ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - อัพมิดิโอ

หน้า: [1]
1
               การจะเข้าไปติดหน้าแรก Google เมื่อลูกค้าค้นหา เป็นความต้องการของธุรกิจ เพราะ Google เป็น Search Engine อันดับหนึ่ง เวลาที่ใครต้องการสินค้าอะไร จะเลือกค้นหาข้อมูลจาก Google กันก่อน ทำให้การลงโฆษณาแบบ Search Ads ที่มี SEM และ SEO ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
 
สำหรับบทความนี้ เรามาทำความรู้จักกับ SEO กันค่ะ
                 SEO มาจากคำว่า Search Engine Optimization เป็นช่องทางการโฆษณาบน Google ประเภท Search Ads แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ต่างจาก SEM หรือ Search Engine Optimization หรือ Google Adwords ที่เสียค่าใช้จ่ายตามจำนวนการคลิกเข้าชมที่เกิดขึ้น นั่นจึงเป็นสาเหตุให้การทำ SEO ไม่สามารถติดหน้าแรกได้ตั้งแต่วันแรกที่ทำโฆษณา เพราะ SEO ใช้วิธีแบบออร์แกนิค จึงทำให้ใช้เวลาและหลาย ๆ ปัจจัย เพื่อจะทำให้ติดหน้าแรกของ Google ได้ แต่เมื่อติดหน้าแรกแล้ว ก็จะอยู่ในหน้าแรกได้เป็นเวลานาน และประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก
                 อันดับแรกในการทำ SEO คงหนีไม่พ้น การค้นหา Keyword หรือคำค้นหาที่สื่อถึงสินค้าหรือบริการของธุรกิจนั่นเอง เพื่อจะได้สามารถวางแผนการโฆษณา เรียกได้ว่า การค้นหา Keyword นั้นเป็นการเริ่มต้นการทำโฆษณาทั้ง Google Adwords และ SEO เลย
                 แต่เนื่องจาก SEO เป็นการทำโฆษณาแบบปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก แบบออร์แกนนิค ทำให้ต้องใช้เวลาในการติดหน้าแรก Google อยู่เหมือนกัน คนที่ศึกษาเรื่องการทำ SEO อยู่อาจจะเคยได้ยินคำว่า การให้คะแนนจาก Google ปัจจัยที่จะทำให้ติดหน้าแรก Google นั้น ธุรกิจต้องทำเว็บไซต์ให้ดี ให้ถูกใจ Google โดยมีปัจจัยเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่
1. การทำ SEO แบบ On-page
คือการทำโดยการปรับแต่งบนเว็บไซต์ของธุรกิจนั่นเองค่ะ ซึ่งต้องให้ความสำคัญ และวางแผนกัน ยกตัวอย่างเช่น
- โครงสร้างเว็บไซต์ ควรต้องใส่ Keyword ไว้ตรงไหน หลัก ๆ ก็จะมี Header หรือ Title หรือหัวข้อ, Description หรือเนื้อหาของเว็บไซต์, ใส่ในภาพ หรือ VDO โดยต้องมีในปริมาณที่เหมาะสม เพราะการใส่ Keyword เยอะเกินไป Google จะมองว่าเป็นสแปม นอกจากนี้แล้ว เว็บไซต์ต้องโหลดได้เร็ว รองรับการแสดงผลบนมือถือ และมีความปลอดภัย
                 - Content (คอนเทนต์) หรือเนื้อหา จะคล้าย ๆ กับการใส่ Keyword ในโครงสร้างของเว็บไซต์ คือ ต้องมี Keyword ใน Title, Description, ชื่อภาพ, VDO และมีในประมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้แล้ว Content ยังสามารถดึงดูดลูกค้าได้ หากเขียนได้น่าสนใจและน่าติดตาม
                 - ผู้ใช้ หรือลูกค้า Google จะให้คะแนนเพื่อการจัดอันดับที่ดี กับเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้หรือลูกค้าคลิกเข้าไปดูบ่อย ๆ, เข้าไปดูเยอะ ๆ (Website Traffic) และใช้เวลากับเว็บไซต์ของธุรกิจเป็นเวลานาน ไม่ใช่คลิกเข้าไปแล้ว ก็กดปิดเลย รวมถึง ถ้าธุรกิจทำเว็บไซต์ออกมาให้มีความน่าสนใจ หัวข้อน่าคลิกเข้าไปดู Google ก็ยิ่งเพิ่มคะแนน และทำให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดี
 
กลุ่มที่ 2 การทำ SEO แบบ Off-page… To be continue
ขอบคุณเนื้อหา และสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่:  https://www.upmedio.com/th/seo/

#Marketing #4P #DigitalMarketing #Digital #การตลาด #ดิจิตอล #SEO #Google #Ads #GoogleAds #GoogleMarketing #Adword #GoogleAdword

2
          ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตอนนี้เป็นยุคที่โลกออนไลน์เข้ามามีบทบาทต่อผู้ซื้อ ผู้บริโภคเป็นอย่างมาก นักการตลาด ตลอดจนถึงเจ้าของธุรกิจต่าง ๆ จึงต้องให้ความสำคัญกับโลกออนไลน์เช่นเดียวกัน เมื่อก่อนนี้ ถ้ามีการเปิดตัวธุรกิจสักอย่าง เช่น ร้านอาหาร ก็จะมีการติดป้าย ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หากเจ้าของร้านมีเงินทุนหนา หรือเตรียมงบโฆษณาไว้เยอะ ก็จะลงโฆษณาวิทยุ โทรทัศน์ แต่ตอนนี้ ใครเปิดร้านอาหาร ก็จะเปิดแฟนเพจแนะนำร้าน ชวนลูกค้ามา Check in รับส่วนลด นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน
          และถ้าพูดถึงช่องทางการทำการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูง ก็หนีไม่พ้น Google เว็บ Search Engine ยอดนิยม ที่เป็นช่องทางให้ธุรกิจ ได้เสนอสินค้าหรือบริการของตัวเอง สู่ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ในลักษณะของ Search Ads ซึ่งเป็นช่องทางที่นักการตลาดเข้ามาให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

สำหรับ Search Ads ทีได้รับความสนใจ จะมี 2 รูปแบบ
1. SEM หรือ Search Engine Marketing หรือ Google Ads เป็นการโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่ายกับ Google
2. SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการโฆษณาแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายกับ Google โดยใช้วิธีการปรับแต่งเว็บไซต์ โฆษณาแบบออร์แกนิค หรือวิธีแบบธรรมชาติให้เว็บติดหน้าแรก Google
          แม้ว่าโครงสร้างของการโฆษณาไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่เนื่องจากการทำ SEO เป็นวิธีที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้ต้องมีขั้นตอน และปัจจัยเพิ่มเติมที่ต้องทำเป็นประจำเพื่อให้ติดหน้าแรก Google มากกว่า การทำ SEM
          ในบางธุรกิจจึงมีตำแหน่ง SEO Specialist ที่จะมาคอยดูแลเรื่อง SEO โดยตรงเลย ซึ่งคนที่ทำงานในตำแหน่งนี้ จะต้องใช้เครื่องมือในการทำงานได้เป็นอย่างดี ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ คอย update content อย่างสม่ำเสมอ ต้องรู้ปัจจัยการทำ SEO เป็นอย่างดี เรียกว่ารู้ทุกช่องทาง ที่จะทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดหน้าแรก Google ได้
          แต่ในบางธุรกิจ ที่อาจจะมีกำลังคนไม่เพียงพอ จะใช้วิธีการจ้าง Freelance เพื่อมาทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของกิจการ นั่นก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัท ว่าจะดำเนินการไปในทางใด แต่ที่รู้แน่ ๆ คือ ตอนนี้ อาชีพการรับทำ SEO เป็นอีกหนึ่งอาชีพ ที่ช่วยสร้างรายได้ที่ดีเลยทีเดียว
          สำหรับคนที่อยากรับทำ SEO คุณจะต้องหา Keywords เป็น เพราะ Keyword เป็นหัวใจสำคัญของการโฆษณาในช่องทางนี้ ต้องรู้ประเภทของ Keyword ว่ามีกี่แบบ มีลักษณะยังไงบ้าง เมื่อไหร่ ต้องใช้ Keyword ในลักษณะไหน
          นอกจากนี้ ยังต้องมีความเก่งหลายด้าน เพราะการทำ SEO คือการปรับโครงสร้างเว็บไซต์เพื่อให้ได้รับคะแนนการจัดอันดับที่ดีจาก Google จนติดหน้าแรก Google ได้ ดังนั้น ผู้ทำ SEO ต้องรู้เรื่องการปรับโครงสร้างให้มีประสิทธิภาพ สามารถปรับแก้เว็บไซต์ ให้เป็นไปตามหลักของ SEO ได้ นอกจากนี้ต้องมีประสบการณ์เรื่อง User Experience หรือ UX นั่นคือ การออกแบบเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับผู้ใช้ และในด้านเนื้อหาของเว็บไซต์ ต้องสามารถสร้างสรรค์เนื้อหา โดยการเขียนบทความ หรือ Content ให้รองรับ SEO ใส่ Keyword ให้เหมาะสม เพราะนอกจากจะได้รับคะแนนดี ๆ จาก Google แล้ว ยังทำให้ User หรือลูกค้าชอบเว็บไซต์ของธุรกิจอีกด้วย
 
นอกจากคุณสมบัติที่กล่าวมานี้แล้ว ยังมีอะไรอีกนะ To be continue
 
ขอบคุณเนื้อหา และสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่:  https://www.upmedio.com/th/seo/

#Marketing #4P #DigitalMarketing #Digital #การตลาด #ดิจิตอล #SEO #Google #Ads #GoogleAds #GoogleMarketing #Adword #GoogleAdword

3
           ตอนนี้ ถ้าจะพูดถึง Search Engine (เสิร์ชเอนจิน) คงหนีไม่พ้น Google เหมือนคำพูดขำ ๆ ที่บอกว่า อยากหาอะไร ให้ไปถามอากู๋ จึงไม่แปลกที่ Google จะเข้ามามีบทบาทในการโฆษณาหรือการตลาดออนไลน์มากขึ้น แถมยังเป็น Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะตอนนี้ ใครอยากหาอะไร ก็พิมพ์ google ก่อนเลย

           นั่นเป็นสาเหตุให้ Google ได้รับความสนใจจากนักการตลาดเป็นอย่างมาก รวมถึงเจ้าของธุรกิจ ที่ต้องการให้สินค้าและบริการ ไปอยู่ในหน้าแรก ไปติดอันดับใน Google เพื่อให้ผู้ซื้อหรือลูกค้าติดต่อกลับมา และเกิดยอดซื้อนั่นเอง

สำหรับวิธีที่จะให้สินค้าหรือบริการของธุรกิจ ติดหน้าแรกของ Google นั้น มี 2 วิธี หลาย ๆ ท่านคงเคยได้ยินกันนะคะ

1. Google Adwords หรือ การทำ SEM (Search Engine Marketing)
           คือการจ่ายค่าโฆษณา เพื่อให้สินค้าหรือบริการของธุรกิจ ไปอยู่ในหน้าแรก หรือแม้แต่อยู่ในอันดับแรกของ Google โดยจ่ายค่าโฆษณาเป็นการคลิกต่อครั้ง หากเลือกทำการตลาดสินค้าหรือบริการของธุรกิจด้วยวิธีนี้แล้ว ก็สามารถติดหน้าแรก อันดับหนึ่งของ Google ได้เลย เพียงแต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายในการโฆษณาสูง ถ้าหาก Keyword ที่เลือกมีการแข่งขันสูง

2. SEO คือ Search Engine Optimization
           คือ การทำเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และติดหน้าแรก Google ได้ โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา แต่จะมีหลายปัจจัย ที่ต้องทำเพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจสามารถไปติดหน้าแรกของ Google ได้ อย่างไรก็ตาม หากธุรกิจประเภทเดียวกับคุณจ่ายค่าโฆษณา ก็จะได้อยู่ในอันดับแรกของหน้า Google เช่นเดียวกัน

           ดังนั้นการทำการตลาดบนหน้า Google ทั้ง 2 วิธีนี้ จึงมีข้อดี ข้อเสียต่างกัน แต่จะเลือกใช้วิธีใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสินค้า และวัตถุประสงค์ในการโฆษณานั่นเอง

ในบทความนี้ จะขอพูดถึง Google Adwords หรือ การทำ SEM (Search Engine Marketing)

           อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้ว ว่าเป็นการทำการตลาดแบบเสียค่าโฆษณา และเสียเป็นค่าคลิก ถึงแม้จะสามารถควบคุมงบต่อคลิกได้ แต่อาจจะไม่สามารถควบคุมจำนวนคลิกได้ ทำให้งบประมาณไม่แน่นอน เจ้าของกิจการหรือผู้โฆษณา ต้องรับทราบอย่างหนึ่งว่า จำนวนคลิก ไม่ได้การันตี หรือรับรองยอดขายเสมอไป เพราะปัจจัยที่ทำให้เกิดยอดขายหรือการซื้อซ้ำที่นักการตลาดชอบนั้น มีอีกหลายอย่าง ที่จะได้ติดตามกันในบทความต่อ ๆ ไปค่ะ

หัวใจของการทำ Google Adwords หรือแม้แต่การทำ SEO ก็ตาม อันดับแรกที่สำคัญมาก ๆ คือ Keyword ค่ะ

           ถ้าถามว่า Keyword คืออะไร คงพูดได้ง่าย ๆ ว่า คือสินค้า หรือบริการของธุรกิจนั่นเอง แล้วสำคัญอย่างไรล่ะ Keyword จะนำไปสู่การวางแผนโฆษณาที่ได้ผลนั่นเองค่ะไม่ว่าธุรกิจจะเลือกโฆษณาบน Google หรือ แฟนเพจ Facebook ก็ตาม เรียกได้ว่า Keyword นี้ มีความสำคัญมากเลยทีเดียว ถึงแม้นิยามของคำว่า Keyword จะดูเหมือนง่าย แต่การจะทำให้โฆษณา หรือการทำการตลาดสำเร็จนั้น ไม่ง่ายเลยค่ะ

แล้วทำไมถึงไม่ง่ายล่ะ ...To be continue

ขอบคุณเนื้อหา และสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่:  https://www.upmedio.com/google-adwords/

#Marketing #4P #DigitalMarketing #Digital #การตลาด #ดิจิตอล #Google #Ads #GoogleAds #GoogleMarketing #Adword #GoogleAdword

4
การตลาดออนไลน์ | Internet Marketing / Google Adwords (Search Engine)
« เมื่อ: มิถุนายน 20, 2020, 02:16:32 AM »
          ตอนนี้ ถ้าจะพูดถึง Search Engine (เสิร์ชเอนจิน) คงหนีไม่พ้น Google เหมือนคำพูดขำ ๆ ที่บอกว่า อยากหาอะไร ให้ไปถามอากู๋ จึงไม่แปลกที่ Google จะเข้ามามีบทบาทในการโฆษณาหรือการตลาดออนไลน์มากขึ้น แถมยังเป็น Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะตอนนี้ ใครอยากหาอะไร ก็พิมพ์ google ก่อนเลย

          นั่นเป็นสาเหตุให้ Google ได้รับความสนใจจากนักการตลาดเป็นอย่างมาก รวมถึงเจ้าของธุรกิจ ที่ต้องการให้สินค้าและบริการ ไปอยู่ในหน้าแรก ไปติดอันดับใน Google เพื่อให้ผู้ซื้อหรือลูกค้าติดต่อกลับมา และเกิดยอดซื้อนั่นเอง

          สำหรับวิธีที่จะให้สินค้าหรือบริการของธุรกิจ ติดหน้าแรกของ Google นั้น มี 2 วิธี หลาย ๆ ท่านคงเคยได้ยินกันนะคะ

1. Google Adwords หรือ การทำ SEM (Search Engine Marketing)
          คือการจ่ายค่าโฆษณา เพื่อให้สินค้าหรือบริการของธุรกิจ ไปอยู่ในหน้าแรก หรือแม้แต่อยู่ในอันดับแรกของ Google โดยจ่ายค่าโฆษณาเป็นการคลิกต่อครั้ง หากเลือกทำการตลาดสินค้าหรือบริการของธุรกิจด้วยวิธีนี้แล้ว ก็สามารถติดหน้าแรก อันดับหนึ่งของ Google ได้เลย เพียงแต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายในการโฆษณาสูง ถ้าหาก Keyword ที่เลือกมีการแข่งขันสูง

2. SEO คือ Search Engine Optimization
          คือ การทำเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และติดหน้าแรก Google ได้ โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา แต่จะมีหลายปัจจัย ที่ต้องทำเพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจสามารถไปติดหน้าแรกของ Google ได้ อย่างไรก็ตาม หากธุรกิจประเภทเดียวกับคุณจ่ายค่าโฆษณา ก็จะได้อยู่ในอันดับแรกของหน้า Google เช่นเดียวกัน

          ดังนั้นการทำการตลาดบนหน้า Google ทั้ง 2 วิธีนี้ จึงมีข้อดี ข้อเสียต่างกัน แต่จะเลือกใช้วิธีใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสินค้า และวัตถุประสงค์ในการโฆษณานั่นเอง

          ในบทความนี้ จะขอพูดถึง Google Adwords หรือ การทำ SEM (Search Engine Marketing)ค่ะ อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้ว ว่าเป็นการทำการตลาดแบบเสียค่าโฆษณา และเสียเป็นค่าคลิก ถึงแม้จะสามารถควบคุมงบต่อคลิกได้ แต่อาจจะไม่สามารถควบคุมจำนวนคลิกได้ ทำให้งบประมาณไม่แน่นอน เจ้าของกิจการหรือผู้โฆษณา ต้องรับทราบอย่างหนึ่งว่า จำนวนคลิก ไม่ได้การันตี หรือรับรองยอดขายเสมอไป เพราะปัจจัยที่ทำให้เกิดยอดขายหรือการซื้อซ้ำที่นักการตลาดชอบนั้น มีอีกหลายอย่าง ที่จะได้ติดตามกันในบทความต่อ ๆ ไปค่ะ

          หัวใจของการทำ Google Adwords หรือแม้แต่การทำ SEO ก็ตาม อันดับแรกที่สำคัญมาก ๆ คือ Keyword ค่ะ

          ถ้าถามว่า Keyword คืออะไร คงพูดได้ง่าย ๆ ว่า คือสินค้า หรือบริการของธุรกิจนั่นเอง แล้วสำคัญอย่างไรล่ะ Keyword จะนำไปสู่การวางแผนโฆษณาที่ได้ผลนั่นเองค่ะไม่ว่าธุรกิจจะเลือกโฆษณาบน Google หรือ แฟนเพจ Facebook ก็ตาม เรียกได้ว่า Keyword นี้ มีความสำคัญมากเลยทีเดียว ถึงแม้นิยามของคำว่า Keyword จะดูเหมือนง่าย แต่การจะทำให้โฆษณา หรือการทำการตลาดสำเร็จนั้น ไม่ง่ายเลยค่ะ
แล้วทำไมถึงไม่ง่ายล่ะ ...To be continue
 
ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.upmedio.com/google-adwords/

#Marketing #4P #DigitalMarketing #Digital #การตลาด #ดิจิตอล #Google #Ads #GoogleAds #GoogleMarketing #Adword #GoogleAdword

5
การตลาดออนไลน์ | Internet Marketing / กลยุทธ์การตลาด 4T
« เมื่อ: มิถุนายน 13, 2020, 08:13:57 AM »
          หลายคนที่เคยเรียนการตลาด หรือพอมีความรู้เกี่ยวกับการตลาดมักจะคุ้นเคยกับการตลาดยุค 4P แบบดั้งเดิม ลองมาดูกลยุทธ์การตลาดที่เปลี่ยนไปหลังผ่านช่วงปรับตัวกันบ้างว่ามีแนวโน้มตามพฤติกรรมอย่างไร


          ดร.เอกก์ ภทรธนกุล อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้คำแนะนำ กลยุทธ์การตลาดที่ปรับไปตามสถานการณ์ปัจจุบันยุคกักตัวและอยู่ด้วยความระวังเชื้อโรคกัน พฤติกรรมคนเปลี่ยนโดยถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนทีเดียวพร้อมกันทั้งโลก เราจะเตรียมการรับมือกับ New normal นี้ได้อย่างไร


กลยุทธ์การตลาด 4T (จากของเดิม 4P)


          Tangible Solutions หมายถึง สินค้า การบริการที่ตอบสนองความต้องการ หรือแก้ปัญหาให้ลูกค้าที่จับต้องได้ ยกตัวอย่างช่วงนี้ที่ทุกคนคำนึงถึงความปลอดภัย การกระจายเชื้อโรคทางอากาศถึงกัน ซึ่งเชื้อโรคมีขนาดเล็กมากและลอยอยู่ในอากาศเราไม่มีทางมองเห็นหรือรู้ว่าอยู่ตรงไหน แต่สิ่งที่ร้านอาหารทุกร้านจำเป็นต้องมีคือ ฉากกั้น มาคั่นระหว่างบุคคล แม้ว่าตอนมาเราจะนั่งรถมาคันเดียวกันตัวติดกัน แต่ก็เลือกเดินเข้าร้านที่มีฉากกั้นมากกว่าร้านที่ไม่มี เพราะรู้สึกว่าน่าจะปลอดภัยมากกว่าแม้ว่าหลังกินเสร็จก็นั่งรถกลับบ้านคันเดียวกันอยู่ดี


           Transparent Price การตั้งราคาอย่างสมเหตุสมผล ถึงแม้ว่าการซื้อสินค้าหลายอย่างจะมาจากการใช้อารมณ์ตอนตัดสินใจซื้อ แต่ช่วง lockdown ที่ทุกคนอยู่บ้านและเรียนรู้การทำทุกอย่างด้วยตัวเองไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์เอง ทำให้รู้ว่าสินค้าหรือบริการแต่ละอย่างมีต้นทุนเท่าไหร่ การที่ผู้ขายใช้กลยุทธ์การตลาดตั้งราคาที่มากเกินหรือราคาหรูเกินจะทำให้ผู้ซื้อนั้นเกิดความรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบเพราะตัวเองเคยไปซื้อและลองทำไม่ได้แพงแบบนี้ ดังนั้นกลยุทธ์การตลาดต้องปรับคือการเล่าอย่างตรงไปตรงมาด้วยความจริงใจ


          Timely รอได้แต่ต้องตรงต่อเวลา หากเป็นเมื่อก่อนความไวและการเข้าถึงของลูกค้าจะต้องมาเป็นอันดับแรกไปถึงร้านค้าจะต้องได้เข้าไปใช้บริการ อาหารจะต้องถูกเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นลูกค้ารอได้ด้วยเหตุผลความปลอดภัยของลูกค้า เช่นการจำกัดจำนวนคนเข้าร้านที่ทำให้ลูกค้าต้องยืนรอที่หน้าร้าน


           Truth การส่งมอบความจริง ข้อเท็จจริงให้ลูกค้า เดิมทีเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรทำตลอดเพียงแต่ในช่วงที่ทุกคนกักตัวทำให้มีเวลาว่างในการค้นคว้าข้อมูลไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้า วัตถุดิบที่มา ล้ำไปถึงโรงงานที่ผลิตวัตถุดิบว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ดังนั้นการสร้าง story หรือการทำโปรโมชันจะต้องคลีนและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น

          การปรับพฤติกรรมของผู้บริโภคครั้งใหญ่ แบรนด์หรือนักการตลาดจำเป็นต้องมีกลยุทธ์การตลาดที่ปรับตาม ลองปรับไปพร้อมๆกันครับ


          ก่อนจะไปเลือกลงว่าจะใช้ media ตัวไหนคุณจะต้องเข้าใจ Customer Journey เพราะบทบาทของแต่ละสื่อไม่เหมือนกัน การวัดผลและค่าใช้จ่ายในการคำนวณก็ต่างกัน ความคาดหวังก็ต่างกันไป

ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.upmedio.com/digital-marketing-agency/
#Marketing #4P #DigitalMarketing #Digital #การตลาด #ดิจิตอล

6
             สวัสดีครับ วันนี้เรามีเนื้อหาที่เหมาะจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ กำลังทดลองออกแบบกราฟฟิกดีไซน์ด้วยตัวเอง ไม่ว่าเป็น โลโก้(Logo) สัญลักษณ์(Symbol) โปสเตอร์ หรืองานโฆษณาต่าง ๆ สำหรับผู้เริ่มต้น เคยสงสัยและถามตัวเองกันไหมครับว่า “เอ้! ทำไมโลโก้ของคนอื่น ๆ แต่ละอันมันดูออกมาเรียบง่าย สบายตาจังเลยนะ แล้วดูของฉันสิ มันอะไรกันเนี่ย ดูยุ่งเหยิง รกรุงรังพันกันเต็มไปหมด แถมยังสื่อความหมายออกไปไม่ได้อีกต่างหาก เห้อ” ที่เป็นแบบนั้นผมอยากกระซิบบอกเบาๆว่า เพราะพวกเขามีองค์ประกอบพื้นฐานในการออกแบบกราฟฟิกดีไซน์อยู่ในใจตั้งแต่ก่อนเริ่มจรดปลายดินสอสเก็ตช์แล้วหนะสิ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้จะบอกว่าโลโก้ หรืองานกราฟฟิกดีไซน์ที่ดูเยอะ ดูรก เป็นงานที่ผิดนะครับ ทั้งนี้ก็ต้องแล้วแต่โจทย์ และลูกค้าด้วยจ้า มาครับเรามาดูกันเลยว่า องค์ประกอบพื้นฐานสำหรับการออกแบบและงานศิลปะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

             1.จุด (Dot) หมายถึง สิ่งที่มีตัวตน มองเห็นได้ ในทางคณิตศาสตร์ใช้ระบุตำแหน่ง เป็นสิ่งที่ไม่มีมิติ ไม่มีความกว้าง ความยาว หรือแม้กระทั่งความลึกในตัวของมัน เป็นเพียงจุด แต่ในทางด้านการกราฟฟิกดีไซน์แล้ว จะบอกว่ามันไม่มีมิติเลยก็คงไม่ได้เพราะเราก็มองเห็นมันอยู่เนี่ย จึงกลายเป็นว่าจริง ๆ แล้ว จุดคือ สิ่งที่คนไม่ได้อยากจะทราบถึงขนาดว่ามันกว้างยาวเท่าไหร่ต่างหาก

             ยกตัวอย่าง เราลองนำเหรียญบาทมาแปะลงที่มุมล่างขวาของกระดาษขนาด A4 แล้วลองมอง เราจะเห็นเหรียญบาทเป็นจุดกลมๆอยู่บนกระดาษสี่เหลี่ยม ต่อมาลองพับกระดาษทีละครึ่ง เข้าไปหาเหรียญบาทนั้นเรื่อย ๆ จนขอบกระดาษเข้าไกล้ขอบของเหรียญบาทนั้นมาก ๆ เราก็จะมองเหรียญบาทเปลี่ยนไป ไม่เป็นจุดแล้ว เป็นสิ่งที่เราพอจะระบุขนาดของมันคร่าวๆได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีผลกับจุด คือ ที่ว่าง(Space) ที่จะเป็นตัวบอกว่า สิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นจุดหรือไม่
             2.เส้น (Line) คือ การที่นำจุดมาเรียงต่อ ๆ กันเป็นแนวยาว เพราะมันเป็นจุดนิยามมันจึงเหมือนเดิม คือไม่มีใครสนใจขนาดของมัน แต่เมื่อมันต่อกันเป็นเส้น ผู้คนจะสนใจแค่ว่า ความยาวของมันมีขนาดต่างกันกับความสูงของมันมาก ๆ

             ยกตัวอย่าง กระดาษ A4 แผ่นเดิมนั้นแหละ เราลองหาเหรียญบาทวางเพิ่มต่อจากมุมล่างขวา วางไล่ไปจนถึงมุมบนซ้าย เราก็จะได้บางอย่างที่เรียกว่า เส้นทแยงมุมแล้ว ต่อมา เราลองหาเหรียญ5บาท มาวางทับเหรียญบาทที่อยู่ตรงกลางสุดของเส้นนั้น เราจะเห็นความหนาของเส้นที่เปลี่ยนไป เราเรียกมันว่า น้ำหนัก(Weight)

             เส้นมี 2 ลักษณะ 1.เส้นตรง ให้ความรู้แข็งแรง มั่นคง รวดเร็ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการวางตัวและการนำเส้นมาประกอบกันด้วย เช่นเราวางเส้นตรงเฉียง 60องศา กลางหน้ากระดาษ ยิ่งเส้นยาวจะยิ่งให้ความรู้สึกพุ่งพรวดรวดเร็ว แต่ถ้าเราวางเส้นเดิมให้ปลายเส้นด้านล่างจรดกับขอบกระดาษด้านล่างพอดี จะให้ความรู้สึกโงนเงน เอนเอียง ไม่มั่นคงทันที  2.เส้นโค้ง ให้ความรู้สึกอ่อนโยน มีชีวิตชีวา ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดัดเส้นโค้งให้เกิดความรู้สึกไหน

             3. ระนาบ (Plane) คือ เส้นที่เรียงตัวปิดล้อมกัน ไม่มีช่องโหว่ เกิดเป็น รูปร่าง (Shape) สัมผัสได้ถึงความยาวและความสูง เป็นภาพ2มิติ ไม่มีมิติของความลึก
ย้อนกลับไปที่เรื่อง จุด ที่กล่าวว่า เมื่อเราพับกระดาษ A4 เข้ามาหาเหรียญบาทเรื่อย ๆ จนขอบกระดาษชิดกับขอบเหรียญมากแล้ว เราจะมองเหรียญเปลี่ยนไป พื้นที่ว่างของกระดาษที่แคบลง จะทำให้เรามองเห็นรายละเอียดของเหรียญมาขึ้น จนเราเห็นเป็นเส้นวงกลมมีปลายจรดกันสมบูรณ์ เกิดเป็นระนาบวงกลมขึ้นมาแทนการเป็นจุดนั่นเอง

             ระนาบหรือรูปร่าง มี3ลักษณะ 1.รูปร่างเรขาคณิต (Geometrical Shape) เกิดจากการประกอบกันของเส้นตรง หรือการสร้างรูปร่างขึ้นจากการคำนวนทางคณิตศาสตร์ 2.รูปร่างอินทรีย์รูป(Organic Shape) คือรูปทรงที่เลียนแบบธรรมชาติ 3.รูปร่างอิสระ(Free Shape) คือรูปร่างที่เกิดจากการสรรสร้าง ดัดแปลงจากตัวผู้สร้างเอง

             บนระนาบ เราสามารถแต่งเติม พื้นผิว(Surface) ของมันได้ ยกตัวอย่าง กระดาษที่มีเหรียญบาทแผ่นเดิมนั่นแหละครับ คว่ำกระดาษลงให้เหรียญอยู่ใต่กระดาษ แล้วเราลองเอานิ้วโป้งกดลงไปบนเหรียญแรงๆ จะทำให้พื้นผิวของเหรียญเกิดเป็นรอยรูปวัดแจ้งขึ้น เรียกว่า ผิวสัมผัส(Texture) ผิวสัมผัสนั้น เกิดขึ้นได้บนแส้นได้เช่นกัน ถ้าเส้นมีความหนาหรือน้ำหนักที่มากพอ และน้ำหนักก็เกิดกับระนาบได้เช่นกันและแสดงออกชัดเจนกว่าเส้นมาก เนื่องจากระนาบมีขนาดความกว้างยาวชัดเจน ระนาบยิ่งใหญ่ก็ทำให้มีค่าน้ำหนักมากขึ้นโดยปริยาย

             โอ้โห เพียงแค่3เรื่อง ยังเกิดคำศัพท์ใหม่ออกมาอีกมากมายเลย เนื่องจากเวลาหมด วันนี้พักไว้แค่นี้ก่อนครับ วันหลังจะมาเล่าเรื่ององค์ประกอบอื่น ๆ ให้ฟังต่อ และไม่ต้องตกใจไป ครั้งถัดไปจะมีการพูดถึงเรื่องตัวอย่างและการนำองค์ประกอบเหล่านี้ไปใช้ในงานกราฟฟิกดีไซน์แน่นอนครับ ต้องคอยติดตามนะครับ
สำหรับวันนี้ขอบคุณ ที่สนใจในการออกแบบครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.upmedio.com/th/graphic-design-agency/

#Graphic #Design #Logo #GraphicDesign #ออกแบบ #กราฟฟิค

7
การตลาดออนไลน์ | Internet Marketing / แบรนด์ดิ้ง Personality
« เมื่อ: มิถุนายน 12, 2020, 04:51:43 AM »
           ถ้าพูดถึง Personality ก็จะนึกถึงบุคลิกภาพของคนใช่ไหมครับ ว่าคนเรามีลักษณะอย่างไร นิสัยใจคอ ท่าทางการแสดงออก ความชอบ รสนิยม แบรนด์ดิ้ง หรือสินค้า ก็เหมือนกันครับ ถ้าเราจะต้องเปรียบเทียบแบรนด์ดิ้งเป็นคนแล้ว จะต้องให้ความรู้สึกอย่างไรกับผู้บริโภค ลูกค้ามองเข้ามาแบรนด์ดิ้งเราเป็นผู้ชายหรือหญิง เป็นคนสุภาพหรือเกรี้ยวกราดขี้โมโห หรือแบรนด์จะเป็นเหมือนผู้เชี่ยวชาญในเรื่องสินค้านั้นๆ หรืออุตสาหกรรมนั้นๆ
           โดยส่วนใหญ่บุคลิคภาพการทำแบรนด์ดิ้งจะถูกแบ่งเป็น 5 ลักษณะใหญ่ๆ ขึ้นอยู่กับจุดเด่น หรือสิ่งที่ต้องการจะสื่อให้ลูกค้ารับรู้ ดังนี้
           1. Excitement ความตื่นเต้น สดใส ฮึกเฮิม เปี่ยมล้นไปด้วยพลังงาน ความมั่นใจ แบรนด์เหล่านี้มักเลือกใช้พรีเซนเตอร์เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นกระแสในเวลานั้นๆ ซึ่งสินค้าและบริการที่มีลักษณะแบรนดิ้งแบบนี้ กับการท่องเที่ยวในเชิงผจญภัย หรืออาหาร เครื่องดื่มชูกำลัง หรือขนมก็มักใช้บุคลิกภาพนี้เช่นเดียวกัน
           2.Sincerity ความจริงใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากจนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นอันดับแรกในโลกยุคปัจจุบัน นอกจากจะหมายถึงความจริงใจ ยังพ่วงไปถึงความห่วงใย ความซื่อสัตย์ ในโลกปัจจุบันที่อยู่บนสังคมออนไลน์ แบรนด์ดิ้งที่สื่อให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความจริงใจมักจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในใจของลูกค้าเสมอ เพราะต้องฝ่าด่านโลกออนไลน์ที่ไม่ได้เห็นหรือสัมผัสของจริง ไม่ได้ซื้อกับหน้าร้านจริงๆ เรื่องนี้จึงยิ่งสำคัญ บุคลิกภาพของการทำแบรนด์ดิ้งนี้จะเห็นได้จากสินค้าและบริการในธุรกิจประกันชีวิต
           3.Sophistication ความซับซ้อน ความหรูหรา น่าหลงไหล มักพบในสินค้าหรือบริการที่มีราคาสูง(พิเศษ) สินค้าประเภทนี้มักใช้การสื่อสารที่ให้ความรู้สึกเหมือนมาดามชั้นสูงผู้ดีอังกฤษ ที่สวย เรียบ เงียบ เชิด อยู่เฉยๆ ก็รู้สึกแพง แบรนด์ดิ้งนี้ไม่ค่อยสื่อสารกับผู้บริโภคตรงๆแต่มักจะเว้นที่ เว้นระยะให้ผู้บริโภครู้สึกเกิดเป็นอารมณ์ความลุ่มหลง จนเกิดเป็นความต้องการขึ้นมา
           4.Competence ความเป็นผู้นำ ฉลาด เหนือชั้นกว่า ล้ำกว่า โดดเด่นกว่า เรามักจะพบแบรนด์ดิ้งนี้กับสินค้าประเภทไอที หรือสินค้าและบริการที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น แล็ปท็อป สมาร์ทโฟน หรือบ้านอัจฉริยะ
           5.Ruggedness ความทนทาน ถ้าให้เปรียบเป็นคนคงจะได้นิยาม “อึด ถึก ทน” มีนิสัยกล้าหาญ ห้าวเป้ง หรืออาจสื่อได้ถึงความทนเมื่อต้องเจอกับทุกสถานการณ์ เช่น แบรนด์ดิ้งของสินค้ากีฬาที่ใช้นักกีฬามาเป็นตัวแทนของสินค้าที่ทนใช้ได้นานตลอดช่วงเวลาการฝึกซ้อม หรือถึกเหมือนนักกีฬาที่มีกำลังเหลือเฟือเล่นกีฬาต่อเนื่องไม่เหนื่อย
           จากที่กล่าวมาการวางบุคลิกให้แบรนด์ดิ้งนั้นสามารถเลือกจะเป็นอะไรก็ได้เข้ากับแบรนด์ แต่ข้อระวังคือการสื่อสารไปถึงลูกค้า ต้องไม่ให้เกิดความสับสนระหว่างทางการสื่อสาร ไม่อย่างนั้นลูกค้าอาจเลือกสินค้าผิดเป็นคู่แข่ง ไม่ใช่เราก็ได้

ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.upmedio.com/th/digital-marketing-agency/
#Marketing #4P #DigitalMarketing #Digital #การตลาด #ดิจิตอล

8
การตลาดออนไลน์ | Internet Marketing / การตลาดเลข4
« เมื่อ: มิถุนายน 12, 2020, 04:10:15 AM »
       รู้ไหมครับว่า เลข 4 สำหรับคนจีนแล้วถือเป็นเลขที่ไม่มงคลสักเท่าไหร่ เพราะมันพ้องเสียงกับคำว่า ซี่" (แต้จิ๋ว) "สื่อ" (จีนกลาง) (死) แปลว่าตาย แต่วันนี้ผมจะมาเล่าถึงอัศจรรย์เลข 4 ในทางการตลาดแบบดั้งเดิมและการตลาดดิจิตอลกันครับ
1.   อันดับแรกการทำให้ลูกค้าเราซื้อของเรานั้น จะต้องทำการตลาดให้สินค้าหรือแบรนด์เราไปถึงลูกค้าเรา 4 ครั้ง ทำไมหรอครับ อธิบายอย่างง่ายๆ ครั้งแรกคือการนำสินค้าเราไปแนะนำตัว สวัสดีครับผมชื่อนี้นะครับ ผมมีความสามารถแบบนี้ ฝากตัวด้วยนะครับ
2.   ครั้งที่สองไปแนะนำตัวใหม่เหมือนเดิมหรืออาจให้ข้อมูลเพิ่มเติมทำให้ลูกค้าเกิดความคุ้นเคยมากยิ่งขึ้นและไม่ลืมที่จะบอกว่าติดต่อหรือหาซื้อได้ที่ไหน
3.   ครั้งที่สามไปเพื่อเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือผมรู้จักคนนี้ๆนะครับหลายๆคนใช้บริการผมเพื่อนๆคุณก็ใช้นะครับและแสดงให้เห็นหลักฐานให้ดูอาจเป็นภาพถ่ายหรือรีวิวสินค้า
4.   ครั้งที่สี่ไปอีกทักไปเลยเรารู้จักกันแล้วส่งโปรโมชั่นไปตอนนี้เราจัดโปรส่วนลดหรือของแถมสิทธิพิเศษพร้อมประโยคเร่งรัด ตอนนี้ของใกล้หมดแล้วนะครับ
        เชื่อไหมครับกว่า 80% ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการแน่นอน เพราะเราได้ไปแสดงให้เห็นว่าสินค้าของเราจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับผู้ที่ซื้อไป ลูกค้าเข้าใจและรับรู้คุณค่าของสินค้าอย่างถูกต้องและจะซื้อโดยที่รู้สึกว่าสินค้าเราคุ้มค่ากับเงินที่จะจ่ายให้ หากคุณยังไม่เชื่อการทำการตลาดแบบเลข 4 ลองนึกถึงรายการขายสินค้า TV direct สิครับ เป็นการนำเสนอสินค้าที่คลาศสสิกใช้ได้ผลตลอดกาล ทุกวันนี้คุณพ่อคุณแม่ผมยังซื้อของอยู่เลยครับ วันดีคืนดีก็มีวิทยุรวมเพลงเก่าอันเล็กๆ มาส่งที่บ้าน ซึ่งถามเราวิเคราะห์ดูดีๆ ตามเว็บขายของทั่วไปวิทยุอันนี้ราคาไม่ถึง 200บาท อย่างเก่ง 300เลยครับ นี่ราคาปลีกนะฟังก์ชันเหมือนกันเป๊ะ พอใส่เพลงเข้าไปขายได้พันกว่าเฉยเลย หากยังไม่เชื่อลองนึกไปถึงช่วงก่อนหน้านี้ “กะทะเซรามิกอย่างดี” เคลือบผิวไดมอนด์ ในครัวคุณมีกี่อันครับ เห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ
        ลองมาดูการตลาดในยุคดิจิตอลกันบ้าง มหัศจรรย์เลขสี่ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น Marketing Automation หรือการตลาดที่ใช้ AI เข้ามาช่วย อธิบายง่ายๆ ลองนึกถึงโฆษณาที่ตามหลอกหลอนเราไปทุกที่ ทุกหน้าเว็บ ทุกสื่อที่เราใช้บริการ หลักการเดียวกันเลยคือการนำสินค้าหรือบริการของเราไปแนะนำให้ลูกค้าเราได้รู้จักซ้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่พอมาเป็นการตลาดดิจิตอลเราจะทำได้ง่ายกว่าและใช้ต้นทุนน้อยกว่าโดยการอาศัย Ai เข้ามาช่วย ในยุคปัจจุบันที่ทุกคนเข้าถึงลูกค้าได้ด้วยการตลาดดิจิตอลเพียงปลายนิ้ว เชื่อไหมครับขนาดธุรกิจประกันยังใช้การตลาดดิจิตอลเลย ผลตอบรับดีมากด้วย ประหยัดเงินและเวลาการเข้าไปถึงลูกค้าได้มหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลกับความรู้สึกเชิงบวกกับภาพลักษณ์ด้วยเพราะลูกค้ารู้สึกว่าตัวเองได้เป็นผู้หาข้อมูลและเปรียบเทียบข้อดีเสียเองไม่ได้ถูกยัดเยียดโดยตัวแทนเหมือนเมื่อก่อน
        ถามตัวเองนะครับว่าสินค้าหรือบริการของเราไปถึงลูกค้าอย่างน้อย 4 ครั้งแล้วหรือยัง หากยังลองให้เครื่องมือการตลาดดิจิตอลที่ผมแนะนำไปนะครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.upmedio.com/th/digital-marketing-agency/

#Marketing #4P #DigitalMarketing #Digital #การตลาด #ดิจิตอล

9
การตลาดออนไลน์ | Internet Marketing / Google Adwords
« เมื่อ: มิถุนายน 11, 2020, 02:52:25 AM »
       สวัสดีค่ะ ผู้เขียนเคยได้เขียนถึง Google Adwords มาแล้ว เกี่ยวกับเรื่องเทคนิคการทำ Google Ads นั่นเอง แต่วันนี้ เราจะมาพูดถึง Google Adwords แบบเริ่มต้นค่ะ

            ก่อนที่เราจะทำอะไรสักอย่าง ถ้าเราอยากทำให้ดี เราควรเรียนรู้ และทำความรู้จักกับสิ่ง ๆ นั้นก่อน ดังนั้น เรามาเริ่มทำความรู้จักกับ Google Adwords กันเลย
            Google Adwords เป็นบริการโฆษณาออนไลน์จาก Google เรียกเก็บค่าใช้จ่ายเมื่อมีคนมากดคลิกป้ายโฆษณา (Pay per click)

            นี่เป็นคำจำกัดความสั้น ๆ ของ Google Adwords นั่นเองค่ะ แต่ความซับซ้อนจะอยู่ที่การทำงาน การทำงานของ Google Adwords เหรอที่ซับซ้อน เปล่า... การทำงานของคุณค่ะ

            จริง ๆ แล้ว การทำงานไม่ได้ซับซ้อนจริง ๆ เพราะแค่เราหาคีย์เวิร์ด (Keyword) แล้วตั้งงบ แล้วก็ลงโฆษณาได้เลย

            เห็นไหมคะ การทำงานของ Google Adwords มีแค่นี้จริง ๆ แต่รายละเอียดลึก ๆ ลงไปนั้นอยู่ที่เราจะทำยังไง ให้การโฆษณา Google Adwords ของธุรกิจออกมาดี ถึงแม้จะบอกว่า เป็นการโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย โดยจ่ายเป็นคลิกก็ตาม แต่ถ้างานโฆษณา ทำออกไม่มีประสิทธิภาพ การลงทุนอาจสูญเปล่า หรือเสียค่าใช้จ่ายแพงเกินที่ควรจะเป็นก็ได้

            การวางแผนการโฆษณา จะช่วยให้ขั้นตอนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ การวางแผน Google Adwords เริ่มต้นตั้งแต่ Keyword นั่นคือ ธุรกิจ ขายอะไร นั่นคือสิ่งที่เราจะใช้เป็นสื่อกลางเพื่อโฆษณาในหน้า Google และให้สื่อกลางนั้น พาลูกค้ากลับมาที่เว็บไซต์หรือแฟนเพจ Facebook ที่เป็นหน้าธุรกิจของเรานั่นเอง

            Keyword นั้น วิธีการหา ไม่ยาก ง่าย ๆ ก็คือสินค้าหรือบริการของธุรกิจนั่นเอง แต่หาก Keyword ที่ทำโฆษณาออกไปนั้น กว้างเกินไป ไม่ตรงประเด็น ก็อาจจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูงจนเกินไป ดังนั้น หา Keyword ที่เฉพาะเจาะจง ตรงกับสินค้าหรือธุรกิจของคุณให้มากที่สุด จะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

            เมื่อได้ Keyword แล้ว ขั้นตอนต่อไป คือการสร้างโฆษณา ต้องหาให้ได้ ว่าจุดขาย ของสินค้าหรือบริการของธุรกิจ คืออะไร สินค้าหรือบริการบางอย่าง มีธุรกิจเกิดขึ้นมาก่อนแล้วเป็นจำนวน อย่างเช่น สินค้าเสื้อผ้า สินค้าอุปโภคบริโภค ของกินของใช้ แต่ต้องยอมรับว่าเป็นสินค้าอะไรที่อยู่ในปัจจัยสี่ จะเป็นสินค้าที่มีการสั่งซื้ออยู่เสมอ ดังนั้น หากธุรกิจของคุณเพิ่งเริ่มต้น หาจุดแข็งของตัวเองให้ได้ แล้วขายจุดแข็งนั้น วิธีนี้เรียกว่า การสร้างตัวตน นอกจากจะจำเป็นในด้านการตลาดแล้ว จะช่วยให้เกิดไอเดียในการโฆษณา Google Adwords ด้วย

            เมื่อได้โฆษณาที่เหมาะกับธุรกิจแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาของการตั้งงบประมาณการโฆษณา นั่นก็จะมีเรื่องของการวางแผนงบประมาณเข้ามาเกี่ยวข้อง สำหรับ Google Adsword คุณต้องตั้งค่า “ค่าโฆษณาต่อคลิก” และงบประมาณโฆษณาต่อเดือน เพื่อเป็นการควบคุมค่าใช้จ่ายนั่นเอง

            ตัวแปรที่จะเกิดขึ้น ก็คือการ Bid การจะได้มาซึ่งตำแหน่งต้น ๆ ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร ก็ต้องใช้ความพยายาม Google Adwords ก็เช่นกัน ใคร Bid ได้มากที่สุด ธุรกิจนั้น ก็อยู่อันดับต้น ๆ ในหน้า Google ได้

ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.upmedio.com/google-adwords/

#Google #Ads #GoogleAds #GoogleMarketing #Adword #GoogleAdword

10
การตลาดออนไลน์ | Internet Marketing / Marketing คืออะไร
« เมื่อ: มิถุนายน 10, 2020, 04:24:06 PM »
             Marketing หรือ การตลาด คือ การกระทำกิจกรรมต่างๆ ในทางธุรกิจที่มีผลให้เกิดการนำสินค้า หรือบริการจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการนั้นๆ ให้ได้รับความพึงพอใจ ขณะเดียวกัน ก็บรรลุวัตถุประสงค์ของกิจการ ถ้าให้พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำอะไรก็ได้ ที่จะขายของให้ลูกค้าได้ โดยให้ลูกค้าเกิดความพอใจ และธุรกิจได้ผลกำไรนั่นเอง
             หลาย ๆ ท่านในที่นี้ คงเคยได้ยินคำว่า 4P นะคะ Product , Price , Place และ Promotion นั่นคือการตลาดที่เราได้ยินกันมานาน นอกจากการตลาดแล้วในรูปแบบ 4P แล้ว ก็ยังมีการตลาดในรูปแบบอื่น ๆ อีก เพราะว่าสินค้าและบริการนั้น มีมากมายหลากหลายรูปแบบ การใช้วิธีการตลาดเพื่อให้ได้ลูกค้า จึงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว นอกจากนี้ สถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ก็มีส่วนที่ทำให้การตลาดนั้นต้องปรับเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
             ก่อนหน้านี้ เทรนด์ Marketing ที่เป็นที่นิยม และได้รับความสนใจมากขึ้นคือ Digital Marketing คือการทำการตลาดช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดผ่านเว็บไซต์ , Content , Social Media , Online Video โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องทาง Social Media ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก อย่าง Facebook , IG , Twitter , Line
             ในช่วงนี้ที่เกิดสถานการณ์ COVID-19 แบบนี้ ทำให้รูปแบบ Marketing นั้น เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากพฤติกรรม New Normal ที่เกิดขึ้นใหม่นั่นเอง เห็นได้จากรูปแบบธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องปรับตัวและเริ่มดำเนินการในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น นั่นทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ขึ้น ธุรกิจเริ่มใช้ช่องทางที่จะเข้าถึงลูกค้า (Direct to consumer) ให้ได้มากขึ้น ผ่านช่องทาง App shopping หรือแม้แต่ Official Store ของแบรนด์นั้นๆ เองก็ตาม ซึ่งสร้างความสะดวก และทำให้แบรนด์หรือธุรกิจเข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลางหรือตัวแทนขาย
             หรือเป็น Service อย่าง Delivery ที่เข้ามาสร้างความสะดวกให้ลูกค้าสามารถซื้อของได้ โดยไม่ต้องเดินทางออกจากบ้าน จากที่เมื่อก่อน เน้นเฉพาะธุรกิจอาหาร แต่ปัจจุบันเริ่มมีสินค้าอื่นๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของกินของใช้ คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ยังเริ่มเห็นการร่วมมือของแบรนด์ในการรวมธุรกิจและออกสินค้าใหม่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อแบ่งปันลูกค้า ความรู้ ข้อมูล สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ธุรกิจ
             สิ่งที่ยังคงได้รับความสนใจ และมีความสำคัญในการทำการตลาด ก็คือ คอนเทนต์ (Content) เพราะเป็นสิ่งที่ถูกส่งต่อไปยังลูกค้าหรือผู้บริโภค แต่จะเริ่มเน้นไปในรูปแบบของ Video มากขึ้น หรือช่องทางการดูแลลูกค้าที่เริ่มใช้งานแชทบอท (Chat Bot) ก็จะได้รับความนิยมมากขึ้น และได้รับการพัฒนาให้สามารถตอบคำถามลูกค้าได้ดีขึ้น จนเราอาจจะต้องงงไปเลยว่า ตอนนี้คุยกับบอท หรือคุยกับคน
             จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ต้องใช้วิธีหรือกลยุทธ์อะไร สิ่งที่ Marketing ต้องการก็ยังอยู่ในแนวคิดที่ว่า ขายสินค้าหรือบริการไปยังลูกค้าได้ โดยให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจที่สุดและเกิดกำไรในธุรกิจนั่นเอง
 
ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.upmedio.com/digital-marketing-agency/
#Marketing #4P #DigitalMarketing #Digital #การตลาด #ดิจิตอล

11
   อันนี้เราจะพูดถึงการปรับแต่งข้อความ หลังจากที่เราปรับแต่เว็บไซต์ของเราให้เหมาะกับการทำ SEO หรือ ปรับให้ Google มันคุ้นเคยกับเว็บไซต์ของเรามากขึ้นแล้ว (หรือภาษาที่เค้าใช้กันคือ เว็บไซต์ที่มีคุณภาพ) ซึ่งเราจะวัดกันง่ายๆจาก เว็บไซต์ที่ตรวจสอบคุณภาพได้ทั่วๆไป ซึ่งหากใครยังไม่มีไอเดียว่าจะปรับยังไง ลองค้นกูเกิ้ลความว่า ปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์ แล้วกูเกิ้ลจะนำเสนอเว็บที่เป็นเครื่องมือในการวัดผลออกมาเป็นคะแนนเพื่อเราจะนำไปปรับปรุงเว็บของเราในแต่ละด้สนให้มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งเว็บเครื่องมือที่เค้าใช้กันแบบฟรีๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็น developer.google , dareboost หรือ SEOTIMER  ซึ่ง ตอนแรกมันก็จะฟรีแหละ แต่สักพักมันก็จะขึ้นให้เราเสียเงินซื้อรายงาน ซึ่งถ้าเราไม่อยากได้ก็ไม่ต้องซื้อนะ ใช้แค่ของฟรีก็พอแล้ว


   เว็บไซต์ที่ผ่านการปรับปรุงแล้วจะต้องมีหน้าแลนดิ้งเพจ หมายถึง หน้าเว็บที่ต้องการให้ลูกค้าเราเข้ามาเจอ ไม่ว่าจะค้นมาเจอแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หรือโดนเราล่อลวงมาก็ตาม ในหน้านั้นๆ จะต้องประกอบด้วยข้อมูล เนื้อหาที่ครบถ้วน และ แฝงด้วย keyword หรือ คำที่เราจะใช้ทำ Google Ads ในสัดส่วนและจำนวนที่เหมาะสม โดยทั่วไปหน้าเพจที่ใช้จะเป็นหน้าสินค้าหรือบริการที่เรานำเสนอให้กับลูกค้า หรือหน้าที่ระบุว่าช่องทางติดต่อเราได้ช่องทางไหนบ้าง หรือทั่วไปจะรวมทุกอย่างที่สำคัญในหน้านี้ ให้ลูกค้าเข้ามาแล้วสามารถปิดการซื้อได้ หรือติดต่อเรา ตามเจตนาที่เราจะสร้าง Google Ads ในครั้งนั้นๆ

เทคนิคง่ายๆแต่ใช้ได้จริงในการปรับแต่ง Google Ads

1. บริการพิเศษที่เรานำเสนอให้กับลูกค้า เช่น ส่งฟรีทั่วไทย จัดส่งภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนลด โปรโมชั่นต่างๆ ซื้อตอนนี้แถมฟรีของแถมมูลค่า... ซึ่งหากใครนึกไม่ออกลองนึกถึง โฆษณาทีวีไดเร็ก หรือการนำเสนอสินค้าที่มาตามทีวีก็ได้ ลองสังเกตตัวเองว่า เราจะหยุดฟัง ข้อความไหนเป็นพิเศษ ลูกค้าหรือคนทั่วๆไปก็จะเหมือนกับเราแหละ ลองคิดว่าคำหรือข้อความแบบไหนจะดึงความสนใจให้คนเข้ามากดหรือคลิกเข้าหาเว็บไซต์เราได้มากกว่า ส่วนใหญ่คำหรือข้อความสำคัญคือบริการหรือสินค้าของเรามีจุดแข็งหรือลูกค้าให้คุณค่ากับสินค้าเราที่อะไร สิ่งนี้จะต้องถูกมาสร้างเป็นข้อความเสริมใน Google Ads ส่งไปถึงลูกค้า

2. ใช้คำกระตุ้นให้คนทำอะไรบ้างอย่าง เคยได้ยินคำชวนของพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าไหมตอนที่เรากำลังลังเลว่าจะซื้อดีหรือไม่ พนักงานมักจะพูดว่า นาฬิการุ่นนี้เหลือแค่เรือนสุดท้ายแล้วนะพี่เมื่อกี่มีคนมาถามหาแล้วเดินเค้าบอกว่าเดี๋ยวจะกลับมาดูอีกรอบถ้าไม่ซื้อตอนนี้เดินกลับมาอีกทีจะไม่ทันแล้วนะ สังเกตไหม “ถ้าไม่ซื้อตอนนี้” คำพวกนี้จะทำให้คนอ่านเข้าหาหรือตัดสินใจได้เร็วยิ่งขึ้น เราต้องออกแบบคำแบบนี้ลงไปใน Google Ads ของเรา จะช่วยให้โฆษณาได้ผลมากยิ่งขึ้น

   ลองนำทั้งสองเทคนิคนี้ไปปรับใช้ อาจจะฟังดูง่ายๆ แต่รับรองว่าจะทำให้การทำโฆษณา Google Ads ของคุณได้ผลมากยิ่งขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าคำที่ใช้ต้องสัมพันธ์กับคำที่อยู่ใน landing page และอยู่ใน keyword ที่เราใช้ในเว็บไซต์ด้วยนะ

ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.upmedio.com/th/google-adwords/


12
                ทุกๆ วันนี้เมื่อใครสักคนต้องการจะซื้อสินค้าหรือบริการขึ้นมาสักหนึ่งอย่าง คงจะหนีไม่พ้นการเข้าไปค้นหาใน Search Engine แน่นอนว่าเมื่อลูกค้าของธุรกิจเราอยู่บน Search Engine อย่าง Google เราจึงต้องพยายามนำสินค้า/บริการขึ้นไปเสนอยังหน้าผลการค้นหา เพื่อไปแนะนำตัวให้ลูกค้าของเรารู้จัก ซึ่งสามารถทำได้โดยการทำ SEO หรืออีกหนึ่งวิธีที่ได้ผลเร็วและนิยมไม่น้อยคือ การทำโฆษณาออนไลน์ผ่าน Google หรือที่รู้จักกันในชื่อ Google Ads นั่นเอง
                Google Ads เครื่องมือที่จะช่วยให้การทำการตลาดของคุณไปถึงลูกค้าได้ง่ายและเร็วมากยิ่งขึ้น แต่ในการสร้างตัวโฆษณาแต่ละครั้งเราจะสามารถปรับแต่งในส่วนใดบ้างเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด วันนี้จะมากระซิบบอกเทคนิคการปรับแต่ง Google Ads เบื้องต้นให้ฟังกันเล็กน้อย
ปรับแต่งและค้นหาคีย์เวิร์ดใหม่อยู่เสมอ
                คนส่วนใหญ่เมื่อได้สร้างแคมเปญโฆษณาบน google ads ระบุคีย์เวิร์ดสำคัญ กำหนดกลุ่มเป้าหมายเสร็จแล้ว ก็จะปล่อยให้แคมเปญทำงานไปตามหน้าที่ และอาจจะไม่ได้เข้ามาเช็คบ่อยนัก แต่รู้ไหมว่าเราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญให้ดีกว่าเดิมได้โดยการปรับแต่งและค้นหาคีย์เวิร์ดสำคัญใหม่ๆ ได้ ซึ่ง Google ก็จะมีเครื่องมือหลักๆ ที่ให้เราได้เข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดได้ เช่น Google Search Console, Google Keyword Planner และ Google Trends เราสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ทั้งก่อนทำแคมเปญและหลังทำแคมเปญ เพื่อเข้าไปดู สำรวจว่าจริงๆ แล้วลูกค้าเราก่อนที่จะเสิร์ชมาเจอโฆษณาที่เราสร้างเค้าเจอคีย์เวิร์ดอะไรมาก่อน หรือจริงๆ เค้าใช้คีย์เวิร์ดอะไรบ้างที่ค้นมาเจอโฆษณาของเรา เมื่อเรารู้แล้วเราก็สามารถนำคีย์เวิร์ดเหล่านั้นเพิ่มเข้าไปในแคมเปญก็จะเป็นการช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้ดีขึ้นและช่วยลดค่า Cost Per Click ได้ หรือบางทีเราอาจเจอคำแปลกๆที่เราไม่รู้ว่าลูกค้าใช้ค้นหา เราก็สามารถนำมาใช้เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าคีย์เวิดใหม่นี้ได้เช่นเดียวกัน  เช่น ลูกค้าต้องการค้นหา “ไข่เค็ม” ก็อาจจะมีคำว่า “ไข่เค็มไชยา” “ไข่เค็มราคา” “ไข่เค็มทำอะไรกิน” เป็นตัน

เพิ่มอัตราการคลิกหรือ CTR (Click Through Rate) ด้วย Ads Extensions
                Ads Extensions หรือส่วนขยายของโฆษณา เปรียบเสมือนอาวุธลับที่ทาง Google Ads สร้างมาเพื่อเสริมให้ตัวโฆษณาออนไลน์ดูน่าเชื่อถือและดึงดูดผู้ค้นหาได้ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่ง Ads Extensions จะมีส่วนต่างๆ ให้เราได้เลือกเพิ่มข้อมูลเพื่อขยายใจความของตัวโฆษณาหรือเพิ่มช่องทางการติดต่อให้กับตัวโฆษณาของเรา เช่น
                Call Extension ที่เป็นส่วนเสริมให้เราได้ใส่เบอร์ติดต่อในตัวโฆษณา แทนที่ผู้ค้นหาจะเข้าไปหาเบอร์ในเว็บไซต์เรา ผู้ค้นหาก็สามารถโทรติดต่อเราได้ทันที
                Callout Extension ที่เป็นส่วนที่อยู่ใต้โฆษณาอีกหนึ่งบรรทัด จะเป็นส่วนขยายว่าสินค้า/บริการของเรามีอะไร เป็นอย่างไร ซึ่งคล้ายๆ เป็นคีย์เวิร์ดที่เราต้องการอธิบายลูกค้า ลักษณะจะเป็นข้อความสั้นๆ ขั้นด้วยจุดกลาง และไม่สามารถคลิกได้ เช่น ภายใน24ชม. ตอนนี้ส่งฟรี. เก็บเงินปลายทาง
                Site Link Extension เป็นส่วนที่ใส่ลิงค์เพื่อเชื่อมเข้ามาที่บางหน้าของเว็บไซต์เรา ซึ่งจะเป็นหน้าที่เราต้องการนำเสนอและเฉพาะเจาะจง เพื่อให้ลูกค้ามีตัวเลือกว่าจะเข้าไปในหน้าใดบนเว็บไซต์
                Ads Extensions นั้นมีอยู่หลากหลายแบบให้เราได้เลือกมาปรับใช้ในแคมเปญของเรา ไม่ใช่ทุกส่วนขยายที่เหมาะกับทุกประเภทของธุรกิจ ดังนั้นการที่จะเลือกส่วนขยายมาใช้ต้องคำนึงถึงเป้าหมายที่เราอยากได้จากการทำโฆษณาหรือสิ่งที่อยากให้ผู้ค้นหาปฏิบัติเมื่อเจอโฆษณาของเรา หากเราเลือกใช้ส่วนขยายที่เหมาะสมและมีคุณภาพเราก็จะสามารถเปลี่ยนยอดคลิกให้เป็นยอดขายหรือ Conversion ได้คุ้มค่าแก่การลงทุน

ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.upmedio.com/th/google-adwords/

13
Facebook Ads คืออะไร มีรูปแบบในการทำโฆษณาแบบไหนบ้าง มาทำความรู้จักกัน
 
          คำว่า ads เป็นคำย่อมาจาก advertise ซึ่งหมายถึง โฆษณา ความหมายของ Facebook Ads คือการทำโฆษณาในสื่อ Facebook นั่นเอง การลงโฆษณาในทุกวันนี้ค่อนข้างที่จะไม่ยุ่งยากและสามารถที่จะเรียนรู้การลงโฆษณาได้ด้วยตนเอง แต่หลายๆ คนก็อาจจะยังไม่รู้ว่า Facebook Ads มีเครื่องมือในการสร้างโฆษณาอะไรบ้าง ซึ่งเบื้องต้นอาจจะต้องผ่านด่านแรกให้ได้ก่อน นั่นก็คือ ด่านการกำหนดแคมเปญ
 
          ในส่วนของการกำหนดแคมเปญ Facebook Ads นั้นจะให้เรากำหนดรูปแบบการโฆษณา (Advertising Objectives) จะครอบคลุมตั้งแต่ การทำโฆษณาไปยังเว็บไซต์, โปรโมทโพสต์, โปรโมทเพจ, เพิ่มจำนวนการติดตั้งแอปพลิเคชัน, เพิ่มจำนวนการเข้าร่วมงานกิจกรรม, เพิ่มจำนวนผู้เข้ามารับสิทธิข้อเสนอ และเพิ่มจำนวนการรับชมวิดีโอ สำหรับร้านค้าทั่วๆ ไปใน Facebook มักอาศัยการขายสินค้า โดยการเปิดแฟนเพจเป็น ร้านค้า งานโฆษณาหลักๆ จึงอยู่ที่การโปรโมทเพจและโปรโมทโพสต์
 
Obijectve Facebook Ads แบ่งออกเป็น 3 หมวดหมู่คือ

Awareness  การรับรู้แบรนด์
          - การรับรู้แบรนด์ ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้แบรนด์ของเรา ทำให้รู้จักแบรนด์เราหรือสินค้าเรามากขึ้น
          - การเข้าถึง หากเป้าหมายของคุณคือการเข้าถึงมากที่สุด และให้กลุ่มเป้าหมายเห็นโฆษณาของคุณซ้ำๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายจดจำ
Consideration  การพิจารณา
          - จำนวนผู้ชม เมื่อคุณต้องการให้ผู้ใช้งานไปยังนอก Facebook เช่น อ่านบทความบนเว็บไซต์ หรือดูข้อมูลสินค้า โดยจะโชว์ไปยังผู้ใช้งานบน Facebook ที่มีแนวโน้มจะคลิกลิ้งค์ของคุณมากที่สุด
          - การมีส่วนร่วม เป็นการโชว์โฆษณาโดยที่ต้องการให้มีการกดไลค์ แสดงความคิดเห็น หรือ แชร์ เป็นต้น
          - จำนวนการติดตั้งแอปพลิเคชัน วัตถุประสงค์นี้คือต้องการให้กลุ่มเป้าหมายของคุณติดตั้งแอปพลิเคชัน โดยจะแสดงบนมือถือเท่านั้น
          - จำนวนการรับชมวิดีโอ ถ้าคุณต้องการทำวิดีโอ และต้องการให้กลุ่มเป้าหมายของคุณดูวิดีโอจนจบ ตัวเลือกนี้คงเหมาะสมที่สุด
          - การสร้างลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลลูกค้าที่จะเอาไปทำ CRM ได้
          - ข้อความ Facebook จะทำการแสดงโฆษณาของคุณบน Messenger มากที่สุด ถ้าคุณต้องการทำยอดขายตัวเลือกนี้คงเหมาะสมที่สุด
Conversion คอนเวอร์ชัน
          - คอนเวอร์ชัน หากลุ่มเป้าหมาย ที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ การซื้อสินค้า หรือ กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งบนเว็บไซต์เรา
          - ยอดขายจากแค็ตตาล็อก เหมาะกับผู้ทำเว็บไซต์แบบ E-commerce ซึ่งจะทำเป็นเหมือนการแค็ตตาล็อกสินค้า
          - การเยี่ยมชมร้าน หากคุณต้องการให้คนใกล้พื้นที่เยี่ยมชมร้าน ตัวเลือกนี้ช่วยคุณได้
 
          การสร้าง Facebook Ads นั้นไม่มีสูตรตายตัว เพราะเป็นเครื่องมือที่เสริมการทำการตลาดของคุณให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไม่ใช่เครื่องมือที่มีสูตรในการทำ Facebook Ads มีปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดในการทำให้ประสบความสำเร็จอยู่หลากหลาย หากคุณมีแผนการตลาดที่ชัดเจน สำหรับคนที่อยากเริ่มการทำโฆษณาสามารถหาความรู้ได้ทั่วไปเพราะในยุคนี้มีคนออกมาให้ความรู้เยอะมาก การทำโฆษณาจึงง่ายมากเลยทีเดียว
 

ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.upmedio.com/th/facebook-marketing/

14
             ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักหมอทอดลมร้อน ที่เสียบปลั๊กทอดอาหารต่างๆโดยไม่ต้องใช้น้ำมัน
หากเราลองคิดดู มองย้อนกลับไปเมื่อสักปลายปี หรือต้นๆปีที่ผ่านมาจะพบว่าไอเจ้าหม้อทอดนี้อยู่ราคาตั้งเกือบ 3000 บาท (ราคาบวกลบนิดหน่อยแล้วแต่ยี่ห้อ) แต่พอลองมาตอนนี้ ที่ใครก็กักตัวอยู่บ้าน เจ้าหมอทอดนี้ราคาร่วงลงมาอยู่ที่ 700 บาท (แล้วแต่ยี่ห้อแล้วแต่โปรโมชั่น) น่าสนใจไหมล่ะ มาดูกันว่าจะเกี่ยวกับการยิง facebook ads ยังไง
              การทำโฆษณาเฟสบุ๊ค หรือ facebook ads คือการเอานำเอาสินค้าหรือเนื้อหาส่งตรงไปถึงลูกค้าหรือผู้บริโภค หรืออีกนัยหนึ่งคือการยัดเยียดให้ไปอยู่บนหน้าฟีดเฟสบุ๊คของลูกค้า ซึ่งตัวโฆษณาที่เราสร้างจะไปถึงสายตาของลูกค้าหรือไม่ก็จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เงินที่เราจ่ายเยอะพอไหม กลุ่มคนที่เราเรียกว่าลูกค้าเราเลือกถูกเจอคนที่ใช่หรือไม่ กับคู่แข่งการยิงโฆษณา facebook ads ของเราเยอะน้อยมากแค่ไหนเมื่อไปรวมเหล่าเพื่อนๆของผู้ใช้เฟสบุ๊คนั้นๆ เริ่มรู้สึกอะไรบ้างยัง? ตามธรรมชาติ ยิ่งคู่แข่งในตลาดยิ่งสูงก็จะทำให้การแข่งขันสูง ทำให้ยิ่งจ่ายเงินแพงใช่ไหม ลองมองมาดูหม้อทอดนะ เริ่มแรกที่หม้อทอดถูกเปิดตัวออกมา ราคาสูงคนน่าจะสนใจแหละแต่เอื้อมไม่ถึงหรือไม่ได้ยอมจ่ายสำหรับการทอดขนาดนั้น แต่พอเข้าสู่ช่วงปิด เคอร์ฟิว ทุกคนต้องอยู่บ้าน ทีนี้ยอดซื้อก็เพิ่มขึ้นแล้วก็มีบางเจ้าที่หั่นราคาลงเพื่อที่จะชิงพื้นที่ในตลาด ถามว่าหั่นราคาลงแล้วกำไรละก็น้อยลงสิ ใช่แล้ว เค้ายอมที่จะกำไรต่อชิ้นน้อยลง แต่ไปเอาปริมาณหม้อที่ขายได้จำนวนมากแทน เกิดอะไรขึ้นต่อรู้ไหม เมื่อเค้าขายได้มากขึ้นก็ทำให้เค้าต้องผลิตมากขึ้น ทำให้ต้นทุนต่อการผลิตหม้อหนึ่งชิ้นลดลง งงล่ะสิว่าลดได้ยังไง ลองคิดดูนะ เราเดินไปซื้อปากกา 12 แท่งที่เซเว่น เทียบกับเราไปซื้อปากกาโหลนึงที่สำเพ็ง ที่สำเพ็งถูกกว่าอยู่แล้วถูกไหม เค้าใช้จุดนี้แหละ พอต้องผลิตของจำนวนมากเค้าก็ซื้อวัตถุดิบได้ครั้งละมากๆก็ไปต่อราคาให้ซื้อวัตถุดิบได้ถูกลง ต้นทุนก็ลดไง
                ตัดภาพมาที่การทำ facebook ads เทคนิคการลงเงินโฆษณา ช่วงแรกที่ ads ทำงานมันจะเริ่มกวาดกลุ่มลูกค้ามาให้เรา คนที่มากดใช่บ้างไม่ใช่บ้างทำให้เงินที่ใช้จะยังแพงอยู่ เมื่อเที่ยวต่อคลิกหรือต่อการมองเห็น จากนั้นเฟสบุ๊คจะเริ่มเรียนรู้แล้วหาคนที่แม่นมากขึ้นว่าควรไปกวาดใครมาซึ่งเมื่อพอมีจำนวนประมาณนึงก็จะทำให้ค่าโฆษณานั้นถูกลง
                 แต่ ถ้าสมมุติว่ารอไปสักพัก วันสองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว ยังแพงอยู่ ช่วยไปดูหน่อยว่ากำหนดกลุ่มเป้าหมายถูกรึป่าวนะ อย่าปล่อยให้ facebook ads ลากไปนานผิดทาง จะหาว่าไม่เตือนนะ

ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.upmedio.com/th/facebook-marketing/

15
โฆษณาโดยใช้รูป
เรามักจะพบได้ทั่วๆ ไปและบ่อยมาก ซึ่งทำได้ง่ายมากเช่นกัน บางคนเรียกโฆษณาแบบนี้ว่า บูสโพส (Boost Post) ซึ่งถ้าใครมีเพจก็จะมีปุ่มให้กดใต้รูปได้เลย ข้อดีของมันคือสร้างได้แค่คลิกเดียวจากรูปที่ในเพจมีอยู่แล้ว แต่ก็มีข้อควรระวังตรง รูปที่เราเลือกต้องไม่ล้าสมัย ต้องมีความดึงดูดตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันสปีดของคนเล่น Facebook ได้

วีดีโอ/ คลิปสั้น
การลงคลิปวีดีโอในเฟสบุ๊คตอนนี้ลงได้ทั้ง page story และแบบโพสปกติ ซึ่ง video Facebook Ads มีข้อดีตรงที่ มันแสดงการใช้งาน หรือมันเล่าเรื่องได้ด้วยตัวเองว่าสินค้าคุณคืออะไร ใช้งานยังไง หรือมีฟังก์ชั่นอะไรบ้าง ซึ่งในปัจจุบันเราจะเห็นว่าคลิปบน Facebook Ads นอกจากจะสั้นและตัดต่อมาแบบกระชับแล้วบางครั้งยังมีตัวหนังสือ sub ให้ด้วย อันนั้นไม่ได้มาเล่นๆนะครับ เนื่องจากมีคนพบว่าคนที่เล่นเฟสบุ๊คในที่ทำงานมีเยอะ และเมื่อต้องการเล่นเฟสบุ๊คในที่ไร้เสียง ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเราดูอะไร ตัวหนังสือที่ขึ้นให้อ่านตามคลิปก็จะมาทำงานแทนนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นที่หัวของโพสโฆษณาของลูกค้า ก็จะโชว์ด้วยว่าเพื่อนของลูกค้าคนไหนกดไลค์ติดตามโพสนี้บ้างจะยิ่งให้อยากรู้เข้าไปอีก แบบเคยเป็นไหมว่าเพื่อนรู้ฉันก็ต้องรู้ หรือแบบ เพื่อนเราคนนี้มันดูอะไรกัน

Video poll ads
มันคือวีดีโอเหมือนกันเป็นมีให้ร่วมโหวตบางอย่างด้วย โฆษณาประเภทนี้จะเห็นแค่เฉพาะบนมือถือเท่านั้นนะ แต่ในไทยยังไม่เคยเห็นเลย หรือไม่มีใครยิงใส่เรา

Slideshow ads
เป็นวิดีโอ Facebook Ads แบบหนึ่ง ดีสำหรับผู้ที่ทำวีดีโอเองไม่เป็น อันนี้จะเหมือนเอารูปที่เราเลือกมาเรียงต่อๆกันแล้วก็เล่นเปลี่ยนรูปไปตามเวลาที่เราตั้งว่าจะช้าหรือเร็ว เรียกได้ว่าใช้เฟสบุ๊คให้เป็นประโยชน์แอปเดียวจบ และพอมันเป็นวีดีโอ มันจะน่าสนใจและดึงดูดคนดูได้มากกว่าภาพนิ่งอยู่แล้วล่ะ

Collection ads
Ads ตัวนี้จะเหมาะกับการขายของมาก สามารถทำได้โดยใช้ canvas ซึ่งจะแสดงผลที่หน้าจอมือถือเท่านั้น ใช้สำหรับโชว์สินค้าบนเฟสบุ๊ค ใส่ได้ทั้งภาพและวิดีโอข้อดีของมันจะดึงดูดให้คนเข้าชมเว็บไซต์ เพิ่มคลิกซื้อของมักจะมาพร้อมปุ่ม shop now

Messenger ads
หลังจากที่คนหันมาใช้บริการแชทของเฟสบุ๊คมากขึ้น เฟสบุ๊คก็เปิดบริการให้สามารถสร้าง Facebook Ads ในช่องทางนี้ได้ การยิงที่ช่องแชท มันหมายถึงว่าลูกค้าหรือคนที่เราจะยิงไปได้มีการเคยพูดคุยกับเรามีความสนใจในสินค้าหรือบริการของเราอยู่แล้ว ดังนั้นการใช้ช่องทางนี้มักจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเกินเป็นการพูดคุยและปิดยอดขายได้ง่ายและโอกาสสำเร็จสูงกว่าเยอะ และยิ่งไปกว่านั้น ช่องทางนี้ยังเหมาะกับการเก็บข้อมูลลูกค้าไปทำ re-targeting หรือ CRM อีกด้วย
จริงๆเครื่องมือของเฟสบุ๊คที่สามารถทำ Facebook Ads ได้อีกหลายแบบเลยนะแต่เราไม่ค่อยคุ้นชื่อกัน เช่น Instant Experience ads, Lead ads, Dynamic ads, Stories ads ไว้ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังใหม่นะ

ข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.upmedio.com/th/facebook-marketing/

16
ตอนนี้ ยังมีใครที่ไม่เล่น Facebook อีกไหม? เชื่อว่าที่เขามาได้อ่านบทความนี้ทุกคนต้องมีและเล่น Social Media ตัวนี้แน่นอน เล่นมากเล่นน้อยก็แล้วแต่คนไป แต่เล่นม๊ากกมาก ก็คือเราเอง จากการสำรวจที่บอกว่า คนไทยส่วนใหญ่เล่นเฟสบุ๊คเกือบ 4 ชั่วโมงต่อวัน เราว่าน้อยมากก เราเล่นเกือบทั้งวัน ว่างเป็นไถ ตื่นก็ไถ เข้าห้องน้ำก็ไถ

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
ตอนนี้ เศรษฐกิจแบบนี้ ใครๆ ก็อยากเป็นแม่ค้าขายของ อยากเปิด Facebook Page (เฟสบุ๊คสำหรับธุรกิจ) เราเชื่อว่าใครๆ ก็เปิดได้แล้ว เปิดกันไม่ยากหรอก แต่เรื่องการยิงโฆษณา หรือ Facebook Ads นั้นต้องมาศึกษาเพิ่มกันอีกทีนะ วันนี้จะเล่าเรื่อง Business Manager ให้ฟังกัน

Business Manager มันคืออะไร
มันคือเครื่องมือที่ให้ทำโฆษณายิง Facebook Ads ที่จะช่วยให้เราจัดการการทำงานได้ดีขึ้น สะดวกขึ้น โดยเฉพาะยิ่งเรามีเพจร้านหลายๆ ร้านค้า เราจะให้อันนี้ เพื่อจัดการทำโฆษณาทั้งหมด สร้างระบบจ่ายเงิน ผูกบัตรเครดิต Visa, PayPal หรือใช้จัดวางตัวแอดมินเพจใครเพจมันได้เลย

ข้อดีของมันคือ
นอกจากมันจะช่วยในเรื่องการจัดการทำ Facebook Ads ที่ง่ายแล้ว การสร้างกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หรือคนที่เราต้องการจะให้โฆษณาเข้าถึงนั้น ก็ทำได้ง่ายและเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเพียงแต่เราที่เป็นคนสร้าง Facebook Ads ต้องขยันๆ เข้าไปอ่านและใช้ความคิดวิเคราะห์ลูกค้าของเราด้วยนะ เช่น ข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มลูกค้าเราในเพจเฟสบุ๊ค (Audience Insight) อันนี้คือต้องเข้าไปกำหนดก่อนเลยนะ มันจะสามารถกำหนดได้ ถือพื้นที่ของกลุ่มลูกค้า อายุ เพศ ตำแหน่งงาน การศึกษา แบบตอนเรากรอกแบบสอบถามทั่วไปเลย แต่ที่ดีและแม่นไปว่าอันนี้คือ  ความสนใจของกลุ่มลูกค้า ซึ่งโดยปกติเราจะขายของเราจะต้องรู้ว่าลูกค้าเราเป็นใครและสนใจสินค้าเราเพราะอะไร สนใจสินค้าเราไปทำอะไร เช่น เราขายรองเท้าวิ่ง ลูกค้าเราอาจจะต้องเป็นคนที่สนใจในการออกกำลังกาย การกินคลีน การลดน้ำหนัก การยืดเส้น โยคะ หรือหากเราเป็นร้านขายอุปกรณ์ทำขนม กลุ่มลูกค้าเราอาจจะคาบเกี่ยวกับคนหลายประเภทตามขนมที่เค้าจะทำกิน เน้นเลยนะ ตามประเภทของขนมที่เค้าจะทำกิน เช่น ขนมอบสายคลีนสำหรับคนรักสุขภาพ หรือแม้ในกระทั่งคนรักสุขภาพบางคนอาจจะกินเฉพาะผักเป็นมังสวิรัติ หรือบางกลุ่มคนกินสายคีโตจีนิก ที่เน้นพวกไขมัน ชีสเค้ก มันก็คนละกลุ่มกัน  ซึ่งยิ่งเราเข้าไปกำหนดกลุ่มลูกค้าละเอียด จะยิ่งทำให้เราส่ง Facebook Ads หรือโฆษณาสินค้าที่เราสร้างไปถึงลูกค้าได้แม่นขึ้น ทำให้โอกาสที่ลูกค้าจะซื้อของก็มากขึ้นด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.upmedio.com/th/facebook-marketing/

17
ในการทำธุรกิจบนโลกของความเป็นจริง หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะเผชิญกับคำว่า “คู่แข่ง” ทั้งทางตรงและทางอ้อม หรือสินค้า/บริการทดแทน หมายถึงถ้าไม่ใช้สินค้าเราใช้อย่างอื่นแทนก็ได้ เช่น เราหิวข้าวซึ่งปกติก็จะกินข้าว แต่ถ้าเราถามว่าหิวแล้วจังหวะนั้นหาข้าวกินไม่ได้ กินอย่างอื่นให้หายหิวได้ไหม ตัวเลือกอาจเป็นขนมปังหรือนม หรือในปัจจุบันที่ล้ำไปกว่านั้นหากเราหิวแล้วไม่อยากกินข้าวก็ยังมีอาหารทางเลือกอื่นๆอีกมากมาย เช่น เวย์โปรตีน อาหารเสริมประเภทเม็ด หรือรูปแบบเจลลี่ที่นิยมกันในตอนนี้ สำหรับในโลกดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งการแข่งขันเรื่องกลยุทธ์ระหว่างคู่แข่งเป็นอย่างไร และมีวิธีตอบโต้กันอย่างไร เรามาดูกัน

โดยทั่วไปแล้วในตลาดจะมีผู้เล่นอยู่ 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ผู้นำ ผู้ท้าชิง ผู้ตาม และตลาดที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะมีแผนกลยุทธ์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งที่ต่างกันออกไป หากเราเป็นธุรกิจหน้าใหม่ กิจการเล็กๆ เงินทุนต่ำ กลยุทธ์การตลาดที่เลือกใช้ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นกลยุทธ์ผู้ตามหรือกลยุทธ์การตลาดเฉพาะทาง ซึ่งในยุคสมัยนี้การทำดิจิทัลมาเก็ตติ้งนั้นไม่ได้ใช้ต้นทุนที่สูงเท่าเมื่อก่อน แต่หากเงินทุนที่ต่ำอาจจะต้องชดเชยด้วยเทคนิคและการวางแผนที่รัดกุมและตรงเป้าเพื่อไม่ให้เป็นการลงทุนที่สูญเปล่า

หลักการของผู้ตาม
กลยุทธ์การตลาดของผู้ตามที่เป็นที่นิยมมากๆ ทั้งในทาง Physical และดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งก็คือ “Me Too” เช่น มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบเลย์ออกรสชาติใหม่ ต้มยำหมูมะนาว เราขายมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบที่ตลาดนัดก็รีบไปหาสูตรต้มยำหมูมะนาวมาขายบ้าง เป็นต้น “Me Too” คือกลยุทธ์ที่ออกมาทำทุกอย่างตามแบรนด์ใหญ่ที่เป็นเจ้าตลาดตามความหมายตรงตัว แต่การทำดิจิทัลมาร์เก็ตติงแบบ “Me Too” ก็มีหลักการบิดตัวเอง ที่อาจจะพลิกตัวมาเป็นผู้นำก็ได้นะ

ขอบเขตการเล่นต้องแม่น
จงวิเคราะห์คู่แข่งๆของคุณอย่างถี่ถ้วน อาจไม่ใช่แค่เพียงหนึ่งเจ้า 2 3 4 เจ้าก็ได้ ว่าเค้าใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งแบบใด ช่องทางไหนบ้าง สื่อสารออกมาในรูปแบบใด แล้วคิดให้ออกว่าจริงๆ แล้วนั้น เหมือนหรือแตกต่างกับผลิตภัณฑ์ของคุณอย่างไร หากเรายังไม่ต่างแล้วคุณมีสินค้าหรือบริการอะไรพ่วงเข้าไปอีกได้ไหม การนำเสนอต่างช่องทาง ต่างกลุ่มลูกค้า การปรับเพิ่มหรือบริการทางดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งอาจเป็นความต่างเพียงนิดเดียว แต่พลังของดิจิทัลอาจกระพือให้ยิ่งใหญ่จนประหลาดใจก็ได้

ลองเป็นคนมาซื้อสินค้าหรือบริการ
ข้อนี้ฟังดูง่ายแต่ไม่ง่าย คนเราชอบเอาความคิดของตัวเองไปคิดแทนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราปรับความคิดมาเล่นบทบาทเป็นคนซื้อหรือใช้บริการจริงๆ ลองคิดดูว่า เค้าซื้อสินค้าเราไปทำอะไร ไปทำที่ไหน ใช้ยังไง ใช้กับใครไหม ถ้าเค้าไม่มีสินค้าเราแล้วเค้าใช้อะไรแทน การที่เราเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าเราจะยิ่งทำให้เราปรับแต่งการสื่อสาร วางแผนดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งได้ตรงเป้ามากยิ่งขึ้น
การเป็นธุรกิจตัวเล็กนั้นไม่ง่ายแต่ก็มีข้อดีที่เวลาขยับตัวหรือจะทำอะไรไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงมาก ไม่ได้ใช้งบประมาณมาก แต่จงเป็นผู้ตามทางธุรกิจอย่างมีชั้นเชิง จงท่องไว้ว่าในโลกดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งต่างเพียงนิดเดียวก็ทำให้เราพลิกได้

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.upmedio.com/th/digital-marketing-agency/

18
เมื่อเทรนด์ของพฤติกรรมผู้บริโภคและปัจจัยทางด้านเทคโนโลยีเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้บทบาทของดิจิทัลเอเจนซี่แทบจะเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ระบบการทำงาน, การหาลูกค้าใหม่ และการรักษาลูกค้าเดิมไว้เริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น ดิจิทัลเอเจนซี่ในปัจจุบันจึงต้องมีการปรับระบบการทำงานภายในทีมรวมถึง Mind Set ของลูกทีม เพื่อคิดค้นหากลยุทธ์การทำการตลาดที่จะทำให้ธุรกิจทั้งของลูกค้าและของตัวเอเจนซี่เองอยู่รอด

ความเชี่ยวชาญในการทำการตลาดออนไลน์ที่ต้องลงลึกในส่วนงานใดส่วนงานหนึ่ง
เมื่อก่อนเอเจนซี่จะมีการทำงานที่ให้บริการด้านการตลาดที่หลากหลาย และไม่ได้มีการเน้นด้านใดด้านหนึ่ง แต่เมื่อการแข่งขันในท้องตลาดมีความเข้มข้นมากขึ้น ผลลัพธ์จากการทำการตลาดแบบเดิมๆ ไม่สามารถตอบโจทย์หรือให้ผลตอบรับได้ดีเหมือนเดิม หลายๆ เอเจนซี่จึงได้มีการปรับการทำงานของทีมรวมถึงรูปแบบการให้บริการ โดยที่เน้นการทำงานแบบ Specialist ในแต่ละส่วนมากกว่าเดิม เช่น Specialist ด้านการทำ SEO ก็จะมีการใช้เครื่องมือเฉพาะสำหรับ SEO รวมถึง Data ที่เกี่ยวข้องกับ SEO มาใช้ในการปรับปรุงธุรกิจแบบเน้น Organic Result, หรือ Specialist ด้านการทำ Google Ads ที่จะต้องวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมบนเสิร์ชเอนจินได้ลึกซึ้งมากกว่าเดิม และสามารถใช้เครื่องมือ+กลยุทธ์เฉพาะเพื่อเสริมการทำงานของแคมเปญโฆษณา เป็นต้น

ก้าวให้ทันเทคโนโลยี กระแสความต้องการของผู้บริโภค และเปิดกว้างเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
มีเอเจนซี่จำนวนไม่น้อยที่ยังขาดความเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ๆ ในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้ระบบการทำงานและแนวคิดไม่ได้เกิดการพัฒนาไปเท่าที่ควร เอเจนซี่สมัยใหม่จึงต้องมีการติดตามกระแสเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและกลยุทธ์การทำการตลาด และต้องมีการคิด วางแผน ประยุกต์เทคโนโลยีนั้นๆ เข้ากับระบบการทำงานของทีมและแผนงาน เพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าที่คาดหวังจะเห็นกราฟการเติบโตที่สูงขึ้นมากกว่าคงที่

การเป็นดิจิทัลเอเจนซี่ในยุคปัจจุบันนี้นับว่าไม่ง่ายที่จะต่อสู้กับคู่แข่งหรือความคาดหวังจากลูกค้า การที่มีความเชี่ยวชาญทางสายงานนี้อาจจะต้องมีองค์ประกอบอย่างอื่นเข้ามาเสริมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ต้องรวดเร็วมากขึ้น แผนการทำงานที่ทันสมัยและครีเอทีฟมากขึ้น หรือแม้แต่การเปิดกว้างทางความคิดมากขึ้น  เพราะฉะนั้นเอเจนซี่จะต้องไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาฝีมือเพื่อเป็นเครื่องมือที่แข็งแกร่งให้กับเอเจนซี่เองและลูกค้าในระยะยาว

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.upmedio.com/th/digital-marketing-agency/

19
การทำการตลาดดิจิทัลในปัจจุบันนั้นมีการแข่งขันที่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำ Google Ads, SEO หรือ SEM, Social Media Advertising เป็นต้น หลายๆ บริษัทต่างงัดเทคนิคและกลยุทธ์ใหม่ๆ มาใช้ต่อสู้บนพื้นที่ทางการตลาดในสังคมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ตามสถิติคร่าวๆ แล้วจะเห็นได้ว่ามากกว่า 61% ของผู้ที่ค้นหาบางสิ่งด้วย Google จะสร้างคลิกแบบออร์แกนิกโดยคลิกผลการค้นหาที่ติดอยู่บนอันดับแรกๆ โดยมากกว่าครึ่งจะคลิกที่ผลการค้นหา 3 อันดับแรก เพราะฉะนั้นการทำให้คอนเทนต์พาเว็บไซต์ขึ้นไปติดหนึ่งในสามอังดับแรกจึงต้องมีการปรับปรุงคุณภาพคอนเทนต์โดยการทำ SEO นั่นเอง

ปัจจัยที่จะทำให้คุณภาพของการทำ SEO นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้นมีอยู่ไม่น้อย บทความนี้จะช่วยแนะแนวทางการทำ SEO ให้กับคุณ

ทำความเข้าใจหลักการทำงานของ SEO
คุณจะทำ SEO ได้ยากหากคุณไม่รู้ว่า SEO คืออะไร, หลักการของ SEO คืออะไร, การทำ SEO ต้องทำอย่างไร  เป็นต้น เมื่อคุณเริ่มศึกษาศาสตร์แห่ง SEO คุณก็จะมองเห็นแนวทางและองค์ประกอบคล้ายๆ กับการต่อจิ๊กซอ พอคุณได้จิ๊กซอครบแล้วคุณก็จะมองภาพของ SEO ได้อย่างชัดเจนและสามารถรู้ส่วนงานที่จะลงมือเริ่มทำได้

เครื่องมือการทำและวัดผล SEO มีมากมายให้เลือกใช้
ในการลงมือทำ SEO คุณอาจจะต้องใช้เครื่องมือมาช่วย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเช็คประสิทธิภาพเว็บไซต์, เครื่องมือสร้างคอนเทนต์, เครื่องมือวัดและติดตามผล เป็นต้น เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นปัญหาหรือช่องโหว่ของเว็บไซต์คุณและทำให้คุณสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด

เรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ จากคู่แข่ง
มีเครื่องมือไม่น้อยที่จะช่วยให้คุณเห็นประสิทธิภาพเว็บไซต์คู่แข่ง หากคุณลองใช้เครื่องมือแล้วคุณก็สามารถเห็นเทคนิคหลายๆ อย่างที่คู่แข่งใช้ และสามารถเห็นว่าคู่แข่งของเราโดดเด่นด้านใด เมื่อคุณวิเคราะห์คู่แข่งได้แล้วคุณก็สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณให้เทียบเท่าหรือเหนือคู่แข่งได้

จับทิศทางกลุ่มเป้าหมายและสร้างคอนเทนต์ตอบสนอง
การวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายเป็นหนึ่งในหลักพื้นฐานการทำการตลาดที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการสร้างคอนเทนต์ SEO ได้ คุณต้องรู้และจับทางกลุ่มเป้าหมายให้ได้ว่ามีพฤติกรรมการเข้าถึงสื่อหรือเว็บไซต์อย่างไร มีการตอบสนองต่อคอนเทนต์แบบไหนเป็นพิเศษ เมื่อคุณจับทางได้แล้วคุณก็สามารถผลิตคอนเทนต์ที่โดนใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากปัจจัยเหล่านี้แล้วองค์ประกอบของแต่ละส่วนของเว็บไซต์ คุณภาพคอนเทนต์ ประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร ก็มีผลที่จะทำให้ SEO เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้นหากคุณสามารถวิเคราะห์ สร้างสรรค์ และมีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มคุณภาพให้การทำ SEO การติดหนึ่งในสามผลการค้นหาบนเสิร์ชเอนจินก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.upmedio.com/th/

หน้า: [1]