ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ษิตร์พัฒจ์ เจิมจริง

หน้า: [1] 2 3 4 5
1
ในชีวิตประจำวัน ความเสี่ยงจากอุบัติเหตุอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยจากการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงอุบัติเหตุร้ายแรงที่ไม่คาดฝัน การมีหลักประกันที่คอยดูแลค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล คือเครื่องมือทางการเงินที่จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ ไร้กังวล

ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) คือ กรมธรรม์ประกันภัย ที่ให้ความคุ้มครองและชดเชยความเสียหายต่อร่างกายของผู้เอาประกันภัย ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร อันเนื่องมาจาก อุบัติเหตุ ภายนอกร่างกาย ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และมาจากปัจจัยภายนอกร่างกายเท่านั้น



รายละเอียดความคุ้มครอง: ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลมีอะไรบ้าง
กรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ ทั่วไป มักให้ความคุ้มครองที่หลากหลายและยืดหยุ่น โดยสามารถแบ่งความคุ้มครองหลัก ๆ ได้ดังนี้:
1.ผลประโยชน์กรณีเสียชีวิตและสูญเสียอวัยวะ/สายตา/ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง (อบ.1):
เป็นความคุ้มครองหลักของกรมธรรม์ โดยจะจ่ายเงินสินไหมทดแทนเต็มจำนวนตามทุนประกัน หากผู้เอาประกันเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรจากอุบัติเหตุ

2.ค่ารักษาพยาบาล :
บริษัทจะจ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริง ตามวงเงินที่กำหนดในกรมธรรม์ เช่น ค่าห้อง ค่ายา ค่าแพทย์ และค่าผ่าตัด ที่เป็นผลโดยตรงจากอุบัติเหตุ

3.เงินชดเชยรายได้รายวัน :
จ่ายเป็นเงินรายวันตามที่ตกลงกันไว้ สำหรับกรณีที่ผู้เอาประกันต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน (IPD) หรือผู้ป่วยนอก (OPD) จนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

4.ผลประโยชน์เพิ่มเติม :
สามารถซื้อความคุ้มครองเสริมได้ เช่น ค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้าย หรือความคุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์

หลายคนมักมองข้าม ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล เพราะคิดว่าตัวเองระมัดระวังดีแล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นจริง ๆ มักจะเผชิญกับปัญหาเหล่านี้:
1.ภาระค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่ต้องจ่ายเองทันที :
อุบัติเหตุส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นแบบฉุกเฉินและต้องเข้ารับการรักษาทันที หากไม่มีประกัน PA ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเบื้องต้นตั้งแต่การเอกซเรย์ การทำแผล หรือการผ่าตัด อาจเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ต้องควักจ่ายทันที ซึ่งกระทบต่อเงินเก็บหรือสภาพคล่องทางการเงิน

2.เงินขาดมือเมื่อต้องหยุดงาน :
หากอุบัติเหตุทำให้ต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน ผู้เอาประกันจะขาดรายได้ประจำ แต่รายจ่ายประจำอื่น ๆ ยังคงอยู่ ประกัน PA ที่มีเงินชดเชยรายวันจึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะบรรเทาความเดือดร้อนในส่วนนี้

3.ไม่สามารถเลือกโรงพยาบาลที่ดีที่สุดได้ :
เมื่อไม่มีวงเงินคุ้มครองที่แน่นอน การเลือกใช้บริการทางการแพทย์อาจถูกจำกัดอยู่แค่โรงพยาบาลรัฐ หรือโรงพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาที่สะดวกและรวดเร็วได้ทันท่วงที

4.ภาระทางอารมณ์และเศรษฐกิจของครอบครัว :
ในกรณีที่เกิดเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ครอบครัวจะต้องรับมือกับความสูญเสียทั้งทางอารมณ์และเศรษฐกิจพร้อมกัน เงินสินไหมทดแทนจาก ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล จะช่วยให้ครอบครัวมีเงินก้อนเพื่อใช้ในการตั้งตัวและเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยต่อไปได้

เลือกประกันอุบัติเหตุวันนี้ เพื่อความมั่นใจในทุกวัน การลงทุนใน ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในการบริหารความเสี่ยง เพราะเบี้ยประกันไม่สูง แต่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันได้อย่างดีเยี่ยม ซื้อประกันออนไลน์

2
นอนกรนคืออะไร และทำไมจึงทำให้นอนหลับไม่สนิท นอนกรน เกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจส่วนบน (ลำคอและช่องจมูก) แคบลงขณะหลับ ทำให้ลมหายใจผ่านได้ยาก เนื้อเยื่อในลำคอจึงสั่นสะเทือนและเกิดเป็นเสียงดัง
แต่เมื่อการกรนนั้นรุนแรงและมีภาวะ หยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย สมองจะได้รับออกซิเจนน้อยลง และต้องสั่งให้ร่างกายสะดุ้งตื่นเป็นช่วงสั้นๆ ตลอดทั้งคืนเพื่อกลับมาหายใจปกติ แม้จะจำไม่ได้ว่าตื่น แต่การตื่นสั้นๆ ซ้ำๆ เหล่านี้คือสาเหตุหลักของภาวะ นอนหลับไม่สนิท

สาเหตุหลักที่ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
น้ำหนักตัวเกิน: ไขมันที่สะสมบริเวณลำคอทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
โครงสร้างทางเดินหายใจ: ทอนซิลโต ลิ้นไก่ยาว หรือผนังกั้นช่องจมูกคด
การดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยานอนหลับ: สารเหล่านี้ทำให้กล้ามเนื้อคอคลายตัวมากเกินไป
ท่านอนหงาย: ทำให้ลิ้นและเพดานอ่อนตกลงไปขวางทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น
อายุที่เพิ่มขึ้น: กล้ามเนื้อคออ่อนแอลงตามวัย



ผลกระทบจากการนอนหลับไม่สนิทเรื้อรัง
การละเลยปัญหา นอนกรน ที่นำไปสู่การ นอนหลับไม่สนิท มีผลกระทบมากกว่าแค่ความง่วงในตอนกลางวัน
สุขภาพกาย: เพิ่มความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะเบาหวาน และระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
สุขภาพจิต: อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ไม่มีสมาธิในการทำงานหรือการเรียนรู้ และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้า
ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ: อาการง่วงนอนตลอดเวลาเพิ่มความเสี่ยงในการขับขี่ยานพาหนะและทำงานที่ต้องใช้สมาธิ

แนวทางแก้ไขปัญหา นอนกรน และ นอนหลับไม่สนิท นอนหลับไม่สนิท ตื่นบ่อย วิธีแก้
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต
ลดน้ำหนัก: เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดหากการกรนเกิดจากน้ำหนักตัวเกิน
เปลี่ยนท่านอน: ลองนอนตะแคงแทนการนอนหงาย การใช้หมอนบอดี้ สามารถช่วยได้
งดแอลกอฮอล์และคาเฟอีน: หลีกเลี่ยงก่อนนอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
รักษาความสะอาดของช่องจมูก: ใช้สเปรย์น้ำเกลือหรือยาแก้แพ้หากมีอาการคัดจมูกร่วมด้วย

2. การรักษาทางการแพทย์และเครื่องมือช่วย
เครื่องมือ CPAP : เป็นวิธีรักษามาตรฐานสำหรับผู้มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับรุนแรง โดยเครื่องจะช่วยดันอากาศให้ทางเดินหายใจเปิดอยู่ตลอดเวลา
อุปกรณ์ในช่องปาก : เป็นอุปกรณ์ที่ทันตแพทย์ออกแบบเฉพาะบุคคล เพื่อดันกรามล่างและลิ้นมาด้านหน้าเล็กน้อย ป้องกันการยุบตัวของทางเดินหายใจ
การผ่าตัด: ในกรณีที่ปัญหาเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้าง เช่น ทอนซิลโต หรือผนังกั้นจมูกคด อาจมีการแนะนำให้ทำการผ่าตัด

ปัญหา นอนกรน หรือมีอาการ นอนหลับไม่สนิท จนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน อย่ามองข้ามการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียดอาจเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการกลับไปมีสุขภาพที่ดี มีพลัง และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

3
ยุคพัฒนาอ่างอาบน้ำในปัจจุบัน เทคโนโลยีและนวัตกรรมได้เข้ามาผสานรวมกับการออกแบบอย่างลงตัว ทำให้ห้องน้ำกลายเป็น "สปาส่วนตัว" ที่เปี่ยมไปด้วยฟังก์ชันการทำงานอัจฉริยะ (Smart Functions) และความสวยงามระดับมาสเตอร์พีซ

1. นวัตกรรมเพื่อการผ่อนคลายขั้นสูงสุด
อ่างอาบน้ำสมัยใหม่ ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การบำบัดและผ่อนคลายร่างกายอย่างแท้จริง
อ่างน้ำวนอัจฉริยะ (Smart Whirlpool Bathtubs): ไม่ได้มีเพียงแค่หัวเจ็ตน้ำแบบธรรมดา แต่พัฒนาไปสู่ระบบนวดที่ปรับแรงดัน รูปแบบการพ่นน้ำ และทิศทางได้อย่างแม่นยำ บางรุ่นสามารถตั้งโปรแกรมการนวดเฉพาะจุด (Targeted Massage) ตามความต้องการของผู้ใช้งานได้
อ่างอาบน้ำระบบแอร์เจ็ต (Air Jet Bathtubs): ใช้ระบบพ่นฟองอากาศเล็ก ๆ จำนวนมากออกมาจากด้านล่างของอ่าง เพื่อสร้างสัมผัสที่นุ่มนวลกว่าการนวดด้วยน้ำ และช่วยเพิ่มออกซิเจนในน้ำเพื่อบำรุงผิว
โครโมเธอราปี (Chromotherapy): การบำบัดด้วยแสงสี ระบบไฟ LED ในอ่างอาบน้ำสามารถเปลี่ยนสีได้ตามอารมณ์หรือความต้องการในการบำบัด โดยแต่ละสีจะมีผลต่อร่างกายและจิตใจ เช่น สีฟ้าเพื่อความสงบ สีส้มเพื่อความกระปรี้กระเปร่า
อโรมาเธอราปี (Aromatherapy): มีช่องสำหรับเติมน้ำมันหอมระเหยโดยเฉพาะ เพื่อให้กลิ่นหอมกระจายไปพร้อมกับไอน้ำ ช่วยเพิ่มประสบการณ์การผ่อนคลายระหว่างแช่ตัว



2. การออกแบบที่เน้นสุนทรียภาพและความยืดหยุ่น
การออกแบบห้องน้ำ ยุคพัฒนาอ่างอาบน้ำ เน้นการผสมผสานระหว่างฟังก์ชันและความสวยงามให้เข้ากับการตกแต่งบ้านยุคใหม่
อ่างตั้งพื้นอิสระ: ยังคงเป็นเทรนด์หลักที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยรูปทรงที่เรียบง่าย โค้งมน หรือเป็นทรงเรขาคณิตที่โดดเด่น ทำให้เป็นจุดศูนย์กลางของห้องน้ำโดยวัสดุที่ใช้มักเป็น หินสังเคราะห์ หรือ อะคริลิก คุณภาพสูง
อ่างแบบวอล์กอิน : นวัตกรรมสำคัญที่ออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว มีประตูเปิด-ปิดด้านข้างและที่นั่งในตัว ช่วยให้การเข้าและออกจากอ่างมีความปลอดภัยสูงสุด
วัสดุที่เก็บความร้อนได้ดี: การใช้วัสดุสังเคราะห์ที่มีเทคโนโลยีการกักเก็บความร้อนสูง เช่น เรซินคอมโพสิต ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแช่น้ำอุ่นได้ยาวนานขึ้นโดยไม่ต้องเติมน้ำร้อนบ่อยๆ ถือเป็นการพัฒนาที่ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงาน

3. อ่างอาบน้ำอัจฉริยะ และการเชื่อมต่อ
อ่างอาบน้ำ กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบบ้านอัจฉริยะ อย่างเต็มตัว
ระบบควบคุมด้วยเสียง/แอปพลิเคชัน   สั่งการเติมน้ำ ตั้งอุณหภูมิ และระดับน้ำล่วงหน้าผ่านสมาร์ทโฟน หรือใช้คำสั่งเสียง
เซ็นเซอร์อัจฉริยะ   ตรวจสอบระดับน้ำ อุณหภูมิ และป้องกันการล้นของน้ำโดยอัตโนมัติ
ระบบทำความสะอาดตัวเอง   มีระบบพ่นทำความสะอาดท่อและหัวเจ็ตอัตโนมัติ เพื่อสุขอนามัยที่ดี
ความบันเทิงในตัวมีลำโพงบลูทูธในตัว หรือแม้กระทั่งจอภาพที่กันน้ำได้ ให้คุณเพลิดเพลินกับเพลงหรือภาพยนตร์ขณะแช่น้ำ

ด้วยการผสานเทคโนโลยีอ่างอาบน้ำ เข้ากับความหรูหรา ทำให้ อ่างอาบน้ำ กลายเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิต สุขภาพกาย และสุขภาพจิตของผู้ใช้งาน การลงทุนในอ่างอาบน้ำสมัยใหม่จึงไม่ใช่แค่การซื้อเฟอร์นิเจอร์ แต่คือการลงทุนในความสุขและการผ่อนคลายส่วนตัวอย่างแท้จริง


4
ลมหนาวพัดมาเมื่อไหร่ ก็ถึงเวลาเปลี่ยนตู้เสื้อผ้าเตรียมพร้อมรับความเย็น การแต่งตัวรับลมหนาวไม่ใช่แค่การทำให้ร่างกายอบอุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสดีที่จะได้สนุกกับการมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าสุดชิคอีกด้วย ในปี 2025 นี้ เทรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นหน้าหนาวเน้นความสบาย เรียบง่าย แต่ยังคงความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร มาดูกันว่า แฟชั่นเสื้อผ้ารับลมหนาว ในปีนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง และเราจะแต่งตัวอย่างไรให้ สวยเก๋ และ อบอุ่น ไปพร้อมๆ กัน

เสื้อสเวตเตอร์ถัก (Knit Sweaters): เป็นไอเทมคลาสสิกที่ให้ความอบอุ่นและมีลวดลายให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ลายเรียบง่ายไปจนถึงลายถักนูน (Cable Knit)
ทริคการแต่ง: สามารถใส่เดี่ยวๆ คู่กับกางเกงยีนส์ หรือใส่ทับเสื้อเชิ้ตด้านในเพื่อให้ดูมีเลเยอร์

โค้ทตัวยาว (Long Coats/Trench Coats): เพิ่มความสง่างามและความเป็นทางการให้กับทุกลุค ทั้งยังช่วยป้องกันลมหนาวได้เป็นอย่างดี
ทริคการแต่ง: เลือกสีเบสิกอย่างสีดำ สีน้ำตาล หรือสีกากี เพื่อให้เข้าได้กับเสื้อผ้าทุกชุด



เสื้อแจ็คเก็ตบอมเบอร์ (Bomber Jackets) และพัฟเฟอร์ (Puffer Jackets): แจ็คเก็ตกันหนาว สไตล์สปอร์ตที่กลับมาฮิตอีกครั้ง เหมาะสำหรับวันสบายๆ ให้ความอบอุ่นสูงแต่ไม่ดูเทอะทะจนเกินไป
ทริคการแต่ง: เลือกสีสันสดใสเพื่อเพิ่มความสนุกให้กับลุคหน้าหนาวที่มักจะดูหม่นๆ

กางเกงขายาวผ้าลูกฟูก (Corduroy Pants): เป็นเนื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นมากกว่ากางเกงทั่วไป และมีเท็กซ์เจอร์ที่น่าสนใจ
ทริคการแต่ง: แมทช์กับเสื้อคอเต่า (Turtleneck) และรองเท้าบูทหุ้มข้อ

เทคนิคการแต่งตัวแบบเลเยอร์ (Layering) ฉบับมือโปร
หัวใจของการ แต่งตัวหน้าหนาว ที่ชาญฉลาดคือการ "เลเยอร์" หรือการใส่เสื้อผ้าหลายๆ ชั้น เพราะสามารถถอดออกได้เมื่อเจออากาศที่อุ่นขึ้น และยังช่วยสร้างมิติให้กับลุคดูดีอีกด้วย

Base Layer (ชั้นใน): เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าคอตตอน หรือผ้าฮีทเทค (Heattech) เพื่อช่วยกักเก็บความร้อนและซับเหงื่อ
Mid Layer (ชั้นกลาง): คือชั้นที่ให้ความอบอุ่นเป็นหลัก เช่น เสื้อสเวตเตอร์ เสื้อคาร์ดิแกน หรือเสื้อฮู้ดดี้
Outer Layer (ชั้นนอก): คือเสื้อคลุมตัวนอกที่ช่วยป้องกันลมและความเย็น เช่น โค้ทตัวยาว หรือเสื้อแจ็คเก็ต
เคล็ดลับ: อย่าลืมเล่นกับความยาวและเท็กซ์เจอร์ของแต่ละเลเยอร์ เช่น เสื้อตัวในยาวกว่าเสื้อตัวกลางเล็กน้อย หรือการจับคู่ผ้าที่ต่างกัน เช่น เสื้อไหมพรมกับเสื้อโค้ทหนัง

แอคเซสเซอรี่ที่ช่วยคอมพลีทลุคให้อินเทรนด์
แฟชั่นหน้าหนาว จะไม่สมบูรณ์แบบหากขาดแอคเซสเซอรี่เหล่านี้ ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามแล้ว ยังเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายด้วย
ผ้าพันคอ (Scarves): เลือกผ้าพันคอผืนใหญ่ที่สามารถห่มไหล่ได้ จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นและเป็นจุดดึงดูดสายตาที่ดีเยี่ยม
หมวกไหมพรม (Beanies): ไม่เพียงแต่ให้ความอบอุ่นแก่ศีรษะ แต่ยังช่วยอำพรางทรงผมในวันที่ยุ่งเหยิงได้ดี
รองเท้าบูท (Boots): ตั้งแต่ Ankle Boots ไปจนถึง Knee-High Boots ถือเป็นไอเทมที่ต้องมีรองเท้าบูทหนังกลับ (Suede) หรือหนังมันวาว (Patent Leather) คือตัวเลือกที่กำลังอินเทรนด์
ถุงมือ (Gloves): เลือกถุงมือหนังสำหรับลุคที่ดูเนี้ยบ หรือถุงมือไหมพรมสำหรับลุคที่ดูสบายๆ

การเตรียมตัวรับ ลมหนาว ด้วยการshoppingเสื้อผ้าที่เหมาะสมจะทำให้สนุกกับฤดูกาลนี้ได้มากขึ้น อย่ากลัวที่จะทดลองสวมใส่เสื้อผ้าหลายๆ ชั้น และใช้แอคเซสเซอรี่ต่างๆ เพื่อเพิ่มลูกเล่นให้เข้ากับเสื้อผ้า ไม่ว่าอากาศจะเย็นแค่ไหน ก็สามารถเป็นเจ้าของ แฟชั่นเสื้อผ้ารับลมหนาว ที่ทั้ง สวยเก๋ อินเทรนด์ และ อบอุ่น ได้อย่างแน่นอน


5
เมื่ออายุเข้าสู่ช่วง 50 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล (IPD) ด้วยโรคซับซ้อนหรือการผ่าตัดมีสูงขึ้นอย่างมาก การวางแผนด้วยประกันสุขภาพผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไปที่เน้น ความคุ้มครอง IPD สูง จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการปกป้องเงินออมวัยเกษียณ

ทำไมต้องเลือกแผน IPD สูงสำหรับวัย 50+
รับมือค่าผ่าตัดแพง: แผน IPD ที่สูงจะช่วยครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดใหญ่ เช่น การทำบายพาสหัวใจ, การผ่าตัดเปลี่ยนข้อ, หรือการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายหลักล้านบาท
ความมั่นคงด้านค่าห้อง: วงเงินค่าห้องที่เพียงพอ จะช่วยให้ผู้สูงอายุได้รับความสะดวกสบายในการพักฟื้น โดยไม่ต้องรับผิดชอบส่วนต่างค่าห้องเอง
ความต่อเนื่องของความคุ้มครอง: ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพมักเน้นการต่ออายุที่ยาวนาน เพื่อให้ความคุ้มครองไม่สะดุดไปจนถึงบั้นปลายชีวิต



แนวทางแผนประกันสุขภาพ IPD สูง (สัญญาเพิ่มเติม)
ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพของผู้สูงอายุมักอยู่ในรูปแบบของ สัญญาเพิ่มเติม (Rider) ที่นำไปแนบกับกรมธรรม์ประกันชีวิตหลัก (เช่น ประกันตลอดชีพ หรือ ประกันสะสมทรัพย์) เพื่อให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพ

แม้ชื่อแผนจะมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ แต่องค์ประกอบหลักที่คุณควรเลือกสำหรับผู้สูงอายุคือ
องค์ประกอบที่ต้องพิจารณาความสำคัญต่อผู้สูงอายุ (50+ ปี)
วงเงินคุ้มครองผู้ป่วยใน(IPD)รวมต่อปี ต้องสูงที่สุดเท่าที่ทำได้ (แนะนำเริ่มต้นที่ 1-5 ล้านบาทขึ้นไป) เพื่อครอบคลุมการรักษาโรคร้ายแรงต่อเนื่อง
วงเงินค่าห้องและค่าอาหารต่อวัน เลือกวงเงินที่ใกล้เคียงกับค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานของโรงพยาบาลเอกชนที่คุณต้องการใช้บริการ (เช่น 4,000 – 6,000 บาทต่อวัน)
ความคุ้มครองค่าผ่าตัดและหัตถการ ตรวจสอบว่ารวมอยู่ในวงเงิน IPD หรือไม่ ถ้าแยกวงเงินควรเลือกแผนที่ให้วงเงินสูง
ระยะเวลาต่ออายุ เลือกแผนที่สามารถ ต่ออายุความคุ้มครองได้ยาวนานที่สุด (เช่น ถึงอายุ 80 ปี, 90 ปี หรือ 99 ปี)

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
แจ้งประวัติสุขภาพจริง: การเปิดเผยข้อมูลสุขภาพอย่างครบถ้วนและเป็นจริงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำประกันสุขภาพ เพื่อไม่ให้มีปัญหากับการเคลมค่ารักษาในภายหลัง
พิจารณาสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง: สำหรับวัย 50 ปีขึ้นไป ควรพิจารณาแนบสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรงควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ได้รับเงินก้อนเมื่อตรวจพบโรคสำคัญ
เบี้ยประกันปรับขึ้นตามอายุ: โปรดทราบว่าเบี้ยประกันสุขภาพ (Rider) จะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้นในทุกปี ดังนั้นควรวางแผนงบประมาณระยะยาวไว้ล่วงหน้า
การเลือกแผนประกันสุขภาพ IPD สูงคือการลงทุนในความอุ่นใจและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ อย่าปล่อยให้ความเสี่ยงทางการแพทย์มาทำลายความมั่งคั่งที่สร้างมา


6
ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การมีหลักประกันทางการเงินจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ดำเนินชีวิตได้อย่างอุ่นใจ ประกันชีวิตรายปี (หรือที่มักรู้จักในชื่อประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา หรือ Term Insurance) ถือเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับคนยุคใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตที่สูงในขณะที่จ่ายเบี้ยประกันที่ต่ำ และยืดหยุ่นต่อการวางแผนการเงินในอนาคต

ประกันชีวิตรายปี (Term Insurance) คืออะไร
ประกันชีวิตรายปี คือ สัญญาประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตาม ระยะเวลาที่กำหนดอย่างชัดเจน เช่น 1 ปี, 5 ปี, 10 ปี, หรือ 20 ปี โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องชำระเบี้ยประกันเป็นงวด ๆ ตามที่ตกลงกันไว้ (ซึ่งส่วนใหญ่นิยมชำระแบบรายปี)

จุดเด่นสำคัญ: หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ บริษัทประกันจะจ่ายเงินเอาประกันภัย (ทุนประกัน) ให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ตามสัญญาแต่ถ้าผู้เอาประกันภัยอยู่ครบกำหนดสัญญา ประกันชนิดนี้ จะไม่มีเงินคืนให้ (แตกต่างจากประกันตลอดชีพหรือสะสมทรัพย์)



3 ข้อดีเด่นของ ประกันชีวิตรายปี ที่ทำให้เบี้ยถูก
ประกันชีวิตรายปี มีข้อได้เปรียบที่โดดเด่นกว่าประกันชีวิตประเภทอื่น ๆ ดังนี้:

1. เบี้ยประกันภัยต่ำ คุ้มครองสู
นี่คือจุดแข็งที่สุดของประกันชีวิตรายปี สามารถได้รับทุนประกันชีวิตที่สูง (เช่น หลักล้านบาท) เพื่อเป็นหลักประกันให้กับครอบครัวในขณะที่จ่ายเบี้ยประกันต่อปีในอัตราที่ต่ำกว่าประกันประเภทอื่นอย่างมาก เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นเสาหลักของครอบครัวหรือผู้มีภาระหนี้สินที่ต้องการความคุ้มครองสูงในช่วงเวลาจำกัด

2. ความยืดหยุ่นในการวางแผน
เนื่องจากเป็นสัญญาแบบระยะสั้น จึงสามารถปรับเปลี่ยนแผนประกันได้ตามความเปลี่ยนแปลงของชีวิต เช่น เมื่อหมดภาระหนี้สิน หรือบุตรบรรลุนิติภาวะแล้วอาจเลือกที่จะไม่ต่ออายุสัญญา หรือเปลี่ยนไปทำประกันรูปแบบอื่นแทนได้

3. ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
เช่นเดียวกับประกันชีวิตทั่วไป เบี้ยประกันที่จ่ายสำหรับ ประกันชีวิตรายปี สามารถนำไปใช้สิทธิ ลดหย่อนภาษี เงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุดถึง 100,000 บาท ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร ช่วยให้ประหยัดภาษีได้อีกทางหนึ่ง

ประกันชีวิตรายปี เหมาะกับใครที่สุด
ประกันชีวิตรูปแบบนี้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้อย่างยิ่ง:
หัวหน้าครอบครัววัยสร้างตัว: ผู้ที่มีบุตรเล็ก หรือมีคู่สมรสที่ต้องพึ่งพารายได้ ต้องการเงินก้อนใหญ่เพื่อเป็นหลักประกันทดแทนรายได้หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ผู้มีภาระหนี้สินสูง: เช่น หนี้บ้าน หรือหนี้รถยนต์ เพื่อให้แน่ใจว่าหากจากไปภาระหนี้จะไม่ตกอยู่กับคนข้างหลัง
ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองเพิ่มเติมชั่วคราว: ผู้ที่ทำประกันชีวิตตลอดชีพอยู่แล้ว แต่ต้องการเพิ่มความคุ้มครองให้สูงขึ้นอีกในช่วงเวลาที่ต้องรับผิดชอบทางการเงินมากเป็นพิเศษ



7
การวางแผนอนาคตทางการเงิน และการสร้างความมั่นคงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง กรมธรรม์ประกันชีวิต คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เป้าหมายนี้เป็นจริงได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับมือใหม่ การทำความเข้าใจประเภทของกรมธรรม์ประกันชีวิตอาจจะดูซับซ้อนไปบ้างกรมธรรม์ประกันชีวิต มีกี่แบบ และแต่ละแบบมีความโดดเด่นอย่างไรบ้าง

ประกันชีวิตคืออะไร
ก่อนจะไปดูประเภทของกรมธรรม์มาทำความเข้าใจพื้นฐานกันก่อน ประกันชีวิต คือสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง ผู้เอาประกันภัย (ลูกค้า) กับ บริษัทประกันชีวิต (เช่น ไทยประกันชีวิต) โดยที่ผู้เอาประกันภัยจะจ่ายเบี้ยประกันเป็นงวดๆ และบริษัทจะจ่ายเงินผลประโยชน์ตามเงื่อนไขที่กำหนด เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เช่น การเสียชีวิต การมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา หรือการเจ็บป่วย/ทุพพลภาพ (ขึ้นอยู่กับสัญญาเพิ่มเติม)



กรมธรรม์ประกันชีวิตมี 4 ประเภทหลัก
โดยทั่วไปแล้ว กรมธรรม์ประกันชีวิตสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ตามลักษณะของความคุ้มครองและผลตอบแทน ดังนี้:

1. ประกันชีวิตตลอดชีพ
เน้น: ให้ความคุ้มครองยาวนาน ตลอดชีวิต ของผู้เอาประกันภัย (ส่วนใหญ่มักจะถึงอายุ 90 ปี หรือ 99 ปี)
การจ่ายเบี้ย: ชำระเบี้ยประกันเป็นระยะเวลาสั้นกว่าความคุ้มครอง เช่น ชำระ 10 ปี, 20 ปี, หรือจนถึงอายุ 60 ปี แต่ให้ความคุ้มครองยาวไป
จุดเด่น: เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสร้างมรดก หรือต้องการความคุ้มครองระยะยาวให้แก่ครอบครัวอย่างแท้จริง มีมูลค่าเงินสดสะสมในกรมธรรม์
ตัวอย่างจากไทยประกันชีวิต: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนมรดกและหลักประกันให้ครอบครัวระยะยาว

2. ประกันชีวิตชั่วระยะเวลา
เน้น: ให้ความคุ้มครอง ตามระยะเวลาที่กำหนด อย่างชัดเจน เช่น 5 ปี, 10 ปี, 20 ปี หรือถึงอายุ 60 ปี
การจ่ายเบี้ย: เบี้ยประกันค่อนข้างต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับทุกประเภท เนื่องจากไม่มีการสะสมมูลค่าเงินสด
จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูง ในช่วงระยะเวลาที่มีภาระหนี้สินสูง หรือมีลูกที่ยังต้องดูแล เมื่อครบกำหนดสัญญา สัญญาก็จะสิ้นสุดลง
ตัวอย่างจากไทยประกันชีวิต: เหมาะสำหรับคนที่มีงบจำกัด แต่ต้องการวงเงินคุ้มครองสูงในระยะสั้น/กลาง

3. ประกันชีวิตสะสมทรัพย์
เน้น: การผสมผสานระหว่าง ความคุ้มครองชีวิต และ การออมเงิน/การลงทุน
การจ่ายเบี้ย: ชำระเบี้ยตามระยะเวลาที่กำหนด และจะได้รับเงินคืนเป็นงวดๆ หรือได้รับเงินก้อนใหญ่เมื่อครบกำหนดสัญญา
จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินที่มีวินัย พร้อมทั้งได้รับความคุ้มครองชีวิตไปพร้อมกัน ผลตอบแทนแน่นอนและทราบล่วงหน้า
ตัวอย่างจากไทยประกันชีวิต: มีหลากหลายแบบให้เลือก ทั้งแบบออมสั้น คืนเร็ว และแบบออมยาวเพื่อเป้าหมายใหญ่ เช่น การศึกษาบุตร หรือวัยเกษียณ

4. ประกันชีวิตควบการลงทุน
เน้น: ความยืดหยุ่นสูง โดยผู้เอาประกันสามารถ เลือกสัดส่วน ของเบี้ยประกันที่นำไปใช้ในการคุ้มครองชีวิต และส่วนที่นำไป ลงทุนในกองทุนรวม
จุดเด่น: สามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครองและแผนการลงทุนได้ตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงชีวิต มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูง (แต่ก็มีความเสี่ยงตามมาด้วย)
ตัวอย่างจากไทยประกันชีวิต: เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ ต้องการความคุ้มครองที่สูง พร้อมโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าเงินฝาก


8
ในยุคปัจจุบัน โถปัสสาวะชาย (Urinal) ถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ขาดไม่ได้ในห้องน้ำสาธารณะและเชิงพาณิชย์ ด้วยคุณสมบัติที่ช่วย ประหยัดน้ำ ใช้พื้นที่น้อย และ ทำความสะอาดง่าย แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่า จุดกำเนิดของสุขภัณฑ์ที่มีความเฉพาะทางชิ้นนี้มาจากที่ใด ไปสำรวจประวัติศาสตร์อันน่าสนใจของโถปัสสาวะชาย ตั้งแต่แนวคิดเริ่มต้นจนถึงวิวัฒนาการสู่ระบบอัจฉริยะในยุคปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นจากความแออัดและความต้องการสุขอนามัยที่ดีขึ้น
แนวคิดในการแยกพื้นที่ขับถ่ายปัสสาวะของผู้ชายออกจากห้องน้ำรวม (Stall) หรือโถส้วม (Toilet) นั้น เกิดขึ้นในช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 19 ในประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของการขยายตัวของเมืองและอาคารสาธารณะขนาดใหญ่ เช่น โรงงาน สถานีรถไฟ และโรงเรียน



ความจำเป็นหลัก ๆ ที่นำไปสู่การพัฒนาโถปัสสาวะชายคือ
การจัดการความแออัด: ในสถานที่ที่มีผู้ชายใช้บริการจำนวนมาก การมีโถปัสสาวะชายที่ออกแบบมาให้ยืนใช้งานได้รวดเร็วกว่าโถส้วมแบบนั่งหรือแบบเหยียบ จะช่วย เพิ่มความรวดเร็ว ในการหมุนเวียนผู้ใช้งานในห้องน้ำ
สุขอนามัย: การออกแบบเฉพาะทางช่วยลดโอกาสในการสัมผัสพื้นผิวต่าง ๆ เมื่อเทียบกับการใช้โถส้วมทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ สุขอนามัย โดยรวมของห้องน้ำดีขึ้น

โถปัสสาวะชายจากภาชนะสู่สุขภัณฑ์แบบติดตั้ง
1. ยุคก่อนประปา (Pre-Plumbing Era) ก่อนที่จะมีการติดตั้งระบบประปาที่ซับซ้อน ห้องน้ำในยุคแรก ๆ อาจใช้ภาชนะง่าย ๆ หรือช่องทางเฉพาะเพื่อรองรับของเสีย แต่เมื่อระบบประปาและระบบระบายน้ำเริ่มพัฒนา โถปัสสาวะชายก็เริ่มมีรูปร่างที่เป็นสุขภัณฑ์มากขึ้น

2. การถือกำเนิดของโถปัสสาวะชายแบบติดผนัง โถปัสสาวะชายในรูปแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เริ่มปรากฏขึ้นในช่วง ทศวรรษ 1850-1880 โดยผลิตจากวัสดุที่ทนทานและทำความสะอาดง่าย เช่น พอร์ซเลน และ ดินเผาเคลือบวิเทรียสไชน่า (Vitreous China) ซึ่งเป็นวัสดุที่นิยมใช้ผลิตโถสุขภัณฑ์มาจนถึงทุกวันนี้
ดีไซน์เริ่มต้น: โถปัสสาวะในยุคแรกอาจเป็นเพียงอ่างเล็ก ๆ ติดผนัง มีระบบชะล้างน้ำแบบง่าย ๆ หรือต้องใช้มือเปิดวาล์ว

3. การพัฒนาระบบชำระล้าง (Flush System) การพัฒนาครั้งสำคัญคือการเพิ่ม ระบบชำระล้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบที่ควบคุมการชะล้างโดยอัตโนมัติ (Automatic Flushing) หรือใช้เซ็นเซอร์ (ในภายหลัง) เพื่อให้มั่นใจว่าโถปัสสาวะจะถูกทำความสะอาดหลังการใช้งานทุกครั้ง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสะอาดและลดกลิ่น

วิวัฒนาการสู่ยุคปัจจุบัน
โถปัสสาวะชายไม่ได้หยุดนิ่งอยู่แค่โถพอร์ซเลนติดผนังเท่านั้น แต่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์เรื่องความสะอาดและการประหยัดทรัพยากร:
โถปัสสาวะชายไร้น้ำ (Waterless Urinals): การออกแบบที่ใช้สารเคมีหรือระบบกับดักกลิ่นพิเศษ (Trap Insert) แทนการใช้น้ำชำระล้าง ช่วย ประหยัดน้ำได้มากถึง 100%
โถปัสสาวะชายพร้อมเซ็นเซอร์ (Sensor Urinals): ใช้ระบบอินฟราเรดตรวจจับการใช้งาน และชะล้างน้ำโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องสัมผัสกับพื้นผิว ลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และมั่นใจได้ว่าโถจะสะอาดอยู่เสมอ
ดีไซน์ที่หลากหลาย: มีทั้งแบบแขวนผนัง (Wall-mounted) และแบบตั้งพื้น (Floor-standing) ที่ปรับให้เข้ากับการใช้งานและความสูงที่แตกต่างกัน


9
ไม่มีอะไรจะน่าหงุดหงิดเท่ากับการเข้าห้องน้ำแล้วต้องเจอกับ กลิ่นเหม็นจากชักโครก ที่ไม่ว่าจะทำความสะอาดอย่างไรกลิ่นก็ไม่หายไป ปัญหานี้ไม่ได้แค่สร้างความรำคาญ แต่ยังส่งผลต่อสุขอนามัยและความมั่นใจในการใช้พื้นที่ส่วนตัวด้วย สาเหตุชักโครกเหม็น และมอบวิธีแก้ ชักโครกมีกลิ่นเหม็น ที่ได้ผลจริง

3 สาเหตุหลักที่ทำให้ 'ชักโครกมีกลิ่นเหม็น'
การจะแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด เราต้องรู้ก่อนว่า ส้วมเหม็น นั้นมีที่มาจากอะไรได้บ้าง สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากปัจจัยเหล่านี้:
1. ปัญหาจากแหวนขี้ผึ้ง (Wax Ring) เสื่อมสภาพ
แหวนขี้ผึ้งคือซีลที่อยู่ใต้ฐานชักโครก ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ก๊าซจากท่อระบายน้ำ ย้อนกลับขึ้นมาในห้องน้ำ เมื่อแหวนขี้ผึ้งเสื่อมสภาพ แตก หรือติดตั้งไม่ได้ระดับ ก๊าซมีเทนที่มีกลิ่นแรงก็จะรั่วไหลออกมาได้ นี่คือ สาเหตุชักโครกมีกลิ่นเหม็น ที่พบบ่อยที่สุดและต้องการการซ่อมแซมโดยช่างประปา
2. น้ำในคอห่าน (P-Trap) แห้ง
คอห่าน หรือ P-Trap คือส่วนโค้งของท่อระบายน้ำที่กักเก็บน้ำไว้เพื่อทำหน้าที่เป็น "ตัวกั้นกลิ่น" หากไม่ได้ใช้งานห้องน้ำนั้นเป็นเวลานาน น้ำที่กักไว้ในคอห่านอาจระเหยแห้งไป ทำให้ก๊าซจากท่อระบายน้ำสามารถทะลุผ่านขึ้นมาได้โดยตรง
3. มีสิ่งอุดตันหรือสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
สิ่งปฏิกูล เส้นผม หรือคราบสบู่ที่สะสมอยู่ในท่อระบายน้ำ อาจกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียและเกิดการย่อยสลาย ทำให้เกิด กลิ่นเหม็นจากชักโครก หรือบริเวณรอบๆ ได้ นอกจากนี้ คราบสกปรกที่ติดอยู่ใต้ขอบชักโครกก็เป็นอีกจุดที่ทำให้เกิดกลิ่นได้เช่นกัน



5 วิธีแก้ชักโครกมีกลิ่นเหม็นด้วยตัวเอง & เมื่อไหร่ที่ต้องเรียกช่าง
ไม่ต้องทนกับ กลิ่นเหม็นจากชักโครก อีกต่อไป ลองใช้วิธีเหล่านี้เพื่อจัดการปัญหา:

1. ทำความสะอาดแบบล้ำลึก เน้นทำความสะอาด ใต้ขอบชักโครก และฐานชักโครกให้ทั่วถึง ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อหรือเบกกิ้งโซดาผสมน้ำส้มสายชู กลิ่นไม่แรงมาก หรือเกิดจากคราบสกปรกทั่วไป
2. เติมน้ำในคอห่าน กดชักโครก 1-2 ครั้ง หรือเปิดน้ำทิ้งไว้เล็กน้อย หากเป็นห้องน้ำที่ไม่ได้ใช้งานนานเมื่อไม่ได้ใช้ห้องน้ำนั้นนานกว่า 2-3 สัปดาห์
3. ใช้ผลิตภัณฑ์เอนไซม์กำจัดกลิ่น เทผลิตภัณฑ์ที่มีเอนไซม์ย่อยสลายสิ่งปฏิกูลลงในชักโครกตามคำแนะนำ เพื่อกำจัดสิ่งที่อุดตันในท่อ   เมื่อสงสัยว่ามีสิ่งอุดตันเล็กน้อยในท่อระบายน้ำ
4. ตรวจสอบรอยรั่วที่ฐาน สังเกตว่ามีน้ำซึมออกมาจากฐานชักโครกหรือไม่ หากฐานโยกเยกอาจเป็นสัญญาณว่าแหวนขี้ผึ้งมีปัญหา   หากกลิ่นคล้ายก๊าซไข่เน่าและฐานชักโครกไม่มั่นคง (ต้องเรียกช่าง)
5. ตรวจสอบท่อระบายอากาศ หากท่อระบายอากาศบนหลังคาอุดตัน (เช่น มีรังนกหรือใบไม้) จะทำให้เกิดแรงดันลบ ดึงน้ำจาก P-Trap และทำให้กลิ่นย้อนกลับเป็นงานที่ควรปรึกษาหรือให้ช่างมาดำเนินการ

การจัดการปัญหา ชักโครกมีกลิ่นเหม็น อาจต้องใช้เวลาในการตรวจสอบและแก้ไข แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอและไม่ทิ้งสิ่งที่ไม่ควรลงในชักโครก หากแก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้ อย่าลังเลที่จะติดต่อช่างประปาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและถาวร



10
ประกันยูนิตลิงค์ Unit Linked เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ควบคู่ไปกับการวางแผนความคุ้มครองชีวิตอย่างยืดหยุ่น Unit Linked เป็นเครื่องมือวางแผนการเงินที่ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนแผนได้ตามทุกช่วงชีวิต โดยมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากตลาดทุน

Unit Linked คือกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ค่าเบี้ยประกันจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก:
ส่วนที่ 1: ค่าการประกันภัย (Cost of Insurance - COI) สำหรับให้ความคุ้มครองชีวิตตามที่กำหนด
ส่วนที่ 2: ส่วนที่นำไปลงทุน บริษัทจะนำไปซื้อหน่วยลงทุนของ กองทุนรวม (Mutual Funds) ที่ผู้เอาประกันภัยเลือกเอง โดยจะได้รับผลตอบแทนตามผลการดำเนินงานของกองทุนนั้นๆ



จุดเด่นของ Unit Linked
• ความยืดหยุ่นสูง: สามารถ เพิ่ม/ลดทุนประกันชีวิต ได้ตามภาระและความต้องการในแต่ละช่วงชีวิต และสามารถหยุดพักชำระเบี้ยประกันได้ตามเงื่อนไขหากประสบปัญหาทางการเงิน (โดยความคุ้มครองยังดำเนินต่อหากมูลค่าบัญชียังมีเพียงพอ)
• โอกาสรับผลตอบแทนสูง: ผู้เอาประกันสามารถบริหารการลงทุนด้วยตนเอง โดยเลือกกองทุนรวมที่บริษัทคัดสรรมาให้ ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการออมแบบดั้งเดิม
• ความโปร่งใส: มีการเปิดเผยค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างชัดเจน ทำให้ผู้เอาประกันภัยเข้าใจโครงสร้างของกรมธรรม์ได้ง่าย
 
Unit Linked เหมาะกับใคร
ผลิตภัณฑ์ Unit Linked ถูกออกแบบมาเพื่อกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติดังนี้:
1. นักลงทุนที่มีความรู้และพร้อมรับความเสี่ยง: ผู้ที่เข้าใจหลักการลงทุนในกองทุนรวมและสามารถยอมรับความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจผันผวนตามสภาวะตลาด
2. ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงสุด: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับเปลี่ยนทั้งความคุ้มครองและเงินออม โดยไม่ต้องการผูกมัดกับการจ่ายเบี้ยประกันคงที่ตลอดไป
3. ผู้ที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว: Unit Linked เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ดีในการวางแผนเพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น แผนเกษียณอายุ หรือการสร้างมรดก

สิทธิลดหย่อนภาษีกับ Unit Linked: สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ
การซื้อประกัน Unit Linked สามารถนำไปใช้ ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้ แต่มีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างจากการประกันชีวิตแบบดั้งเดิม:
ประเภทค่าเบี้ย   สิทธิลดหย่อนภาษี (สูงสุด 100,000 บาท)
เบี้ยประกันภัยหลัก (ส่วนความคุ้มครอง) สามารถนำไปลดหย่อนได้ ตามที่จ่ายจริง (รวมกับประกันชีวิตอื่นๆ) โดยกรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
เบี้ยประกันภัยส่วนที่นำไปลงทุน   ไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้

ข้อแนะนำ: หากเป้าหมายหลักคือการลดหย่อนภาษีเต็มวงเงิน 100,000 บาท ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าสัดส่วนของ "เบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครอง" ในกรมธรรม์ของคุณเป็นเท่าใด เพื่อให้คำนวณสิทธิลดหย่อนได้อย่างถูกต้อง กองทุนประกันชีวิต


11
ฝาปิดชักโครกอาจดูเป็นส่วนเล็กๆ แต่ความจริงแล้วมีผลอย่างมากต่อสุขอนามัย ความสะดวกสบาย และความสวยงามของห้องน้ำคุณ การเลือกฝาชักโครกที่เหมาะสมกับประเภทชักโครกและการใช้งานถือเป็นสิ่งสำคัญ

ทำไมการเลือกฝาปิดชักโครกจึงสำคัญ
1. สุขอนามัย : ฝาชักโครกช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคและละอองน้ำจากการกดชักโครก การมีฝาที่ทำความสะอาดง่ายจึงช่วยให้ห้องน้ำถูกสุขอนามัยมากขึ้น
2. ความสบาย : วัสดุและความหนาของฝามีผลต่อความสบายในการนั่ง รวมถึงฟังก์ชันเสริมต่างๆ เช่น ระบบ Soft Close หรือระบบทำความร้อน
3. ความสวยงาม : ฝาชักโครกช่วยเสริมให้ห้องน้ำดูเป็นระเบียบและเข้ากับดีไซน์โดยรวมของห้องน้ำ



วัสดุยอดนิยมสำหรับฝาปิดชักโครก การเลือกวัสดุมีผลต่อความทนทาน ราคา และความรู้สึกขณะใช้งาน
พลาสติก(Plastic - PP/PVC) :
ข้อดี: ราคาถูก, น้ำหนักเบา, ทำความสะอาดง่าย, มีสีสันหลากหลาย
ข้อเสีย: ความทนทานน้อยกว่า, อาจแตกหักง่ายหากเป็นพลาสติกคุณภาพต่ำ

พลาสติกคุณภาพสูง/เรซิ่น(Polypropylene/Duroplast) :
ข้อดี: ทนทานสูง, ผิวสัมผัสเงางามคล้ายเซรามิก, ทนต่อรอยขีดข่วน
ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าพลาสติกทั่วไป

ไม้ (Wood) :
ข้อดี: ให้ความรู้สึกหรูหรา อบอุ่น, มีความแข็งแรง
ข้อเสีย: ต้องการการดูแลรักษาเป็นพิเศษ, หากโดนน้ำขังเป็นเวลานานอาจบวมหรือผุได้

ฟังก์ชันพิเศษที่น่าสนใจ
ฝาปิดชักโครกในปัจจุบันไม่ได้มีแค่ฝาธรรมดา แต่มีเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย:

1.ระบบ Soft Close (ระบบปิดแบบนุ่มนวล):
การทำงาน: มีกลไกหน่วงทำให้ฝาชักโครกปิดลงอย่างช้าๆ โดยไม่มีเสียงดัง
ประโยชน์: ป้องกันเสียงรบกวน, ป้องกันฝาแตกจากการกระแทก

2.ฝาชักโครกอัจฉริยะ (Smart Toilet Seat/Bidet):
การทำงาน: มีระบบฉีดน้ำชำระอัตโนมัติ (Washlet), ระบบเป่าลมแห้ง, ระบบทำความร้อนที่นั่ง
ประโยชน์: เพิ่มสุขอนามัยสูงสุด, ลดการใช้กระดาษชำระ, มอบประสบการณ์การใช้งานระดับพรีเมียม วิธีแก้ ชักโครกมีกลิ่นเหม็น

3 เคล็ดลับสำคัญในการเลือกซื้อฝาปิดชักโครก
สิ่งสำคัญที่สุดคือการ วัดขนาด ชักโครกเดิมของคุณอย่างแม่นยำเพื่อป้องกันการซื้อผิดรุ่น:
1.วัดระยะห่างระหว่างรูน็อตยึด : โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 14-16 ซม.
2.วัดความยาวจากกึ่งกลางรูน็อตถึงปลายสุดของโถ: เพื่อเทียบกับขนาดฝาชักโครก (ถ้าเป็นทรงกลมมักจะสั้นกว่าทรงรี)
3.วัดความกว้างของโถชักโครก ณ จุดที่กว้างที่สุด: เพื่อให้ฝาปิดได้แนบสนิทกับโถ


12
เมื่อลูกน้อยมีอาการ ไอมีเสมหะ ย่อมทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวล เพราะนอกจากลูกจะรู้สึกไม่สบายตัว หายใจลำบากแล้ว อาการไอมักจะรบกวนการนอนหลับของลูกน้อยอีกด้วย การจัดการกับเสมหะอย่างถูกต้องและปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญลูกไอมีเสมหะ วิธีแก้

สาเหตุหลักที่ลูกไอมีเสมหะ
การไอเป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายเพื่อขับสิ่งแปลกปลอมหรือเสมหะออกจากทางเดินหายใจ โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ลูกมีเสมหะ ได้แก่:
การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน(หวัด): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เมื่อเป็นหวัด ร่างกายจะสร้างเสมหะมากขึ้นเพื่อดักจับเชื้อโรค
หลอดลมอักเสบ: การอักเสบในท่อลม ทำให้มีการสร้างเสมหะเหนียวข้น
ภูมิแพ้: สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น หรือขนสัตว์ อาจกระตุ้นให้เยื่อบุทางเดินหายใจสร้างเสมหะ
โรคหืด: พบในเด็กโตบางราย ที่มีอาการหลอดลมตีบร่วมกับการสร้างเสมหะ



วิธีแก้และบรรเทาอาการไอมีเสมหะในเด็ก
การรักษาที่ดีที่สุดคือการปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง แต่ในระหว่างนี้ คุณสามารถช่วยบรรเทาอาการของลูกน้อยด้วยวิธีเหล่านี้:

1. เพิ่มความชุ่มชื้นในทางเดินหายใจ
นี่คือวิธีที่สำคัญที่สุดและปลอดภัยที่สุดในการทำให้เสมหะอ่อนตัวลงและขับออกง่าย:
ดื่มน้ำอุ่น/น้ำเปล่า: ให้ลูกจิบน้ำเปล่าหรือน้ำอุ่นบ่อย ๆ เพื่อช่วยละลายเสมหะให้ไม่เหนียวข้น
ใช้เครื่องทำความชื้น (Humidifier): วางไว้ในห้องนอนของลูก โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ความชื้นจะช่วยให้เสมหะอ่อนตัวลงและลดอาการคัดจมูก
สูดไอน้ำอุ่น: พาเข้าไปนั่งในห้องน้ำที่เปิดน้ำอุ่นจัด (ไม่ต้องให้ลูกสัมผัสน้ำ) ให้ลูกสูดไอน้ำอุ่นประมาณ 10-15 นาที ไอน้ำจะช่วยเปิดทางเดินหายใจและละลายเสมหะ

2. ให้น้ำเกลือล้างจมูก
ล้างจมูก: หากเสมหะเกิดจากน้ำมูกที่ไหลลงคอ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือจะช่วยลดปริมาณน้ำมูกและเสมหะได้เป็นอย่างดี ควรทำก่อนมื้ออาหารและก่อนนอน

3. การใช้ยาขับเสมหะและยาละลายเสมหะ (ภายใต้คำแนะนำของแพทย์)
ยาขับเสมหะ: ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำออกมาเจือจางเสมหะ
ยาละลายเสมหะ : ช่วยลดความเหนียวของเสมหะ ทำให้ไอขับออกได้ง่ายขึ้น
คำเตือน: ยาแก้ไอแบบกดอาการไม่ควรใช้กับเด็กที่มีเสมหะ เพราะการไอคือกลไกการขับเสมหะออก การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การวินิจฉัยและสั่งจ่ายของแพทย์เท่านั้น หมอเด็ก

4. ปรับท่าทางการนอน
หนุนศีรษะให้สูงขึ้น: ใช้หมอนที่มั่นคงหรือผ้าขนหนูรองใต้ที่นอน/เบาะที่นอนของลูก (ไม่ใช่รองใต้ศีรษะโดยตรง) ให้ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อย จะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำมูกไหลลงคอมากในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นสาเหตุของการไอนอน

การดูแลลูกไอมีเสมหะต้องใช้ความอดทนและความใส่ใจ การใช้เคล็ดลับข้างต้นจะช่วยให้ลูกน้อยของคุณกลับมาหายใจโล่งและรู้สึกดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

13
แม้ว่าประกันสุขภาพทั่วไปจะให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแต่ ประกัน มะเร็ง มักจะมอบความคุ้มครองทางการเงินในรูปแบบของ เงินก้อนซึ่งมีข้อดีที่แตกต่าง
ได้รับเงินก้อนทันทีที่ตรวจพบ:   ประกันมะเร็งส่วนใหญ่มักจ่ายเงินก้อนให้ทันทีเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ทำให้ผู้เอาประกันมี เงินสดสำรอง สำหรับใช้จ่ายในการวางแผนการรักษาได้อย่างอิสระ เช่น การเลือกวิธีรักษาแบบใหม่ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายสูง

ใช้ได้ตามต้องการ:   เงินก้อนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แค่ค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น แต่สามารถนำไปใช้เป็นค่าชดเชยรายได้ที่ขาดหายไป ค่าเดินทาง หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของผู้ป่วย
เบี้ยประกันคงที่และราคาเข้าถึงได้:   เบี้ยประกันมะเร็งมักไม่แพงเท่าประกันสุขภาพเหมาจ่าย และบางแผนมีเบี้ยประกันที่คงที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ทำให้วางแผนการเงินได้ง่าย



ความคุ้มครองหลักของ "ประกันมะเร็ง" ที่ต้องทำความเข้าใจ
การทำความเข้าใจขอบเขตความคุ้มครองจะช่วยให้คุณเลือกแผนที่ตรงกับความเสี่ยงและงบประมาณของคุณ

1. คุ้มครองมะเร็งทุกระยะ
นี่คือจุดเด่นที่สุดของประกันมะเร็ง:
มะเร็งระยะไม่ลุกลาม:   บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์ส่วนหนึ่ง (มักจะเป็น 10%-25% ของทุนประกัน) เพื่อให้ผู้เอาประกันมีเงินไปทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่โรคจะลุกลาม
มะเร็งระยะลุกลาม:   บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์ส่วนที่เหลือทั้งหมด (หรือจ่ายเต็มจำนวน 100% หากไม่เคยเคลมระยะไม่ลุกลามมาก่อน)
ข้อแนะนำ: ควรเลือกแผนที่ให้ความคุ้มครอง มะเร็งทุกชนิดและทุกระยะ เพื่อให้ได้รับเงินก้อนตั้งแต่ระยะแรกๆ ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด

2. ระยะเวลารอคอย
ประกันมะเร็งทุกแผนจะมี ระยะเวลารอคอย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บริษัทยังไม่จ่ายผลประโยชน์ หากตรวจพบมะเร็งในช่วงนี้ โดยทั่วไปคือ:
ระยะรอคอยสำหรับการวินิจฉัยมะเร็ง:   มักจะอยู่ที่ 90 วัน นับจากวันที่กรมธรรม์มีผลบังคับ
ข้อยกเว้น:   โรคที่เป็นมาก่อนทำประกัน จะไม่ได้รับความคุ้มครอง

3. มะเร็งผิวหนัง
มะเร็งผิวหนังบางชนิดที่ไม่ร้ายแรงอาจมีเงื่อนไขการคุ้มครองที่แตกต่างกัน:
โดยทั่วไปจะมีการจ่ายผลประโยชน์สำหรับมะเร็งผิวหนังในสัดส่วนที่น้อยกว่ามะเร็งชนิดอื่นๆ (เช่น 10% หรือ 20% ของทุนประกัน)
อย่างไรก็ตาม มะเร็งผิวหนังชนิดที่ร้ายแรงอย่าง Malignant Melanoma มักจะได้รับการคุ้มครองเทียบเท่ามะเร็งระยะลุกลามทั่วไป เปรียบเทียบประกันสุขภาพ

4. ผลประโยชน์เพิ่มเติมที่อาจมีให้
นอกเหนือจากเงินก้อนแล้ว บางแผนประกันมะเร็งยังอาจมีผลประโยชน์เสริมอื่น ๆ เช่น:
ค่าชดเชยรายวัน:  จ่ายเงินชดเชยรายวันเมื่อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคมะเร็ง
คุ้มครองค่าตรวจวินิจฉัยซ้ำ:   เพื่อให้มั่นใจในการวินิจฉัยและแผนการรักษา


14
ภาวะ เท้าแบน เป็นปัญหาที่พบบ่อยและหลายคนอาจมองข้ามแต่ทราบหรือไม่ว่า เท้าแบนสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ท่าทางการเดิน และสร้างความปวดเมื่อยที่ลามไปถึงข้อเท้า หัวเข่า สะโพก และหลังได้

เท้าแบนคืออะไร
เท้าแบน คือภาวะที่อุ้งเท้าด้านใน มีลักษณะแบนราบลงหรือหายไป เมื่อยืนลงน้ำหนัก ฝ่าเท้าด้านในส่วนใหญ่หรือทั้งหมดจะแตะพื้น โดยปกติแล้วเท้าจะมีส่วนโค้ง (Arch) เพื่อช่วยรองรับน้ำหนักและกระจายแรงกระแทกในขณะเดินหรือวิ่ง ซึ่งการที่อุ้งเท้าหายไปจะส่งผลต่อกลไกการทำงานของเท้าและร่างกายส่วนบน



ประเภทของเท้าแบนที่พบบ่อย
เท้าแบนแบบยืดหยุ่น : เป็นชนิดที่พบมากที่สุด โดยจะมีอุ้งเท้าเมื่อนั่งหรือเขย่งปลายเท้า แต่จะราบลงเมื่อยืนลงน้ำหนัก
เท้าแบนแบบติดแข็ง : เป็นชนิดที่พบได้น้อยกว่า โดยเท้าจะแบนราบอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะลงน้ำหนักหรือไม่ มักเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกและอาจทำให้มีอาการปวดมากกว่า

สังเกตตัวเอง: อาการเท้าแบนเป็นอย่างไร
หลายคนที่มีภาวะเท้าแบนอาจไม่มีอาการใดๆ เลย แต่หากเริ่มมีปัญหา อาการที่พบบ่อยได้แก่:

อาการปวด:
ปวดบริเวณส้นเท้า อุ้งเท้า หรือข้อเท้า โดยเฉพาะหลังการเดินหรือยืนเป็นเวลานาน
อาการปวดมักจะแย่ลงเมื่อทำกิจกรรม
อาการบวม: มีอาการบวมเล็กน้อยตามแนวเอ็นด้านในของข้อเท้า
ความผิดปกติในการเดิน: ท่าทางการเดินเปลี่ยนไป อาจนำไปสู่ปัญหาที่เข่า สะโพก หรือปวดหลังส่วนล่างตามมา
อาการเมื่อยล้า: รู้สึกเมื่อยล้าที่เท้าหรือน่องอย่างรวดเร็วเมื่อยืนหรือเดิน
รองเท้าสึกผิดปกติ: รองเท้าสึกหรอเร็วผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณขอบด้านใน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเท้าแบน
ภาวะเท้าแบนอาจเกิดขึ้นมาตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นภายหลังได้จากหลายปัจจัย:
สาเหตุจากพันธุกรรม/พัฒนาการ: โดยทั่วไปอุ้งเท้าจะพัฒนาในช่วงวัยเด็ก แต่บางคนอาจไม่พัฒนาเลย
ภาวะเอ็นข้อเท้าด้านในเสื่อม: เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเท้าแบนในผู้ใหญ่ เมื่อเส้นเอ็นที่ทำหน้าที่พยุงอุ้งเท้าอ่อนแอลงหรือฉีกขาด อุ้งเท้าก็จะยุบตัวลง
การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บที่เท้าหรือข้อเท้า เช่น กระดูกแตก หรือเอ็นฉีกขาด

คำแนะนำและข้อควรปฏิบัติเพิ่มเติม
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง: เช่น การวิ่งระยะทางไกลหรือการกระโดด หากมีอาการปวด ควรสลับไปออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำแทน เช่น การว่ายน้ำ หรือการปั่นจักรยาน
สังเกตอาการลูกหลาน: เท้าแบนในเด็กเล็กถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากลูกมีอาการปวดเท้า เดินผิดปกติ หรือเท้าแบนแบบติดแข็ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินผล หมอกระดูกและข้อ


15
จากก๊อกน้ำที่ใช้ถ่านธรรมดา สู่การเป็นส่วนหนึ่งของระบบสมาร์ทโฮม ก๊อกน้ำอัตโนมัติได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดใน 3 ด้านหลัก:

1. สุขอนามัยเหนือระดับ: ลดการสัมผัส 100%
ปัจจัยเร่งสำคัญที่ทำให้ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์เติบโตคือวิกฤตสุขภาพโลกที่ผ่านมา ผู้คนตระหนักถึงการลดการสัมผัสพื้นผิวที่ใช้ร่วมกันอย่างจริงจัง

ไร้สัมผัสอย่างแท้จริง: การทำงานด้วยระบบอินฟราเรด ที่ไวและแม่นยำ ทำให้น้ำไหลทันทีที่มือยื่นเข้าไปและหยุดทันทีที่มือออกไป ลดความเสี่ยงในการสะสมและส่งต่อเชื้อโรค และแบคทีเรียได้ดีกว่าก๊อกน้ำมือหมุนทั่วไปอย่างมาก
ดีไซน์ที่ทำความสะอาดง่าย: เนื่องจากไม่ต้องสัมผัสบ่อยครั้ง ตัวก๊อกน้ำจึงมีโอกาสเกิดคราบสกปรก คราบสบู่ และรอยมือได้น้อยกว่า ทำให้การดูแลรักษาทำได้ง่ายและคงความมันวาวได้นาน



2. นวัตกรรมความยั่งยืน: ประหยัดน้ำและพลังงาน
ก๊อกน้ำอัตโนมัติยุคใหม่ถูกออกแบบมาเพื่อ รักษาสิ่งแวดล้อม และ ลดค่าใช้จ่าย อย่างจริงจัง

การควบคุมอัตราการไหล : ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์ส่วนใหญ่จะถูกตั้งค่าอัตราการไหลที่เหมาะสม (เช่น 4–6 ลิตร/นาที) ซึ่งเพียงพอต่อการล้างมือ แต่ช่วย ประหยัดน้ำได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับการเปิดทิ้งไว้ของก๊อกธรรมดา
ระบบปิดน้ำอัตโนมัติ: ป้องกันปัญหา ลืมปิดก๊อกน้ำ โดยระบบจะตัดการทำงานอัตโนมัติหากน้ำไหลต่อเนื่องเกินระยะเวลาที่กำหนด (เช่น 60 วินาที)
พลังงานทางเลือก : คือนวัตกรรมสุดล้ำที่เปลี่ยนพลังงานจลน์จากการไหลของน้ำ ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าสะสมในแบตเตอรี่ ทำให้ก๊อกน้ำสามารถ สร้างพลังงานในตัวเอง ได้โดยไม่ต้องใช้ถ่านหรือต่อไฟฟ้าภายนอก ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

3. ฟีเจอร์อัจฉริยะ: ควบคุมความสะดวกสบาย
เทคโนโลยีที่ซับซ้อนขึ้นไม่ได้แปลว่าใช้งานยาก แต่แปลว่าสะดวกสบายมากขึ้นสำหรับผู้ใช้ก๊อกน้ำอ่างล้างมือ

เซ็นเซอร์อุณหภูมิ: ก๊อกน้ำอัตโนมัติบางรุ่นมีการติดตั้ง เซ็นเซอร์ควบคุมอุณหภูมิ ทำให้สามารถตั้งค่าน้ำอุ่น/น้ำเย็นได้ตามต้องการอย่างแม่นยำ (มักพบในก๊อกน้ำในครัวหรืออ่างล้างหน้าพรีเมียม)
ระบบสองเซ็นเซอร์ (Two-Sensor System): เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน เช่น เซ็นเซอร์ด้านบนสำหรับล้างมือปกติ และเซ็นเซอร์ด้านข้างหรือปุ่มกดสำหรับการใช้น้ำแบบต่อเนื่อง (เช่น การเติมน้ำใส่ภาชนะ)
การเชื่อมต่อ IoT (Internet of Things): ในอนาคตอันใกล้ ก๊อกน้ำอาจเชื่อมต่อกับระบบสมาร์ทโฮม ทำให้สามารถ ตรวจสอบปริมาณการใช้น้ำ ผ่านแอปพลิเคชัน หรือแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติได้

16
มะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในมะเร็งร้ายที่พบได้บ่อยในผู้หญิง แต่หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น โอกาสในการรักษาก็สูงมาก ปัญหาคือในมะเร็งปากมดลูกระยะแรกมักไม่แสดงอาการเตือนมะเร็งปากมดลูกที่ชัดเจน ทำให้หลายคนละเลยจนกระทั่งโรคลุกลาม สิ่งที่ควรสังเกต เพื่อให้สามารถปรึกษาแพทย์ได้อย่างทันท่วงที ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

1.สัญญาณเตือนสำคัญที่ต้องรีบพบแพทย์
การมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดถือเป็นอาการเตือนมะเร็งปากมดลูกที่พบบ่อยที่สุดและสำคัญที่สุด
เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์: แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ
เลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน: เลือดที่ออกนอกรอบประจำเดือนปกติ
ประจำเดือนมามากหรือมานานกว่าปกติ: มีความผิดปกติในลักษณะหรือปริมาณของประจำเดือน
มีเลือดออกหลังหมดประจำเดือน: สตรีวัยหมดประจำเดือนที่มีเลือดออกถือเป็นสัญญาณอันตราย



2.ความผิดปกติของสารคัดหลั่ง
การเปลี่ยนแปลงของตกขาวก็เป็นสัญญาณมะเร็งปากมดลูกอีกอย่างที่สังเกตได้ง่าย
ตกขาวมีปริมาณเพิ่มขึ้นผิดปกติ: มากกว่าที่เคยเป็น
ตกขาวมีลักษณะผิดปกติ: มีน้ำปนเลือด เป็นมูก เป็นหนอง หรือมีเศษเนื้อปน
ตกขาวมีกลิ่นเหม็นเน่าหรือกลิ่นคาว: สัญญาณของการติดเชื้อหรือความผิดปกติที่ปากมดลูก

3.อาการปวดและอาการอื่น ๆ ที่บ่งชี้การลุกลาม
เมื่อมะเร็งเริ่มลุกลาม อาจมีอาการอื่น ๆ ตามมาที่ควรสังเกตเพิ่มเติม:
อาการเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์: รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายช่องคลอด
ปวดท้องน้อยหรือปวดอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง: ปวดหน่วง ๆ หรือปวดต่อเนื่องโดยไม่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด: เป็นอาการที่อาจพบได้เมื่อโรคดำเนินไปมากขึ้น


4.การตรวจคัดกรอง: กุญแจสำคัญสู่การป้องกัน
เน้นย้ำว่าการตรวจคัดกรองคือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะมะเร็งปากมดลูกมักไม่มีอาการในระยะเริ่มแรก โปรแกรมตรวจสุขภาพ
การตรวจคัดกรอง HPV-DNA: ตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก
การตรวจ Pap Smear หรือ ThinPrep: ตรวจหาเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูก
เน้นย้ำ: การตรวจอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ช่วยให้พบความผิดปกติในระยะก่อนเป็นมะเร็งและรักษาให้หายได้ก่อนที่จะมีอาการเตือนมะเร็งปากมดลูกใด ๆ


17
มองหาสไตล์การแต่งตัวใหม่ ๆ ที่จะทำให้โดดเด่น และอินเทรนด์ที่สุดในปีคือการเฉลิมฉลองให้กับความหลากหลายและการผสมผสานที่ลงตัวระหว่าง ความอ่อนหวานโรแมนติก และ ความเท่คล่องตัว 2 เทรนด์หลักที่กำลังครองใจสายแฟชั่น พร้อมไอเดียเสื้อผ้าแฟชั่น มิกซ์แอนด์แมตช์ ให้ดูดีในทุกโอกาส



1. เทรนด์ Coquette & Romantic Feminine (หวานละมุน ชวนฝัน)
เทรนด์นี้เป็นการนำกลิ่นอายความโรแมนติกแบบวินเทจกลับมาอีกครั้ง แต่ปรับให้ดูทันสมัยและใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเน้นไปที่รายละเอียดที่อ่อนโยนและนุ่มนวล

ไอเท็มหลักที่ ต้องมี
ชุดเดรสลูกไม้ / เดรสงานปัก: เลือกเดรสที่เน้นดีเทลงานฝีมือ ลูกไม้ หรืองานปักแบบวินเทจ (Vintage Embroidery) โดยเฉพาะเดรสที่ตัดเย็บจากผ้าโปร่ง หรือผ้าชีฟองสีอ่อน
คอร์เซต (Corset) ที่ใส่ได้ทุกวัน: คอร์เซตไม่ได้จำกัดอยู่แค่ชุดชั้นในอีกต่อไป แต่ถูกนำมาแมตช์กับกางเกงยีนส์เอวสูง หรือกระโปรงยาวพลิ้ว ๆ เพื่อเพิ่มความเซ็กซี่แบบมีระดับ
รองเท้าบัลเล่ต์แฟลต (Ballet Flats) และแมรี่เจน (Mary Jane): รองเท้าส้นแบนที่มีสายรัดข้อเท้าหรือหลังเท้ากลับมาเป็นไอเท็มหลักที่ให้ลุคอ่อนโยนเหมือนตุ๊กตา
สีมาแรง: สีพาสเทลโทนอุ่น (Warm Pastel) เช่น สีชมพูอ่อน (Baby Pink), สีฟ้าอ่อน, สีครีม, สีไอวอรี่ และสีเบจ

2. เทรนด์ Sporty Chic & Streetwear (เท่คล่องตัว สบายแต่มีสไตล์)
เป็นการผสานเสื้อผ้าแนวสปอร์ตเข้ากับแฟชั่นสตรีทและแคชชวลอย่างลงตัว เน้นความสบาย คล่องตัว แต่ยังคงความเท่และมีพลัง เหมาะสำหรับชีวิตในเมืองที่เร่งรีบ

shoppingไอเท็มหลักที่ ต้องมี
กางเกงยีนส์ทรงหลวม (Baggy Jeans): กางเกงยีนส์ขาตรง ทรงหลวม หรือทรงบอยเฟรนด์ที่ให้ความรู้สึกสบายตัว ไม่รัดรูป เป็นกางเกงยีนส์ที่มาแรงที่สุดแห่งปี
ชุด Athleisure (เสื้อผ้ากีฬาที่ใส่ในชีวิตประจำวัน): เช่น เสื้อครอป (Crop Top) ที่แมตช์กับกางเกงวอร์ม หรือ สปอร์ตบรา ที่ใส่คู่กับแจ็คเก็ตบอมเบอร์ (Bomber Jacket)
รองเท้าสนีกเกอร์ (Sneakers) และรองเท้าผ้าใบ: เน้นทรงที่ดูย้อนยุค (Retro) หรือดีไซน์ล้ำสมัย (Futuristic) ที่มีสีสันสดใส หรือสีขาวคลีน
สีมาแรง: สีดำ, สีเทา, สีขาว และการใช้สี Bold Colors (สีจัดจ้าน) เช่น สีแดงสด, สีน้ำเงินไฟฟ้า ในการตัดกัน (Dopamine Dressing)


18
ประกันคนท้อง คือ ประกันสุขภาพที่ออกแบบมาเพื่อคุ้มครองค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรโดยเฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากประกันสุขภาพทั่วไปที่มักจะไม่ครอบคลุม หรือมีระยะเวลารอคอยที่นานมากสำหรับการคลอดบุตร

โดยความคุ้มครองหลักๆ ของประกันคนท้อง มักจะครอบคลุม
ค่าฝากครรภ์: ค่าตรวจครรภ์, ค่าอัลตราซาวนด์, ค่ายาบำรุง และค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ
ค่าคลอดบุตร: ครอบคลุมทั้งการคลอดแบบธรรมชาติ และการผ่าคลอด รวมถึงค่าห้องพักฟื้น และค่าบริการในโรงพยาบาล
ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์และการคลอด: เช่น ครรภ์เป็นพิษ, เบาหวานขณะตั้งครรภ์, การตกเลือดหลังคลอด ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงและคาดเดาไม่ได้
ความคุ้มครองทารกแรกเกิด: ในบางแผนจะมีความคุ้มครองสำหรับลูกน้อยทันทีหลังคลอด เช่น กรณีต้องเข้าตู้อบ หรือการรักษาภาวะตัวเหลือง



5 เหตุผลสำคัญที่ ประกันคลอดบุตร เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
1. ช่วยแบ่งเบา "ค่าใช้จ่ายคลอดบุตร" ที่สูงขึ้นทุกปี
ปฏิเสธไม่ได้ว่าค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตรในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำในปัจจุบันค่อนข้างสูง
2. อุ่นใจกับ "ภาวะแทรกซ้อน" ที่คาดไม่ถึง
สุขภาพเป็นเรื่องไม่แน่นอน แม้จะดูแลตัวเองดีแค่ไหน โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนก็ยังมีอยู่ ประกันจะเข้ามาช่วยจัดการค่ารักษาพยาบาลในส่วนนี้
3. คุ้มครอง "ลูกน้อย" ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก
แผนประกันที่ดีมักพ่วงความคุ้มครองสำหรับทารกแรกเกิด ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าหากลูกน้อยมีความผิดปกติแรกคลอด
4. สร้างความสบายใจ ให้คุณแม่โฟกัสกับการตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์ควรเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข การมีประกันช่วยลดความเครียดและความกังวลเรื่องการเงิน
5. เป็นการวางแผนการเงินที่ชาญฉลาด
การซื้อประกันคือการ "โอนย้ายความเสี่ยง" จากตัวคุณไปยังบริษัทประกัน ช่วยให้คุณวางแผนการเงินของครอบครัวในระยะยาวได้อย่างเป็นระบบซื้อประกันออนไลน์

สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณต้องรู้คือ ประกันคนท้องส่วนใหญ่ ต้องซื้อก่อนที่จะตั้งครรภ์ เนื่องจากมีสิ่งที่เรียกว่าระยะเวลารอคอย
ระยะเวลารอคอย คืออะไร
คือระยะเวลาที่ประกันยังไม่ให้ความคุ้มครองหลังจากกรมธรรม์อนุมัติ ซึ่งสำหรับประกันคลอดบุตร มักมีระยะเวลารอคอยประมาณ 10-12 เดือน (หรือ 280-300 วัน)
นั่นหมายความว่า คุณต้องซื้อประกันและถือกรมธรรม์ไว้ให้ครบกำหนดก่อน จึงจะสามารถตั้งครรภ์และเบิกค่าคลอดได้ หากคุณตั้งครรภ์ก่อนซื้อ หรือตั้งครรภ์ในช่วงระยะเวลารอคอย ประกันจะไม่คุ้มครองค่าใช้จ่ายในครรภ์นั้น



19
ชักโครกอัตโนมัติ หรือที่หลายคนเรียกว่า โถสุขภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart Toilet) กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของบ้านยุคใหม่ ที่มอบทั้งสุขอนามัยที่ดีขึ้น ความสะดวกสบายที่เหนือกว่า และดีไซน์ที่หรูหราทันสมัย
โถสุขภัณฑ์ที่ผสานเทคโนโลยีเซ็นเซอร์และฟังก์ชันการทำงานต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อลดการสัมผัสและเพิ่มความสะอาดสะดวกสบายสูงสุด โดยมีฟังก์ชันหลักๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน

5 ฟีเจอร์เด่นที่ทำให้คุณต้องหลงรัก "สุขภัณฑ์อัจฉริยะ"
โถสุขภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้มีดีแค่การออกแบบที่สวยงาม แต่มาพร้อมกับนวัตกรรมที่น่าทึ่ง:
1. ระบบชำระล้างอัตโนมัติ
นี่คือฟังก์ชันพื้นฐานที่สำคัญที่สุด! ระบบเซ็นเซอร์จะตรวจจับเมื่อคุณลุกออกจากโถสุขภัณฑ์ และทำการชำระล้างทันทีโดยที่คุณไม่ต้องกดปุ่มใดๆ ช่วยลดการสัมผัสกับเชื้อโรคที่สะสมบริเวณปุ่มกดได้ 100%

2. ก้านฉีดชำระอัจฉริยะ
ลืมสายฉีดชำระแบบเดิมๆ ไปได้เลย ชักโครกอัตโนมัติมาพร้อมก้านฉีดชำระในตัว ที่สามารถ:
ปรับอุณหภูมิน้ำ: เลือกได้ทั้งน้ำอุ่นและน้ำอุณหภูมิปกติ
ปรับตำแหน่งและความแรง: เลือกตำแหน่งการฉีดล้างสำหรับสุภาพสตรี และการชำระล้างทั่วไป พร้อมปรับความแรงของน้ำได้ตามต้องการ
ระบบทำความสะอาดตัวเอง: ก้านฉีดจะทำความสะอาดตัวเองทั้งก่อนและหลังการใช้งาน มั่นใจได้ในความสะอาด



3. ฝารองนั่งปรับอุณหภูมิ
สัมผัสแห่งความสบายที่แท้จริง โดยเฉพาะในวันที่อากาศเย็น คุณสามารถปรับอุณหภูมิของฝารองนั่งให้อบอุ่นอยู่เสมอ สร้างประสบการณ์การเข้าห้องน้ำที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น

4. ระบบเป่าลมอุ่น
หลังจากใช้ก้านฉีดชำระแล้ว ระบบเป่าลมอุ่นจะทำงานต่อทันที ช่วยให้คุณแห้งสบายตัวโดยไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษชำระ ซึ่งนอกจากจะสะอาดกว่าแล้ว ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการใช้กระดาษได้อีกด้วย

5. ระบบกำจัดกลิ่นอัตโนมัติ
หมดกังวลเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์ โถสุขภัณฑ์อัจฉริยะมักมีระบบกรองอากาศหรือคาร์บอนฟิลเตอร์ ที่จะเริ่มทำงานอัตโนมัติเมื่อคุณนั่งลง ช่วยให้ห้องน้ำสดชื่นอยู่เสมอ


การเลือกซื้อชักโครกอัตโนมัติ ต้องดูอะไรบ้าง
ฟังก์ชันที่ต้องการ: ไม่จำเป็นต้องเลือกรุ่นที่มีทุกอย่าง ลองดูว่าฟังก์ชันไหนที่คุณต้องการจริงๆ เช่น ระบบฉีดชำระน้ำอุ่น และระบบเป่าลม คือฟังก์ชันหลักที่คนส่วนใหญ่พึงพอใจ
การติดตั้ง: ชักโครกอัตโนมัติต้องการการเชื่อมต่อทั้งท่อน้ำและ "ระบบไฟฟ้า" (ปลั๊กไฟแบบกันน้ำ) ควรเตรียมพื้นที่และปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญก่อนติดตั้ง
งบประมาณ: ปัจจุบันมีตัวเลือกหลากหลาย ตั้งแต่ "ฝารองนั่งอัตโนมัติ" (E-Bidet) ที่สามารถติดตั้งกับโถเดิมได้ในราคาย่อมเยา ไปจนถึงโถสุขภัณฑ์อัจฉริยะแบบครบวงจร
การรับประกันและบริการหลังการขาย: เลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและมีการรับประกันสินค้าที่ชัดเจน

สุขภัณฑ์อัตโนมัติ ไม่ใช่แค่ของใช้ฟุ่มเฟือย แต่คือการลงทุนเพื่อสุขอนามัยที่ดีกว่าและความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน หากคุณกำลังรีโนเวทห้องน้ำหรือสร้างบ้านใหม่ การเลือกใช้โถสุขภัณฑ์อัจฉริยะคือการตัดสินใจที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคุณและครอบครัวไปอีกนาน


20
ลำไส้แปรปรวน ป็นภาวะผิดปกติของการทำงานของระบบทางเดินอาหารที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานที่มีความเครียดสูง แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงที่นำไปสู่มะเร็งลำไส้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประจำวันอย่างมาก หากมีอาการท้องผูก ท้องเสีย หรือปวดท้องแบบเป็น ๆ หาย ๆ อาจกำลังประสบกับสัญญาณเตือนของภาวะนี้

4 สัญญาณเตือนหลักของภาวะ ลำไส้แปรปรวนที่เข้าข่ายตามเกณฑ์การวินิจฉัย ดังนี้:

1. อาการปวดท้องหรือรู้สึกไม่สบายท้องเรื้อรัง
ลักษณะอาการ: มักปวดท้องแบบปวดเกร็ง เป็น ๆ หาย ๆ หรือรู้สึกไม่สบายท้องส่วนล่าง
ช่วงเวลา: อาการปวดมักจะแย่ลงหลังรับประทานอาหาร และจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากการขับถ่ายอุจจาระหรือผายลม

2. รูปแบบการขับถ่ายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอาการที่ชัดเจนที่สุดของภาวะ ลำไส้แปรปรวน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบหลัก:
IBS-C (Constipation): มีอาการท้องผูกเป็นหลัก ถ่ายยาก ถ่ายไม่สุด อุจจาระแข็งเป็นก้อน
IBS-D (Diarrhea): มีอาการท้องเสียเป็นหลัก ถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย อาจมีอาการปวดถ่ายกะทันหัน
IBS-M (Mixed): มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย

3. อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และมีแก๊สมาก
ผู้ป่วย ลำไส้แปรปรวน มักมีอาการท้องอืด ท้องป่อง รู้สึกแน่นท้องตลอดเวลา หรือมีแก๊สในลำไส้มากผิดปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากการบีบตัวของลำไส้ที่ผิดปกติ และการย่อยอาหารบางประเภทที่ทำให้เกิดแก๊สเยอะ

4. มีเมือกใส ๆ ปนมากับอุจจาระ
อาจสังเกตเห็นเมือกสีขาวหรือใส ๆ ปนออกมากับอุจจาระ โดยที่ไม่มีมูกเลือดปนออกมา (หากมีมูกเลือดปนควรพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่า)



สัญญาณอันตราย (Red Flags) ที่ต้องแยกจาก ลำไส้แปรปรวน
น้ำหนักลดลง อย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
ถ่ายเป็นเลือด หรืออุจจาระมีสีดำผิดปกติ
ปวดท้องรุนแรง จนต้องตื่นกลางดึก
มีอาการท้องเสียตอนกลางคืน
คลำเจอก้อน หรือมีความผิดปกติในช่องท้อง

เตรียมตัวดูแลเมื่อสงสัยว่าเป็น ลำไส้แปรปรวน

1. การจัดการความเครียด
ความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าคือตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้อาการของ ลำไส้แปรปรวน แย่ลง ควรหาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะสม ออกกำลังกายเบา ๆ สม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับไม่สนิท ตื่นบ่อย วิธีแก้

2. การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
รับประทานอาหารตรงเวลา: ไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป

3. การเพิ่มใยอาหารและน้ำ
ดื่มน้ำสะอาด: ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวันเพื่อช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการท้องผูกเป็นหลัก
เพิ่มใยอาหาร: หากมีอาการท้องผูก ควรเพิ่มอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช

การสังเกตสัญญาณเตือนและปรับพฤติกรรมอย่างมีวินัย จะช่วยให้สามารถอยู่ร่วมกับภาวะ ลำไส้แปรปรวน ได้อย่างมีความสุขและลดความรำคาญใจที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันลงได้



21
ทิศทางใหม่ของวงการ clothes: เมื่อความสบายมาพร้อมกับความหรูหราแบบมีโครงสร้าง
ปี 2026 กำลังจะนำเสนอวิวัฒนาการครั้งใหญ่ของ แฟชั่นเสื้อผ้าล่าสุด ที่ผสมผสานแนวคิดที่ตรงกันข้ามอย่างลงตัว นั่นคือ "ความสบายแบบคล่องตัว" และ "ความหรูหราที่มีรายละเอียด" หากคุณเป็นสายแฟชั่นที่ต้องการอัปเดตตู้เสื้อผ้า หรือกำลังมองหาแรงบันดาลใจในการแต่งตัว

นี่คือ 5 เทรนด์สำคัญที่คุณไม่ควรพลาด
1. สีสันแห่งอนาคต:Transformative Teal และ Earth Tone ที่อบอุ่น
แฟชั่นเสื้อผ้าล่าสุด ในปี 2026 ถูกขับเคลื่อนด้วยสองโทนสีหลักที่แตกต่างแต่ลงตัว:
Transformative Teal (ฟ้าอมเขียว): สีแห่งปีที่คาดการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นสีน้ำเงินปนเขียวน้ำทะเลที่ให้ความรู้สึกของอนาคตและการรีเซ็ตใหม่ เหมาะสำหรับเสื้อผ้าชิ้นหลักที่ต้องการความโดดเด่น เช่น เดรส หรือชุดสูท
Reddish Browns และ Earthy Elegance: โทนสีน้ำตาลแดง และสีเอิร์ธโทนที่เน้นความอบอุ่นสไตล์ Minimal และ Quiet Luxury สีเหล่านี้สร้างความรู้สึกหรูหราแบบมีชั้นเชิง เหมาะกับการลงทุนในเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้นาน



2. ซิลูเอตที่เน้นความไหลลื่น (Flowing & Wrap Silhouettes)
Slip Dress: ชุดกระโปรงสลิปเดรสที่ทำจากผ้าซาตินหรือผ้าไหม ยังคงเป็นไอเท็มที่สะท้อนความเรียบง่ายแต่หรูหรา ที่สามารถใส่ได้ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
Wrap Silhouette: การออกแบบเสื้อผ้าที่เน้นการพันหรือห่อหุ้มรอบตัว จะช่วยสร้างมิติและทำให้รูปร่างดูเพรียวบาง โดยเฉพาะในชุดเดรสหรือกระโปรงที่มีรอยผ่าเล็กน้อย

3. Preppy Style แนวขบถ (The New Preppy)
สไตล์ Preppy หรือ Ivy League ที่เคยดูเนี้ยบ และเป็นทางการถูกนำมาตีความใหม่ให้มีความผ่อนคลายและขบถมากขึ้น แฟชั่นเสื้อผ้าล่าสุด ในลุคนี้เน้นความสบายเป็นหลัก:
เสื้อโปโล/เบลเซอร์โอเวอร์ไซส์: เสื้อโปโลทรงหลวม และเบลเซอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าตัว (Oversized) จะถูกนำมาจับคู่กับกางเกงแสลคทรงตรงหรือทรงหลวม
Cardigan as a Statement: เสื้อคาร์ดิแกนจะไม่ใช่แค่เสื้อคลุม แต่จะถูกสไตลิ่งให้เป็นชิ้นหลักที่มีดีไซน์น่าสนใจ หรือมีการเล่นกับวัสดุและลายถักที่โดดเด่น

4. ลายทางกลับมาทวงบัลลังก์ (Return of the Stripes)
ลายทาง (Stripes) เป็นลายพิมพ์คลาสสิกที่กลับมาอีกครั้งในฤดูกาลนี้ แต่ไม่ใช่ในรูปแบบเดิมๆ ดีไซเนอร์นำเสนอclothing store แฟชั่นเสื้อผ้าล่าสุด ด้วยลายทางที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์:
การเล่นทิศทาง: ผสมผสานลายทางแนวตั้งและแนวนอนเข้าด้วยกันในชุดเดียว
การผสมสีที่จัดจ้าน: แมตช์ลายทางสีสดใสแบบไม่เกรงใจใคร เพื่อสร้างลุคที่ดูขบถแต่มีพลัง

5. Maximalism ที่ผ่านการไตร่ตรอง (Considered Maximalism)
ลืมสไตล์ Quiet Luxury ไปชั่วคราว เพราะความอลังการกำลังกลับมา แต่มาในรูปแบบที่มีความหมายและผ่านการคิดอย่างละเอียด ไม่ใช่ความฟุ่มเฟือยที่ไร้ทิศทาง
ดีเทลประณีต: แฟชั่นเสื้อผ้าล่าสุด จะเน้นที่งานปัก ลูกไม้ซีทรู หรือระบายฟูฟ่อง ที่มาพร้อมกับโครงสร้างเสื้อผ้าที่มีความซับซ้อน หรือเสื้อที่มีการตัดเย็บแบบ Tailoring ที่เนี้ยบคม
การผสมผสานวัสดุ: การใช้ผ้าที่มีความแตกต่างกันสูงในลุคเดียว เพื่อสร้างความน่าสนใจและมิติที่ซับซ้อน


22
อ่างล้างหน้า (Wash Basin) เป็นสุขภัณฑ์สำคัญที่เราใช้ในกิจวัตรประจำวัน แต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกนี้เริ่มมีขึ้นเมื่อไหร่ และปัจจุบันมีกี่ประเภทให้เลือกใช้ มาเจาะลึกเรื่องราวของอ่างล้างหน้า ตั้งแต่จุดกำเนิดจนถึงดีไซน์ที่หลากหลายในปัจจุบัน

อ่างล้างหน้า เริ่มมาเมื่อไหร่
ยุคโบราณ-ยุคกลาง: ผู้คนจะใช้ภาชนะขนาดใหญ่และตื้นที่เรียกว่า "เบซิน" (Basin) ซึ่งมักทำจากโลหะ (เช่น ทองเหลือง) หรือเซรามิก โดยวางบนขาตั้งหรือโต๊ะสำหรับล้างมือและหน้า จากนั้นจึงเทน้ำทิ้ง

ยุคจีนโบราณ: มีการใช้ "เผินเจี้ย" (盆架) หรือขาตั้งอ่างล้างหน้าแบบไม้ (มักมี 3-6 ขา) ที่สามารถพับเก็บได้ สำหรับวางอ่างใส่น้ำล้างหน้าในห้องนอน

ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (ศตวรรษที่ 19): การประดิษฐ์และพัฒนาระบบประปา (Water Supply) ทำให้เกิดการรวมภาชนะรูปทรงคล้ายอ่างเข้ากับระบบระบายน้ำโดยตรงบนเคาน์เตอร์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ "อ่างล้างหน้า" แบบติดตั้งถาวรที่เราใช้ในห้องน้ำสมัยใหม่

การพัฒนาของวัสดุ (เช่น เซรามิก) และการติดตั้งเข้ากับผนังหรือ เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าทำให้สุขภัณฑ์นี้กลายเป็นมาตรฐานในห้องน้ำที่เน้นสุขอนามัย



อ่างล้างหน้ามีกี่ประเภท
1. อ่างล้างหน้าแบบติดตั้งบน/ใน เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า
กลุ่มนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากมีพื้นที่สำหรับวางของใช้ส่วนตัว และช่วยอำพรางท่อได้:

อ่างแบบตั้งบนเคาน์เตอร์ (Vessel Basin): อ่างจะวางโชว์รูปทรงทั้งใบอยู่บนเคาน์เตอร์ เหมาะกับห้องน้ำสไตล์โมเดิร์นหรือเน้นดีไซน์

อ่างแบบฝังบนเคาน์เตอร์ (Drop-in Basin): ขอบอ่างจะวางทับอยู่บนเคาน์เตอร์ ลดการกระเด็นของน้ำได้ดี

อ่างแบบฝังใต้เคาน์เตอร์ (Under-mount Basin): ตัวอ่างติดตั้งจากใต้เคาน์เตอร์ ทำให้มองเห็นวัสดุของท็อปเคาน์เตอร์ทั้งหมด เน้นความเรียบหรูและทำความสะอาดง่าย

2. อ่างล้างหน้าแบบแขวน ผนังและมีขาตั้ง
รูปแบบที่เน้นการประหยัดพื้นที่และติดตั้งง่าย เหมาะกับห้องน้ำขนาดเล็กหรือพื้นที่จำกัด:

อ่างล้างหน้าแบบแขวนผนัง (Wall-hung Basin): ยึดติดกับผนังโดยตรง ไม่มีขาตั้งหรือเคาน์เตอร์ด้านล่าง ทำให้พื้นห้องน้ำดูโล่งและกว้างขึ้น เหมาะสำหรับห้องน้ำที่มีพื้นที่จำกัด

อ่างล้างหน้าพร้อมขาตั้ง: มีทั้งแบบขาตั้งเต็มและขาตั้งครึ่ง (Pedestal Basin) ตัวขาตั้งช่วยซ่อนท่อน้ำทิ้ง ทำให้ห้องน้ำดูเรียบร้อยและยังช่วยรองรับน้ำหนักของอ่างได้ด้วย

การเลือก อ่างล้างหน้า ที่เหมาะสม จะช่วยเปลี่ยนห้องน้ำธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่ใช้งานที่สวยงามและสะดวกสบายได้อย่างลงตัว


23
จุดกำเนิดและพัฒนาการโดยสังเขป
ยุคโบราณ: ในอารยธรรมใหญ่ ๆ เช่น อียิปต์โบราณ, เมโสโปเตเมีย, กรีก, และโรมัน มีกฎหมายหรือธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการสืบทอดทรัพย์สินเพื่อธำรงรักษาความมั่งคั่ง และสถานะของครอบครัวไว้ในกฎหมายโรมันโบราณ (โดยเฉพาะกฎหมายสิบสองโต๊ะ) มีการกำหนดเรื่องมรดกและพินัยกรรมอย่างละเอียด ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของกฎหมายมรดกในระบบกฎหมายแพ่งสมัยใหม่

ยุคกลาง: การสืบทอดมรดกมีความเชื่อมโยงกับระบบศักดินาและที่ดิน การจัดการมรดกส่วนใหญ่เน้นไปที่การส่งต่อที่ดินและบรรดาศักดิ์ตามหลักการของบุตรคนโต (Primogeniture)

ยุคปัจจุบัน: กฎหมายมรดกได้รับการพัฒนาให้ครอบคลุมและยุติธรรมมากขึ้น โดยเน้นที่เจตจำนงของผู้ตาย (ผ่านพินัยกรรม) และการคุ้มครองสิทธิของทายาทตามกฎหมาย

การวางแผนมรดก
การวางแผนมรดก (Estate Planning) คือการจัดเตรียมการโอนทรัพย์สินให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้เป็นเจ้าของ หลังจากการเสียชีวิต โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดภาระทางภาษี หลีกเลี่ยงข้อพิพาท และ รับประกันความมั่นคง ให้กับผู้ที่รัก

1. วิธีการวางแผนมรดก
การวางแผนมรดกที่ดีควรเริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมด แล้วจึงเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม
การทำพินัยกรรม (Will): เป็นเอกสารสำคัญที่สุดในการแสดงเจตจำนงในการแบ่งทรัพย์สินและแต่งตั้ง ผู้จัดการมรดก (Executor) หากไม่มีพินัยกรรม การแบ่งทรัพย์สินจะเป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น

การกำหนดผู้รับผลประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันชีวิต: ประกันมรดก เงินสินไหมทดแทนจากประกันชีวิตจะถูกส่งต่อให้แก่ผู้รับผลประโยชน์โดยตรง และไม่ถือเป็นทรัพย์มรดกที่ต้องนำไปรวมแบ่งตามกฎหมาย (ทำให้ผู้รับได้รับเงินรวดเร็ว)

การใช้กองทุนและทรัสต์ (Trust): เป็นเครื่องมือในการโอนทรัพย์สินไปยังทรัสต์ โดยมีผู้จัดการทรัสต์ทำหน้าที่ดูแลและส่งต่อผลประโยชน์ให้แก่ทายาทตามเงื่อนไขที่กำหนด

การโอนทรัพย์สินโดยการให้: การโอนทรัพย์สินล่วงหน้าขณะยังมีชีวิตอยู่ (เช่น การให้เงินสด หรือโอนอสังหาริมทรัพย์) เพื่อลดภาระมรดกในอนาคต แต่อาจมีภาระภาษีการให้เข้ามาเกี่ยวข้อง



การจัดการมรดกเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่แค่คนรวย การวางแผนที่ดีจะช่วยให้ทรัพย์สินที่คุณสร้างมาสามารถส่งต่อความตั้งใจและความมั่นคงให้กับคนที่คุณรักได้อย่างราบรื่นและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของคุณ



24
ทุกเช้าที่เราก้าวเข้าสู่ห้องน้ำและเปิดน้ำจาก ฝักบัวอาบน้ํา เพื่อชำระร่างกาย เราอาจไม่เคยนึกถึงว่าอุปกรณ์เรียบง่ายนี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนานและน่าสนใจเพียงใด จากจุดเริ่มต้นในอารยธรรมโบราณ สู่การเป็นสัญลักษณ์ของสุขอนามัยยุคใหม่ ฝักบัวได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บทความนี้จะพาย้อนรอยไปดู ประวัติความเป็นมาของฝักบัวอาบน้ำ ที่ช่วยให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น

จุดเริ่มต้นในอารยธรรมโบราณ: ฝักบัวธรรมชาติและระบบแรก
อียิปต์โบราณและเมโสโปเตเมีย: ผู้คนในยุคแรกเริ่มทำความสะอาดร่างกายด้วยการใช้คนรับใช้เทน้ำเย็นจากเหยือกหรือถังลงบนตัว
กรีกโบราณ: ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในการสร้างระบบฝักบัวแรก ๆ เท่าที่มีบันทึกไว้ พวกเขาติดตั้งห้องอาบน้ำรวมตามโรงยิมและสนามกีฬา โดยมีระบบท่อน้ำที่ทำหน้าที่คล้ายฝักบัว ซึ่งไม่ได้มีไว้สำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น แต่เปิดให้คนทั่วไปใช้งานได้
โรมันโบราณ: อาณาจักรโรมันสร้างโรงอาบน้ำสาธารณะ (Thermae) ขนาดใหญ่โต ซึ่งมีทั้งห้องน้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการแช่ตัว แต่ระบบประปาที่ซับซ้อนก็เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาอุปกรณ์จ่ายน้ำในอนาคต



การประดิษฐ์ฝักบัวสมัยใหม่: ยุคแห่งนวัตกรรม (ศตวรรษที่ 18-19)
การพัฒนาที่แท้จริงของฝักบัวที่เราคุ้นเคยเกิดขึ้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป:
ปี ค.ศ. 1767: การคิดค้นโดย William Feetham: วิลเลียม ฟีทแฮม (William Feetham) ช่างทำเตาชาวอังกฤษ ได้ประดิษฐ์ฝักบัวแบบแรกที่จดสิทธิบัตร โดยเป็นฝักบัวแบบ "ปั๊มมือ" (Pump Shower) ซึ่งจะดึงน้ำจากอ่างอาบน้ำด้านล่างขึ้นไปด้านบนแล้วปล่อยลงมาใหม่ ซึ่งช่วยประหยัดน้ำได้อย่างมากในยุคที่น้ำยังหาได้ยากและต้องขนมาใช้

ฝักบัวในบ้านเรือน: สู่ความนิยมในศตวรรษที่ 20
ฝักบัวอาบน้ำไม่ได้กลายเป็นเครื่องใช้มาตรฐานในบ้านเรือนทั่วไปจนกระทั่งช่วงกลางศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรป:
ระบบประปาที่สมบูรณ์: การติดตั้งระบบประปาและน้ำร้อน-น้ำเย็นในบ้านเรือนอย่างแพร่หลายในช่วงปี ค.ศ. 1920-1950 ทำให้ฝักบัวที่ใช้งานง่ายและสะดวกสามารถติดตั้งได้ทั่วไป
การประหยัดเวลา: ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับการอาบน้ำแบบฝักบัวมากขึ้น เนื่องจากรวดเร็วกว่าการแช่อ่างอาบน้ำ ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบมากขึ้น
การพัฒนาวาล์วควบคุม: การประดิษฐ์วาล์วผสมน้ำแบบ Thermostat (ควบคุมอุณหภูมิคงที่) และก๊อกผสมที่ควบคุมได้ด้วยมือเดียวในช่วงปี ค.ศ. 1950-1960 ทำให้ประสบการณ์การอาบน้ำสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น

นวัตกรรมยุคปัจจุบัน: สู่ประสบการณ์เหนือระดับ
ปัจจุบัน ฝักบัวอาบน้ำได้ก้าวข้ามจากการเป็นแค่เครื่องมือทำความสะอาด ไปสู่การเป็นอุปกรณ์ที่มอบประสบการณ์แห่งการผ่อนคลายและดูแลสุขภาพ:
Rain Shower (ฝักบัวก้านแข็ง): มอบประสบการณ์เหมือนยืนอาบน้ำท่ามกลางสายฝน
ฝักบัวประหยัดน้ำ (Eco-friendly): เทคโนโลยีที่ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำ โดยยังคงรักษาแรงดันและประสิทธิภาพในการอาบ
ฝักบัวดิจิทัลและอัจฉริยะ: สามารถตั้งค่าอุณหภูมิ แรงดัน และรูปแบบสายน้ำได้ล่วงหน้าผ่านแผงควบคุมดิจิทัล หรือแม้กระทั่งมีลำโพงบลูทูธในตัว

25
ในฐานะลูก หลายคนคงอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพ่อแม่ที่รัก การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ของท่านคือสิ่งสำคัญอันดับแรก แต่เมื่อท่านอายุมากขึ้น ความเสี่ยงด้านสุขภาพก็เพิ่มขึ้นตามมา การวางแผนทางการเงินเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันจึงเป็นสิ่งจำเป็น และ ซื้อประกันให้พ่อแม่ ก็คือหนึ่งในทางออกที่ชาญฉลาดที่สุด ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความรักและความห่วงใยเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ของการซื้อประกันให้พ่อแม่ในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเงินและภาษี



หลักประกันทางการเงินเมื่อต้องเผชิญกับค่ารักษาพยาบาล
เมื่อเข้าสู่ช่วงสูงวัย โอกาสในการเจ็บป่วยและต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลก็สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจเป็นภาระก้อนใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเงินเก็บของครอบครัวได้
ประกันสุขภาพผู้สูงอายุ จะเข้ามาช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เช่น ค่าห้องพัก ค่าแพทย์ ค่ายา หรือค่าผ่าตัด ทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุดได้อย่างทันท่วงที โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ลดภาระทางการเงินของลูกหลาน ไม่ต้องนำเงินเก็บส่วนตัว หรือต้องกู้ยืมเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน ประกันชีวิตผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไป

สิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่ลูกทุกคนไม่ควรมองข้าม
นี่คือประโยชน์ที่คุ้มค่าและจับต้องได้ทันที! เบี้ยประกันที่คุณจ่ายให้พ่อแม่สามารถนำมาใช้เป็นสิทธิลดหย่อนภาษีได้
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15,000 บาทต่อปี: สำหรับเบี้ยประกันสุขภาพที่ซื้อให้คุณพ่อคุณแม่ โดยมีเงื่อนไขตามที่กรมสรรพากรกำหนด (เช่น คุณต้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายและท่านต้องมีรายได้ไม่เกินที่กำหนด)
ช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้มากขึ้นในแต่ละปี และนำเงินส่วนนั้นไปบริหารจัดการด้านอื่น ๆ หรือเพิ่มการออมให้กับตัวเอง

สร้างมรดกหรือหลักประกันในกรณีที่ไม่คาดฝัน
สำหรับประกันชีวิตที่ทำให้พ่อแม่ โดยเฉพาะแบบตลอดชีพ (Whole Life) ไม่ได้มีประโยชน์แค่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ยังเป็นมรดกให้กับคนข้างหลังด้วย
เงินทุนประกัน: หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เงินทุนประกันที่ได้รับจะช่วยบรรเทาภาระทางการเงินและสามารถใช้เป็นมรดกให้กับครอบครัวได้
สร้างความมั่นคงในระยะยาว: ประกันชีวิตบางรูปแบบยังสามารถสร้างมูลค่าเงินสดสะสมไว้ให้ท่านใช้จ่ายในยามชราได้อีกด้วย

เป็นเครื่องมือการเงินที่ช่วยวางแผนเพื่ออนาคต
การทำประกันถือเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนทางการเงินที่ดี เพราะช่วยให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ
บริหารจัดการกระแสเงินสด: ช่วยเปลี่ยนค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่ไม่แน่นอน (ค่ารักษาพยาบาล) ให้เป็นค่าใช้จ่ายก้อนเล็กที่แน่นอน (เบี้ยประกัน) และสามารถวางแผนล่วงหน้าได้
การออมและการลงทุน (ในบางรูปแบบ): ประกันบางประเภท เช่น ประกันสะสมทรัพย์ ประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษี ก็เป็นการออมเงินที่มีวินัยไปพร้อม ๆ กับการได้รับความคุ้มครอง



26

อาการ "ปวดมดลูก" หรือ "ปวดท้องน้อยด้านขวา มดลูก" เป็นสิ่งที่ผู้หญิงแทบทุกคนคุ้นเคย โดยเฉพาะช่วงมีประจำเดือน แต่บ่อยครั้งที่เรามองข้ามความเจ็บปวดเหล่านี้ และคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องทน ซึ่งความจริงแล้ว อาการปวดบางอย่างคือ สัญญาณอันตราย ที่ร่างกายกำลังเตือนถึงความผิดปกติของอวัยวะสำคัญ เช่น มดลูก รังไข่ และอุ้งเชิงกราน

อย่าปล่อยให้อาการปวดเรื้อรังทำลายคุณภาพชีวิต และเพิ่มความเสี่ยงโรคร้าย อาการปวดมดลูก แบบไหนที่ถือว่า "ผิดปกติ" และเป็นสัญญาณเตือนของโรคทางนรีเวชที่ต้องรีบไปพบแพทย์



5 สัญญาณเตือน "ปวดมดลูก" ที่บ่งบอกความผิดปกติ
อาการปวดท้องน้อยที่เกี่ยวกับมดลูกหรืออวัยวะสืบพันธุ์ไม่ได้มีแค่การปวดประจำเดือนเท่านั้น แต่มีลักษณะเฉพาะที่ควรสังเกต:

1. ปวดประจำเดือน ที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
นี่คือสัญญาณคลาสสิกของโรคที่ซ่อนอยู่ หากคุณต้องใช้ยาแก้ปวดในปริมาณที่มากขึ้น หรือปวดจนต้องหยุดเรียน/หยุดงานทุกเดือน อาจเป็นสัญญาณของ:
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ช็อกโกแลตซีสต์ เยื่อบุมดลูกเจริญในกล้ามเนื้อมดลูก (Adenomyosis)

2. ปวดท้องน้อย เรื้อรัง นานเกิน 6 เดือน
อาการปวดที่เป็นๆ หายๆ หรือปวดหน่วง ๆ ตลอดเวลา ที่ไม่สัมพันธ์กับการมีประจำเดือน ถือเป็นภาวะที่ผิดปกติอย่างยิ่ง เพราะบ่งชี้ถึงการอักเสบเรื้อรัง หรือการมีก้อนเนื้อในอุ้งเชิงกราน

3. มีอาการ ปวดร้าว ร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ๆ
หากการปวดท้องน้อยของคุณมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์ทันที:
ปวดร้าวไปที่ ขาหนีบ, ต้นขา, หรือหลัง ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ (Dyspareunia) ปวดขณะขับถ่าย หรือปวดหน่วงลงทวารหนัก

4. ปวดร่วมกับ เลือดออกผิดปกติ หรือ ตกขาวเหม็น
การมีเลือดออกนอกรอบเดือน หรือมีตกขาวที่มีกลิ่นเหม็นผิดปกติร่วมกับอาการปวด เป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อหรือการอักเสบรุนแรง:
มดลูก/ปีกมดลูกอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease - PID) เนื้องอกมดลูก (Fibroids) ที่อาจมีเลือดออกผิดปกติ

5. ปวดท้องน้อย เฉียบพลันและรุนแรง
อาการปวดท้องน้อยด้านใดด้านหนึ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน รุนแรงมากจนตัวงอ หรือมีอาการหน้ามืดเป็นลมร่วมด้วย อาจเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการผ่าตัดมดลูก
เช่น: ถุงน้ำในรังไข่แตก หรือ รังไข่บิดขั้ว การตั้งครรภ์นอกมดลูก


27
การสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization) จะถูกแนะนำและดำเนินการเมื่อแพทย์สงสัยหรือตรวจพบความผิดปกติในส่วนสำคัญของระบบหัวใจและหลอดเลือดต่อไปนี้
1. หลอดเลือดหัวใจ (Coronary Arteries)
ลักษณะความผิดปกติที่พบ การตีบตัน หรือการอุดตัน จากคราบไขมัน (Plaque)   ทำให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ นำไปสู่ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือ โรคหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง
สิ่งที่ทำ :   แพทย์จะวินิจฉัยเพื่อหาตำแหน่งที่ตีบแคบ จากนั้นสามารถรักษาต่อด้วยการขยายหลอดเลือดด้วย บอลลูน และใส่ ขดลวด (Stent)



2. ห้องหัวใจและลิ้นหัวใจ (Heart Chambers and Valves)
การสวนหัวใจสามารถใช้ในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโครงสร้างภายในหัวใจได้ หมอหัวใจ
ลิ้นหัวใจตีบแคบ(Stenosis)ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดผ่านลิ้นหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
สามารถใช้บอลลูนขยายลิ้นหัวใจที่ตีบได้ เช่น การขยายลิ้นหัวใจไมทรัลด้วยบอลลูน (Balloon Mitral Valvuloplasty) หรือใช้สายสวนในการ เปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม

3. ระบบไฟฟ้าหัวใจ (Heart's Electrical System)
แม้จะใช้เครื่องมือและเทคนิคที่ต่างกันเล็กน้อย แต่การประเมินไฟฟ้าหัวใจก็เป็นการสวนหัวใจประเภทหนึ่ง
ส่วนที่พบความผิดปกติที่พบ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) เช่น เต้นเร็วเกินไป หรือเต้นไม่สม่ำเสมออาจนำไปสู่ภาวะใจสั่น หน้ามืด หมดสติ หรือภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน

การสวนหัวใจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ได้อย่างไร
นอกจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบแล้ว การสวนหัวใจยังใช้รักษาโรคหัวใจอื่นๆ ได้ เช่น
การขยายลิ้นหัวใจตีบ : ใช้บอลลูนขยายลิ้นหัวใจที่ตีบแคบ (เช่น ลิ้นหัวใจไมทรัล)
การปิดรูรั่วในหัวใจ : ใช้สายสวนปิดรูรั่วของผนังกั้นห้องหัวใจ (ASD/VSD Closure)
การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ : ใช้สายสวนในการจี้ไฟฟ้าหัวใจ (Radiofrequency Ablation) เพื่อทำลายจุดกำเนิดกระแสไฟฟ้าผิดปกติในหัวใจ

ข้อดีของการรักษาด้วยการสวนหัวใจ
แผลเล็ก เจ็บน้อย : เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ใช้เพียงการเจาะรูเล็ก ๆ
ฟื้นตัวเร็ว : ผู้ป่วยสามารถพักฟื้นได้เร็ว โดยเฉพาะการสวนผ่านข้อมือ ซึ่งผู้ป่วยสามารถลุกนั่งหรือเดินได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง
เห็นผลทันที : สามารถแก้ไขภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ประสบการณ์ผ่าตัดหัวใจ



28
ในยุคที่ความสะดวกสบายและการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ โถปัสสาวะชายกลายเป็นอุปกรณ์ที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากสามารถช่วยอำนวยความสะดวกในหลายสถานการณ์ ทั้งในบ้าน โรงพยาบาล หรือสถานที่ที่ไม่มีห้องน้ำสะดวกสบาย มารู้จักกับโถปัสสาวะชายในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญและการใช้งานอย่างถูกต้อง

โถปัสสาวะชายคืออะไร
โถปัสสาวะชายเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการปัสสาวะ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่สะดวกต่อการเข้าห้องน้ำ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่นอนติดเตียง หรือในกรณีฉุกเฉิน โถปัสสาวะชายมักทำจากวัสดุที่ปลอดภัยและง่ายต่อการทำความสะอาด เช่น พลาสติกคุณภาพสูง



ประโยชน์ของโถปัสสาวะชาย
1.ความสะดวกสบาย
ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปัสสาวะได้โดยไม่ต้องลุกจากเตียงหรือเก้าอี้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ป่วย ผู้สูงอายุ หรือคนพิการ
2.ความปลอดภัยและสุขอนามัย
ลดความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับและการติดเชื้อจากการเคลื่อนไหวบ่อยครั้ง และง่ายต่อการทำความสะอาด
3.ความเป็นส่วนตัว
ช่วยให้ผู้ใช้งานรักษาความเป็นส่วนตัวในสถานการณ์ที่ไม่สะดวกต่อการเข้าห้องน้ำ
4.การใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉิน
เป็นอุปกรณ์สำคัญในกรณีที่ไม่สามารถเข้าห้องน้ำได้ทันเวลา เช่น ในรถพยาบาล หอพัก หรือในกิจกรรมกลางแจ้ง

การเลือกใช้โถสุขภัณฑ์ที่เหมาะสม
การเลือกโถปัสสาวะชายควรพิจารณาจากวัสดุ ความจุ การใช้งานง่าย และความสะอาด เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการได้ดีที่สุด ควรเลือกแบบที่มีฝาปิดสนิท ปรับระดับได้ และทำความสะอาดง่าย นอกจากนี้ ควรเลือกขนาดที่พอดีและเหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน

วิธีการดูแลและทำความสะอาด
เพื่อรักษาความสะอาดและป้องกันกลิ่น ควรทำความสะอาดโถปัสสาวะชายหลังการใช้งานด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ และเช็ดให้แห้ง ควรเก็บในที่แห้งและปลอดเชื้อ เพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัยสูงสุด

โถปัสสาวะชายเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในด้านสุขภาพและความสะดวกสบาย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วย หรือผู้ที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว การเลือกใช้อย่างถูกต้องและดูแลรักษาอย่างดี จะช่วยเสริมคุณภาพชีวิตและลดปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น



29
Unit Linked คืออะไร ประกันชีวิตที่ให้อิสระทั้งความคุ้มครองและการลงทุนประกันยูนิตลิงค์ (Unit Linked Insurance) หรือที่เรียกกันว่า ประกันชีวิตควบการลงทุน คือนวัตกรรมของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่แตกต่างจากประกันแบบดั้งเดิม โดยจะเป็นการรวมเอา ความคุ้มครองชีวิต และ การลงทุน เข้าไว้ด้วยกันอย่างชัดเจนและยืดหยุ่น

เบี้ยประกันที่คุณจ่ายจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก
ส่วนความคุ้มครอง (Protection Cost): นำไปจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการทำประกันภัย (Cost of Insurance - COI) เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองชีวิตตามวงเงินที่เลือกไว้
ส่วนการลงทุน (Investment): เงินส่วนที่เหลือจะถูกนำไปลงทุนใน กองทุนรวม (Mutual Funds) ที่คุณเลือกเอง โดยมูลค่าของกรมธรรม์จะผันผวนไปตามผลการดำเนินงานของกองทุนนั้น ๆ
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Unit Linked โดดเด่น Unit Linked ไม่ใช่แค่ประกันชีวิตธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการบริหารจัดการความเสี่ยงและการลงทุนไปพร้อมกัน



1. ความยืดหยุ่นในการปรับเบี้ยและทุนประกัน
นี่คือหัวใจสำคัญของ Unit Linked ที่ประกันแบบเดิมให้ไม่ได้:ปรับเบี้ยประกัน, เพิ่ม, ลด, หรือพักชำระเบี้ย ได้ตามจังหวะทางการเงินในแต่ละช่วงชีวิต (โดยต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ และมูลค่าบัญชีกรมธรรม์ต้องเพียงพอสำหรับหักค่าใช้จ่ายความคุ้มครอง)
ปรับทุนประกัน: สามารถ เพิ่มหรือลดวงเงินความคุ้มครองชีวิต ได้ตามความต้องการ เช่น เมื่อมีภาระหนี้สินหรือครอบครัวเพิ่มขึ้น ก็สามารถเพิ่มทุนประกันให้สูงขึ้นได้ (การเพิ่มมักต้องผ่านการพิจารณาความเสี่ยงใหม่)
เติมเงินลงทุนเพิ่ม (Top Up): สามารถจ่ายเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มเงินลงทุนในกองทุนได้ (ถ้ามีเงินก้อน) หรือ ถอนเงินบางส่วน จากมูลค่าหน่วยลงทุนออกมาใช้ได้ โดยที่ความคุ้มครองชีวิตยังคงอยู่ ประกันควบการลงทุน

2. อิสระในการเลือกลงทุน
คุณมีอิสระในการเลือกและบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนด้วยตนเอง
เลือกลงทุนในกองทุนรวม: บริษัทประกันจะคัดสรรกองทุนรวมคุณภาพจากบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำมาให้เลือก คุณสามารถจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ (ตั้งแต่กองทุนความเสี่ยงต่ำ ไปจนถึงกองทุนหุ้นความเสี่ยงสูง)
สับเปลี่ยนกองทุน (Switching): สามารถสับเปลี่ยนกองทุนภายในพอร์ตได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (ตามจำนวนครั้งที่กำหนด) เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

ข้อดี: Unit Linked เป็นตัวเลือกที่ดี หาก...
ต้องการความคุ้มครองชีวิตสูง: เหมาะกับผู้ที่ต้องการทุนประกันสูง เพื่อส่งต่อความมั่นคงให้กับครอบครัว
ต้องการความยืดหยุ่น: ผู้ที่ต้องการควบคุมการจ่ายเบี้ยและการคุ้มครองชีวิตได้ด้วยตนเอง
มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุน: ผู้ที่เข้าใจความผันผวนของตลาด และสามารถเลือก/บริหารกองทุนรวมได้
วางแผนการเงินระยะยาว: เหมาะสำหรับการสร้างวินัยการออมและการลงทุนเพื่อเป้าหมายเกษียณ หรือเป้าหมายระยะยาวอื่น ๆ กองทุนประกันชีวิต

ข้อเสีย: Unit Linked อาจไม่เหมาะกับคุณ หาก...
ไม่รับความเสี่ยงได้: ผลตอบแทนของ Unit Linked ไม่ได้รับการการันตี มูลค่ากรมธรรม์จะขึ้นอยู่กับผลตอบแทนของกองทุนรวม และอาจขาดทุนได้
เน้นผลตอบแทนระยะสั้น: Unit Linked ถูกออกแบบมาเพื่อการลงทุนระยะยาว การถอนเงินในช่วงปีแรก ๆ อาจทำให้ขาดทุนสูง เนื่องจากมีการหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานค่อนข้างสูงในช่วงเริ่มต้น
ไม่ต้องการความยุ่งยาก: ต้องมีการติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนและปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ หากไม่บริหารจัดการเอง อาจพลาดโอกาสในการทำกำไร


30
ในช่วงฤดูฝนจนถึงฤดูหนาว พ่อแม่หลายคนเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของลูกน้อย โดยเฉพาะโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ซึ่งหนึ่งในไวรัสตัวร้ายที่สร้างความกังวลให้ผู้ปกครองมากที่สุดก็คือ อาการ rsv ในเด็ก (Respiratory Syncytial Virus) ที่มักแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและเป็นสาเหตุสำคัญของอาการป่วยรุนแรงในเด็กเล็ก โดยเฉพาะ อาการ RSV ในเด็ก ที่หลายครั้งเริ่มต้นคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่สามารถลุกลามจนเป็นอันตรายถึงชีวิต อาการเริ่มต้น อาการรุนแรง และวิธีรับมือกับไวรัส RSV เพื่อให้สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างทันท่วงที

RSV คืออะไร ทำไมถึงอันตรายต่อเด็กเล็ก
ไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ความอันตรายของ RSV อยู่ที่การทำให้เกิด "หลอดลมฝอยอักเสบ" (Bronchiolitis) และ ปอดบวม (Pneumonia) โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี หรือเด็กที่มีภาวะเสี่ยง เช่น คลอดก่อนกำหนด หรือมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอดและหัวใจ เนื่องจากทางเดินหายใจของเด็กเล็กมีขนาดเล็ก เมื่อเกิดการอักเสบและมีเสมหะจำนวนมาก จึงเกิดการอุดกั้น ทำให้หายใจลำบากและขาดออกซิเจนได้ง่าย



อาการ RSV ในเด็กจากหวัดธรรมดา สู่ภาวะอันตราย
อาการป่วยจากไวรัส RSV มักจะเริ่มแสดงออกภายใน 4-6 วันหลังได้รับเชื้อ โดยอาการในช่วงแรกมักจะคล้ายกับไข้หวัดทั่วไป แต่จะมีลักษณะที่แตกต่างและรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

1. อาการเริ่มต้น (คล้ายไข้หวัดทั่วไป)
ในช่วง 2-4 วันแรก อาการมักไม่จำเพาะเจาะจง อาจทำให้พ่อแม่เข้าใจผิดว่าเป็นเพียงไข้หวัด
มีไข้: อาจมีไข้ต่ำ ๆ หรือไข้สูง (บางรายอาจสูงถึง 39−40 ติดต่อกันหลายวัน)
น้ำมูกไหล: มักมีน้ำมูกใสในช่วงแรก ก่อนจะข้นและเหนียวขึ้น
ไอ จาม: ไอแห้ง ๆ ในช่วงแรก ก่อนจะพัฒนาเป็นไอมีเสมหะมากและเหนียวข้น

2. อาการที่บ่งบอกถึงความรุนแรง (ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ)
หลังจากผ่านไป 2-3 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเด็กเล็กและทารก ให้สังเกตอาการที่บ่งชี้ถึงการลุกลามไปยังทางเดินหายใจส่วนล่าง
ไอหนักและนาน: ไอมากจนอาเจียน หรือไอจนเหนื่อยหอบ
หายใจลำบาก/หายใจหอบเหนื่อย:เด็กหายใจครืดคราด เป็นอาการจำเพาะที่สำคัญที่สุด
หายใจเร็ว: หายใจเร็วกว่าปกติ (ควรนับอัตราการหายใจ)
อกบุ๋ม/ปีกจมูกบาน: กล้ามเนื้อหน้าอกหรือซี่โครงยุบลงไปด้านในเวลาหายใจ หรือปีกจมูกขยายใหญ่ขึ้น
มีเสียงหายใจผิดปกติ: ได้ยินเสียงหายใจดัง "วี้ด ๆ" (Wheezing) หรือเสียงครืดคราดในลำคอ (เสมหะเยอะ)
เบื่ออาหาร/กินนมน้อยลง: เด็กไม่ยอมรับประทานอาหารหรือดูดนมน้อยลงมาก อาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ
ซึมลง/หงุดหงิดง่ายผิดปกติ: เด็กเล็กมีอาการเซื่องซึม งอแง ร้องกวนมากกว่าปกติ หรือปลุกตื่นยาก
ริมฝีปากและปลายเล็บเปลี่ยนสี: ปากหรือปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ (Cyanosis) ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะขาดออกซิเจน ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที หมอเด็ก



31
ในยุคที่แฟชั่นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปี 2025 กลายเป็นปีแห่งการผสมผสานสไตล์ต่าง ๆ ที่ลงตัวและสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ Y2K, E-Girl, การแต่งตัวด้วย Blazer หรือลุค Old Money ที่ให้ความรู้สึกคลาสสิกแต่ก็ยังคงความทันสมัย จะพาไปรู้จักกับเทรนด์แฟชั่นยอดนิยมและแนวทางการแต่งตัวให้นำเทรนด์ได้อย่างมั่นใจ ร้านเสื้อผ้า

เทรนด์แฟชั่นปี 2025 การผสมผสานสไตล์ที่ไร้ขีดจำกัด
ปี 2025 นี้ แฟชั่นเป็นการแสดงออกถึงความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ การนำสไตล์ Y2K, E-Girl, Blazer และ Old Money มาผสมผสานกันอย่างลงตัว กลายเป็นลุคที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การแต่งตัวในยุคนี้จึงเน้นความสร้างสรรค์และความกล้าแสดงออก



สไตล์ Y2K ย้อนยุค clothes 2000s กลับมาฮิตอีกครั้ง
เทรนด์ Y2K ยังคงเป็นที่นิยมในปี 2025 ด้วยดีเทลเสื้อผ้าสไตล์วินเทจอย่างเสื้อครอปคริสต์มาส, กางเกงบ็อกเซอร์, หรือหมวกบัคเก็ต สีสันสดใสและลายพิมพ์เทคนิคพิเศษทำให้ลุคนี้ดูสนุกสนานและน่ารัก เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบความสนุกสนานและความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่

แรงบันดาลใจจาก E-Girl ลุคสุดเท่แบบสายดิจิทัล
E-Girl เป็นสไตล์ที่เน้นความกล้าในการแต่งตัว ผสมผสานความเท่ ความหวาน และความลึกลับด้วยเสื้อผ้าสีดำ, ลายตาข่าย, ทรงผมสีสดใส และเครื่องประดับสุดแปลก ลุคนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสร้างความแตกต่างและแสดงออกถึงตัวตนบนโลกออนไลน์

การแต่งตัวด้วย Blazer คลังสไตล์คลาสสิกสู่ความทันสมัย
Blazer เป็นไอเท็มที่ไม่มีวันตกยุค สามารถจับคู่ได้หลายลุค ทั้งลุคทางการและลุคแคชชวลในสไตล์โมเดิร์น เช่น ใส่ blazer คู่กับเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ หรือใส่ blazer ทับชุดเดรส ก็ได้ลุคที่ดูเรียบร้อยแต่ยังคงความเท่

ลุค Old Money คลาสสิกและหรูหราในทุกโอกาส
สไตล์ Old Money เน้นความเรียบหรูและคลาสสิก เช่น เสื้อเชิ้ตผ้าคุณภาพดี, กระโปรงทรงเอ, หรือสูทเนื้อผ้าดี สีโทนเรียบง่ายเช่น ครีม น้ำตาล เทา เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคนที่ต้องการความสง่าภูมิฐานในทุกสถานการณ์

การผสมผสานสไตล์ให้ลงตัวในปี 2025
จับคู่ Y2K กับ Blazer : เพิ่มความสนุกสนานด้วยเสื้อครอป Y2K คู่กับ blazer สีสดใสหรือพิมพ์ลาย
เติมความเท่ด้วย E-Girl + Old Money : เลือกเสื้อผ้าสีดำและลายตาข่าย ผสมกับเครื่องประดับทองคำเพื่อความหรูหรา
เล่นกับเทคนิคการแต่งตัว : เช่น ใส่ blazer คู่กับกางเกงยีนส์ขาดๆ เพื่อความสบายและดูเท่ในแบบโมเดิร์น

shoppingแฟชั่นในปี 2025 เปิดโอกาสให้สาว ๆ ได้สนุกกับการแต่งตัวและสร้างสไตล์ที่เป็นตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสนุกสนานจาก Y2K, ความเท่แบบ E-Girl, ความคลาสสิกของ Blazer หรือความหรูหราแบบ Old Money  การผสมผสานสไตล์เหล่านี้จะทำให้คุณโดดเด่นและเป็นตัวเองในทุกโอกาส


32
แบบห้องน้ำสไตล์มินิมอล (Minimal Style) เป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวคิด "น้อยแต่มาก (Less is More)" ที่เน้นความเรียบง่าย สะอาดตา ความโปร่งโล่ง และฟังก์ชันการใช้งานที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ห้องน้ำกลายเป็นพื้นที่แห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง

1. คุมโทนสีให้ "สะอาดตา" ด้วยสีหลักไม่เกิน 3 สี
หัวใจของมินิมอลคือสีที่เรียบง่ายและเป็นกลาง เพื่อสร้างความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
สีหลัก: เน้นใช้สีโทนสว่างเป็นหลัก เช่น สีขาว (เป็นสีที่ทำให้ห้องน้ำดูกว้างที่สุด), สีครีม หรือ สีเทาอ่อน
สีรอง/สีตัด: สามารถใช้ สีดำ หรือ สีน้ำตาลอ่อน (ลายไม้ธรรมชาติ) เป็นสีตัดในรายละเอียดเล็กน้อย เช่น ก๊อกน้ำสีดำ, ขอบกระจก, หรือเฟอร์นิเจอร์ลายไม้ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นและไม่ทำให้ห้องดูจืดชืดจนเกินไป
เคล็ดลับสไตล์มูจิ (Muji Style): หากต้องการให้ห้องน้ำมินิมอลดูอบอุ่นสไตล์มูจิ ให้เพิ่มวัสดุ ลายไม้โทนอ่อน เข้าไป เช่น เคาน์เตอร์ไม้ หรือกล่องเก็บของไม้



2. เลือก "สุขภัณฑ์" รูปทรงเรียบง่ายและเป็นเรขาคณิต
สุขภัณฑ์ คือจุดศูนย์กลางของห้องน้ำ การเลือกดีไซน์จึงต้องสอดคล้องกับสไตล์มินิมอล
โถสุขภัณฑ์ (Toilet): ควรเลือกแบบ ชิ้นเดียว (One-Piece) ที่มีรูปทรงโค้งมนหรือเหลี่ยมที่เรียบง่าย เพราะไม่มีรอยต่อ ทำให้ทำความสะอาดง่ายและดูคลีน หรือเลือกแบบ แขวนผนัง (Wall-Hung) เพื่อซ่อนถังพักน้ำและเผยให้เห็นพื้นที่พื้นห้องน้ำ ทำให้ห้องดูกว้างและโปร่งขึ้น
อ่างล้างหน้า (Wash Basin): เลือกอ่างแบบ แขวนผนัง หรือ อ่างวางบนเคาน์เตอร์ ที่มีรูปทรงวงกลมหรือสี่เหลี่ยมที่ชัดเจน หลีกเลี่ยงอ่างที่มีลวดลายเยอะ

3. สร้างภาพลวงตาด้วย "กระจก" และ "แสงสว่าง"
เนื่องจากห้องน้ำสไตล์มินิมอลส่วนใหญ่มักมีพื้นที่จำกัด เทคนิคนี้จึงสำคัญมากในการทำให้ห้องดูกว้างขึ้น
กระจกเงาบานใหญ่: ติดตั้งกระจกเงาแบบไร้ขอบ หรือขอบเรียบง่าย เต็มผนัง บริเวณอ่างล้างหน้า เพื่อสะท้อนพื้นที่ ทำให้ห้องน้ำดูกว้างขึ้นทันตาเห็น
แสง Warm White: ใช้แสงไฟสีขาวนวล หรือ Warm White ในการให้แสงสว่าง เพื่อสร้างบรรยากาศที่นุ่มนวลและผ่อนคลาย หลีกเลี่ยงแสงสีฉูดฉาด และควรมีแสงสว่างจากธรรมชาติเข้ามาในห้องให้มากที่สุด

4. จัดเก็บของใช้แบบ "ซ่อน" และใช้ "ชั้นลอย"
หัวใจสำคัญที่สุดของมินิมอลคือ ความโล่งบนเคาน์เตอร์ ของใช้ทั้งหมดจะต้องถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ
เน้นตู้บิลท์อิน (Built-in) แบบซ่อน: ติดตั้งตู้เก็บของแบบซ่อนในผนัง หรือใช้ตู้เคาน์เตอร์ที่มีหน้าบานปิดเรียบ ไม่มีมือจับ เพื่อเก็บอุปกรณ์และของใช้ส่วนตัวทั้งหมด
ชั้นวางของแบบลอยตัว: หากจำเป็นต้องวางของ ให้เลือกใช้ชั้นวางของแบบ ลอยตัว (Floating Shelf) ที่ทำจากไม้หรือวัสดุสีเดียวกับผนัง เพื่อใช้พื้นที่ในแนวตั้งและไม่เกะกะสายตา

การออกแบบ แบบห้องน้ำสไตล์มินิมอล คือการเน้นไปที่การใช้งานที่จำเป็น เลือกใช้วัสดุที่ทนทาน และจัดระเบียบของใช้ให้เป็นที่เป็นทางก็จะได้ห้องน้ำที่สวยงาม สงบ และเป็นพื้นที่ที่คุณสามารถใช้เวลาพักผ่อนได้อย่างมีความสุขในทุกวัน


33
ระบบ กระดูกและข้อ คือโครงสร้างหลักที่ทำให้เราสามารถเคลื่อนไหวและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ เมื่อโครงสร้างนี้เริ่มมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอาการ ปวดข้อ ข้อฝืด หรือกระดูกเปราะบาง ย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในทุกด้าน การทำความเข้าใจโรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อที่พบบ่อย จะช่วยให้คุณสังเกตอาการได้เร็วและเริ่มต้นการดูแลรักษาได้ทันทท่วงที หมอกระดูกและข้อ

1.โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis - OA)
ถือเป็นปัญหาหลักด้านสุขภาพของคนไทย โดยเฉพาะ โรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งเป็นตําแหน่งที่พบมากที่สุด
ความชุก: ปัจจุบันคาดว่ามีผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมในประเทศไทย มากกว่า 6 ล้านคน และพบสูงถึง 34−50% ในกลุ่มผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
ลักษณะเด่น: เป็นโรคที่เกิดจากการ สึกหรอของกระดูกอ่อนผิวข้อ ตามอายุและการใช้งาน ทำให้เกิดอาการปวด ข้อฝืด และมีเสียงดังในข้อ โดยอาการจะปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว
สาเหตุ: อายุที่มากขึ้น, น้ำหนักตัวเกิน, การใช้งานข้อหนักซ้ำ ๆ, การบาดเจ็บของข้อ
อาการ: ปวดเมื่อย หรือ ปวดตื้อ ๆ ที่ข้อ โดยเฉพาะ ข้อเข่า และ ข้อสะโพก ปวดมากเมื่อใช้งาน หรือลงน้ำหนัก และอาการดีขึ้นเมื่อพัก ข้อฝืดตึง หลังตื่นนอนหรือนั่งนาน ๆ (มักไม่นานเกิน 30 นาที) อาจมี เสียงกรอบแกรบ เมื่อขยับข้อ



2.โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
เป็นภัยเงียบที่คุกคามผู้สูงอายุและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน มักไม่มีอาการแสดงในระยะแรก แต่เป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเกิดกระดูกหัก
ความชุก: มีผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนในประเทศไทย มากกว่า 1 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากรสูงวัย
ลักษณะเด่น: เป็นภาวะที่ มวลกระดูกลดลง ทำให้กระดูกเปราะบางและ หักง่าย แม้จากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง ตำแหน่งที่หักบ่อยคือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง และข้อมือ
สาเหตุ: อายุที่มากขึ้น (โดยเฉพาะหลังอายุ 50 ปี), วัยหมดประจำเดือนในผู้หญิง, ขาดแคลเซียมและวิตามิน D, การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
อาการ: ไม่มีอาการปวด ในระยะแรก สังเกตได้เมื่อเริ่มมี หลังค่อม หรือ ความสูงลดล อาการที่ชัดเจนที่สุดคือ กระดูกหักง่าย (เช่น กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง หรือข้อมือ) จากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง

วิธีดูแลและป้องกันสุขภาพกระดูกและข้อ ให้แข็งแรง
การมีกระดูกและข้อที่แข็งแรงไม่เพียงแค่ช่วยให้คุณคล่องตัว แต่ยังลดความเสี่ยงการเกิดโรคในระยะยาวได้ด้วย
เสริมแคลเซียมและวิตามิน D ให้เพียงพอ: แคลเซียม (ประมาณ 800−1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) ช่วยสร้างมวลกระดูก ส่วน วิตามิน D ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม ควรรับประทานนมและผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว หรืออาหารเสริม
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เลือกการออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนัก (Weight-Bearing Exercise) เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ หรือเต้นแอโรบิก จะช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อ
ควบคุมน้ำหนักตัว: น้ำหนักที่เหมาะสมช่วยลดภาระของข้อต่อ โดยเฉพาะข้อเข่าและข้อสะโพก ซึ่งช่วยป้องกัน ข้อเสื่อม ได้เป็นอย่างดี
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง: งดสูบบุหรี่ และ ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นปัจจัยที่เร่งให้เกิดกระดูกพรุนและกระตุ้นโรคเก๊าท์
การดูแลสุขภาพกระดูกและข้อเป็นเรื่องที่คุณสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ หากคุณมีอาการปวดข้อที่เรื้อรัง หรือข้อฝืดตึงตอนเช้าผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ ตรวจสุขภาพประจำปี ราคา เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ตรงจุด

34
ในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูง โดยเฉพาะโรคร้ายแรงอย่าง มะเร็ง การวางแผนทางการเงินเพื่อรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การซื้อ ประกัน มะเร็ง ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณอุ่นใจเมื่อต้องเผชิญกับค่ารักษาที่สูงลิ่ว แต่เบี้ยประกันที่คุณจ่ายไปยังสามารถนำไปใช้เป็น ค่าลดหย่อนภาษี ได้อีกด้วย

ประกันมะเร็งลดหย่อนภาษี: เข้ากลุ่ม "ประกันสุขภาพ"
ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ประกันมะเร็ง และ ประกันโรคร้ายแรง จัดอยู่ในกลุ่มของ "ประกันสุขภาพ" ซึ่งเบี้ยประกันที่คุณจ่ายไปสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ โดยมีวงเงินและเงื่อนไขที่ชัดเจนดังนี้

1. วงเงินลดหย่อนภาษีสำหรับ "ประกันสุขภาพตนเอง"
เบี้ยประกันมะเร็งที่คุณทำไว้เพื่อคุ้มครองตัวเอง สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาทต่อปี

ข้อควรรู้เพิ่มเติม:
รวมกับประกันชีวิต: เมื่อรวมกับค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป (เช่น ประกันสะสมทรัพย์ที่มีความคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป) แล้ว ยอดรวมต้องไม่เกิน 100,000 บาท
เป็นความคุ้มครองเฉพาะตัว: ประกันมะเร็งที่นำมาลดหย่อนได้ต้องให้ความคุ้มครองเฉพาะตัวผู้เอาประกันเท่านั้น

2. วงเงินลดหย่อนภาษีสำหรับ "ประกันสุขภาพบิดา-มารดา"
หากคุณซื้อประกันสุขภาพ (ซึ่งรวมถึงประกันมะเร็งด้วย) ให้กับบิดาหรือมารดาของคุณ ก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน
ลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาทต่อปี (สามารถแบ่งจ่ายกับพี่น้องได้ โดยเฉลี่ยตามส่วนที่จ่ายจริง)

เงื่อนไขสำคัญ:
บิดาหรือมารดาต้องมีเงินได้พึงประเมินรวมกันทั้งปี ไม่เกิน 30,000 บาท
คุณต้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป



ประกันมะเร็งแบบไหนที่ลดหย่อนภาษีได้
โดยทั่วไป กรมธรรม์ ประกันโรคร้ายแรง หรือ ประกันมะเร็ง ที่บริษัทประกันระบุว่าเป็นสัญญาเพิ่มเติม (Rider) ที่แนบท้ายกับกรมธรรม์หลัก (เช่น ประกันชีวิต) หรือเป็นกรมธรรม์เดี่ยวแบบที่เน้นความคุ้มครองสุขภาพ/โรคร้าย (เช่น แบบ "เจอ จ่าย จบ" หรือแบบที่จ่ายค่ารักษาตามจริง) มักจะเข้าเกณฑ์การลดหย่อนในส่วนของ "เบี้ยประกันสุขภาพ" ทั้งสิ้น

เคล็ดลับ: เพื่อให้มั่นใจ 100% ควรมองหาข้อความในโฆษณา หรือเอกสารประกอบการขายของผลิตภัณฑ์ประกันนั้น ๆ ที่ระบุชัดเจนว่า "สามารถนำเบี้ยประกันภัยไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่กรมสรรพากรกำหนด"
ก่อนตัดสินใจทำประกันมะเร็ง: สิ่งที่คุณต้องรู้
นอกเหนือจากสิทธิลดหย่อนภาษีแล้ว การซื้อประกันมะเร็งยังมีข้อพิจารณาสำคัญที่คุณควรตรวจสอบก่อนตัดสินใจ:
ระยะเวลารอคอย (Waiting Period): ประกันมะเร็งเกือบทุกฉบับจะมีระยะเวลารอคอย (ส่วนใหญ่ 90 วัน) หมายความว่า หากตรวจพบมะเร็งภายในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทประกันจะไม่จ่ายผลประโยชน์
ประวัติสุขภาพเดิม (Pre-existing Condition): กรมธรรม์ส่วนใหญ่ จะไม่คุ้มครอง โรคมะเร็งที่ตรวจพบก่อนวันเริ่มมีผลคุ้มครอง ประกันลดหย่อนภาษีหรือมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากการเจ็บป่วย/ความผิดปกติที่มีอยู่ก่อนทำประกัน


35
การเลือก อ่างล้างหน้า ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อการใช้สอยและการจัดการพื้นที่ในห้องน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างสองรูปแบบยอดนิยมอย่าง อ่างล้างหน้าแบบแขวนผนัง และ อ่างล้างหน้าแบบฝังบนเคาน์เตอร์

1. อ่างล้างหน้าแบบแขวนผนัง (Wall-Hung Basin)
เป็นอ่างล้างหน้าที่ยึดติดกับผนังโดยตรง ไม่ต้องมีขาตั้งหรือเคาน์เตอร์ด้านล่าง เหมาะกับห้องน้ำสไตล์มินิมอล หรือห้องน้ำที่มีพื้นที่จำกัด

ข้อดี:
ประหยัดพื้นที่: ไม่ต้องมีเคาน์เตอร์ ทำให้ห้องน้ำ ดูกว้างขวาง และโปร่งโล่งขึ้นทันที เหมาะสำหรับ ห้องน้ำขนาดเล็ก หรือห้องน้ำแขก
ทำความสะอาดง่าย: พื้นที่ใต้ท้องอ่างโล่ง ทำให้ทำความสะอาดพื้นห้องน้ำได้ง่ายและทั่วถึง ไม่มีการสะสมของฝุ่นและความชื้นใต้ตู้
ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว: มีขั้นตอนการติดตั้งที่ซับซ้อนน้อยกว่าการทำเคาน์เตอร์
ปรับระดับความสูงได้: สามารถกำหนดความสูงของอ่างให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานได้ง่าย

ข้อเสีย:
ขาดพื้นที่จัดเก็บ: ไม่มีพื้นที่สำหรับวางของใช้ส่วนตัว เช่น สบู่ แปรงสีฟัน หรือเครื่องสำอางอย่างเพียงพอ
งานระบบท่อโชว์: ท่อน้ำทิ้งและงานระบบใต้อ่างอาจจะดูไม่เรียบร้อย หากต้องการปกปิดต้องเลือกใช้รุ่นที่มีขาอ่างครึ่ง/เต็ม หรือติดตั้งร่วมกับตู้เก็บของแบบแขวน
ผนังต้องแข็งแรง: ต้องมั่นใจว่าผนังมีความแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักตัวอ่างและแรงกดจากการใช้งานได้



2. อ่างล้างหน้าแบบฝังบนเคาน์เตอร์ (Drop-in / Self-Rimming Basin)
อ่างล้างหน้าแบบฝัง เป็นอ่างที่ถูกฝังลงในเคาน์เตอร์หรือท็อปอ่าง โดยมีขอบอ่างยื่นพ้นเคาน์เตอร์ขึ้นมาเล็กน้อย เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมสูงเพราะตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชันและความสวยงาม

ข้อดี:
เพิ่มพื้นที่ใช้สอยและการจัดเก็บ: มี เคาน์เตอร์ ขนาดใหญ่สำหรับวางของใช้ ทำให้ห้องน้ำเป็นระเบียบเรียบร้อย
ความสวยงามหรูหรา: ดีไซน์ดูกลมกลืนและเป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์ ทำให้ห้องน้ำดู หรูหรา ทันสมัย
ปกปิดงานระบบ: โครงสร้างเคาน์เตอร์ช่วย ปกปิดท่อน้ำทิ้ง และงานระบบทั้งหมดได้อย่างมิดชิด
แข็งแรงทนทาน: มีฐานรองรับน้ำหนักที่ดีเยี่ยม

ข้อเสีย:
เปลืองพื้นที่: ต้องใช้พื้นที่มากในการติดตั้งเคาน์เตอร์ จึงไม่เหมาะกับห้องน้ำที่มีพื้นที่จำกัด
ทำความสะอาดยากกว่า: รอยต่อระหว่างขอบอ่างกับเคาน์เตอร์มีโอกาสเกิดคราบสกปรก หรือเชื้อราสะสมได้ง่าย ต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
ราคาสูงกว่า: มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับเคาน์เตอร์และท็อปอ่าง


36
ตาแห้ง ถือเป็น ปัจจัยเสี่ยง ที่ส่งเสริมให้เกิด ต้อเนื้อ ได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อดวงตาขาดน้ำตามาหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ พื้นผิวตาจะเกิดการอักเสบและระคายเคืองอย่างต่อเนื่อง ความไม่สมบูรณ์ของชั้นน้ำตาทำให้ดวงตาอ่อนแอต่อปัจจัยภายนอก เช่น ลมและแสงแดด ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เยื่อบุตาเสื่อมสภาพและเกิดการงอกของต้อเนื้อในที่สุด

ตาแห้ง (Dry Eye Syndrome) คือภาวะที่ปริมาณหรือคุณภาพของน้ำตาที่หล่อเลี้ยงดวงตามีไม่เพียงพอ ทำให้ผิวดวงตาขาดความชุ่มชื้นและเกิดการอักเสบ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของตาแห้ง
การจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน: เมื่อคุณจ้องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ จะ กะพริบตาน้อยลง (จากปกติ 20-22 ครั้ง/นาที เหลือเพียง 8-10 ครั้ง/นาที) ทำให้น้ำตาระเหยเร็ว
สิ่งแวดล้อม: ลมแรง ฝุ่นควัน มลภาวะ และความแห้งจากเครื่องปรับอากาศ
อายุที่มากขึ้น: โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน การผลิตน้ำตาจะลดลง
การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาแก้แพ้ หรือยาต้านซึมเศร้า



ต้อเนื้อ (Pterygium) คือเนื้อเยื่อที่งอกมาจากเยื่อบุตาขาว และลุกลามเข้าไปในบริเวณกระจกตา (ตาดำ) โดยมักมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมสีแดงอมชมพู หากปล่อยทิ้งไว้ ต้อเนื้อจะขยายใหญ่ขึ้นจนอาจบดบังการมองเห็นได้
สาเหตุหลักของต้อเนื้อ
สาเหตุที่ชัดเจนที่สุดของต้อเนื้อคือ การระคายเคืองเรื้อรังที่เยื่อบุตาขาว โดยมีปัจจัยกระตุ้นหลักคือ:
รังสีอัลตราไวโอเลต (UV): การสัมผัสแสงแดดโดยตรงและสะสมเป็นเวลานานโดยไม่มีการป้องกัน
ลม ฝุ่น และควัน: การทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องเผชิญกับสิ่งระคายเคืองเหล่านี้
ภาวะตาแห้งเรื้อรัง: เมื่อตาขาดความชุ่มชื้น เยื่อบุตาจะถูกกระตุ้นและอักเสบง่ายขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การหนาตัวของเนื้อเยื่อจนกลายเป็นต้อเนื้อได้


วิธีป้องกันและชะลอการลุกลาม
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการลดพฤติกรรมเสี่ยงและดูแลดวงตาให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
สวมแว่นกันแดด (UV Protection) เสมอ: นี่คือการป้องกัน ต้อเนื้อ ที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง เพื่อลดการสัมผัสรังสี UV โดยตรง
ใช้น้ำตาเทียมเป็นประจำ: หากมีอาการ ตาแห้ง ควรใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และชะลอการลุกลามของต้อเนื้อ
พักสายตาและเพิ่มการกะพริบตา: ใช้กฎ 20-20-20 (พักสายตาทุก 20 นาที มองไกล 20 ฟุต นาน 20 วินาที) เมื่อต้องจ้องจอเป็นเวลานาน
หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง: ใส่แว่นป้องกันตาเมื่อต้องเผชิญกับฝุ่น ควัน หรือลมแรง
ข้อควรจำ: ต้อเนื้อ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาหยอดตา การใช้ยาทำได้เพียงลดอาการอักเสบเท่านั้น หากต้อเนื้อลุกลามเข้าตาดำจนส่งผลต่อการมองเห็น จักษุแพทย์จะแนะนำให้ทำการ ผ่าตัดลอกต้อเนื้อ ออก
หากมีอาการระคายเคืองตาเรื้อรัง หรือสังเกตเห็นเนื้อเยื่อสีชมพูยื่นเข้าไปในตาดำ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม ก่อนที่ต้อเนื้อจะลุกลามจนส่งผลกระทบต่อสายตาอย่างถาวร


37
clothing store ช่วงปลายปี 2025 เตรียมตัวเปลี่ยนผ่านสู่ปี 2026 เป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานและสไตล์ที่กล้าแสดงออก แฟชั่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความเรียบง่ายอีกต่อไป แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความหรูหราที่สวมใส่สบาย ลายพิมพ์ที่โดดเด่น และสีสันที่อบอุ่น เทรนด์เหล่านี้สะท้อนถึงความต้องการที่จะสนุกกับการแต่งตัว และสร้างลุคที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

1. ลวดลายจัดจ้าน: Animal Print และ Polka Dot กลับมาทวงบัลลังก์
ลวดลายคือสิ่งที่สร้างความโดดเด่นในซีซั่นนี้ โดยเฉพาะสองลายคลาสสิกที่กลับมาแบบเต็มตัว Animal Print (ลายพิมพ์สัตว์): ลายเสือดาว (Leopard Print) และลายม้าลาย (Zebra Print) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เครื่องประดับอีกต่อไป แต่จะปรากฏบนเสื้อผ้าหลัก เช่น โค้ท, กางเกง, หรือกระโปรง การใส่ลายพิมพ์สัตว์แบบเต็มตัวจะให้ลุคที่ดูมั่นใจและร้อนแรง แต่หากยังไม่กล้า อาจเริ่มต้นจากกระเป๋าหรือรองเท้าก่อน

Polka Dot Revival (ลายจุด) ลายจุดกลับมาในรูปแบบที่สดใสและน่ารัก โดยเฉพาะลายจุดแบบใหญ่ ๆ (Oversized) หรือสีสันที่ไม่คาดคิด เป็นการเพิ่มความสนุกและเติมเต็มความขี้เล่นให้กับลุคที่เรียบง่าย shopping



2. สีสันแห่งความอบอุ่น: Brown (สีน้ำตาล) คือ The New Neutral
หากปีที่แล้วเป็นสีดำหรือสีขาว ปีนี้คือสีน้ำตาลที่กำลังมาแรงที่สุด สีน้ำตาล (Brown) ในเฉดต่างๆ ตั้งแต่สีมอคค่ามูส (Mocha Mousse) ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มช็อกโกแลต ถือเป็นสีกลาง (Neutral) ที่ให้ความรู้สึก มินิมอล, เรียบหรู, และเหนือกาลเวลา (Timeless)
ลุค Old Money: การแต่งกายด้วยโทนสีน้ำตาลทั้งชุด (Tone-on-Tone) หรือการจับคู่กับสีเบจและสีครีม จะช่วยเสริมให้ลุคของคุณดูแพงและสง่างามแบบ Quiet Luxury
การจับคู่สี: ลองจับคู่สีน้ำตาลกับ สีฟ้าอ่อน (Clearwater) หรือ สีเหลืองอ่อน (Butter Yellow) เพื่อสร้างความคอนทราสต์ที่ดูละมุนและมีสไตล์

3. เนื้อผ้าและสไตล์ที่เน้นความนุ่มนวลและเท็กซ์เจอร์
เทรนด์นี้เน้นที่ความรู้สึกสบายเมื่อสวมใส่ และการเพิ่มมิติให้กับชุดด้วยเนื้อผ้าที่น่าสนใจ
Faux Fur (ขนเฟอร์เทียม): ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เสื้อโค้ทอีกแล้ว แต่จะเห็นในรูปแบบของ ผ้าพันคอ (Stoles), กระเป๋าถือ หรือแม้กระทั่งเสื้อตัวสั้น (Bra Tops) เป็นการเพิ่มความหรูหราและผิวสัมผัสที่ดูอบอุ่น
Suede (ผ้าหนังกลับ): ผ้าหนังกลับกลับมาเป็นพระเอก โดยเฉพาะในกลุ่ม แจ็กเก็ตสั้น หรือกระโปรงทรงดินสอ ให้ลุคแบบโบฮีเมียนที่ดูผ่อนคลายแต่ยังคงความประณีต

4. ชิ้นส่วนเด่นที่ต้องมี: กระโปรงทรงดินสอ และกางเกงหลวม
รูปทรงของเสื้อผ้าในครึ่งปีหลังเน้นที่ความสบายแต่ยังคงความเนี้ยบ
The Pencil Skirt (กระโปรงทรงดินสอ): กระโปรงทรงสอบยาวกลับมาฮิตอีกครั้ง ให้ลุคที่ดู สุภาพและเป็นผู้หญิง (Ladylike) สามารถใส่ทำงานหรือใส่ไปงานสำคัญได้
Loose Trousers/Denim (กางเกงและยีนส์ทรงหลวม): กางเกงขากว้างหรือยีนส์ทรงหลวมยังคงครองใจผู้คน เพราะให้ความสบายในการเคลื่อนไหว การจับคู่กางเกงทรงหลวมกับเสื้อตัวสั้นหรือเสื้อยืดเรียบๆ จะช่วยให้ได้ลุคที่สมดุลและทันสมัย

การผสมผสานระหว่าง ความโดดเด่นของลวดลาย และ ความหรูหราที่เรียบง่ายของโทนสีน้ำตาล หากต้องการอัปเดตตู้เสื้อผ้าให้เริ่มต้นจากการลงทุนในเสื้อผ้าโทนสีน้ำตาลคุณภาพดี และเพิ่มความสนุกด้วยเครื่องประดับลายพิมพ์สัตว์หรือลายจุด เพียงเท่านี้ก็พร้อมเฉิดฉายตามเทรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นได้อย่างมั่นใจแล้ว


38
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกพื้นที่ของบ้าน สุขภัณฑ์อัตโนมัติ (Smart Toilet) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ฝารองนั่งอัตโนมัติ" มาตรฐานใหม่ ที่ช่วยยกระดับสุขอนามัย ความสะดวกสบาย และประสบการณ์ในการใช้ห้องน้ำให้เหนือกว่าสุขภัณฑ์แบบเดิม สุขภัณฑ์อัจฉริยะเหล่านี้จึงได้รับความนิยมและเป็นสิ่งที่ควรมีในห้องน้ำยุคใหม่

5 คุณสมบัติเด่นของสุขภัณฑ์อัตโนมัติ
สุขภัณฑ์อัตโนมัติมาพร้อมฟังก์ชันที่หลากหลาย ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ด้านความสะอาดและความสบายสูงสุด

1. ระบบชำระล้างอัตโนมัติ (Bidet Function)
นี่คือหัวใจสำคัญของสุขภัณฑ์อัตโนมัติ หัวฉีดสามารถปรับตำแหน่ง แรงดันน้ำ และอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำเพื่อการชำระล้างที่ถูกสุขอนามัยที่สุด แทนการใช้กระดาษชำระ ซึ่งช่วยลดการสัมผัสและทำความสะอาดได้อย่างหมดจดกว่ามาก

2. ที่นั่งอุ่นสบาย (Heated Seat)
ฟังก์ชันนี้มอบความสะดวกสบายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในห้องน้ำที่มีอากาศเย็น ที่นั่งสามารถปรับอุณหภูมิให้อุ่นพอดีกับร่างกาย ทำให้ประสบการณ์การเข้าห้องน้ำในตอนเช้าหรือช่วงฤดูหนาวไม่เป็นเรื่องทรมานอีกต่อไป

3. ระบบเป่าลมอุ่น (Warm Air Dryer)
หลังจากชำระล้างแล้ว ระบบเป่าลมอุ่นจะทำงานแทนการใช้กระดาษชำระ เป็นการช่วยให้ผิวแห้งอย่างอ่อนโยนและรวดเร็ว ลดการใช้กระดาษ ทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดภาระในการกำจัดของเสีย



4. ระบบเปิด-ปิดฝาอัตโนมัติ (Auto Open/Close Lid)
เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวช่วยให้ฝาชักโครกเปิดขึ้นเองเมื่อเดินเข้าไปใกล้ และปิดลงอัตโนมัติเมื่อใช้งานเสร็จสิ้น ลดการสัมผัสโดยตรง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการรักษาสุขอนามัยในห้องน้ำสาธารณะหรือในบ้านที่มีผู้สูงอายุ ฝารองนั่งชักโครก ผู้สูงอายุ

5. ระบบกำจัดกลิ่นและฆ่าเชื้อ (Deodorizer & Sterilization)
สุขภัณฑ์บางรุ่นมาพร้อมระบบกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์อัตโนมัติ และมีการใช้เทคโนโลยีแสง UV หรือน้ำอิเล็กโทรไลซ์เพื่อฆ่าเชื้อที่หัวฉีดและภายในโถสุขภัณฑ์ ช่วยให้ห้องน้ำสะอาดและสดชื่นอยู่เสมอ

สุขภัณฑ์อัตโนมัติ: มากกว่าความสบายคือสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
การลงทุนในสุขภัณฑ์อัตโนมัติไม่เพียงแต่ให้ความสะดวกสบาย แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพและโลกของเรา

ดีต่อสุขอนามัย: การชำระล้างด้วยน้ำอุ่นช่วยทำความสะอาดได้ล้ำลึกกว่าการเช็ดด้วยกระดาษ ลดการระคายเคือง และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ริดสีดวงทวาร
ดีต่อสิ่งแวดล้อม: การลดการใช้กระดาษชำระลงอย่างมาก หมายถึงการลดปริมาณขยะและลดการตัดต้นไม้ ซึ่งเป็นการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในระยะยาว
เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย: ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว สามารถใช้งานสุขภัณฑ์อัตโนมัติได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย

สุขภัณฑ์อัตโนมัติ คือนวัตกรรมที่เปลี่ยนประสบการณ์ในห้องน้ำสวยๆอย่างแท้จริง ด้วยฟังก์ชันที่ผสานความสะดวกสบาย สุขอนามัย และการรักษาสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ด้วยกัน หากกำลังมองหาวิธีอัปเกรดห้องน้ำให้ทันสมัย สะอาด และน่าใช้งาน การติดตั้งสุขภัณฑ์อัจฉริยะนี้คือการลงทุนที่คุ้มค่าและสมเหตุสมผลที่สุดในปัจจุบัน


39
ประสบการณ์ผ่าตัดหัวใจ บายพาสหัวใจ (CABG) ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง แม้จะเป็นเรื่องที่น่ากังวล
แต่การทำความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนจะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีความพร้อมลดความกังวลได้มาก

1. ช่วงก่อนการผ่าตัด: การตัดสินใจที่ยากลำบาก
ก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย หรือมีอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หลังจากแพทย์วินิจฉัยและพบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบหลายเส้น
จนไม่สามารถรักษาด้วยการทำบอลลูนหรือใส่ขดลวดได้ การผ่าตัดบายพาสจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ช่วงนี้คือช่วงที่ผู้ป่วยต้องเผชิญหน้ากับความกังวล ความกลัว และความไม่แน่ใจ
การพูดคุยกับแพทย์อย่างละเอียดเพื่อทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและผลลัพธ์ที่คาดหวังได้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงการได้รับการสนับสนุนทางจิตใจจากครอบครัวและคนรอบข้าง

2. วันผ่าตัด: การเตรียมตัวและความเชื่อมั่น
เมื่อถึงวันผ่าตัด ผู้ป่วยจะถูกเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ แพทย์จะงดน้ำและอาหาร มีการโกนขนบริเวณที่ต้องผ่าตัด และเตรียมสายต่างๆ ก่อนนำเข้าห้องผ่าตัด
ผู้ป่วยหลายคนเล่าว่าความรู้สึกในช่วงนี้คือความสงบและวางใจในทีมแพทย์และพยาบาล การผ่าตัดบายพาสมักใช้เวลาประมาณ 3-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับจำนวนเส้นเลือดที่ต้องทำทางเบี่ยง
หลังจากนั้นผู้ป่วยจะถูกย้ายไปที่หอผู้ป่วยวิกฤต (CCU หรือ ICU) เพื่อเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด



3. ช่วงหลังผ่าตัดในห้อง ICU: การฟื้นตัวในระยะวิกฤต
หลังจากผ่าตัด ผู้ป่วยจะถูกย้ายมาที่ห้อง ICU เพื่อให้แพทย์และพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดบริเวณแผลผ่าตัด และมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด เช่น สายระบายเลือด ท่อช่วยหายใจ หรือสายน้ำเกลือ
อาการเจ็บแผลจะดีขึ้นเมื่อได้รับยาแก้ปวดอย่างสม่ำเสมอ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะอยู่ในห้อง ICU ประมาณ 1-2 วัน เมื่ออาการคงที่และสามารถหายใจเองได้ดีแล้วจึงจะย้ายไปที่ห้องพักปกติ

4. การพักฟื้นที่ห้องพักปกติ: เริ่มต้นชีวิตใหม่
เมื่อย้ายมาห้องพักปกติ ผู้ป่วยจะได้รับการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็วที่สุด การฝึกเดินเป็นก้าวแรกที่สำคัญ การเดินช้าๆ ในระยะสั้นๆ
จะช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ผู้ป่วยต้องดูแลแผลผ่าตัดที่หน้าอกและบริเวณที่นำเส้นเลือดมาทำบายพาส (เช่น ขาหรือแขน) ให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ

5. กลับบ้านและการดูแลตัวเองในระยะยาว: ชีวิตหลังการผ่าตัด
การฟื้นตัวเต็มที่หลังการผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์ ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างอย่างเคร่งครัด

อาหาร: ลดอาหารรสจัด อาหารเค็ม อาหารมัน และอาหารแปรรูป เน้นผัก ผลไม้ และอาหารที่มีกากใยสูง
การออกกำลังกาย: เริ่มต้นจากการเดิน และค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์
การพักผ่อน: นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรนอนดึก
งดบุหรี่และแอลกอฮอล์: สิ่งเหล่านี้จะทำให้หลอดเลือดกลับมาตีบได้อีกครั้ง
พบแพทย์ตามนัด: การตรวจสุขภาพตามนัดหมายเป็นสิ่งสำคัญในการติดตามผลการรักษาและควบคุมปัจจัยเสี่ยง

ประสบการณ์ผ่าตัดบายพาสหัวใจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อผ่านพ้นไปแล้ว ผู้ป่วยหลายคนรู้สึกเหมือนได้รับชีวิตใหม่ พวกเขาสามารถกลับมาทำกิจกรรมที่เคยทำได้อีกครั้ง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
การมองโลกในแง่ดี ความมีวินัย และการได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้างหมอหัวใจ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ


40
ในขณะที่ลูกน้อยกำลังเติบโตและเรียนรู้ที่จะเดินผู้ปกครองหลายท่านอาจสังเกตเห็นว่าเท้าของลูกดูแบนราบกว่าปกติ ซึ่งอาจสร้างความกังวลได้แต่แท้จริงแล้วอาการ เท้าแบน ในเด็กส่วนใหญ่มักเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราวและหายได้เองตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตามยังมีบางกรณีที่อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาที่ต้องเฝ้าระวัง

เท้าแบนแบบไหนที่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ (เท้าแบนแบบนิ่ม - Flexible Flatfoot)
เท้าแบน แบบนิ่ม เป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในวัยหัดเดิน (ประมาณ 1-3 ปี) เท้าของเด็กในวัยนี้มักจะดูแบนราบเพราะมีไขมันสะสมอยู่ที่อุ้งเท้าและกล้ามเนื้อยังไม่แข็งแรงพอที่จะสร้างส่วนโค้งขึ้นมาได้

ลักษณะสำคัญของเท้าแบนแบบนิ่ม: เมื่อยืนลงน้ำหนัก เท้าจะดูแบนราบเมื่ออยู่ในท่าพัก (เช่น นั่งห้อยขา) หรือเมื่อลูกเขย่งปลายเท้า ส่วนโค้งของฝ่าเท้าจะปรากฏขึ้นมาให้เห็นโดยทั่วไปแล้ว เด็กจะไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ ภาวะนี้มักจะหายไปได้เองเมื่อเด็กโตขึ้น และกล้ามเนื้อรวมถึงเอ็นที่เท้าแข็งแรงพอที่จะสร้างส่วนโค้งของฝ่าเท้าได้เต็มที่ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงอายุ 6-8 ปี



เท้าแบนแบบไหนที่ต้องเฝ้าระวัง(เท้าแบนแบบแข็ง - Rigid Flatfoot)
เท้าแบน แบบแข็ง คือภาวะที่ส่วนโค้งของฝ่าเท้าไม่ปรากฏขึ้นเลยในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นตอนยืน, นั่ง หรือตอนเขย่งปลายเท้า ภาวะนี้อาจเป็นสัญญาณของปัญหาโครงสร้างกระดูกที่ซับซ้อน เช่น กระดูกเท้าเชื่อมติดกันตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเป็น ภัยเงียบ ที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ

อาการที่บ่งชี้ว่าควรปรึกษาแพทย์: ลูกบ่นว่ามีอาการปวดหรือตึงที่เท้าและข้อเท้าสังเกตเห็นว่าลูกเดินผิดปกติ หรือเดินลำบากไม่สามารถยืนเขย่งปลายเท้าได้ เท้าดูแบนและแข็ง ไม่มีความยืดหยุ่นในทุกท่าทาง

สรุปและคำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง
โรคเท้าแบน ในเด็กส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตรายและสามารถหายได้เอง แต่การเฝ้าสังเกตอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

เท้าแบน แบบนิ่ม: ให้สังเกตพัฒนาการตามช่วงวัย หากไม่มีอาการเจ็บปวดก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป
เท้าแบน แบบแข็ง: หากพบอาการตามที่กล่าวมาข้างต้น หรือหากลูกโตเกิน 8 ปีแล้วส่วนโค้งของเท้ายังไม่ปรากฏควรพาไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อโดยเร็วที่สุดเพื่อวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม หมอกระดูกและข้อ

การดูแลสุขภาพเท้าของลูกน้อยตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันปัญหาในระยะยาวและช่วยให้ลูกมีพัฒนาการในการเดินและทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มที่


41
การอาบน้ำในแต่ละวันจะเป็นมากกว่าแค่การชำระล้างร่างกาย หากได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่เหนือระดับจากฝักบัวอาบน้ำแบบ Rain Shower ที่จำลองความรู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนธรรมชาติ ฝักบัวประเภทนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยยกระดับห้องน้ำให้ดูหรูหราและผ่อนคลาย แต่การเลือกซื้อฝักบัว Rain Shower ที่เหมาะสมอาจต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง นี่คือเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ทำความเข้าใจคุณสมบัติที่แตกต่างของ ฝักบัว Rain Shower
การเลือก ฝักบัว Rain Shower ที่ดีไม่ใช่แค่การเลือกขนาดใหญ่ที่สุด แต่ควรพิจารณาถึงคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งาน



1. คุณสมบัติพิเศษเพื่อประสบการณ์ที่เหนือกว่า:
เทคโนโลยีประหยัดน้ำ: แม้จะเป็นฝักบัวขนาดใหญ่ แต่หลายรุ่นในปัจจุบันมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำโดยไม่ลดทอนความรู้สึก เช่น เทคโนโลยีที่ผสมอากาศเข้าไปในสายน้ำ ทำให้หยดน้ำมีขนาดใหญ่ขึ้นแต่ใช้น้ำน้อยลง ซึ่งช่วยประหยัดค่าน้ำได้ในระยะยาว
โหมดการใช้งานที่หลากหลาย: ชุดฝักบัวบางรุ่นมีฟังก์ชันที่สามารถปรับรูปแบบของน้ำได้ เช่น โหมดนวดผ่อนคลาย โหมดน้ำพุ่งแรง หรือโหมดสปานุ่มนวล เพื่อให้คุณสามารถเลือกได้ตามความต้องการในแต่ละวัน

2. การกระจายของน้ำและแรงดัน:
ฝักบัว Rain Shower ที่ดีควรให้การกระจายของน้ำที่สม่ำเสมอและครอบคลุมทั่วร่างกาย ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและสดชื่นได้อย่างเต็มที่ หากคุณกังวลเรื่องแรงดันน้ำที่บ้าน ควรเลือกฝักบัวที่ออกแบบมาเพื่อทำงานได้ดีกับแรงดันน้ำที่หลากหลาย

ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนการตัดสินใจ
1. ขนาดและรูปร่าง:
เลือกขนาดของ หัวฝักบัวอาบน้ำ ให้เหมาะสมกับขนาดของพื้นที่อาบน้ำ ไม่ควรเลือกหัวที่ใหญ่เกินไปจนทำให้ไม่สามารถติดตั้งได้ หรือทำให้น้ำกระเซ็นออกนอกพื้นที่
รูปทรงที่นิยมมีทั้งแบบกลมและสี่เหลี่ยม ซึ่งควรเลือกให้เข้ากับสไตล์โดยรวมของห้องน้ำของคุณ

2. การติดตั้ง (ติดตั้งบนผนัง หรือติดตั้งบนเพดาน):
แบบติดตั้งบนเพดาน: ให้ความรู้สึกที่เหมือนอาบน้ำท่ามกลางสายฝนอย่างแท้จริง แต่การติดตั้งอาจซับซ้อนและต้องมีการเดินท่อบนเพดาน
แบบติดตั้งบนผนัง: มีความสะดวกในการติดตั้งมากกว่า เพราะสามารถต่อจากท่อประปาเดิมบนผนังได้เลย และยังให้ประสบการณ์ใกล้เคียงกับการอาบน้ำฝน

3. วัสดุและพื้นผิว:
ควรเลือกหัวฝักบัวที่ทำจากวัสดุคุณภาพดี เช่น ทองเหลือง หรือสแตนเลส เพื่อความทนทานและป้องกันการกัดกร่อน
พื้นผิวที่เคลือบ เช่น โครเมียม หรือสีด้าน ควรเลือกให้เข้ากับอุปกรณ์อื่นๆ ในห้องน้ำ เพื่อสร้างความกลมกลืนทางด้านดีไซน์

การเลือกฝักบัวอาบน้ำ Rain Shower ที่เหมาะสมคือการลงทุนเพื่อความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกๆวัน

42
เสื้อผ้าแฟชั่น (Fashion Clothes) ล่าสุดที่ต้องมีติดตู้ไว้ในโลกของการแต่งตัวที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แฟชั่นเสื้อผ้า ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแต่งกายตามกระแสแต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยแสดงออกถึงตัวตน และไลฟ์สไตล์ได้อย่างชัดเจน การตามติดเทรนด์ใหม่ๆ และการเลือกซื้อ clothes ที่เหมาะกับเราจึงเป็นเรื่องที่น่าสนุก และสำคัญไม่แพ้กัน

นิยามใหม่ของ แฟชั่นเสื้อผ้า (Fashion Clothes)
แฟชั่นเสื้อผ้า ในยุคนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่บนรันเวย์ แต่หมายถึงสไตล์ที่เข้าถึงได้และสะท้อนถึงความเป็นตัวเอง เสื้อผ้าที่ดีคือเสื้อผ้าที่ทำให้รู้สึกมั่นใจและสบายใจในทุกการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวในวันสบายๆ หรือลุคสำหรับโอกาสพิเศษ



เทรนด์แฟชั่นเสื้อผ้าที่ต้องมีติดตู้
การทำความเข้าใจเทรนด์หลักๆ จะช่วยให้เลือกซื้อเสื้อผ้าได้อย่างคุ้มค่าและสร้างสรรค์ นี่คือเทรนด์ยอดนิยมที่ไม่ควรมองข้าม

Minimalist & Functional: เทรนด์นี้เน้นความเรียบง่ายแต่มีคุณภาพดีด้วยการใช้สีโทนกลาง เช่น ขาว, ดำ, เบจ, หรือเทา ทำให้สามารถนำไปมิกซ์แอนด์แมทช์ได้ง่ายและใส่ได้ในทุกโอกาส

Bold & Expressive: สำหรับคนที่ต้องการสร้างความโดดเด่น เทรนด์การใช้สีสันที่สดใสและจัดจ้านกำลังมาแรง เช่น สีชมพูฟูเชีย, สีเขียวมรกต หรือสีส้มอิฐ การเลือก clothes ที่มีสีสันจะช่วยเพิ่มความสนุกและความมั่นใจให้กับลุคของเรา

Y2K & Retro Vibes: แฟชั่นจากยุค 90s และ 2000s ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อครอป, กางเกงทรงหลวม หรือลวดลายกราฟิก การนำไอเท็มวินเทจมาผสมผสานกับเสื้อผ้าสไตล์โมเดิร์นจะช่วยสร้างลุคที่ดูน่าสนใจและไม่ซ้ำใคร

การเลือก ร้านเสื้อผ้า ที่เหมาะสมจะช่วยให้ประหยัดเวลาและมั่นใจว่าจะได้สินค้าที่ตรงใจ แฟชั่นเสื้อผ้า คุณภาพดีที่หลากหลาย เพื่อให้ได้สนุกกับการแต่งตัวและค้นพบสไตล์ที่ใช่สำหรับตัวเอง เรามีทั้ง clothes สไตล์มินิมอล, เสื้อผ้าสีสันสดใส และไอเท็มที่กำลังเป็นที่นิยมในโลกแฟชั่น


43
การมีห้องน้ำที่สวยงามเปรียบเสมือนการสร้างพื้นที่ส่วนตัวสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง และหนึ่งในองค์ประกอบที่สามารถยกระดับห้องน้ำธรรมดาให้กลายเป็นมุมโปรดได้ก็คือ อ่างอาบน้ำลอยตัว ด้วยดีไซน์ที่เป็นอิสระและโดดเด่น ทำให้ อ่างอาบน้ำลอยตัว กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจที่สะท้อนรสนิยมได้อย่างชัดเจน

อ่างอาบน้ำลอยตัว แตกต่างจากแบบทั่วไปอย่างไร
อ่างอาบน้ำลอยตัว หรือ Freestanding Bathtub คืออ่างที่ถูกออกแบบมาให้ตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างหรือผนังในการรองรับ ซึ่งแตกต่างจากอ่างอาบน้ำแบบบิวท์อินที่ต้องมีการก่อเคาน์เตอร์และติดตั้งชิดผนัง ทำให้ อ่างอาบน้ำลอยตัว มีความยืดหยุ่นในการจัดวางและสามารถทำความสะอาดได้รอบด้าน



ดีไซน์ที่โดดเด่น: เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสำคัญที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่หรูหราและน่าสนใจให้กับห้องน้ำ
ความยืดหยุ่นในการจัดวาง: สามารถวางได้ทุกตำแหน่งในห้องตามที่ต้องการ ไม่จำกัดแค่บริเวณมุมห้อง
ติดตั้งง่ายกว่า: โดยตัวอ่างเองใช้เวลาในการติดตั้งน้อยกว่าอ่างแบบบิวท์อินที่ต้องก่อสร้าง อุปกรณ์ห้องน้ำ
ทำความสะอาดง่าย: สามารถเข้าถึงและทำความสะอาดได้ทุกซอกทุกมุมรอบตัวอ่าง

ประเภท วัสดุ และสไตล์ที่หลากหลาย
1. ประเภทและรูปทรง
อ่างทรงวงรี: รูปทรงโค้งมนที่นิยมที่สุด เพราะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและเข้ากับดีไซน์ห้องน้ำได้หลากหลาย
อ่างทรงสี่เหลี่ยม: ให้ความรู้สึกที่เรียบง่ายและทันสมัย เหมาะสำหรับห้องน้ำสไตล์โมเดิร์น
อ่างทรงคลาสสิก: เช่น อ่างขาตั้งแบบมีขารองรับสี่ขา (Clawfoot Bathtub) ที่ให้ความรู้สึกย้อนยุคแต่หรูหรา

2. วัสดุยอดนิยม
อะคริลิก (Acrylic): วัสดุที่นิยมที่สุด เนื่องจากมีน้ำหนักเบา, รักษาความร้อนได้ดี และมีราคาเข้าถึงง่าย
หินสังเคราะห์ (Solid Surface/Resin): มีน้ำหนักมาก, ให้ความรู้สึกมั่นคง และรักษาอุณหภูมิน้ำได้ดีเยี่ยม มักมีราคาสูงแต่ให้ดีไซน์ที่หรูหราไร้รอยต่อ
เหล็กหล่อ (Cast Iron): วัสดุที่ทนทานและรักษาความร้อนได้ดีเยี่ยม แต่มีน้ำหนักมากที่สุด ทำให้ต้องวางแผนโครงสร้างพื้นให้รองรับได้อย่างเหมาะสม

ข้อควรพิจารณาก่อนการติดตั้ง
แม้ว่าตัวอ่างจะติดตั้งง่าย แต่การวางแผนเรื่องระบบน้ำถือเป็นสิ่งสำคัญ
ระบบประปา: ต้องมีการเตรียมท่อน้ำดีและท่อน้ำทิ้งให้พร้อมที่พื้นบริเวณที่จะวางอ่าง ซึ่งอาจต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างห้องน้ำ
น้ำหนัก: ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบว่าพื้นห้องน้ำว่าสามารถรองรับน้ำหนักของ อ่างอาบน้ำ และน้ำเต็มอ่างได้อย่างปลอดภัยหรือไม่

การเลือกอ่างอาบน้ำลอยตัว เป็นการลงทุนเพื่อความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการวางแผนที่เหมาะสม ก็จะได้มุมพักผ่อนที่สวยงามและตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างแน่นอน

44
เมื่อมีอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหารอย่างต่อเนื่อง เช่น ปวดท้องเรื้อรัง หรืออาเจียน แพทย์มักจะแนะนำให้ทำการ ส่องกล้องทางเดินอาหาร เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด การส่องกล้องเป็นขั้นตอนที่สำคัญและแม่นยำที่สุดในการค้นหาสาเหตุ ของอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น บทความนี้จะสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ว่า อาการ แบบไหนที่ควรปรึกษาแพทย์ และ สาเหตุ ใดที่ทำให้ต้องพิจารณาการส่องกล้อง ส่องกล้องทางเดินอาหารราคาเท่าไหร่

อาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหารที่ไม่ควรมองข้าม
การ ส่องกล้องทางเดินอาหาร มักจะถูกแนะนำเมื่อผู้ป่วยมี อาการ ที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจปกติ เช่น:

ปวดท้องเรื้อรัง: มีอาการปวดท้องส่วนบนหรือไม่สบายท้องอย่างต่อเนื่อง
กลืนลำบาก: รู้สึกเจ็บหรือมีอาการติดขัดขณะกลืนอาหาร
อาเจียนบ่อย: มีอาการคลื่นไส้อาเจียนโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือด: สัญญาณเตือนที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที
น้ำหนักลดลงผิดปกติ: น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
อาการแสบร้อนกลางอก (กรดไหลย้อน) ที่ไม่ดีขึ้น: หากรักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องส่องกล้องเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง



สาเหตุและโรคที่จำเป็นต้องส่องกล้องทางเดินอาหาร
การส่องกล้องไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงแค่การวินิจฉัย แต่ยังสามารถรักษาได้ในคราวเดียวกัน สาเหตุ ที่ต้องทำการส่องกล้องเพื่อยืนยันโรค ได้แก่:

ภาวะกรดไหลย้อนรุนแรง: เพื่อตรวจดูว่ามีภาวะหลอดอาหารอักเสบ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในระยะเริ่มต้นหรือไม่
โรคกระเพาะอาหารอักเสบและแผลในกระเพาะ: เพื่อตรวจดูสภาพผนังกระเพาะและหาเชื้อ H. pylori ที่เป็นสาเหตุ
ติ่งเนื้อ (Polyp) หรือเนื้องอก: การส่องกล้องสามารถตรวจพบและตัดติ่งเนื้อออกได้ทันที เพื่อป้องกันการพัฒนาไปเป็นมะเร็ง
มะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่: เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวินิจฉัยและตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะเริ่มต้น ซึ่งทำให้มีโอกาสรักษาให้หายขาดสูง
การหาสาเหตุของการตกเลือดในทางเดินอาหาร: เพื่อหาตำแหน่งและหยุดการตกเลือดที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ

การส่องกล้องทางเดินอาหาร จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นความผิดปกติภายในได้อย่างชัดเจนเพื่อนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้อง
และรวดเร็วหากมีอาการที่กล่าวมาข้างต้น อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำ โปรแกรมตรวจสุขภาพ


45
ในโลกของประกันสุขภาพ คำว่า "OPD" อาจเป็นคำที่หลายคนเคยได้ยิน แต่ไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร OPD ย่อมาจาก Outpatient Department หรือแผนกผู้ป่วยนอก ซึ่งหมายถึงการไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอาการเจ็บป่วยโดยไม่จำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลประกัน opd

ประกันสุขภาพ ทั่วไปมักจะคุ้มครองเฉพาะผู้ป่วยใน (IPD) ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายในการหาหมอทั่วไปเป็นภาระที่หลายคนต้องแบกรับเอง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมประกัน OPD จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และแนะนำว่าใครที่เหมาะกับการทำประกันประเภทนี้



ประกัน OPD มีความคุ้มครองกี่แบบ
ความคุ้มครองของประกัน OPD หลักๆ แบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

1. แบบจำกัดวงเงินและจำนวนครั้ง (Limit Coverage)
เป็นรูปแบบที่นิยมและมีเบี้ยประกันที่ไม่สูงมากนัก โดยบริษัทประกันจะกำหนดวงเงินและจำนวนครั้งในการเข้ารักษาในแต่ละปี
ตัวอย่าง: คุ้มครอง 1,000 บาท/ครั้ง ไม่เกิน 30 ครั้ง/ปี
ข้อดี: เบี้ยประกันถูก เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้เจ็บป่วยบ่อย
ข้อเสีย: หากอาการเจ็บป่วยแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายสูง อาจต้องจ่ายส่วนต่างเอง

2. แบบเหมาจ่ายต่อปี (Annual Lump-Sum Coverage)
เป็นรูปแบบที่ให้ความคุ้มครองที่ยืดหยุ่นกว่า โดยบริษัทประกันจะให้วงเงินรวมต่อปี
ตัวอย่าง: คุ้มครอง 20,000 บาท/ปี
ข้อดี: ไม่จำกัดจำนวนครั้งในการเข้ารักษา ทำให้สามารถไปหาหมอได้บ่อยเท่าที่ต้องการ (ภายในวงเงินที่กำหนด) เหมาะสำหรับผู้ที่เจ็บป่วยบ่อย
ข้อเสีย: มีเบี้ยประกันที่สูงกว่าแบบจำกัดครั้ง

3. แบบมีความรับผิดชอบส่วนแรก (Deductible/Co-Payment)
เป็นรูปแบบที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนแรกเองตามที่ตกลงไว้ในกรมธรรม์ก่อนที่บริษัทประกันจะจ่ายส่วนที่เหลือ
ตัวอย่าง: ผู้เอาประกันจ่ายเอง 1,000 บาท/ครั้ง ส่วนที่เหลือบริษัทรับผิดชอบ
ข้อดี: เบี้ยประกันถูกลงอย่างเห็นได้ชัด
ข้อเสีย: ผู้เอาประกันต้องมีเงินสำรองเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนแรกเอง

ใครที่เหมาะกับการทำประกัน OPD บ้าง
การทำประกัน OPD ไม่ได้จำเป็นสำหรับทุกคนแต่เหมาะสำหรับกลุ่มคนดังต่อไปนี้
ผู้ที่ไม่มีสวัสดิการรักษาพยาบาลจากบริษัท: เช่น กลุ่มฟรีแลนซ์, เจ้าของกิจการ หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยตนเอง
ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยบ่อย: เช่น ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ตามฤดูกาล, ไมเกรน หรือโรคเรื้อรังที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลซึ่งการหาหมอบ่อยครั้งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายรวมสูงกว่าที่คาดไว้
ผู้ที่ต้องการความอุ่นใจ: สำหรับผู้ที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายในการไปหาหมอเล็กๆ น้อยๆ และไม่ต้องการควักเงินเก็บมาใช้ในส่วนนี้

การเลือกทำประกัน OPD ควรพิจารณาจากความจำเป็น, ลักษณะการใช้ชีวิต, และงบประมาณเพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่ตอบโจทย์และคุ้มค่าที่สุดซื้อประกันออนไลน์



46
ปัญหา นอนกรน ไม่ได้เป็นเพียงแค่เสียงรบกวน แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ทั้งทำให้นอนหลับไม่สนิทตื่นบ่อย และรู้สึกไม่สดชื่นเมื่อตื่นนอน หากกำลังประสบปัญหานี้ และเข้าใจถึงสาเหตุวิธีแก้ ที่ได้ผลจริง

ทำความเข้าใจสาเหตุของการนอนกรน
การ นอนกรน เกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจส่วนบนแคบลงขณะหลับ ทำให้ลมหายใจผ่านได้ยากขึ้นและเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อภายในลำคอ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหานี้ ได้แก่

น้ำหนักตัวเกิน: ไขมันที่สะสมรอบลำคอจะไปกดเบียดทางเดินหายใจ
โครงสร้างทางเดินหายใจ: ผู้ที่มีต่อมทอนซิลโต, เพดานอ่อนยาว หรือลิ้นไก่ยาว อาจมีทางเดินหายใจที่แคบกว่าปกติ
การดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยาบางชนิด: ทำให้กล้ามเนื้อลำคอคลายตัวมากเกินไป
การนอนหงาย: ตำแหน่งการนอนทำให้ลิ้นตกลงไปอุดทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น



ผลกระทบของการนอนกรนต่อสุขภาพ
การ นอนหลับไม่สนิท เพราะ ตื่นบ่อย จากการหายใจติดขัด ไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย แต่ยังอาจนำไปสู่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจได้

วิธีแก้ปัญหานอนกรนที่ทำได้จริง
การแก้ปัญหา นอนกรน มีหลายวิธี ตั้งแต่การปรับพฤติกรรมไปจนถึงการรักษาทางการแพทย์

1. ปรับพฤติกรรมและวิถีชีวิต
เปลี่ยนท่านอน: ลองนอนตะแคงแทนการนอนหงาย จะช่วยลดการอุดกั้นของลิ้นและเนื้อเยื่อในลำคอได้
ควบคุมน้ำหนัก: การลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นได้
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยา: ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และหลีกเลี่ยงยานอนหลับก่อนเข้านอน
ทำความสะอาดจมูก: หากมีการคัดจมูก ควรใช้สเปรย์น้ำเกลือล้างจมูกก่อนนอน เพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น

2. ใช้เครื่องมือทางการแพทย์
เครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure): เป็นเครื่องอัดอากาศแรงดันบวกผ่านหน้ากาก ช่วยให้ทางเดินหายใจเปิดอยู่ตลอดเวลาขณะหลับ
อุปกรณ์ในช่องปาก (Oral Appliance): เป็นอุปกรณ์คล้ายรีเทนเนอร์ที่ช่วยเลื่อนขากรรไกรล่างหรือลิ้นมาด้านหน้า เพื่อเปิดทางเดินหายใจ

หากลองปรับพฤติกรรมแล้วอาการ นอนกรน ยังไม่ดีขึ้น หรือรู้สึกว่าตนเอง นอนหลับไม่สนิท ตื่นบ่อย วิธีแก้ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูก หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผน วิธีแก้ ที่เหมาะสมที่สุด


47
ในโลกของ เสื้อผ้าแฟชั่น ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การตามติดเทรนด์ล่าสุดเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทายสำหรับปี 2025
วงการแฟชั่นได้นำเสนอสไตล์ที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ร้านเสื้อผ้า หรือเป็นคนที่รักการแต่งตัวเทรนด์แฟชั่น
ที่กำลังมาแรงที่สุด เพื่อให้พร้อมสำหรับซีซั่นใหม่ ปี 2025 เป็นปีที่แฟชั่นมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งเรื่องของสไตล์ การเลือกใช้วัสดุ
และแนวคิดด้านความยั่งยืน นี่คือเทรนด์แฟชั่นที่น่าจับตามอง

1.Sustainable & Eco-Friendly Fashion
เสื้อผ้าที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลและออร์แกนิกยังคงเป็นกระแสใหญ่ เช่น
เสื้อผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ (ลินิน, ฝ้ายออร์แกนิก, ไม้ไผ่)
แฟชั่น Second-Hand หรือการนำเสื้อผ้าเก่ามาอัปไซเคิล



2.Futuristic Metallic & Techwear
ลุคที่ดูทันสมัยและล้ำยุคกำลังมาแรง เช่น
เสื้อผ้าสีเงิน-เมทัลลิก ผ้าเลื่อม และวัสดุสะท้อนแสง
แฟชั่นแนว Cyberpunk และ Techwear เช่น แจ็คเก็ตสไตล์ยุคอนาคต

3.Soft Femininity & Balletcore
แฟชั่นที่เน้นความอ่อนหวานและโรแมนติก เช่น
เดรสชีฟองพลิ้ว ๆ โทนสีพาสเทล
เสื้อผ้าแนว Balletcore เช่น กระโปรง Tutu และผ้าซาติน

4.Bold Colors & Dopamine Dressing
ปีนี้เสื้อผ้าสีสดใสที่ช่วยเพิ่มพลังบวกจะได้รับความนิยม เช่น
โทนสีส้ม แดง ชมพูบานเย็น และสีเขียวนีออน
การมิกซ์แอนด์แมทช์สีที่ตัดกันแบบสุดโต่ง

5.Grunge Revival & Dark Aesthetic
สไตล์ยุค 90s กำลังกลับมา โดยเฉพาะลุคดิบ ๆ เท่ ๆ เช่น
เสื้อเชิ้ตลายสก็อต + เสื้อยืดวงดนตรี
กางเกงคาร์โก้ + Combat Boots

6.Oversized Everything
เสื้อผ้าทรงหลวมยังคงเป็นที่นิยม เช่น
*เบลเซอร์โอเวอร์ไซส์ กางเกงทรงหลวม
*เสื้อฮู้ดดี้ขนาดใหญ่ ใส่สบายและดูคูล

ปี 2025 เป็นปีที่ร้านเสื้อผ้าในประเทศไทยต้องปรับตัวตามเทรนด์แฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งในด้านความยั่งยืน การผสมผสานวัฒนธรรม และความทันสมัย ร้านเสื้อผ้าควรเน้นความสร้างสรรค์และความเป็นเอกลักษณ์
เพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลนี้ อย่าลืมปรับตัวให้ทันเทรนด์และนำเสนอคอลเลคชั่นที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย
เพื่อความสำเร็จในตลาดแฟชั่นปี 2025 นี้


48
ปัญหาข้อเข่าเสื่อม รักษา เป็นภาวะที่หลายคนกำลังเผชิญ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น หรือจากการใช้งานเข่าอย่างหนักในชีวิตประจำวัน ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การขึ้นลงบันได หรือแม้แต่การทำกิจกรรมง่ายๆ

การปล่อยให้ ปัญหาข้อเข่าเสื่อม ลุกลามโดยไม่ได้รับการ รักษา ที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น บทความนี้จะสรุปอาการ สาเหตุ และแนวทางการรักษา พร้อมแนะนำว่าทำไมการปรึกษา หมอกระดูกและข้อ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

อาการและสาเหตุของ "ข้อเข่าเสื่อม"อาการที่สังเกตได้
-มีอาการปวดเข่า โดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนไหว เช่น เดิน, วิ่ง, หรือขึ้นลงบันได
-มีเสียงดังในข้อเข่า เช่น เสียงกรอบแกรบ หรือเสียงเสียดสี
-ข้อเข่าบวม, ร้อน, หรือมีอาการฝืดตึง โดยเฉพาะในช่วงเช้า
-ไม่สามารถเหยียดหรืองอเข่าได้สุดเหมือนปกติ



สาเหตุหลัก
ข้อเข่าเสื่อม เกิดจากการที่กระดูกอ่อนที่ทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกบริเวณข้อต่อเกิดการสึกหรอ ทำให้กระดูกเสียดสีกันโดยตรงจนเกิดอาการปวดและอักเสบ
สาเหตุหลักมักมาจากอายุที่มากขึ้น, น้ำหนักตัวที่มากเกินไป, การใช้งานหนัก หรือการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาในอดีต

แนวทางการรักษาปัญหาข้อเข่าเสื่อม: ไม่ต้องผ่าตัดเสมอไป
การ รักษา ข้อเข่าเสื่อมมีหลายวิธี ซึ่ง หมอกระดูกและข้อ จะเป็นผู้พิจารณาจากระดับความรุนแรงของอาการ

1. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
การลดน้ำหนัก: ช่วยลดแรงกดบนข้อเข่าได้โดยตรง
กายภาพบำบัด: เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า
การใช้ยา: ยาแก้ปวด, ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
การฉีดยา: การฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่าเทียม (Hyaluronic Acid) หรือการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) เพื่อลดการอักเสบและช่วยฟื้นฟูข้อต่อ

2. การรักษาด้วยการผ่าตัด
เป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่นๆ เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

หมอกระดูกและข้อ หรือที่เรียกว่า แพทย์ออร์โธปิดิกส์ คือผู้เชี่ยวชาญโดยตรงด้านกระดูก, ข้อต่อ, และกล้ามเนื้อของร่างกาย การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

วินิจฉัยแม่นยำ: แพทย์สามารถวินิจฉัยสาเหตุของอาการปวดได้อย่างถูกต้องด้วยการตรวจร่างกายและภาพถ่ายทางรังสี (X-ray)
วางแผนการรักษาที่เหมาะสม: แพทย์จะช่วยออกแบบแผนการ รักษา ที่เหมาะสมกับอาการและไลฟ์สไตล์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นจากวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด ไปจนถึงการตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด
ลดความเสี่ยง: การดูแลตัวเองโดยไม่มีความรู้ที่ถูกต้องอาจทำให้อาการแย่ลงได้ การปรึกษาแพทย์จึงเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น


49
กองทุนประกันชีวิต คือหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย เพื่อทำหน้าที่คุ้มครองผู้เอาประกันภัยในกรณีที่บริษัทประกันชีวิตที่ทำอยู่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตหรือต้องปิดกิจการลง กองทุนนี้ทำหน้าที่คล้ายกับกองทุนคุ้มครองเงินฝากของธนาคาร เพื่อให้ประชาชนที่ทำประกันชีวิตมั่นใจได้ว่าความคุ้มครองและเงินที่จ่ายไปจะไม่สูญหาย



บทบาทสำคัญของกองทุนประกันชีวิต
กองทุนประกันชีวิตมีหน้าที่หลักในการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย โดยมีขอบเขตการทำงานดังนี้

จ่ายเงินตามกรมธรรม์: กองทุนจะจ่ายเงินผลประโยชน์ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุไว้ซื้อประกันออนไลน์

จ่ายเบี้ยประกันคืน: สำหรับกรณีที่ยังไม่ถึงกำหนดจ่ายผลประโยชน์ กองทุนจะจ่ายเบี้ยประกันคืนให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

โอนย้ายกรมธรรม์: กองทุนอาจพิจารณาโอนย้ายกรมธรรม์ที่เหลืออยู่ไปยังบริษัทประกันชีวิตที่ยังดำเนินกิจการอยู่ เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยยังคงได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง

บริหารเงินกองทุน: กองทุนจะบริหารจัดการเงินที่ได้จากการเก็บเงินสมทบจากบริษัทประกันชีวิต เพื่อใช้ในการดูแลผู้เอาประกันภัยในกรณีที่จำเป็น

ใครคือผู้ดูแลกองทุนนี้
ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลและบริหารงานของกองทุนประกันชีวิต ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าการดำเนินงานเป็นไปตามกฎหมายและเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เอาประกันภัย

ทำไมถึงต้องมีกองทุนประกันชีวิต
การมีกองทุนประกันชีวิตช่วยสร้างความมั่นใจและเสถียรภาพให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยโดยรวม เพราะช่วยลดความเสี่ยงของผู้เอาประกันภัย ทำให้ประชาชนกล้าที่จะวางแผนการเงินและชีวิตผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตมากขึ้น วางแผนเกษียณ

กองทุนประกันชีวิตเป็นเหมือนตาข่ายนิรภัยที่คอยรองรับและคุ้มครองผลประโยชน์ของคุณ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับบริษัทประกันชีวิตที่คุณเลือก ทำให้คุณสามารถทำประกันชีวิตได้อย่างสบายใจและอุ่นใจได้มากขึ้น

50
ในยุคดิจิทัลที่เราต้องใช้สายตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาจึงกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จอประสาทตาเสื่อม และ ตาแห้ง ซึ่งเป็นสองภาวะที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการมองเห็น บทความนี้จะชวนคุณมาทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีดูแลดวงตาให้ห่างไกลจากปัญหาเหล่านี้

จอประสาทตาเสื่อม โรคที่มองข้ามไม่ได้
จอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) คือภาวะที่เซลล์บริเวณจอประสาทตา ซึ่งมีหน้าที่ในการรับภาพและส่งสัญญาณไปยังสมอง เกิดการเสื่อมสภาพลง ทำให้การมองเห็นภาพตรงกลางบิดเบี้ยวหรือพร่ามัว แม้ว่าจอประสาทตาเสื่อมจะมักเกิดกับผู้สูงอายุ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับคนวัยหนุ่มสาวที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

อาการของจอประสาทตาเสื่อม
- มองเห็นภาพบิดเบี้ยว โดยเฉพาะเส้นตรง
- มีจุดดำหรือเงาบังภาพตรงกลาง
- มองเห็นภาพไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
- ต้องใช้แสงสว่างมากกว่าปกติในการอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรม



วิธีป้องกัน
หลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า: สวมแว่นกันแดดที่มีเลนส์ป้องกันรังสี UVA และ UVB
ทานอาหารบำรุงสายตา: เน้นอาหารที่มีวิตามิน A, C, E, สังกะสี และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียวเข้ม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี และปลาทะเล
ตรวจสุขภาพตาประจำปี: หากมีประวัติครอบครัวหรือมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอ

ตาแห้ง ภัยเงียบจากพฤติกรรม
ตาแห้ง (Dry Eye Syndrome) เกิดจากภาวะที่ดวงตาผลิตน้ำตาได้ไม่เพียงพอ หรือน้ำตาไม่มีคุณภาพ ส่งผลให้ดวงตาขาดความชุ่มชื้นและระคายเคือง ภาวะนี้มักเกี่ยวข้องกับการจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน การอยู่ในห้องแอร์ และการใส่คอนแทคเลนส์

อาการของตาแห้ง
- แสบตา เคืองตา คันตา
- รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในดวงตา
- ตาแดง และมีน้ำตาไหลมากกว่าปกติ (เมื่อดวงตาพยายามสร้างน้ำตามาทดแทน)
- มองเห็นภาพไม่ชัดเจนในบางช่วงเวลา

วิธีป้องกันและบรรเทาอาการ
พักสายตาตามกฎ 20-20-20: ทุก 20 นาทีที่จ้องหน้าจอ ให้พักสายตา 20 วินาที โดยมองไปที่วัตถุที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร)
กระพริบตาบ่อยๆ: การกระพริบตาช่วยให้น้ำตากระจายทั่วดวงตา
ใช้ผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียม: เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดอาการระคายเคือง
ลดการใช้คอนแทคเลนส์: หากใส่เป็นประจำ ควรพักการใช้งานบ้าง

จอประสาทตาเสื่อม และ ตาแห้ง เป็นปัญหาที่ป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการดูแลสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ หากคุณมีอาการน่าสงสัย ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง เพราะการดูแลดวงตาตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้คุณมีสายตาที่ดีไปอีกนาน



หน้า: [1] 2 3 4 5