ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - สอนบัญชีเรื่องง่าย

หน้า: [1]
1
การทำความเข้าใจ วิธีคิดโอที ให้ถูกต้องเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ ฝ่ายบุคคล และพนักงานทุกคน เพราะการคำนวณค่าล่วงเวลา (Overtime) ไม่ได้มีเพียงสูตรเดียว แต่มีความซับซ้อนตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป โพสต์นี้จะอธิบาย วิธีคิดโอที ทุกรูปแบบอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถคำนวณค่าตอบแทนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน

วิธีคิดโอที คืออะไร ? หาค่าจ้างต่อชั่วโมงอย่างไร

ขั้นตอนแรกและเป็นหัวใจของ วิธีคิดโอที ทุกประเภท คือการคำนวณ "ค่าจ้างรายชั่วโมง" ให้ได้เสียก่อน เพื่อใช้เป็นฐานในการคำนวณในลำดับถัดไป

สูตรคำนวณค่าจ้างรายชั่วโมง:
(เงินเดือน ÷ 30 วัน) ÷ จำนวนชั่วโมงทำงานปกติใน 1 วัน

ตัวอย่าง:
พนักงานรายเดือนมีเงินเดือน 22,500 บาท ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง
ค่าจ้างต่อชั่วโมงจะเท่ากับ (22,500 ÷ 30) ÷ 8 = 93.75 บาท

วิธีคิดโอที มีกี่แบบ? และมีวิธีคิดอย่างไรบ้าง
เมื่อเราทราบค่าจ้างรายชั่วโมงแล้ว สามารถนำมาใช้คำนวณค่าล่วงเวลาในแต่ละกรณีได้ดังนี้

วิธีคิดโอที วันทำงานปกติ
เป็นการทำงานที่เกินจากเวลาทำงานปกติในวันทำงานทั่วไป เช่น ทำงานเกิน 8 ชั่วโมงในวันจันทร์-ศุกร์ กฎหมายกำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนในอัตราไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของค่าจ้างปกติ

สูตร: จำนวนชั่วโมงที่ทำโอที x 1.5 x ค่าจ้างรายชั่วโมง
ตัวอย่าง: ทำโอทีในวันปกติ 3 ชั่วโมง จะได้รับค่าล่วงเวลา 3 x 1.5 x 93.75 = 421.88 บาท

เป็นการมาทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ "ในช่วงเวลาทำงานปกติ" ซึ่งมีเกณฑ์การจ่ายที่แตกต่างกัน

วิธีคิดโอที ลูกจ้างรายเดือน

สำหรับลูกจ้างรายเดือน (ผู้มีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างในวันหยุด): จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่ม ไม่น้อยกว่า 1 เท่า

สูตร: จำนวนชั่วโมงที่ทำงาน x 1 x ค่าจ้างรายชั่วโมง
ตัวอย่าง: มาทำงานในวันหยุด 8 ชั่วโมง จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่ม 8 x 1 x 93.75 = 750 บาท
วิธีคิดโอที ลูกจ้างรายวัน

สำหรับลูกจ้างรายวัน (ผู้ไม่มีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างในวันหยุด): จะได้รับค่าตอบแทน ไม่น้อยกว่า 2 เท่า

เป็นการทำงาน "ล่วงเวลา" ในวันหยุด ซึ่งหมายถึงการทำงานเกินชั่วโมงทำงานปกติในวันที่เป็นวันหยุด ถือเป็นกรณีที่ลูกจ้างจะได้รับค่าตอบแทนในอัตราสูงที่สุด

สูตร: จำนวนชั่วโมงที่ทำโอที x 3 x ค่าจ้างรายชั่วโมง
ตัวอย่าง: ทำโอทีในวันหยุดเป็นเวลา 4 ชั่วโมง จะได้รับค่าล่วงเวลา 4 x 3 x 93.75 = 1,125 บาท

วิธีคิดโอทีที่ถูกต้อง สำคัญกับการทำงานในองค์กรอย่างไร ?
โดยสรุปแล้ว การทำความเข้าใจ วิธีคิดโอที อย่างถ่องแท้ถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งนายจ้างและลูกจ้าง หัวใจสำคัญของการคำนวณทั้งหมดเริ่มต้นจากการหา "อัตราค่าจ้างรายชั่วโมง" ให้ถูกต้องเสียก่อน จากนั้นจึงนำไปคำนวณตามอัตราที่กฎหมายกำหนดในแต่ละกรณี ไม่ว่าจะเป็นอัตรา 1.5 เท่าสำหรับการล่วงเวลาในวันทำงานปกติ, อัตรา 1 เท่า หรือ 2 เท่าสำหรับการทำงานในวันหยุด และอัตรา 3 เท่าสำหรับการทำงานล่วงเวลาในวันหยุด

การจ่ายค่าล่วงเวลาที่ถูกต้องไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานเพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่พนักงาน ซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีในที่ทำงานอย่างยั่งยืน
 
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีคิดโอที (FAQ)
Q: หากนายจ้างให้ค่าโอทีสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดได้หรือไม่?
A: สามารถทำได้ การกำหนดอัตราขั้นต่ำในกฎหมายมีไว้เพื่อคุ้มครองลูกจ้าง แต่นายจ้างสามารถจ่ายค่าตอบแทนในอัตราที่สูงกว่าได้

Q: การทำงานล่วงเวลาจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนหรือไม่?
A: ตามหลักกฎหมายแล้ว การทำงานล่วงเวลาต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างเป็นคราวๆ ไป เว้นแต่ลักษณะงานมีความจำเป็นต้องทำติดต่อกันไปมิฉะนั้นจะเกิดความเสียหาย

Q: บริษัทสามารถบังคับให้พนักงานทำโอทีได้หรือไม่?
A: โดยทั่วไปไม่สามารถบังคับได้ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย เช่น งานที่มีลักษณะเร่งด่วน หรือเป็นงานที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์กรหากไม่ทำต่อเนื่อง


2
ในยุคที่การทำงานแบบ Remote Working หรือ Hybrid กลายเป็นเรื่องปกติ การมีเครื่องมือที่ช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นถือเป็นหัวใจสำคัญ และหนึ่งในชื่อที่โดดเด่นที่สุดก็คือ Google Workspace นั่นเอง แต่หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าจริงๆ แล้ว Google Workspace คืออะไรกันแน่? และมันแตกต่างจาก Gmail ที่เราใช้ฟรีๆ อย่างไร?

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับชุดเครื่องมือสุดทรงพลังนี้กันแบบเจาะลึก!

Google Workspace คืออะไร?

Google Workspace คือ ชุดแอปพลิเคชันอัจฉริยะสำหรับการทำงานบนระบบคลาวด์ที่พัฒนาโดย Google พูดง่ายๆ มันคือการนำแอปยอดนิยมอย่าง Gmail, Google Drive, Google Docs, Sheets, Slides และอื่นๆ มารวมกัน พร้อมอัปเกรดฟังก์ชันการทำงานและความปลอดภัยให้เหมาะสำหรับใช้งานในระดับองค์กรโดยเฉพาะ

ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดจากการใช้งานบัญชี Google แบบส่วนตัว (ที่ลงท้ายด้วย @gmail.com) คือ Google Workspace จะช่วยให้คุณสามารถสร้างอีเมลภายใต้ชื่อโดเมนของบริษัทตัวเองได้ (เช่น name@yourcompany.com) ซึ่งช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพให้กับธุรกิจของคุณได้อย่างมหาศาล

Google Workspace มีแอปอะไรบ้าง?
Google Workspace ได้รวบรวมสุดยอดเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานมาไว้ในที่เดียว โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่หลักๆ ได้ดังนี้

ด้านการสื่อสาร (Communication)
Gmail: รับ-ส่งอีเมลธุรกิจด้วยชื่อโดเมนของบริษัท พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง
Google Meet: ประชุมวิดีโอออนไลน์คุณภาพสูง รองรับผู้เข้าร่วมจำนวนมาก พร้อมฟีเจอร์บันทึกการประชุม
Google Chat: แพลตฟอร์มแชทสำหรับสื่อสารภายในทีมอย่างรวดเร็วและปลอดภัย

ด้านการทำงานร่วมกัน (Collaboration)
Google Docs, Sheets, Slides: สร้างและแก้ไขเอกสาร, สเปรดชีต และงานนำเสนอได้พร้อมกันกับทีมแบบเรียลไทม์ ไม่ต้องส่งไฟล์ไปมาให้วุ่นวาย
Google Calendar: จัดการตารางเวลา, นัดหมายการประชุม และแชร์ปฏิทินให้ทีมเห็นตรงกันได้อย่างง่ายดาย


ด้านการจัดเก็บและบริหารจัดการ (Storage & Management)
Google Drive: พื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ขนาดใหญ่สำหรับจัดเก็บไฟล์งานสำคัญของบริษัท สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ ทุกอุปกรณ์
Admin Console: แผงควบคุมสำหรับผู้ดูแลระบบ เพื่อจัดการบัญชีผู้ใช้งาน, ตั้งค่าความปลอดภัย และควบคุมการเข้าถึงข้อมูลขององค์กร


5 ประโยชน์หลักที่ทำให้ธุรกิจยุคใหม่เลือกใช้ Google Workspace
1. เสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพ Credibility
การใช้อีเมลในชื่อโดเมนของบริษัทเอง (เช่น name@yourcompany.com) แทนการใช้ @gmail.com ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและดูเป็นมืออาชีพมากขึ้นในสายตาของลูกค้าและคู่ค้า ซึ่งเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง

2. ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อแบบ Real-Time
หมดปัญหาการส่งไฟล์ไปมาจนสับสน! ทีมของคุณสามารถเข้าถึงและแก้ไขเอกสาร (Docs), สเปรดชีต (Sheets), และสไลด์ (Slides) ได้พร้อมกันแบบเรียลไทม์ ทำให้ทุกคนเห็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุดเสมอ ลดความผิดพลาดและเพิ่มความเร็วในการทำงานได้อย่างมหาศาล

3. เพิ่มความยืดหยุ่น ทำงานได้จากทุกที่ ทุกอุปกรณ์
ด้วยการทำงานบนระบบคลาวด์ พนักงานสามารถเข้าถึงไฟล์และเครื่องมือสื่อสารที่จำเป็นได้จากทุกที่ทั่วโลก ไม่ว่าจะใช้คอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน  ซึ่งตอบโจทย์การทำงานในรูปแบบ Remote & Hybrid Working ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

4. ความปลอดภัยข้อมูลระดับองค์กร
Google Workspace มาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงที่ช่วยปกป้องข้อมูลสำคัญของบริษัทจากภัยคุกคามต่างๆ เช่น สแปม, ฟิชชิ่ง และมัลแวร์ นอกจากนี้ ผู้ดูแลระบบ (Admin) ยังสามารถกำหนดนโยบายความปลอดภัยและจัดการการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานแต่ละคนได้อย่างละเอียด

5. ควบคุมค่าใช้จ่ายง่ายและมีความคุ้มค่า
องค์กรสามารถเลือกแผนการใช้งานและจ่ายค่าบริการเป็นรายเดือนหรือรายปีต่อผู้ใช้งาน ทำให้ควบคุมงบประมาณได้ง่ายและชัดเจน โดยไม่ต้องลงทุนกับฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์ราคาแพงหรือเสียค่าบำรุงรักษาระบบที่ซับซ้อน ช่วยลดต้นทุนด้าน IT ในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป Google Workspace คือเครื่องมือสำคัญของการทำงานในองค์กรปัจจุบัน
โดยสรุปแล้ว Google Workspace ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ชุดเครื่องมือ แต่เป็น Ecosystem ที่ถูกออกแบบมาเพื่อพลิกโฉมการทำงานขององค์กรให้มีความยืดหยุ่น, ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ฟรีแลนซ์, SME ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการโซลูชันการทำงานที่ครบวงจรในที่เดียว

หน้า: [1]