ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - เดซี่ คิม

หน้า: [1]
1
ตรวจไมเกรน

ก่อนจะทำความรู้จักกับการตรวจไมเกรน ไมเกรนคืออะไร เราต้องขอเกริ่นก่อนว่าปัญหาการใช้ชีวิตของผู้คนไม่ว่าจะเรื่องชีวิต เรื่องงาน หรือเรื่องความรัก ย่อมทำให้ภาวะความเครียด ปัจจุบันมีคนไม่น้อยประสบปัญหาภาวะความเครียดโดยไม่รู้ตัวจากการทีเก็บไปปัญหาเหล่านี้มาคิด นำไปสู่โรคที่แฝงมาโดยไม่รู้ตัว อย่างไมเกรน ที่มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ปวดหัวข้างเดียว ซึ่งเป็นโรคที่สร้างความรำคาญและสร้างปัญหาการใช้ชีวิตให้กับใครหลายคนไม่สามารถทำกิจกรรม หรือทำอะไรได้ตามต้องการ

หลายคนที่เป็นไมเกรน นั้นมักจะบอกว่าไม่เป็นไรโรคไม่อันตราย แต่จะดีกว่าไหม หากเราตรวจไมเกรน หรือศึกษาวิธีตรวจไมเกรน กับแพทย์ เพื่อลดผลของอาการหรือรักษาให้ไม่ให้ไมเกรนเกิดขึ้น ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับโรคไมเกรน ตรวจไมเกรนอย่างไรให้เรารู้และตระหนักถึงโรคนี้มากขึ้น

อาการสัญญาณเตือนไมเกรน

หากท่านมีอาการเหล่านี้ ท่านคือผู้ที่เข้าข่ายเป็นโรคไมเกรน

- ปวดศีรษะรุนแรงและฉับพลัน ในช่วงระยะเวลาอันสั้น
- มีอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้น บ่อยขึ้นกว่าเดิม
- ลักษณะการปวดศีรษะ จะไม่เหมือนทั่วไป ไม่มึนแต่เป็นการปวดหัวเลย
- มีการปวดศีรษะขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ ไอ จาม เบ่ง หรือเมื่อมีการเปลี่ยนอิริยาบถ
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรงขณะอายุมากกว่า 65 ปี
- มีอาการปวดศีรษะขณะตั้งครรภ์หรือหลังคลอด
- มีอาการปวดศีรษะเมื่อได้มีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือคอ
- เมื่อใช้ยาแก้ปวด มากเกินไปแล้วมีอาการปวดศีรษะ
- ตำแหน่งปวดไมเกรนจะบริเวณศีรษะ และอาจจะมีอาการปวดหัวข้างเดียว

อาการเหล่านี้จะเป็นอาการกลุ่มเสี่ยง ในการเป็นโรคไมเกรน หากท่านรู้สึกว่ามีอาการเหล่านี้ ท่านควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ เพื่อทำการตรวจไมเกรน

การตรวจวินิจฉัยโรคไมเกรน

ตรวจวินิจฉัยโรคไมเกรน

เมื่อเรามีอาการเข้าข่ายในการเป็นไมเกรน เราควรเข้ารับการตรวจไมเกรน โดยโรคไมเกรนนั้นไม่ใช่โรคที่แพทย์จะต้องทำการตรวจแบบเฉพาะเหมือนโรคอื่น ๆ วิธีตรวจไมเกรนจึงไม่มีความซับซ้อนวุ่นวาย โดยแพทย์ผู้ตรวจ อาจจะซักประวัติเราคร่าว ๆ ร่วมกับการวินิจฉัยควบคู่กับการวิเคราะห์อาการต่าง ๆ ที่เราเป็น จากนั้น หากมีอาการเข้าข่ายแพทย์จะทำการ ทำการตรวจโรคไมเกรน อาจจะเป็นการ ตรวจด้วยเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า MRA หรือ MRI เป็นต้น เพื่อให้ได้ผลที่แน่นอนกว่า

วิธีตรวจไมเกรน ตรวจอะไรบ้าง

การตรวจไมเกรนนั้น จะมีวิธีดังนี้

1. ซักประวัติว่า ปวดหัวแบบไหน ปวดมานานเท่าไร หรือ แม้กระทั่งพฤติกรรมการทาน
2. ตรวจตา เพื่อหาว่าเป็น papilledema ซึ่ง เป็นโรคเกี่ยวกับความดันของเบ้าตาว่าผิดปกติหรือไม่ เพราะอาการของโรคนี้ จะเป็นการปวดหัวข้างเดียวเหมือนไมเกรน
3. เพื่อความมั่นใจยิ่งขึ้น แพทย์อาจจะให้เราเข้ารับการตรวจด้วยวิธีตรวจไมเกรนแบบใช้เครื่องมือทางการแพทย์ต่าง ๆ เช่นการ Headache Screening หรือ MRA และ MRI เพื่อตรวจเส้นเลือดในสมอง

จะสังเกตได้ว่า การตรวจไมเกรน โดยใช้เครื่องมือจะเป็นวิธีสุดท้ายเพื่อยืนยันว่า เราเป็นไมเกรนจริง ๆ หรือไม่

ปวดไมเกรน..เมื่อไหร่ควรเข้าตรวจ

ปวดไมเกรน

อาการปวดหัวนั้นมีมากหลากหลายแบบ แต่เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราปวดไมเกรน หากเรารู้สึกว่าเราปวดหัวหนักมาก แทบจะยืนไม่ไหว หรือ อาการปวดหัวมาบ่อย ๆ เป็นช่วง ๆ ตามอาการที่กล่าวมาข้างบน เราควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจไมเกรน มาลองดูกันเลย เราได้รวบรวมเช็กลิสต์คำถามเพื่อให้แพทย์ประเมินว่าคุณเป็นไมเกรนหรือไม่

- อาการปวดหัวเริ่มเมื่อไร มีอาการอย่างไร แย่ลงช่วงไหน แล้วใช้เวลานานหายเมื่อไร
- ปวดหัวตรงส่วนไหน
- ปวดหัวแบบไหน ปวดจี๊ด ตุบ หรือว่ามึน ๆ
- ปวดนานเท่าไร
- ได้ทานยาหรือไม่ เมื่อไรล่าสุด
- ได้ลองวิธีแบบอื่นหรือยัง เช่นประคบด้วยผ้าขนหนูหรือยัง
- การทานยาหรือวิธีบรรเทาต่าง ๆ ช่วยหรือไม่

นอกจากนี้ยังเกี่ยวเนื่องกับการใช้ชีวิตของเราอีกด้วย เช่น

- นอนหลับกี่ชั่วโมงต่อวัน
- ได้ออกกำลังกายหรือไม่บ่อยแค่ไหน
- ทานอะไรไปบ้าง
- อากาศช่วงนี้เป็นอย่างไร
- เครียดอยู่หรือไม่
- ถ้ามีประจำเดือน ต้องบอกข้อมูล

หากคุณสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ จะเป็นการช่วยให้แพทย์ สามารถ วินิจฉัยอาการของคุณได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

การบันทึกอาการปวดหัวเพื่อการวินิจฉัย

อาการไมเกรน

บางทีเราไม่สามารถคาดเดาว่าอาการไมเกรน จะมาเมื่อไร เพราะฉะนั้นเพื่อให้เราสามารถเก็บบันทึกข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์ในการตรวจไมเกรนนั้น เราควรบันทึกอาการปวกหัวไมเกรน เพราะจะเป็นประโยชน์กับเรา และคุณหมอเพื่อใช้ในการวินิจฉัยโดยสิ่งที่เราควรบันทึกมาดังนี้

- วันที่และเวลาที่เราปวดหัว
- ทำอะไรอยู่ตอนปวดหัวไมเกรน
- มีอาการปวดหัวนานเท่าไร
- อาการปวดเป็นอย่างไร
- ทานยาอะไรทานไป

ข้อมูลเหล่านี้เราควรหมั่นบันทึกอย่างสม่ำเสมอ เป็นเวลาประมาณ2-3 สัปดาห์ เพื่อเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา ทำให้เราหลีกเลี่ยงสาเหตุเหล่านั้นได้ เพราะบางทีแนวทางวิธีตรวจไมเกรน และลดปัญหาการเกิดไมเกรน อาจจะอยู่ในบันทึกนี้ก็ได้

แนวทางการรักษาไมเกรน

การรักษาไมเกรนนั้น หากไม่ได้เป็นหนักและบ่อย แพทย์จะตรวจไมเกรนและรักษาโดยการรักษาแบบเบื้องต้น แต่ถ้าเป็นหนักและบ่อยจนกระทบการใช้ชีวิตเป็นอย่างมากแพทย์จะใช่วิธีทางการแพทย์ในการรักษา ซึ่งการ โบท็อกไมเกรน เป็นวิธีที่เห็นผลและได้ประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก

การรักษาไมเกรนเบื้องต้น

รักษาไมเกรนเบื้องต้น

* การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง - เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงให้อาการไมเกรนกำเริบ เช่น การกิน การขยับร่างกาย หรือ แม้กระทั่งพฤติกรรมการนอน
* สมุนไพรรักษาไมเกรน - สมุนไพรบางชนิดสามารถรักษาไมเกรนได้ เช่น ใบบัวบก ขิง เป็นต้นที่มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน
* การประคบเย็นลดอาการปวด - การประคบเย็น เพราะความเย็นทำให้หลอดเลือดหดตัว ลดการอักเสบตามบริเวณ
* การนวดกดจุดแก้ปวดไมเกรน - การนวดกดจุดตามบริเวณ คอ (โดยผู้เชี่ยวชาญ) เป็นอีกหนึ่งวิธีในการบรรเทารักษาไมเกรน

การรักษาไมเกรนทางการแพทย์

รักษาไมเกรนทางการแพทย์

* ยารักษาไมเกรน - ยาบางชนิดช่วยบรรเทาอาการไมเกรน ให้ดีขึ้น
* ฉีดยาแก้ไมเกรน - เป็นวิธีที่เห็นผลกว่าทานยา เพราะการฉีดยาเป็นการฉีดโดยตรงเข้าเส้นเลือด
* ฝังเข็มรักษาไมเกรน - อีกหนึ่งการรักษาทางเลือกที่ขึ้นชื่อ
* โบท็อกไมเกรน - เป็นการฉีดโบท็อกไปในบริเวณ ระหว่างระหว่างคิ้ว หน้าผาก ท้ายทอย ต้นคอ และบ่า เพื่อช่วยลดอาการปวดศีรษะ เพราะโบท็อกมีฤทธิ์ในการยับยั้งปลายประสาท ทำให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งคลายตัวลง ทำให้ช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของการปวดหัวไมเกรน

หากตรวจไมเกรนแล้วไม่เข้าข่าย

นอกจากโรคไมเกรน ที่มีอาการปวดศีรษะแล้ว ยังมีโรคอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวได้เช่นกัน และโรคบางโรคเหล่านี้ยังมีความอันตรายกว่าไมเกรนอีกด้วย ซึ่งถ้าหากท่านได้ตรวจไมเกรนแล้ว รู้สึกว่าตัวเองยังไม่เข้าข่าย ท่านควรตรวจวินิจฉัยโรคอื่นเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น การปวดตึงกล้ามเนื้อ เนื้องอกในสมอง หรือความดันในช่องตาผิดปกติ โดยเราได้รวบรวมการตรวจวินิจฉัยแบบอื่นมาให้ท่านแล้วดังนี้

การตรวจวินิจฉัยอื่นๆ

โรคไมเกรน

หากเราไม่เข้าข่ายเป็นไมเกรน และมีอาการปวดหัว ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีเหล่านี้เพื่อให้แน่ใจว่าเราเป็นโรคอะไร และได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี

1. ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
2. ตรวจ CBC หรือความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
3. ตรวจ LDL ในเลือด
4. ตรวจการทำงานของตับ และ ไต
5. ตรวจสารเกลือแร่ในร่างกาย
6. วัดความดันลูกตา
7. ตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท
8. ตรวจระบบหู คอ จมูก
9. ตรวจสมองด้วยเครื่องเอกซเรย์

ตรวจไมเกรนที่ไหนดี

สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังไม่รู้ว่า ตรวจไมเกรนที่ไหนดี ทางผู้เขียนจึงจะมาแนะนำวิธีเลือกคลีนิกรักษาไมเกรน เพื่อให้ท่านสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจเมื่อเข้ารับการรักษา และสามารถพิจารณาศูนย์รักษาไมเกรนที่เหมาะกับท่านได้

1. สถานที่ต้องอยู่ใกล้ที่พักของเราเพื่อง่ายต่อการเดินทาง
2. แพทย์จะต้องมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการตรวจรักษาไมเกรน
3. ที่ ๆ เข้ารับการรักษาควรเป็นศูนย์รักษาไมเกรนโดยเฉพาะ
4. ศูนย์รักษาไมเกรนต้องมีใบรับรองได้มาตรฐาน
5. เครื่องมือในการตรวจรักษาไมเกรนต้องพร้อม
6. มีวิธีตรวจไมเกรนที่ครอบคลุมทุกปัญหา สามารถตรวจไมเกรนได้ทุกรูปแบบ
7. พยาบาลและบุคลากรมีความสุภาพดูแลท่านได้อย่างดี

หากสถานที่รักษาไมเกรนของคุณมีคุณสมบัติดังที่กล่าวมาข้างต้น ถือว่าเป็นสถานที่รักษาไมเกรนที่มีคุณภาพท่านสามารถเข้าไปใช้บริการได้เลย

ข้อสรุป

ไมเกรนถึงแม้จะเป็นโรคที่ไม่มีความอันตราย อะไรถึงชีวิต แต่เรียกได้ว่าสร้างความรำคาญและเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ทางที่ดีเพื่อคุณภาพที่ดีขึ้น จะเป็นการดีกว่าไหมถ้าเรา ไปตรวจไมเกรน เพื่อวินิจฉัย และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดปัญหาการปวดไมเกรนของเรา ทางผู้เขียนหวังว่า ข้อมูลการตรวจไมเกรน วิธีตรวจไมเกรน เหล่านี้จะมีประโยชน์กับท่านไม่มากก็น้อย


2
ปัญหาหัวล้านตรงกลาง ผมบางกลางหัว ผู้ชาย ผู้หญิง หัวล้านไข่ดาว สามารถเกิดขึ้นได้ โดยมีหลากหลายสาเหตุ ซึ่งในบทความนี้เราอยากให้ทุกคนรู้เกี่ยวกับเรื่องของหัวล้านตรงกลางมากขึ้นว่าเกิดจากสาเหตุอะไร มีวิธีการรักษาอย่างไร ป้องกันการเกิดได้อย่างไร

หัวล้านตรงกลาง

หัวล้านตรงกลาง

หัวล้านไข่ดาว

ผมร่วงกลางหัว เกิดจากพันธุกรรมและจากฮอร์โมนเพศชาย จะมีลักษณะหัวล้านตรงกลางเรียกว่า Male Pattern Baldness ซึ่งจะมีอาการผมบางกลางหัวและศีรษะล้านในช่วงบริเวณผมด้านหน้ากับกลางศีรษะ หรือเกิดขึ้นแค่จุดใดจุดหนี่ง โดยมีลักษณะเป็นหัวล้านตรงกลาง หรือ หัวล้านไข่ดาว ถ้าปล่อยทิ้งไว้ อาการผมร่วงและบางจะแย่ลงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้หัวล้านตรงกลางและที่ด้านหน้าศีรษะขยายวงกว้างมากขึ้น จนบรรจบกัน และจะเหลือแค่ผมที่ท้ายทอยกับที่หลังกกหูเพียงเท่านั้น

หัวล้านตรงกลาง เกิดจากสาเหตุอะไร

ผมร่วงกลางหัว

ฮอร์โมน

ผมร่วงตรงกลางหัว เกิดจากพันธุกรรมและฮอร์โมน โดยในเพศชาย อาการผมบางกลางหัว เกิดจากฮอร์โมน Dihydrotestosterone หรือ DHT ซึ่งฮอร์โมนนี้เกิดขึ้นจากฮอร์โมนเพศชาย หรือเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ถ้า DHT อยู่ที่รากผมจะส่งผลให้รากผมสร้างผมเส้นบางลง อีกทั้งทำให้รากผมมีระยะการสร้างผมน้อยลง แต่ระยะการหยุดสร้างเส้นผมจะมากขึ้นแทน ซึ่งจะทำให้รากผลหยุดการสร้างเส้นผม และกลายเป็นอาการผมบางกลางหัวนั่นเอง

กรรมพันธุ์

อาการหัวล้านกรรมพันธุ์สามารถพบได้ 2 ใน 3 ของประชากรเพศชายทั้งหมด ซึ่งจะมี 1 ใน 3 คนที่จะไม่เป็นหัวล้านตรงกลาง ไม่ใช่จากฮอร์โมนเพศชายที่ผิดปกติ แต่มีสาเหตุการเกิดมาจากกรรมพันธุ์ซึ่งทำให้ฮอร์โมนนั้น ไม่ส่งผลกับรากผม

โรคที่ทำให้เกิดหัวล้านตรงกลาง

หัวล้านไข่ดาวเกิดขึ้นจากโรค Androgenetic alopecia โดยเป็นชื่อของโรคผมร่วงที่เกิดจากกรรมพันธุ์ โรคนี้จะทำให้ตัวรับฮอร์โมนในรากผมทำงานได้ดีขึ้นซึ่งมันจะส่งผลให้ผมร่วงมากกว่าผู้ที่มีระดับฮอร์โมน DHT เท่ากัน โดยจะทำให้เกิดเป็นหัวล้านตรงกลางนั่นเอง

หัวล้านตรงกลางในผู้หญิง

ผู้หญิง หัวล้านตรงกลาง

อาการหัวล้านตรงกลางของเพศหญิงเรียกว่า Female Pattern Baldness โดยเป็นอาการที่ผู้หญิงผมร่วงจนผมบางทั้งศีรษะ ซึ่งทำให้ผู้หญิง หัวล้านตรงกลางได้ เพราะ Female Pattern Baldness ผมบริเวณตรงกลางศีรษะจะร่วงก่อนซึ่งทำให้ผมบางทั่วศีรษะจนถึงบริเวณหนึ่ง ผู้หญิงจะเกิดหัวล้านที่บริเวณกลางหัวก่อน ถ้าไม่เข้ารับการรักษาหัวล้านจะขยายวงกว้างมากขึ้นทำให้ผมบางกลางหัว หรือ หัวล้านไข่ดาวได้

สัญญาณเตือนหัวล้านตรงกลาง

เมื่อไหร่ที่ควรเริ่มพบแพทย์

หัวล้านตรงกลางในเพศชายและเพศหญิง สามารถสังเกตเห็นได้ หากรู้สึกว่าผมร่วงตรงกลางหัวมากกว่าปกติ ผมบางเห็นหนังหัว ผมร่วงไม่งอกขึ้นใหม่  หรือผมงอกใหม่แต่เส้นเล็กและบางกว่าเดิมตรงที่กลางศีรษะ นี่ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนของอาการผมบางกลางหัว หากรู้ตัวเองแล้ว เราแนะนำว่าควรไปเข้าพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาให้ถูกต้องก่อนที่จะสายเกินไป

วิธีรักษาหัวล้านตรงกลาง

หัวล้านตรงกลาง รักษา

1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

1. หัวล้านตรงกลาง รักษาได้โดยรับประทานโปรตีน ซึ่งถือเป็นอาหารบำรุงผมช่วยในการสร้างเส้นผมได้
2. การงดอาหารที่มีไขมันสูงช่วยรักษาหัวล้านตรงกลางได้
3.ไม่เครียดและนอนพักผ่อนให้เพียงพอช่วยลดการเกิดผมบางกลางหัวได้เช่นกัน

2. การรักษาด้วยการใช้ยาแก้ผมร่วง

หัวล้านไข่ดาวสามารถรักษาด้วยยาแก้ผมร่วงได้ โดยมียาแก้ผมร่วง 2 ชนิดที่ใช้กันในปัจจุบัน ได้แก่ ไฟแนสเตอรายด์ (Finasteride) และยาไมนอกซิดิวล์ (Minoxidil)

3. การรักษาแบบทางเลือก

1. การทำ PRP ผม
จะใช้เกล็ดเลือดที่อุดมไปด้วย Growth Factor และสารอาหารที่มีประโยชน์ฉีดเข้าไปที่บริเวณหนังศีรษะ ซึ่งจะทำให้ผมสามารถกลับมาฟื้นฟูและแข็งแรงได้อีกครั้ง

2. Regenera Activa
Rigennera Activa หรือการฉีดสเต็มเซลล์ผม ช่วยรักษาอาการหัวล้านตรงกลางได้โดยฉีดสเต็มเซลล์ที่ถูกปั่นแยกรากผมให้เป็นเซลล์โดยใช้ใบมีดเล็ก จากนั้นฉีดไปที่หนังศีรษะ

4. การทำเลเซอร์ปลูกผม

1. Fotona Laser
คือการใช้เลเซอร์พลังงานต่ำสองตัวยิง เพื่อกระตุ้นการทำงานของรากผมและเซลล์ต่างๆบนหนังศีรษะ เพื่อทำให้รากผมทำงานได้ดีขึ้น

2. LLLT
คือเลเซอร์คลื่นแสงความถี่ต่ำ (Low Level Laser Light) ซึ่งจะช่วยรักษาหัวล้านตรงกลางโดยฉายเลเซอร์ไปยังหนังศีรษะ โดยช่วยให้เซลล์ต่างๆทำงานได้ดีขึ้นและเลือดไหลเสียนดีขึ้น

5. การปลูกผมถาวร ปลูกผมกลางหัว

1. การปลูกผม FUT
คือการตัดหนังศีรษะบางส่วนเพื่อนำรากผมออกมา แล้วนำไปตัดแยกเป็นกราฟท์ (Graft) จากนั้นค่อยนำรากผมนี้ไปปลูกที่หัวล้านตรงกลาง

2. การปลูกผม FUE
แพทย์จะใช้เครื่องเจาะรากผมไฟฟ้าทำการเจาะเอารากผมออกมา ซึ่งจะทำให้รอยแผลจากการรักษามีขนาดเล็กอย่างมากและมองเห็นจากภายนอกได้ยาก

วิธีป้องกันหัวล้านตรงกลาง

1. วิธีแรกในการป้องกันหัวล้านตรงกลาง คือการสังเกตสภาพผมของตัวเอง
2. หากรู้สึกว่าผมร่วงมากกว่าเดิม ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าเป็นผมบางกลางหัวหรือไม่
3. หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนและสารเคมีกับเส้นผม รวมถึงไม่ควรมัดผมแน่นเกินไปจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการหัวล้านไข่ดาวได้

ข้อสรุป

การปลูกผมนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาเรื่องหัวล้านตรงกลางได้ แต่ก็ควรทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะอาจเกิดความเสี่ยงหลายอย่างในขณะที่ทำ เช่น เสี่ยงที่ทิศทางของเส้นผมไม่สวยงาม เสี่ยงผมปลูกไม่ขึ้น และเสี่ยงติดเชื้อหรือโรคแทรกซ้อนอื่นๆที่อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

ดังนั้นควรปลูกผมเพื่อแก้ไขปัญหาผมบางกลางหัวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านเส้นผมและหนังศีรษะโดยเฉพาะ เพื่อที่จะสามารถรักษาโรคหัวล้านไข่ดาวได้อย่างตรงจุด


3


สำหรับว่าที่คุณแม่ที่วางแผนอยากจะมีลูกน้อยคอยอยู่เคียงข้างกาย ก็คงจะเคยได้ยินถึงฮอร์โมน hCG กันมาไม่มากก็น้อย แล้วทราบหรือไม่ว่าฮอร์โมน hCG มีความเกี่ยวข้องและมีความสำคัญต่อการตั้งครรภ์ รวมถึงสภาพครรภ์อย่างไรบ้าง ในบทความนี้จะมีข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กลับสำคัญมาก ๆ สำหรับผู้ที่กำลังจะเตรียมเป็นคุณแม่

ฮอร์โมน hCG คืออะไร

Human Chorionic Gonadotropin หรือที่เรียกว่า hCG คือ ฮอร์โมนที่ผลิตมาจากเซลล์ของรกหรือเรียกว่าฮอร์โมนตั้งครรภ์ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วฮอร์โมนตัวนี้จะมีเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์เท่านั้น เนื่องจากฮอร์โมน hCH จะประกอบด้วย เซลล์รกของทารก นับว่าเป็นเซลล์ที่สำคัญสำหรับฮอร์โมน hCG โดยจะพบในช่วงหลังที่อสุจิมีการปฏิสนธิกับรังไข่ประมาณ 1 สัปดาห์ และระดับฮอร์โมน hCG นั้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็น 2 เท่า ทุก 3 วัน และเพิ่มมากที่สุดในช่วง 8-11 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ หลังผ่านช่วงนั้นฮอร์โมนจะเพิ่มลดลงและค่อย ๆ คงที่

ฮอร์โมน hCG สร้างจากอะไร

เนื่องจากฮอร์โมน hCG คือ ฮอร์โมนคนท้อง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปฏิสนธิสำเร็จก่อน เมื่อร่างกายเกิดการปฏิสนธิระหว่างอสุจิกับรังไข่ และเคลื่อนย้ายไปฝังตัวที่ผนังโพรงมดลูกแล้ว ร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมน hCG ขึ้นมา ซึ่งฮอร์โมน hCG สร้างจากรก โดยจะมีหน้าที่ช่วยตัวอ่อนให้สามารถฝังตัวที่ผนังโพรงมดลูกได้ดีมากยิ่งขึ้น และยังเป็นฮอร์โมนที่คอยกระตุ้นรังไข่ให้สร้างฮอร์โมนอื่น ๆ ที่สำคัญต่อการตั้งครรภ์ เช่น ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน และ ฮอร์โมนเอสโตรเจน

ฮอร์โมน hCG มีประโยชน์กับการตั้งครรภ์อย่างไร



หลังจากอสุจิทำการปฏิสนธิกับรังไข่ประมาณ 12-14 วัน ก็จะเกิดฮอร์โมน hCG ขึ้น ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้

  • ช่วยทำให้ตัวอ่อนสามารถฝังตัวที่ผนังโพรงมดลูกได้ดีมากขึ้น
  • ช่วยกระตุ้นรังไข่ให้ผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน และฮอร์โมนแอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีผลต่อการตั้งครรภ์
  • สามารถนำมาใช้ในการตรวจตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากฮอร์โมน hCG เป็นฮอร์โมนที่เกิดขึ้นจากรก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ตั้งครรภ์ล้วนมี สามารถตรวจสอบได้ว่าร่างกายมีฮอร์โมนตัวนี้หรือไม่ได้โดยการตรวจผ่านปัสสาวะหลังจากผ่านการปฏิสนธิแล้ว 12-14 วัน
  • สามารถเช็คความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับการตั้งครรภ์ได้โดยวัดปริมาณของฮอร์โมน ซึ่ง ฮอร์โมน hCG อาการจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับร่างกายว่ามีระดับฮอร์โมนชนิดนี้เท่าไหร่

การตรวจค่าฮอร์โมน hCG คืออะไร
การตรวจฮอร์โมนตั้งครรภ์ หรือ hCG pregnancy test คือ การนำฮอร์โมน  hCG มาตรวจวัดเชิงคุณภาพและปริมาณ ดังนี้

1.การตรวจวัดเชิงคุณภาพ เป็นการตรวจเพื่อตรวจสอบว่ากำลังตั้งครรภ์หรือไม่ หลังจากอสุจิและรังไข่ผ่านการปฏิสนธิ 11 วันขึ้นไป โดยระดับปริมาณของฮอร์โมน hCG จะเป็นตัวชี้บ่งบอกถึงผลการตั้งครรภ์ รวมถึงอายุครรภ์อย่างคร่าว ๆ ได้

2.การตรวจวัดเชิงปริมาณ เป็นการตรวจวัดระดับฮอร์โมน hCG ทางเลือด เพื่อวัดว่าระดับฮอร์โมนอยู่ในระดับที่สมดุลหรือไม่ โดยจะสามารถวัดผลการตั้งครรภ์ รวมถึงอายุครรภ์อย่างคร่าว ๆ ได้ และยังสามารถตรวจสอบความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างตั้งครรภ์ได้อีกด้วย

วิธีตรวจค่า hCG มีอะไรบ้าง



การตรวจครรภ์ด้วยการตรวจค่า hCG มีอยู่หลัก ๆ 2 ประเภท คือ การตรวจด้วยเลือด และ การตรวจด้วยปัสสาวะ

การตรวจเลือด
การตรวจเลือด เป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถใช้ตรวจค่า hCG เพื่อตรวจผลการตั้งครรภ์ได้อย่างแม่นยำ โดยจะทำการเก็บเลือดมาตรวจในห้องปฏิบัติการประมาณ 1-2 ชั่วโมงจึงจะทราบผล นอกจากนี้ระดับของฮอร์โมน hCG ในเลือดสามารถนำมาตรวจหาความบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นกับทารกในครรภ์ได้อีกด้วย

การตรวจปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะใช้ตรวจค่า hCG ได้ ซึ่งหลาย ๆ คนมักจะเห็นเครื่องมือตรวจในลักษณะของ ที่ตรวจครรภ์ นั่นเอง โดยที่ตรวจครรภ์จะแสดงผลต่าง ๆ เช่น

-ขึ้น 2 ขีดที่ขีด C และขีด T = ผลบวก หมายความว่ามีโอกาสตั้งครรภ์
-ขึ้น 1 ขีดที่ขีด C อย่างเดียว = ผลลบ หมายความว่าไม่ตั้งครรภ์
-ในกรณีที่ตรวจครรภ์ไม่ขึ้นขีดใด ๆ เลย หมายความว่าที่ตรวจครรภ์หมดอายุ เสีย หรือเกิดข้อผิดพลาดขึ้นในขั้นตอนการเก็บปัสสาวะ จำเป็นต้องตรวจใหม่อีกครั้ง

หมายเหตุ การตรวจปัสสาวะ เป็นการตรวจผลการตั้งครรภ์ได้อย่างคร่าว ๆ เท่านั้น ในบางครั้งอาจจะเกิดผลผิดพลาดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นในกรณีที่ต้องการทราบผลการตั้งครรภ์อย่างแม่นยำ จึงควรใช้ทางเลือกอื่นในการตรวจแทน

ระดับค่า hCG ของหญิงตั้งครรภ์
ระดับฮอร์โมน hCG ในร่างกายนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 2 เท่า ทุก 3 วัน และจะเพิ่มมากที่สุดในช่วง 8-11 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ โดยในแต่ละสัปดาห์ของการตั้งครรภ์จะมีระดับค่า hCG ในร่างกาย ดังนี้

  • สัปดาห์ที่ 0-2 : 0-5 mIU/ml
  • สัปดาห์ที่ 3 : 6-50 mIU/ml
  • สัปดาห์ที่ 4 : 10-750 mIU/ml
  • สัปดาห์ที่ 5 : 200-7,100 mIU/ml
  • สัปดาห์ที่ 6 : 160-32,000 mIU/ml
  • สัปดาห์ที่ 7 : 37,000-160,000 mIU/ml
  • สัปดาห์ที่ 8-9 : 32,000-230,000 mIU/ml
  • สัปดาห์ที่ 10-11  : 47,000-290,000 mIU/ml
  • สัปดาห์ที่ 12-13  : 28,000-210,000 mIU/ml
  • สัปดาห์ที่ 14-16  : 9,000-71,000 mIU/ml
  • สัปดาห์ที่ 16-29  : 1,400-50,000 mIU/ml (ไตรมาสที่ 2)
  • สัปดาห์ที่ 29-41  : 940-50,000 mIU/ml (ไตรมาสที่ 3)

และหลังจากตั้งครรภ์ 16 สัปดาห์ ค่า hCG จะค่อย ๆ ลดลงจงคงที่ในช่วงสัปดาห์ที่ 22 หรือช่วงไตรมาสที่ 2
ระดับค่า hCG ไม่สมดุลจะส่งผลเสียอย่างไรบ้าง

โดยทั่วไปแล้ว หลังจากที่ตั้งครรภ์ได้ 4 สัปดาห์ ร่างกายจะมีค่าฮอร์โมน hCG ราว 500-6000 U/ml ซึ่งในกรณีที่ร่างกายมีระดับค่า hCG ไม่สมดุล จะส่งผลต่อการตั้งครรภ์ ดังนี้

ค่า hCG ต่ำผิดปกติ หรือ เพิ่มขึ้นช้ากว่าปกติ นั้นมีความเสี่ยงต่อการแท้ง การตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือ ไข่ฝ่อ ได้
ค่า hCG สูงผิดปกติ ในบางครั้งอาจจะเป็นเพราะตั้งครรภ์ลูกแฝด แต่ก็มีความเสี่ยงที่ครรภ์จะเติบโตอย่างผิดปกติหรือการตั้งครรภ์ที่ไม่สมบูรณ์ได้

ดังนั้นหากร่างกายมีระดับค่า hCG ไม่สมดุล มีมากหรือน้อยกว่าปกติจึงควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและเข้ารับการรักษา

ปัจจัยที่ทำให้ค่า hCG ไม่สมดุล



ปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพทางด้านร่างกาย หรือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์ล้วนส่งผลทำให้ค่า hCG เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้

  • น้ำหนัก โดยเมื่อผู้ที่กำลังตั้งครรภ์เป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัวเยอะ หรือ มีภาวะโรคเบาหวาน ก็จะส่งผลทำให้ค่า hCG ต่ำกว่าบุคคลทั่วไป
  • การตั้งครรภ์ลูกแฝด จะทำให้ร่างกายมีปริมาณฮอร์โมน hCG สูงกว่าการตั้งครรภ์ลูกคนเดียว
  • โดยปกติผู้ที่กำลังตั้งครรภ์จะมีระดับ uE3 (Unconjugated estriol) สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในกรณีที่ระดับ uE3 ต่ำกว่าปกติ กล่าวคือจะทำให้ร่างการผลิตฮอร์โมน hCG มากกว่าปกติ ซึ่งเป็นเหตุทำให้ทารกมีความเสี่ยงที่จะเป็นดาวน์ซินโดรมได้

คำถามที่พบบ่อย

ค่า hCG ของคนปกติทั่วไปอยู่ที่เท่าไหร่?
โดยปกติแล้ว ในร่างกายคนทั่วไปรวมถึงผู้หญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์จะไม่มีฮอร์โมน hCG อยู่เลย เนื่องจากฮอร์โมน hCG เป็นฮอร์โมนที่เกิดจากเซลล์รกของทารก โดยสามารถตรวจพบได้ในปัสสาวะหลังจากเกิดการปฏิสนธิ 12-14 วัน ระดับฮอร์โมนจะมีค่าเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก 3 วัน และจะขึ้นสูงสุดในช่วงสัปดาห์ที่ 8-11 ของการตั้งครรภ์ แต่ในกรณีที่ไม่ได้มีการตั้งครรภ์ ร่างกายจะไม่มีค่าฮอร์โมน hCG อยู่เลยทำให้ไม่สามารถวัดค่าฮอร์โมน hCG ได้

ระดับฮอร์โมน hCG เท่าไหร่ถึงจะท้อง?
อย่างที่กล่าวไว้เบื้องต้นว่าฮอร์โมน hCG จะถูกผลิตขึ้นมาหลังจากเกิดการปฏิสนธิประมาณ 12-14 วัน ซึ่งระดับฮอร์โมนนั้นจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก ๆ 3 วัน และจะขึ้นสูงสุดในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์สัปดาห์ที่ 8-11 และระดับจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นลดลง และคงที่ตลอดช่วงการตั้งครรภ์ หากกล่าวในเชิงทางการแพทย์ เมื่อฮอร์โมน hCG อยู่ในระดับมากกว่า 25 mlU/mL จะถือว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่

ข้อสรุป

hCG คือ ฮอร์โมนที่มีเฉพาะผู้ที่กำลังตั้งครรภ์เนื่องจากมีการผลิตจากรก จึงนับว่าเป็นฮอร์โมนที่สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ ซึ่งการตรวจค่า hCG ในร่างกายจะมีทั้งการตรวจด้วยปัสสาวะ และการตรวจด้วยเลือด โดยแต่ละวิธีก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนั้นสำหรับผู้ที่ต้องการตรวจผลการตั้งครรภ์ควรเลือกวิธีตามความเหมาะสมกับตนเองเพื่อให้เกิดความสบายใจในระหว่างการตรวจ

4
คํานวณค่า BMI

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า BMI หรือ คำนวณค่า BMI คือ การคํานวณดัชนีมวลกาย เป็นการประเมินสัดส่วนของร่างกายของมนุษย์ได้รับการยอมรับในระดับสากลโดยทุกสถาบันการรักษา ความงาม หรือฟิตเนส และสถาบันอื่น ๆ สามารถคำนวณได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป

โดยการชั่งน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม และวัดส่วนสูงเป็นเซนติเมตร แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าคือการคำนวณค่า BMI ต้องทำอย่างไรบ้าง วิธีคํานวณ BMI ทำอย่างไร แล้วเราจะนำค่า BMI นี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ คํานวณดัชนีมวลกายผู้ชายกับคํานวณ BMI ผู้หญิงต่างกันอย่างไรบ้าง เราได้สรุปรวมรวบมาให้คุณแล้ว

ค่าดัชนีมวลกาย (BMI)

คำนวณค่า BMI (Body Mass Index) คือ ค่าข้อมูลดัชนีทางคณิตศาตร์ เป็นการคํานวณมวลร่างกาย เพื่อวัดความสมดุลของน้ำหนักตัว มาตรฐานในการประเมินภาวะอ้วนหรือผอมในผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป

สามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ค่า BMI สามารถบ่งบอกได้ถึงอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ อีกทั้งตรวจสอบภาวะไขมันและความอ้วน สุขภาพที่ดีคือควรอยู่ในเกณฑ์ปกติ

สูตรคำนวณค่า BMI

สูตรคำนวณค่า BMI หาค่าดัชนีมวลกาย =  น้ำหนักตัว [กิโลกรัม] ÷ ส่วนสูง [เมตร] ยกกำลังสอง
ตัวอย่างเช่น ผู้หญิง น้ำหนัก 50 กิโลกรัม , ส่วนสูง 160 เซนติเมตร
BMI =  50 (1.60*1.60)
BMI =  502.56
BMI =  19.5

เปรียบเทียบค่า BMI

คํานวณดัชนีมวลกาย

ค่าที่ได้จากการคํานวณ BMI สูตร หรือ เครื่องคํานวณ BMI ไม่ใช่ออกมาเพียงเป็นแค่ตัวเลขที่บ่งบอกแค่ว่าอ้วนหรือผอมเพียงเท่านั้น แต่ยังสามารถบ่งบอกได้ถึงโรคต่างๆที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ด้วย

หากคุณได้ใช้สูตรคํานวณ BMI แล้วพบว่ามีค่าสูงเกิน30.0 ขึ้นไป คุณอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคตับ นิ่วในถุงน้ำดี โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น

เมื่อคุณคำนวณค่า BMIตามสูตรข้างต้น ได้ผลลัพธ์ออกมาแล้ว ให้นำตัวเลขนี้ไปเปรียบเทียบเกณฑ์ BMI ดังนี้

ค่า BMI น้อยกว่า 18.5 อยู่ในเกณฑ์ ผอมเกินไป
การที่คุณมีน้ำหนักน้อยเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี คุณอาจได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียง่ายด้วย คุณควรรับประทานอาหารให้เพิ่มขึ้น อีกทั้งควรการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อสามารถช่วยเพิ่มค่า BMI ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ค่า BMI 18.6 – 24 อยู่ในเกณฑ์ น้ำหนักปกติ
ค่า BMI 18.6 – 24 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ห่างไกลจากโรคที่เกิดจากความอ้วน และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคน้อยที่สุด แต่ถึงแม้ว่าคุณจะอยู่ในเกณฑ์นี้ คุณก็ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี

ค่า BMI 25.0 - 29.9 อยู่ในเกณฑ์ อ้วน
คุณอยู่ในเกเกณฑ์ที่ถือว่าอ้วน มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร หลีกเหลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ของมัน ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน
 
เลือกรับประทานอาหารที่เน้นสุขภาพให้มากขึ้น ลดการทานของอาหารจุบจิบในยามท้องว่าง แล้วดื่มน้ำอย่างต่ำ 8 แก้วต่อวัน พักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกาย และติดตามผล BMI ตลอดในช่วงควบคุมน้ำหนัก

ค่า BMI มากกว่า 30.0 ขึ้นไป อยู่ในเกณฑ์ อ้วนมาก
หากคุณมีค่า BMI มากกว่า 30.0 คุณเริ่มมีความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน จัดอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างอันตราย คุณจำเป็นต้องปรับพฤติกรรมการทานอาหาร หลีกเลี่ยงหรือลดการรับประทานอาหารไขมันหรือน้ำตาลสูง

เริ่มออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายอย่างน้อย 150 – 300 นาที ต่อ สัปดาห์ ด้วยการเดิน วิ่ง เต้นแอโรบิก ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ

ข้อจำกัดของค่า BMI

การคำนวณค่า BMI แม้ว่าสูตรที่ใช้จะได้มาจากความสัมพันธ์เกี่ยวกับปริมาณไขมันในมวลร่างกาย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดทางด้านเพศ อายุ รวมถึงปริมาณกล้ามเนื้อของบุคคล ทำให้ผลการคำนวณค่า BMI มีผลที่แตกต่างออกไป ดังต่อไปนี้

1. คนที่อายุมากกว่ามีแนวโน้มที่จะมีปริมาณไขมันในร่างกายมากกว่าคนที่อายุน้อยกว่า
2. ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีปริมาณไขมันในร่างกายมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงที่เร่งสารอาหารให้เป็นไขมันได้ง่ายกว่าผู้ชาย
3. นักกีฬาที่ฝึกฝนมาอย่างดี จะมีดัชนีมวลกายสูงเนื่องจากมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่า จึงส่งผลให้น้ำหนักตัวที่นั้นมาจากมวลกล้ามเนื้อ ไม่ใช่ไขมัน

ความเสี่ยงเมื่อมีค่า BMI สูงเกินไป

คํานวณดัชนีมวลกาย

หากคุณได้ทำการคำนวณค่า BMI แล้วพบว่าตัวเองอยู่ในเกณฑ์ที่ค่า BMIสูง คุณมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดโรคต่างๆได้ มีดังนี้
  • โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคไขมันในเลือดสูง
  • โรคเบาหวาน
  • โรคไขมันเกาะตับ
  • โรคหัวใจ
  • โรคมะเร็งต่างๆ
  • โรคหยุดหายใจขณะหลับ

วิธีควบคุมค่า BMI ให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม

1. การเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ

วิธีคํานวณ BMI

ผู้ที่มีค่า BMI สูงกว่าปกติ ส่วนใหญ่นั้นมีผลมาจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารบุฟเฟ่ต์ อาหารที่มีน้ำตาลสูง ของมัน ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน

เมื่อร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินไป จึงทำให้ค่า BMI สูงตามไปด้วย ควรปรับเปลี่ยนมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและทานผักผลไม้ให้มากขึ้นด้วย

2. พักผ่อนให้เพียงพอ

สูตรคํานวณ BMI

การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพดีทั้งฟื้นฟู ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เนื่องจากช่วงเวลาพักผ่อน อวัยวะภายในจะทำการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ที่ได้รับภาระการทำกิจกรรมหนัก ๆ มาในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังช่วยในแง่ของการเผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นขณะนอนหลับ

3. การออกกำลังกาย

คํานวณ BMI สูตร

แน่นอนว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายของคุณแข็งแรง รูปร่างสมส่วน กระชับ และเปลี่ยนปริมาณไขมันบางส่วนให้เป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรง

นอกจากได้ร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้สภาพจิตใจเบิกบานแจ่มใส ลดความเครียด ชะลออายุอวัยวะภายในให้มีการใช้งานที่ยืนยาว และสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายป้องกันจากโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วนอีกด้วย

4. ปากกาลดน้ำหนัก

คํานวณ BMI ผู้หญิง

หากคุณอยากได้ตัวช่วยในการลดน้ำหนัก เราขอแนะนำ ปากกาลดน้ำหนัก ซึ่งปากกาลดน้ำหนัก คือ แท่งปากกาที่ภายในบรรจุยาสำหรับฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง (สามารถฉีดยาเองที่บ้านได้)

ซึ่งเป็นตัวยา Liraglutide (ลิรากลูไทด์) โดยสารชนิดนี้เป็นเปปไทด์โปรตีนที่ออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งมีอยู่แล้วในร่างกายที่จะหลั่งออกมาจากลำไส้หลังรับประทานอาหารเสร็จ

นอกจากนี้ปากกาลดน้ำหนักยังมีคุณสมบัติยับยั้งความอยากอาหารที่ส่งไปทางสมอง มีความหิวที่น้อยลง พร้อมลดการบีบตัวของกระเพาะอาหาร

แต่การรักษาด้วยปากกาลดน้ำหนักจำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายควบคู่กันไป หากคุณสนใจปากกาลดน้ำหนักสามารถสอบถามได้ที่สมิติเวช

ข้อสรุป

การคำนวณค่า BMI ทำให้คุณได้ประเมินลักษณะร่างกายตัวเองว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ได้รับการยอมรับในระดับสากล หากคุณพบว่าอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ หรือมากกว่าเกณฑ์ ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

ไม่ว่าจะเป็น การรับประทานอาหารให้เป็นไปตามปริมาณที่เหมาะสม ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้มากขึ้น การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อคุณจะได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคแทรกซ้อนตามมานั้นเอง




5
ปลูกผมที่ไหนดี

ปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน เป็นสิ่งที่ใครหลายๆคนกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะทั้งชายหรือหญิง สาเหตุหลักของศีรษะล้าน ส่วนใหญ่นั้นเกิดมาจากพันธุ์กรรม และหลายคนลองมาหลายวิธี ทั้งการใช้ยาลดระดับฮอร์โมน แชมพู เซรั่มต่างๆ แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่เป็นที่พึงพอใจหนักทุกวันนี้ได้มีนวัตกรรมปลูกผมเข้ามาในประเทศไทยแล้ว ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและเห็นผลได้ไว หากคุนกำลังสนใจอยากปลูกผม แต่ไม่รู้ว่าปลูกผมที่ไหนดี, รักษาผมบางที่ไหนดี, ปลูกผมถาวรที่ไหนดี, คลินิกปลูกผมที่ไหนดี, ปลูกผมที่ไหนดีราคาไม่แพง บทความนี้ได้รวบรวมวิธีการเลือกคลินิกปลูกผมที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจปลูกผมถาวร

การปลูกผม คืออะไร

การปลูกผม คืออะไร

ปลูกผม คือ การศัลยกรรมโดยนำรากผมปลูกลงบนหนังศีรษะมาปลูกในบริเวณที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง หนังศีรษะล้าน ศีรษะเถิก ผมที่นำมาปลูกก็จะเป็นผมของตัวผู้เข้ารับการรักษา

โดยส่วนใหญ่มักจะเลือกเส้นผมจากหนังศีรษะบริเวณด้านข้างและด้านหลังแล้วย้ายมาปลูกบริเวณด้านหน้าหรือบริเวณขวัญ ผมใหม่ที่ขึ้นมาจะอยู่ในตำแหน่งที่นำไปปลูกอย่างถาวร การปลูกผมถาวรเปรียบเทียบง่ายๆ ก็คล้ายกับการปลูกต้นไม้นั้นเอง

ปลูกผมที่ไหนดี

ปลูกผมที่ไหนดี1

การเลือกคลินิกปลูกผมมีความสำคัญ ไม่ใช่ว่าปลูกผมที่ไหนก็ได้ เพราะคลินิกปลูกผมที่ดีจะทำให้การรักษา การผ่าตัด เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ออกมาตามต้องการ หากเลือกคลินิกผิด อาจส่งผลเสีย จนอาจจะต้องผ่าตัดแก้เจ็บตัวหลายครั้ง แถมเสียเงินเพิ่มและเสียเวลาอีกด้วย

ถ้าคุณสนใจกำลังจะปลูกผมถาวร จะต้องทำภายในสถานพยาบาล คลินิก ที่มีความน่าเชื่อถือ มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการรับประกันหลังทำ มีความสะอาด แพทย์มีความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์ปลูกผม สามารถตอบคำถามทุกข้อสงสัยที่คุณต้องการได้ และใช้ยาชาเฉพาะที่ในขณะที่ทำการปลูกผมเท่านั้น

วิธีการเลือกคลินิกปลูกผมที่ไหนดี

วิธีการเลือกคลินิกปลูกผมที่ไหนดี

วิธีการเลือกคลินิกปลูกผมที่ไหนดี เรามีคำแนะนำดังนี้

1. เลือกจากเทคนิคการปลูกผม
  • ปลูกผม FUT
เป็นการตัดเอาหนังศีรษะด้านหลังซึ่งมีรากผมที่แข็งแรงและแทบไม่มีการหลุดร่วงของเส้นผม นำมาปลูกในบริเวณที่มีปัญหา ผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน จะใช้หัวเจาะที่เล็กมากๆ ขนาด 0.7-1.0 มม. เจาะครอบเส้นผมแล้วดึงเส้นผมออกมา ผ่าตัดเอาผมส่วนนึงออกมาแล้วเย็บแผลให้ติดกัน

การปลูกผม FUT เป็นการผ่าตัดที่ไม่ต้องใช้ยาสลบ ใช้แต่การฉีดยาชาเฉพาะบริเวณที่ทำการปลูกย้ายเซลล์รากผม การปลูกย้ายเซลล์รากผมแบบผ่าตัดนั้นเห็นผลชัดเจนและมีความปลอดภัยสูงเพราะดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านการปลูกผมโดยตรงเท่านั้น

ข้อดีของการการปลูกผม FUT คือ โอกาสติดเชื้อน้อยมาก มีเพียงแค่ 1 % ผ่าตัดเพียงครั้งเดียวแต่สามารถทำกราฟได้ครั้งละมากๆ มากถึง 3000-4000 กราฟขึ้นไป ไว้ผมยาวปิดแผลได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเป็นบริเวณกว้าง เช่น ผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน ส่วนข้อเสียของการการปลูกผม FUT คือ จะเกิดแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นแนวยาวซึ่งมาจากการผ่าตัด

  • ปลูกผม FUE
เป็นการปลูกผมถาวรแบบย้ายเซลล์ผมโดยไม่ต้องตัดหนังศีรษะออกมาเป็นชิ้นยาว โดยวิธีนี้จะใช้หัวเจาะขนาดเล็ก 0.8-1.2 มม. เจาะลงไปรอบๆ กอผม ไปปลูกถ่ายเซลล์รากผมลงไปในบริเวณที่ผมร่วง ผมบาง ทำให้พื้นที่นั้นมีเซลล์รากผมที่ถาวร

เมื่อผมงอกแล้วจะไม่มีการหลุดร่วงซ้ำอีก อีกทั้งแผลจากการผ่าตัดมีขนาดเล็กมาก ทำให้ผมใหม่ที่งอกออกมาดูเป็นธรรมชาติ

ข้อดีของการการปลูกผม FUE แผลหายได้เร็ว รอยแผลจะเป็นจุดเล็กๆ ขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร ซึ่งเล็กน้อยมากแทบมองไม่เห็น สามารถใช้เส้นขนเคราหรือขนหน้าอกมาปลูกผมได้

เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผมบางกลางศีรษะ หัวล้าน หัวเถิก หรือหน้าผากกว้าง ส่วนข้อเสียของการปลูก FUE คือ การปลูกในแต่ละครั้งไม่เกิน 2,000 กราฟ

2. ความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์ปลูกผม

คลินิกปลูกผมที่ได้มาตรฐาน ควรเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง รวมทั้งทีมแพทย์มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้อง

โดยคุณสามารถนำชื่อและนามสกุลของคุณหมอหรือแพทย์ท่านนั้น ไปเช็คหาข้อมูลจากเว็บไซต์แพทยสภา เพราะการปลูกผมต้องทำโดยตรงกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

3.คลินิกปลูกผมที่ได้มาตรฐาน

ใช่ว่าปลูกผมจะทำที่ไหนก็ได้ คลินิกปลูกผมต้องได้รับมาตรฐานด้วย คุณสามารถดูได้จากการบอกต่อ รีวิว รูปภาพก่อนรักษาและหลังรักษา

4. การเดินทางสะดวกสบาย

การเดินทางสะดวกสบาย ระยะทางต้องไม่ไกลมาก เพราะคุณอาจต้องไปพบแพทย์ตามนัดก่อนทำและหลังทำ หรือหากเกิดปัญหาหลังทำ จะได้เดินทางกลับไปปรึกษาแพทย์ได้ทันเวลานั้นเอง

5. มีการบริการที่ดี

เครื่องมือ อุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานสากลและผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประเทศไทย มีการบริการทำความสะอาดและการฆ่าเชื้อ อีกทั้งบริการให้คำปรึกษา ตอบทุกข้อสงสัยที่คุณต้องการได้ด้วย

6. ราคาปลูกผมที่เหมาะสม

นอกจากการปลูกผมจะต้องได้ผลตามที่คาดหวังไว้แล้ว ราคาสำหรับการปลูกผมนั้นต้องอยู่ในความสมเหตุสมผล และการปลูกผมของคุณจะต้องปลอดภัยเช่นกัน เพื่อให้ได้คุ้มเสีย ไม่มีผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ตามมาหลังทำ

7. มีผลงานการปลูกผมที่น่าเชื่อถือ

ความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์ปลูกผมนอกจากต้องมีใบรับรับรองอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ แต่ต้องมีรางวัลหรือผลงานต่างๆที่ได้รับ แสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือ และการทำศัลยกรรมปลูกผมนั้น ไม่ได้รักษาโดยหมอหรือแพทย์เพียงเท่านั้น ทีมงานก็ต้องมีประสบการณ์ด้วยเช่นกัน

8. การรับประกันหลังผ่าตัดปลูกผม

คลินิกหรือโรงพยาบาลปลูกผมที่คุณเลือกใช้บริการ แพทย์จะต้องมีการรับประกันหลังผ่าตัดโดยคุณสามารถปรึกษาให้ชัดเจนก่อนเข้ารับการผ่าตัด เช่น หากผ่านไป 1-2 เดือน หรือตามระยะที่แพทย์แนะนำแล้ว การปลูกผมของคุณยังไม่สำเร็จตามที่คุณคาดหวัง  คลินิกหรือโรงพยาบาลนั้นจะมีความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง

ปลูกผมถาวรที่ Absolute Hair Clinic

สำหรับใครที่อยากปลูกผมถาวร แต่ยังไม่รู้ว่าจะปลูกผมที่ไหนดีสุด หรือหากคุณเป็นผู้หญิงแล้วไม่รู้ว่าจะปลูกผมผู้หญิงที่ไหนดี คลินิก Absolute hair clinic คลินิกปลูกผมถาวร ปลูกผม FUE ปลูกผมDHI ปลูกผมFUT รักษาผมร่วง ผมบาง สามารถเข้ามาสอบถามกับเราได้

เรายินดีให้คำปรึกษา โดยอาจารย์แพทย์ ที่ได้รับ American board, FISHRS, Platinum Follicle Award สามารถออกแบบแนวผมที่จะปลูก ให้ออกมาเป็นธรรมชาติ อุปกรณ์ที่ใช้นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับระดับโลก หมอประสบการณ์สูง คุณมั่นใจได้ว่าทำแล้ว ไม่ต้องแก้ทีหลัง

อีกทั้งเราผ่านการรับรองประสิทธิภาพด้วยผลการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์ใน วารสารทางการแพทย์ระดับโลก นอกจากนี้ยังมีบริการปลูกคิ้ว ปลูกหนวด เตรา, เกล็ดเลือดเข้มข้น PRP, Fotona laser, Rigenera Activa


6
ไขข้อสงสัย ต้อกระจกอันตรายไหม ควรรักษาอย่างไร

หากคุณสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของโรคต้อกระจกว่า ‘ต้อกระจกอันตรายไหม’ มีปัจจัยโรคแทรกซ้อนอะไรที่มาพร้อมกับโรคต้อกระจกบ้าง ผ่าตัดต้อกระจกอันตรายไหม ต้อกระจก ตาบอดไหม ผ่าตัดต้อกระจก จะมองเห็นไหม โดยในบทความนี้ เราจะมาอธิบายให้พวกคุณทราบถึงความอันตรายของโรคต้อกระจก พร้อมทั้งบอกถึงอาการและสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจกแต่ละประเภท รวมถึงแนะนำวิธีรักษาต้อกระจกโดยไม่ต้องผ่าตัด

ต้อกระจกอันตรายไหม?
ต้อกระจกอันตรายไหม อาจเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยกัน โดยโรคต้อกระจก (Cataract) นั้น เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกวัย ซึ่งสาเหตุของการเกิดอาจมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น ยีนส์กรรมพันธ์ หรือหรือการติดเชื้อช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ เป็นต้น

โรคต้อกระจกเกิดจากความเสื่อมสภาพของโปรตีนจนทำให้เกิดการตกตะกอนด้วยเหตุนี้จะส่งผลให้ตัวเลนต์ตาเกิดความขุ่นมัว สภาพพื้นผิวแข็งกร้านขึ้น โดยอาการเหล่านี้จะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจน มองเห็นภาพเบลอ ไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งที่จดจ้องได้

หากผู้ป่วยพบเจอกับโรคต้อกระจกตั้งแต่ระยะเริ่มต้น สามารถรักษาได้โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ หากโรคต้อกระจกอยู่ในระยะตัวต้อสุก ตัวเลนส์จะขาวโปนซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถมองเห็นได้ โดยถ้าเป็นเช่นนี้ควรรัดพบแพทย์เพื่อผ่าตัดให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเสี่ยงการเกิดตาบอด และภาวะแทรกซ้อนจากโรคต้อกระจกได้ในภายหลัง

ภาวะแทรกซ้อนของโรคต้อกระจก
ภาวะแทรกซ้อนของโรคต้อกระจก

ต้อกระจกอันตรายไหม สามารถพิจารณาได้จาก 3 ภาวะแทรกซ้อนของโรคต้อกระจก ได้แก่
1. ต้อลม (Pinguecula) คืออาการของเยื่อบุตาขาวเกิดการตกตะกอนโดยจะเป็นก้อนแผ่นสีขาวปนเหลืองขนาดใหญ่อยู่ใกล้กระจกตา ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ที่หัวตาและหางตา ต้อลมนั้น จะทำให้ดวงตาของผู้ป่วยมีอาการระคายเคือง แสบตา ตาแดง และน้ำตาไหลเหมือนมีเศษผงเข้าตา
2. ต้อเนื้อ (Pterygium) สามารถเกิดได้จากการเป็นต้อลม ซึ่งจะทำให้ก้อนบุขาวบังรูม่านตาส่งผลให้ผู้ป่วยเห็นเป็นภาพเบลอ สายตามัว
3. ต้อหิน (Glaucoma) เกิดจากการทำงานเส้นประสาทของดวงตาเสื่อมสภาพ เพราะความดันในเลือดของดวงตาอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้ความดันกดเส้นประสาทตาฉีกขาดได้

สัญญาณเตือนอาการต้อกระจกขั้นรุนแรง
สัญญาณเตือนอาการต้อกระจกขั้นรุนแรง

หากต้องการทราบว่าต้อกระจกอันตรายไหม ดูได้จาก 4 สัญญาณเตือนอาการต้อกระจกขั้นรุนแรง มีอยู่ด้วยกัน 4 ระยะดังนี้
1. ระยะเริ่มแรก (The Early Stage)
เมื่อใช้สายตาจดจ้องภาพตรงหน้าจะไม่สามารถโฟกัสสายตาได้เหมือนช่วงสายตาปกติ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะสายตามัว มองเห็นภาพซ้อนเล็กน้อย และมองแสงสว่างก็จะทำให้เห็นภาพสะท้อนได้ส่งผลให้ตารู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ โดยในระยะนี้สามารถแก้อาการต้อกระจกได้โดยเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน และรักษาต้อกระจกโดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดในระยะแรก

2. ระยะก่อนต้อแก่ (The Immature Stage)
ระยะนี้ส่วนประกอบของแก้วตาจะขุ่นเป็นก้อนขาวบาง ๆ อยู่ตรงกลางของดวงตา โดยในระยะนี้ไม่ควรใช้สายตามองภาพด้วยตาเปล่า ควรสวมแว่นตาเพื่อช่วยโฟกัสการมองเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น

3. ระยะต้อแก่ (The Mature Stage)
ตรงบริเวณแก้วตาจะมีความขุ่นมากขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งก้อนขาวที่เกิดจากโปรตีนที่ตกตะกอน ได้แพร่กระจายไปที่ส่วนประกอบต่าง ๆ ของอวัยวะตาทั้งหมด โดยมันสามารถส่งผลข้างเคียงต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ สำหรับในระยะนี้แพทย์จะนัดผ่าตัดเพื่อไม่ให้ต้อแพร่กระจายไปที่ขั้วประสาทตา

4. ระยะต้อสุกเกิน (The Hypermature Stage)
แก้วตาจะขุ่นมัวมากขึ้น ต้อจะมีความหนาและกดทับเส้นเส้นใยประสาทส่วนตา หากต้อไปกดทับเส้นใยไปเป็นจำนวนมากส่งผลให้ภาพส่งไปยังสมองได้น้อยลง โดยระยะนี้ต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วนที่สุด ถ้าปล่อยไว้อาจทำให้ตัวต้อเกิดอาการแทรกซ้อนอย่าง อาการต้อหินซึ่งมีผลทำให้เส้นใยตรงขั้วประสาทตาถูกกดทับและสูญเสียการมองเห็นได้

วิธีรักษาโรคต้อกระจก
การรักษาต้อกระจกโดยไม่ต้องผ่าตัด
ต้อกระจกอันตรายไหม สำหรับผู้ป่วยต้อกระจกในระยะแรก อาจยังไม่อันตรายมากนักและอาจไม่จำเป็นต้องผ่าตัด โดยใช้การเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สายตาตามคำแนะนำของแพทย์ และสวมใส่แว่นตาเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่เกิดต้อกระจกโดยเฉพาะ

การรักษาต้อกระจกด้วยการผ่าตัด
สำหรับในกรณีของผู้ป่วยซึ่งอยู่ในระยะต้อแก่และต้อสุก ทางแพทย์จะแนะนำวิธีการผ่าตัดต้อกระจก โดยมี 2 แบบดังนี้
1. การวิธีสลายต้อกระจกด้วยคลื่นอัลตร้าซาวด์ (Phacoemulsification)
การรักษาด้วยวิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยโรคต้อกระจกระยะต้อแก่ ในช่วงแรกของการผ่าตัด แพทย์จะจัดเตรียมยาหยอดยาชาเข้าสู่ดวงตา หลังจากนั้นจะผ่าตัดเพื่อเปิดแผลเลนส์ตาด้วยขนาดความกว้าง 3 มล. เพื่อนำเครื่องมือรักษาสลายตะกอนขุ่นของตัวเลนส์ตาทั้งหมด

เมื่อใช้เครื่องมือสลายต้อเรียบร้อยแล้ว จะเหลือเปลือกหลังบริเวณเลนส์ตา แพทย์จะเตรียมเลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens) ใส่เข้าไปแทนที่ หลังผ่าตัดแผลจะมีขนาดเล็ก ซึ่งตาของผู้ป่วยจะฟื้นฟูได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเย็บแผล ถ้าตาผ่านช่วงการรักษาเรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยจะมองเห็นได้อย่างปกติ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ

2. วิธีผ่าตัดต้อกระจกแบบเปิดแผลกว้าง (Extracapsular Cataract Extraction)
การรักษาด้วยวิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคต้อกระจกระยะต้อสุก ซึ่งบริเวณเลนต์ตาจะมีความแข็งอย่างมากจนผ่าตัดด้วยการสลายตัวของคลื่นอัลตราซาวด์ไม่ได้

การผ่าตัดต้อกระจกร่วมกับการฟื้นฟูค่าสายตา
แพทย์จะเตรียมการตรวจสายตาให้กับผู้ป่วยโรคต้อกระจกที่ต้องการรักษาค่าสายตาในทีเดียว โดยทุกกระบวนการผ่าตัดต้อกระจกจะใช้เลนส์แก้วตาเทียมใส่ไว้ที่เปลือกหลังเลนส์ตาอยู่เสมอ โดยคุณสมบัติของเลนส์ตาเทียมสามารถใช้รักษา สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง เพื่อให้กลับมามองเห็นคมชัดเหมือนเดิม

ตามปกติ เลนส์แก้วตาเทียมจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด โดยแบ่งเป็น
  • เลนส์แก้วตาเทียม ชนิด Monofocal Intraocular Lens (Monofocal IOL)ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคต้อที่อยากรักษาค่าสายตายาว
  • เลนส์แก้วตาเทียม ชนิด Toric Intraocular Lens (Toric IOL) ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคต้อที่อยากรักษาค่าสายตาเอียง
หลังการผ่าตัดแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการใช้นิ้วมือสัมผัสกับดวงตาโดยตรง และไปยังสถานที่ที่มีลมพัด แสงแดดจ้า และไม่ควรให้น้ำเข้าตา 1 อาทิตย์ ถ้าผู้ป่วยต้องการล้างหน้า ควรใช้ผ้าชุบน้ำแทนการล้างหน้าโดยการใช้น้ำ และควรรับประทานยาพร้อมทั้งมาตามนัดแพทย์ ถ้าในระหว่างการรักษาตัวมีอาการผิดปกติทางดวงตาบริเวณที่ผ่าตัด ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

ต้อกระจกไม่ผ่าได้ไหม
ต้อกระจกอันตรายไหม? ต้อกระจกไม่ผ่าได้ไหม? สามารถตอบเลยว่าได้ค่ะ แต่จะเหมาะกับผู้ป่วยโรคต้อกระจกในระยะเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งการมองเห็นเลือนราง มองเห็นภาพพร่ามัวเป็นบางครั้ง แต่ยังไม่มีโรคแทรกซ้อนของโรคต้อกระจก หากผู้ป่วยเป็นโรคต้อกระจกซึ่งอยู่ในระยะต้อแก่จนไปถึงต้อสุก ควรต้องผ่าตัดให้เร็วที่สุด เพราะถ้าปล่อยให้ต้อกระจายไปยังบริเวณตาทั้งหมดอาจทำลายสายใยขั้วประสาทตา ซึ่งส่งผลให้ตาบอดในที่สุด

การผ่าตัดต้อกระจก
ต้อกระจกอันตรายไหม? สามารถผ่าตัดต้อกระจกได้ไหม? สำหรับการผ่าตัดต้อกระจก (Cataract Surgery) จะไม่ทำอันตรายแก่ดวงตา เพราะช่วงการผ่าตัด ทีมแพทย์จะไม่ใช้ยาสลบ อีกทั้งระยะเวลาในการผ่าตัดต้อกระจกใช้เวลาแค่ 25-30 นาที ซึ่งเมื่อผ่าตัดเสร็จแล้วผู้ป่วยพักฟื้นในเวลาไม่นาน จากนั้นสามารถกลับบ้านได้

ข้อสรุป
ต้อกระจกอันตรายไหม? สามารถตอบได้ว่าช่วงเริ่มต้นของโรคต้อกระจก ผู้ป่วยสามารถปรึกษาแพทย์และรับประทานยา พร้อมทั้งเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สายตา ถ้าผู้ป่วยเป็นต้อกระจกระยะต้อแข็งหรือต้อสุก ควรทำการนัดผ่าตีดให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคต้อกระจกซึ่งสามารถทำลายการมองเห็นได้




7
เลเซอร์ปลูกผม

เลเซอร์ปลูกผม

หลายคนอาจเข้าใจว่า การเลเซอร์ใช้ได้เพียงแค่การ กำจัดขนเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ได้มีการพัฒนา เลเซอร์มีพลังงานต่ำ สามารถใช้กระตุ้นการทำงานในระดับเซลล์ได้ และสามารถกระตุ้นรากผมให้ขึ้นใหม่ได้
เราเรียกว่า เลเซอร์ปลูกผม เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง นวัตกรรมที่ทางการแพทย์สามารถช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม รักษาได้อย่างปลอดภัย และเห็นผลแน่นอน

เลเซอร์ปลูกผม (Laser Hair Growth)
เลเซอร์ปลูกผมคือ การใช้เลเซอร์ที่มีระดับพลังงานต่ำ ในการกระตุ้นเซลล์บริเวณหนังศีรษะ และกระตุ้นการทำงานของรากผมให้ทำงานได้ดีขึ้น เพราะการใช้เลเซอร์กระตุ้นรากผม จะช่วยสร้างการเพิ่มจำนวนของหลอดเลือด เลือดหมุนเวียน และนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงที่รากผม ทำให้รากผมแข็งแรงขึ้น

เลเซอร์ปลูกผม ได้ผลจริงไหม
การรับรองทางวิทยาศาสตร์มามากมาย ที่นำเลเซอร์มาใช้ในการรักษาโรคต่างๆได้ โดยเลเซอร์ที่มีพลังงานต่ำจะไม่ทำให้ผิวหนังเสียหาย แต่คลื่นเลเซอร์จะไปกระตุ้นผิวหนังที่ชั้นหนังแท้
ทำให้เกิดความร้อนเซลล์กระตุ้นการทำงานได้ดีขึ้น การนำเลเซอร์มาใช้กระตุ้นกับรากผมที่อยู่ในชั้นหนังแท้ ก็สามารถทำให้รากผมสร้างเส้นผมได้ดีขึ้น ลดอาการผมร่วง ช่วยทำให้ผมหนาขึ้นได้จริง
สำหรับบางคนการเลเซอร์รักษาผมร่วง กระตุ้นเส้นผมนั้นผลการรักษาก็เห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันที แต่ก็มีผู้เข้ารับการรักษาส่วนน้อยที่เห็นผลการรักษาไม่ชัดเจน หากสนใจการรักษาด้วยเลเซอร์ คุณควรปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผลและหนังศีรษะ

เลเซอร์ปลูกผม มีกี่ประเภท
เลเซอร์ปลูกผมที่ใช้การรักษามี 2 ประเภท ดังนี้
1. Fotona Laser หรือโฟโตน่าเลเซอร์
เป็นเลเซอร์ผมบาง ที่มีคลื่นพลังงานต่ำที่จะรักษาด้วยการยิงเข้าที่หนังศีรษะโดยตรง จะใช้ในการรักษาผมร่วง ซึ่งมีคลื่น 2 ตัว คือคลื่น ได้แก่ Er:YAG 2940 nm และ Nd:YAG 1064 nm

2.Low Level Laser Therapy (LLLT) หรือเลเซอร์ LLLT
เลเซอร์ผมร่วง ใช้ในการรักษาบริเวณหนังศีรษะรอบๆเป็นบริเวณกว้าง คลื่นแสงความถี่ต่ำที่มีความยาวคลื่นในช่วง 650-680 นาโนเมตร

1. โฟโตน่าเลเซอร์ (Fotona Laser)

โฟโตน่าเลเซอร์ (Fotona Laser)

โฟโตน่าเลเซอร์ คือ เลเซอร์กระตุ้นรากผม การนำโฟโตน่าเลเซอร์มาใช้เป็นเลเซอร์ปลูกผม หรือเลเซอร์ผมบาง เลเซอร์จะมีหลักการทำงาน คือ ตัวเลเซอร์จะทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวหนัง เซลล์รากผม และช่วยให้เกิดการสร้างเส้นเลือดที่มากขึ้น ทั้งมีประสิทธิภาพสูงกว่า เห็นผลได้เร็วกว่า
โฟโตน่าเลเซอร์ถูกยิงเข้าที่หนังศีรษะโดยตรงในจุดที่ผมบาง การทำโฟโตน่าเลเซอร์ ต่างจากการทำเลเซอร์ LLLT คือโฟโตน่าเลเซอร์เป็นการรักษาผมร่วงผมบางที่แพทย์สามารถควบคุมปริมาณเลเซอร์ที่ผิวหนังได้รับได้ดีกว่า เนื่องจากขั้นตอนการรักษาจะทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด

ขั้นตอนการทำ Fotona Laser
1. สระผมก่อนเข้ารับการรักษา
2. แพทย์จะให้ใส่ผ้าปิดตาขณะทำ เนื่องจากแสงจากเครื่องกระจายออกค่อนข้างมาก
3. แพทย์แนะนำให้ทำครั้งละ 15 – 30 นาที 2 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 4 – 6 เดือน
4. ทำเสร็จแล้วไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
5. ควรมาตามนัดติดตามผลของแพทย์ทุกครั้ง

เลเซอร์ความเข้มข้นต่ำ LLLT

2.เลเซอร์ความเข้มข้นต่ำ LLLT

เลเซอร์ความเข้มข้นต่ำ LLLT เลเซอร์จากคลื่นแสงความถี่ต่ำ มีความยาวคลื่นในช่วง 650 – 680 นาโนเมตร เลเซอร์ปลูกผมแบบนี้นิยมนำมาใช้เพื่อลดการอักเสบ รักษาอาการอักเสบเรื้อรัง
และทำให้แผลบนศีรษะจากการรักษาผมบางด้วยการปลูกผม หลักการทำงานของเลเซอร์ LLLT คือเมื่อฉายเลเซอร์เข้าไปที่ศีรษะ เซลล์ต่างๆจะรับพลังงานจากเลเซอร์ ทำให้รากผมสร้างเส้นผมได้ดี
ซึ่งเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างผมเองก็ได้รับการกระตุ้นไปด้วย จนทำให้เส้นผมที่งอกขึ้นมาใหม่แข็งแรง ข้อดีของการทำเลเซอร์ LLLT คือ ไม่จำเป็นต้องทำที่คลินิกเพื่อให้แพทย์ดำเนินการรักษา
แต่สามารถซื้อเครื่องขนาดพกพา หรือหมวกปลูกผมมาทำเองได้ด้วยตัวเอง ส่วนข้อเสียของการทำเลเซอร์ LLLT หากผู้ใช้ไม่มีวินัยก็ค่อนข้างใช้เวลานาน และเห็นผลได้ช้า

ประเภทของเลเซอร์ปลูกผม LLLT
เลเซอร์ LLLT มี 2 ประเภท ได้แก่
1. ประเภทที่สามารถพกพาได้
มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งหมวกแก๊ป หมวกกันน็อค แบบหวี หรือแบบก้อน ยิ่งมีหัวไดโอดที่ใช้ปล่อยเลเซอร์มาก ก็จะยิ่งมีราคาสูงตาม
2. ประเภทเครื่องที่มีขนาดใหญ่
จะมีลักษณะเป็นโคม แผง หรือเป็นโดม ที่มีหัวไดโอดจำนวนมาก ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ ไม่สามารถพกพาได้ ส่วนใหญ่จะมีให้บริการตามคลินิกเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
หากคุณลองใช้แบบพกพาแล้วไม่ค่อยเห็นผล แนะนำให้มาทำแบบเครื่องขนาดใหญ่ที่คลินิก เพราะสามารถให้พลังงานกับเซลล์ได้มากกว่า

ขั้นตอนการทำเลเซอร์ปลูกผม LLLT
1. สระผมก่อนเข้ารับการรักษา
2. แพทย์จะให้ใส่ผ้าปิดตาขณะทำ เนื่องจากแสงจากเครื่องกระจายออกค่อนข้างมาก
3. แพทย์แนะนำให้ทำครั้งละ 15 – 30 นาที 2 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 4 – 6 เดือน
4. ทำเสร็จแล้วไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
5. ควรมาตามนัดติดตามผลของแพทย์ทุกครั้ง

ใครที่เหมาะกับการทำเลเซอร์ปลูกผม
ใครบ้างที่สามารถเข้ารับการรักษา ทำเลเซอร์ปลูกผมได้ มีดังนี้
1. ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดปลูกผม
2. ผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงจากการทำ PRP หรือฉีดสเต็มเซลล์รากผม
3. ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผมร่วง ผมบาง ในระยะเริ่มต้นถึงระยะปานกลาง
4. ผู้ที่ไม่ต้องการรักษาผมร่วงผมบางด้วยการใช้ยาแก้ผมร่วง
5. ผู้ที่มีภาวะที่ทำให้ผมร่วงมากกว่าปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่รากผมฝ่อ

ข้อดีของการทำเลเซอร์ปลูกผม
การทำเลเซอร์ปลูกผม ผู้เข้ารับการรักษาจะรู้สึกเจ็บหน่อยมาก เจ็บเพียงแค่ขั้นตอนการใช้ยาชาเท่านั้น หลังทำก็ไม่ต้องพักฟื้น แค่ป้องกันหนังศีรษะจากแสงแดด ไม่เสี่ยงติดเชื้อเหมือนการปลูกผม ไม่ต้องรับความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงจากยาแก้ผมร่วง
ไม่ทิ้งรอยแผลผ่าตัด ใช้เวลาทำไม่นาน ผลข้างเคียงหลังทำน้อยมาก ผลลัพธ์ที่ได้คือ ได้รากผมแข็งแรงขึ้น วิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาผมร่วง ผมบางจากต้นเหตุ

ข้อจำกัดของการทำเลเซอร์ปลูกผม
ข้อจำกัดของการทำเลเซอร์ปลูกผมก็มีอยู่บ้าง เช่น บางคนอาจทำแล้วยังไม่เห็นผล ชัดเจนทันที ถ้าอยากเห็นผลแน่นอน ต้องทำร่วมกับการรักษาแบบอื่นด้วย
การรักษาช้ากว่าการปลูกผม ต้องทำติดต่อกันเป็นเวลานาน ราคาค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ผลลัพธ์ไม่อยู่ถาวร ถ้าทำแล้วต้องทำต่อไปเรื่อยๆ และหากเลิกทำแล้วไม่ได้ใช้วิธีอื่นรักษาต่อไป อาการผมร่วงผมบางจะแย่ลง

การทำเลเซอร์ปลูกผมควบคู่กับการรักษาแบบอื่น

การทำเลเซอร์ปลูกผมควบคู่กับการรักษาแบบอื่น

● การปลูกผม ทั้งปลูกผม FUT และปลูกผม FUE สามารถทำโฟโตน่าเลเซอร์ได้
● การใช้ยาแก้ผมร่วง ควบคู่ไปกับการทำเลเซอร์ปลูกผม จะสามารถช่วยเข้าไปช่วยกระตุ้นให้เซลล์ทำงานได้ดี
● การฉีด PRP ผม หรือ ฉีดสเต็มเซลล์ผม Rigenera Activa

เลเซอร์ปลูกผม กระตุ้นรากผม ราคาเท่าไหร่
ค่าใช้จ่ายการทำโฟโตน่าเลเซอร์

ค่าใช้จ่ายเลเซอร์ปลูกผมแบบโฟโตน่าเลเซอร์ โดยแพทย์จะกำหนดเลเซอร์ปลูกผม ราคาจะแบ่งตามจำนวนโดยมีแบบ 5 ครั้ง และ 10 ครั้ง
● การทำโฟโตน่าเลเซอร์ 5 ครั้ง ราคา 30,000 บาท
● การทำโฟโตน่าเลเซอร์ 10 ครั้ง ราคา 50,000 บาท

ค่าใช้จ่ายการทำเลเซอร์ความเข้มข้นต่ำ LLLT
● หมวกเลเซอร์ LLLT ยี่ห้อ iGrow Laser หัวไดโอด 31 หัว ราคา 40,000 บาท
● หมวกเลเซอร์ LLLT ยี่ห้อ HairMax หัวไดโอด 272 หัว ราคา 69,900 บาท

คำถามที่พบบ่อย
เลเซอร์ปลูกผม อันตรายไหม
ทั้งโฟโตน่าเลเซอร์และเลเซอร์ LLLT ต่างก็เป็นเลเซอร์จากคลื่นพลังงานต่ำ จึงไม่เป็นอันตรายใดๆ และไม่มีผลต่อการทำงานของสมองใช้แค่บนชั้นผิวหนังและกระโหลกศีรษะเข้าไปที่สมองได้เลย ทำให้เลเซอร์มีผลถึงแค่ผิวหนังในชั้นหนังแท้
ผลข้างเคียงจากการทำเลเซอร์มีเพียงอาการแสบผิวหนังเล็กน้อย อาการคัน ระคายเคือง หนังศีรษะแห้งและไวต่อแสงเท่านั้น สามารถหายไปได้เอง โดยการใช้น้ำมันธรรมชาติหมักผมและหนังศีรษะก่อนสระผมได้

เลเซอร์ปลูกผม ให้ผลลัพธ์ถาวรหรือไม่
การทำโฟโตน่าเลเซอร์ และเลเซอร์ LLLT  เลเซอร์ปลูกผมทั้ง 2 แบบ ไม่สามารถเห็นผลการรักษาได้อย่างถาวร แต่ช่วยบรรเทาให้ผมกลับมาแข็งแรง หนาขึ้นได้บ้าง อาจจะต้องทำไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง แต่หากไม่เข้ารับการรรักษาต่อ ผมจะกลับมาร่วงเรื่อยๆ จนทำให้ผมบางได้อีกครั้ง

ข้อสรุป
หากคุณรู้ตัวว่ากำลังผมร่วงจนผิดปกติ อยากปลูกผมด้วยเลเซอร์ สามารถซื้อเครื่องเลเซอร์มาทำเองได้ด้วยตัวเอง หรือหากอยากได้ผลลัพธ์ที่เห็นผลไว และแน่นอน
สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อรับคำแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะกับผู้เข้ารับการรักษาแต่ละคน เพราะกรณีบางคนที่ผมร่วง ผมบางก็ไม่สามารถรักษาด้วยเลเซอร์ปลูกผมได้เพียงอย่างเดียว อาจจะต้องใช้วิธีการรักษาอื่นๆมาช่วยในการรักษา ควบคู่กันด้วย






8
ผู้หญิงบางคนอาจมีภาวะผู้มีบุตรยาก จึงต้องมาพึ่งการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากด้วยเทคนิคพิเศษ ICSI ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว แต่บางครั้งการทำเด็กหลอดแก้วโดยวิธีปกติไม่ได้ผล ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนา เทคโนโลยีขึ้นมาใหม่ คือการทำ ICSI

หลายคนมีคำถามสงสัยว่า การทำอิ๊กซี่คืออะไร ขั้นตอนการทํามีอะไรบ้าง ราคาเท่าไหร่ ICSI กับ IVF แตกต่างกันอย่างไร ทํา ICSI ที่ไหนดี รวมไปถึงสำหรับใครที่ทำหมันแล้วสามารถทำ ICSI ได้ไหม บทความนี้เราก็มีมาแนะนำเช่นกัน 

 
              

การทำอิ๊กซี่ ICSI คืออะไร                        

การทำอิ๊กซี่ ICSI คือ  การรักษาภาวะผู้มีบุตรยาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว (In-vitro Fertilization: IVF) แต่บางกรณีของการทำเด็กหลอดแก้วก็ไม่ได้ประสบผลสำเร็จ

การทํา ICSI คือ แพทย์จะทำการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุด จำนวน 1 ตัว ฉีดเข้าไปในเซลล์ไข่ 1 ใบ หลังจากนั้นจะนำไข่ที่ผสมแล้วไปเลี้ยงไว้ในห้องปฏิบัติการ 3-5 วัน

เมื่อเจริญเป็นตัวอ่อนจะถูกนำกลับไปไว้ในโพรงมดลูกเพื่อเจริญเติบโตในครรภ์ของฝ่ายหญิง เมื่อไข่และอสุจิปฎิสนธิกันก็จะเกิดเป็นตัวอ่อนขึ้นมานั้นเอง
   

ICSI ต่างกับ IVF อย่างไร                                

หลายคนสงสัยว่า การทำ IVF กับ ICSI แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเจริญพันธุ์ที่มีขั้นตอนใกล้เคียงกัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ การทำ ICSI หรือที่เรียกว่า อิ๊กซี่

อิ๊กซี่จะมีการเพิ่มขั้นตอนของการใช้เข็มฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่ เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ ส่วนการทำอิ๊กซี่ กับ IVF จะนำอสุจิจำนวนหนึ่งลงไปในจานที่มีไข่อยู่ และให้อสุจิเจาะไข่เพื่อปฏิสนธิเอง

            
ขั้นตอนการทำ ICSI

     
                    
ขั้นตอนการทําอิ๊กซี่ มีดังนี้ 
                  
1. ปรึกษาแพทย์ แนะนำการเตรียมตัวรักษาควรมาก่อนมีประจำเดือน    
2. เริ่มฉีดยากระตุ้นไข่ โดยแพทย์จะตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมน และทำอัลตราซาวด์ พร้อมกับฉีดฮอร์โมนกระตุ้นรังไข่ในวันที่ 2-3 ของประจำเดือน จะใช้เวลาในขั้นตอนนี้ประมาณ 10 วัน เพื่อดูการเจริณเติบโตของไข่                        
3. หลังจากมีการกระตุ้นไข่จนได้ขนาดแล้ว แพทย์จะทำการเจาะเก็บไข่จากรังฝ่ายหญิง ส่วนฝ่ายชายจะต้องเก็บอสุจิเพื่อนำมาคัดแยก เลือกเฉพาะอสุจิที่มีความสมบูรณ์ที่สุด เพื่อนำมาผสมกับไข่ในห้องปฎิบัติการ
4. เลี้ยงตัวอ่อน ในห้องปฏิบัติการจนเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนระยะ Blastocyst ที่แข็งแรง       
5. เมื่อได้ตัวอ่อนที่สมบูรณ์แพทย์จะพิจารณาเลือกตัวอ่อนร่วมกันกับคนไข้ และย้ายตัวอ่อนผ่านทางช่องคลอด
6. ตรวจการตั้งครรภ์แพทย์นัดทุก 3 วัน หลังจากย้ายตัวอ่อน และจะทราบผลตั้งครรภ์หลังจากย้ายตัวอ่อน 14 วัน    
                                                    

การทำอิ๊กซี่ เหมาะสำหรับใคร       
                 
เราได้รู้จักกับ การทําอิ๊กซี่คืออะไรกันไปแล้ว แล้วคุณสงสัยมั้ยว่า การทําอิ๊กซี่นั้นเหมาะกับใครบ้าง มีดังนี้

1. ผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป
2. ผู้หญิงมีความผิดปกติของท่อนำไข่ที่ตีบตัน
3. ผู้หญิงมีภาวะตกไข่ผิดปกติ
4. ผู้หญิงมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
5. ผู้หญิงที่มีพังผืดในอุ้งเชิงกรานมาก
6. ผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม
7. ผู้ชายมีเชื้ออสุจิมีจำนวนน้อย หรือคุณภาพไม่ค่อยดี
8. ภาวะมีบุตรยาก โดยหาสาเหตุไม่ได้
9. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิสนธิ   


การเตรียมตัวของพ่อแม่ก่อนทำ ICSI                          


การเตรียมตัวทำอิ๊กซี่สำหรับฝ่ายหญิง

1. ควรตรวจร่างกาย เพื่อใช้ประเมินในการรักษาควรตรวจวันที่ 2-3 ระหว่างมีประจำเดือน
2. ตรวจปริมาณฮอร์โมน และอัลตราซาวด์ ในช่วงวันแรกๆ ของการเป็นประจำเดือน เพื่อประเมินว่ารังไข่ยังมีประสิทธิภาพในการทำงานหรือไม่
3. ตรวจมดลูก การอัลตราซาวด์เพื่อตรวจดูโพรงมดลูก หรือการส่องกล้อง Hysteroscopy เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ และเลือกวิธีที่ดีที่สุดในการผสมเทียม
4. ไม่เครียดจนเกินไปทำจิตใจให้สบาย
5. พักผ่อนให้เพียงพอ
6. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ
7. ควรงดแอลกฮอร์ งดสูบบุหรี่เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนก่อนเข้ารับการรักษา
8. หากท่านใดมีโรคประจำตัวควรแจ้งแพทย์ก่อนรักษาทุกครั้ง รวมถึงนำตัวยามาให้แพทย์พิจารณา

การเตรียมตัวทำอิ๊กซี่สำหรับฝ่ายชาย

1. ควรงดหลั่งอสุจิ 5-7 วัน ก่อนมาพบแพทย์
2. ควรงดดื่มแอลกฮอร์
3. งดสูบบุหรี่เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนก่อนเข้ารับการรักษา
4. หมั่นออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
5. ไม่สวมใส่กางเกงชั้นในที่แน่นจนเกินไป
6. หลีกเลี่ยงการลงแช่อ่างน้ำอุ่น และการทำซาวน่า
7. ไม่เครียดจนเกินไป ทำจิตใจให้สบาย              


ข้อปฏิบัติในการดูแลตัวเองหลังทำ ICSI    

ข้อปฏิบัติในการดูแลตัวเองหลังทำ ICSI มีดังนี้   
   
1. หลังจากใส่ตัวอ่อนไปแล้วจะต้องนอนพักที่คลินิก 2 ชั่วโมง
2. สามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ
3. งดการออกกำลังกายหนัก
4. งดการยกของหนัก
5. งดการสวนล้างช่องคลอด
6. งดการรับประทานอาหาร ที่อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
7. หากมีไข้สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
8. ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์
9. ควรทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย ไม่เครียดเพราะมีผลต่อฮอร์โมน
10. หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง มีเลือดออก หรือมีตกขาวมากผิดปกติ ควรรีบมาพบแพทย์ทันที   


ค่าใช้จ่ายทํา ICSI ราคาเท่าไหร่                    

หากสนใจอยากทํา ICSI  แล้วทํา ICSI มีราคาเท่าไหร่บ้างนั้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่ราคาทําอิ๊กซี่จะอยู่ที่หลักแสน แต่ละที่ก็มีการใช้เทคนิคต่างกันออกไป แนะนำการทํา ICSI ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก Beyond IVF by Meko ทําอิ๊กซี่ราคา 246,000 บาท ที่นี้จะทําอิ๊กซี่ คือนำไข่ และอสุจิมาผสมกันด้วยกล้องแบบพิเศษ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสสำเร็จให้กับคนไข่โดยไม่ได้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม คู่สมรสที่ต้องการรักษาปัญหาการมีลูกยาก สามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ฟรี


ทํา ICSI ที่ไหนดี


สนใจอยากทำ อิ๊กซี่ แต่ยังไม่รู้เลือกสถานที่ทำ ICSI ที่ไหนดี ต้องดูจากอะไรบ้าง มีวิธีการเลือกดังนี้

1. เลือกสถานพยาบาลหรือคลินิก มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน สะอาด ปลอดภัย มีมาตรฐานของสถานที่ทำเด็กหลอดแก้ว
2. ด้านบุคลากร ทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูง ต้องดูประสบการณ์ของแพทย์ด้วยว่าแพทย์ท่านนี้ผ่านประสบการณ์มาแล้วกี่ปี ทำมามากน้อยแค่ไหน
3. ด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์การแพทย์ ต้องเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย มีห้องปฏิบัติการ(ห้อง Lab) ที่ความพร้อม
4. มีความสะดวกสบายในการเดินทาง เพราะการทำ ICSI จำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาในการทำ ค่อนข้างหลายขั้นตอน
5. ราคา ดูเหมาะสม และความน่าเชื่อถือของแพทย์ผู้ดูแลประกอบด้วย
6. คุณมีความสบายใจ แพทย์สามารถทำให้เชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญในทีมแพทย์ผู้ดูแลว่าจะสามารถทำให้ท่านประสบความสำเร็จได้                              


Q&A การทำอิ๊กซี่                    

ทํา ICSI ไม่สําเร็จ ไม่ติด เกิดจากอะไร

การทํา ICSI ไม่สําเร็จ หรือทํา ICSI ไม่ติดนั้น สาเหตุอาจเกิดจาก การได้ตัวอ่อนที่ไม่สมบูรณ์จากการเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการนั้น เมื่อนำมาเพาะเลี้ยงในอุณหภูมิที่ทำให้ตัวอ่อนพัฒนาการช้า หรือฝ่ายหญิงบางคน อาจมีร่างกายจะมีการขับสารบางอย่างที่รบกวนการสร้างผนังเซลล์ เมื่อนำไปฝังในโพรงมดลูกจึงทำตัวอ่อนไม่ฝังตัวนั้นเอง    

ทำ ICSI เลือกเพศ ทำลูกแฝดได้ไหม

โอกาสในการตั้งครรภ์แฝดคล้ายกับการทำเด็กหลอดแก้วปกติ คือ มีโอกาสประมาณ 30-35% และทํา ICSI เราไม่สามารถเลือกเพศที่จะเกิดขึ้นได้ สำหรับการเกิดฝาแฝด ก็อาจมีโอกาสประมาณ 5-10% และอาจเป็นแฝดสามขึ้นไป   

ทำหมันแล้วทำ ICSI ได้ไหม                     

ทำหมันแล้ว สามารถทำ ICSI ได้ เพราะการทำเด็กหลอดแก้ว หรือทำ ICSI เป็นวิธีการผสมเทียม และมีอัตราการสำเร็จสูง การเอาเซลล์สืบพันธุ์ออกมาผสมในห้องปฎิบัติการ ทำให้ได้ข้ามผ่านอุปสรรคส่วนท่อนำไข่ เห็นผลลัพธ์ได้อย่างแน่นอน       


ข้อสรุป

ในปัจจุบันนี้ การทำอิ๊กซี่ ICSI ได้รับความนิยมทั่วโลก และมีอัตราความสำเร็จได้มากกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่น ซึ่งส่วนใหญ่ราคาทํา ICSI ก็อยู่ราคาประมาณหลักแสน เพราะเป็นการใช้เทคโนโลยี เพื่อรักษาบางคนที่มีบุตรยาก อัตราการเกิดความสำเร็จของแต่ละคู่นั้นอาจแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่หลากหลายปัจจัย ทั้งสภาวะร่างกาย และความพร้อมของแต่ละบุคคล

นอกจากนี้การทำ ICSI เพื่อการมีบุตรแล้ว ความร่วมมือกันของสามีภรรยาในการให้กำลังใจ ดูแลกันและกัน ในระหว่างรับการรักษา ให้ความร่วมมือในขั้นตอนต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญอีกด้วย

9
ปัญหาผมร่วง ผมบาง หนังศีรษะล้าน เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ควรทำลายความมั่นใจทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย และปัญหาผมร่วงกรรมพันธุ์ที่อาจแก้ไขได้ยาก ทำให้หลายคนปล่อยปัญหานี้ทิ้งไว้ หรือเกิดความท้อแท้ที่จะรักษา แต่ในปัจจุบันมีการรักษาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดี นั่นก็คือ ศัลยกรรมปลูกผม หรือ การปลูกผม

ด้วยเทคนิคการปลูกถ่ายเส้นผม หรือย้ายเส้นผมของคนไข้เอง จากบริเวณที่มีรากผมที่แข็งแรงที่สุด และนำไปปลูกผมยังบริเวณที่ผมร่วง ผมบาง เป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง ภายใต้การดูแลทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหนังศีรษะและเส้นผม ในบทความนี้ เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักว่าการปลูกผมคืออะไร การปลูกผมมีกี่แบบ ปลูกผม ราคาเท่าไหร่ ปลูกผม ที่ไหนดี ปลูกผมดีไหม และปลูกผมขึ้นจริงไหม ให้ผลถาวรหรือเปล่า หาคำตอบได้เลย!



ศัลยกรรมปลูกผม คืออะไร

ศัลยกรรมปลูกผม หรือ การปลูกผม (Hair Transplant) คือ การนำรากผมของคนไข้เอง ไปปลูกผมบริเวณที่ต้องการ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง หนังศีรษะล้าน และหลังจากทำศัลยกรรมปลูกผมแล้ว เส้นผมก็จะอยู่บนหนังศีรษะได้ได้ตลอดไป โดยที่สามารถหลุดร่วงตามวงจรของเส้นผมตามธรรมชาติ

การทำรากผมมาปลูก จะใช้รากผมบริเวณกกหูหรือท้ายทอย ซึ่งเป็นเส้นผมที่มีความแข็งแรงที่สุดในร่างกายเรา ไปปลูกผมธรรมชาติบริเวณที่ต้องการ เช่น ปลูกผมหน้าผาก ด้านหน้า และปลูกผมกลางหัว โดยเส้นผมที่นำมายังมีคุณสมบัติพิเศษ คือ เป็นรากผมที่ไม่มีผลต่อฮอร์โมน DHT ซึ่งเป็นสาเหตุของผมร่วง ผมบาง หนังศีรษะล้านในผู้ชาย

ปลูกผมเจ็บไหม?

หลายคนกังวลว่า ปลูกผมเจ็บไหม ต้องพักฟื้นนานหรือเปล่า จึงทำให้มีความลังเลไม่น้อยในการตัดสินใจปลูกผม สำหรับการปลูกผมถาวรหรือศัลยกรรมปลูกผมไม่ใช่เป็นการเปิดแผลใหญ่ มีเพียงแผลเล็ก ๆ เท่านั้น หลังทำพักฟื้นไม่นาน และในระหว่างการปลูกผม แพทย์จะมีการใช้ยาชาเฉพาะที่รวมไปถึงยานอนหลับ คนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บใด ๆ จึงไม่ต้องกังวล และเมื่อหลังจากที่ปลูกผมเสร็จ คนไข้อาจรู้สึกเจ็บได้ แต่เป็นความเจ็บในระดับที่สามารถทนได้ รวมถึงแพทย์จะให้ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ หลังจากนั้นอาการปวดก็จะหายไปได้เองในเวลาไม่นาน

ปลูกผมขึ้นจริงไหม?

หลายคนสงสัยว่า ปลูกผมดีไหม? ปลูกผมขึ้นจริงไหม? สำหรับการปลูกผมธรรมชาติ หรือการปลูกผมถาวรให้ผลลัพธ์จริง โดยหลังจากปลูกผมเส้นผมจะอยู่กับคนไข้ได้ตลอดไป ซึ่งสามารถหลุดร่วงตามวงจรชีวิตของเส้นผมตามธรรมชาติ ทั้งนี้ ในช่วงแรกหลังปลูกผม อาจต้องรอเวลาสักประมาณ 3-4 เดือน เพื่อให้รากผมที่ปลูกผมปรับตัว แพทย์จึงแนะนำให้ดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำ แต่หลังจากพ้นระยะเวลานี้ไป เส้นผมที่ขึ้นใหม่ก็จะแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย รากผมแข็งแรง เป็นเส้นผมที่อยู่ได้อย่างถาวร


การปลูกผมมีกี่แบบ

ในการปลูกผมจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ การปลูกผม FUT และการปลูกผม FUE ซึ่งแต่ละวิธีก็มีขั้นตอนการนำรากผมออกมา ลักษณะเส้นผมที่นำไปปลูกผมถาวร รวมถึงวิธีการปลูกเส้นผม ที่มีความแตกต่างกันไป โดยมีรายละเอียดและขั้นตอนดังนี้


1. วิธีปลูกผม Strip FUT

ปลูกผม FUT (Follicular Unit Hair Transplant) เป็นการปลูกผมธรรมชาติที่มีการนำเส้นผมมาจากบริเวณท้ายทอย โดยการตัดหนังศีรษะที่มีรากผมอยู่ด้วย (หนังศีรษะบางส่วน) หลังจากนั้น นำหนังศีรษะที่ตัดออกมา ทำการแยกกอเส้นผมทีละกอออกจากกัน ภายใต้การใช้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูง ซึ่งวิธีปลูกผม FUT เป็นเทคนิคที่ทำให้ได้รากผมที่สมบูรณ์ ทำให้การปลูกผมมีประสิทธิภาพสูง ปลกผมแล้วติดง่าย ลดโอกาสปลูกผมแล้วไม่ขึ้น แต่อาจมีข้อด้อยตรงที่จะมีแผลเป็นขนาดยาวที่หนังศีรษะ

2. วิธีปลูกผม FUE

วิธีปลูกผมต่อมาคือ ปลูกผม FUE (Follicular Unit Extraction) ซึ่งเป็นการปลูกผมแบบไม่ผ่าตัดนำหนังศีรษะออกมา แต่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า (Motorized FUE Devices) ที่มีหัวเจาะขนาดเล็ก จากนั้น แพทย์จะทำการเจาะลงไปรอบกอผมบริเวณท้ายทอย โดยไม่มีเนื้อเยื่อติดออกมา แล้วนำรากผมมาปลูกถ่ายลงไปในตำแหน่งใหม่ทีละกราฟท์ โดยในการเจาะนำรากผมจะมีแผลขนาด 1 มิลลิเมตรเท่านั้น ไม่มีรอยแผลเป็น โดยอาจมีข้อเสียตรงที่ ผมบริเวณท้ายทอยที่นำมาปลูกจะบางลง เนื่องจากเหลือพื้นที่ที่ไม่มีเส้นผมใหม่งอกขึ้นมาทดแทน รวมถึงกอผมที่ได้อาจมีความบอบช้ำมากกว่า จึงทำให้เส้นผมบางกอที่ปลูกผมแล้วไม่ขึ้น


ข้อดี - ข้อจำกัดของการปลูกผม

การปลูกผมหรือการศัลยกรรมปลูกผม นับว่าเป็นวิธีที่ช่วยคืนความมั่นใจให้กับผู้ที่มีปัญหาผมหลุดร่วงง่าย รากผมไม่แข็งแรง ผมบาง หนังศีรษะล้านได้ และยังช่วยแก้ปัญหาหัวล้านกรรมพันธุ์ได้อีกด้วย โดยการปลูกผมมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ดังนั้น ก่อนเข้ารับการปลูกผมถาวร ควรมีการศึกษาข้อมูลประกอบการตัดสินใจปลูกผมอย่างถี่ถ้วน


ข้อดีของการปลูกผม

  • การปลูกผมเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม เนื่องจากเป็นวิธีทึ่คุ้มค่าราคา ทำครั้งเดียวคุ้มค่าในระยะยาว
  • ปลูกผมถาวรให้ผลลัพธ์ถาวร รากผมแข็งแรง ผมไม่ขาดหลุดร่วงง่าย
  • สามารถปลูกผมซ้ำได้ในอนาคต
  • ให้ผลลัพธ์ของปลูกผมธรรมชาติ โดยเป็นการปลูกผมถาวรทีละกราฟท์ ทำให้เส้นผมเรียงสวยเป็นธรรมชาติ
  • มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากแผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก
  • ไร้สิ่งแปลกปลอม เนื่องจากเป็นการปลูกถ่ายรากผมของคนไข้เอง
  • สามารถรักษาร่วมกับวิธีอื่น ๆ ได้ เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น เลเซอร์ LLLT, ฉีดสเต็มเซลล์ผม, ฉีด PRP ผม, Fotona Laser, ยาแก้ผมร่วง
  • ผู้เข้ารับการปลูกผมมีความมั่นใจมากขึ้น เส้นผมกลับมาดกหนาได้อีกครั้ง
  • สามารถปลูกผมแผลเป็นได้ เหมาะสำหรับกรณีที่ได้รับบาดเจ็บที่หนังศีรษะ จนเกิดแผลเป็นและเส้นผมไม่ขึ้นบริเวณแผลเป็น

ข้อจำกัดของการปลูกผม

  • ผู้เข้ารับการปลูกผมแบบ FUT จำเป็นต้องมีหนังศีรษะที่ยืดหยุ่น
  • เส้นผมบริเวณท้ายทอยและกกหูต้องมีความแข็งแรง ที่จะสามารถนำไปปลูกผมถาวรได้
  • ผู้เข้ารับการปลูกผมต้องมีเวลาพักฟื้นอย่างน้อย 1 วัน
  • เส้นผมบริเวณท้ายทอยและกกหูต้องมีปริมาณเพียงพอต่อการปลูกผม


การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดปลูกผม

เมื่อผู้เข้ารับการผ่าตัดปลูกผมได้เข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และตกลงถึงวิธีการปลูกผมถาวรแล้ว แพทย์จะแนะนำวิธีการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดปลูกผม ดังนั้น ผู้เข้ารับการปลูกผมควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการปลูกผม รวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นหลังทำการปลูกผม ทั้งนี้ก็เพื่อผลลัพธ์การปลูกผมที่ดีมีประสิทธิภาพสูงสุด

  • หากมีโรคประจำตัว, กำลังรับประทานยาประเภทไหนอยู่ หรือมีประวัติแพ้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน
  • งดรับประทานยาที่ส่งผลกระทบต่อการแข็งตัวของเลือด ที่อาจเป็นอันตรายต่อผ่าตัดปลูกผม เช่น พลาวิกซ์ (Plavix), แอสไพริน (Aspirin), วิตามินอี (Vitamin E), น้ำมันปลา (Fish oil), โสม, แปะก๊วย หรือสมุนไพรอื่นๆ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • งดการใช้ยาปลูกผมที่มีตัวยา Rogaine หรือ Minoxidil ก่อนการปลูกผมถาวร 1 สัปดาห์
  • หากเป็นโรคความดันสูง และกำลังใช้ยา Beta Blocker ต้องแจ้งแพทย์ที่ทำการรักษาประจำ เพื่อการพิจารณาเปลี่ยนยาก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงงดสูบบุหรี่ ทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด 48 ชั่วโมง
  • สามารถย้อมสีผมก่อนปลูกผมประมาณ 1-2 วัน
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
  • คืนก่อนและในเช้าวันที่เข้ารับการปลูกผม ควรสระผมด้วย Betadine scrub หรือ Hibitane scrub ที่แพทย์จ่ายให้
  • ในวันปลูกผมธรรมชาติให้สวมเสื้อที่ใส่และถอดได้ง่าย แนะนำให้สวมเสื้อผ้าที่มีกระดุมหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการสวมเสื้อทางศีรษะที่อาจไปโดนแผลผ่าตัดที่ศีรษะได้ ซึ่งอาจทำให้กราฟผมหลุด
  • งดดื่มชาและกาแฟในวันเข้ารับการปลูกผม
  • ควรให้เพื่อนหรือคนรู้จักมารับกลับบ้านหลังปลูกผมเสร็จ เนื่องจากฤทธิ์ของยานอนหลับ ที่อาจส่งผลให้มีอาการสะลืมสะลืออยู่ และไม่ควรขับรถกลับเอง

 
ขั้นตอนการปลูกผม


  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกำหนดตำแหน่งที่จะทำการปลูกผม
  • แพทย์ทำการโกนผมบริเวณที่จะนำรากผมออกมาใช้เพื่อปลูกผม หรืออาจเป็นวิธีปลูกผมไม่ต้องโกน (Non-shaven ​FUE) เพียงแค่ใช้วิธีตัดผมให้สั้นเฉพาะบริเวณที่จะนำออกมาปลูกผม
  • จากนั้น แพทย์จะให้ยานอนหลับและฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณที่จะนำกอผมออกมา
  • แพทย์นำกอผมออกมาด้วยวิธีปลูกผมที่เลือกใช้ (การปลูกผม FUT หรือการปลูกผม FUE)
    - ปลูกผม FUT แพทย์จะตัดหนังศีรษะบางส่วนที่มีรากผมติดอยู่ด้วยออกมา จากนั้นเย็บปิดแผลบริเวณที่นำหนังศีรษะออกมา และนำกอผมที่ได้มาแยกกราฟท์ ภายใต้การใช้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูง
    - ปลูกผม FUE แพทย์จะใช้เครื่องมือไฟฟ้าชนิดพิเศษ เพื่อทำการเจาะนำรากผมออกมา จากนั้นทำการแช่กราฟท์ผมลงในน้ำยาแช่กราฟท์เกรดทางการแพทย์ ซึ่งเป็นน้ำยาชนิดเดียวกับที่ใช้แช่อวัยวะสำหรับรอการปลูกถ่าย เพื่อทำการรักษาเซลล์รากผมไม่ให้ได้รับความเสียหายเมื่ออยู่นอกร่างกาย
  • เมื่อได้รากผมที่ต้องการนำมาใช้ปลูกผมถาวรแล้ว แพทย์จะทำการฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณที่ต้องการปลูกผม จากนั้นจะใช้อุปกรณ์พิเศษ (Implanter) ทำการปลูกผมทีละเส้นอย่างปราณีต และปลูกในทิศทางที่เหมาะสม เพื่อให้ผลลัพธ์ปลูกผมธรรมชาติ กลมกลืนไปกับเส้นผมบริเวณข้างเคียง


การดูแลตัวเองหลังปลูกผม
 
ในช่วงแรกหลังการปลูกผม จะมีภาวะปลูกผมแล้วผมร่วง (Shock Loss Period) ซึ่งเป็นอาการปกติ เนื่องจากอยู่ในระยะที่รากผมที่ทำการปลูกผมไปมีการปรับตัวอยู่ โดยถือว่าในช่วงแรก ๆ นี้ ผู้เข้ารับการปลูกผมธรรมชาติต้องมีการดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากหลังจากปลูกผม ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะต่าง ๆ ตามมา ทั้งกราฟผมหลุด ปลูกผมแล้วไม่ขึ้น ฉะนั้น ผู้เข้ารับการปลูกผมจึงต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำต่าง ๆ ดังนี้
 
  • หลังการผ่าตัดปลูกผมถาวร ปลูกผมธรรมชาติ อาจมีอาการปวดบวมได้ ซึ่งสามารถทานยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่งได้
  • หากมีอาการคัน ห้ามเกาเด็ดขาด ให้ใช้การทายาบรรเทาอาการระคายเคือง
  • ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงแรกหลังปลูกผม ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณแผลที่นำกอผมออกมา และแผลบริเวณที่ทำการปลูกผมถาวร
  • ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงแรกหลังปลูกผม ห้ามเกา สัมผัส แกะ เกา บริเวณแผลปลูกผมเด็ดขาด เพราะอาจทำให้กราฟผมหลุด เนื่องจากรากผมที่ปลูกไปยังไม่เชื่อมติดกับหนังศีรษะ
  • หลัง 24 ชั่วโมงหลังปลูกผม แพทย์จะทำการนัดเข้ามาสระผมที่คลินิกติดต่อกัน 4 วัน และจะมีเจ้าหน้าที่สอนการสระผมที่ถูกต้อง เพื่อใช้สระผมเองที่บ้านตามรายละเอียด ดังนี้
    - ใช้น้ำอุณหภูมิปกติล้างแผลอย่างเบามือ อย่าให้น้ำกระทบแผลโดยตรง เพราะอาจทำให้กราฟผมหลุดออกได้
    - ขยี้ยาสระผมบนมือจนเป็นฟอง ใช้ฟองจากผ่ามือแตะเบา ๆ บริเวณแผล โดยทิ้งไว้ 2-3 นาที เพื่อให้สิ่งสกปรกละลายออกมาเอง
    - ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอย่างเบามือที่สุด
    - ซับผมเบา ๆ หรือใช้ไดร์เป่าเบา ๆ โดยต้องใช้ลมเย็นเท่านั้น เพื่อทำให้ผมแห้ง
    - สำหรับเส้นผมบริเวณอื่น ๆ สามารถสระได้ตามปกติ แต่ต้องระวังไม่ถูบริเวณแผลที่ท้ายทอยแรงเกินไป
    - สามารถกลับมาสระผมได้ตามปกติหลังจากปลูกผม 1 เดือน
  • นอนหงายหรือนอนตะแคง เพื่อไม่ให้แผลถูกับหมอน และไม่ให้แผลที่ท้ายทอยถูกกดทับ หรืออาจจะใช้หมอนรองคอ
  • นอนหมอนสูง เพื่อป้องกันไม่ให้แผลบวม หรือมีเลือดออกจากแผล
  • ใช้การย่อตัวลงเพื่อเก็บของ แทนการก้มศีรษะ เพื่อป้องกันไม่ให้แผลบวม หรือมีเลือดออกจากแผล
  • งดอยู่ในที่มีแดดจัด และในที่มีผู้คนแออัด รวมถึงที่ที่มีฝุ่นควันมาก
  • งดออกกำลังกาย 1 สัปดาห์
  • งดว่ายน้ำและซาวน่า 1 เดือน
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่หลังปลูกผมเป็นเวลา 48 ชั่วโมง


ปลูกผม ราคาเท่าไหร่
 
สำหรับปลูกผม ราคาเท่าไหร่ ปลูกผมราคาถูกหรือแพง ทั้งนี้ในแต่ละคลินิก็มีการปลูกผม ราคาที่ไม่เท่ากัน ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อราคาปลูกผม เช่น เทคนิคที่ใช้ปลูกผม, เทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการปลูกผม เพราะยิ่งใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ก็ยิ่งส่งผลให้ราคาปลูกผมสูงขึ้นด้วยเช่นกัน รวมถึงจำนวนกราฟปลูกผมคือ สิ่งที่ส่งผลต่อราคาปลูกผมด้วยเช่นกัน
 
หากจะถามว่าปลูกผมแพงไหม ปลูกผมกราฟละเท่าไหร่ สำหรับราคาปลูกผมโดยทั่วไปจะเริ่มต้นที่หลักหมื่น ซึ่งราคาปลูกผมกราฟละเท่าไหร่นั้น ก็อาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคลินิก สำหรับราคาปลูกผมโดยทั่วไปมักเริ่มต้นที่ 30,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ
 
มีหลายท่านที่สงสัยว่า ปลูกผมราคาถูกดีจริงหรือเปล่า? สำหรับการตัดสินใจปลูกผม ควรเน้นพิจารณาที่การปลูกผมอย่างมีคุณภาพ โดยคำนึงถึงผลลัพธ์และความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ และแนะนำให้เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงความเชี่ยวชาญของแพทย์ เพราะหากเลือกไม่ดี หรือเลือกปลูกผมโดยแพทย์ที่ไม่มีทักษะและขาดประสบการณ์ ก็อาจส่งผลให้ปลูกผมแล้วไม่ขึ้น กราฟผมหลุด หรืออาจเกิดผลแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายตามมาได้
 

สรุป
 
การปลูกผมนับว่าเป็นการรักษาภาวะผมหลุดร่วง ผมบาง หนังศีรษะล้านได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้ ก็ควรพิจารณาว่าปลูกผม ที่ไหนดี โดยแนะนำให้เลือกคลินิกปลูกผมที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องมือและเทคโนโลยีอันทันสมัยและได้มาตรฐาน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเกี่ยวกับหนังศีรษะและเส้นผม รวมไปถึงมีการติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด เพื่อผลลัพธ์การปลูกผมถาวรที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ไร้ผลแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย และมีความคุ้มค่าในระยะยาวอย่างแท้จริง

10
โรคหัวใจเป็นภัยเงียบที่กว่าจะรู้ตัวก็อาจสายไปแล้วค่ะ แท้จริงแล้วหัวใจเราจะส่งสัญญาณเตือนเราเมื่อเริ่มเกิดความผิดปกติขึ้น แต่หลาย ๆ คนมักจะมองข้ามและให้เหตุผลกับอาการที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะทำงานเหนื่อยเกินไป พักผ่อนไม่พอ หรือรับประทานอะไรผิดไป ถ้าเราพักผ่อนเต็มที่แล้วก็คงจะดีขึ้น แต่จริง ๆ แล้วนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนก่อนจะเป็นโรคหัวใจค่ะ ดังนั้นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะช่วยบ่งบอกได้ว่าอาการที่กำลังเกิดขึ้นกับเรานั้นเป็นสัญญาณเตอนถึงโรคหัวใจหรือไม่นั่นเอง


ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG คืออะไร

ก่อนที่จะไปถึงขั้นตอนการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เราควรจะต้องรู้เกี่ยวกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจกันก่อนค่ะว่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจคืออะไร มีความสำคัญและมีความสัมพันธ์อย่างไรกับการเกิดโรคหัวใจค่ะ


ทำความรู้จักกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
   
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นความต่างศักย์ของกระแสไฟฟ้าทีไหลผ่านจากจุดกำเนิดไฟฟ้าไปยังเชลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจเกิดการทำงาน หรือหัวใจเต้นนั่นเอง เราสามารถทราบได้ว่าหัวใจเรายังทำงานได้ปกติหรือไม่ก็สามารถดูได้จากความคงที่ของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เมื่อใดที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจเกิดไม่คงที่ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าหัวใจอาจมีความผิดปกติหรือเกิดอาการบาดเจ็บเกิดขึ้นค่ะ เราสามารถดูคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้จากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ Electrocardiogram หรือ EKG (ECG) นั่นเองค่ะ


ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่ออะไร สามารถบอกอะไรได้บ้าง?


อย่างที่ได้ทราบกันแล้วว่าการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นการดูกระแสไฟฟ้าที่ผ่านมายังเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจว่ามีการส่งสัญญาณมาอย่างคงที่ สม่ำเสมออยู่หรือไม่ค่ะ สำหรับสัญญาณคลื่นไฟฟ้าหัวใจนี้สามารถบอกได้หลาย ๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับหัวใจเรา ได้แก่

  • อัตราการเต้นของหัวใจ
  • จังหวะการเต้นของหัวใจ
  • ขนาดของหัวใจ
  • ครงสร้างภายในหัวใจ
  • เยื่อหุ้มหัวใจ
โดยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะรายงานผลในรูปกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แพทย์จะสามารถเห็นถึงความปกติ หรือผิดปกติของหัวใจได้จากกราฟนี้ค่ะ
หากทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้วพบถึงความผิดปกติ แพทย์จะพิจารณาส่งตรวจหัวใจด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อหาสาเหตุและยืนยันถึงความผิดปกติของหัวใจ และสามารถวินิจฉัยโรคหัวใจได้แม่นยำมากขึ้น


ข้อดีของการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจมีข้อดีมากมาย ได้แก่

  • สามารถบอกได้เลยว่าหัวใจยังทำงานได้ปกติหรือไม่ และผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจสามารถนำมาประกอบการวินิจฉัยร่วมกับวิธีอื่น ๆ เพื่อให้สามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำมากขึ้น
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจสามารถทำได้กับทุกคนทุกเวลา
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนตรวจ สามารถเข้ารับการตรวจได้เลย
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจใช้เวลาเพียง 5-10 นาทีเท่านั้น
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าทำได้ง่าย ไม่มีการสอดอุปกรณ์ใด ๆ เข้าภายในร่างกาย เพียงแค่แปะอิเล็กโทรดหรือแผ่นรับสัญญาณคลื่นไฟฟ้าหัวใจบนผิวหนังบริเวณหน้าอกเท่านั้น และไม่มีอันตรายและผลข้างเคียงใด ๆ หลังทำการตรวจ

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
   
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG ไม่มีความจำเป็นจะต้องเตรียมตัวใด ๆ ก่อนเข้ารับการตรวจค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจมีความถูกต้อง แม่นยำมากขึ้น ควรปฏิบัติตนก่อนเข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจดังนี้

  • สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาเป็นประจำ หรือได้รับยาในช่วงที่จะเข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
  • ในช่วงก่อนเข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ควรงดพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำ
  • ควรสวมเสื้อผ้าที่สามารถถอดได้ง่าย เนื่องจากในวันตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะต้องมีการติดแผ่นอิเล็กโทรดบริเวณหน้าอกเพื่อรับสัญญาณคลื่นไฟฟ้าหัวใจ


ขั้นตอนการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงเห็นคำที่บ่งบอกว่าการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทำได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แถมยังไม่เจ็บตัวเพราะไม่มีการสอดใส่อุปกรณ์ หรือต้องเจาะเลือดเมื่อทำการตรวจ ในหัวข้อนี้จะมาบอกถึงขั้นตอนการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG อย่างละเอียดกับค่ะว่ามันง่ายและใช้เวลาไม่นานจริง ๆ ค่ะ

  • เมื่อถึงคิวตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แพทย์หรือเจ้าหน้าที่พยาบาลจะนำแผ่นอิเล็กโทรดหรือสื่อนำคลื่นไฟฟ้า (Electrode) มาแปะลงบนบริเวณหน้าอก แขน และขา
  • ให้ผู้เข้ารับการตรวจนอนหงายบนเตียง และอยู่ในท่าผ่อนคลาย ในขณะตรวจผู้เข้ารับการตรวจควรอยู่นิ่ง ๆ ประมาณ 5-10 นาทีเพื่อให้แผ่นอิเล็กโทรดได้รับสัญญาณจากคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
  • ผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะถูกรายงานผลเป็นกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แพทย์จะสามารถทราบถึงผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้จากกราฟนี้
  • เมื่อแพทย์ได้กราฟที่เป็นผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้ว ผู้เข้ารับการตรวจสามารถฟังผลแล้วกลับบ้านได้ทันที หากแพทย์พบถึงความผิดปกติบนกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจ อาจให้ผู้เข้ารับการตรวจทำการตรวจซ้ำอีกครั้ง และอาจพิจารณาส่งตรวจหัวใจวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุและยืนยันผลอีกครั้ง

การวินิจฉัยผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
   
เมื่อผู้เข้ารับการตรวจทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและได้ผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แพทย์จะนำผลนี้มาอ่านและแปลผลตรวจให้เราทราบได้ แต่อย่างไรก็ตามหากผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจบ่งบอกถึงความผิดปกติ แพทย์อาจให้เข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจซ้ำอีกครั้ง และหากยังพบถึงความผิดปกติแพทย์จะพิจารณาส่งตรวจหัวใจวิธีอื่น ๆ เพิ่มเพื่อหาสาเหตุและวินิจฉัยถึงผลได้อย่างถูกต้องมากขึ้น

เมื่อนำผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจมาประกอบกับการตรวจหัวใจวิธีอื่น ๆ ก็จะสามารถวินิจฉัยโรคหัวใจได้หลายโรค เช่น

  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจ
  • โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจห้องซ้ายล่างหนาผิดปกติ
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
  • โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
  • ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงหรือต่ำ
  • ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงหรือต่ำ
แต่อย่างไรก็ตามการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง หากตรวจแล้วพบความผิดปกติ แพทย์อาจสรุปผลตรวจจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ก็อาจจะต้องตรวจร่วมกับวิธีอื่น ๆ จึงจะวินิจฉัยโรคได้ และในบางครั้งการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจก็ไม่อาจบอกได้ว่าผู้เข้ารับการตรวจจะเป็นหรือไม่เป็นกลุ่มโรคหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจอาจไม่แสดงถึงความผิดปกติ หรือในบางรายผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคหัวใจค่ะ


การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจร่วมกับวิธีอื่น

เพราะการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพียงอย่างเดียวอาจทำให้แพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยผลได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นเมื่อตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG แล้วพบความผิดปกติจากกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แพทย์อาจต้องส่งตรวจหัวใจร่วมกับวิธีอื่น ๆ เพื่อยืนยันและสามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง

ตรวจสุขภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (EST: Exercise Stress Test)


ในผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจหัวใจด้วยอาการเจ็บแน่นหน้าอกขณะออกกำลังกาย หรือขณะที่ต้องใช้แรง การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG ที่เป็นการตรวจขณะอยู่นิ่ง ๆ อาจทำให้ไม่พบถึงความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจค่ะ แพทย์อาจให้เข้ารับการตรวจด้วยการวิ่งสายพาน หรือ Exercise Stress Test (EST) ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเช่นเดียวกับ EKG แต่จะทำการตรวจขณะที่ผู้เข้ารับการตรวจออกกำลังกาย เช่น การวิ่งบนสายพาน หรือการปั่นจักรยาน แผ่นอิเล็กโทรดที่แปะตามร่างกายก็จะได้สัญญาณและแปลผลในรูปกราฟเช่นเดียวกับ EKG และเมื่อพบถึงความผิดปกติแพทย์จะทราบได้ทันที สำหรับการตรวจหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน หรือ EST จำเป็นต้องมีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด

ตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram : ECHO)


เมื่อทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG และแพทย์อ่านผลจากกราฟแล้วสงสัยว่าผู้เข้ารับการตรวจอาจมีลักษณะของหัวใที่ผิดปกติไป แพทย์อาจส่งตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง หรือ ECHO ค่ะ โดย ECHO จะมีหลักการคล้ายกับการทำอัลตราซาวด์ โดยการส่งคลื่นไปที่หัวใจและสะท้อนกลับมาให้เห็นในรูปแบบภาพ แพทย์จะเห็นภาพหัวใจของผู้เข้ารับการตรวจ และสามารถบอกถึงลักษณะของหัวใจอย่างละเอียด ไม่ว่าจะการเคลื่อนไหว การบีบตัว การสูบฉีดเลือดจากหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ ระบบไหลเวียนเลือดที่ผ่านหัวใจ รวมถึงลักษณะความผิดปกติอย่างการเกิดเนื้องอก หรือความพิการของหัวใจได้ค่ะ 


ใครที่ควรตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
   
โรคหัวใจสามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย ถึงในผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงที่มากกว่าวัยอื่น ๆ แต่ก็สามารถพบได้เช่นกัน และความอันตรายของโรคหัวใจในวัยอืนที่ไม่ใช้ผู้สูงอายุคือความประมาท ไม่คิดว่าตนจะเป็นโรคหัวใจ ทำให้กว่าจะรู้ตัวก็อาจสายไปเสียแล้ว ดังนั้นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจึงจำเป็นและเป้นสิ่งที่ควรทำไปพร้อม ๆ กับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละครั้งค่ะ
   
หรือหากพบว่าตนเองเริ่มมีอาการผิดปกติ หรือมีปัจจัยเสี่ยงก็ควรจะเข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันทีที่ทำได้เลย สำหรับผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ได้แก่

  • ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีคนในครอบครัวมีประวัติโรคหัวใจ
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ หรือมีโรคประจำตัวอื่น ๆ
  • ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ค่อยออกกำลังกาย
  • ผู้ที่มีปัญหาอื่น ๆ เช่น เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย หายใจไม่ทัน

คำถามที่พบบ่อย

ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เจ็บไหม
ตอบ   การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่มีความเจ็บใด ๆ เนื่องจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่มีการเจาะหรือสอดเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใด ๆ เข้าร่างกาย มีเพียงแค่การแปะแผ่นรับสัญญาณคลื่นไฟฟ้าหัวใจบนผิวหนังเท่านั้น

ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มีผลข้างเคียงไหม
ตอบ   เพราะการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่มีการสอดเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใด ๆ เข้าภายในร่างกาย จึงทำให้ไม่มีผลข้างเคียงและไม่มีผลแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา ในผู้เข้ารับการตรวจบางรายอาจพบรอยแดงบริเวณที่แปะแผ่นอิเล็กโทรด ซึ่งสามารถหายแดงได้เองภายใน 1-2 วันค่ะ

การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ควรตรวจบ่อยแค่ไห
ตอบ   ในผู้ที่สุขภาพแข็งแรงปกติ อาจเข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างน้อยปีละครั้งพร้อม ๆ กับการตรวจสุขภาพประจำปี แต่หากพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น เช่นเหนื่อยหอบง่าย หัวใจเต้นเร็วหรือผิดจังหวะ หรือจู่ ๆ ก็หมดสติไปไม่ทราบสาเหตุ ควรเข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันที


ข้อสรุป
   
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG เป็นวิธีการตรวจหัวใจเบื้องต้นที่สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจ และไม่มีข้อควรระวังหลังทำการรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และสามารถทราบถึงความผิดปกติของหัวใจได้ทันทีหลังตรวจเสร็จค่ะ สำหรับผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG ที่ผิดปกติก็สามารถทำให้แพทย์พิจารณาส่งตรวจหัวใจวิธีอื่น ๆ ที่เหมาะสม เพื่อให้การวินิจฉัยโรคเป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำมากขึ้นนั่นเอง

11
ทำความรู้จักโรคหนังศีรษะอักเสบ พร้อมวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบเบื้องต้นที่จะช่วยบรรเทา และทุเลาอาการซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

  • หนังศีรษะอักเสบคืออะไร ?
  • หนังศรีษะอักเสบเกิดจากอะไร ?
  • หนังศีรษะอักเสบควรพบแพทย์หรือไม่ ?
  • วิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบทำอย่างไร ?
  • ดูแลตัวเองเมื่อหนังศีรษะอักเสบอย่างไร ?

ปูพื้นฐานวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบ พร้อมวิธีดูแลตัวเอง แบบฉบับเข้าใจง่าย ครบ จบในบทความนี้




หนังศีรษะอักเสบ (Seborrheic Dermatitis)

หนังศีรษะอักเสบ (SEBORRHEIC DERMATITIS) เป็นโรคเกี่ยวกับหนังศีรษะที่ทำให้เกิดอาการอักเสบบริเวณหนังศีรษะชั้นนอก ก่อให้เกิดอาการเป็นผื่นแดงในพื้นที่ที่อักเสบ หนังศีรษะลอกออกมาเป็นขุยสีขาว หรือเหลือง หนังศีรษะมัน และมีอาการคัน ในรายที่คันมาก ๆ อาจเการุนแรงจนทำให้เกิดแผลถลอกได้

ในบางรายอาการอักเสบอาจจะไม่เกิดขึ้นแค่ที่หนังศีรษะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อาจเกิดขึ้นที่บริเวณใบหน้า ใบหู คอ หน้าอก หรือหลังได้ด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบมากมายหลายวิธี


หนังศีรษะอักเสบ เกิดจากอะไร

สาเหตุของการเกิดหนังศีรษะอักเสบมีมากมายหลายปัจจัย จนไม่อาจสรุปให้ชัดเจนได้ด้วยซ้ำ บางครั้งเป็นเรื่องของสภาพแวดล้อม สภาพอากาศ อุณหภูมิ ความชื้นในแต่ละวันที่เราต้องพบเจอ บางครั้งเป็นเรื่องของสารเคมีในร่างกาย ฮอร์โมน หรืออาหารการกิน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วหนังศีรษะอักเสบมักเกิดในบริเวณที่หนังศีรษะมีอาการมันมาก ซึ่งจะเป็นข้อบ่งชี้สำคัญไปถึงวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบ

เมื่อหนังศีรษะเกิดอาการมัน ความมันนี้จะก่อให้เกิดสภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ชื่อว่า มาลาสซีเซีย (Malassezia) เนื่องจากเชื้อรามาลาสซีเซียจะกินไขมัน / น้ำมันบนหนังศีรษะ จนปริมาณน้ำมันที่ผิวหนังเสียสมดุล ทำให้ร่างกายต้องตอบสนองโดยการปล่อยกรดโอเลอิก (Oleic acid) ออกมา และก่อให้เกิดการอักเสบ

ดังนั้นปัจจัยที่กระตุ้นให้ผิวหนังผลิตไขมันออกมาเพื่อพยายามรักษาความชุ่มชื้น เช่น อาหารการกิน วิตามิน ยิ่งเมื่อมารวมกับอากาศที่เย็น และแห้ง ก็ยิ่งเสริมกันให้ก่อโรคได้ง่ายมากขึ้น

ทั้งนี้การอักเสบมาก หรือน้อย จะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกาย รวมไปถึงการทำงานของระบบภูมิคุ้มของร่างกายด้วย ในบางรายอาจเกิดโรคหนังศีรษะอักเสบอันเป็นผลต่อเนื่องจากโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง เช่น โรคมะเร็ง, โรคเอดส์ (AIDS), โรคตับอ่อนอักเสบจากแอลกอฮอล์ (alcoholic pancreatitis) เป็นต้น ทำให้ความยาก / ง่ายในการเกิดของโรค และความรุนแรงของอาการหนังศีรษะอักเสบในแต่ละรายต่างกัน ซึ่งจะทำให้การวินิจฉัยวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบก็จะต่างกันออกไปด้วย


เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์

จริง ๆ แล้ว อาการหนังศีรษะอักเสบ ไม่ใช่โรคร้ายแรง หากไม่ได้เกิดการอักเสบร่วมกับการเป็นโรคอย่างอื่น วิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบส่วนมาก สามารถทำได้โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดปัจจัยก่อโรค และรักษาให้หายเองได้โดยไม่ต้องพบแพทย์

อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถรักษาให้หายด้วยตัวเอง และอาการของโรคก่อให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เกิดการระคายเคืองจนไม่มีสมาธิกับการทำงาน รบกวนการนอน เกิดความวิตกกังวลจากการเสียบุคลิกภาพ หรืออับอาย เป็นต้น เหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ถึงเวลาที่ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำสำหรับวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบจากแพทย์ต่อไป เพราะหนังศีรษะอักเสบ นอกจากจะสร้างความรำคาญ และทำให้เราเสียบุคลิกภาพแล้ว เราอาจเป็นโรคเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว และอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ของโรคไม่พึงประสงค์อย่างอื่นได้


วิธีสังเกตอาการหนังศีรษะอักเสบ

  • หนังศีรษะมัน
  • มีขุยหนังศีรษะลอกออกมาในบริเวณที่มีอาการอักเสบ มีลักษณะเป็นรังแคสีเหลือง
  • มีอาการแดง ระคายเคือง และคัน
  • เจ็บหรือแสบหนังศีรษะ โดยเฉพาะเมื่อเหงื่อออกหรือโดนแสงแดด


วิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบ

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบนั้นมีหลายวิธี ซึ่งบางวิธีก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน บางวิธีก็ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์



1.ใช้แชมพูที่มีส่วนช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง

เป็นวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบวิธีแรกที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพราะสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป ควรเลือกใช้แชมพูที่มีคุณสมบัติดังนี้

  • ลด / ควบคุมความมัน
  • ลดปริมาณเชื้อรา
  • ชะลอการผลัดเซลล์

ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้พบร่วมอยู่ในแชมพูขจัดรังแคเช่นกัน เพราะว่ารังแค และอาการหนังศีรษะอักเสบมีสาเหตุจากเชื้อรามาลาสซีเซียเหมือนกัน โดยอาจเริ่มต้นใช้จากแชมพูอย่างอ่อนก่อน ควรอ่านฉลากโดยละเอียดเพื่อรับทราบปริมาณตัวยา และจำนวนครั้งที่ควรใช้ต่อสัปดาห์ สังเกตอาการก่อน และหลังใช้ ถ้าอาการโดยรวมแย่ลงให้หยุดใช้ หรือหากใช้ติดต่อกันเกิน 12 สัปดาห์แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำ และวินิจฉัยวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบต่อไป เพราะเป็นไปได้ว่าอาการหนังศีรษะอักเสบที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากเชื้อราดังกล่าว

2. การรักษาด้วยการใช้ยาสเตียรอยด์

ในกรณีที่มีอาการอักเสบรุนแรง หรือภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ แพทย์อาจให้วิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบด้วยยาสเตอรอยด์เฉพาะที่ ซึ่งมีทั้งแบบเม็ด และแบบทา เพื่อรักษาอาการอักเสบโดยการกดภูมิคุ้มกันไม่ให้ตอบสนองต่อเชื้อราด้วยการอักเสบ

อย่างไรก็ตามในกรณีทีใช้ยาสเตอรอยด์จะต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์

3. ยาต้านเชื้อรา

มักจะใช้เฉพาะในรายที่มีอาการอักเสบรุนแรง เป็นวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบที่จะต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากยาต้านเชื้อรามีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก  ยาต้านเชื้อราที่นิยมใช้กันคือ Terbinafine มีทั้งแบบเม็ด และแบบบทา

4. การบำบัดด้วยการใช้แสง

เป็นการรักษาโดยใช้แสงอัลตร้าไวโอเลต เอ (Ultraviolet A : UVA) เป็นตัวกระตุ้น ร่วมกับยาซอราเลน (Psoralen) ใช้ในรายที่มีอาการดื้อยาตัวอื่น ๆ

ผู้รับการบำบัดด้วยแสงจะต้องรักษาต่อเนื่อง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 3 – 4 เดือน

การบำบัดหนังศีรษะอักเสบด้วยการใช้แสงเป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบที่จะต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น


วิธีดูแลตัวเองเมื่อหนังศีรษะอักเสบ

ดังที่กล่าวมาแล้วว่า สาเหตุของการเกิดหนังศีรษะอักเสบที่แท้จริงมีมากมายหลายปัจจัย ซึ่งจะนำไปสู่สภาวะที่ทำให้หนังศีรษะของเราเกิดความมัน และจากความมันนี้เอง ก็จะตามมาด้วยเชื้อรามาลาสซีเซีย ซึ่งก่อให้เกิดอาการหนังศีรษะอักเสบต่อไป

วิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบในเบื้องต้น สามารถทำได้โดยการขจัดความมันส่วนเกินออกไปจากหนังศีรษะ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการหนังศีรษะอักเสบ บางครั้งเราอาจจะได้วิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบที่ถูกต้องจนหายเป็นปกติแล้ว แต่ก็อาจจะเผลอตัว เผลอใจไปบ้าง จนทำให้กลับมาเป็นโรคหนังศีรษะอักเสบอีกครั้งได้

เราสามารถบรรเทา หรือทุเลาอาการได้ด้วยตัวเองโดยการหมั่นดูแลรักษาความสะอาดของหนังศีรษะ ใช้แชมพูสูตรขจัดรังแค หรือสูตรอ่อนโยน โดยไม่สระผมด้วยน้ำที่ร้อน หรือเย็นเกินไป

หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกับเส้นผม และหนังศีรษะ เช่น ย้อมสีผม ยืดผม หรือผลิตภัณฑ์ประทินผิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

นอกจากนี้การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ทำกิจกรรมผ่อนคลาย รวมทั้งการลดหรือ (จะให้ดี) เลิกสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็มีส่วนช่วยในการบรรเทา และทุเลาอาการลงได้


ข้อสรุป ‘วิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบ’

ย้ำก่อนว่าโรคหนังศีรษะอักเสบไม่ใช่โรคร้ายแรง เพียงแต่ว่าอาการของโรคจะสร้างความรำคาญให้เรา และทำให้เราเสียบุคลิกภาพ จนอาจมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งหากเราดูแลตัวเองดีพอโรคนี้ก็จะหายไปเองได้

อย่างไรก็ตามโรคนี้ก็อาจกลับมาเยือนเราอีกได้ หากปัจจัยประกอบต่าง ๆ เอื้ออำนวย เมื่อเราทราบธรรมชาติของโรคแบบนี้แล้ว การหมั่นดูแลเอาใจใส่ ให้เวลากับตัวเองมากขึ้นก็ไม่ยากเกินไป

ในเบื้องต้นเราสามารถมีวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบด้วยตัวเองได้ ทั้งเพื่อป้องกัน บรรเทา และทุเลาอาการของโรคนี้ลงไป ทั้งยังมีการวินิจฉัยวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบทางการแพทย์รอรองรับอยู่ หากเราอาการของโรคอยู่นอกเหนือจากที่เราพอจะสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

12
ดวงตาของเราเป็นอวัยวะหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากต่อร่างกาย โดยดวงตาจะช่วยทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว ดวงตาข้างหนึ่งจะมีส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่แตกต่างกันเพื่อช่วยในการมองเห็น ซึ่ง เลนส์ตา ก็เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของดวงตาที่มีความสำคัญมากด้วยเช่นกัน แต่ก่อนที่จะมาทำความรู้จักเกี่ยวกับเลนส์ตา เรามาศึกษาเกี่ยวกับองค์ประกอบของดวงตากันก่อนดีกว่าค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง แล้วเลนส์ตามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร



องค์ประกอบของดวงตา

ดวงตาของเรามีส่วนประกอบต่าง ๆ ที่คอยทำหน้าที่ช่วยทำให้สามารถมองเห็นได้ ดังนี้


  • ตาขาว (Sclera) ทำหน้าที่ป้องกันส่วนประกอบต่าง ๆ ที่อยู่ภายในลูกตา
  • กระจกตา (Cornea) เป็นส่วนที่อยู่หน้าสุดของดวงตา ทำหน้าที่โฟกัสและหักเหแสงให้เข้าไปข้างในรูม่านตา
  • ม่านตา (Iris) เป็นส่วนที่มีสีสันล้อมรอบรูม่านตา โดยจะมีสีอะไรนั้นจะขึ้นอยู่กับเชื้อชาติและกรรมพันธุ์ ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณแสงที่จะเข้า
  • รูม่านตา (Pupill) มีลักษณะเป็นสีดำที่อยู่กลางตาดำ ทำหน้าที่รับแสงให้สามารถผ่านเข้าไปยังเลนส์ตาได้
  • เลนส์ตา (Lens) ทำหน้าที่ในการปรับระยะโฟกัสและหักเหแสงให้เข้าไปยังจอรับภาพ ทำให้เกิดภาพขึ้นมา
  • จอประสาทตา (Retina) ทำหน้าที่รับแสงที่ส่งจากเลนส์ตา ก่อนส่งภาพไปยังสมอง
  • จุดภาพชัด (Macula) เป็นจุดที่อยู่ตรงกลางจอประสาทตา ทำหน้าที่รับภาพจากจอตาเพื่อแปลผลที่สมอง
  • เส้นประสาทตา (Optic nerve) เป็นเส้นประสาททำหน้าที่นำภาพจากจอตาไปยังสมองเพื่อแปลผล


เลนส์ตา (Lens)

เลนส์ตา คือส่วนประกอบหนึ่งของดวงตาซึ่งประกอบไปด้วยโปรตีนและน้ำเป็นส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อสีใสคล้ายเลนส์นูนอยู่ในส่วนหลังม่านตาเพื่อให้แสงสามารถผ่านเข้ามาได้อย่างดี ทำหน้าที่ในการหักเหแสงที่ได้รับจากรูม่านตาเพื่อส่งไปยังจอประสาทตา


เลนส์ตาทำหน้าที่อะไร

เลนส์ตา มีคุณสมบัติช่วยในการมองเห็นในระยะต่าง ๆ โดยเลนส์ตานอกจากจะทำหน้าที่หักเหแสงจากระยะต่าง ๆ แล้วส่งภาพที่ได้ไปยังจอประสาทตาแล้ว ยังทำหน้าที่ในการโฟกัสซึ่งช่วยทำให้การมองเห็นของเรามีความคมชัดมากขึ้น



หากเกิดความผิดปกติที่เลนส์ตาจะส่งผลอย่างไร

เนื่องจากเลนส์ตามีส่วนช่วยสำคัญในการมองเห็น โดยทำหน้าที่ในการช่วยหักเหแสงรวมถึงช่วยทำให้มองโฟกัสระยะความห่างต่าง ๆ ได้ ดังนั้น หากเกิดความผิดปกติที่เลนส์ตาแล้วก็อาจจะทำให้มองเห็นไม่ชัดหรือเบลอตามมา ซึ่งโรคที่พบบ่อยโดยมีสาเหตุเกิดจากเลนส์ตามีความผิดปกติมีดังนี้

สายตายาวตามอายุ (Presbyopia)

สายตายาวตามอายุ มักพบในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเป็นภาวะที่เกิดจากเลนส์ตามีความแข็งมากขึ้น อีกทั้งกล้ามเนื้อที่คอยควบคุมเลนส์ตามีการเสื่อมสภาพตามอายุ ทำให้กล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพในการหดตัวลดลง แล้วด้วยความที่ว่าไม่สามารถควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อได้ จึงทำให้เลนส์ตาไม่สามารถโฟกัสวัตถุที่อยู่ระยะใกล้เป็นเหตุทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดในระยะใกล้ จึงเป็นที่มาของภาวะสายตายาวตามอายุนั่นเอง

สำหรับผู้ที่มีภาวะสายตายาวตามอายุจะมีอาการเหมือนสายตายาว คือ มองเห็นสิ่งที่อยู่ระยะใกล้ไม่ชัด เช่น อ่านหนังสือ มองโทรศัพท์ และอื่น ๆ จนต้องยืดวัตถุห่าง ๆ เพื่อมอง แล้วในกรณีที่พยายามมองสิ่งของที่อยู่ใกล้ๆก็จะทำให้เกิดอาการตาล้า ตาสู้แสงไม่ได้ รวมถึงอาการปวดหัว สำหรับภาวะสายตายาวสามารถรักษาได้โดยการใส่แว่นตา คอนแทคเลนส์ การผ่าตัด และการใส่เลนส์เสริมตรงส่วนหน้าของเลนส์ตา

โรคต้อกระจก (Cataract)

ต้อกระจก เป็นโรคที่เกิดจากโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของเลนส์ตาเกิดการเสื่อมสภาพ ทำให้เลนส์ตาที่มีความใสเกิดขุ่นขึ้นจนแสงไม่สามารถผ่านเข้าไปข้างในได้ตามปกติ จึงทำให้มองเห็นไม่ชัดเจนหรือมองเห็นมัว เบลอ เป็นต้น

อาการของโรคต้อกระจกในช่วงแรกจะเริ่มรู้สึกมองไม่ชัด มองเห็นมัวเหมือนมีหมอกบัง และอาจเกิดอาการมองเห็นภาพซ้อน รวมถึงดวงตาไม่สามารถสู้แสงได้ และเมื่ออาการของต้อรุนแรงมากขึ้นเลนส์ตาจะเปลี่ยนจากสีใส่เป็นสีขุ่นทึบขึ้นเรื่อย ๆ จนแสงไม่สามารถผ่านเลนส์ตาได้ ทำให้สูญเสียการมองเห็น สำหรับการรักษาแม้ว่าโรคนี้จะไม่มียารักษา แต่ว่าอาการเหล่านี้สามารถแก้ไขด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์เพื่อแก้ไขภาวะการสูญเสียการมองเห็น


การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม

เมื่อเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับเลนส์ตาของเราไม่ว่าจะด้วยสาเหตุจากค่าสายตาที่เพิ่มขึ้น อุบัติเหตุ การเสื่อมสภาพเนื่องจากอายุ รวมถึงโรคต่าง ๆ เช่น ต้อกระจก ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ การเปลี่ยนเลนส์ตา จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกการรักษาโดยการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนเป็นเลนส์ตาเทียมที่จะคอยทำหน้าที่ให้ใกล้เคียงกับเลนส์ตาโดยธรรมชาติได้อย่างดีเยี่ยม


เลนส์แก้วตาเทียมคืออะไร

เลนส์แก้วตาเทียม หรือ เลนส์ตาเทียม คือ เลนส์ที่นำมาใส่ข้างหน้าเลนส์ตาหรือเปลี่ยนเลนส์ตาเดิมเพื่อช่วยทำให้ดวงตาสามารถกลับมามีการมองเห็นได้อย่างปกติ โดยเลนส์ตาเทียมที่ใช้ในปัจจุบันจะมีสักษณะสีใส ขนาดเล็ก และพับงอได้ เพื่อสามารถนำมาใช้ในการผ่าตัดขนาดเล็กได้


เลนส์แก้วตาเทียมมีกี่ประเภท อะไรบ้าง

หากถามว่าในปัจจุบันมีเลนส์ตาเทียมกี่ชนิด ในปัจจุบันเลนส์ตาเทียมแต่ละชนิดก็จะมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในการเปลี่ยนเลนส์ตาเทียมนั้นจะสามารถเลือกตามประเภทที่ต้องการใช้งานได้ แต่ราคาก็จะสูงขึ้นเพิ่มตามประสิทธิภาพการใช้งาน โดยสามารถแบ่งตามลักษณะการโฟกัสเป็น 3 ชนิด

  • เลนส์แก้วตาเทียมโฟกัสระยะเดียว (Standard IOL) เป็นเลนส์ที่มีกำลังรวมแสง ซึ่งจะช่วยทางด้านการโฟกัสระยะไกลทำให้มองเห็นระยะไกลได้ แต่การมองระยะใกล้จำเป็นต้องใช้แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ช่วย
  • เลนส์แก้วตาเทียมโฟกัสหลายระยะ (Multifocal IOL) เป็นเลนส์ที่สามารถโฟกัสได้มากกว่า 1 จุด แต่การใช้เลนส์นี้จะต้องใช้เวลาในการปรับตัวพอสมควร โดยแบ่งย่อยเป็น 2 ชนิด คือ
    - เลนส์แก้วตาเทียมโฟกัสสองระยะ (Bifocal IOL) เป็นเลนส์ที่ช่วยโฟกัสระยะกลางและไกล หรือระยะใกล้และไกลได้
    - เลนส์แก้วตาเทียมโฟกัสสามระยะ (Trifocal IOL) เป็นเลนส์ที่ช่วยโฟกัสทั้งระยะใกล้ กลางและไกล
  • เลนส์แก้วตาเทียมสำหรับแก้ไขสายตาเอียง (Toric IOL) เป็นเลนส์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องสายตาเอียงรวมถึงสายตาสั้นและยาวร่วมด้วยได้ โดย
    - เลนส์ชัดระยะเดียวแก้สายตาเอียง (Monofocal Toric) จะช่วยแก้ปัญหาสายตาเอียงและสามารถมองไกลได้แต่การมองระยะใกล้จำเป็นต้องใช้แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ช่วย
    - เลนส์ชัดหลายระยะแก้สายตาเอียง (Multifocal Toric) จะมีแบบ 2 ระยะและ 3 ระยะ โดย 2 ระยะจะช่วยแก้ปัญหาสายตาเอียงพร้อมช่วยแก้การมองเห็นระยะกลางและไกล หรือระยะใกล้และไกล ส่วน 3 ระยะจะช่วยแก้ปัญหาสายตาเอียงพร้อมช่วยแก้การมองเห็นระยะใกล้ กลางและไกลทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นหรือคอนแทคเลนส์


วิธีดูแลดวงตาให้สุขภาพดี


  • หลีกเลี่ยงการใช้สายตาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หากจำเป็นควรหาช่วงเวลาพักอย่างน้อย 30 นาที
  • พักผ่อนให้เพียงพอและหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้นวิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน เพื่อบำรุงสายตา
  • ไม่จ้องมองในที่ที่มีแสงสว่างมากเกินไป หากอยู่ในที่ที่มีแดดควรใส่แว่นกันแดดและใส่หมวกที่มีปีกบังช่วงตา เพื่อป้องกันแสงUV ซึงเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจก
  • รักษาความสะอาดร่างกายอยู่เสมอโดยเฉพาะดวงตา พยายามไม่นำมือมาขยี้ตา เพราะในบางครั้งมือเราอาจจะมีสิ่งสกปรกติดอยู่ ถ้าหากคันมากควรใช้น้ำยาเทียมหยดหรือล้างตาด้วยน้ำสะอาดแทน
  • หากดวงตามีความผิดปกติ ไม่ควรซื้อยาหยอดตามาหยอดเองเพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับดวงตาได้ และควรเข้าพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและทำการรักษา


ข้อสรุป

เลนส์ตา เป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในดวงตาที่ช่วยในการมองเห็นระยะต่าง ๆ เพราะฉะนั้นจึงควรดูแลให้เลนส์ตาอยู่คู่กับเราไปตลอดและเข้ารับการตรวจตาเป็นประจำ แต่ในกรณีที่ดวงตามีการมองเห็นผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นมองเห็นไม่ชัด เบลอ หรือมัว ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและเข้ารับการรักษาโดยเร็ว

13

มีหลายครอบครัวที่เมื่ออยู่ด้วยกันได้สักระยะแล้วก็อยากมีลูก เพื่อเป็นการเติมเต็มคำว่า “ครอบครัว” ให้สมบูรณ์ จึงตัดสินใจและพยายามให้มีลูกด้วยวิธีธรรมชาติแต่ก็ยังไม่เป็นผลสักที ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะวิธีการวางแผนหรือวิธีปฏิบัตินั้นยังไม่ถูกต้องมากนัก ซึ่งสำหรับใครที่ยังคงต้องการมีลูกด้วยวิธีธรรมชาติ วันนี้ เรามีแนวทางมาแนะนำ ดังนี้
 
วิธีมีลูกแบบธรรมชาติ มีอะไรบ้าง


· นับวันไข่ตก
หลาย ๆ คู่ที่มีเพศสัมพันธ์ทุกวัน ซึ่งอาจเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะจะทำให้ปริมาณอสุจิน้อย แต่ถ้าหากใคร อยากมีลูก แนะนำให้นับวันไข่ตก โดยวิธีนี้จะเหมาะกับผู้หญิงที่มีประจำเดือนตรงกันในทุก ๆ เดือน โดยจะมีระยะเวลาห่างกันประมาณ 28 วัน วันตกไข่ก็จะอยู่ในช่วงวันที่ 14 ของรอบเดือน ให้เริ่มนับวันแรกของการมีประจำเดือนเป็นวันที่ 1

· วางแผนตั้งครรภ์ก่อนอายุ 35
ช่วงวัยที่ร่างกายของผู้หญิงจะมีพร้อมมากที่สุด และเหมาะแก่การตั้งครรภ์ คือ วัย 20-30 ปี เนื่องจากหากมีอายุเกิน 35 ปี การตั้งครรภ์ก็จะยากมากขึ้น และยังเสี่ยงต่อภาวะพิการในทารกอีกด้วย

·ความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์
อีกหนึ่งวิธีมีลูก ควรเพศสัมพันธ์วันเว้นวัน แต่ไม่ควรเกิน 2 ครั้ง/วัน เพราะจะส่งผลให้อสุจิไม่มีคุณภาพ และมีปริมาณที่ลดลง

· ลดความเครียด
เพราะฮอร์โมนจากความเครียดจะส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนในระบบสืบพันธุ์โดยตรง ไข่ไม่ตก ไข่ตกคลาดเคลื่อน หรือทำให้ไข่ไม่มีคุณภาพ หรือไข่ที่ได้รับการผสมแล้วนั้นฝังตัวได้ยากขึ้น

· ทานอาหารที่มีประโยชน์
เรื่องของอาหารและโภชนาการมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น หากอยากมีลูกง่าย ควรเน้นทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเน้นทานอาหารที่หลากหลาย เพื่อร่างกายจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน

· ระวังเรื่องการใช่สารหล่อลื่น
เนื่องจากเจลหล่อลื่นจะมีสารเคมีที่ไปรบกวน และลดการเคลื่อนไหว ลดเซลล์อสุจิลงได้ถึง 60-100%

6 อาหารเสริม หากอยากมีลูก


เรื่องของอาหารที่ช่วยเสริมคุณภาพของอสุจิและไข่นั้น มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ซึ่งเป็นอาหารที่สามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด และห้างสรรพสินค้า มีอะไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

· ผักโขม
อุดมไปด้วยโฟเลต ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญ โฟเลต มีส่วนช่วยป้องกันความพิการของทารกในครรภ์ได้อีกด้วย
 
· อะโวคาโด
เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีโอเมก้า และมีไขมันดีที่สูงมาก ช่วยในเรื่องตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น
 
· กล้วยหอม
นับเป็นแหล่งของสารอาหารดี ๆ อย่างโพแทสเซียม และวิตามินบี 6 ที่ช่วยให้ระบบการทำงานของประสาทและกล้ามเนื้อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

· แซลมอน
เป็นแหล่งโปรตีน และโอเมก้า 3 ช่วยในการปรับระดับของฮอร์โมนให้สมดุล คงที่ และช่วยให้เลือดในร่างกายไหลเวียนได้ดี

· เมล็ดฟักทอง
ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่พบได้มากในเมล็ดฟักทอง ที่สำคัญเป็นธาตุเหล็กที่ได้จากพืช จะมีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่าธาตุเหล็กที่ได้จากเนื้อสัตว์

· นมสด
ในนมสดมีสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นได้แก่ แคลเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับผู้ที่อยากมีลูก เหมาะกับผู้ที่มีการตกไข่ยาก

· หน่อไม้ฝรั่ง
หน่อไม้ฝรั่งมีสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการได้แก่ ไนอะซิน หรือวิตามินบี 3 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

· หอยนางรม
สารอาหารที่โดดเด่นในหอยนางรม คือ แร่ธาตุสังกะสี ที่มีผลโดยตรงต่อการผลิตไข่ที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากทานในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนวันที่ไข่ตก

สรุป
หลายครอบครัวต้องการมีบุตร และขอเลือกที่จะใช้วิธีธรรมชาติก่อน ซึ่งหากปฏิบัติได้ถูกทาง และถูกวิธีก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น เพราะการจะมีลูกสักคนด้วยวิธีธรรมชาติสำหรับคู่ที่มีลูกยากอยากมีลูก ทั้งคู่ต้องใส่ใจและคิดถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ควบคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความถี่การมีเพศสัมพันธ์, สุขภาพกาย, สุขภาพใจ รวมถึงเรื่องการดูแลอาหารที่จะทานเข้าไปด้วย และอย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้การมีลูกเพื่อเติมเต็มครอบครัวก็เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

14
การมีลูก หากคู่สามีภรรยาไม่สามารถมีลูกได้ด้วยวิธีธรรมชาติ อาจเกิดความกังวลได้ว่าอายุจะเกินเกณฑ์ของการตั้งครรภ์อีก ปัจจุบันนี้ หมดกังวลได้เลย เพราะวิทยาการทางการแพทย์ของไทยเราก้าวหน้าไปมาก การทำ IUI เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยได้ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าการทำ iui คืออะไร? ทำอย่างไร? ต้องเตรียมตัวอย่างไร? หรือ iui เลือกเพศได้ไหม? รวมถึงอีกหลาย ๆ คำถาม รวมถึงเรื่องราคาค่าใช้จ่าย วันนี้บทความนี้เรามีคำตอบค่ะ

[/url]

การฉีดกระตุ้นไข่ IUI คืออะไร?

การฉีดยากระตุ้นไข่ IUI (Intra-Uterine Insemination) หรือ การทำ IUI คือ วิธีการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงในห้องทดลอง และฉีดกลับเข้าไปในโพรงมดลูก ซึ่งจะคล้าย ๆ กับการมีเพศสัมพันธ์แบบธรรมชาติ แต่วิธี iui มีโอกาสสำเร็จ 15%
 

ขั้นตอนการทำ IUI มีอะไรบ้าง?

หลังจากที่พอรู้กันแล้วว่า การทำ iui คืออะไร มาในส่วนนี้เราจะมาอธิบายถึงขั้นตอนทำ iui กันบ้าง ดังนี้

1. เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์
แพทย์จะแนะนำเกี่ยวกับวิธีการ การเตรียมตัวทำ iui และการวางแผนการตั้งครรภ์ แนะนำว่าควรเข้ารับคำปรึกษาก่อนวันที่ประจำเดือนมา
 
2. ทานยากระตุ้นไข่
แพทย์จะให้ทานยากระตุ้นไข่ในช่วงวันที่ 2-3 ของการมีประจำเดือน
 
3. อัลตร้าซาวน์
เพื่อทำการตรวจเช็คปริมาณของไข่ และคุณภาพของไข่
 
4. คัดและเตรียมอสุจิ
เมื่อไข่มีความพร้อมแล้ว แพทย์จะนัดฝ่ายชายเพื่อทำการเก็บอสุจิ
 
5. ฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูก
เมื่อได้อสุจิจากฝ่ายชายแล้ว แพทย์จะทำการคัดอสุจิที่แข็งแรงที่สุด แล้วฉีดเข้าไปในโพรงมดลูก ภายในวันเดียวกันกับขั้นตอนอัลตร้าซาวน์ หลังจากฉีดแล้วแพทย์จะให้ทานยา Duphaston iui เพื่อให้ผนังมดลูกหนาขึ้น
 
6. ติดตามการตั้งครรภ์
แพทย์จะนัดมาติดตามผลว่าตั้งครรภ์หรือไม่ หลังจากการฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูกแล้วประมาณ 3 สัปดาห์


 
การทำ IUI เหมาะกับใครบ้าง

หากใครที่มีความสนใจว่าอยากทำ IUI แล้ว เรามาดูกันสักนิดดีกว่าวิธีนี้เหมาะกับใครบ้าง
- ฝ่ายหญิงที่อายุไม่เกิน 35 ปี
- ผู้ที่เริ่มเข้าสู่กระบวนการของผู้ที่มีบุตรยาก
- ต้องเป็นผู้ที่มีท่อนำไข่ไม่ตีบตัน
- อสุจิของฝ่ายชายต้องตรงตามเกณฑ์

 
ใครที่ไม่ควรทำ IUI

- ฝ่ายหญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปี ขึ้นไป เนื่องจากคุณภาพไข่จะลงลง ส่งผลต่อความสำเร็จที่ลดลงด้วย
- ท่อนำไข่หรือปีกมดลูก มีปัญหา ไม่สามารถใช้งานได้
- มีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เพราะอาจเสี่ยงแท้งได้
- อสุจิของฝ่ายชายมีน้อย ไม่แข็งแรง หรือไม่สามารถหลั่งน้ำเชื้อได้
 

การเตรียมตัวของพ่อแม่ก่อนทำ IUI

การทำ IUI คือ การช่วยให้คู่สามีภรรยาได้มีลูกสมใจ ดังนั้น คำถามที่ว่า “หากไม่ได้จดทะเบียนสมรส ทำ iui ได้ไหม?” การทำ iui ต้องแสดงเอกสารทะเบียนสมรสก่อน แพทย์ถึงจะทำให้ ทั้งนี้ หากใครผ่านเกณฑ์ด้านบนทั้งหมดแล้ว ลองมาดูในเรื่องของการเตรียมตัวกันบ้างค่ะ


การปฏิบัติตนสำหรับฝ่ายชายก่อนทำ IUI
- งดหลั่งอสุจิ 5-7 วัน ตามคำแนะนำของแพทย์
- งดเพศสัมพันธ์ เพื่อให้ได้ปริมาณอสุจิที่มาก
- ไม่เครียด หรือกังวล
- งด หรือเลี่ยงแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
 
การปฏิบัติตนสำหรับฝ่ายหญิงก่อนทำ IUI
- ทานยาและฉีดยาตามที่แพทย์กำหนดอยางเคร่งครัด
- งดเพศสัมพันธ์
- ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่กังวล หรือเครียด
- อายุไม่เกิน 30 ปี หรือไม่พบภาวะผิดปกติของปากมดลูก
 
การดูแลตัวเองหลังทำ IUI

หลายคนอาจมีคำถามว่า หลังทำ iui แล้ว จะมีอาการอะไรบ้าง และต้องดูแลตัวเองอย่างไร
- นอนพักที่สถานพยาบาล 30 นาที โดยประมาณ
- สามารถใช้ชีวิตประจำวัน หรือไปทำงานได้ตามปกติ
- งดการออกกำลังกายหนัก ๆ เช่น วิ่ง หรือคาร์ดิโอ เป็นต้น
- มีเพศสัมพันธ์ได้

*ข้อควรรู้*
หากหลัง iui ท้องอืดมาก นั่นเป็นเพราะว่า การทำ iui จะมีการทานยากระตุ้นไข่ และรังไข่ก็จะสร้างไข่ออกมามากกว่าปกติ รังไข่จึงมีของเหลวเยอะ ส่งผลให้รังไข่บวมจนเกิดอาการท้องอืดนั่นเอง สามารถบรรเทาอาการได้โดยการทานไข่ขาว 8 ฟองต่อวัน
 
ค่าใช้จ่ายในการทำ IUI ราคาเท่าไหร่
สำหรับการทำ iui ราคา 2565 จะอยู่ที่ครั้งละ 20,000 - 25,000 บาท โดยประมาณ
 
รีวิวทํา IUI ที่ไหนดี

จะทำ iui ที่ไหนดี จะเลือกอย่างไรดี วันนี้เรามีแนวทางมาแนะนำค่ะ
1. ความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาล ควรมีความสะอาด ปลอดภัย และมาตรฐานสูง
2. ความเชี่ยวชาญของแพทย์ ควรเป็นแพทย์เฉพาะทาง และมีประสบการณ์ด้านนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาได้หากมีเหตุไม่คาดฝัน
3. เครื่องมือที่ทันสมัย เหล่านี้จะช่วยให้การทำ iui มีโอกาสความสำเร็จได้
4. การดูแล และติดตามผล ควรเลือกสถานพยาบาลที่สามารถติดต่อสอบถามได้สะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการรักษา เพื่อลดความกังวลที่เกิดขึ้น
 

Q&A รวมคำถามที่คนสงสัยเกี่ยวกับการทำเด็กหลอดแก้ว

การทำ IUI สามารถเลือกเพศลูกได้ไหม
iui เลือกเพศได้แต่ไม่ 100% เนื่องจากวิธีการจะคล้ายกับวิธีธรรมชาติ ซึ่งมีโอกาสได้ลูกชายและลูกสาวที่ 50-50 เท่ากัน
 
การทำ iui โอกาสสําเร็จมากน้อยขนาดไหน
ทำ iui โอกาสสำเร็จจะมีประมาณ 10-15% ต่อครั้ง อาจสูงกว่าวิธีธรรมชาติเล็กน้อย
 
หลังทำ iui ตรวจตั้งครรภ์กี่วัน
หลังการฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกแล้ว iui กี่วันตรวจได้ โดยมากแล้วแพทย์จะตรวจการตั้งครรภ์หลัง iui 14 วัน


ข้อสรุป

การทำ IUI คือ วิธีการที่จะช่วยให้การมีลูกง่ายนั้นขึ้น ซึ่งการทำ iui ขั้นตอนจะไม่ยุ่งยาก เพียงแต่ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต้องเช็คร่างกายตัวเองก่อนว่าเข้าตามเกณฑ์ที่แพทย์กำหนดหรือไม่ หากเข้าตามเกณฑ์เบื้องต้นแล้ว ก็สามารถเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อเข้าสู่กระบวนต่อไปได้เลย

15
เพราะการมองเห็นที่ชัดเจน เป็นความหวังของผู้ที่มีปัญหาทางสายตาไม่ว่าจะสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง แต่การใส่แว่นสายตา หรือการใส่คอนแทคเลนส์เพื่อช่วยการมองเห็นก็มีอุปสรรค์บางอย่างที่น่ารำคาญ ไม่ว่าจะทั้งความหนักของเลนส์แว่นที่อยู่บนหน้า ทั้งการทำกิจกรรมบางอย่างที่ไม่สามารถใส่แว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ได้ เช่นการว่ายน้ำ อยู่ที่มีฝุ่นและลมแรง เป็นต้น

ดังนั้นเพื่อให้สามารถกลับมามองเห็นได้เหมือนคนสายตาปกติ การเข้ารับการรักษาด้วยการทำเลสิค จึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามควรจะมีความรู้ก่อนจะทำเลสิค เพราะเลสิคอาจไม่ได้เหมาะสมกับทุกคนค่ะ


ทำความรู้จัก เลสิค (LASIK)

เลสิค คือวิธีผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาสายตาต่าง ๆ เช่น สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียงอย่างถาวร ด้วยการใช้เลเซอร์ โดยจะทำการแยกกระจกชั้นตาส่วนนอกออกก่อนแล้วจึงใช้เลเซอร์ (Excimer Laser) ยิงไปที่กระจกตาส่วนที่เหลือเพื่อปรับความโค้งของกระจกตาแล้วจึงนำกระจกตาส่วนนอกมาปิดกลับเข้าที่เดิม ทำให้หลังการทำเลสิค สามารถกลับมามองเห็นได้ชัดเหมือนคนสายตาปกติ


ประโยชน์ของการทำเลสิค

เลสิคมีประโยชน์ต่อการรักษาปัญหาทางสายตาได้อย่างถาวร โดยการใช้เลเซอร์มาแก้ไขปัญหาความโค้งของกระจกตา ทำให้กระจกตากลับมาปกติ หรือเหมาะสมกับความยาวของกระบอกตา เพื่อให้แสงสามารถกระทบที่จุดจอประสาทตาได้อย่างพอดี


1. เลสิคแก้ปัญหาสายตาสั้น

สายตาสั้นเกิดจากกระจกตาที่โค้งมากเกินไป หรือกระบอกตายาวเกินไป ทำให้จุดกระทบของแสงตกก่อนจะถึงจอประสาทตา จึงทำให้การมองเห็นวัตถุระยะใกล้สามารถมองได้ชัดเจน แต่การมองเห็นวัตถุระยะไกลจะไม่ชัด ดังนั้นการทำเลสิคแก้ปัญหาสายตาสั้นจึงทำได้โดยการใช้เลเซอร์ปรับให้กระจกตามีความโค้งน้อยลง เพื่อให้การหักเหของแสงสามารถอยู่ตรงจุดจอประสาทตาเหมือนกับคนสายตาปกติ

2. เลสิคแก้ปัญหาสายตายาวโดยกำเนิด

เพราะสายตายาวเกิดจากการที่มีกระจกตาโค้งน้อยกว่าปกติ หรือกระบอกตาสั้นเกินไป ทำให้จุดกระทบของแสงตกไปหลังจอประสาทตา จึงทำให้มองเห็นวัตถุระยะไกลได้ชัด แต่มองเห็นวัตถุระยะใกล้ได้ไม่ชัด ดังนั้นการทำเลสิคแก้ปัญหาสายตายาวจึงทำได้โดยใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตาให้มากขึ้น  เพื่อให้การหักเหของแสงสามารถอยู่ตรงจุดจอประสาทตาเหมือนกับคนสายตาปกติ

3. เลสิคแก้ปัญหาสายตาเอียง

ปัญหาของผู้ที่มีภาวะสายตาเอียงคือการมองเห็นภาพไม่ชัด สาเหตุจากการที่มีกระจกตาไม่สม่ำเสมอกัน ทำให้แสงไม่สามารถกระทบไปที่จอประสาทตาได้เพียงจุดเดียว การทำเลสิคเพื่อแก้ปัญหาสายตาเอียงจึงทำได้โดยการใช้เลเซอร์ปรับให้กระจกตามีความโค้งที่เสมอกัน เพื่อให้การหักเหของแสงสามารถอยู่ตรงจุดจอประสาทตาเหมือนกับคนสายตาปกติ   


เลสิคมีกี่ประเภท อะไรบ้าง

โดยหลักการนั้น เลสิคเป็นการผ่าตัดแก้ไขความโค้งกระจกตา แต่ด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยมากขึ้น ทำให้การผ่าตัดเลสิคมีความหลากหลายมากขึ้น โดยแต่ละวิธีอาจมีข้อแตกต่างถึงกระบวนการผ่าตัด หรือผลลัพธ์และผลข้างเคียงจากการทำเลสิค


1. ReLEx SMILE ผ่าตัดเลสิคสมัยใหม่

เป็นวิธีผ่าตัดที่พัฒนาต่อมาจากการทำเลสิคแบบดั้งเดิม โดยวิธีนี้จะไม่ต้องเปิดฝากระจกตาเพื่อแยกชั้นก่อน แต่จะแยกกระจกตาออกมาเป็นรูปเลนส์ผ่านแผลขนาดเล็ก ก่อนปรับความโค้งของกระจกตาด้วยเลเซอร์ ทำให้แผลจากวิธีนี้เล็ก แผลหายไว พักฟื้นได้เร็ว และยังลดผลข้างเคียงเดิม คือลดอาการเคืองและอาการตาแห้งอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามวิธีนี้ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาสายตายาวได้

2. Bladeless FemtoLASIK ผ่าตัดเลสิคไร้ใบมีด

เป็นวิธีที่พัฒนามาจากการทำเลสิคแบบดั้งเดิม สำหรับการผ่าตัดเลสิควิธีนี้จะใช้เลเซอร์ความถี่สูงแทนการใช้ใบมีดเพื่อแยกกระจกตาส่วนนอกออก ก่อนจะใช้เลเซอร์ปรับแต่งความโค้งของกระจกตาส่วนที่เหลือ เพื่อแก้ไขปัญหาสายตา โดยวิธีนี้สามารถแยกชั้นกระจกตาได้อย่างเรียบเนียนกว่าเดิม สามารถกำหนดความหนาของกระจกตาที่ต้องการเปิดได้ ทำให้สามารถรักษาผู้ที่มีกระจกตาบางได้ มีความปลอดภัย และผลข้างเคียงน้อยกว่าวิธีดั้งเดิม

3. MicrokeratomeLASIK ผ่าตัดเลสิคแบบใช้ใบมีด

เป็นการผ่าตัดเลสิคแบบดั้งเดิม ที่ใช้ใบมีดอัตโนมัติที่มีความแม่นยำสูงในการแยกชั้นกระจกตาส่วนนอก ก่อนที่จะใช้เลเซอร์ยิงไปที่กระจกตาส่วนที่เหลือเพื่อปรับแต่งความโค้งของกระจกตา ก่อนที่จะปิดกระจกตาส่วนนอกกลับที่เดิม โดยวิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้นและเอียง แต่ข้อจำกัดคือสำหรับผู้ที่มีกระจกตาไม่หนามากพอ อาจไม่สามารถรักษาด้วยวิธีนี้ได้ และไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาตาแห้ง เพราะการทำเลสิคอาจมีผลข้างเคียงทำให้ตาแห้งกว่าปกติ

4. การทำ PRK (Photorefractive Keratectomy)

เป็นวิธ๊แก้ไขปัญหาทางสายตาโดยไม่ต้องแยกชั้นกระจกตา แต่จะทำการลอกผิวกระจกตาออกและยิงเลเซอร์เพื่อปรับความโค้งของกระจกตา ก่อนจะปิดด้วนคอนแทคเลนส์เพื่อลดการระคายเคือง สำหรับวิธีนี้จะไม่มีรอยต่อจากการผ่าตัด แต่โอกาสระคายเคืองมาก และปวดตามากกว่าวิธีอื่น ๆ วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาทางสายตาไม่มาก ผู้ที่มีกระจกตาบางจนไม่สามารถทำเลสิคได้ หรือผู้ที่ประกอบอาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการกระแทกที่ตา

5. การทำ ICL (Implantable Collamer Lens)

ICL เป็นเลนส์เสริมชนิดถาวร โดยแพทย์จะเพิ่มเลนส์เสริมนี้ไปบริเวณหลังม่านตาและหน้าเลนส์แก้ว เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับเลนส์ตาธรรมชาติ และเลนส์เสริมนี้ยังสามารถถอดออกได้หากสายตาเปลี่ยน โดยไม่ทำให้กระจกตาบางลงอีกด้วย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถทำเลสิคได้ หรือผู้ที่มีปัญหาด้านสายตามาก ๆ


ข้อดี - ข้อจำกัดของการทำเลสิค

ข้อดีของการทำเลสิค

  • สามารถแก้ปัญหาทางสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียงได้อย่างถาวร ไม่จำเป็นต้องพึ่งแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไป
  • คุณภาพชีวิตดีขึ้น จากการมองเห็นได้ชัดเจน
  • การผ่าตัดใช้เวลาไม่นาน และสามารถพักฟื้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้

ข้อจำกัดของการทำเลสิค

ข้อจำกัดจากการทำเลสิคขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและวิธีการทำเลสิค ในบางรายอาจมีข้อจำกัดทำให้ไม่สามารถทำการรักษาด้วยเลสิคนี้ได้ เช่น

  • ผู้ที่มีโรคทางตา เช่น จอประสาทตาเสื่อม ตาแห้งอย่างรุนแรง หรือมีกระจกตาที่บางเกินไป
  • ผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวข้องกับการหายของแผล เช่น เบาหวาน
  • ผู้ที่มีปัญหาทางสายตามาก ๆ เช่น สายตาสั้นมากเกินไป


ใครบ้างที่ควรทำเลสิค

  • ผู้ที่มีปัญหาในการใส่แว่นสายตา หรือใส่คอนแทคเลนส์ เนื่องจากความไม่คล่องตัว ความไม่สะดวก
  • อายุมากกว่า 20 ปี
  • มีค่าสายตาคงที่แล้วมากกว่า 1 ปี
  • ผู้ที่มีสุขภาพตาปกติดี ไม่มีโรคทางตาที่ร้ายแรง
  • ไม่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำเลสิคอย่างถูกต้อง


ใครที่ไม่ควรทำเลสิค

  • ผู้ที่มีภาวะกระจกตาบางเกินไป หรือตาแห้ง
  • มีโรคทางตาที่เป็นอันตราย หรือโรคที่ส่งผลถึงการหายของแผล
  • ผู้ที่มีค่าสายตายังไม่คงที่


ข้อปฏิบัติก่อนทำเลสิค


1. หาข้อมูลและเข้ารับการปรึกษากับแพทย์
ต้องศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจเรื่องการทำเลสิคก่อน และเข้ารับปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสุขภาพตาโดยรวมเพื่อดูว่าสามารถรับการรักษาด้วยเลสิคได้หรือไม่

2. เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้ารับการตรวจ
สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ต้องงดใส่ก่อนอย่างน้อย 3 วันก่อนตรวจเพราะมีผลต่อการวัดค่าสายตา และควรมีญาติมาด้วยเพราะจะต้องมีการหยอดตาเพื่อขยายม่านตา ทำให้ตาไม่สามารถสู้แสงได้ 4-6 ชั่วโมง

3. การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัด
ช่วงก่อนเข้ารับการผ่าตัด ควรทำให้ตาได้รับการระคายเคืองน้อยที่สุด ดังนั้นควรงดแต่งหน้า รวมไปถึงการใช้สเปรย์และน้ำหอม เพื่อลดโอกาสระคายเคือง พักผ่อนให้เพียงพอ และเนื่องจากหลังผ่าตัดไม่ควรโดนน้ำ จึงควรสระผมก่อนเข้ารับผ่าตัด


ขั้นตอนการทำเลสิค

ในวันทำเลสิค แพทย์จะหยอดยาชาเพื่อระงับความเจ็บปวด และทำการแยกชั้นกระจกตาด้วยใบมีดอัติโนมัติมาบางส่วน และใช้เลเซอร์ยิงเข้ากระจกตาส่วนที่เหลือเพื่อปรับความโค้งของกระจกตาให้เหมาะสม จากนั้นจึงนำชั้นกระจกตาที่ผ่าออกมาปิดกลับเข้าที่เดิมโดยไมต้องเย็บ แผลจะสมานได้เองในเวลาประมาณ 5 นาที


การปฏิบัติตัวหลังจากทำเลสิค

อาการที่อาจเกิดขึ้นหลังผ่าตัด
ในบางรายอาจเกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์หลังทำเลสิค เช่นน้ำตาไหล ปวดตา ตาแดง ระคายเคือง สู้แสงไม่ได้ หรือยังมองเห็นไม่ชัด

วิธีดูแลตนเองสำหรับหลังผ่าตัดทันที

  • ไม่ควรถอดฝาครอบดวงตาออกทันทีหลังผ่าตัดเสร็จ
  • หลีกเลี่ยงที่มีลมหรือฝุ่นมาก ๆ
  • ระวังไม่ให้น้ำหรือฝุ่นเข้าตา
  • ไม่ควรฝืนใช้สายตาทันทีหลังทำเลสิค พักสายตาให้ได้มากที่สุด
  • งดกิจกรรมที่ไม่จำเป็น เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับตาที่เพิ่งผ่าตัด
ข้อปฏิบัติทั่วไปหลังผ่าตัดทำเลสิค
หลังผ่าตัดทำเลสิคแล้วต้องมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจในวันถัดไป และต้องมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง รับประทานยาฆ่าเชื้อป้องกันการติดเชื้อ หลังจากนั้นควรดูแลตนเองเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นจากการติดเชื้อ หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น กระจกตาหลุด กระจกตาถลอก เป็นต้น


ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากทำเลสิค
  • ภาวะตาแห้ง เพราะการทำเลสิคทำให้ตาแห้งขึ้น
  • ตาแดง และการระคายเคือง
  • การเห็นแสงไฟจ้าในตอนกลางคืนในระยะแรก สักพักอาการจะดีขึ้น
  • การติดเชื้อ หากดูแลไม่ดี อาจเกิดการติดเชื้อหลังผ่าตัดได้


ทำเลสิคที่ไหนดี


เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญมาก ๆ ดังนั้นเพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น ลดโอกาสเลี่ยงจากการรักษาผิดพลาด การเลือกสถานที่ทำเลสิคจึงสำคัญ
  • สถานที่บริการควรสะอาด ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกระทรางสาธารณะสุข
  • จักษุแพทย์ควรมีความเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตา และมีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วย
  • เครื่องมือที่ใช้รักษาควรทันสมัย เพื่อให้การรักษาเป็นไปได้อย่างแม่นยำ และประสบความสำเร็จ
  • เจ้าหน้าที่บริการควรมีความรู้ สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง
  • ราคาที่เหมาะสม ควรเช็คราคากับหลาย ๆ ที่ และเปรียบเทียบระหว่างราคาและคุณภาพที่ตนเองสามารถยอมรับได้

ทำเลสิคราคาเท่าไหร่

เลสิคราคาเท่าไหร่นั้นขึ้นกับแต่ละวิธีที่รักษา และสถานที่บริการ

  • MicrokeratomeLASIK ราคาอยู่ในช่วง 38,000-80,000 บาท
  • Bladeless FemtoLASIK ราคาอยู่ในช่วง 50,000-100,000 บาท
  • ReLEx SMILE ราคาอยู่ในช่วง 90,000-120,000 บาท
  • PRK ราคาอยู่ในช่วง 35,000-80,000 บาท
  • ICL ราคาอยู่ในช่วง 70,000-150,000 บาท


ข้อสรุป

สำหรับผู้ที่อยากรักษาภาวะสายตาสั้น-ยาว-เอียงแบบถาวร โดยไม่ต้องพึ่งแว่นสายตาและคอนแทคเลนส์ เราควรศึกษาหาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำเลสิคก่อนเพื่อประกอบการตัดสินใจ และเข้าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินคุณสมบัติว่าสามารถรักษาด้วยเลสิคได้หรือไม่ และสามารถทำเลสิคประเภทใดได้ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำเลสิคได้นั่นเอง


16
ในปัจจุบันด้วยสถานการณ์โควิด-19 และไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ที่ใช้เวลากับการทำงานและกิจกรรมมากมายหลายอย่าง แต่กลับมีแนวโน้มที่ให้เวลาในดูแลสุขภาพน้อยลง ขาดการออกกำลังกายและการดูแลตัวเอง การออกไปฟิตเนสในช่วงนี้ก็ต้องเจอกับความเสี่ยงในเรื่องของโรคระบาดอย่างโควิท 19 การมีเครื่องออกกำลังกายขนาดปานกลางในบ้านจึงเป็นเรื่องที่มีความน่าสนใจและมีความจำเป็นอย่างมากในปัจจุบัน

จักรยานออกกำลังกาย ถือเป็นการออกกำลังแบบคาร์ดิโอที่ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ และบริหารหัวใจของเราให้แข็งแรง วันนี้มาดูกันว่า จักรยานออกกำลังกายยี่ห้อไหนดี ยี่ห้อไหนโดน



ประเภทของจักรยานออกกำลังกาย

จักรยานออกกำลังกายแบบนั่งตรง (Upright Bike)



จักรยานออกกำลังกายแบบนั่งตรง มีลักษณะคล้ายกับจักรยานทั่วไป สามารถปรับระดับความยาก-ง่ายได้ จุดเด่นของจักรยานออกกำลังกายแบบนั่งตรงคือ มีความปลอดภัยสูง ผู้สูงอายุสามารถใช้งานได้ เพราะถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้นั่งหลังตรงพร้อมกับจับแฮนด์ในขณะปั่น แต่ด้วยลักษณะการนั่ง จึงไม่สามารถ เปลี่ยนท่าทางได้มากนัก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการออกกำลังกายในระดับ เบา-ปานกลาง ช่วยออกกำลังบริหารส่วนของขาได้เป็นอย่างดี

จักรยานออกกำลังกายแบบเอนปั่น (Recumbent Bike)



จักรยานออกกำลังกายแบบเอนปั่น จะมีพนักพิงมาให้เพื่อรองรับการนั่ง และเอนหลังพิงปั่นได้ จุดเด่นของจักรยานออกกำลังกายแบบเอนปั่นคือ การที่มีพนักพิง ทำให้มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาด้านกล้ามเนื้อ, กระดูกขา รวมไปถึงผู้สูงอายุ หรือคนที่น้ำหนักมาก เพราะเป็นการนั่งปั่น จะช่วยลดแรงกระแทกตามจุดต่างๆได้ดี ทำให้ไม่เกิดแรงกระแทกใดๆ กลับมาที่กระดูกหรือช่วงสะโพกเลย และมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมาใช้งานได้อย่างเป็นปกติได้อีกด้วย

จักรยานออกกำลังกายแบบเสือหมอบ (Spinning Bike / Spin Bike)



จักรยานออกกำลังกายแบบเสือหมอบ จะมีรูปร่างคร้ายจักรยานทั่วไป แต่ความพิเศษจะอยู่ตรงที่ท่าทางในการปั่น จะเหมือนกับจักรยานเสือหมอบ จุดเด่นของจักรยานออกกำลังกายแบบเสือหมอบคือ ลักษณะการปั่นที่ สามารถปรับได้ทั้งเบาะนั้งและที่จับ เพิ่มอัตรรถรสในการปั่นได้มาก เพราะสามารถปั่นได้ทั้งแบบ นั้งปั่น หมอบปั่น และยืนปั่น สามารถปั่นด้วยความเร็วตามที่เราต้องการได้อย่างอิสระ ส่วนมากจะปั่นไปตามจังหวะของเพลง เพื่อเพิ่มอรรถรสในการออกกำลังกายให้สนุกมากยิ่งขึ้น จึงทำให้เป็นจักรยานออกกำลังกายที่เป็นที่นิยมมากที่สุด


ประโยชน์ของการปั่นจักรยานออกกำลังกาย

การปั่นจักรยานออกกำลังกายนั้น เรียกได้ว่ามีประโยชน์หลากหลาย มาดูกันว่า 5 ประโยชน์ของ การปั่นจักรยานออกกำลังกายหรือ spinbike นั้นมีประโยชน์อย่างไร? และมีจักรยานปั่นออกกําลังกายยี่ห้อไหนดีบ้าง

  • หลับสนิทตลอดคืน - การปั่นจักรยานช่วยให้ร่ายกายรู้สึกผ่อนคลาย จิตใจแจ่มใส ลดความเครียด และการปั่นทุกเช้าเป็นเวลา 30นาที ยังช่วยลดปัญหาการนอนไม่หลับ ทำให้ร่างกายหลับสนิทได้เร็วขึ้น
  • หน้าเด็กขึ้น - การปั่นจักรยานช่วยให้ร่างกายเรา ลำเลียงอ๊อกซิเจน และสารอาหารได้ดีขึ้น ช่วยขับถ่ายสารพิษในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการปั่นจักรยานออกกำลังกาย ยังช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าอีกด้วย
  • ระบบเผาผลาญดี - ในขณะที่กำลังปั่นจักรยาน ร่างกายก็จะเผาผลาญพลังงาน และเมื่อปั่นจักรยานเสร็จ ร่างกายก็ยังคงเผาผลาญพลังงานต่อไปอีก 2-3 ชั่วโมง ยิ่งปั่นจักรยานแบบเร็วสลับช้า ยิ่งทำให้ได้ผลมากกว่าคนที่ปั่นจักรยานในระดับความเร็วเดียวอีกด้วย
  • ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น - ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากมหาวิทยาลัย Bristol ยืนยันว่าการปั่นจักรยานจะช่วยกระตุ้นให้อาหารไหลผ่านลำไส้ได้เร็วกว่าซึ่งช่วยลดการดูดซับน้ำในลำไส้ใหญ่ หมายความว่าก้อนอุจจาระก็จะไม่แห้งทำให้เราถ่ายได้คล่องขึ้นนั้นเอง
  • เพิ่มประสิทธิภาพให้สมอง - จากผลการวิจัยพบว่า คนที่ปั่นจักรยานเป็นประจำทำคะแนนการทดสอบสมองได้ดีกว่า คนไม่ปั่นถึง 15%  เพราะการปั่นจักรยานช่วยกระตุ้นให้สร้างเซลล์สมองในส่วน Hippocampus ซึ่งเป็นส่วนบันทึกความจำ และยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย


วิธีเลือกจักรยานออกกำลังกาย

เทคนิคในการเลือก spin bike จักรยานออกกำลังกายยี่ห้อไหนดี ที่กำลังเป็นที่นิยม มีเทคนิคในการดูเบื้องต้นง่ายๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการมองหาจักรยานออกกำลังกายสักตัวมาไว้ใช้ที่บ้าน ดังนี้

  • จุดประสงค์ของการใช้ - ก่อนการซื้อจักรยานออกกำลังกาย การประเมินว่าจักรยานออกกำลังกายยี่ห้อไหนดี นั้นควรเริ่มจากดูที่จุดประสงค์ของผู้ใช้ว่าต้องการอะไรจากการออกกำลังกาย เช่น ลดน้ำหนักโดยการออกกำลัง 30-60 นาที อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อดูจุดเด่นของจักรยานออกกำลังแต่ละประเภท
  • น้ำหนักของล้อ ที่เหมาะสม - จานล้อเป็นจุดที่ส่งผลกับการออกกำลังกายโดยตรง ยิ่งจานล้อมีน้ำหนักมากผู้ใช้ก็ต้องยิ่งออกแรงในการปั่นมากขึ้น ผู้ที่ออกกำลังกายทั่วไปควรเลือกที่ 6-12 กิโลกรัม ผู้ออกกำลังกายแบบจริงจังอาจจะเลือกที่ 15-20 กิโลกรัม ในฟิตเนสนั้นอาจใช้จานล้อที่มีน้ำหนักมากกว่า 20 กิโลกรัมขึ้นไปได้อีกด้วย
  • แรงต้านน้ำหนัก - หากจักรยานออกกำลังรุ่นใด สามารถปรับระดับแรงต้านหรือความหนืดได้ดีนั้นก็จะสามารถออกกำลังกายได้หนักขึ้นและสามารถปรับให้เหมาะสมกับแรงของผู้ใช้ได้ดีโดยหลักๆจะมี 2 ระบบคือ
    ระบบผ้าเบรก เป็นระบบมาตรฐานที่ใช้กันโดยทั่วไปราคาไม่แพง หาอะไหล่และช่างซ่อมได้ง่าย แต่เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งอาจมีเสียงรบกวนหรือผ้าเบรกสึกหรอได้
    ระบบแม่เหล็ก เป็นระบบที่ใช้แม่เหล็กกำลังสูงเพื่อให้เกิดแรงดึงล้อขึ้น ทำให้ไม่มีเสียงรบกวน มีความแข็งแรงและใช้งานได้นาน แต่มีราคาที่สูงกว่าแบบผ้าเบรก และสร้างแรงต้านได้น้อยกว่าในบางรุ่น
  • วัสดุแข็งแรง ทนทาน คุณภาพดี - เครื่องออกกำลังกายในรูปแบบจอง spin bike มักใช้วัสดุที่ค่อนข้างแข็งแรงอยู่แล้วด้วยลักษณะของการออกกำลังที่เป็นการปั่นที่ต้องแบกรับน้ำหนักของผู้ใช้ทั้งตัว เรื่องของวัสดุจึงควรดูในเรื่องวัสดุที่เสริมในส่วนของการทนทานต่อสนิมเป็นหลัก
  • มีหน้าจอ LCD แสดงผล - การมีหน้าจอ LED แสดงผลในจักรยานออกกำลังกายนั้นจะช่วยให้สามารถดูค่าต่างๆ ของร่างกายผู้ใช้งานขณะออกกำลังได้ เช่น ความเร็ว, ระยะทาง, แคลอรี่, เวลาที่ออกกำลัง หรืออาจมีส่วนที่สามารถวัดชีพจรและอุณหภูมิได้อีกด้วยในบางรุ่น ซึ่งเป็นประโยชน์และเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี
  • ราคาเหมาะสมกับคุณภาพ - ไม่ว่าจะซื้อของประเภทใดราคากับคุณภาพสอดคล้องกันนั้นเป็นการดีที่สุด เพื่อให้ได้สินค้าที่ตรงกับคุรสมบัติที่ต้องการและงบประมาณที่มีอย่างเหมาะสม
  • สุขภาพโดยส่วนตัวของผู้ใช้ - เช่นผู้ใช้ มีอาการปวดเข่าหรือบาดเจ็บที่หัวเข่า ก็ควรเลือกจักรยานออกกำลังกายที่มีที่พิงหรือมีที่โยกเพื่อลดการบาดเจ็บของหัวเข่าไม่ให้เพิ่มมากขึ้น


10 อันดับ จักรยานออกกำลังกายยี่ห้อไหนดี ยี่ห้อไหนว้าว มาแรงแห่งปี 2022

อันดับที่ 1 จักรยานออกกำลังกาย Bebe Fit Routine Spinning Bike



พูดถึงเรื่องราคาและคุณภาพที่คุ้มๆ คงหนีไม่พ้น จักรยานออกกำลัง Bebe Fit Routine Spinning Bike เคลื่อนย้ายสะดวกง่ายดายด้วยล้อเลื่อนใต้ฐาน เหมาะกับชีวิตคนเมืองที่ต้องขนย้ายเครื่องออกกำลังเพื่อนำออกมาใช้งานและเก็บหลังใช้เสร็จเพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอย โดยมาพร้อมกับระบบวัดชีพจรแบบมือสัมผัส (Hand Pulse) และหน้าจอ LCD แสดงผล หมดห่วงเรื่องสนิมด้วยวัสดุคุณภาพ

ประเภท: Spinning/Spin Bike
ยี่ห้อ/รุ่น: North Fitness Bebe Fit Routine Spinning
ขนาด: 56.5 x 131 x 132 cm
รองรับน้ำหนัก: 150 kg.
วัสดุ: เหล็กหนา พ่นสีเคลือบกันสนิม
น้ำหนักของล้อ: 15 kg.
ราคา: 29,900 บาท

อันดับที่ 2 จักรยานออกกำลังกาย MERRIRA™ รุ่น FALCON™



ปรับความสูงของเบาะและมือจับได้ตามสรีระของผู้ใช้งาน แรงต้านระบบแม่เหล็กไร้เสียงรบกวนและระยะการใช้ยาวนานกว่าแบบผ้าเบรค หน้าจอ LCD แสดงผลข้อมูล และล้อเลื่อนที่สามารถเคลื่อนย้ายเครื่องได้สะดวกง่ายดาย ราคาเบาๆ สบายกระเป๋า

ประเภท: Spinning/Spin Bike
ยี่ห้อ/รุ่น: MERRIRA™ รุ่น FALCON™
ขนาด: 45.5 x 99 x 119 cm
รองรับน้ำหนัก: 130 kg.
วัสดุ: ไม่ระบุ
น้ำหนักของล้อ: 15 kg.
ราคา: 8,500 บาท (ราคาเต็ม 19,900 บาท)

อันดับที่ 3 จักรยานออกกำลังกาย POWER REFORM รุ่น ACTIVA™



จักรยานออกกำลังกาย POWER REFORM เบาะนั่งแบบมีพนักพิงหลังที่ใหญ่ช่วยให้การออกกำลังกายง่ายดายยิ่งขึ้น มีความเหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่กำลังเข้ารับการกายภาพบำบัด ด้วยความใหญ่ของเครื่องทำให้มีความมั่นคง ระบบสายพาน สร้างแรงต้านด้วยระบบแม่เหล็ก หน้าจอ 8 ฟังก์ชั่น สามารถเชื่อมต่อแอพเกมส์ ZWIFT ได้

ประเภท: Recumbent Bike
ยี่ห้อ/รุ่น: Power Reform รุ่น ACTIVA™
ขนาด: 63.5 x 135 x 116 cm
รองรับน้ำหนัก: 120 kg.
วัสดุ: เหล็ก
น้ำหนักของล้อ: 5 kg.
ราคา: 8,900 บาท (ราคาเต็ม 17,990 บาท)

อันดับ 4 จักรยานออกกำลังกาย OVICX รุ่น Q200



ราคาสบายกระเป๋ากับจักรยานออกกำลังกาย OVICX รุ่น Q200 ปรับองศาของเบาะและมือจับได้ตามสรีระของผู้ใช้งาน มีสายรัดเท้าป้องกันลื่น ระบบแรงต้านทานที่ควบคุมโดยแม่เหล็กไร้เสียงรบกวน

ประเภท: Spin Bike
ยี่ห้อ/รุ่น: OVICX รุ่น Q200
ขนาด: 1070×245×910 mm
รองรับน้ำหนัก: 110 kg.
วัสดุ: เหล็ก
น้ำหนักของล้อ: (Flywheel) 6.5 kg.
ราคา: 7,500 บาท (ราคาเต็ม 19,999 บาท)

อันดับที่ 5 จักรยานออกกำลังกาย Grand Sport รุ่น SM 8601RN



จักรยานออกกำลังกาย Grand Sport รุ่น SM 8601RN มาพร้อมเบาะแบบมีพนักพิงนั่งสบาย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงของการทำกายภาพบำบัดหรือผู้สูงอายุ มาพร้อมกับระบบวัดชีพจรแบบสัมผัส หน้าจอ LCD แสดงค่าต่างๆ ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่มั่นคง

ประเภท: Recumbent Bike
ยี่ห้อ/รุ่น: Grand Sport รุ่น SM 8601RN
ขนาด: 62 x 117 x 100 cm
รองรับน้ำหนัก: 100 kg.
วัสดุ: เหล็ก
น้ำหนักของล้อ: 5 kg.
ราคา: 20,000 บาท

อันดับที่ 6 จักรยานออกกำลังกาย OMA Fitness รุ่น OMA-B50-V1



ปั่นไหลลื่นไปกับ จักรยานออกกำลังกาย OMA Fitness รุ่น OMA-B50-V1 ผลิตจากเหล็ก และพลาสติก ABS คุณภาพดี แข็งแรงทนทาน ระบบแม่เหล็กพร้อมกับมือจับฟังก์ชันวัดชีพจร ปรับระดับความฝืดของการปั่นได้ด้วยระบบ Manual และหน้าจอ LCD แสดงผล

ประเภท: Upright Bike
ยี่ห้อ/รุ่น: OMA Fitness รุ่น OMA-B50-V1
ขนาด: 53 x 110 x 138 cm
รองรับน้ำหนัก: ไม่ระบุ
วัสดุ: เหล็กและพลาสติก ABS
น้ำหนักของล้อ: 6 kg.
ราคา: 8,980 บาท (ราคาเต็ม 12,900 บาท)

อันดับที่ 7 จักรยานออกกำลังกาย XtivePRO รุ่น XTIVE-00072_Magnetic Exercise Bike



จักรยานออกกำลังกาย XtivePRO รุ่น XTIVE-00072_Magnetic Exercise Bike ขนาดกระทัดรัด ดีไซน์ตอบโจทย์คนพื้นที่น้อยเคลื่อนย้ายสะดวกด้วยล้อใต้ฐาน ปรับเบาะนั่งและมือจับได้ตามสรีระของผู้ใช้งาน มีแรงต้านแบบแม่เหล็กไร้เสียงรบกวนและอายุการใช้งานยาวนาน มีที่วางสำหรับแท็บเล็ต สายรัดเท้าที่บริเวณบันไดปั่น และหน้าจอ LCD แสดงผล

ประเภท: Upright Bike
ยี่ห้อ/รุ่น: XtivePRO รุ่น XTIVE-00072_Magnetic Exercise Bike
ขนาด: 51 x 68.5 x 133.5 cm
รองรับน้ำหนัก: 120 kg.
วัสดุ: เหล็ก
น้ำหนักของล้อ: 5 kg.
ราคา: 7,790 บาท (ราคาเต็ม 10,900 บาท)

อันดับที่ 8 จักรยานออกกำลังกาย MERRIRA รุ่น MSB02



จักรยานออกกำลังกาย MERRIRA รุ่น MSB02 จักรยาน Spin Bike ปรับความสูงของมือจับและเบาะนั่งเพื่อให้เหมาะสมกับสรีระของผู้ใช้งานได้ ขับเคลื่อนด้วยระบบสายพาน ดูแลรักษาง่าย หน้าจอ Smart Screen 6 ฟังก์ชั่น มาพร้อมกับระบบวัดชีพจร

ประเภท: Spin Bike
ยี่ห้อ/รุ่น: MERRIRA รุ่น MSB02
ขนาด: 92 x 50 x 120 ซม.
รองรับน้ำหนัก: 120 kg.
วัสดุ: ไม่ระบุ
น้ำหนักของล้อ: 12 kg.
ราคา: 5,290 บาท (ราคาเต็ม 12,900 บาท)

อันดับที่ 9 จักรยานออกกำลังกาย  BAAM Spin Bike



จักรยานออกกำลังกาย  BAAM Spin Bike ที่มาด้วยดีไซน์การออกแบบและโครงสร้างที่ดูแข็งแรงมั่นคง ล้อวัสดุโลหะ มีความคงทน ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน รองรับน้ำหนักได้มาก ปรับหนืดของล้อได้ง่ายโดยการหมุน มาพร้อมกับหน้าจอการแสดงผล LED

ประเภท: Spin Bike
ยี่ห้อ/รุ่น: BAAM Spin Bike
ขนาด: 109 x 50 x 123 cm
รองรับน้ำหนัก: 120 kg
วัสดุ: ไม่ระบุ
น้ำหนักของล้อ: 6 kg
ราคา: 8,900 บาท

อันดับที่ 10 จักรยานออกกำลังกาย HORIZON รุ่น Paros



จักรยานออกกำลังกาย HORIZON รุ่น Paros เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านน้ำหนักตัวหรือข้อเข่า โดยลักษณะคือที่ปั่นยกสูงทำให้ลดแรงกระแทกจากน้ำหนักของร่างกาย รองรับน้ำหนักได้มากถึง 136 กิโลกรัม สามารถปรับเบาะนั่งและมือจับเพื่อให้เหมาะสมกับสรีระของผู้ใช้ได้ตามต้องการ ระบบแรงต้านแบบแม่เหล็กไร้เสียงรบกวน ปรับระดับแรงต้านได้ถึง 16 ระดับ และมาพร้อมกับโปรแกรมการออกกำลัง 16 โปรแกรม

ประเภท: Upright Bike
ยี่ห้อ/รุ่น: HORIZON รุ่น Paros
ขนาด: 103 X 60 X 135 cm
รองรับน้ำหนัก: 136 kg
วัสดุ: ไม่ระบุ
น้ำหนักของล้อ: 8.5 kg
ราคา: 12,665 บาท (ราคาเต็ม 16,500 บาท)


จักรยานออกกำลังกายยี่ห้อไหนดี

จบคำถาม  “จักรยานออกกำลังกายยี่ห้อไหนดี” “จักรยานปั่นออกกำลังกายยี่ห้อไหนดี” “Spin bike ยี่ห้อไหนดี” จักรยานออกกำลังกายนั้นมีหลากหลายยี่ห้อในท้องตลาดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันตามปัจจัยต่างๆ ซึ่งควรนึกถึงจุดประสงค์ความต้องการในการใช้ว่ามีจุดประสงค์ใด มีงบประมาณเท่าไหร่ สุขภาพร่างกายของเราเหมาะกับจักรยานออกกำลังกายรูปแบบใดมากที่สุด และควรดูเรื่องของการรับประกันสินค้าและความน่าเชื่อถือของร้านค้าเพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการดูแลหลังการขายที่ดี จะได้สุขภาพกายดีจากการออกกำลังและสุขภาพจิตดีไปพร้อมๆ กันนะคะ

17
ขึ้นปีใหม่แล้ว อยากจะเป็นคนใหม่ที่มั่นใจกว่าเดิม แต่จะไปออกกำลังกายที่ฟิตเนตในช่วงนี้ก็กลัวโควิดใช่ไหมล่ะคะ? ถ้าอย่างนั้นเรามาเปลี่ยนบ้านให้เป็นโฮมฟิตเนตกันดีกว่าค่ะ ทั้งปลอดภัยจากการใช้ของร่วมกับคนอื่น และยังสะดวกเพราะไม่ต้องออกจากบ้านเพื่อไปฟิตเนตด้วยค่ะ ในบทความนี้เราจะมาแนะนำ 10 อุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้าน ที่จะเป็นตัวช่วยให้การออกกำลังกายของเราหลากหลายขึ้นด้วยค่ะ

"อุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้าน"

ประโยชน์ของการออกกำลังกายที่บ้าน

1. ประหยัดเวลา อยากจะออกกำลังกายตอนไหนก็ได้

เพราะเรามีอุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านเป็นของตัวเอง ดังนั้นนึกอยากจะออกกำลังกายเช้าหรือดึกแค่ไหน จะเล่นนานแค่ไหนก็ไม่มีีใครมาว่าค่ะ ก็ของเราเองนี่เนอะ

2. ไม่ต้องกลัวคนรอใช้เครื่องต่อ

ก็เพราะอปกรณ์ออกกำลังเป็นของเราเอง แล้วยังเล่นเองอยู่ที่บ้านด้วย อยากจะครองอุปกรณ์นานแค่ไหนก็ได้ค่ะ ไหน ๆ ซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านมาแล้วก็ต้องใช้ให้คุ้มสิ!

3. ปลอดภัยจากการใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น

ในช่วงนี้โรคระบาดอย่างโควิดทำให้เราเป็นโรคระแวงในการพบเจอผู้คน และการใช้อุปกรณ์ร่วมกันใช่ไหมคะ ดังนั้น การออกกำลังกายที่บ้านจึงตอบโจทย์สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันเลยค่ะ

4. ประหยัดค่าใช้จ่ายจากการจ่ายค่าสมาชิกฟิตเนต

จะออกกำลังกายที ต้องไปจ่ายเงินค่าสมาชิกฟิตเนตที แถมราคาก็ไม่ใช่ว่าถูกด้วย แต่จะมีสักกี่คนที่เล่นอุปกรณ์ออกกำลังกายในฟิตเนตจนคุ้มกับค่าสมาชิกที่จ่ายไป ไหนจะความไม่สะดวกทั้งเวลาที่จำกัด ดังนั้นการซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านเฉพาะที่ต้องการใช้ ถือว่าเป็นการลงทุนครั้งเดียว แล้วสามารถใช้ได้อีกยาว ถือว่าคุ้มกว่าการจ่ายค่าสมาชิกแน่นอนค่ะ

ออกกำลังกายที่บ้าน Vs ออกกำลังกายที่ฟิตเนส

"อุปกรณ์ออกกำลังกาย"

หากถามว่าการออกกำลังกายที่บ้านกับการออกกำลังกายที่ฟิตเนสอย่างไหนดีกว่ากัน คงให้คำตอบแบบชัด ๆ ได้ยากค่ะ เพราะทั้งสองอย่างต่างมีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจส่วนบุคคลค่ะ แต่เราจะมาเปรียบเทียบความแตกต่างของการออกกำลังกายที่บ้านกับการออกกำลังกายที่ฟิตเนสให้เห็นกันค่ะ

ออกกำลังกายที่บ้าน

ข้อดีและประโยชน์อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในเรื่องความสะดวกทั้งเวลา ความเป็นส่วนตัว และปลอดภัยจากการใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น แต่ข้อเสียเปรียบของการออกกำลังกายที่บ้านที่อาจสู้การออกกำลังกายที่ฟิตเนตไม่ได้เลยคืออุปกรณ์ที่ครบครันกว่า เป็นไปได้ยากที่เราจะซื้ออุปกรณ์ทุกชนิดที่อยากเล่นมาไว้ในบ้านตัวเอง ไหนจะเรื่องของราคาบางเครื่องที่แพง และข้อจำกัดของพื้นที่ในบ้าน เพราะอุปกรณ์บางชนิดมีขนาดใหญ่ด้วยค่ะ ถ้าอยู่คอนโดยิ่งเป็นไปได้ยากมากที่เราจะซื้ออุปกรณ์ทั้งหมดมาไว้ในห้องเลยค่ะ

ออกกำลังกายที่ฟิตเนส

ข้อดีหลัก ๆ ของการออกกำลังกายที่ฟิตเนตเลยคือความครบครันของอุปกรณ์ออกกำลังกายค่ะ เราสามารถเลือกอุปกรณ์ที่เขากับโปรแกรมออกกำลังกายของเราได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นในฟิตเนตจะมีเทรนเนอร์คอยให้คำแนะนำเรื่องอุปกรณ์ออกกำลังกาย และการออกกำลังกายที่เหมาะสมให้เราได้ด้วยค่ะ แต่ในความเป็นจริง หลาย ๆ คนมีความไม่แน่นอนเรื่องเวลา ทำให้การมาออกกำลังกายที่ฟิตเนตทำได้ไม่ต่อเนื่อง แถมยังต้องเสียค่าสมาชิกอีกด้วยค่ะ และที่สำคัญในสถานการณ์โควิดที่เรื้อรังมานาน การจะไปพบเจอผู้คนในช่วงนี้ก็คงจะไม่เหมาะใช่ไหมคะ

แนะนำ 10 อันดับ อุปกรณ์ออกกำลังกายที่ควรมีติดบ้าน


1. เสื่อโยคะ

"อุปกรณ์โฮมฟิตเนส"

เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านที่นับว่าเป็นพื้นฐานเลยค่ะ นอกจากจะไว้ใช้สำหรับเล่นโยคะแล้ว ยังใช้ซัพพอร์ตจากการเล่นบอดี้เวทได้อีกด้วยค่ะ การเลือกเสื่อโยคะที่ดีนั้นสำคัญมาก ๆ หากคุณภาพของเสื่อโยคะไม่ดี อาจเกิดอันตรายขึ้นได้ค่ะ แถมถ้าเสื่อมสภาพเร็ว นั่นหมายความว่าเราต้องเสียเงินเพิ่มในการซื้อใหม่ เป็นการเสียเงินโดยไม่จำเป็นอีกด้วย

สำหรับเสื่อโยคะที่อยากจะแนะนำเลยคือ Bebe Fit Routine Yoga Mat วัสดุทำจากยางพาราธรรมชาติ จึงมีความยืดหยุ่นสูง พื้นผิวนิ่ม คงสภาพ ทนทาน พร้อมใช้งานได้ทันทีเมื่อปู สามารถรองรับแรงกระแทกและป้องกันการบาดเจ็บได้ดี ราคาเพียง 1790 บาทเท่านั้น

2. ลูกบอลโยคะ

"อุปกรณ์ฟิตเนส"

หรือบางคนเรียกลูกบอลพิลาทิส เจ้าลูกบอลโยคะเนี่ย ไม่ได้มีไว้สำหรับเล่นโยคะ หรือเอามานั่งเด้งเล่นเฉย ๆ ประโยชน์ของลูกบอลโยคะคือเป็นตัวช่วยฝึกความยืดหยุ่นและการทรงตัว หรือใช้บริหารกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ได้อีกด้วยค่ะ

ลูกบอลโยคะ Bebe Fit Routine Pilates Ball วัสดุทำจากพลาสติก PVC แข็งแรงทนทาน ยืดหยุ่นได้ดี ใช้เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของร่างกาย ราคาเบา ๆ 290 บาทเท่านั้นค่ะ

3. เชือกกระโดด

"เชือกกระโดดเบเบ้"

อุปกรณ์ออกกำลังกายยอดฮิตที่หลาย ๆ คนมีติดบ้าน เนื่องจากใช้งานง่าย อุปกรณ์มีขนาดเล็กเก็บง่าย พกพาง่าย การออกกำลังกายด้วยเชือกกระโดดนั้นนอกจากยังช่วยเผาผลาญแคลอรี่แล้ว ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อแขนอีกด้วยค่ะ

การกระโดดเชือกดูเหมือนจะง่าย แต่หลายคนพบปัญหากับการกระโดดเชือกไม่ได้ ด้วยความไม่ได้มาตรฐานของอุปกรณ์ค่ะ Bebe Fit Routine Speed Rope ด้วยคุณสมบัติที่สามารถปรับความยาวเชือกได้ให้เหมาะกับเรา สายเชือกทำจากลวดเหล็กหุ้มด้วยพีวีซี ละด้ามจับทำจากอลูมิเนียมผสมอัลลอย ทำให้อุปกรณ์มีความทนทาน เหมาะสมกับการใช้กระโดดค่ะ ราคาเพียง 790 เท่านั้น ไปตำกันด่วนค่ะ

4. ฮูล่าฮูป

"อุปกรณ์ออกกำลังกายราคาไม่แพง"

ฮูล่าฮูปเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านยอดฮิตไม่แพ้กับเชือกกระโดดเลยค่ะ โดยจุดเด่นของฮูล่าฮูปคือการเผาผลาญพลังงาน และยังช่วยลดไขมันและเพิ่มกล้ามเนื้อหน้าท้องอีกด้วยค่ะ ฮูล่าฮูปเหมือนจะเป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านง่าย ๆ แต่เราควรคำนึงถึงวัสดุที่ใช้ ควรจะมีมาตรฐานเพื่อให้การออกกำลังกายของเรามีประสิทธิภาพค่ะ อย่างแบรนด์ที่แนะนำคร่าว ๆ เช่น FBT, S sport, JASON เป็นต้นค่ะ

5. ดัมเบล บาร์เบล

ดัมเบล และบาร์เบลเป็นเบสิคของอุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านค่ะ ใช้งานง่าย จุดเด่นคือไว้เพิ่มแรงต้าน เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อค่ะ

"ออกกำลังกายที่บ้าน"

แต่ด้วยความไม่สะดวกของดัมเบล และบาร์เบลที่อาจใช้เพียงแค่ยกน้ำหนักอย่างเดียว อยากจะลองออกกำลังกายท่าอื่น ๆ ไปด้วยคงทำได้ยาก Bebe Fit Routine Freeform Wrist Weights ตัวนี้สามารถใช้แทนดัมเบล และบาร์เบลได้เลยค่ะ ด้วยความสามารถพิเศษคือการปรับรูปร่างได้อิสระ เราจึงนำมาพันไว้ที่ร่างกายเราเพื่อเพิ่มแรงต้าน ในขณะที่ฝึกท่าอื่น ๆ ได้ด้วยค่ะ นอกจากนี้ยังทำด้วยวัสดุชั้นดี กันน้ำ กันเหงื่อ ทำความสะอาดง่าย คุณภาพขนาดนี้กับราคา 990 บาทนับว่าคุ้มมากค่ะ

6. บาร์โหนติดประตู

"บาร์โหนติดประตู"

หากต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อช่วงบน ไหล่ หลัง แขน หน้าท้อง บาร์โหนติดประตูเป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายที่น่าสนใจเลยดีเดียวค่ะ นอกจากนี้ยังช่วยในการปรับสรีระให้หลังตรง บุคลิกดียิ่งขึ้นค่ะ

Bebe Fit Routine Pull Up Bar ติดตั้งง่าย ไม่ต้องเจาะ วัสดุแกนทำด้วยเหล็กแท้ และด้ามจับแบบบุฟองน้ำหนาคุณภาพดี พร้อมวัสดุยางยึดเกาะป้องกันการลื่นไถลที่ปลายทั้งสองด้าน และรองรับน้ำหนักผู้ใช้งานได้มากถึง 136 กิโลกรัม ราคาเพียง 1,100 บาทเท่านั้นค่ะ

7. ลูกกลิ้งบริหารหน้าท้อง

"อุปกรณ์ออกกำลังกาย อุปกรณ์ฟิตเนส"

อุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านที่น่าสนใจอีกตัวคือลูกกลิ้งบริหารหน้าท้องค่ะ ด้วยจุดเด่นของเขาคือเสริมสร้างกล้ามเนื้อช่วงลำตัว สร้างซิกแพค ลดหน้าท้องค่ะ

สำหรับ Bebe Fit Routine 2in1 Roller x Handles มาพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษที่ใช้ได้ถึง 2 วัตถุประสงค์คือ ใช้เป็นลูกกลิ้งบริหารหน้าท้อง และใช้เป็นบาร์จับได้ด้วยค่ะ วัสดุทำจาก  PP + TPE + NBR ออกแบบมาเพื่อให้สามารถรับแรงกระแทกและน้ำหนักได้สูง แถมยังพับเก็บ พกพาสะดวกด้วยค่ะ ราคา 890 บาทเท่านั้น

8. ลู่วิ่งออกกำลังกายไฟฟ้า

"ออกกำลังกาย"

การออกกำลังกายที่ทำได้ง่ายและนิยมมาก ๆ คือการวิ่งค่ะ แต่ในเมื่อจะให้ไปวิ่งนอกบ้านก็ไม่สะดวกหลาย ๆ อย่าง ลู่วิ่งออกกำลังกายไฟฟ้าจึงเป็นตัวเลือกที่ดีค่ะ แต่ข้อจำกัดคือขนาดเครื่องที่ใหญ่ และราคาสูงตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักแสนเลยค่ะ แต่ไหน ๆ จะซื้อแล้วก็ต้องเลือกลู่วิ่งออกกำลังกายไฟฟ้าที่มีคุณภาพด้วย ยี่ห้อที่เป็นที่นิยมคือ SOLE, HORIZON, JASON 

9. เครื่องออกกำลังกาย Air Walker

"เครื่องออกกำลังกาย"

เครื่องออกกำลังกายที่บ้านชิ้นใหญ่อีกตัวคือ Air Walker หรือเครื่องเดินบนอากาศ จุดเด่นคือการเดินบนแท่นเหยียบที่เครื่อง เท้าของเราจะไม่ติดพื้นค่ะ ช่วยลดแรงกระแทกจากการเดินได้เล็กน้อย แต่ก็สามารถเผาผลาญพลังงานได้เหมือนกัน และยังเป็นการบริหารช่วงอก เอว สะโพก ต้นขาได้อีกด้วยค่ะ ยี่ห้อที่เป็นที่นิยมเช่น FIT HORIZON เป็นต้น

10. จักรยานออกกำลังกายที่บ้าน

"จักรยานออกกำลังกาย"

เครื่องออกกำลังกายที่บ้านชิ้นสุดท้ายที่แนะนำคือจักรยานออกกำลังกายที่บ้านค่ะ จุดเด่นคือทำให้การออกกำลังกายนั้นง่ายและสนุกมากขึ้น สามารถดูหนังไปปั่นจักรยานไปได้เพลิน ๆ เลย แถมยังได้เผาผลาญพลังงานอีกด้วย

BEBE FIT ROUTINE SPINNING BIKE เขามาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่มากมาย เช่นมีการวัดชีพจรแบบมือสัมผัส แฮนด์และเบาะนั่งปรับระดับได้ตามสรีระของผู้ใช้ มีหน้าจอ LCD แสดงผลระยะทาง ความเร็ว แคลอรี่ และอัตราการเต้นของหัวใจ และตัวเครื่องทำด้วยวัสดุคุณภาพ เหมาะสำหรับสายฟิต ราคา 29,900 บาทค่ะ

ข้อควรระวังในการออกกำลังกายที่บ้าน

- อุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านควรได้มาตรฐาน และตรวจสอบความแข็งแรงของอุปกรณ์ก่อนใช้งานทุกครั้ง
- ควรมีการวอร์มอัพก่อนเริ่มออกกำลังกายทุกครั้งเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
- ไม่ควรหักโหมในการออกกำลังกาย ทำแต่พอดี
- หากอยู่คนเดียวควรพกมือถือติดตัว หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นสามารถแจ้งคนรอบตัวได้ทันที

ข้อสรุป ‘อุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้าน’

การออกกำลังกายที่บ้านสามารถทำได้ไม่ยาก เพียงแค่มีความรู้ และมีความตั้งใจ ก็สามารถเปลี่ยนบ้านของเราเป็นโฮมฟิตเนตได้ค่ะ ทั้งสะดวกและส่วนตัว และยังสามารถคุมค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกคนที่เริ่มสนใจการออกกำลังกายและหาอุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านนะคะ







18
การจัดฟันแบบใส จัดฟันที่มาแรงในยุคนี้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมการจัดฟันที่ไร้เหล็กแบบเดิมๆออกไป เป็นที่นิยมกันมากในตอนนี้โดยเฉพาะดารา เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และแน่นอนว่าการจัดฟันแบบใสข้อเสียก็ยังมี นั่นคือจัดฟันแบบใสราคาจะค่อนข้างสูงกว่าจัดฟันแบบโลหะธรรมดา

จัดฟันแบบใส


จัดฟันแบบใส คืออะไร ทำไมจึงเป็นที่นิยม
จัดฟัน Invisalign คือ การจัดฟันแบบใส ด้วยนวัตกรรมใหม่แบบไร้เหล็ก มีลักษณะใส สามารถถอดออกได้ โดยจะออกแบบมาเฉพาะบุคคล ช่วยทำให้ฟันเรียงตัวสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมเพราะจุดเด่นของ Invisalign คือ ใสเป็นธรรมชาติ สามารถถอดออกได้ ประหยัดเวลา ดูแลรักษาความสะอาดภายในช่องปากได้ง่าย ไร้เหล็กทำให้เวลาจัดฟันแล้วไม่ทำให้รู้ว่ากำลังจัดฟัน


จัดฟันแบบใส Invisalign มีกี่แบบ
การจัดฟันแบบใส Invisalign แบ่งออกเป็น 4 แบบเพื่อให้เหมาะกับแต่ละบุคคล

1. จัดฟันแบบใส Invisalign Full
เป็นการจัดฟันแบบใสที่ครอบคลุมทุกลักษณะฟัน เช่น ฟันซ้อน ฟันเก ฟันห่าง ฟันยื่น หรือผู้ที่เคยจัดฟันมาก่อน หรือไม่เคยจัดฟัน โดยการจัดฟันแบบ Invisalign Full  จะมีจำนวนชุดเครื่องมือมากกว่า 14 ชุด โดยใช้ระยะเวลาในการทำ 1-2 ปี

2. จัดฟันแบบใส Invisalign Lite
เป็นการจัดฟันใสที่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาฟันเก ฟันซ้อน ฟันห่าง ไม่มาก ซึ่งจะมีชุดเครื่องมือไม่เกิน 14 ชิ้น ใช้ระยะเวลาในการทำ 6 เดือน - 1 ปี

3. จัดฟันแบบใส Invisalign i7 (Invisalign Express)
เป็นการดัดฟันใสที่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการจัดเรียงฟันเล็กน้อย หรือผู้ที่จัดฟันแล้วฟันมีการคืนกลับเนื่องจากไม่ได้ใส่รีเทนเนอร์ จะใช้ชุดเครื่องมือ 7 ชุด ใช้ระยะเวลาในการทำประมาณ 6 เดือน

4. จัดฟันแบบใส Invisalign go
เป็นการจัดฟันที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสภาพฟันปานกลางไปจนถึงปัญหาที่ซับซ้อน (ต้องจัดฟันหลายซี่) เพราะมีเครื่องมือจัดฟันถึง 20 ชิ้น  ใช้ระยะเวลาในการทำ 3- 6 เดือน



ข้อดี - ข้อเสียของการจัดฟันแบบใส

จัดฟันใส invisalign

ข้อดีของการจัดฟันแบบใส Invisalign
  • ทานอาหารได้ตามใจ แม้แต่ของแข็งโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าเหล็กจะหลุด
  • ไม่มีแผลในช่องปาก เพราะไม่ต้องติดเครื่องมือจัดฟันและลวดที่เป็นเหล็ก
  • ไร้เหล็ก ทำให้มั่นใจเวลายิ้มหรือพูดคุย
  • เจ็บน้อยกว่าการจัดฟันแบบการใส่เหล็ก
  • ทำความสะอาดช่องปากง่าย
  • ไม่ต้องพบทันตแพทย์บ่อย
  • ทำได้ทุกเพศทุกวัย ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุ

ข้อเสียการจัดฟันแบบใส Invisalign
  • ต้องมีวินัยในการใส่ Invisalign วันละ 22 ชั่วโมง ซึ่งถอดได้เฉพาะเวลาทานอาหารและทำความสะอาดฟัน
  • ผู้ที่มีปัญหาฟันเก ฟันซ้อนมากๆ จะไม่เหมาะกับการจัดฟันแบบใส
  • ราคาค่อนข้างสูงกว่าการจัดฟันแบบอื่นๆ


จัดฟันแบบใส เหมาะกับใคร
  • ดารา นักแสดง หรือผู้ที่ไม่ต้องการให้ใครสังเกตเห็นเหล็กจัดฟัน เพราะอาจส่งผลในเรื่องภาพลักษณ์ บุคลิกภาพได้
  • ผู้ที่ต้องการจัดฟันแต่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่ากำลังจัดฟัน
  • ผู้ที่ประกอบอาชีพที่ต้องพบปะผู้คนและต้องมีบุคลิกภาพดี เช่น ผู้บริหาร นักร้อง นักแสดง นางแบบ พิธีกร พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
  • ผู้ที่ไม่ค่อยสะดวกไปพบแพทย์บ่อยๆ
  • ผู้ที่มีปัญหาฟันไม่ซับซ้อนรุนแรงมากตามที่ทันตแพทย์ประเมิน


เปรียบเทียบจัดฟันแบบใสแต่ละยี่ห้อ

จัดฟัน invisalign

จัดฟันแบบใส ยี่ห้อ Invisalign
เป็นยี่ห้อที่ได้รับความนิยม ผลิตทำด้วยพลาสติกโพลีเมอร์ใส จากประเทศอเมริกา ออกแบบขึ้นเฉพาะบุคคล สามารถเปลี่ยนเครื่องมือได้ด้วยตัวเองตามคำแนะนำทันตแพทย์ โดยเปลี่ยนทุก2สัปดาห์ ระยะเวลาในการจัดฟัน ยี่ห้อ Invisalign ประมาณ 6 เดือน - 2 ปี

จัดฟันใส ยี่ห้อ GIKO
เป็นการจัดฟันแบบใสจากประเทศญี่ปุ่น ผลิตเครื่องมือจัดฟันแบบใสจากแล็ปในประเทศไทย โดยผลิตจากพลาสติกใส ไร้เหล็กไร้สี เหมาะกับคนที่มีปัญหาฟันเล็กน้อย

จัดฟันใส ยี่ห้อ Zenyum
บางคนอาจมีข้อสงสัยว่าการจัดฟันแบบZenyumดีไหม งั้นลองมาทำความรู้จักกัน Zenyum เป็นการจัดฟันใสจากประเทศสิงคโปร์ เน้นแก้ไขปัญหาเฉพาะฟันหน้าทั้งบนและล่าง

จัดฟันใส ยี่ห้อ Aline
Aline เป็นการจัดฟันแบบใสจากประเทศเกาหลี ซึ่งชื่อใหม่คือ Beforedent จุดเด่นคือราคาประหยัด สะดวกไม่ต้องพบทันตแพทย์บ่อยๆ และใช้เวลาจัดฟันค่อนข้างสั้นประมาณ 3-6 เดือน


อยากจัดฟันแบบใส มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
จัดฟันแบบใสราคา แต่ละยี่ห้อจะแตกต่างกัน รวมถึงสภาพฟันแต่ละเคส โดยมีราคาเริ่มต้นดังนี้
  • Invisalign ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 40,000 - 200,000 บาท
  • GIKO ราคาเริ่มต้นโดยประมาณ เซ็ตละ 9,000 บาท
  • Zenyum ราคาประมาณ 52,430 บาท ทุกเคสราคาเดียวไม่จำกัดจำนวนชิ้นอุปกรณ์
  • Aline ราคาเริ่มต้น 37,000 บาท


ขั้นตอนของการจัดฟันแบบใส
  • เข้ารับการปรึกษากับทันตแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์ปัญหาของการจัดฟันทั้งหมด
  • เคลียร์ช่องปากให้เรียบร้อย เช่น ขูดหินปูน อุดฟัน
  • เอ็กซเรย์และถ่ายรูปช่องปาก
  • สแกนฟันแบบ3D ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
  • ใส่เครื่องมือจัดฟันแบบใส
  • นัดพบทันตแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องมือจัดฟันแบบใส
  • หลังจัดฟันแบบใส่เสร็จ ต้องรับรีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟันให้เรียงตัวสวยงาม
ทั้งนี้การจัดฟันแบบใส เหมาะกับผู้ที่ต้องการจัดฟันแต่ไม่ต้องการถอนฟัน ซึ่งการจัดฟันแบบใสของแต่ละเคสจะใช้ระยะเวลาแตกต่างกัน ระยะเวลาโดยประมาณจะอยู่ที่ 3 เดือน - 2 ปี ขึ้นกับสภาพความซับซ้อนของฟัน


ข้อปฏิบัติระหว่างการจัดฟันแบบใส
  • ต้องมีระเบียบในการใส่ชุดเครื่องมือ อย่างน้อย 20-22 ชัวโมงต่อวัน
  • ควรถอดชุดเครื่องมือเมื่อทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีสีเพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์จัดฟันใสสีขุ่น
  • ใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร เพื่อทำความสะอาดฟัน
  • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
  • ไม่เเนะนำให้ใช้แปรงสีฟันหรือยาสีฟันขัดอุปกรณ์จัดฟัน  เพราะอาจทำให้เกิดรอยได้
  • ควรใช้น้ำที่อุณหภูมิปกติกับสบู่อ่อนทำความสะอาดอุปกรณ์จัดฟัน

จัดฟันแบบใสราคา


ข้อสรุป การจัดฟันแบบใส
การจัดฟันแบบใสแต่ละแบบ สามารถช่วยแก้ปัญหาตามความซับซ้อนของฟันแต่ละบุคคลตามเคสอย่างเหมาะสม และมีหลากหลายยี่ห้อหลากหลายราคาให้เลือกตามความสนใจของแต่ละบุคคล

19
การทำครอบฟัน เป็นการบูรณะฟันแท้ตามธรรมชาติให้มีลักษณะสวยงามมากขึ้น ซึ่งเหตุผลที่ต้องบูรณะมักมาจากการที่ฟันแท้ของเราเกิดปัญหาผุ บิ่น แตก ร้าว จนส่งผลต่อรูปทรงและประสิทธิภาพการใช้งานบดเคี้ยว จึงจำเป็นต้องครอบฟันเพื่อให้ฟันแลดูสวยงาม เป็นธรรมชาติ และยืดอายุการใช้งานฟันแท้ออกไป บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการครอบฟันมาให้ว่าครอบฟันคืออะไร มีแบบไหนบ้าง ใครบ้างต้องครอบฟัน และข้อมูลอื่นๆ มาไว้ในที่เดียว

ครอบฟัน


ทำความรู้จัก “ครอบฟัน” คืออะไร

ครอบฟัน (Dental Crown) คือการทำฟันปลอมแบบติดแน่นที่ครอบคลุมทั้งตัวฟันแท้เดิม มักทำมาจากวัสดุโลหะและเซรามิก(พอร์ซเลน) เป็นทันตกรรมเพื่อการบูรณะฟันที่มีปัญหาฟันผุจนอุดไม่ได้ ฟันสึก ฟันบิ่น แตก ร้าว รวมถึงผู้ที่ทำการรักษารากฟันเทียม

เปรียบเทียบครอบฟัน สะพานฟัน วีเนียร์ แตกต่างกันอย่างไร

การทำครอบฟันคือการครอบคลุมฟันทั้งซี่เพื่อเสริมความแข็งแรงและความสวยงามให้กับตัวฟัน แตกต่างจากการทำสะพานฟัน เพราะสะพานฟันใช้ครอบฟันเพื่อเป็นตัวเชื่อมเหมือนสะพานในการทดแทนฟันที่สูญเสียไป โดยการติดตั้งจะเชื่อมติดกับฟันแท้ซี่ข้างเคียง ส่วนวีเนียร์ที่เป็นการแปะที่ผิวฟันด้านหน้าเพื่อความสวยงามเท่านั้นไม่ได้คลุมตัวทั้งตัวฟันเหมือนการทำครอบฟัน


ประเภทของการครอบฟันมีกี่แบบ

ประเภทของครอบฟันแบ่งตามวัสดุที่ใช้ผลิตครอบฟัน แบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้

1. ครอบฟันแบบเซรามิกผสมโลหะ (PFM)
ครอบฟันแบบเซรามิกผสมโลหะ มักใช้วัสดุโลหะทำเป็นโครงฟันเพื่อความแข็งแรง และใช้เซรามิกบริเวณผิวฟันโดยรอบเพื่อความสวยงาม มักใช้สำหรับฟันหน้าและฟันกรามที่ใช้บดเคี้ยว มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

2. ครอบฟันแบบเซรามิกล้วน (All Ceramic)
ครอบฟันแบบเซรามิกล้วน เป็นครอบฟันที่เน้นความสวยงาม มักใช้กับฟันหน้า มีความโปร่งแสง สามารถตกแต่งสีให้ใกล้เคียงฟันแท้ตามธรรมชาติได้ทุกสี

3. ครอบฟันแบบโลหะล้วน (Full Metal)
เป็นครอบฟันที่มีความทนทานมากที่สุด เหมาะสำหรับฟันกรามที่ใช้บดเคี้ยวเป็นประจำ ไม่เสี่ยงต่อการแตกหรือบิ่นง่าย มีสีเหมือนโลหะจึงไม่เหมาะกับใช้กับฟันหน้า เพราะสีไม่เหมือนฟันตามธรรมชาติ


มีครอบฟันมีความสำคัญอย่างไรบ้าง

การครอบฟัน

การครอบฟันมีความจำเป็นต้องทำเนื่องด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  • ครอบฟันช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับตัวฟัน กระจายแรงกดเนื่องจากการบดเคี้ยว เช่น ป้องกันฟันที่ร้าวไม่ให้ร้าวมากขึ้น หรือกรณีฟันแตกก็ครอบฟันให้สามารถใช้งานบดเคี้ยวได้ดังเดิม
  • แก้ปัญหาฟันที่ผุจนอุดไม่ได้ เนื่องจากเสียเนื้อฟันค่อนข้างมาก ต้องทำการครอบฟันเพื่อป้องกันการสูญเสียเนื้อฟันมากกว่าเดิม ปิดช่องว่างที่ผุ และทำให้ใช้งานได้ตามปกติ
  • ช่วยทำให้สีของฟันใกล้เคียงตามธรรมชาติ เสริมสร้างความมั่นใจ เรียกคืนรอยยิ้มที่สดใส
  • แก้ปัญหาฟันสึกกร่อน เนื่องจากกินอาหารที่มีกรดเป็นประจำ มีปัญหากรดไหลย้อน หรือพฤติกรรมการชอบกัดฟันที่ทำให้ฟันสึก เคลือบฟันฟันบางลง
  • ช่วยแก้ไขรูปร่างที่ผิดปกติของฟันตามธรรมชาติ เช่น ฟันเล็กจนเกินไปไม่สมดุลกับฟันข้างเคียง เป็นต้น
  • ช่วยทำให้การสบฟันดีขึ้น เติมเต็มช่องว่างระหว่างฟัน ทำให้การใช้งานบดเคี้ยวดีขึ้น และเสริมความมั่นใจในการยิ้มหรือพูดคุย
  • เป็นส่วนหนึ่งในการรักษารากฟันเทียมเพื่อการทดแทนฟันที่สูญเสียไป


ใครบ้างที่ควรได้รับการครอบฟัน

  • ผู้ที่ต้องการยืดอายุการใช้งานให้กับฟัน เนื่องจากฟันเสื่อมสภาพ มีความกังวลปัญหาฟันสึก แตก ร้าว
  • ผู้ที่ต้องการเสริมความสวยงามให้กับการเรียงตัวของฟัน ลดปัญหาฟันห่าง ฟันซี่เล็กจนเกินไป
  • ผู้ที่ฟันผุจำนวนมาก สามารถอุดได้ ต้องใช้การครอบฟันปกปิดรอยอุด
  • ผู้ที่ต้องการแก้ไขสีของฟันให้มีความสวยงามใกล้เคียงตามธรรมชาติ
  • ผู้ที่เข้ารับการรักษารากฟันเทียม


การครอบฟันมีขั้นตอนอย่างไร

1. ทันตแพทย์ทำการตรวจสภาพฟันและเหงือก X-Ray และวางแผนการรรักษาร่วมกับคนไข้
2. ทำการพิมพ์ปาก ใส่ยาชาเฉพาะที่ และกรอฟันเพื่อรองรับการติดตั้งครอบฟัน
3. ทันตแพทย์ทำครอบฟันชั่วคราวใส่ให้กับคนไข้ระหว่างรอครอบฟันจริงที่ออกแบบมาให้รูปทรงและสีใกล้เคียงธรรมชาติ (ระยเวลารอ 3-7 วัน)
4. เมื่อได้ครอบฟันจริง แพทย์จะนัดติดตั้งครอบฟัน เช็คการสบฟัน รอยต่อระหว่างฟัน อาจมีการกรอตกแต่งเพื่อให้พอดีมากขึ้น และยึดครอบฟันด้วยกาวที่ใช้ทางทันตกรรม
5. หลังจากทำครอบฟันเสร็จ แพทย์จะนัดมาตรวจเช็คครอบฟันอีกรอบ


ข้อปฏิบัติและวิธีดูแลตัวเองหลังทำการครอบฟัน

ครอบฟันมีอายุการใช้งานที่ยาวนานประมาณ 10-20 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองขอคนไข้ โดยหลังทำครอบฟันสามารถดูแลทำความสะอาดด้วยวิธีเดียวกับการดูแลทำความสะอาดฟันแท้ คือแปรงฟันให้สะอาดทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ใช้ไหมขัดฟัน หลีกเลี่ยงการกัด แทะ ของแข็ง หรือใช้ฟันฉีกซองต่างๆ บริเวณที่ทำการครอบฟัน

หากเสียวฟันควรใช้ยาสีฟันสำหรับลดอาการเสียวฟันได้ หากอาการเสียวยังไม่หายหรือมากขึ้นให้เข้าพบแพทย์ เนื่องจากผู้ที่ฟันผุและทำการครอบฟันไป เชื้อโรคอาจจะยังอยู่และทะลุโพรงประสาทฟัน จนเกิดอาการปวดหรือเสียวได้ โดยปกติแล้วแพทย์จะนัดหลังทำการครอบฟันไปเพื่อตรวจเช็คครอบฟันและสุขภาพเหงือกและฟันโดยรวมให้อีกครั้ง


ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังการครอบฟัน

ครอบฟันคือ

1. มีอาการปวดหรือเจ็บหลังครอบฟัน
หลังทำการครอบฟันอาจเกิดอาการเจ็บหรือปวดหลังยาชาที่ใช้ในการรักษาหมดฤทธิ์ คำถามคือหากปวดฟันที่ครอบต้องทำอย่างไร คนไข้สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ และอาการจะทุเลาลงและหายไปได้เอง

2. มีอาการเสียวฟันหรือไม่สบายฟัน
หลังทำการครอบฟันอาจเกิดอาการเสียวฟัน อาจเกิดจากจุดสบฟันสูง หรือรากฟันโผล่เพราครอบไม่สนิท ทำไวต่อความรู้สึกมากขึ้น สามารถใช้ยาสีฟันสำหรับอาการเสียวฟัน หากมีอาการเสียวฟันไม่มาก หรือหากอาการเสียวหรือปวดมากควรเข้าพบแพทย์

3. ครอบฟันหลวม
เกิดจากการวัสดุที่ยึดเกาะครอบฟันหลุด ทำให้มีเศษอาหารเข้าไปตามช่องว่างทำให้เกิดกลิ่นปาก ควรเข้าพบแพทย์เพื่อแก้ไข

4. ครอบฟันแตกหรือร้าว
อาจเกิดขึ้นได้หากเผลอกัด แทะ เคี้ยวของแข็ง สามารถซ่อมแซมได้โดยใช้วัสดุคอมสิท หากแตกร้าวมากอาจจำเป็นต้องทำใหม่


ค่าใช้จ่ายในการครอบฟันราคาเท่าไหร่
โดยปกติราคาครอบฟันประมาณซี่ละ 9,000-15,000 บาท ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและวัสดุที่ใช้ในการรักษา


ทำครอบฟันที่ไหนดี
ควรเลือกคลินิกทันตกรรมที่ได้มาตรฐาน สะอาดสะอ้าน มีใบอนุญาตแสดงชัดเจน แพทย์มีความชำนาญและประสบการณ์ และมีการดูแลหลังการรักษาที่ดี


ข้อสรุปเรื่องการครอบฟัน
การครอบฟันมีความจำเป็นมาก สำหรับผู้ที่มีปัญหาฟันผุมาก ฟันสึก บิ่น แตก ร้าว เพราะช่วยยืดอายุการใช้งานของฟันแท้ตามธรรมชาติได้ ไม่มีฟันปลอมชนิดไหนมีประสิทธิภาพการใช้งานได้ดีเท่ากับฟันแท้ตามธรรมชาติจริงๆ ดังนั้นหากมีปัญหาฟันดังกล่าวข้างต้น ควรเลือกการบูรณะฟันแท้ด้วยการครอบฟันแทนการถอนฟัน จะช่วยให้คุณใช้งานฟันแท้ที่มีประสิทธิภาพได้ยาวนาน และการครอบฟันยังช่วยเสริมความมั่นใจ เพราะครอบฟันช่วยให้ฟันคุณมีรูปทรงและสีใกล้เคียงธรรมชาติจนแยกไม่ออก เพิ่มความสวยงามได้กรณีคุณไม่ชอบรูปทรงหรือสีฟันเดิมได้อีกด้วย



20
การกระโดดเชือกเป็นวิธีออกกำลังกายที่ได้รับความนิยม เพราะนอกจากจะช่วยเบิร์นไขมัน ลดน้ำหนัก สร้างกล้ามเนื้อได้โดยใช้เวลาไม่ออกกำลังกายไม่นานแล้ว ยังสามารถออกกำลังกายได้ง่ายๆจากที่บ้านด้วยอุปกรณ์ราคาย่อมเยาว์เพียงชิ้นเดียว สำหรับมือใหม่หัดกระโดดเชือก บทความนี้มีแนะนำการเลือกซื้อ 10 อันดับ เชือกกระโดดยี่ห้อไหนดี แบบไหนคุณภาพดี ราคาโดน สมควรแต่การตำ มาดูกันเลย


การออกกำลังกายด้วยการกระโดดเชือก



การออกกำลังกายด้วยการกระโดดเชือก เป็นการคาร์ดิโอและแอโรบิค สามารถบริหารได้แทบทั้งตัว อาศัยส่วนต่างๆในร่างกายหลายจุดร่วมกันในการออกแรง จึงช่วยเผาผลาญไขมันและสร้างกล้ามเนื้อได้ในเวลาเดียวกัน  ไม่เพียงแต่มือใหม่ที่สนใจกระโดดเชือก นักกีฬา เช่น นักมวย ก็จำเป็นต้องกระโดดเชือกเพราะต้องสร้างกล้ามเนื้อเป็นพิเศษ ซึ่งนักกีฬานักมวยก็จะมีเชือกกระโดดเฉพาะสำหรับนักมวย แตกต่างจากบุคคลทั่วไป


ประโยชน์ของการกระโดดเชือก

  • ช่วยลดพุง เบิร์นไขมัน ส่งผลให้สุขภาพดีขึ้น
  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ โรคความดัน โรคไขมันอุดตันในเลือด
  • ช่วยฝึกสมาธิ เพิ่มความจำ เพราะการกระโดดเชือกต้องฝึกใช้สมาธิในการจับจังหวะเชือกกระโดด
  • เผาผลาญแคลอรี่ได้ดีโดยใช้เวลาน้อยกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับการจ๊อกกิ้ง


กระโดดเชือกลดส่วนไหนได้บ้าง

การกระโดดเชือกสามารถช่วยเผาผลาญไขมัน ไม่ว่าจะหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก ทำให้ร่างกายโดยรวมฟิตแอนด์เฟิร์ม


ประเภทของเชือกกระโดด

เชือกกระโดดมีหลายแบบ สามารถแบ่งตามลักษณะของเชือก ได้ดังนี้

เชือกกระโดดพลาสติก PVC

เชือกกระโดดพลาสติก เป็นเชือกกระโดดมือใหม่อย่างแท้จริง เพราะน้ำหนักเบาและหมุนได้คล่อง ควบคุมจังหวะได้ง่าย มักทำเป็นสายตันตลอดทั้งเส้น มีขนาดกลางและสีสันน่าใช้
ข้อดี : มีความโค้งตัวและอ่อนงอดี ทำให้ฝึกกระโดดได้ง่ายสะดุด สามารถเพิ่มความเร็วในการเหวี่ยงเชือกได้ง่าย
ข้อเสีย : ไม่เหมาะกับการกระโดดบนพื้นแข็งที่ไม่เรียบและขรุขระ เพราะผิวของวัสดุพลาสติกสามารถเสียหายได้

เชือกกระโดดลูกปัด

เชือกกระโดดประเภทนี้ตัวสายจะร้อยด้วยลูกปัดที่ทำมาจากหลอดพลาสติก ทำให้มีน้ำหนักมากกว่าเชือกพลาสติก PVC ในข้อแรก
ข้อดี :  ขณะกระโดดสายลูกปัดจะกระจายน้ำหนักได้ดี ทำให้คุมและควงเชือกง่าย ขณะกระโดดสายที่ร้อยลูกปัดจะโค้งเป็นรูปตัว U ทำให้มีพื้นที่สำหรับให้เท้าลอดผ่านได้ง่ายขึ้น จึงเหมาะสำหรับเป็นเชือกกระโดดสำหรับมือใหม่
ข้อเสีย : ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการความเร็วและเร่งรอบ เพราะน้ำหนักของลูกปัดทำให้หนักขึ้น

เชือกกระโดดเคเบิ้ล ไวนิล

เชือกกระโดดที่ทำจากเคเบิ้ลหรือไวนิลและเคลือบด้วย PVC มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Speed Rope เป็นเชือกกระโดดที่เน้นความเร็วสมชื่อ เหมาะสำหรับการกระโดดโดยใช้ความเร็ว เน้นคาร์ดิโอ้ เหมาะสำหรับมืออาชีพที่ต้องการเน้นความเร็วเพื่อการเผาผลาญไขมัน และมือใหม่แต่ต้องฝึกการควบคุมจังหวะให้ดีเสียก่อน
ข้อดี : มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา มีความทนทาน ด้ามจับเบา
ข้อเสีย : หากคุมจังหวะไม่ดี อาจได้รับบาดเจ็บได้

เชือกกระโดดนักมวย

เชือกกระโดดนักมวย จะแตกต่างจากเชือกกระโดดประเภทอื่นๆ ตรงที่มีน้ำหนักมากที่สุด วัสดุทำมาจากสายยาง สายเชือกหนาด้ามจับใหญ่
ข้อดี : เน้นบริหารกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรง มือใหม่ใช้สำหรับความต้องการฝึกกระโดดช้า เน้นการควงเชือกเป็นหลัก จึงควบคุมจังหวะได้ง่าย
ข้อเสีย : เชือกอาจมีน้ำหนักมากเกินไปสำหรับมือใหม่ อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บได้ง่าย

เชือกกระโดดแบบดิจิตอล

เชือกกระโดดที่ล้ำสมัย ด้ามจับอัจฉริยะที่สามารถวัดค่าต่างๆในการกระโดดเชือก ไม่ว่าจะเป็นการนับจำนวนรอบ การวัดแคลอรี่ การตั้งเวลา รวมถึงการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนหรือสมาร์ทวอร์ช เหมาะสำหรับผู้รักการออกกำลังกายในยุคดิจิตอลที่ใส่ใจสุขภาพอย่างแท้จริง
ข้อดี : สามารถเก็บสถิติการออกกำลังกายเพื่อพัฒนาการออกกำลังกายได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องนับจำนวนครั้งเอง และสามารถทราบแคลอรี่ที่เผลาผลาญได้ทันที
ข้อเสีย : หากแบตเตอรี่อ่อน อาจวัดผลไม่ได้แม่นยำ รวมทั้งอาจจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือต้องชาร์จไฟบ่อยๆ

เชือกกระโดดไร้สาย

มีความทันสมัยคล้ายกับเชือกกระโดดดิจิตอล แต่เพิ่มกิมมิคเท่ๆที่ด้ามจับ ที่ไม่มีเชือกร้อย แต่เป็นสายเชือกสั้นห้อยลูกตุ้มเล็กๆไว้ถ่วงน้ำหนักแทน
ข้อดี : เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ฝึกการหมุนข้อมือ และการกระโดด เพราะไม่เสี่ยงต่อการสะดุดเชือกและยังได้เปรียบตรงที่ใช้พื้นที่น้อยที่สุด
ข้อเสีย : เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น หากต้องการฝึกการกระโดดเชือกที่แท้จริงควรเลือกเชือกกระโดดที่มีสายจะได้ผลดีกว่า


วิธีการเลือกเชือกกระโดด

การเลือกเชือกกระโดดมีวิธีการเลือกโดยอิงตามคุณสมบัติของเชือก ดังนี้

วัสดุของเชือกกระโดด

ควรให้ความสำคัญกับวัสดุของเชือก เลือกให้เหมาะสมกับตนเอง เหมาะกับการใช้งาน ไม่ควรเลือกเชือกที่มีราคาถูกจนเกินไปเพราะนั่นหมายถึงคุณภาพของวัสดุของเชือกกระโดด อาจจะมีความทนทานน้อย ใช้ได้ไม่กี่ครั้ง หากเชือกชำรุดระหว่างกระโดดเชือก อาจะทำให้เกิดอันตรายได้ ควรเลือกวัสดุคุณภาพดี ลงทุนให้ตัวเองสักหน่อย เพื่อความทนทานและการกระโดดเชือกอย่างมั่นใจ

ความยาวและน้ำหนักของเชือกกระโดด

ความยาวของเชือกสำคัญมากในการกระโดดเชือกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความยาวที่เหมาะสมสามารถวัดได้โดยใช้เท้าเหยียบกึ่งกลางของเชือกและให้ด้ามจับเชือกทั้งสองข้างอยู่แนวเดียวกับรักแร้ จะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด สำหรับมือใหม่ควรให้ความสำคัญกับน้ำหนักของเชือก ควรเลือกเชือกที่มีน้ำหนักเบา เหวี่ยงได้ง่าย และควรเลือกเชือกกระโดดเด็กหากผู้กระโดดเป็นเด็ก

ด้ามจับเชือกกระโดด
ควรเลือกให้มีขนาดพอเหมาะกับมือ ไม่สั้นเกินไป มีร่องตามรูปนิ้วเพื่อการกระชับและมีกันลื่น โดยเฉพาะเชือกกระโดดสำหรับมือใหม่ เพื่อให้จับได้มั่นคงป้องกันการลื่นหลุดจนอาจเกิดอันตราย


7 อันดับสุดยอดเชือกกระโดด แบบไหนดีสุด

1.เชือกกระโดดเบเบ้ (Bebe Fit Routine Speed Rope For All Levels)



เชือกกระโดดของเซเลบชื่อดังอย่างคุณเบเบ้ คือเชือกกระโดดสำหรับผู้ที่สนใจกระโดดเชือกทุกระดับ วัสดุทำมาจากสายเคเบิ้ลเคลือบ PVC ทำให้เวลากระโดดเชือกและพื้นไม่เป็นรอย เชือกเส้นเล็ก มีน้ำหนักเบา สายสามารถปรับความยาวเชือกตามส่วนสูงของผู้เล่นได้ ด้ามจับกระชับมือ วัสดุเป็นลูกปืนทำให้เหวี่ยงเชือกได้ง่ายมาก ทำให้เผาผลาญไขมันด้วยการเร่งรอบกระโดดได้อย่างสบาย มี 3 สีให้เลือก คือสีชมพู สีดำ และสีเงิน

2. เชือกกระโดด Xiaomi



สำหรับแบรนด์ชื่อดังอย่าง Xiaomi ก็ผลิตเชือกกระโดดสำหรับออกกำลังกายรุ่น 3M Yunmai Smart Jump Rope ออกมาเอาใจคนชอบกระโดดเชือก ด้วยฟังก์ชั่นที่เป็นดิจิตอล สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน มีแอปพลิเคชั่นที่ช่วยบอกสถิติการกระโดดเชือก ไม่ว่าจะเป็นจำนวนรอบ แคลอรี่ การจับเวลา ดีไซน์สวย ทันสมัย แต่ต้องชาร์จแบตบ่อยครั้ง

3.เชือกกระโดด Nike



เชือกกระโดด Nike รุ่น Fundamental Speed Rope เป็นเชือกกระโดดที่เน้นความเร็วในการกระโดด เชือกมรความหนาแต่ด้วยด้ามหมุนลูกปืนทำให้หมุนรอบได้เร็ว เผาผลาญแคลอรี่ได้มาก ด้ามจับมี PVC กันลื่น ทำให้กระโดดเชือกได้อย่างไม่มีสะดุด

4.เชือกกระโดด Adidas



เชือกกระโดด Adidas รุ่น Essential สายเชือกทำจากวัสดุพลาสติก PVC มีน้ำหนักเบา สามารถปรับความยาวเชือกได้ ดีไซน์เท่ไม่ซ้ำใครตรงด้ามจับเรียวเล็กสีแดง จับถนัดมือ

5.เชือกกระโดด Decathlon



เชือกกระโดด DOMYOS จากแบรนด์ Decathlon เป็นเชือกกระโดดที่ติดตั้งพร้อมเครื่องพารามิเตอร์ติดตามผลการฝึกที่ด้ามจับ สามารถนับจำนวนรอบ แคลอรี่ และนับเวลาฝึกได้ ดีไซน์สวย ดูทันสมัย วัสดุทำจากพลาสติก PVC

6.เชือกกระโดด Super Sport



เชือกกระโดดรุ่น S Sport Skip ที่ท้าทายการกระโดดเชือกของคุณ จากแบรนด์กีฬาสุดคลาสิคอย่าง Super Sport ช่วยเพิ่มเลเวลการฝึกกระโดดเชือกได้ด้วยสายเชือกที่หนาและด้ามจับที่ปรับน้ำหนักตามความต้องการได้ ด้วยแท่งเหล็กที่สามารถใส่และถอดออกได้ที่ด้ามจับ วัสดุสายเชือกทำจากพลาสติก PVC ปรับความยาวเชือกได้ มือจับกระชับหุ้มโฟมช่วยซับเหงื่อ

7.เชือกกระโดด Reebox



เชือกกระโดด Reebox รุ่น Speed Rope เน้นการฝึกกระโดดเชือกที่เน้นความเร็ว เร่งการเบิร์น น้ำหนักพอเหมาะ ส่งแรงเหวี่ยงได้ดี ด้ามจับเรียวจับถนัดมือ น้ำหนักเยา พกพาสะดวก


ข้อสรุป 'เชือกกระโดดยี่ห้อไหนดี'

เชือกกระโดดเป็นอุปกรณ์ที่ควรลงทุนหากต้องการฝึกกระโดดเชือก มือใหม่ควรเลือกให้กระโดดได้ง่ายและปลอดภัย เพื่อสร้างกำลังใจในการกระโดด ไม่ให้รู้สึกท้อถอย ไม่ว่าจะเลือกเชือกกระโดดยี่ห้อไหน ก็ควรเลือกเหมาะกับระดับการฝึกตนเอง และเน้นที่การออกกำลังกายอย่างถูกต้องเป็นหลัก เพื่อให้การออกกำลังกายทำให้สุขภาพดีได้อย่างแท้จริง

21
หลายคนน่าจะเคยเจอปัญหาสุขภาพช่องปากเกี่ยวกับ รากฟันอักเสบ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการละเลยหรือปล่อยให้ฟันผุ โดยที่ไม่รักษาจนกระทั่งส่งผลทำให้เกิดการอักเสบที่รากฟัน และหากยังปล่อยไว้นาน ๆ ก็จะทำให้ถึงชั้นโพรงประสาทฟัน และเกิดอาการเจ็บปวดที่รุนแรง ไม่เพียงแค่นี้เพราะยังทำให้เกิดการอักเสบเป็นฝีหนองที่รากฟันอีกด้วย สุดท้ายก็จะเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค ที่จะคอยทำลายสุขภาพร่างกายส่วนอื่น ๆ ได้อีก เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น การ รักษารากฟัน คือวิธีที่ดีที่สุด แต่จะมีวิธีการรักษาอย่างไร ค่าใช้จ่ายอยู่ที่เท่าไหร่ เรามีข้อมูลมาบอกให้คุณได้รู้กันแล้ว ไปดูกันเลย




รักษารากฟัน คืออะไร?

รักษารากฟัน คือ การตัดโพรงประสาทฟันออกไป จากนั้นก็ทำความสะอาด และอุดบริเวณดังกล่าว โดยการรักษาด้วยวิธีนี้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก ซึ่งเป็นการปิดคลุมรากฟันเอาไว้ ในสมัยก่อนนั้นจะใช้วิธีรักษาโดยการถอนฟันที่มีโพรงประสาทฟันอักเสบออก แต่ปัจจุบันการรักษารากฟันถือเป็นวิธีที่จะช่วยรักษาฟันไว้ได้ โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องถอนฟันซี่นั้นทิ้งไป และยังได้ผลดีอีกด้วย


สาเหตุของการรักษารากฟัน

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าหากเราปล่อยให้ฟันผุนาน ๆ โดยที่ไม่รีบรับการรักษา จะส่งผลทำให้เกิดการอักเสบที่บริเวณรากฟันอย่างแน่นอน และเมื่อไหร่ก็ตามที่รากฟันเกิดการอักเสบคุณจะต้องได้รับการรักษาทันที เพราะหากยังปล่อยไว้นาน ๆ อาจจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยทั่วไปได้ โดยสาเหตุส่วนใหญ่ที่โพรงประสาทฟันถูกทำลายหรือตาย ก็จะเกิดจาก ฟันแตก ฟันผุรุนแรง หรือการมีอาการปวดฟัน จนเกิดการอักเสบที่รากฟัน ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ของการรักษารากฟันมีดังนี้

  • ฟันผุที่ลึกมากจนถึงโพรงฟัน เพราะเป็นการอักเสบขั้นรุนแรง
  • ฟันร้าว ฟันแตกหรืออาจจะมีการหักทะลุถึงโพรงฟัน
  • ฟันแตกหรือฟันหักไม่ทะลุถึงโพรงฟัน แต่มีการอักเสบรุนแรง
  • มีหนองเกิดขึ้นที่บริเวณปลายรากฟัน หากไม่รักษาหรือปล่อยไว้นอกจากจะเกิดอาการปวดที่รุนแรงแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพส่วนอื่น ๆ อีกด้วย
     

อาการของรากฟันอักเสบ




อาการของรากฟันอักเสบมีอาการทั่วไปที่วินิจฉัยได้ทันที คือ เหงือกบวม ซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของการเกิดรากฟันอักเสบ โดยจะมีอาการเหงือกบวมแดงจากนั้นก็จะบวมมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลทำให้ไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ นอกจากนี้ก็ยังมีอาการเสียวฟัน หากปล่อยไว้นาน ๆ นอกจากจะเกิดการติดเชื้อแล้วยังทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียฟันได้อีกด้วย แต่หากรีบรักษาคุณอาจไม่ต้องสูญเสียฟันก็ได้


รากฟันอักเสบ คืออะไร

รากฟันอักเสบ คือ ปัญหาของสุขภาพในช่องปากโดยมีสาเหตุการเกิดได้หลากหลายปัจจัยด้วยกัน แต่เมื่อเกิดการอักเสบที่รากฟัน จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพส่วนอื่น ๆ ทันที ไม่ว่าจะเป็นกระทบต่อสุขภาพตา , ลำคอ , โพรงไซนัส , สมอง และนอกจากนี้ก็ยังกระทบต่อสุขภาพส่วนอื่น ๆ โดยแล้วแต่ความรุนแรงของการอักเสบ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบที่รากฟันมีดังนี้

  • ปวดฟันโดยไม่ทราบสาเหตุ ก็เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบของรากฟันได้ หากปล่อยไว้นาน ๆ ก็จะทำให้ปวดถึงโพรงฟัน
  • เหงือกบวม เหงือกอักเสบจากการติดเชื้อ จนเกิดการสะสมเป็นเวลานานก็จะทำให้เกิดการอักเสบที่รากฟันได้
  • เสียวฟันเมื่อทานของร้อนจัดหรือเย็นจัด
   

แนวทางการรักษารากฟันอักเสบ

หากมีอาการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเหงือกอักเสบ เหงือกบวม เสียวฟัน ปวดฟัน เป็นต้น แนะนำให้คุณเข้ารับการรักษาโดยการปรึกษาทันตแพทย์ทันที เพื่อพิจารณาแผนการรักษาจากอาการที่เกิดขึ้น ซึ่งแนวทางรักษาอาจจะ รักษารากฟันหรือถอนดีกว่า ทันตแพทย์จะเป็นผู้ประเมินอาการ เช่น ลักษณะของการอักเสบ บริเวณที่เกิดการอักเสบ และปัจจัยอื่น ๆ เป็นต้น


การเตรียมตัวก่อนรักษารากฟัน

การเตรียมตัวก่อนรักษารากฟัน สิ่งแรกที่ผู้ป่วยทุกคนจะต้องมีคือ

  • กำลังใจ เพราะบางคนมีอาการกลัวว่าจะเจ็บระหว่างการรักษา แต่หากมีกำลังใจและเตรียมพร้อมมาดีก็จะไม่กังวลจนเกินไป
  • มีความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษารากฟัน ว่าเป็นอย่างไร มีวิธีการรักษาอย่างไร จะช่วยลดความกังวลได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
  • เมื่อถึงเวลารักษาแพทย์จะใช้ยาชาในจุดที่ทำการรักษาจึงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
     

ขั้นตอนการรักษารากฟัน



ขั้นตอนการรักษารากฟัน มีดังนี้

  • แพทย์จะฉีดยาชาและแยกฟันที่มีปัญหาออกจากฟันซี่อื่นก่อน โดยใช้แผ่นบางๆ ใส่ลงไปเพื่อแยกให้เห็นชัดเจน
  • จากนั้นแพทย์จะเอาฟันผุส่วนที่เสียหายออก และดูเนื้อฟันตรงไหนที่มีการติดเชื้อบ้าง ซึ่งจะต้องตัดออกเช่นกัน
  • ทำความสะอาดรากฟัน และใส่ยาในคลองรากฟัน
  • ปิดรากฟันด้วยวัสดุอุดชั่วคราวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
   

การดูแลตัวเองหลังรักษารากฟัน

การดูแลตัวเองหลังรักษารากฟัน ทำได้ดังนี้

  • ไม่ทานอาหารทันที จนกว่าอาการชาจะหาย
  • ระมัดระวังการใช้ฟันซี่ที่รักษารากฟัน งดทานอาหารที่แข็ง
  • พบแพทย์ตามนัดเพื่อลดความเสี่ยงในการถอนฟันซี่นั้นในอนาคต
     

อาการหลังรักษารากฟัน

อาการหลังรักษารากฟัน ที่คนไข้มักพบ คือ

  • ในช่วง 2-3 วันแรกหลังจากรักษาเสร็จ จะมีอาการเหงือกบวม และเจ็บปวดได้ โดยอาการจะค่อย ๆ หายเป็นปกติในเวลาต่อมา
  • มีอาการปวดรุนแรงต่อเนื่อง ไม่ทุเลาลง แบบนี้จะต้องไปพบทันตแพทย์ใหม่ เพราะอาจเกิดจากการอุดขยายคลองรากฟันทั้งที่ยังทำความสะอาดไม่หมดนั่นเอง

     

รักษารากฟัน ราคาเท่าไหร่

รักษารากฟัน ราคาเริ่มต้นก็จะอยู่ที่ประมาณ ซี่ละ 2,500 บาทขึ้นไป แต่อย่างไรก็ตาม ราคารักษารากฟัน โดยรวมแล้วอาจจะขึ้นอยู่กับการักษาว่าต้องรักษาอย่างไร เช่น ค่าใช้จ่ายจากการรักษารากฟัน ชนิดฟันกราม และต้องรักษากี่ซี่ จึงทำให้มีราคาที่แตกต่างกันออกไป คุณสามารถสอบถามกับคลินิกหรือโรงพยาบาลที่จะรักษาก่อนได้



รักษารากฟัน ที่ไหนดี

หากคุณกำลังมองหาคลินิกรักษารากฟัน แต่ไม่รู้ว่าจะ รักษารากฟันที่ไหนดี แนะนำให้เลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ ไว้ใจได้ มีสถานบริการที่สะอาด มีอุปกรณ์ครบครันโดยมีความทันสมัยและได้มาตรฐานสากล ที่สำคัญมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้บริการ แต่หากคุณยังตัดสินใจไม่ได้จริง ๆ แนะนำใช้บริการที่ คลินิกทันตกรรมสีวลี เพราะที่นี่เป็นคลินิกที่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้การดูแลรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ทั้งยังมีราคาย่อมเยา ให้คุณมั่นใจได้เลย



คำถามที่มักพบเกี่ยวกับการรักษารากฟัน

คำถามที่คนไข้มักจะถามบ่อย ๆ เกี่ยวกับการรักษารากฟันคือ

รักษารากฟันเจ็บไหม

การรักษารากฟันนั้นเจ็บแน่นอน อาจจะเจ็บกว่าการรักษาฟันในแบบอื่น ๆ ก็เป็นได้ เพราะฟันทุกซี่จะมีรากฟัน มีเส้นประสาท แต่จะเจ็บมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
อาการคนไข้แต่ละคน

รักษารากฟันใช้เวลากี่นาที

ไม่สามารถกำหนดเวลาที่ชัดเจนได้ เพราะขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร แต่ก่อนรับการรักษาแพทย์จะทำการประเมินเวลาให้ได้

รักษารากฟันกี่ครั้ง

โดยปกติเมื่อคนไข้เข้ารับการรักษารากฟันจะต้องกลับมาพบทันตแพทย์ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อที่แพทย์จะได้ติดตามผลการรักษา รวมถึงเป็นการตรวจสุขภาพช่อง
ปากด้วย



สรุป ‘การรักษารากฟัน’

ฟันถือเป็นสุขภาพร่างกายส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญและเชื่อมต่อร่างกายส่วนอื่น ๆ ให้มีสุขภาพที่ดี เพราะฉะนั้นทุกคนควรจะดูแลรักษาฟัน และสุขภาพช่องปากให้มีความสะอาด แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาสุขภาพในช่องปากตามมาเพราะหากคุณดูแลไม่ดี นอกจากจะต้องรักษารากฟันแล้วอาจจะต้องรักษาฟันในรูปแบบอื่น ๆ หรือที่น่ากลัวที่สุดคือ คุณอาจจะต้องสูญเสียฟันไปเลยก็ได้

หน้า: [1]