ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - เอยู ฟาร์ม

หน้า: 1 2 [3]
101
“ภูมิแพ้” เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายของคนเรา พบได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอาการภูมิแพ้ในเด็ก จากสถิติระบุว่าพบมากกว่าผู้ใหญ่ โรคชนิดนี้หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน อาการส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรุนแรงถึงชีวิต แต่จะส่งผลรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือการใช้ชีวิตส่วนตัว และโรคภูมิแพ้ยังมีหลายลักษณะอาการ เราจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นภูมิแพ้ และเป็นภูมิแพ้ชนิดใด บทความนี้มีคำตอบค่ะ

5 ลักษณะอาการของโรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้มีสาเหตุสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ ภูมิแพ้ที่เกิดจากกรรมพันธุ์ และสารก่อภูมิแพ้ที่มีปัจจัยมาจากสิ่งแวดล้อม และเมื่อเข้าสู่ร่างกายของคนเราแล้ว ยังก่อให้เกิดภูมิแพ้ในหลาย ๆ ลักษณะ เช่น

ลักษณะอาการของโรคภูมิแพ้ เกิดที่บริเวณจมูก เรียกว่า โรคแพ้อากาศ
ลักษณะอาการของโรคภูมิแพ้ เกิดที่ตา เรียกว่า โรคเยื่อบุตาอักเสบภูมิแพ้
ลักษณะอาการของโรคภูมิแพ้ เกิดที่หลอดลม เรียกว่า โรคหืด
ลักษณะอาการของโรคภูมิแพ้ เกิดที่ผิวหนัง เรียกว่า ลมพิษ หรือ ผิวหนังอักเสบภูมิแพ้
ลักษณะอาการของโรคภูมิแพ้ เกิดที่ทางเดินอาหาร เรียกว่า โรคแพ้อาหาร
สารก่อภูมิแพ้และปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการของโรค
สารก่อภูมิแพ้ที่จะเข้าสู่ร่างกายของคนเราโดยการหายใจ จากการสัมผัส หรือการรับประทาน เช่น การทานอาหารทะเล หรือการที่ร่างกายได้รับสารอาหารอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ซึ่งอาจเป็นผลมาจากกรรมพันธุ์ ตัวอย่างเช่น พ่อหรือแม่ทานเมล็ดงาแล้วมีอาการแพ้ ลูกอาจมีอาการแพ้ได้ และสารก่อภูมิแพ้ส่วนใหญ่มีปัจจัยมาจากสิ่งแวดล้อม เช่น

ไรฝุ่นในบ้าน คือไรตัวเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่มักอยู่ตามที่นอน พรม ผ้าม่าน หรือโซฟาที่เป็นผ้า
แมลงสาบ เปลือกหุ้มรอบตัว ลำตัว ขา น้ำลาย และอุจจาระของแมลงสาบ ล้วนเป็นสารก่อภูมิแพ้ทั้งสิ้น
เกสรหญ้าหรือเกสรดอกไม้ เพราะละอองเกสรมีขนาดเล็กมาก ทำให้ปลิวไปตามลมได้ และพบว่ามีอยู่ทั่วไปในอากาศ
เชื้อรา ซึ่งมีชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่เรียกว่า สปอร์และแพร่กระจายในอากาศ เมื่อเข้าไปอยู่ในเยื่อบุทางเดินหายใจของผู้ที่มีอาการแพ้ อาจทำให้เกิดโรคแพ้อากาศ หรือโรคหืดได้
สัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว เป็นสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้จากการสัมผัส การสูดหายใจเอาขน หรือรังแคของสัตว์เข้าไป

People photo created by freepik – www.freepik.com

สัญญาณบ่งบอกอาการของโรคภูมิแพ้
เริ่มมีผื่นที่บริเวณผิวหนัง เช่นผื่นแพ้ ลมพิษ และมีอาการคันตามผิวหนัง
มีอาการคัดจมูก จาม และมีน้ำมูกไหล
เริ่มจากไอ มีอาการแน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด มีอาการของโรคหอบ หืด
มีอาการเคืองตา และตาแดง คัดจมูก
อาการบวมรอบบริเวณปาก อาเจียน และถ่ายเหลว
มีอาการแสบคอ มีน้ำมูกไหลลงคอ หรืออาการหูอื้อ
อาการหรือโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
ภูมิแพ้ แม้จะเป็นโรคที่อาการส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรุนแรงถึงชีวิต เพียงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเท่านั้น ยกเว้นการมีภาวะแทรกซ้อนจากการดูแลตนเองไม่ถูกต้อง หรือไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้มีภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก นอนกรน ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผิวหนังติดเชื้อ คออักเสบ ไอเรื้อรัง อาการปวดหู หรือหูอื้อ

การวินิจฉัยและทดสอบภูมิแพ้ของแพทย์
โรคภูมิแพ้ เกิดขึ้นได้หลายลักษณะและเมื่อมีอาการของโรคเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จำเป็นต้องรู้หรือวินิจฉัยก่อนว่าเป็นภูมิแพ้ หรือได้รับสารก่อภูมิแพ้ชนิดใด เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้และทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง สำหรับการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง แพทย์จะทำการทดสอบด้วยน้ำยาทดสอบภูมิแพ้โดยเฉพาะ เพื่อทำให้ทราบว่าผู้ป่วยมีอาการแพ้สารใดบ้าง เช่น แมลงสาบ ขนแมว ไรฝุ่น เชื้อรา ขนสุนัข เกสร หญ้า ฝุ่นบ้าน และแพ้อาหารต่าง ๆ ซึ่งการทดสอบแพทย์สามารถแจ้งผลการตรวจให้คนไข้ทราบได้ทันที

การรักษาโรคภูมิแพ้
รักษาด้วยวิธีหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ และสารระคายเคือง เมื่อรู้ว่ามีอาการภูมิแพ้จากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ทานอาหารทะเลแล้วมีอาการแพ้ ควรหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้นั้น ๆ
รักษาด้วยการใช้ยา การรักษาด้วยวิธีนี้แพทย์จะวินิจฉัยและจ่ายยาให้ผู้ป่วยอย่างเหมาะสม เพื่อบรรเทาและควบคุมอาการที่จะเกิดขึ้น เช่น ใช้ยาลดอาการคัดจมูก หรืออาจจะต้องใช้ยาพ่นจมูก กรณีมีอาการเรื้อรัง
รักษาด้วยการฉีดวัคซีนรักษาโรคภูแพ้ แพทย์จะทำการรักษาด้วยการฉีดสารก่อภูมิแพ้ เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันชนิด IgG ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านสิ่งแปลกปลอม การฉีดจะเลือกฉีดเฉพาะสารก่อภูมิแพ้ที่ทดสอบทางผิวหนังแล้วพบว่าแพ้ จากนั้นแพทย์จะเพิ่มขนาดยาตามตารางเวลา ซึ่งผลข้างเคียงจากการฉีดจะมีรอยผื่นแดง ผื่นคัน นานประมาณ 4-8 ชั่วโมง หรือมีผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้แก่ การคัดจมูก น้ำมูกไหล อาการเหล่านี้มักจะเกิดภายใน 30 นาทีหลังฉีด
วิธีดูแลตนเองเมื่อป่วยเป็นภูมิแพ้
หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสาร หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้
ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทานอาหารที่หลากหลายเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนและสมดุล
ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นประจำเมื่อมีน้ำมูกเรื้อรัง
ดูแลสุขภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง พบแพทย์เมื่อมีอาการแทรกซ้อนระหว่างการรักษา เช่น มีไข้ น้ำมูก ไอมีเสมหะ หรือหอบ
ภูมิแพ้ เป็นโรคที่พบมากและเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แม้ไม่ใช่โรคที่มีอาการรุนแรงหรือเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่หากไม่ป้องกันตนเองขาดการบำรุงดูแลสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์ ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงหรือขาดความสมดุล นอกจากทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้ง่ายแล้ว เมื่อเป็นโรคภูมิแพ้ยังก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนส่งผลให้กลายเป็นภูมิเรื้อรังที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ยากต่อการรักษาได้

ขอบคุณบทความจาก https://aufarm.shop/5-types-of-allergies/
ขอบคุณเนื้อหา และสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่: https://aufarm.shop/

102
การมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงปราศจากโรคภัย เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา เช่นเดียวกับประโยคที่ว่า “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” แต่การมีสุขภาพที่ดีได้เราต้องรู้ทันโรค เพื่อหาวิธีป้องกันและดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคเหล่านั้น ริดสีดวง หรือโรคริดสีดวงทวาร เป็นปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบขับถ่ายที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน การรู้ทันโรคทำให้สามารถดูแลและป้องกันตนเองได้ดีที่สุด

โรคริดสีดวง คืออะไร
ริดสีดวง เป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดจากภาวะหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนัก หรือส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่ที่อยู่ติดกับทวารหนักเกิดอาการโป่งพอง มีลักษณะเป็นขอดหรือเป็นติ่งยื่นนูนออกมาจากทวารหนัก ที่เรียกว่า หัวริดสีดวง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ ริดสีดวงที่มองเห็นได้จากภายนอก และริดสีดวงภายในเกิดจากหลอดเลือดที่อยู่ลึกเข้าไป ริดสีดวงลักษณะนี้จะตรวจพบได้เมื่อใช้กล้องส่องตรวจโดยตรงเท่านั้น

สาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร
ริดสีดวงทวาร เป็นโรคที่ไม่สามารถสรุปสาเหตุได้แน่ชัด ส่วนปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมาจากอาการหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพองเป็นติ่งเนื้อและมีภาวะความดันในหลอดเลือดดำสูง ซึ่งเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้

เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ส่งผลให้มีภาวะท้องผูกเรื้อรังทำให้ต้องเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำ และส่งผลให้หลอดเลือดโป่งพองหรือหลอดเลือดขอดได้ง่าย
เกิดจากพฤติกรรมการขับถ่าย เช่น การเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน เนื่องจากเล่นโทรศัพท์มือถือหรืออ่านหนังสือขณะขับถ่าย
เกิดจากมีอาการท้องถูกและชอบใช้ยาสวนอุจจาระหรือทานยาระบายเป็นประจำ
เกิดจากภาวะตั้งครรภ์ เพราะเมื่อน้ำหนักครรภ์มากขึ้นจะกดทับลงบนกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดเกิดการบวมพอง
ริดสีดวงที่มีสาเหตุจากความอ้วน หรือการที่มีน้ำหนักตัวมาก ๆ เพราะอาจเกิดภาวะกดทับลงบนกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดได้เช่นเดียวกับภาวะตั้งครรภ์
ผู้ป่วยที่มีอาการไอเรื้อรัง การไอแรง ๆ เพราะมีผลต่อการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง
ผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆที่เกี่ยวพันทางทวารหนัก
การยกของหนักบ่อย ๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
ริดสีดวง อาจพบร่วมกับโรคในช่องท้องอื่น ๆ ได้ เช่น เนื้องอกมดลูก เนื้องอกหรือถุงน้ำรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่
มีสาเหตุมาจากพันธุกรรม โดยอาจพบว่าคนที่เป็นริดสีดวง มักมีคนในครอบครัวเป็นริดสีดวงทวารมาก่อน
ริดสีดวง

อาการของโรคริดสีดวงทวาร ที่ควรรู้
โรคริดสีดวงทวาร มีอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่ ริดสีดวงภายในและริดสีดวงภายนอก อาการของโรคจะแตกต่างกัน ดังนี้

อาการริดสีดวงภายใน
ริดสีดวงภายใน อาการที่ชัดเจนคือจะมีเลือดออกทางทวารหนักโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด เลือดที่ออกจะมีลักษณะสีแดงสดไหลหยดลงในโถส้วม หรืออาจสังเกตได้จากเลือดที่เปื้อนติดกระดาษชำระ และบางครั้งอาจปนมากับอุจจาระ อาการจะเป็น ๆ หาย ๆ ถ้ามีเลือดออกมากหรือเป็นเรื้อรัง อาจทำให้เกิดอาการซีดตามมาได้ หากอาการเริ่มรุนแรงหรือเป็นมาก อาจมีหัวริดสีดวงโผล่ออกมาบริเวณปากทวารหนัก หรือเห็นเป็นก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ปลิ้นโผล่ออกมาและทำให้เกิดอาการปวดหรือเจ็บที่ทวารหนัก ในรายที่เป็นมากริดสีดวงอาจกลายเป็นก้อนแข็งเกิดภาวะเซลล์ตาย และอาจมีอาการคันและกลั้นอุจจาระไม่อยู่ได้
อาการริดสีดวงภายนอก
อาการของริดสีดวงภายนอก จะเห็นได้อย่างชัดเจน คือมีติ่งเนื้อออกมาจากปากทวารหนัก เมื่อมีอาการท้องผูกหรือท้องเสีย จะทำให้มีอาการบวม ปวด และรู้สึกระคายเคือง ปกติอาการจะหายเจ็บได้ภายใน 2-3 วัน หรือหายแล้วจะยังมีผิวหนังเป็นติ่งเหลืออยู่ และหากหัวริดสีดวงมีขนาดใหญ่ก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือคันบริเวณรอบปากทวารหนักได้ด้วย
การวินิจฉัยโรคของแพทย์
วินิจฉัยโรคจากการดูประวัติอาการ
การตรวจร่างกาย การตรวจก้อนเนื้อบริเวณทวารหนัก
การส่องกล้องตรวจทางทวารหนักและลำไส้โดยตรง
ในผู้ป่วยบางราย อาจมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยาด้วย
การรักษาโรคริดสีดวงทวาร
การรักษาแบบประคับประคอง ได้แก่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้อาการริดสีดวงมีความรุนแรงมากขึ้น เช่น ระวังป้องกันไม่ให้ท้องผูก หรือท้องเดินบ่อย ๆ ทานอาหารที่มีกากใย ฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา หลีกเลี่ยงการนั่งเบ่งถ่ายเป็นเวลานาน ๆ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
การรักษาทางศัลยกรรม การรักษาด้วยวิธีนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการรักษาด้วยวิธีประคับประคอง
แล้วไม่ได้ผล และขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษา เช่น การฉีดยาเข้าที่หัวริดสีดวงทวาร การรักษาโดยวิธีใช้ยางรัด เพื่อทำให้หัวริดสีดวงยุบหรือฝ่อ หรือการผ่าตัดริดสีดวงทวา
วิธีป้องกันตนเองให้ห่างไกล ริดสีดวงทวาร
ดื่มน้ำหรือจิบน้ำบ่อย ๆ อย่างน้อยวันละ 6- 8 แก้ว และควรดื่มน้ำแก้วใหญ่ทันทีหลังตื่นนอน
ตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายเป็นการป้องกันอาการริดสีดวง ได้ดี
ฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา ป้องกันปัญหาท้องผูกหรือนั่งขับถ่ายเป็นเวลานาน ๆ
หลีกเลี่ยงการใช้ยาระบายอย่างรุนแรง หรือการสวนถ่ายอุจจาระจนเป็นนิสัย
หลีกเลี่ยงความเครียด ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย
หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันโรคอ้วนที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคริดสีดวง

ขอบคุณบทความจาก https://aufarm.shop/hemorrhoids/

อ่านเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์  https://aufarm.shop/

103
แคลเซียม คือแร่ธาตุหรือสารอาหารที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกายของคนเราในทุกช่วงวัย และหากร่างกายได้รับแคลเซียมจากอาหารที่กินเข้าไปอย่างเพียงพอ ร่างกายก็จะเก็บแคลเซียมไว้ในกระดูก และมีการหมุนเวียนเอาแคลเซียมในกระดูกออกมาใช้ กรณีร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงหรือมีภาวะกระดูกพรุน การทานอาหารเสริมหรือทานแคลเซียมแอลทรีโอเนท คือวิธีการดูแลสุขภาพเพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ

ประโยชน์ของแคลเซียม
แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุดในร่างกาย เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของกระดูกและฟัน การเก็บแคลเซียมไว้ในกระดูกและฟันเปรียบเสมือนคลังที่ร่างกายสามารถดึงออกมาใช้ได้ตลอดเวลา หรือนำออกมาใช้เมื่อแคลเซียมในร่างกายลดน้อยลง ประโยชน์และความสำคัญของแคลเซียมช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง จากการทำงานร่วมกันของแคลเซียมและฟอสฟอรัส โดย 20% ของแคลเซียมในกระดูกของวัยผู้ใหญ่จะถูกย่อยสลายและสร้างใหม่ทุกปี ประโยชน์อื่น ๆ ได้แก่

ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกเสื่อมและกระดูกหัก
ลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่
ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
ช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุน
ช่วยป้องกันอาการกระดูกหักง่ายในวัยสูงอายุ
ช่วยเผาผลาญธาตุเหล็กในร่างกาย
ช่วยให้กระดูกและฟันมีสุขภาพแข็งแรง
ความสำคัญของแคลเซียม
เนื่องจากร่างกายของคนเราไม่สามารถสังเคราะห์แคลเซียมได้เอง และในแต่ละช่วงวัยร่างกายต้องการแคลเซียมในปริมาณที่แตกต่างกัน เช่น

ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปร่างกายต้องการแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม
ผู้สูงอายุทั้งหญิงและชายที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ต้องการแคลเซียมวันละ 1500 มิลลิกรัม
หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ร่างกายต้องการแคลเซียมวันละ 1200 – 1500 มิลลิกรัม
ดังนั้นการบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมสูง จึงเป็นการเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกาย และช่วยป้องกันการดึงแคลเซียมจากกระดูกออกมาใช้ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนหรือกระดูกเสื่อม แหล่งที่พบแคลเซียมตามธรรมชาติ ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด ชีส เต้าหู้ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วแห้ง วอลนัต เมล็ดทานตะวัน ผักเคล บรอกโคลี กะหล่ำใบเขียว ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอม กุ้งแห้ง กะปิ ปลาเล็กปลาน้อย ปลาสลิด หอยนางรม และอื่น ๆ

การป้องกันปัญหาขาดแคลเซียม
นอกจากแคลเซียมจากธรรมชาติ ที่ร่างกายได้รับจากการรับประทานอาหารเข้าไป ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย การรับประทานอาหารที่มีไขมัน อาหารที่มีกรดออกซาลิก และกรดไฟติก ในปริมาณมาก ยังขัดขวางการดูดซึมของแคลเซียมในร่างกาย หรือบางคนอาจมีอาการแพ้อาหาร เช่น แพ้นม ทำให้ท้องอืด ท้องเสีย การทานอาหารเสริมหรือทานแคลเซียมแอลทรีโอเนท จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยป้องกันปัญหาขาดแคลเซียมในร่างกายได้เป็นอย่างดี

วิธีเติมเติมแคลเซียมให้แก่ร่างกาย
1. เลือกดื่มและทานอาหารที่มีแคลเซียม เช่น

ดื่มนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นประจำ สำหรับผู้ใหญ่อาจเลือกดื่มนมพร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนยวันละ 1 แก้ว เลือกกินโยเกิร์ตรสธรรมชาติ หรือน้ำเต้าหู้ชนิดที่เสริมแคลเซียม ก็ได้เช่นกัน
เลือกอาหารที่มีส่วนประกอบของนม เช่น เต้าฮวยนมสด แซนด์วิชใส่ชีส หรือเครื่องดื่มจากธัญพืช
เปลี่ยนเมนูอาหารจากการใช้เนื้อสัตว์เป็นเต้าหู้ในบางเมนู นอกจากจะได้แคลเซียมแล้ว ยังเป็นการลดปริมาณไขมันและไขมันอิ่มตัวที่ขัดขวางการดูดซึมของแคลเซียมในร่างกาย
จัดเมนูอาหารให้มีผักใบเขียวเข้มในมื้ออาหารทุกวัน เช่น มีส่วนประกอบของ คะน้า กวางตุ้ง บร็อคโคลี ผักกาดเขียว วอเตอร์เครส กระเจี๊ยบ ผักโขม ใบยอ กระเพรา โหระพา
เติมแคลเซียมให้มื้อเช้า เช่น อาหารเช้าซีเรียลโฮลเกรนที่มีแคลเซียม ขนมปังเสริมแคลเซียม น้ำส้มเสริมแคลเซียม
2. ทานอาหารเสริมแคลเซียม

อาหารทุกชนิดมีปริมาณแคลเซียมแตกต่างกัน บางชนิดมีปริมาณมากและบริโภคได้ครั้งละมาก ๆ ส่วนอาหารบางชนิดมีแคลเซียมมากแต่บริโภคได้น้อย การเลือกทานอาหารเสริมแคลเซียม เช่น การทาน แคลเซียมแอลทรีโอเนท จึงเป็นทางเลือกที่จะช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอและสมดุล และการเลือกทานอาหารเสริมควรมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอาหารเสริม รวมทั้งรู้วิธีทานแคลเซียมแอลทรีโอเนท อย่างถูกวิธี ซึ่งอาหารเสริมแบ่งเป็น 3 ตระกูล พิจารณาได้จาก ‘นามสกุล’ ของอาหารเสริมแต่ละชนิด ได้แก่

Calcium ‘Carbonate’ คุณสมบัติในการดูดซึม ดูดซึมได้ 10% แต่การทานอาจมีผลข้างเคียง ได้แก่ ท้องอืด ท้องผูก
Calcium ‘Citrate’ คุณสมบัติในการดูดซึม ดูดซึมได้ 50% แต่ควรกินพร้อมอาหาร เพราะทำงานได้ต่อเมื่อมีกรดในกระเพาะเท่านั้น
Calcium ‘L theonate’ คุณสมบัติในการดูดซึม ดูดซึมได้ 90% สามารถกินตอนท้องว่างได้
แคลเซียมแอลทรีโอเนทคืออะไร ?
แคลเซียมแอลทรีโอเนท คืออาหารเสริมที่สกัดมาจากข้าวโพดทำให้ได้แคลเซียมชนิดที่ละลายน้ำได้ดีมาก สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้เกือบ 100% สามารถดูดซึมได้ดีกว่า แคลเซียมคาร์บอเนตถึง 6 เท่า

สรรพคุณของแคลเซียมแอลทรีโอเนท
เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และยับยั้งการสลายตัวของกระดูก
แคลเซียมแอลทรีโอเนท สามารถดูดซึมได้ด้วยตัวเองถึง 95 %
ทานแล้วไม่มีผลข้างเคียง เช่น ไม่ทำให้ท้องผูก
ขอบคุณบทความจาก https://aufarm.shop/calcium-benefits/
ขอบคุณเนื้อหา และสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่: https://aufarm.shop/

หน้า: 1 2 [3]