ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - มุทิตา แสนสุข

หน้า: 1 2 3 4 5 [6]
251
สุขภาพดี เป็นสิ่งที่เชื่อว่าทุกๆ คนอยากจะมีแน่นอน เพราะเมื่อเรามีสุขภาพดีแล้วจะสามารถทำได้ทุกอย่างที่เราต้องการเลย โดยหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สุขภาพดีก็คือ การรับประทานอาหารนั่นเอง ปัจจุบันเทรนด์อาหารสุขภาพมีอยู่มากมายหลายประเภท ทั้งอาหารคลีน อาหารคีโต อาหารมังสวิรัติ และที่กำลังมาแรงสุดๆ ในธุรกิจอาหารยุคนี้ก็คือ farm to table เมนูอาหารสดใหม่จากผู้ผลิตเสิร์ฟตรงถึงโต๊ะผู้บริโภค

เทรนด์สุขภาพดีที่พิถีพิถัน


Farm-to-Table หรือ Farm-to-Fork คือ ผู้ผลิตนำเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงเอง หรือผักที่ปลูกเองมาประกอบอาหารสไจล์โฮมเมดแล้วเสิร์ฟให้ลูกค้าทานแบบสดใหม่ อร่อยแบบธรรมชาติแท้ๆ ไม่มีสารปนเปื้อนเลย

อาหารประเภท Farm-to-Table ได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เนื่องจากมีกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันตามวิถีการเกษตรแบบอินทรีย์ซึ่งมีความเป็นธรรมชาติสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปราศจากการตัดแต่งพันธุกรรม ไม่ใช้สารเคมีหรือสารปรุงแต่งเพื่อเร่งหรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์ ร่างกายของผู้บริโภคไม่ต้องรับสารเคมีอีกด้วย

นอกจากนี้อาหารประเภท Farm-to-Table ส่วนใหญ่จะปลูกพืชผักตามฤดูกาล ส่งผลต่อคุณภาพและความยั่งยืนด้านอาหารในอนาคต แถมยังลดค่าใช้จ่ายเวลาปลูกอาหารนอกฤดูกาล ทำให้ราคาผักไม่แพงด้วยนะ

กลยุทธ์แห่งความยั่งยืนแบบครบวงจร
 

หลายๆ คนคงได้ยินคำเปรียบเปรยว่า ประเทศไทย คือครัวโลก ยิ่งจากข้อมูลของ Euromonitor พบว่าค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทย ปี 2560 พบว่าคนไทยหมดเงินไปกับค่าใช้จ่ายด้านอาหารมากที่สุดถึง 21.2% หรือคิดเป็นมูลค่า 1.8 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว แต่ถึงเราจะมีค่าใช้จ่ายในด้านของอาหารที่เยอะ แต่ทางองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization หรือ FAO) พบว่า 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตทั่วโลก หรือราว 1.3 ล้านตัน/ปี กลายเป็นขยะที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  ทำให้ต้องเผาผลาญพลังงานโดยสิ้นเปลืองอีกด้วย

Farm-to-Table เข้ามาเปลี่ยนในด้านของพ่อค้าคนกลางเพราะเกษตรกรไม่ได้มีหน้าที่เพียงเพาะปลูกหรือผลิตวัตถุดิบเท่านั้น แต่ยังนำพืชพรรณหรือเนื้อสัตว์ที่ได้มาปรุงและเสิร์ฟให้กับผู้บริโภคได้อย่างสดใหม่ นอกจากจะไม่มีสารปนเปื้อนแล้วยังไม่สิ้นเปลืองกับบรรจุภัณฑ์และการขนส่งที่ทำให้เกิดการสูญเสียเชื้อเพลิงและคุณภาพอาหาร ลดขั้นตอนและเวลาการส่งมอบระหว่างผู้ผลิตถึงผู้บริโภค เพราะหากมีส่วนที่เหลือหรือไม่จำเป็นก็สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยได้ด้วย

อีกหนึ่งข้อดีก็คือ การผลิตและจำหน่ายในชุมชนใกล้เคียงแบบ Farm-to-Table ยังมีลักษณะความยั่งยืน (Sustainability) ช่วยสนับสนุนอาชีพเกษตรกรรายย่อยให้มีความมั่นคง สามารถกำหนดราคาขายได้ตามจริง และส่งเสริมการจ้างงานในต่างจังหวัดอีกด้วย ถือว่าดีกับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคเลย

ลงมือทำ Farm-to-Table ที่บ้านเนอวานา

ที่จริงแล้วการทำ Farm To Table นั้นไม่ได้จำกัดแค่ทำเป็นการค้าขายเท่านั้น ในภาคครัวเรือนก็สามารถทำได้เช่นกัน อาจจะปลูกบริเวณริมรั้ว หรือตามพื้นที่ว่างๆ ในรั้วบ่านของเรา

ลูกบ้านเนอวานาที่สนใจนำไอเดีย Farm-to-Table สามารถลงมือได้ง่ายๆ กับพื้นที่สวนที่มีอยู่รอบบ้าน โดยลงเป็นแปลงผักเล็กๆ หรือทำเป็นแนวรั้ว สำหรับผักประเภทที่ปลูกแล้วมีผลเก็บกินได้ตลอดทั้งปี หรือจะปลูกเป็นผักตามฤดู ผักที่ใช้เวลาปลูกในช่วงสั้นๆ ก็สามารถทำได้ไม่ยากเลย

พอพืชผักโตแล้วเราสามารถนำมาทำอาหารได้แล้ว มั่นใจเลยว่าผักของเราจะสะอาดไม่ปนเปื้อนแถมยังได้เพิ่มช่วงเวลากับครอบครัว สนุกไปด้วยกันได้อีกด้วยนะ

252
   เคล็ดลับหน้าใสเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้หลายๆท่านนั้นสามารถนำไปใช้งานให้มีความเหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคลได้มากยิ่งขึ้นและสามารถได้รับการเปลี่ยนแปลงในการดูแลสภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งในวิธีการที่เรานั้นกำลังจะแนะนำอยู่นี้สามารถที่จะเป็นตัวช่วยเสริมสำหรับการฟื้นฟูสุขภาพผิวที่ดีและได้รับการบำรุงพร้อมมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ด้วยการเริ่มต้นในการดูแลสุขภาพผิวที่เราจะแนะนำอยู่นี้ในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีเป็นแบรนด์เวชสำอางที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้ที่มีสภาพผิวแพ้ง่ายผิวอ่อนโยนที่อาจจะเกิดอาการระคายเคืองได้ง่ายถ้าหากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารอันตรายหรือมีแอลกอฮอล์มีพาราเบนก็อาจจะส่งผลอันตรายต่อการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ได้ซึ่งในแบรนด์ วิชชี่ ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ไม่ควรพลาดเพราะว่าคัดสรรในส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติมาจากน้ำแร่บริสุทธิ์จากภูเขาไฟฝรั่งเศสทำให้คุณสามารถมั่นใจในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้นว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่ดีจริงและสามารถเสริมในการดูแลสุขภาพผิวที่ดีที่คุณเองจะได้รับผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มความหน้าใสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยขั้นตอนแรกก่อนการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในตัวใดตัวหนึ่งที่มีความเหมาะสมสำหรับสภาพปัญหาของแต่ละบุคคล ก็จะต้องเริ่มต้นในการปรับค่า PH ผิวให้มีความสมดุลมากยิ่งขึ้นโดยการเลือกใช้สเปรย์น้ำแร่บริสุทธิ์วิชชี่ เพื่อเป็นการปรับสมดุลผิวเพื่อที่จะได้รับการเตรียมพร้อมในการบำรุงในขั้นตอนต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากๆที่คุณเองสามารถนำไปปรับใช้ได้ทุกสภาพผิวสำหรับการเลือกใช้สเปรย์น้ำแร่ และในขั้นตอนต่อไปก็ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของแต่ละบุคคลถ้าหากว่าคุณนั้นมีสภาพปัญหาผิวมีฝ้ากระจุดด่างดำก็ควรที่จะใช้ครีมลดจุดด่างดำที่มีความเหมาะสมสำหรับสภาพผิวของคุณไม่ว่าจะเป็นทั้งผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม เพราะแต่ละสภาพผิวนั้นจะต้องดูแลแตกต่างกันออกไปเพื่อที่จะได้รับการดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพและฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นนั่นเอง พร้อมด้วยถ้าหากว่าคุณนั้นดูแลในด้านภายในทั้งการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและการพักผ่อนที่เพียงพอ ดื่มน้ำเพียงพอในแต่ละวันก็สามารถที่จะส่งผลที่ดีในการฟื้นฟูสุขภาพผิวได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ซึ่งทั้งนี้ทำให้ผู้ที่มีสภาพปัญหาผิวต่างๆสามารถที่จะนำตัวเลือกนี้ไปพิจารณาประกอบการเลือกใช้งานให้มีความเหมาะสมในสภาพปัญหาผิวของคุณเพื่อที่จะได้รับผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นและควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยสามารถตรวจสอบถึงความน่าเชื่อถือได้จริงเพียงเท่านี้ในการดูแลสภาพผิวหน้าของคุณก็สามารถที่จะได้รับการฟื้นฟูและได้รับผิวหน้าที่ดีมากกว่าที่เคย ซึ่งแน่นอนว่าทางแบรนด์วิชชี่นั้นมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อที่จะรองรับสำหรับทุกท่านกันอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นทั้งครีมลดริ้วรอยใต้ตา ครีมเพิ่มความชุ่มชื้น เซรั่มปรับผิวเรียบเนียนก็สามารถที่จะเลือกให้เข้ากับสภาพปัญหาของคุณเพื่อที่จะได้รับการฟื้นฟูและดูแลในจุดความต้องการอย่างแท้จริง


253

เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าถ้าลูกน้อยมีอาการร้องไห้ไม่หยุดหรือ อาการโคลิค สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือ ต้องรีบปลอบประโลมลูกโดยทันที อาจจะอุ้มให้แนบชิดอกแล้วโยกตัวเบาๆ หรือพาเดินไปที่สถานที่เงียบๆ สงบๆ เพื่อให้ลูกรู้สึกดีขึ้น เพราะหากปล่อยให้ลูกร้องไห้ไม่มีสาเหตุ อาจจะส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการตามมาภายหลังอีกด้วย และหากถ้ามีอาการรุนแรงอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น อาการไข้ ตัวร้อน ตัวซีด ท้องเสีย ท้องผูก และอาการชัก เป็นต้น ต้องรีบพาไปปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด
   
   โดยทั่วไปแล้ว คุณพ่อคุณแม่หรือญาติ มักใช้วิธีที่เชื่อกันมาผิด ๆ  ว่าสามารถแก้ไขอาการ โคลิคได้ แต่ที่จริงแล้วนอกจากไม่ช่วยบรรเทาอาการโคลิคแล้วอาจจะทำให้เด็กอันตรายต่อร่างกายได้มากขึ้น

1.   ใช้จุกนมปลอมเพื่อให้ลูกหยุดร้องไห้
แม้เรามักจะเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่หลายคนเมื่อลูกร้องไห้แล้วใช้จุกนมเพื่อช่วยให้เด็กหยุดร้องไห้ แต่ที่จริงแล้วนอกจากจะไม่ช่วยบรรเทาอาการโคลิคแล้วอาจทำให้อาการของลูกแย่ลง อีกทั้งยังทำให้เสี่ยงต่อการเจ็บป่วย ไม่ยอมทานนมแม่ และติดเชื้อได้ด้วย ถ้าทำความสะอาดจุกนมไม่ดี

2.   ให้ลูกกินนมและน้ำในปริมาณมากหรือเร็วจนเกินไป
แม้ปัจจุบันจะยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แต่ปกติแล้วมักจะเกิดจากปัญหาที่ระบบทางเดินอาหารของทารก ไม่ว่าจะเป็น การหดเกร็งของอวัยวะในระบบทางเดินอาหาร ปวดท้องจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน มีลมในกระเพาะอาหารเป็นจำนวนมาก มีปัญหากรดไหลย้อน ถ้ายิ่งมีอาการโคลิคแล้วทานนม ทานน้ำเร็วหรือมากเกินไปอาจจะแย่กว่าเดิมได้

3.   พยายามรักษาลูกด้วยยาสมุนไพร
การใช้สมุนไพรในการรักษาอาการต่างๆ น่าจะเป็นสิ่งที่เราคุ้นชินกัน ส่วนสมุนไพรรักษาอาการ ทารกร้องไห้ ไม่หยุดก็คงได้ยินกันมาบ้าง อย่างคาโมมายล์ ผักชีลาว เปปเปอร์มินท์ และน้ำคั้นหัวหอมแต่ไม่แนะนำเลยเพราะว่าอาจจะทำให้อาการโคลิคแย่ลงได้ หรืออันตรายต่อชีวิตได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นแนะนำให้พบแพทย์ดีที่สุด

   นอกจากนี้ยังแนะนำให้คุณแม่ที่ให้นมบุตรลองลดอาหาร อย่างคาเฟอีน กาแฟ น้ำอัดลม อาหารที่มีส่วนผสมของนม อาหารที่ส่วนผสมของถั่ว รวมทั้งการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้ลูกน้อยมีอาการดีขึ้น และอาการโคลิคนี้จะดีขึ้นเมื่ออายุได้ 4 – 6 เดือน

254
อาการโคลิค ถือเป็นอาการที่พ่อแม่หลายคนต้องพบเมื่อลุกมีอายุได้ราวๆ 2- 3 สัปดาห์ อาการร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุแบบนี้เด็กจะร้องไห้มากน้อยนานแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ของคุณพ่อคุณแม่แต่ละคน ซึ่งวิธีการรับมือและดูแลขณะ ทารกร้องไห้ ที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำนั้นก็มีด้วยกันหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการอุ้มให้แนบชิดอกแล้วโยกตัวเบาๆ เดินไปเปลี่ยนสถานที่เป็นที่สงบๆ หรือนวดท้องช่วยระบายลมในกระเพาะอาหาร ก็สามารถบรรเทาอาการร้องไห้ได้ ในขณะเดียวกันตัวคุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องงดพฤติกรรมบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้ อาการโคลิค ของลูกแย่ลง ดังนั้นวันนี้เราจึงมี 3 สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรทำเมื่อเด็กร้องไห้ไม่มีสาเหตุ เพราะอาจจะส่งผลเสียถึงชีวิตได้
1.ปล่อยให้ลูกร้องไห้จนหยุดไปเอง
การปล่อยให้ลูกร้องไห้จนหยุดไปเองถือเป็นเรื่องที่ดูไม่มีอะไร แต่อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายไม่น้อยเลย เพราะนอกจากจะทำให้ลูกรู้สึกเหนื่อยจากการร้องไห้ไม่หยุดแล้ว และหากลูกร้องไห้เป็นชั่วโมงจะทำให้เซลล์สมองถูกทำลายโดยฮอร์โมนคอร์ติโซล ซึ่งการร้องไห้ถือได้ว่าเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้ฮอร์โมนชนิดนี้มีการสะสมมากขึ้น
 
2.ใช้จุกนมปลอมในการแก้ปัญหา หวังให้ลูกหยุดร้องไห้
หากลูกร้องไห้ ไอเทมแรกๆ ที่พ่อแม่คิดถึงก็คือจุกนมปลอมแน่นอน แต่ที่จริงแล้วมีผลเสียไม่น้อยเลยค่ะเพราะหากลูกติดจุกนมปลอมจนสับสนไม่ยอมดูดนมแม่ ทำให้โครงสร้างฟันผิดรูปทำให้มีปัญหาในการเคี้ยวอาหาร เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อในหูชั้นกลางและติดเชื้อในช่องท้อง หรือส่งผลต่อการพูดของลูกอีกด้วย
 
3.ใช้สมุนไพรในการรักษา
สมุนไพรเป็นการรักษาที่เป็นที่ยอมรับกันมาแต่โบราณ ยิ่งเมื่อมีอาการท้องอืดแล้วหลายๆ คนจะเลือกทานเป็นสมุนไพรแทน แต่การให้เด็กทารกรับประทานสมุนไพรนั้นเป็นการกระทำที่เสี่ยงมาก เนื่องจากไม่สามารถกำหนดปริมาณสารต่าง ๆ ในสมุนไพรได้ เพราะฉะนั้นหากใช้มากเกินไปจะส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกายและอาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

3 ข้อนี้อาจจะดูเป็นสิ่งที่หลายๆ ช่วงอายุปฏิบัติกันมานานแล้ว แต่เราก็ไม่ควรทำตามนะคะ เพราอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายของลูกได้ ในเบื้องต้นแนะนำว่าให้คุณพ่อคุณแม่รีบเข้าไปปลอบโยนลูก โดยการใช้ผ้าขนหนูห่อแล้วอุ้มลูกในท่าคว่ำแล้วนั่งโยกตัว หรือพาเดินเล่นในที่เงียบ ๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ลูกน้อยสงบลงได้อย่างรวดเร็ว

255


walk in closet คือ พื้นที่ในฝันของคนที่รักการแต่งตัวหลายๆ คนเพราะนอกจากจะช่วยให้เราสามารถหยิบจับ จัดเสื้อผ้าได้อย่างเป็นระเบียบแล้วยังสนุกกับการแต่งตัวได้มากขึ้นอีกด้วย ยิ่งถ้าหากพื้นที่ถูกออกแบบให้ต่อเนื่องเชื่อมกับห้องน้ำ และจัดวางฟังก์ชั่นให้เหมาะสมก็จะยิ่งทำให้หน้าที่ Walk-in Closet มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น วันนี้เรามีไอเดียดีๆ ที่จะช่วยให้ walk in closet มีฟังก์ชันการใช้งานที่เป็นประโยชน์สูงที่สุดมากฝากกัน

แสงธรรมชาติ แต่งหน้าก็สวยแต่งตัวก็ดูดี

เชื่อว่าสาวๆ เคยมีประสบการณ์แต่งหน้าในแสงไม่พอแล้วออกมาหน้าขาวเกินไปก็หมองคล้ำกว่าที่เป็นจริงแน่นอน เรื่องของแสงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญกับี่ Walk-in Closet มาก เพราะแสงธรรมชาติเป็นแสงที่ทำให้ตามองเห็นค่าสีตรงกับความเป็นจริง ทำให้ง่ายต่อการจับคู่ชุด เครื่องประดับ หรือเนคไทที่จะสวมใส่

นอกจากแสงธรรมชาติแล้ว ควรติดตั้งหลอดไฟแบบ Daylight เพื่อให้ความสว่างที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติภายในห้องอย่างเพียงพอเพื่อที่จะมองเห็นเสื้อผ้าที่แขวนไว้ หรือสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ในลิ้นชัก 

จัดวางพื้นที่โปร่ง ไม่อับชื้น

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ก็คือเรื่องของความอับชื้น ยิ่งหากห้องแต่งตัวของเราอยู่เชื่อมต่อกับห้องอาบน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้นจากห้องน้ำไหลออกมาสู่ห้องแต่งตัวในปริมาณที่มากเกินไป จึงจำเป็นต้องออกแบบเว้นระยะห่างระหว่างพื้นที่แห้งและส่วนเปียกในห้องน้ำอย่างน้อย 1.20 เมตรขึ้นไป

และควารมีหน้าต่างแบบเปิด-ปิดได้เพื่อให้โล่งสบาย ระบายความอับชื้นอันเป็นบ่อเกิดของเชื้อราและแบคทีเรียที่อาจปะปนในอากาศ ที่นอกจากจะสามารถหมักหมมในเสื้อผ้าทำให้ผ้ามีกลิ่นอับไม่น่าสวมใส่ แล้วยังก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งพัดลมระบายอากาศเพื่อให้มั่นใจว่าอากาศถ่ายเทอย่างเหมาะสม และลดการสะสมความร้อนภายใน Walk-in Closet อันเป็นการยืดอายุข้าวของเครื่องใช้ได้อีกทางหนึ่งด้วย

กระจกเงาบานใหญ่ คือหัวใจสำคัญของการแต่งตัว

จะสนุกกับการแต่งตัวทั้งทีจะขาดกระจกบานใหญ่ที่สามารถส่องได้ทั้งตัวไปได้อย่างไร จะได้ช่วยให้เราสามารถมิกซ์แอนด์แมทช์ หยิบนู้นนี่นั่นมาแต่งแต้มจนลงตัวพร้อมสำหรับทำกิจกรรมต่อไป แถมกระจกเงายังเป็นของตกแต่งที่เสริมให้ห้องนั้นดูน่าสนใจ ช่วยให้ห้องดูกว้างกว่าเดิมอีกด้วย หากอยากให้ Walk-in Closet มีบรรยากาศที่ดูสบาย ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ลองหาเก้าอี้ หรืออาร์มแชร์ที่นั่งสบายๆ ให้ได้นั่งลองเสื้อผ้าต่างๆ อย่างสบายๆ 

เลือกฟังก์ชั่นที่ใช่ สไตล์ที่ชอบ

ข้อดีของ Walk-in Closet คืออิสระในการจัดสรรฟังก์ชั่นตามใจผู้เป็นเจ้าของ จะชอบแบบไหนอยากจัดวางเสื้อผ้าอย่างไรให้เราสามารถหยิบใช้สะดวก มองเห็นได้ง่าย เพราะยิ่งเราเข้าถึงได้เร็ว โอกาสที่จะหยิบเสื้อผ้าเหล่านั้นมาใช้ก็มากตาม ช่วยลดปัญหาการซื้อเสื้อผ้าซ้ำหรือซื้อมาแล้วไม่ได้ใส่สักที

จากนั้นจึงพิจารณาถึงประเภทตู้หรือชั้นวางที่จะใช้ รวมถึงสัดส่วนตู้ที่ติดตั้งซึ่งดูได้จากความสูงของผู้ใช้และเช็คระดับการเอื้อมหยิบของได้ และใช้ประโยชน์ของพื้นที่ได้อย่างสูงสุด

เช่น การจัด Walk-in Closet สำหรับคู่สามีภรรยา เราสามารถใช้ชั้นวางของแบบโปร่งคั่นตรงกลางห้องเพื่อแยกโซน His &Her ทำให้ทั้งคู่มีมุมเก็บเสื้อผ้าและของใช้อย่างเป็นส่วนตัว หรือถ้าเป็นนักสะสมเครื่องประดับ ลองหาโต๊ะลิ้นชักเป็น Island กลางห้อง แล้วแยกประเภทของจุกจิกให้เป็นหมวดหมู่ แบ่งใส่ลิ้นชักที่ด้านในกรุผ้ากำมะหยี่ก็ช่วยให้หยิบมามิกซ์แอนด์แมทช์ได้ง่าย แถมยังช่วยถนอมเครื่องประดับที่นำมาวางเก็บไว้ได้อีกด้วย

Walk-in Closet อาจจะดูเป็นพื้นที่เล็กแต่ที่จริงแล้วช่วยเพิ่มความสนุกในการแต่งตัว แต่งบ้านได้ไม่น้อยเลย ซึ่ง Nirvana Beyond และ Nirvana Define ให้ความใส่ใจในการออกแบบรายละเอียด โดยเน้นฟังก์ชั่นใช้สอยที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัวให้ได้สนุกกับมุมเล็กๆ ได้อย่างไม่รู้จบ

หน้า: 1 2 3 4 5 [6]