2151
แม่และเด็ก | Child / วิตามินเสริมจำเป็นสำหรับเด็กหรือไม่
« เมื่อ: มิถุนายน 30, 2019, 09:20:13 AM »
โฆษณาตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับอาหารเสริม สำหรับเด็ก อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนเกิดความลังเลสงสัยว่า จริงๆ แล้วอาหารเหล่านี้จำเป็นสำหรับลูกน้อยหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญบางรายให้ความเห็นว่าอาหารเสริมสำหรับเด็กอาจช่วยให้เด็กได้รับวิตามินต่าง ๆ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่าไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น
ข้อมูลจากสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (American Academy of Pediatrics) แนะนำว่าควรให้เด็กรับประทานอาหารเสริม ซึ่งได้แก่ วิตามิน เกลือแร่ ชนิดต่างๆ ก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากแพทย์เท่านั้น เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่จะได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายจากการรับประทานอาหารทั่วไปอยู่แล้ว ส่วนการให้เด็กรับประทานอาหารเสริมนั้น อาจไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหากสารอาหารที่ได้รับเข้าไปไม่เกินกว่าปริมาณที่แนะนำให้บริโภคในแต่ละวัน ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ และต้องดูแลให้เด็กรับประทานอาหารเสริมตามคำแนะนำของแพทย์
สำหรับกรณีที่กุมารแพทย์อาจแนะนำให้รับประทานวิตามินรวมหรือแร่ธาตุเสริม ได้แก่
1. เด็กที่เลือกรับประทานอาหารเพียงบางอย่าง
2. เด็กที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหืด หรือโรคระบบทางเดินอาหาร
3. เด็กที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ อาหารที่ไม่มีส่วนผสมของนม เด็กที่มีอาการแพ้นมวัวหรือแพ้อาหารบางชนิด
4. เด็กที่ชอบรับประทานอาหารขยะ อาหารแปรรูป ขนมขบเคี้ยว หรือดื่มน้ำอัดลมในปริมาณมาก
5. เด็กที่กำลังใช้ยารักษาโรค เนื่องจากยาบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อความอยากอาหารได้
ข้อควรระวังในการใช้อาหารเสริมสำหรับเด็ก ก็คือต้องแน่ใจว่าอาหารเสริมที่รับประทานนั้นไม่เป็นอันตราย และเก็บให้พ้นจากมือเด็กป้องกันการหยิบมารับประทานเอง เนื่องจากอาหารเหล่านี้มักอยู่ในรูปของเยลลี่ที่เด็กๆ ชื่นชอบ อาจทำให้เกิดการรับประทานอาหารเสริมมากเกินความต้องการของร่างกาย
สำหรับวิตามินที่ควรให้ความสนใจและดูแลเรื่องปริมาณในการให้มากเป็นพิเศษ ได้แก่
1. วิตามินเอ หากรับประทานมากเกินไป จะทำให้ร่างกายเกิดการสะสมและอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน ความดันในกะโหลกศีรษะสูง (Pseudotumor Cerebri) และชักได้
2. เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เมื่อรับประทานเข้าไปมันจะถูกเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอ เท่าที่ร่างกายต้องการ ที่เหลือจะยังคงเป็นเบต้าแคโรทีนลอยอยู่ในกระแสโลหิต ดังนั้น ถ้ารับประทานเบต้าแคโรทีนมากจนเกินไป จะทำให้ผิวหนังมีสีเหลืองแต่ตาจะไม่เหลือง ซึ่งยังไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เมื่อลดปริมาณที่รับประทานลงอาการผิวหนังสีเหลืองจะหายไป เบต้าแคโรทีนมักจะอยู่ในอาหารที่มาจากพืช ส่วนวิตามินเอมักจะอยู่ในอาหารที่มาจากสัตว์
อย่างไรก็ตาม ควรจัดเตรียมอาหารที่มีความหลากหลายและมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วนแทนการใช้อาหารเสริมอยู่เป็นประจำ
แต่สำหรับเด็กในวัยแรกเกิดถึง 6 เดือน การรับประทานวิตามินเสริม ยังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากนมแม่มีวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอต่อความต้องการของทารกอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือการเลือกอาหารแม่ลูกอ่อนในช่วงให้นม ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วน อาหารบำรุงน้ำนม หลีกเลี่ยงอาหารที่รสจัด คาเฟอีน แอลกอฮอล์ และอาหารที่ทำจากนมวัวเนื่องจากทารกบางรายจะมีอาการแพ้นมวัว เกิดการหายใจติดขัด หรือทารกท้องเสียได้
ข้อมูลจากสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (American Academy of Pediatrics) แนะนำว่าควรให้เด็กรับประทานอาหารเสริม ซึ่งได้แก่ วิตามิน เกลือแร่ ชนิดต่างๆ ก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากแพทย์เท่านั้น เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่จะได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายจากการรับประทานอาหารทั่วไปอยู่แล้ว ส่วนการให้เด็กรับประทานอาหารเสริมนั้น อาจไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหากสารอาหารที่ได้รับเข้าไปไม่เกินกว่าปริมาณที่แนะนำให้บริโภคในแต่ละวัน ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ และต้องดูแลให้เด็กรับประทานอาหารเสริมตามคำแนะนำของแพทย์
สำหรับกรณีที่กุมารแพทย์อาจแนะนำให้รับประทานวิตามินรวมหรือแร่ธาตุเสริม ได้แก่
1. เด็กที่เลือกรับประทานอาหารเพียงบางอย่าง
2. เด็กที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหืด หรือโรคระบบทางเดินอาหาร
3. เด็กที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ อาหารที่ไม่มีส่วนผสมของนม เด็กที่มีอาการแพ้นมวัวหรือแพ้อาหารบางชนิด
4. เด็กที่ชอบรับประทานอาหารขยะ อาหารแปรรูป ขนมขบเคี้ยว หรือดื่มน้ำอัดลมในปริมาณมาก
5. เด็กที่กำลังใช้ยารักษาโรค เนื่องจากยาบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อความอยากอาหารได้
ข้อควรระวังในการใช้อาหารเสริมสำหรับเด็ก ก็คือต้องแน่ใจว่าอาหารเสริมที่รับประทานนั้นไม่เป็นอันตราย และเก็บให้พ้นจากมือเด็กป้องกันการหยิบมารับประทานเอง เนื่องจากอาหารเหล่านี้มักอยู่ในรูปของเยลลี่ที่เด็กๆ ชื่นชอบ อาจทำให้เกิดการรับประทานอาหารเสริมมากเกินความต้องการของร่างกาย
สำหรับวิตามินที่ควรให้ความสนใจและดูแลเรื่องปริมาณในการให้มากเป็นพิเศษ ได้แก่
1. วิตามินเอ หากรับประทานมากเกินไป จะทำให้ร่างกายเกิดการสะสมและอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน ความดันในกะโหลกศีรษะสูง (Pseudotumor Cerebri) และชักได้
2. เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เมื่อรับประทานเข้าไปมันจะถูกเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอ เท่าที่ร่างกายต้องการ ที่เหลือจะยังคงเป็นเบต้าแคโรทีนลอยอยู่ในกระแสโลหิต ดังนั้น ถ้ารับประทานเบต้าแคโรทีนมากจนเกินไป จะทำให้ผิวหนังมีสีเหลืองแต่ตาจะไม่เหลือง ซึ่งยังไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เมื่อลดปริมาณที่รับประทานลงอาการผิวหนังสีเหลืองจะหายไป เบต้าแคโรทีนมักจะอยู่ในอาหารที่มาจากพืช ส่วนวิตามินเอมักจะอยู่ในอาหารที่มาจากสัตว์
อย่างไรก็ตาม ควรจัดเตรียมอาหารที่มีความหลากหลายและมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วนแทนการใช้อาหารเสริมอยู่เป็นประจำ
แต่สำหรับเด็กในวัยแรกเกิดถึง 6 เดือน การรับประทานวิตามินเสริม ยังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากนมแม่มีวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอต่อความต้องการของทารกอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือการเลือกอาหารแม่ลูกอ่อนในช่วงให้นม ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วน อาหารบำรุงน้ำนม หลีกเลี่ยงอาหารที่รสจัด คาเฟอีน แอลกอฮอล์ และอาหารที่ทำจากนมวัวเนื่องจากทารกบางรายจะมีอาการแพ้นมวัว เกิดการหายใจติดขัด หรือทารกท้องเสียได้