ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - นายน้อย

หน้า: [1]
1
ออสเตรเลียคือประเทศที่เปิดโอกาสให้ผู้ถือวีซ่าสามารถเรียนภาษาออสเตรเลียและทำงานไปด้วยได้ ซึ่เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้เสาะหาประสบการณ์ หารายได้เสริมเล็ก ๆ น้อย แต่ไม่ได้เปิดโอกาสให้มาหารายได้เป็นหลักและเรื่องเรียนเป็นรอง ดังนั้น กฎที่ผู้ถือวีซ่าต้องปฏิบัติตามก็คือ สามารถทำงานได้อย่างจำกัด เพียงแค่ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่ผู้ถือวีซ่ามาเรียนภาษาออสเตรเลียต้องทราบอีก ดังนี้

1.คนที่มาเรียนภาษาออสเตรเลียกับเว็บ https://avss.co.th/study-languages-australia/ หรือจากที่อื่น สามารถกลับไทยได้หลังเรียนจบ - วีซ่าเปิดโอกาสให้นำความรู้ที่ได้กลับไปประกอบอาชีพในประเทศบ้านเกิดได้ ส่วนคำถามที่ว่าเรียนจบแล้วใช้ทักษะที่มีขอยื่นวีซ่าทำงาน หรือวีซ่าพลเมืองถาวรได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคตมากกว่าเป็นวางแผนล่วงหน้า ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากการหลักสูตรที่เลือกเรียนก็เพื่อเพิ่มโอกาสทำงานและต่อยอดอนาคตในไทย มากกว่าแสวงหาโชคในออสเตรเลีย

2.คนที่ค่าใช้จ่ายพร้อมและมีแผนหาค่าเทอมเอาดาบหน้า – วัตถุประสงค์หลักของวีซ่านักเรียนคือการศึกษา ไม่ใช่หาเงิน ดังนั้น ผู้ยื่นวีซ่าทุกคนต้องแสดงยอดเงินสนับสนุนการเรียนต่อได้จนจบหลักสูตร ส่วนกรณีที่มีผู้สนับสนุนการเงิน ก็ต้องแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ทุ่มเงินก้อนใหญ่จ่ายเป็นค่าเทอมแล้ว แต่ผู้สนับสนุนก็ยังมีรายได้เหลือใช้ไปไม่ลำบาก

3.เลือกสถาบันดี สิ่งดีก็จะตามมา – ของถูกและดีหาได้ยากยิ่ง การศึกษาเล่าเรียนก็เช่นกัน ถ้ายอมเสียเงินหลักแสนไปกับการศึกษาทั้งทีควรเลือกสิ่งที่ดีกับตนเอง ไม่ใช่ว่าโรงเรียนราคาถูกไม่ดี แต่เพราะไม่มีใครเอาของที่ดีอยู่แล้วมาขายให้ถูกตามไปด้วย

ดังนั้น คนที่เดินทางมาเรียนภาษาออสเตรเลีย แต่อยากทำงานหาประสบการณ์ระหว่างเรียน แต่ดันไปเลือกสถาบันที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ หรือความรู้ที่เรียนมาไม่อาจส่งให้ผู้เรียนไปหางานดี ๆ ทำได้ ก็จะเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธวีซ่า ด้วยเหตุนี้ ก่อนจ่ายเงินค่าเรียน ก็ต้องคัดสรรสถาบันที่เหมาะกับตัวเองให้มากที่สุด.

2
นักกีฬา หรืออาชีพที่เกี่ยวข้องกับวงการกีฬานั้น ก็มีความจำเป็นใช้เบอร์มงคลให้เหมาะกับตัวเอง ไม่แพ้อาชีพอื่น เพราะนักกีฬาเป็นอาชีพที่ต้องการประสบความสำเร็จ ต้องการความเด่นดัง โดยเฉพาะตัวเลขที่ช่วยเสริมเกี่ยวกับพลังการแข่งขัน พลังกาย ให้พลังด้านดวง ความโชคดี และช่วยในการพลิกสถานการณ์
 
นักกีฬา หรือผู้ที่ประกอบอาชีพในวงการกีฬาควรใช้เบอร์มงคลดังต่อไปนี้

เลข 5 – เป็นเลขหลักที่ต้องมีเอาไว้ถ้าอยากได้เบอร์จากเว็บ http://www.เบอร์เสริมเฮง.com/horo.php เพราะเลข 5 หมายถึงพลังงานด้านสติปัญญา ที่ช่วยหนุนส่งเสริมให้คนที่ครอบครองเบอร์นั้น ๆ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และเป็นที่ยอมรับแก่ผู้ที่ได้พบเจอ

เลข 33 – ความจริงเลขนี้ แสดงถึงความฉุนเฉียว เร่าร้อน จนอาจส่งผลให้เวลาทำอะไรไม่มีสติ ขาดความยั้งคิด แต่เมื่อใดที่มีเลข 5 กำกับแล้ว เลข 33 นั้น จะมีความหมายไปในทางที่ดี กล่าวคือช่วยสร้างความเร่าร้อน ส่งเสริมบุคลิกภาพที่เป็นคนไฟแรง ให้กับเจ้าของเบอร์ได้ (เลข 5 หมายถึงพลังด้านปัญญา) ซึ่งส่งผลเรื่องชื่อเสียง เป็นที่ชื่นชอบ และเกี่ยวกับตำแหน่งทางด้านการกีฬาอีกด้วย

เลข 39 – เป็นเบอร์มงคลที่หมายถึงพลังแห่งความกดดันเป็นที่แน่นอนว่าวิถีชีวิตของนักกีฬาตองเผชิญการแข่งขันและความกดดันตลอด หากมีเลข 5 มาช่วยค้ำจุน ก็จะมีความหมายไปในทิศทางที่ดีขึ้น กล่าวคือเลข 5 หมายถึงสติปัญญา เมื่อจับคู่กับเลข 39 ที่หมายถึงการกดดันแล้วจะมีความหมายถึงไหวพริบ ปฏิภาณ ในการเอาตัวรอด หรือการเอาชนะระหว่างการแข่งขัน ไม่ว่าเป็นกีฬาประเภทไหนก็ตาม

เลข 93 - คือเบอร์มงคลที่หมายถึงความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการแข่งขัน ด้านการงาน ด้านความรัก ชีวิตส่วนตัว มีสุขภาพดีเป็นต้น นอกจากนี้ หมายเลข 93 ยังหมายถึงการความประสบความสำเร็จชนิดที่น่าทึ่งและเป็นที่น่าจับตามอง หรือประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่พูดถึงกันอย่างแพร่หลาย.

3
คอเกมทราบกันว่า SONY กำลังปล่อยเครื่องหมายการค้าตัวใหม่อย่าง PS5 โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาก็มีการจำหน่ายไปแล้วในบางประเทศ และก็ตามมาด้วยประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้เข้ามาเยอะมากนัก คาดว่าหลังปีใหม่นี้ จะเริ่มทยอยเข้ามามากขึ้น แต่ประเด็นที่กล่าวมาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้านำมาเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอินเดีย

เนื่องจาก SONY ไม่สามารถจำหน่ายเครื่องหมายการค้า PS5 ของตนเองได้ และต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดการ เนื่องจากถูกมือดีชาวอินเดียนำชื่อ PS5 ไปจดทะเบียนเครื่องหมายทางการค้าก่อนแล้ว ซึ่งภายหลังได้สืบทราบว่ามือดีที่กระทำการอุกอาจในครั้งนี้มีนามว่า “Hitesh Aswani”

นอกจากนำชื่อไปจดเครื่องหมายการค้าแล้ว ยังลักลอบขายสินค้าปลอมด้วย

การกระทำของหนุ่มอินเดียรายนี้ เกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับกันได้ง่าย ๆ หนำซ้ำทาง Sony ยังต้องมาวิ่งเต้นสะสางปัญหาให้จบอีก บรรดาชาวเน็ตจากเว็บบอร์ด Reddit จึงช่วยเหลือด้วยการสืบเสาะวีรกรรมของหนุ่มอินเดียรายนี้ต่อ

จนพบข้อมูลสำคัญว่า นอกจากจะชิงจดเครื่องหมายการค้าไปก่อนแล้ว ยังแอบลักลอบเปิดร้านค้าและอุปกรณ์เสริมปลอมภายใต้ชื่อ PS4 อีกด้วย ในที่สุดเรื่องนี้ก็ถูกส่งไปถึง Sony ทำให้ต้องมานั่งไล่ลบสินค้าทั้งหมดที่ลงขายในเว็บไซต์ Amazon

ยังมีการสืบค้นข้อมูลสำคัญอีกด้วยว่า ชาวอินเดียรายนี้ชิงจดเครื่องหมายการค้า PS4 มาแล้วเป็นเวลากว่า 3 เดือน เมื่อวิเคราะห์การกระทำในอดีตทั้งหมดแล้ว ก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าเจตนาส่อไปทางที่ไม่ดีแน่ ๆ บรรดาแฟนคลับ จึงของส่งกำลังใจไปให้ Sony สามารถผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ได้ เพื่อที่ชาวอินเดียจะได้มีสิทธิ์ครอบครองเจ้าเครื่องเล่นวีดีโอเกมชนิดนี้

กระทรวงพานิชย์ไทยเคยเตือนให้ไปจดเครื่องหมายทางการค้าให้เรียบร้อย เช่นเว็บ https://idgthailand.com/เครื่องหมายการค้า/ ซึ่งการจดผ่านช่องทางออนไลน์ถือว่าสะดวกและรวดเร็วที่สุด เพียงเท่านี้ ก็ช่วยแก้ปัญหาโดนชาวต่างชาติแย่งจดทะเบียนได้แล้ว

4
อาชีพผู้ทำบัญชีหรือสำนักงานบัญชีทั้งหลาย ถือเป็นอาชีพที่ต้องแบกรับ “ความหวัง” ลูกค้าเอาไว้สูงมาก ในต่างประเทศ (The Sleeter Group) มีผลสำรวจความต้องการหลัก ๆ ของลูกค้าระดับเจ้าของกิจการ SMEs ที่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่ไม่เคยจ้างสำนักงานจัดทำบัญชีและกลุ่มที่เคยจ้างแล้ว ซึ่งความต้องการของลูกค้าทั้งสองกลุ่มแบ่งออกได้ดังนี้

1.ความต้องการของลูกค้ากลุ่มแรก ที่มีต่อสำนักงานบัญชี

คือกลุ่มลูกค้า SMEs ที่ไม่เคยใช้บริการเว็บ https://www.accountchannels.com/ ซึ่งเป็นสำนักงานจัดทำบัญชี ความต้องการหลักของลูกค้ากลุ่มนี้ ได้แก่ 1.การวางแผนภาษี (60%) 2.การขอคืนภาษี (53%) 3.การช่วยวางแผนธุรกิจ (37%) 4.การสอบทานและตรวจสอบเอกสาร (37%) 5.การช่วยวางกลยุทธ์ธุรกิจ (35%) 6.การจัดการและวางแผนการเงิน (35%)

จากผลการสำรวจความต้องการของลูกค้ากลุ่มแรก ที่มีต่อสำนักงานบัญชีข้างต้น อาจไม่น่าแปลกเท่าไหร่ หากนำมาเปรียบเทียบกับงานที่หลายหน่วยงานกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากส่วนใหญ่ลูกค้ามักตั้งความคาดหวังเอาไว้ว่าจะต้องให้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาษีเป็นหลัก
 
2.ความต้องการของลูกค้าสำนักงานบัญชี กลุ่มที่สอง

เป็นลูกค้าที่เคยใช้บริการสำนักงานบัญชีมาก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งบริการที่ลูกค้ากลุ่มที่สองต้องการนั้น เรียกได้ว่ามีความแตกต่างจากกลุ่มแรกพอสมควร ได้แก่ 1.การช่วยวางแผนธุรกิจ (25%) 2.การช่วยวางกลยุทธ์ธุรกิจ (25%) 3.การช่วยแนะนำเครื่องมือที่ใช้สอดส่องดูแลธุรกิจ เช่น Software ที่เป็นประโยชน์ (21%) 4.การช่วยวิเคราะห์ธุรกิจ (20%) 5.การเป็นตัวแทนช่วยพูดคุยกับหน่วยงานตรวจสอบของรัฐบาล (17%) 6.การจัดการและวางแผนภาษี (17%)

เมื่อนำลูกค้าทั้งสองกลุ่มมาเปรียบเทียบกัน จากผลการสำรวจความต้องการต่อสำนักงานบัญชี พบว่าลูกค้ากลุ่มแรกที่อยู่ในช่วงเริ่มเปิดกิจการคาดหวังว่าจะต้องช่วยเหลือเรื่องการยื่นภาษีเป็นหลัก แต่เมื่อดำเนินกิจการมาสักระยะหนึ่งแล้ว ลูกค้ากลุ่มแรกกลับมีความต้องการที่นอกเหนือขอบเขตทางด้านภาษี นั่นก็คือ การเป็นคู่คิดให้กับธุรกิจ.

5
บรรดาคนที่ไปเรียนต่อออสเตรเลีย หรือตามประเทศออื่น ๆ โดยส่วนมากต้องพบเจอกับการ “ปรับตัว” ซึ่งการปรับตัวของการเรียนเมืองไทยนั้น ถือเป็นเรื่องง่าย ที่ใครก็ทำได้ แต่เมื่อไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว ทั้งวัฒนธรรม ภาษา และอะไรอีกลายอย่าง ก็ล้วนแล้วเป็นความท้าทายใหม่ ๆ ที่ต้องเผชิญกับมัน
 
ลำดับแรกของการปรับตัว เมื่อไปเรียนต่อออสเตรเลียคือสภาพอากาศ

คนที่มาเรียนต่อออสเตรเลีย (หรือผู้ที่สนใจแต่หาข้อมูลอยู่ก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดได้ https://avss.co.th/เรียนต่อออสเตรเลีย/ ) เช่น ในเมืองเมลเบิร์น เพียง 1 วัน สามารถพบเจอได้ถึง 4 ฤดูกาล บางวันหากมีอากาศสดใสท้องฟ้าสวย แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่งโมงก็ดันมีเมฆฝนดำลอยมา และเมื่อตกเย็นก็จะมีอากาศที่หนาวเย็นตามมาได้อีก ดังนั้น อย่าไว้ใจสภาพอากาศที่นี่

การปรับตัว เมื่อไปเรียนต่อออสเตรเลียมีอะไรอีกบ้าง

1.การเดินทาง – หากคนไปเรียนต่อออสเตรเลียใช้บริการขนส่งมวลชน จะพบว่า 95% ของขนส่งมวลชนอย่าง รถเมล์ รถไฟ รถราง และอื่น ๆ ตรงต่อเวลามาก จึงควรโหลดแอพพลิเคชั่นบอกเวลารถของออสเตรเลียไว้ด้วย และควรไปถึงสถานีก่อนประมาณ 10 นาที เนื่องจากรถบางสายหากพลาดแล้วบางทีต้องรอต่อไปเป็นนานมาก

2.ภาษาอังกฤษหลากหลายสำเนียง – คนที่ไปเรียนต่อออสเตรเลียต้องเก่งภาษากันอยู่แล้ว ซึ่งที่นี่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูงมาก ทำให้ภาษาอังกฤษของมีสำเนียงต่างกันไป ปะปนของภาษาถิ่นภาคต่าง ๆ ของสหราชอาณาจักร และยังนำคำศัพท์ของชาวพื้นเมืองอะบอริจินมาใช้ด้วย ทำให้ฟังยากและยังมีคำศัพท์แสลงที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีก

3.เคร่งครัดในกฎระเบียบ – คนที่ไปเรียนต่อออสเตรเลียหากมาทำผิดกฎระเบียบ บางครั้งก็ต้องเสียค่าปรับเป็นเงินสูงมาก และมีบทลงโทษต่าง ๆ ของคนฝ่าฝืนกฎ ถึงแม้เป็นเรื่องเล็กแต่บทลงโทษก็ถือว่ารุนแรงกว่าที่ไทย และเมื่อชินกับการกฎทีนี่แล้ว จะพบว่านี้แหละทำให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อยน่าอยู่

4.คนที่มาเรียนต่อออสเตรเลียเป็นเพื่อนกับทุกคนได้ – วัฒนธรรมออสเตรเลียไม่ซีเรียสเรื่องอายุ ไม่ค่อยสนใจภูมิหลังว่าเป็นมายังไง หรือใหญ่มาจากไหน คนที่นี่เป็นมิตรให้ความเป็นกันเองกับทุกคน ต่างจากไทยที่ให้ความสำคัญกับความอาวุโส ยศถาบรรดาศักดิ์ ทำให้ที่ออสเตรเลียทุกคนเท่าเทียมกัน บางทีก็มีคนอายุน้อยกว่าทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนกัน แต่ก็อย่าพึ่งไปโกรธเคือง เพราะนี่แสดงถึงความเป็นมิตร.

6
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมมือกับ บก.ปอศ.-บีเอสเอ เพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ (Software) เพื่อลดอัตราการละเมิดสินค้าดังกล่าว หลังจากตรวจพบว่า ไทยได้เข้ามาติดอันดับ 3 ของประเทศในภูมิอาเซียน ที่มีอัตราละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาประเภทซอฟต์แวร์มากที่สุด และยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยว่า ช่วงที่จัดอันดับการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ภายในองค์กรธุรกิจของกลุ่มประเทศในอาเซียน ได้แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีสถิติการละเมิดซอฟต์แวร์ ในอัตราร้อยละ 66  หรือเป็นอันดับที่ 3 ของอาเซียน ส่วนอันดับ 1 เป็นของอินโดนีเซียร้อยละ 83 และ 2 คือเวียดนามร้อยละ 74

เตรียมออกกฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์เพิ่มเติม เพื่อแก้ปัญหา

กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้เตรียมแผนการพัฒนากฎหมายลิขสิทธิ์เอาไว้จำนวน 2 เรื่อง เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แผนแรกคือการเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองเจ้าของผลงานในยุคดิจิทัล ที่ขณะนี้อยู่ในระหว่างปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเตรียมเป็นภาคี WCT
 
แผนสองคือการเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองลิขสิทธิ์ของตัวนักแสดง ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการดำเนินงาน พร้อมกันนี้ ยังได้ตั้งความหวังไว้ว่าอัตราการละเมิดทรัพย์สินทางปัญหา โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ที่มีการละเมิดอย่างกว้างขาวงในประเทศไทยจะลดจำนวนลงในเร็ววัน

จากประเด็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของประเทศไทย ทางด้านรองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้ให้ความเห็นว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยที่ผ่านมามีการจับกุมคดีที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นจำนวน 469 คดี หรือเพิ่มขึ้นจาก 395 คดี ขณะที่มูลค่าความเสียหายจากคดีทั้งหมดมีจำนวนอยู่ที่ 464 ล้านบาท ลดลงจาก 661 ล้านบาท
 
หลายองค์กรให้ความร่วมมือเรื่องลิขสิทธิ์ แต่บางองค์กรก็ไม่ได้สนใจเลย

ในช่วงที่ผ่านมาก บก.ปอศ. ได้ดำเนินการประชาสมพันธ์เรื่องลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ผ่านช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ซึ่งพบว่ามีหน่วยงานและองค์กรหลายแห่งมีความรู้และเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ก็มีองค์กรบางแห่งที่ยังคงปล่อยปละละเลยในเรื่องนี้

ดังนั้น ต้องฝากถึงองค์กรต่าง ๆ ให้ตระหนักถึงผลลัพธ์ของการละเมิดที่จะตามมาด้วย เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย รวมถึงความเสี่ยงในด้านอื่น ๆ ที่สามารถทำความเสียหายให้กับองค์กรได้ และในวันข้างหน้าจะมีการเพิ่มมาตราการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ ก็จะมีการบังคับใช้กฎหมายกับองค์กรอย่างเข้มงวดต่อไป

นอกจากนี้ บก.ปอศ. ยังได้ฝากให้รัฐบาลดำเนินการปรับปรุงกฎหมายลิขสิทธิ์และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถสั่งปิดเว็บไซต์ หรือดำเนินคดีได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็ได้แสดงความต้องการให้รัฐบาลบล็อกเว็บไซต์อย่างถาวรและจับกุมผู้กระทำความผิดให้เห็นชัดเจนและทั่วถึง.

7
เมื่อเกิดความคิดริเริ่มประกอบธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำให้จดทะเบียนบริษัทไว้ก่อน เพื่อช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากบริษัทมีอายุการจัดตั้งนาน ๆ ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้มากขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนดำเนินการจดทะเบียนเป็นบริษัทของตนเอง ต้องลองสำรวจดูก่อน ว่ามีความพร้อมดังต่อไปนี้มากน้อยเพียงใด
 
1.ค่าใช้จ่ายสำหรับจดทะเบียนบริษัท

อันดับแรกคือ “เงินลงทุนและค่าใช้จ่าย” เพื่อนำมาใช้ดำเนินการจดทะเบียนบริษัท ที่ต้องจ่ายให้กับกรมพัฒนาธุรกิจและการค้าในราคาประมาณ 10,000-15,000 บาท นอกจากนี้ ยังต้องจ่ายเงินค่าเช่าสำนักงาน ค่าจ้างพนักงาน ค่าจ้างทำบัญชีและค่าสอบบัญชี ค่าวัสดุสิ้นเปลืองสำนักงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย

ส่วนทางด้านเงินลงทุนนั้น คนที่ต้องการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเป็นของตนเอง ต้องมีเงินสดเป็นเงินทุนหมุนเวียนเก็บเอาไว้ด้วย ซึ่งหากเงินเก็บไว้มีไม่เพียงพอ ก็จำเป็นต้องแปลงสินทรัพย์ที่ครอบครอง เพื่อนำมาเป็นเป็นทุน เช่นบ้าน รถ บัตรเครดิต เป็นต้น ทั้งหมดนี้ ถือเป็นความพร้อมข้อแรกที่ทุกคนต้องมี

2.ลำดับต่อมาก่อนเริ่มต้นจดทะเบียนบริษัทคือ “ความรู้และลูกค้า”

การจดทะเบียนบริษัทเพื่อประกอบธุรกิจไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด แต่การให้บริษัทอยู่อย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง ถือเป็นเรื่องที่ยากพอควร แต่ไม่ก็ไม่เกินความสามารถของคนอยู่ดี เพียงแค่ต้องอาศัยความรู้ในเรื่องภาษีบัญชีและความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจนั้น ๆ ประกอบด้วย นี่จึงนับเป็นอีกความพร้อมที่สามารถส่งเสริมให้ธุรกิจที่ทำอยู่ประสบความสำเร็จได้ ไม่วันนี้ก็วันข้างหน้า

ส่วน “ลูกค้า” ก็นับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการจดทะเบียนบริษัท ที่ต้องมาก่อนความพร้อม มาก่อนความรู้ หรือมาก่อนค่าใช้จ่ายและเงินลงทุน ดังนั้น หากมีลูกค้าอยู่ในมือและมองเห็นอัตราเติบโตของธุรกิจในระยะยาวอยู่แล้ว การจดทะเบียนเป็นบริษัทนิติบุคคล ก็จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด

3.สิ่งสุดท้ายที่ต้องคำนึงก่อนจดทะเบียนบริษัทคือ “ภาษี”

การเปรียบเทียบแค่จำนวนเงินภาษีบุคคลธรรมดากับบริษัท ไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจจดทะเบียนบริษัท เนื่องจากเป็นบริษัท จึงจำเป็นที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับส่วนอื่น ๆ ด้วย ได้แก่ ค่าจดทะเบียนสำหรับจัดตั้งบริษัท ค่าใช้จ่ายจริงในการประกอบกิจการ ค่าใช้จ่ายในการจัดทำบัญชี ค่าใช้จ่ายในการสอบบัญชี ไปจนถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการด้านเอกสาร เป็นต้น
 
ค่าใช้จ่ายดังกล่าว ถือว่ามีความสำคัญมากต่อใครก็ตามที่คิดจะจดทะเบียนบริษัท ดังนั้น ตัวเลขของบริษัทที่จะนำไปเปรียบเทียบกับภาษีบุคคลธรรมดานั้น ต้องมีการบวกเพิ่มค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ครบถ้วนก่อน และเมื่อคำนวณออกมาแล้วพบว่า ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ในปริมาณสูงพอสมควร ถึงจะพิจารณาจดทะเบียนเพื่อเปิดบริษัทเป็นของตนเองได้ โดยไม่เกิดปัญหา.

หน้า: [1]