติ ซึ่งจะต้องมีการSet Conversion และ ออนไลน์ Ads มาในระดับหนึ่งแล้ว (เกิดConversionระดับหนึ่ง)
เหมาะสำหรับ : ธุรกิจที่มีจุดประสงค์ในการสร้างยอดขายที่มีมูลค่าสูง เน้นคุณภาพ ไม่เน้นจำนวน อย่างเช่น ธุรกิจก่อสร้างไม่ต้องการงานขนาดเล็ก เพราะต้องมีต้นทุนในการจัดตั้งไซต์งาน และ มีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ดังนั้นจึงต้องการงานขนาดใหญ่ ได้ค่าตอบแทนมากกว่า สามารถตั้งไซต์งานในระยะยาว ต้นทุนในการทำงานต่ำกว่าไซต์งานเล็ก เป็นต้น
สามารถ Set อะไรได้บ้าง : Set Conversion แบบใส่ Value และ Campaign
 
Target CPA (Cost Per Acquisition)
การบิดราคาแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ Cost Per Conversion (ราคาที่ทำให้เกิดconversion) ไม่เกินที่เรากำหนดไว้ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของconversionที่เข้ามาในเว็บไซต์ (คนที่เข้ามาในเว้บไซต์เกิด Actionจริงๆ เช่น สั่งซื้อสินค้าจริงๆ ไม่ใช่เข้ามาในเว็บไซต์เฉยๆ) ซึ่งเราสามารถเสนอราคาได้ โดยเราจะไม่สนใจว่าอันดับการแสดงผล หรือ จำนวนคลิกเลย
การทำงาน : Google จะทำการบิดให้เราอัตโนมัติ ซึ่งจะต้องมีการSet Conversion และ ออนไลน์ Ads มาในระดับหนึ่งแล้ว (เกิดConversionระดับหนึ่ง)
เหมาะสำหรับ :  เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการควบคุมต้นทุน ในการยิง Ads โดยตั้งราคา Coversion ที่ยอมรับได้
สามารถ Set อะไรได้บ้าง : Set Conversion และ Target
 
Target ROAS (Return on Ad Spend)
การบิดแบบอัตโนมัติ ในการกำหนด Conversion Vulue ให้ไม่ต่ำกว่าที่เราตั้งเอาไว้ เพื่อให้ได้ผลตอบรับของการโฆษณาเป็นไปตามที่เรากำหนดไว้ (Conversion) โดยเราจะไม่สนใจว่าอันดับการแสดงผล หรือ จำนวนคลิกเลย
การทำงาน : Google จะทำการบิดให้เราอัตโนมัติ โดยจะบิดราคาของโฆษณาตามจำนวนกำไรที่เราได้ (ROAS) ซึ่งจะต้องมีการSet Conversion และ ออนไลน์ Ads มาในระดับหนึ่งแล้ว (เกิดConversionระดับหนึ่ง)
เหมาะสำหรับ : เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเน้น Conversion โดยที่สามารถตั้ง Conversion Value หรือมูลค่าของ Order หรือ (Goal) ให้ Ads มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าที่เราตั้งไว้
ตัวอย่างเช่น Conversion Value ต่อ 1 order ต้องได้ที่ 1200 บาท ระบบก็จะหา Conversion ที่มีโอกาสเกิด มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1200 บาท
สามารถ Set อะไรได้บ้าง : Set Conversion และ Target
 
 
ทำการ Bid กับ เราดีอย่างไร
เราเป็นบริษัททางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ ที่ให้บริการในด้านของการทำ SEM SEO รวมทั้ง การยิงAds และ รูปแบบการทำการตลาดรูปแบบอื่นๆ อีกทั้งเรายังช่วยในเรื่องการวิเคราะห์และทำความเข้าใจธุรกิจตลอดจนการวางแผน และ ออกแบบรูปแบบการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณพร้อมทีม Support ที่ช่วยดูเหลือธุรกิจของคุณ ให้สามารถทำยอดขาย และ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
 
 
"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


248

ประเภทของ Keyword โฆษณาบน Google ที่ควรรู้
เคยสังเกตหรือไม่ว่า ทำไมโฆษณาบางตัวบน Google ถึงไม่ดีเท่าที่ควร หรือ เมื่อเทียบกันแล้วทำไมโฆษณาของอีกที่หนึ่งถึงดีกว่า ทั้งๆที่สินค้า โปรโมชั่นของเรา ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย อย่างที่เรารู้ๆกันดีว่า สิ่งสำคัญในการทำการโฆษณาบน Google ก็คือ Keyword ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้คนค้นหามาเจอเรา แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันนั้นก็คือ ประเภทของ Keyword ที่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยเสริมให้การทำโฆษณาของเราปังกว่าเจ้าอื่น ไม่ใช่คำไหนก็ได้ แต่ควรจะคำนึงให้เหมาะสมกับประเภทของธุรกิจ และ บัคเจคของเรา มารู้จักประเภทของคีย์เวิร์ดที่จะทำให้ โฆษณาของคุณกันเลย!!!
 
 
Highlight Keyword match type ที่ต้องรู้!!!
-Keyword match type คืออะไร?
-ประเภทของKeyword match type
 
Keyword match type คืออะไร?
รูปแบบของคีย์เวิร์ดที่ทำหน้าที่ต่างกันบน Google AdWord ในการโฆษณาบน Google หรือ ที่เรามักจะเรียกกันว่าการทำ SEM เพื่อใช้ในการควบคุมการค้นหาคีย์เวิร์ดนั้นๆ ซึ่งก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปตามประเภทของคีย์วิร์ดนั้นๆ อีกทั้งถ้าเลือกใช้ได้ถูกต้องยังส่งผลทำให้ค่าคลิก ที่เราต้องจ่ายในการทำโฆษณานั้นถูกลงอีกด้วย
สามารถอ่าน บทความ SEM คือ? เพิ่มเติมได้ที่นี่

ประเภทของ Keyword match type

สามารถแบ่งประเภทของคีย์เวิร์ดออกมาได้เป็น 5 ประเภทหลักๆ ได้แก่ Broad Match , Broad Match Modifier , Phrase Match , Exact Match และ Negative Match ซึ่งในแต่ละประเภทของคีย์เวิร์ด ก็มีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของราคา และ ความเหมาะสมที่จะนำไปใช้ มารู้จักแต่ละประเภทให้ดีมากขึ้นกันดีกว่า
สามารถเรียงลำดับความกว้างของคีย์เวิร์ดจากมากไปน้อย และ เรียงลำดับราคาของคีย์เวิร์ดจากถูกที่สุดไปมากที่สุด ได้ดังต่อไปนี้
-Broad Match
-Broad Match Modifier
-Phrase Match
-Exact Match
-Negative Match

Broad Match
เป็นคีย์เวิร์ดที่กว้างมากที่สุด โดยโฆษณาจะแสดงก็ต่อเมื่อ มีคนค้นหา Keyword ที่คุณเลือกไว้ หรือ มีความใกล้เคียงกับ Keyword ของคุณมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคำที่สะกดผิด หรือ มีความหมายคล้ายกัน โฆษณาของคุณก็จะแสดงขึ้นมานั้นเอง

ตัวอย่างของ Broad Match เช่น Keyword ของเราคือคำว่า การตลาดออนไลน์ แต่ดันมีคนที่ค้นหาคำว่า เทรนด์การตลาดออนไลน์ การตลาดดิจิทัล ก็จะแสดงโฆษณาของคุณขึ้นมาด้วย
ข้อดี : ช่วยเพิ่มคนที่เห็นโฆษณาของคุณเป็นวงกว้าง และ มีคนคลิกเข้าสู่เว็บไซต์มากยิ่งขึ้น
ข้อเสีย : อาจทำให้เสียเงินไปโดยเปล่าๆ เพราะการแสดงโฆษณาที่มากเกินไป
เหมาะสำหรับทำอะไร : โฆษณาของคุณเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
ราคา : ถูกที่สุด เพราะเป็นคำค้นหาที่กว้างที่สุด
 
Broad Match Modifier
เป็นคีย์เวิร์ดที่กว้างรองลงมาจาก Broad Match เป็นประเภทของคีย์เวิร์ดที่สามารถแทรกคำอื่นๆลงใน Keyword หลักได้ ทั้งหน้า , กลาง และ หลังคำหลัก โดยลักษณะของ Broad Match Modifier จะอาศัยเครื่องหมาย (+) ระหว่างคำเพื่อใช้ในการแทรกคำต่างๆนั้นเอง เพื่อทำให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น โดยโฆษณาของเราจะแสดงก็ต่อเมื่อ มีคำที่เป็นคีย์เวิร์ดของเราอยู่ในประโยคๆนั้น

ตัวอย่าง Broad Match Modifier เช่น +การตลาด + ออนไลน์ คนอาจจะค้นหามาด้วยคำว่า การตลาดบนโลกออนไลน์ ก็จะทำให้เจอโฆษณาของเราได้
ข้อดี : Keyword มีความตรงกว่า Broad เนื่องจากสโคปในการใช้งานแคปกว่า และ สามารถจับ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับ Target ของเราได้มากขึ้น
ข้อเสีย : มีโอกาสที่มีคำแปลกๆหลุดมา อาจเป็นคำที่ไม่เกี่ยวกับ Keyword
เหมาะสำหรับทำอะไร : ธุรกิจที่ไม่อยากได้ Keyword กว้างเกินไป เหมือน Board Match และยังทำให้เกิดไอเดีย Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราได้มากยิ่งขึ้น
ราคา : แพงขึ้นกว่าแบบ Broad Match เล็กน้อย แต่ยังไม่แพงเท่ากับแบบอื่นๆ
 
Phrase Match
เป็นประเภทคีย์เวิร์ดที่แคบกว่าแบบ Broad Match และ Broad Match Modifier สามารถแทรกคำอื่นๆ ในด้านหน้า และ ด้านหลังของคำหลักได้ ซึ่งจะมีความจำเพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น โดยจะอาศัยเครื่องหมาย (" ")   เพื่อให้คำค้นหาตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่าง Phrase Match เช่น คีย์เวิร์ดหลักคือ "การตลาดออนไลน์" ก็อาจจะแทรกคำเป็น การตลาดออนไลน์ ใกล้ฉัน หรือ สอนการตลาดออนไลน์ เป็นต้น
ข้อดี : โฆษณาจะแสดงตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่าแบบ Broad
ข้อเสีย : อาจจะมีคำที่ไม่เกี่ยวข้องติดมาบ้าง อาจทำให้ต้องเสียเวลาในการ Negative Keyword
เหมาะสำหรับทำอะไร : Keyword เป็นคำที่ไม่แคบและไม่กว้างจนเกินไป เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป ตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า
ราคา : แพงกว่าแบบ Broad แต่ยังไม่แพงเท่าแบบ Exact เพราะคำค่อนข้างมีความจำเพาะมากยิ่งขึ้น
 
Exact Match
เป็นคีย์เวิร์ดที่แคบที่สุด ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เป็นคีย์เวิร์ดที่จะแสดงโฆษณาก็ต่อเมื่อ คำค้นหาตรงกับคีย์เวิร์ดเราเท่านั้น หากเป็นคำคล้ายๆเราจะไม่ทำให้ โฆษณาแสดง

ตัวอย่าง Exact Match เช่น [การตลาดออนไลน์] ก็จะแสดงโฆษณาให้เห็นเฉพาะคำๆนี้ ถ้าเป็นคำใกล้เคียง หรือ มีความหมายเหมือน โฆษณาจะไม่แสดงออกมา
ข้อดี : โฆษณาจะแสดงเฉพาะคำที่ตรง และ ช่วยทำให้คะแนนของคุณสูงขึ้นอีกด้วย เพราะคำค้นหาของเราตรงกับ Target
ข้อเสีย : จำนวนคนที่เข้าถึงโฆษณาน้อย เพราะถ้าลูกค้าค้นหาคำที่ไม่ตรงกับที่เราตั้งคีย์เวิร์ดไว้โฆษณาก็จะไม่แสดง
เหมาะสำหรับทำอะไร : เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ค้นหาคำนั้นจริงๆ
ราคา : แพงที่สุดในทุก Keyword เพราะมีความจำเพาะเจาะจง
 
คะแนนของ Ads จะถูกคิดจาก CTR , Landing page , Ad Relevance Score
-CTR คือ จำนวนคนที่คลิกโฆษณาหารด้วยจำนวนครั้งที่แสดงโฆษณา
-Landing page คือ หน้าต่างๆบนเว็บไซต์ เป็นการเพิ่ม Quality Score ของเว็บไซต์
-Ad Relevance Score คือ คะแนนความเกี่ยวข้องของโฆษณา ซึ่งวัดจากกลุ่มเป้าหมาย
 
Negative Match
เป็นคีย์เวิร์ดที่เราใช้สำหรับคำที่เราไม่ต้องการให้โฆษณาของเราแสดง เป็นเหมือนกันปิดคำค้นหาคำนั้นๆ ไม่ให้โฆษณาของเราเด้งออกมานั้นเอง คำพวกคำที่ดูไร้ประโยชน์ คำที่ไม่เกี่ยวข้องกับบทความแต่มีคำที่คล้ายกับที่เราใช้ ในการ Negative Keyword ควรจะเลือกใช้ให้เหมาะสม ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาแทนที่จะเป็นผลดีแทนได้

-Broad Match Negative : ไม่ควรทำการ Negative เพราะ จะทำให้ทั้งแคมเปญไม่แสดงโฆษณาของคุณ
-Broad Match Modifier Negative : สามารถทำการ Negative ได้อาจจะไม่แสดงโฆษณาในบางครั้ง
-Phrase Match Negative : สามารถทำการ Negative ได้ดีกว่าแบบ Broad Match Modifier
-Exact Match Negative : สามารถ Negative ได้ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด จะทำให้โฆษณาไม่แสดงต่อคำนั้นๆ

ตัวอย่าง Negative Match เช่น เราต้องการทำคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับ การตลาดออนไลน์ แต่ไม่ต้องการให้พวกคำที่ไม่เกี่ยวข้องแสดงผลต่อโฆษณาของเรา เราก็ทำการnegativeคำนั้นไป เช่น ตลาดนัด ซึ่งเราไม่ได้อยากให้คำนี้แสดงโฆษณาของเรานั้นเอง
ข้อดี : ทำให้คำที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่แสดงโฆษณาของเราออกมา ทำให้เราไม่เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
ข้อเสีย :  ถ้าเรา Negative คำไม่ถูกต้องอาจจะเจอปัญหาที่คำโฆษณาไม่แสดงทั้งแคมเปญ
เหมาะสำหรับทำอะไร : การสโคปคีย์เวิร์ดที่เราไม่ต้องการให้หรือ Keyword แปลก ๆ ตรงกับธุรกิจและความต้องต้องการของ Target เรามากขึ้น
ราคา : สำหรับ Negative Match ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะเป็นการ negative คำเท่านั้น
 
การเลือกประเภท Keyword ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ มีความเหมาะสมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเราควรจะเลือกให้เหมาะสมกับธุรกิจ สินค้าและบริการของคุณ เพราะแต่ละธุรกิจก็จะมีความเหมาะสมกับคีย์เวิร์ดที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรจะทำการแพลน Keyword ให้ดีก่อนที่จะทำการการโฆษณา เลือกคีย์เวิร์ดให้ดีธุรกิจก็ปัง !!!
สามารถอ่าน บทความ Google Ads เพิ่มเติมได้ที่นี่

"เราพร้อมดูแลใส่ใจธุรกิจของคุณ ให้เหมือนกับว่าเป็นธุรกิจของเราเอง"

 
สามารถติดต่อ สอบถาม bemyfriend ช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Facebook : Bemyfriend.agency


249

ไม้ทำเฟอร์นิเจอร์ มีกี่ชนิด มารู้จักไม้เฟอร์นิเจอร์กันเถอะ!!!
เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้นับว่าเป็นหนึ่งในวัสดุยอดนิยม ที่มักจะถูกนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์สำหรับใช้ในบ้าน  นอกบ้าน และ ตกแต่งบริเวณบ้าน  ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ   เก้าอี้ เตียง ตู้  บานประตู เหตุผลอะไรกันที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นที่นิยม   ความสวยงามของเนื้อไม้   ความทนทาน   ความเป็นวัสดุรักษ์โลก   นั้นอาจเป็นแค่เพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น  นอกจากนั้น ไม้ทำเฟอร์นิเจอร์   ยังมีหลากหลายชนิด ที่นิยมนำมาใช้เป็นวัสดุในการทำเฟอร์นิเจอร์ อีกทั้งไม้บางชนิดยังเป็นไม้ที่เราเห็นอยู่ในชีวิตประจำวัน   แต่จะมีไม้อะไรบ้าง มาทำความรู้จักไม้เฟอร์นิเจอร์ให้ดีมากยิ่งขึ้นกันเถอะ!!!
ชนิดของ ไม้ทำเฟอร์นิเจอร์   ยอดนิยมมีไม้อะไรบ้าง?

ไม้สัก
หากพูดถึงไม้ยอดนิยม   ไม้ที่ลวดลายสวยงาม หลายๆคนคงยกให้ไม้สักเป็นหนึ่งในไม้ที่นิยมในการนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ   นอกจากทำเฟอร์นิเจอร์แล้ว ยังนิยมนำไปสร้างบ้านอีกด้วย   ด้วยคุณสมบัติของ ไม้สักเป็นไม้เนื้ออ่อนสีเหลืองทอง  แต่กลับมีความทนทานสูงมากกว่าไม้เนื้อแข็งหลายๆชนิด   สามารถตัดแต่ง และ   ขัดเงาได้ง่าย   ด้วยความสวยงามของสีและเนื้อไม้ ทำให้นิยมนำมาทำเป็น   บานประตู   บานหน้าต่าง   เพราะสีที่สวยงามของไม้นั้นเอง
ข้อดีของไม้สัก : ลวดลาย และ สีของไม้ที่สวยงาม   ทนทานต่อแมลง(ปลวก) เพราะจะมีกลิ่นของน้ำมันจากต้นที่แมลงไม่ชอบ  อีกทั้งยังมีความทนทานสูงอีกด้วย

ไม้พะยูง
นอกจากนั้นแล้วยังมีไม้พะยูง   ที่ถือว่าเป็นไม้ที่มีเนื้อละเอียด   เนื้อไม้มีความแข็งแรง ทนทานสูง   มีน้ำมันในตัวทำให้ขึ้นเงาได้ดี   เป็นไม้สีม่วงอมแดง  และ มีลายที่สวยงาม อีกทั้งไม้พะยูงยังถูกจัดว่าเป็นไม้มงคลนั้นทำให้ไม้พะยูงกลายมาเป็นไม้ที่มีราคาแพงที่สุดในตลาดโลก   ด้วยคุณสมบัติของไม้ ทำให้ไม้พะยูงนิยมนำมาทำเครื่องเรือน ไม้แกะสลักต่างๆ
ข้อดีของไม้พะยูง : มีลวดลาย   สีของไม้ที่สวยงาม  และ มีน้ำมันในตัวเอง ทำให้ขึ้นเงาสวยงาม

ไม้ประดู่
ไม้ประดู่เป็นไม้โทนเข้ม ขอแนะนำไม้ประดู่ซึ่งนิยมในการนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ใช้ทั้งภายใน และ  ภายนอก  ไม้ประดู่เป็นไม้เนื้อแข็ง ที่ีมีความแข็งแรง และ มีความทนทานสูง อีกทั้งสีของไม้ยังมีความโดดเด่นมาก   เพราะเป็นไม้โทนสีชมพูอมส้ม  หรือ  น้ำตาลอมแดง ซึ่งถือว่าเป็นไม้ที่โทนสีค่อนข้างสวย ให้ความรู้สึกโมเดิร์น   เป็นไม้ที่นิยมนำมาทำ โต๊ะ   บันได   ปูพื้น หรือ   ตกแต่งแนวโมเดิร์น   แนวลอฟท์  ที่ให้ความรู้สึกทันสมัย
ข้อดีของไม้ประดู่ :   ทนทานต่อรอยขีดข่วน สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี  ลวดลายสวยงาม  สามารถขัดขึ้นเงาได้ง่าย

ไม้มะค่า
ไม้มะค่าเป็นไม้โทนสีอบอุ่น ขอแนะนำไม้มะค่า เพราะเป็นไม้สีเหลืองทอง หรือ   น้ำตาลอมแดง เป็นไม้ที่มีเนื้อค่อนข้างหยาบ  มีน้ำหนักมาก   มีความแข็งแรง จึงทำให้ไม้มะค่าถูกนิยมนำมาทำเป็น  โซฟา บันได ราวบันได พื้น   หรือ ส่วนที่ต้องการโชว์ลายไม้
ข้อดีของไม้มะค่า   :   เป็นไม้ที่มีความทนทาน  สีของไม้สวยให้โทนที่อบอุ่น   ทำให้ถูกนำไปใช้งานหลากหลายด้าน

ไม้แดง
สำหรับใครที่ชื่นชอบไม้โทนสีแดง   ไม้โทนเข้มๆ   ต้องไม้แดงเลย   สีของไม้ตามชื่อ   เป็นไม้โทนสีน้ำตาลแดง   ลายของไม้มีความสวยงาม   ไม้แดงเป็นไม้เนื้อแข็ง   มีความทนทานสูง เนื้อไม้ค่อนข้างแน่น   ทำให้สามารถรับน้ำหนักได้ดี    ทำให้นิยมนำไปทำ ประตู หน้าต่าง  บันได   ปูพื้น   หรือ ตกแต่งสไตล์   Retro   ให้ความรู้สึกคลาสิค   ทำให้ของเฟอร์นิเจอร์ดูมีราคาแพงมากยิ่งขึ้น
ข้อดีของไม้แดง   :   เนื้อไม้แน่น   สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี   ให้โทนของไม้ที่สวยงาม   คลาสิค  ทำให้บ้านให้โทนอบอุ่น

ไม้ยางพารา
ใครที่ต้องการไม้ที่ราคาไม่แพง   แต่มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับไม้สัก   จนได้ชื่อว่าเป็น  "ไม้สักขาว"   ไม้ยางพาราเป็นไม้เนื้ออ่อน   ที่เนื้อไม้สามารถตัดแต่งได้ง่าย   เนื้อไม้มีความสวยงาม อีกทั้งยังสามารถย้อมสีได้ง่าย   ไม้ให้ความรู้สึกสบายๆ   เนื้อไม้มีอ่อน   อีกทั้งยังสามารถแปรรูปได้หลากหลาย   นิยมนำไปทำเฟอร์นิเจอร์หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น   โต๊ะ เก้าอี้   ตู้   เตียง   หรือ   อาจแปรรูป   เป็น ไม้พาเลท   ไม้นิ้ว   ลังไม้   เป็นต้น
ข้อดีของไม้ยางพารา   :   มีความแข็งแรง ทนทานสูง สามารถตัดแต่ง  ย้อมสีได้ง่าย   อีกทั้งยังมีราคาที่ถูก หาซื้อได้ง่าย   และ ที่สำคัญสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของไม้ได้   ด้วยการอัดน้ำยาเพื่อป้องกันเชื้อรา  และ แมลง   เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการกันความชื้น   แสงยูวี   การติดไฟ   รวมถึงสามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลายกว่าไม้อื่นๆ
 
ซื้อไม้แปรรูปกับเราดีอย่างไร?
-ได้ไม้ดีมีคุณภาพ   เพราะเราผ่านการรับรองมาตรฐาน   IPPC จากกรมวิชาการเกษตร
-ได้ไม้สวย ตรงตามสเปค   เพราะโรงงานของเราใช้เครื่องจักรคุณภาพ ที่ได้มาตรฐานอย่างแน่นอน
-ได้ไม้แปรรูปหลากหลาย   เพราะโรงงานของเรามีบริการตั้งแต่  รับผลิตและจำหน่ายไม้ยางพาราแปรรูป   ,   บริการรับเลื่อย-ไสไม้ ตัดแต่งไม้   ,   บริการอัดน้ำยา-อบไม้   จนถึงบริการขนส่งไม้ทั่วประเทศไทย
-ได้ไม้แน่นอน   เพราะโรงงานของเรามีหน้าโรงงานจริงอยู่ที่ จังหวัด ระยอง ที่เปิดให้บริการมากกว่า   25   ปี
 
คุณจึงมั่นใจได้ว่าซื้อไม้กับ   MTK WOOD   ได้ไม้ดี   ไม้คุณภาพ    ไม้แปรรูปที่หลากหลาย   และ   ได้ไม้ถึงมือท่านด้วยความปลอดภัยอย่างแน่นอน   ซื้อไม้ยางพาราแปรรูปเลย  Click here   !!!!
 
สามารถติดตาม และดูข้อมูลเพิ่มเติม  MTK   ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook  : MTK เอ็มทีเค
Line  :   @mtkwood
Tel :  095-654-6551
Email :    marketing@mtkwood.com


250

คอร์สPainting พื้นฐาน ไม่มีพื้นฐานก็เรียนกับเรา VA ได้ !!!
น้องๆหลายๆคนมักจะกังวลว่า "หนูไม่มีพื้นฐานมาก่อนจะเรียนได้หรือเปล่าคะ" หมดกังวลเรื่องของพื้นฐานไปได้เลย เพราะที่ Viridian academy of art เราได้จัดสอน คอร์สpainting พื้นฐาน ที่แม้ว่าน้องๆจะไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน ก็สามารถเรียนได้ เพราะเราจะปูพื้นฐานการเพ้นท์ภาพ และ เทคนิคต่างๆที่จำเป็นต้องรู้ ที่จะช่วยพัฒนาทักษะของน้องๆ ให้มีพื้นฐานที่ดี และ สามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคต นั้นเพราะพื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญ มาปูพื้นฐานการเพ้นท์ภาพไปกับเรา
คอร์สpainting พื้นฐาน ไม่มีพื้นฐานก็เรียนได้!!!

คอร์ส Basic painting เป็นคอร์สเรียนออนไลน์ ที่จะช่วยปูพื้นฐานสำหรับน้องๆ ที่ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน และ กำลังเตรียมตัวที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอนาคต มาปูพื้นฐาน และ ทักษะที่จำเป็นต่างๆ ในการวาดภาพด้วยสีชนิดเปียก ฝึกทักษะการใช้พู่กันให้น้องๆ รวมถึงการลงน้ำหนัก แสงเงาในการลงสี อีกทั้งเทคนิคต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับมือใหม่ที่พึ่งเริ่ม ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต่อการเรียนใน stepที่ยากขึ้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเรียนต่อ นิเทศศิลป์ ออกแบบตกแต่งภายใน จิตรกรรม และ สาขาอื่นๆที่จำเป็นต้องใช้ทักษะการวาดภาพสีน้ำ สีชนิดเปียกต่างๆ
คอร์ส Basic painting เหมาะกับใคร
-น้องๆ มัธยมศึกษาตอนปลาย 4-6 ที่กำลังเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
-น้องๆที่ซิ่วเพื่อเตรียมตัวสอบเข้าคณะจิตกรรม คณะนิเทศศิลป์ คณะออกแบบภายใน และ คณะที่ต้องอาศัยทักษะการวาดภาพต่างๆ
-น้องๆ ที่ต้องการฝึกทักษะพื้นฐานให้แม่นยำ เพื่อนำไปต่อยอดทักษะวาดภาพในระดับที่สูงขึ้น หรือ ต้องใช้ในการทำงานทางด้านศิลปะ
คอร์สนี้เรียนกี่ครั้ง แต่ละครั้งเมื่อเรียนแล้วจะได้รับอะไรบ้าง?
คอร์สนี้เป็นคอร์สสำหรับฝึกพื้นฐานการวาดภาพด้วยสีชนิดเปียก จำนวน 4 บทซึ่งแบ่งเป็น แบบบรรยาย โดยจะใช้เวลาในการเรียนบทละ 60 นาที และ แบบปฏิบัติเอง 2-3 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีการสอนเกล็ดความรู้เสริมรอบด้านในการใช้สีชนิดเปียกพื้นฐาน เพื่อที่ผู้เรียนจะสามารถนำไปฝึก และ ปฏิบัติเองได้ โดยการเรียนของเราจะวัดผลโดยการให้ผู้เรียนปฏิบัติงานแล้วส่งงานให้กับอาจารย์ เพื่อที่จะได้ทำการดูภาพรวมมของการเรียนในแต่ละครั้ง นั้นทำให้คอร์สออนไลน์นี้เสมือนเรียนสดกับอาจารย์
-เรียนบรรยาย เพื่อให้ทราบถึงทฤษีการลงสีชนิดเปียก การรู้จักการใช้พู่กัน การจับ การเลือกกระดาษที่เหมาะสำหรับการลงสี เทคนิคการวาดรูปต่างๆ  การลงสี เทคนิคการลงสีโดยการลงน้ำหนักมือ และ แสงเงา ที่น้องๆจะสามารถนำไปใช้กับการปฏิบัติ และ ฝึกฝนได้จริง
-เรียนปฏิบัติ เพราะศิลปะคือการลงมือทำ นอกจากภาคบรรยายแล้วยังต้องสามารถปฏิบัติได้จริง จึงมีการเรียนภาคปฏิบัติ โดยจะให้น้องๆส่งงานที่ทำการวาดมาเพื่อตรวจประเมินผล เพื่อที่จะสามารถพัฒนาฝีมือไปได้ตรงจุด
เนื้อหาในการเรียนที่จะได้จากการเรียนคอร์สนี้ มีดังต่อไปนี้
-หลักการ และ เทคนิคใช้พู่กันในการเพ้นท์ภาพ
-การบังคับ และ ควบคุมสีชนิดเปียก
-การสังเกตค่าน้ำหนักในการลงสี และ การลงแสงเงา
-เทคนิคการผสมสี และ การลงสีด้วยเทคนิคต่างๆ
-การเลือกชนิดของสีในการเพ้นท์ให้เหมาะสม สีโปสเตอร์ สีน้ำ และ สีอะคริลิก
ทำไมต้องเรียน คอร์สPainting พื้นฐาน กับ viridian academy of art

คอร์สของเราเป็นคอร์สที่แม้ว่า "น้องๆจะไม่มีพื้นฐานก็สามารถที่จะเรียนได้" คอร์สของเราจะช่วยปูพื้นฐานของน้องๆ ตั้งแต่เริ่ม ไม่ใช่การเพ้นท์สีน้ำ สีโปสเตอร์ สีอะคริลิกเท่านั้น  แต่ยังรวมไปถึงการลงน้ำหนัก และ การลงแสงเงา ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเพ้นท์ภาพ เป็นการสร้างพื้นฐานให้น้องๆ เพื่อทำให้น้องๆ สามารถนำพื้นฐานไปพัฒนาในการเพ้นท์ภาพ เพื่อต่อยอดในระดับสูงได้ และ เพื่อดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของน้องๆ ให้แสดงออกมา รวมทั้งสามารถนำไปใช้ในการเตรียมตัว เพื่อเตรียมสอบเข้าคณะนิเทศศิลป์ คณะออกแบบตกแต่งภายใน คณะจิตรกรรม และ คณะที่จำเป็นต้องใช้ความรู้ ทักษะในด้านนี้ ซึ่งก็ล้วนแต่ต้องอาศัยพื้นฐานในการเพ้นท์ และ เทคนิคต่างๆ ที่จำเป็น อย่าปล่อยให้คณะในฝันหลุกลอยไป เพราะเราไม่มีพื้นฐาน มาสร้างพื้นฐานการ Painting ตั้งแต่เริ่มให้แน่นไปกับเรา viridian academy of art เตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เรียนเลย!!!
"สร้างพื้นฐานให้พร้อมลุย แม้เป็นมือใหม่"


สามารถติดตาม viridian academy of art ช่องทางต่างๆได้ดังนี้
เบอร์โทรศัพท์ : 083-615-2391
Facebook : viridian academy of art
Line : @viridian
Instargram : viridian academy of art
Email : viridian.academy.2019@gmail.com



หน้า: 1 2 3 4 [5] 6 7