ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - พรสัก ส่องแสง

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9
151
โรคซึมเศร้า

ในปัจจุบัน ชีวิตของแต่ละคนต้องพบเจอปัญหาต่าง ๆ มากมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเครียด ความกดดันโดยไม่รู้ตัว ทั้งในเรื่องการทำงาน การเงิน ความสัมพันธ์ จึงทำให้หลายคนเป็นโรคซึมเศร้า โดยไม่รู้ตัว เกิดอาการหดหู่ เศร้าซึม กว่าจะรู้ตัวก็อาจจะสายเกินไป แล้วโรคซึมเศร้าคืออะไร แบ่งออกเป็นกี่ประเภท โรคซึมเศร้ามีกี่ระดับ มีแนวทางการรักษาอย่างไร ควรดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคนี้ได้อย่างไร และสุดท้าย เราสามารถป้องกันโรคนี้ได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ เราควรจะรู้ไว้ เพื่อให้รู้เท่าทัน สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

โรคซึมเศร้า คืออะไร

โรคซึมเศร้า หรือเรียกว่า Depressive disorder คือ ความเจ็บป่วยทางจิตวิทยาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและร่างกายของบุคคลอย่างรุนแรง โดยทั่วไปแล้ว โรคนี้มักทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหดหู่ ซึมเศร้า เหนื่อยล้า เบื่อหน่าย ไม่มีความสุขตลอดเวลา จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางกาย ทำให้น้ำหนักลดลง สัญญาณปลายประสาทภายในสมองลดลง หมดความสนใจในกิจกรรมที่ชื่นชอบ ต้องการอยู่คนเดียว ไม่เข้าสังคม คิดเกี่ยวกับความตาย หรือการกระทำที่ทำให้ตัวเองเสี่ยงอันตราย

โรคซึมเศร้ามีกี่ประเภท

โรคซึมเศร้าสามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่

  • โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) เป็นประเภทพบบ่อยที่สุด อีกทั้งยังมีอาการรุนแรงที่สุด
  • โรคซึมเศร้าหลังคลอด (Postnatal Depression) เกิดหลักงจากการคลอดลูก มักเกิดในผู้หญิงที่มีลูกใหม่ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียด ความหดหู่ รู้สึกไม่อยากดูแลลูก
  • โรคซึมเศร้าเรื้อรัง (Dysthymia Depression) เป็นประเภทที่มีอาการยาวนาน โดยไม่มีความรุนแรงเท่าโรคซึมเศร้าประเภทอื่น ๆ กว่าอาการจะปรากฎก็ใช้เวลาอย่างร้อย 2 ปี
  • โรคซึมเศร้าก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Dysphoric Disorder) มักเกิดในช่วงเวลาก่อนมีประจำเดือน มักเกิดในระยะเวลาสั้น ๆ
  • โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder – SAD) มักจะเกิดเฉพาะบุคคลในบางฤดูกาล ก่อให้เกิดความเครียดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จึงทำให้จิตใจมีความหดหู่ โดยเฉพาะในฤดูหนาว

อาการโรคซึมเศร้าเป็นอย่างไรบ้าง?

อาการโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้ามีหลากหลายประเภท แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว จะมีอาการโรคซึมเศร้าคล้าย ๆ กัน ดังนี้

  • เกิดความรู้สึกเศร้า หดหู่ เสียใจ ไม่มีความสุข หรือสร้างความสุขในตัวเองได้ยาก
  • หมดความสนใจในกิจกรรมที่เคยสนใจ หรือกิจกรรมที่ชอบ
  • เกิดความเจ็บปวดในร่างกายอย่างไม่มีสาเหตุ
  • หมดความมุ่งมั่นในการทำงานหรือใช้ชีวิต
  • รู้สึกล่องลอย ไม่สามารถประคองสติไว้ได้อย่างครบถ้วน รู้สึกอ่อนแอ เปราะบาง
  • โรคซึมเศร้าทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนตามมาด้วย เช่น การนอนไม่หลับ นอนหลับไม่เพียงพอ
  • คิดมากเกี่ยวกับการตาย คิดวนเวียน จนถึงการคิดถึงสิ่งที่เสี่ยงจะทำให้ร่างกายเกิดอันตราย
  • ประสิทธิภาพในการคิดลดลง ตัดสินใจในสิ่งต่าง ๆ ยากขึ้น
  • ร่างกายเหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น หดหู่เช่นเดียวกับสุขภาพจิตใจ

หากเราหรือคนรอบข้างมีอาการเหล่านี้ หรือเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพจิต ควรพบแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อเข้ารับการประเมินและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดอาการ ปรับสภาพจิตใจให้ดีขึ้น ก่อนที่อาการโรคซึมเศร้าจะเป็นมากขึ้น จนอยู่ในระดับที่ไม่สามารถรักษาได้ เพราะโรคซึมเศร้าเองก็มีระดับด้วยเช่นกัน

แล้วโรคซึมเศร้ามีกี่ระดับ โรคซึมเศร้าอาจจะไม่ได้มีระดับความรุนแรงชัดเจนเหมือนโรคอื่น ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง แต่ก็มีการจำแนกระดับตามความรุนแรงของโรค เพื่อให้วินิจฉัยได้ง่ายขึ้น วางแผนการรักษาได้เหมาะสม โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้

  • โรคซึมเศร้าระดับเล็กน้อย (Mild) มักมีอาการไม่รุนแรงมาก ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากนัก ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่อาจจะมีอาการเศร้าบ้างในบางเวลา
  • โรคซึมเศร้าระดับปานกลาง (Moderate) มีอาการรุนแรงขึ้น อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวัน มีโอกาสเสี่ยงในการทำร้ายร่างกายตัวเอง
  • โรคซึมเศร้าระดับรุนแรง (Severe) มีอาการรุนแรงมาก ส่งผลกระทบต่อการทำงาน ความสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่นในประจำวัน เสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองสูง บางรายจะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล

โดยระดับความรุนแรงของโรคซึมเศร้านี้ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคน แต่ทั้งนี้ หากเกิดอาการก็ควรเข้าพบแพทย์ เพื่อให้นักจิตวิทยาหรือแพทย์ประเมินความรุนแรง วางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมในแต่ละคน

สาเหตุของโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้าเกิดจากอะไร ทำไมในปัจจุบันหลายคนถึงเป็นโรคซึมเศร้ากันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว สาเหตุของโรคซึมเศร้า ได้แก่

  • ความเครียดในปัญหาต่าง ๆ จนเกิดความคิดในแง่ลบ เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า
  • เกิดบาดแผลทางจิตใจจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น สูญเสียคนที่รัก การเกิดอุบัติเหตุ การล้มละลาย
  • ความผิดปกติทางร่างกาย เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง เช่น ฮอร์โมน สารสื่อประสาท สารเคมีสมองอื่น ๆ อาจมีผลในการเกิดโรคซึมเศร้า
    พันธุกรรมภายในครอบครัวก็สามารถส่งต่อได้ด้วยเช่นกัน หรือทำให้เรามีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าคนอื่น
  • นิสัยส่วนตัวของแต่ละคนก็อาจจะทำให้เป็นโรคซึมเศร้า เช่น มีความอ่อนแอจนเก็บกด จิตใจเปราะบางไม่สามารถรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เป็นต้น
  • ปัจจัยสภาวะแวดล้อมภายนอก เช่น ความกดดันจากการทำงาน ความเสี่ยงทางการเงิน ความวิตกกังวลเกี่ยวกับคุณภาพชีวิต

แต่อาจจะกล่าวได้ว่า เมื่อใดที่ร่างกายหรือจิตใจมีความทุกข์ มีความเจ็บปวดจนเกิดความกดดันเป็นระยะเวลานาน จิตใจไม่สามารถปล่อยวางหรือจัดการความทุกข์นั้น ก็มีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าได้

โรคซึมเศร้ากับแนวทางการรักษา

ยารักษาโรคซึมเศร้า

การบำบัดโรคซึมเศร้ามีหลายวิธี ซึ่งช่วยลดอาการ ปรับสภาพจิตของผู้ป่วยได้ โดยมักจะใช้แบบผสมผสานกันระหว่างการรักษาทางการแพทย์ การรักษาทางจิตวิทยา และการดูแลร่างกาย ดังนี้

  • การรักษาทางการแพทย์ เป็นการใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า ได้แก่
1. ยาแก้ซึมเศร้า (Antidepressant Medications) จะช่วยเพิ่มระดับสารเคมีในสมองทางด้านความสุข เช่น serotonin, norepinephrine, dopamine เป็นต้น โดยยานี้ มักใช้เป็นระยะเวลานาน อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
2. ยาควบคุมอารมณ์ (Mood stabilizing drugs) ใช้เพื่อควบคุมอาการโรคซึมเศร้า

  • การรักษาทางจิตวิทยา (Psychotherapy) เป็นการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา สนับสนุนจิตใจ หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการอารมณ์และความคิด เทคนิคการแก้ปัญหา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
  • การดูแลร่างกาย ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ
1. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
2. รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ มีประโยชน์ต่อร่างกาย
3. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน
4. นอนหลับพักผ่อนให้เต็มอิ่ม
5. ลดความเครียดเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ
6. หาเทคนิคการจัดการความเครียด

นอกจากการรักษาข้างต้นแล้ว ยังสามารถบำบัดโรคซึมเศร้าด้วยการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น

  • การสนับสนุนทางจิตใจจากคนในครอบครัว เพื่อนสนิท คนรอบข้าง คอยให้กำลังใจ รับฟังปัญหา
  • ดูแลสุขภาพใจด้วยตนเอง เรียนรู้การปล่อยวาง หาทางออกของปัญหาให้เร็ว เพื่อรักษาสุขภาพใจของตัวเอง

เป็นโรคซึมเศร้า ควรดูแลตัวเองอย่างไร

หากเป็นโรคซึมเศร้า ควรดูแลตัวเองอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูและควบคุมโรคนี้ โดยดูแลตัวเอง ดังนี้

  • รับประทานยารักษาโรคซึมเศร้า ตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ฝึกฝนจิตใจให้มีความผ่อนคลาย ปล่อยวางกับปัญหา ความเครียดต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยง
  • มีความเคารพตัวเอง ยอมรับความเป็นจริง ปล่อยตัวเองออกจากความกดดันต่าง ๆ
  • ดูแลสุขภาพร่างกาย ด้วยการออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ
  • สนทนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับคนรอบข้างให้มากขึ้น ไม่เก็บความอึดอัดไว้กับตัวคนเดียว
  • เมื่อรู้สึกไม่สบายตัว เริ่มรู้สึกซึมเศร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ควรเข้าพบแพทย์ในทันที
  • ติดตามผลการรักษา เข้าพบแพทย์ตามนัดหมายเป็นประจำ

การป้องกันโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า ป้องกันและรักษา

โรคซึมเศร้าสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และอาจจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น เราจึงต้องเรียนรู้วิธีการป้องกันโรคนี้ เพื่อรักษาสุขภาพกายและใจ ลดโอกาสเสี่ยง ดังนี้

  • สาเหตุของโรคซึมเศร้าหลัก ๆ คือ สภาพจิตใจที่อ่อนแอ ดังนั้น การป้องกันที่ดี คือ การดูแลสุขภาพจิตให้แข็งแรง ยอมรับและปล่อยวางความเครียดต่าง ๆ
  • รับประทานอาหารที่มีโภชนาการ เพื่อให้สารสื่อประสาทในสมองทำงานเป็นปกติ ควรเน้นการรับประทานผัก ผลไม้
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อช่วยเพิ่มระดับสารสื่อประสาทเกี่ยวกับความสุข จะช่วยลดความเครียดได้
  • เรียนรู้เทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การฝึกสมาธิ การทำโยคะ เพื่อช่วยในการควบคุมความเครียด
  • เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กับครอบครัว หรือสังคม เพื่อลดโอกาสในการอยู่คนเดียว หากิจกรรมต่าง ๆ ทำ เพื่อความผ่อนคลาย
  • เข้าใจสัญญาณและอาการของโรคซึมเศร้า ช่วยให้เรารู้เท่าทันอาการของตัวเอง
  • มีความเชื่อมั่นในตนเอง เคารพตัวเอง เชื่อว่า ตนเองมีคุณค่า สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้
  • ถ้าหากรู้สึกว่าจิตใจอ่อนแอหรือมีอาการเศร้า ไม่ควรปิดบังความรู้สึก ควรขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือผู้เชี่ยวชาญทันที
  • การดื่มสุราหรือใช้ยาเสพติดอาจทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น
  • เรียนรู้เทคนิคการแก้ปัญหา เพื่อนำมาใช้จัดการความท้าทาย ความยากลำบาก ปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิต

การป้องกันตัวเองจากโรคซึมเศร้า รวมถึงการดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคนี้ มีแนวทางที่คล้าย ๆ กัน คือ การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เช่น การออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ และสุขภาพใจให้ดี ด้วยการผ่อนคลายความเครียด ปล่อยวาง ไม่ยึดติด โดยผู้ที่เป็นโรคนี้ จะต้องดูแลตัวเองเพิ่มด้วยการกินยารักษาโรคซึมเศร้าอย่างเคร่งครัด ตามคำสั่งของแพทย์

สรุปโรคซึมเศร้าเกิดจากอะไร หันมาดูแลตัวเองอย่างไรดี

โรคซึมเศร้าเกิดขึ้นได้กับทุกคน ตลอดเวลา ด้วยสภาพปัญหาทั้งภายนอกและภายใน เช่น การทำงาน ความสัมพันธ์ สภาพสังคม สิ่งเหล่านี้ ล้วนอาจจะเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้าได้ทั้งสิ้น ดังนั้น เราจึงต้องหมั่นคอยดูแลสุขภาพใจของเราให้ดี หากเกิดอาการเศร้าหมอง มีความหดหู่ก็ควรขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการประเมิน วางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าหรือการปรึกษาทางจิตวิทยา เพื่อควบคุมและบรรเทาอาการให้ดีขึ้น


152
คอร์สเรียนออนไลน์ พร้อมให้คุณเรียนได้ทุกที่และทุกเวลา
คอร์สเรียนออนไลน์" border="0

รูปแบบการเรียนที่เหมาะสมกับยุคในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เทคโนโลยี ดนตรี ทำอาหาร ภาษา หรือคอร์สเรียนต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับผู้เรียนในยุคปัจจุบัน ที่ผู้เรียสามารถเลือกเวลาเรียนได้เอง อีกทั้งสามารถเรียนได้ทุกที่อีกด้วย ก็คงไม่พ้นคอร์สเรียนออนไลน์ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับคนที่ต้องการหาความรู้เพิ่มเติม แต่ยังไม่มีเวลาที่จะไปลงเรียนตามคอร์สแบบออฟไลน์ อีกทั้งการเรียนคอร์สออนไลน์คุณไม่จำเป็นต้องเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนก็สามารถเรียนได้ที่บ้าน หรือสถานที่ไหนก็ได้ตามความสะดวก

คอร์สเรียนออนไลน์นับว่าเป็นรูปแบบการเรียนที่เป็นที่นิยม และเหมาะกับคนรุ่นใหม่อย่างมาก อีกทั้งประโยชน์ของคอร์สเรียนออนไลน์ก็มีข้อดีมากมายอย่างการเรียนเวลาไหนก็ได้ เรียนได้ทุกที่ ตามความสะดวกของผู้เรียน อีกทั้งสามารถย้อนกลับไปเรียนใหม่ได้เมื่อไม่เข้าใจในบทเรียนนั้น ๆ

ทำไมต้องมองหาคอร์สเรียนออนไลน์ มีประโยชน์อย่างไร
ทำไมต้องมองหาคอร์สเรียนออนไลน์" border="0

คอร์สเรียนออนไลน์ในปัจจุบันเป็นรูปแบบการเรียนที่หลายคนรู้สึกสะดวกที่จะเรียนรูปแบบออนไลน์ ด้วยข้อดีของรูปแบบการเรียนนี้ ทำให้มีผู้เรียนหลายคนเลือกที่จะลงคอร์สเรียนออนไลน์ และเหตุผลที่คุณควรมองหาคอร์สเรียนออนไลน์ มีดังนี้

  • ความยืดหยุ่นในการเรียน คอร์สเรียนออนไลน์คุณสามารถที่จะเรียนได้ตามเวลาที่คุณต้องการเรียน หรือเลือกเรียนกี่ชั่วโมงก็ได้ต่อหนึ่งวัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์สอนเริ่มต้นทำธุรกิจ การเรียนกลยุทธ์การตลาดต่าง ๆ โดยคอร์สเรียนการเริ่มต้นธุรกิจ เป็นคอร์สเรียนออนไลน์ยอดนิยมในปัจจุบัน
  • หลักสูตรเรียนออนไลน์ที่หลากหลาย โดยคอร์สเรียนออนไลน์นั้นจะมีให้คุณได้เลือกหลายหลักสูตร ตั้งแต่คอร์สเริ่มต้นไปจนถึงคอร์สในระดับสูงสุด ซึ่งคุณสามารถเรียนได้ตามเป้าหมายของคุณ
  • คอร์สเรียนออนไลน์ จะช่วยคุณประหยัดค่าเดินทางไปได้เยอะมาก โดยเฉพาะคนที่อาจจะอยู่ต่างจังหวัด และต้องการเรียนคอร์สเรียนในกรุงเทพ คุณไม่จำเป็นต้องเสียค่าเดินทาง แต่สามารถเรียนได้ที่บ้านของคุณได้เลย
  • การเรียนคอร์สเรียนออนไลน์ คุณสามารถเลือกหลักสูตรที่ตรงตามทักษะของคุณได้ หรือระดับความรู้ของคุณ อีกทั้งยังสามารถไปดูเนื้อหาซ้ำใหม่อีกรอบได้ หากคุณยังไม่เข้าใจในเนื้อหานั้น ๆ

ก่อนมองหาคอร์สเรียนออนไลน์ ควรเตรียมตัวอย่างไร
ก่อนที่คุณจะมองหาคอร์สเรียนออนไลน์ สิ่งที่คุณควรพิจาณาเพื่อใช้ในการตัดสินใจก่อนการเรียนคอร์สเรียนออนไลน์ มีดังนี้

  • มองหาคอร์สเรียนออนไลน์ที่ตรงตามเป้าหมายของคุณ หรือสิ่งที่คุณต้องการเรียน เพื่อไปใช้ต่อยอดในด้านอื่น ๆ เช่น คอร์สเรียนออนไลน์ที่เกี่ยวกับการเริ่มต้นทำธุรกิจ , คอร์สเรียนออนไลน์เกี่ยวกับการเงินการลงทุน ,คอร์สเรียนออนไลน์เกี่ยวกับการเรียนภาษา เป็นต้น
  • ประเมินระดับความรู้ของคุณ ก่อนเริ่มทำการลงเรียนคอร์สเรียนออนไลน์ เพื่อให้ได้หลักสูตรที่เหมาะกับระดับความรู้ของคุณ
  • ตรวจสอบตัวคุณเองเกี่ยวกับการเรียนรูปแบบออนไลน์ว่า คุณชอบเรียนในรูปแบบออนไลน์หรือไม่ บรรยากาศในการเรียน การเรียนแบบจัดสรรเวลาเอง หรือคุณเหมาะกับการเรียนออฟไลน์มากกว่า เป็นต้น
  • ประเมินราคาต่อคอร์สเรียนออนไลน์ว่าคุ้มค่ากับคุณหรือไม่ หากคุณมีงบประมานที่จำกัดอาจต้องมองหาคอร์สเรียนที่ราคาไม่สูงมาก ซึ่งแนะนำให้คุณ คำนวณค่าใช้จ่ายไว้ตั้งแต่แรก ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ผิดหวังในภายหลัง
  • การมองหาคอร์สเรียนออนไลน์ ตามรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการมาก่อนหรือจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ
  • การสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับสถาบันที่เปิดคอร์สเรียนออนไลน์ เพื่อเป็นการเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียดและถูกต้อง

คอร์สเรียนออนไลน์มีกี่หมวดหมู่ มีรูปแบบไหนบ้าง
คอร์สเรียนออนไลน์มีกี่หมวดหมู่" border="0

1. ในรูปแบบองค์กร
คอร์สเรียนออนไลน์ในรูปแบบองค์กร เป็นคอร์สเรียนที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงาน เพื่อให้ผู้เรียนได้ปรับตัวเข้ากับองค์กรได้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะที่ต้องใช้ในการทำงาน หรือสายงานที่คุณทำอยู่ การรอบรู้เรื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคอร์สเรียนออนไลน์ในรูปแบบนี้จะพัฒนาองค์กรให้มีศักภาพมากขึ้น ให้องค์กรของคุณพร้อมสำหรับยุคดิจิทัล

2. ในรูปแบบบุคคล
คอร์สเรียนออนไลน์ในรูปแบบบุคคล เป็นคอร์สเรียนที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพต่าง ๆ ให้กับตนเอง คุณสามารถเลือกเรียนได้ตามเป้าหมายของคุณ เพื่อนำความรู้ไปใช้ต่อยอดในด้านอื่น ๆ ซึ่งมีคอร์สสอนออนไลน์ที่เป็นที่นิยม เช่น คอร์สเรียนทำธุรกิจ คอร์สเรียนเกี่ยวกับการเงิน การลงทุน คอร์สเรียนเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง เพื่อพร้อมสำหรับยุคดิจิทัลในปัจจุบัน

สรุป
สำหรับคอร์สเรียนออนไลน์เป็นรูปแบบการเรียนที่นิยมมากที่สุด และผู้เรียนหลายท่านเลือกเรียนด้วยวิธีนี้ เนื่องจากมีความสะดวก และสามารถจัดสรรเวลาเรียนได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งสถาบันที่เปิดคอร์สเรียนออนไลน์ก็มีให้เลือกหลายสถาบันด้วยกัน ซึ่งคุณสามารถเลือกเรียนได้ตามเป้าหมายของคุณ หรือความรู้ที่คุณต้องการนำไปต่อยอด และหลักสูตรคอร์สเรียนออนไลน์ที่เป็นที่นิยมคือ การเรียนธุรกิจ จะตอบโจทย์สำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำธุรกิจ หรือผู้ที่ทำธุรกิจอยู่แล้ว โดยสถาบันที่สามารถเพิ่มศักภาพเกี่ยวกับการทำธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้นจนไปถึงขั้นสูงสุด อย่าง FutureSkill เป็นสถาบันที่พร้อมพัฒนาคุณ และองค์กรของคุณด้วยแพลตฟอร์มการเรียนรู้ยุคดิจิทัลที่ครบที่สุด

153
ช่างฝ้า ช่างซ่อมฝ้าเพดานมืออาชีพ สำคัญอย่างไร ?
ช่างฝ้าเพดาน" border="0

ปัญหาฝ้าเพดานบ้าน ถือเป็นปัญหาที่หลายคนพบเจอ เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองยาก แถมยังมีอันตรายหากทำการซ่อมด้วยตัวเองแบบไม่มีความชำนาญมากพอ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือความเสียหายกับฝ้าเพดานเพิ่มเติมได้ การเรียกช่างฝ้าระดับมืออาชีพให้เข้ามาจัดการปัญหาฝ้าเพดาน ช่างฝ้าจึงมีความเหมาะสมมากที่สุด เพื่อความปลอดภัยของเจ้าของบ้าน และไม่ให้ปัญหาไม่ต้องเกิดซ้ำขึ้นได้อีก

เหตุผลที่ควรเลือกใช้บริการช่างฝ้าให้เข้ามาแก้ปัญหา
ช่างฝ้าเพดาน สำคัญอย่างไร" border="0

ในปัจจุบันช่างฝ้าถือเป็นผู้ที่มีความสำคัญมากต่อบ้านทุกหลัง โดยในปัจจุบันหลาย ๆ บ้านมีการใช้งานวัสดุของฝ้าเพดานที่แตกต่างกัน ทำให้เวลาฝ้าเพดานเกิดปัญหา จะไม่สามารถใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเดียวกันได้ แถมฝ้าเมื่อมีปัญหาแล้วถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เพราะว่าฝ้านั้นอยู่บนที่สูง และยังต้องมีการใช้งานอุปกรณ์ที่หลายอย่างมาก ซึ่งถ้าหากเป็นบ้านที่มีอุปกรณ์ไม่พร้อม ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่อาจจะก่อให้เกิดอันตราย รวมถึงการซ่อมแล้วปัญหาเดิมยังเกิดซ้ำไม่จบไม่สิ้น จึงควรเรียกใช้บริการช่างทำฝ้าให้เข้ามาจัดการปัญหาเกี่ยวกับฝ้าให้หมดไป

การเรียกช่างฝ้าของจากจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดแล้ว การใช้บริการจากช่างฝ้ามืออาชีพยังมีข้อดี ความคุ้มค่ามากกว่าการซ่อมเองหลายอย่างมาก โดยจะขอยกตัวอย่างเป็นข้อดังนี้

 • ช่วยให้ประหยัดค่าซ่อมฝ้าเพดานมากกว่าซ่อมเองมาก เพราะว่าอุปกรณ์ที่ใช้ซ่อมแต่ละชิ้นจะเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาสูง ต้องมีการดูแลเก็บรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ
 • ช่วยประหยัดเวลาในการซ่อม เพราะช่างซ่อมฝ้าเพดานมีความเป็นมืออาชีพที่เชี่ยวชาญปัญหาฝ้าเพดานสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้รวดเร็ว
 • มีความปลอดภัยไม่ต้องเสี่ยงในการซ่อมเอง เพราะงานฝ้าเพดานถือเป็นงานฝีมือ ที่ต้องมีความละเอียด และความแม่นยำสูง
 • ช่างฝ้าสามารถแก้ปัญหาฝ้าได้ตรงจุด ช่วยป้องกันปัญหาเดิมเกิดซ้ำ และยังช่วยป้องกันปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดได้ในอนาคต

ปัญหาฝ้าเพดานแบบไหนที่ควรเรียกช่างฝ้าให้เข้ามาจัดการ
ควรเรียกช่างฝ้าเมื่อใด" border="0

เมื่อฝ้าเพดานบ้านมีปัญหา ตามปกติแล้วจะถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของทุกบ้าน เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขโดยเร็ว เพราะเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญ และเป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุภายในบ้านได้ ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็ก หรือใหญ่ หากคุณไม่มีความชำนาญมากพอที่จะซ่อมเอง ควรเรียกใช้บริการช่างฝ้ามืออาชีพให้เข้าไปจัดการ โดยจะขอยกตัวอย่างปัญหาต่าง ๆ ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องแจ้งช่างฝ้าเพดานให้เข้ามาตรวจเช็กก่อนที่จะเกิดความเสียหาย

1.ฝ้าเพดานมีน้ำรั่วซึม
เป็นปัญหาแรก ๆ ที่มักพบได้ในฝ้าเพดานบ้านทุกหลัง มักเกิดในช่วงฤดูฝน กับฤดูหนาว ทำให้ฝ้าเป็นรอยคราบสกปรก มีเชื้อราเกิดขึ้น เมื่อพบปัญหาไม่ควรปล่อยเอาไว้นานเพราะอาจจะทำให้ฝ้าเพดานเกิดความเสียหายได้ ควรเรียกช่างฝ้าให้เข้ามาเพื่อตรวจสอบ และแก้ไขโดยเร็ว ซึ่งการรั่วซึมสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

 • ฝ้าเพดานน้ำรั่วซึมจากหลังคา
 • ฝ้าเพดานมีความชื้น/ไม่กันความชื้น
 • ฝ้าเพดานรั่วซึมจากภายนอก/ภายใน

2.ฝ้าเพดานมีปลวกกัดกิน
เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยสำหรับบ้านในประเทศไทย เป็นปัญหาที่มักพบได้ในฤดูฝนที่เป็นฤดูที่แมลงเม่าออกมาเพื่อผสมพันธุ์ โดยตัวอ่อนของแมลงเม่านั้นจะเป็นตัวปลวกที่จะกินแผ่นฝ้าเพดานเป็นอาหาร ส่งผลให้ฝ้าที่ถูกปลวกกินอาจเกิดการผุพัง ทำให้ฝ้าเพดานเกิดการยุบตัวได้ ถือเป็นปัญหาที่มีความอันตราย หากพบว่ามีปลวกบนฝ้าเพดานควรเรียกช่างฝ้าให้เข้ามาตรวจเช็กโดยเร็ว

3.โครงคร่าวฝ้าเพดานไม่แข็งแรง
โครงคร่าวถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับงานติดตั้งฝ้าเพดาน เพราะต้องเป็นจุดที่รองรับในการติดตั้งฝ้าเพดาน ซึ่งหากโครงคร่าวมีการผุพัง อาจทำให้ฝ้าถล่มลงมาได้ เมื่อพบปัญหาว่าฝ้ามีรอยแตกร้าวผิดปกติ ควรติดต่อช่างฝ้าเพื่อให้เข้ามาตรวจสอบ และทำการเปลี่ยนโครงคร่าวใหม่เพื่อความปลอดภัย

หากซ่อมฝ้าเพดานเอง ไม่เรียกช่างฝ้า มีผลเสียอย่างไร ?
งานการซ่อมฝ้าเพดานถือเป็นงานที่ต้องอาศัยทักษะงานช่างในระดับหนึ่ง เป็นงานที่ถือว่ามีความยาก เป็นงานที่หนักพอสมควร แถมยังเป็นงานที่มีความเสี่ยงอันตราย ผู้ที่ไม่อยากเสี่ยงจึงควรเรียกใช้บริการจากช่างฝ้ามืออาชีพมากกว่า เพราะจะช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้รวดเร็ว และแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากที่สุด ซึ่งในหัวข้อนี้จะชี้ให้เห็นถึงข้อเสียหากซ่อมฝ้าเพดานเอง แต่ไม่มีความชำนาญจะมีข้อเสียอะไรบ้าง

 • มีความเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุ เช่น พลัดตกจากที่สูง, ฝ้าหล่นทับ เป็นต้น
 • เสียเวลาการศึกษาวิธีในการซ่อม และเวลาในการซ่อมขั้นตอนต่าง ๆ นาน
 • แก้ปัญหาไม่หาย ปัญหาเดิมเกิดซ้ำ หรือมีปัญหาอื่น ๆ เพิ่มเติมมากกว่าเดิม
 • เสียเงินเยอะกว่าจ้างช่างฝ้า เพราะต้องซื้ออุปกรณ์ในการซ่อมแซมหลายชนิดเอง
 • ฝ้ามีรอยสกปรก มีรอยความเสียหายจากการซ่อมแซมที่ไม่ชำนาญ

ช่างฝ้าสำคัญขนาดไหน ?
จะเห็นได้เลยว่าช่างฝ้าถือว่ามีความสำคัญกับงานซ่อมฝ้าเพดานมาก เพราะการที่ฝ้าเพดานมีปัญหาหากเจ้าของบ้านทำการซ่อมแซมด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีความชำนาญมากพอ อาจทำให้ฝ้าเพดานเกิดความเสียหาย และเกิดอันตรายต่อร่างกายของตัวเองได้ การเรียกให้ช่างฝ้ามืออาชีพให้เข้ามาจัดการปัญหา จะเป็นการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดมากที่สุด

154
รวมบ้านพระราม 9 ที่พักอาศัยน่าสนใจ

สำหรับใครที่กำลังมองหาซื้อบ้านมือสองหรือโครงการหมู่บ้านย่านอาศัยในเมืองที่พร้อมด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ไม่ว่าจะห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล หรือแม้แต่การเดินทางต่าง ๆ อย่างรถไฟฟ้า 3 สาย บ้านพระราม 9 ถือว่าตอบโจทย์ความต้องการในด้านที่พักอาศัย เหมาะอย่างมากกับไลฟ์สไตล์สายปาร์ตี้ จะทำงาน กินเที่ยว หรือเดินช้อปปิ้งโซนบ้านพระราม 9 ก็มีพร้อมตลอดทั้งวัน เรียกได้ว่าเป็นแหล่งน่าอยู่และพื้นที่พักอาศัยที่ครบครันอย่างมากอีกทำเลหนึ่ง

จุดเด่นของบ้านพระราม 9

หากพูดถึงจุดเด่นของบ้านพระราม 9 ต้องบอกเลยว่าเป็นโซนที่พักอาศัยน่าอยู่อีกโซนหนึ่ง ด้วยเป็นแหล่งลงทุนของอาคารสำนักงานบริษัทมากมาย ผู้คนต่างมาเปิดทำธุรกิจ มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลากหลายให้เลือกเที่ยวเลือกช้อป โรงพยาบาลก็ทันสมัยเข้าถึงง่าย ทั้งยังมีรถไฟฟ้าผ่านครบทั้ง BTS, MRT และ Airport Rail Link ทำให้บ้านมือสองพระราม 9 เป็นทำเลอยู่อาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ทั้งยังตอบโจทย์อย่างมากสำหรับวิถีคนเมืองนอนดึก เพราะบ้านพระราม 9 เป็นย่านครื้นเครงพลุกพล่านตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

บ้านพระราม 9  ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท

บ้านพระราม 9 โครงการพฤกษาวิลล์ 50-1

บ้านพระราม 9  โครงการพฤกษาวิลล์ 50/1

บ้านพระราม 9 หมู่บ้านพฤกษาวิลล์ 50/1 เป็นทาวน์เฮ้าส์สูง 2 ชั้นบนเนื้อที่ 25.7 ตารางวา ตัวบ้านประกอบไปด้วย 3 ห้องนอนและ 2 ห้องน้ำ มีโรงจอดสำหรับรถ 1 คัน ทางบ้านได้ต่อเติมหลังคาด้านหน้า-หลัง ต่อเติมเคาน์เตอร์ครัวและติดเหล็กดัดรอบบ้าน มีเฟอร์นิเจอร์โซฟา ชั้นวางโทรทัศน์ ตู้เสื้อผ้า เครื่องปรับอากาศ 4 เครื่อง พร้อมด้วยปั๊มน้ำกับแทงก์น้ำ

ด้านการเดินทางบ้านพระราม 9 โครงการพฤกษาวิลล์ 50/1 มีท่าปล่อยรถเมล์สาย 93 สถานที่ใกล้เคียงมีซูเปอร์มาร์เก็ต โรงเรียนศาสนบำรุง, นวมินท์ คลินิก ราษฎร์พัฒนา และโรงพยาบาลสัตว์ราษฎร์พัฒนา โครงการบ้านพระราม 9 นี้ราคาอยู่ที่ 2,890,000 บาท

บ้านพระราม 9 โครงการกัสโต้

บ้านพระราม 9  โครงการกัสโต้

บ้านพระราม 9 โครงการกัสโต้ เป็นทาวน์โฮมสูง 2 ชั้นบนเนื้อที่ 20.7 ตารางวา ตัวบ้านมี 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องรับแขก 1 ห้องรับประทานอาหาร และโรงรถสำหรับจอดรถ 2 คัน สามารถเดินทางได้สะดวกทั้งรถยนต์ส่วนตัวหรือโดยสารขนส่งสาธารณะ สถานที่ใกล้เคียงบ้านพระราม 9ได้แก่ ซุปเปอร์มาร์เก็ต, โรงเรียนอนุบาลจิตรเกษม, โรงพยาบาลสัตว์วี เพท ฮอสพิทัล และตลาดจ่าสาร ทาวน์โฮมพระราม 9 หลังนี้ขายอยู่ที่ 2,890,000 บาท

บ้านพระราม 9  ราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท

บ้านพระราม 9 โครงการผึ้งหลวง

บ้านพระราม 9  โครงการผึ้งหลวง

บ้านพระราม 9 โครงการผึ้งหลวง เป็นทาวน์เฮ้าส์สูง 2 ชั้นบนเนื้อที่ 23 ตารางวา ตัวบ้านประกอบด้วย 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มีห้องโถง ห้องเก็บของ และโรงจอดสำหรับจอดรถ 2 คัน ภายในบ้านติดตั้งเตาไฟฟ้าใหม่และตู้เย็นใหม่ มีเครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องซักผ้าแบบเปิดฝาหน้าอบแห้ง พร้อมด้วยปั๊มกับแทงก์น้ำ บ้านพระราม 9 หลังนี้อยู่ใกล้ท่าปล่อยรถเมล์สาย 93 และรถไฟฟ้าสถานีทับช้าง อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า The Park,  โรงเรียนศาสนบำรุง และสายไหมสหคลินิก หมู่บ้านโครงการผึ้งหลวง พระราม 9 นี้ราคา 3,700,000 บาท

บ้านพระราม 9 โครงการพฤกษาวิลล์ 112

บ้านพระราม 9  โครงการพฤกษาวิลล์ 112

บ้านพระราม 9 โครงการพฤกษาวิลล์ 112 เป็นทาวน์โฮมสูง 2 ชั้นบนเนื้อที่ 19.9 ตารางวา ตัวบ้านประกอบไปด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และโรงจอดรถ 2 คัน ภายในบ้านติดตั้งผ้าม่าน ปั๊มและแทงก์น้ำ พร้อมด้วยเฟอร์นิเจอร์ตู้เสื้อผ้า โต๊ะวางโทรทัศน์ โต๊ะทานอาหาร และเครื่องปรับอากาศ 4 เครื่อง บ้านพระราม 9 เดินทางได้ง่ายด้วยรถเมล์สาย 93 อยู่ใกล้ซูเปอร์มาร์เก็ต, โรงเรียนศาสนบำรุง และนวมินท์ คลินิก ราษฎร์พัฒนา ขายบ้านพระราม 9 ที่ราคา 3,990,000 บาท

บ้านพระราม 9  ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท

บ้านพระราม 9 โครงการธารารมณ์ 1

บ้านพระราม 9  โครงการธารารมณ์ พาร์คเวย์โฮม (1)

บ้านพระราม 9 หมู่บ้านธารารมณ์ เป็นบ้านเดี่ยวสูง 2 ชั้น ตัวบ้านประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ โรงจอดรถ 2 คัน พื้นที่เชื่อมต่อหลายเส้นทางทำให้เดินทางได้ง่ายไม่ว่าจะถนนร่มเกล้าหรือวงแหวนรอบนอก บ้านพระราม 9 อยู่ใกล้พาซืโอ ศูนย์การค้าสัมมากรเพลส, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหง และโรงพยาบาลรามคำแหง 2 บ้านเดี่ยวพระราม 9 มีสโมสรพร้อมรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ขายในราคา 4,500,000 บาท

บ้านพระราม 9 โครงการธารารมณ์ 2

บ้านพระราม 9  โครงการธารารมณ์ พาร์คเวย์โฮม (2)

บ้านแถวพระราม 9 โครงการธารารมณ์ พาร์คเวย์โฮมที่น่าสนใจอีกหนึ่งหลัง บ้านพระราม 9 ประเภทบ้านเดี่ยวสูง 2 ชั้นบนเนื้อที่ 52.2 ตารางวา  มี 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ โรงจอดรถสำหรับจอด 1 คัน บ้านพระราม 9 เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีส้มสถานีน้อมเกล้า ใกล้ถนนรามคำแหง 150 และถนนราษฏร์พัฒนา 22 สถานที่ใกล้เคียงได้แก่พาซิโอ, ตลาดสัมมากร, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ และสนามบินสุวรรณภูมิ บ้านเดี่ยวหมู่บ้านธารารมณ์ราคาขายอยู่ที่ 4,790,000 บาท

โครงการบ้านพระราม 9 คุ้มค่า ตอบโจทย์ที่พักอาศัย

สำหรับใครที่มีไลฟ์สไตล์แบบคนเมือง ชอบการเดินทางที่สะดวกสบาย จะเดินทางไปไหนก็ง่ายด้วยรถไฟฟ้า 3 สาย จะไปทำงาน เดินช้อปที่ห้างสรรพสินค้า หรือเที่ยวกลางคืน ปาร์ตี้พักผ่อนหย่อนใจก็ออกไปได้รวดเร็วทันใจ เนื่องจากโซนบ้านพระราม 9 นั้นมีพร้อมครบครันทั้งยังครอบคลุมทุกสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นทำเลที่ครึกครื้นตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาบ้านมือสอง บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโด บ้านพระราม 9 เรียกได้ว่าเป็นทำเลทองที่ควรจับจองและตอบโจทย์ที่พักอาศัยวิถีคนเมืองได้เป็นอย่างดี

155
ระบบจองคิว

ในปัจจุบันหากเราจะติดต่อสื่อสารสำหรับทำธุระต่าง ๆ เช่น เข้าพบแพทย์ เข้าใช้บริการธนาคาร หรือเข้าพบบุคคลสำคัญเพื่อทำธุรกิจ เป็นต้น ส่วนใหญ่ก็ต้องมีการจองคิวสำหรับทำกิจกรรมที่กล่าวมา ซึ่งในอดีตต้องเดินทางมาทำเรื่องตัวเอง หากโชคดีก็อาจจะได้คิวภายในวันนั้นเลย แต่ในทางกลับกันหากคิวที่ได้เป็นวันพรุ่งนี้หรืออีกหลายวัน ก็จะทำให้เสียเวลาในวันนั้นไปอย่างน่าเสียดาย รวมถึงค่าเดินทางที่ต้องเดินทางมาเองอีกด้วย

จากสิ่งที่กล่าวมา จึงเกิดบริการระบบจองคิวขึ้น ซึ่งระบบนี้เป็นระบบจองออนไลน์ซึ่งสามารถจองที่ไหนเวลาใดก็ได้ ทำให้สามารถจองไลน์เพื่อรับบัตรคิวโดยไม่ต้องเดินทางไปทำเรื่องด้วยตัวเอง ช่วยในเรื่องความประหยัดเวลาและประหยัดค่าเดินทาง พร้อมสร้างความมั่นใจว่าจะได้รับบริการเมื่อไปตามวันจองอย่างแน่นอน

ระบบจองคิวมีข้อดีอย่างไร

ระบบจองคิวมีข้อดีอยู่มากมายที่ช่วยให้เราสามารถจองคิวได้สะดวกสบายขึ้น รวมถึงสามารถสร้างระบบจองคิวผ่านไลน์เองได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น

  • ลดเวลาที่ผู้ใช้บริการต้องรอคอย โดยหากใช้ระบบจองคิวจะช่วยลดเวลาสำหรับผู้ใช้บริการ โดยไม่ต้องยืนต่อแถว หรือรอคอยสำหรับบริการที่ใช้เวลานาน ช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการได้
  • ช่วยให้สามารถวางแผนสำหรับจัดการด้านเวลาได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • ช่วยเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการ ช่วยให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ช่วยให้สถานที่ให้บริการมีการวางแผนที่พร้อม สามารถให้บริการในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่ และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้
  • ช่วยลดความผิดพลาดในการสื่อสารระหว่างผู้ใช้กับผู้ให้บริการ ต่างจากกระบวนการจัดการคิวด้วยมือ
  • สามารถใช้ระบบจองคิว โดยสามารถ bookings online ด้วยตัวเองที่ไหนเวลาใดก็ได้

ซึ่งจากข้อดีที่กล่าวมาระบบจองคิวมีความสามารถที่หลากหลาย เหมาะสำหรับช่วยทำธุรกรรม ทำธุรกิจ และจัดการผู้ใช้บริการสถานที่ต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

ระบบจองคิวมีฟังก์ชันที่มีประโยชน์อะไรบ้าง

ระบบจองคิวมีการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน

ระบบจองคิวมีฟังก์ชันที่มีประโยชน์ที่ช่วยสำหรับจัดการและให้บริการคิวของผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น

  • ในระบบจองคิว สามารถระบุวันและเวลาที่ต้องการจองได้ด้วยตัวเอง
  • สามารถตรวจสอบสถานะการจองคิว รวมถึงรายละเอียดในการจองได้ว่าข้อมูลครบถ้วนหรือไม่
  • ขึ้นแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาที่ได้นัดหมาย ทำให้ไม่ผิดนัดกับทางผู้ให้บริการ
  • สามารถสร้างหรือยกเลิกการจองคิวได้ในทันทีหากมีความจำเป็น
  • บันทึกข้อมูลของผู้ใช้บริการ รวมถึงช่วยวางแผนและช่วยตัดสินใจในการจองคิว เพื่อที่จะช่วยจัดการและให้บริการคิวของผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน ทำให้มีความเป็นส่วนตัวและช่วยสร้างความสบายใจสำหรับใช้บริการได้
  • สามารถใช้งานได้หลายแพลตฟอร์ม เช่น bookings online โดยระบบจองคิวผ่าน line หรือเว็บไซต์ เป็นต้น ซึ่งหากจองไลน์ได้จะช่วยให้สะดวกสบายมากขึ้น

จากฟังก์ชันของระบบจองคิวที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่ามีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ช่วยให้ผู้ใช้บริการเกิดความสบายใจเมื่อใช้งาน และสามารถวางแผนในการนัดหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ระบบจองคิวช่วยในการทำธุรกิจอย่างไร

ระบบจองคิวสามารถช่วยในการทำธุรกิจได้

ระบบจองคิวสามารถส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายด้านและเป็นที่นิยมในหลายธุรกิจ เช่น

  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับให้บริการ โดยช่วยลดเวลาที่ลูกค้าต้องรอคอย ทำให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าอีกด้วย
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ช่วยวางแผนในการผลิตและบริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความสับสนสำหรับให้บริการ ทำให้ธุรกิจสามารถจัดการทรัพยากรและบุคลากรได้ดีขึ้น
  • ระบบจองออนไลน์จะช่วยลดความผิดพลาดในการทำธุรกิจสำหรับนัดหมายกับคู่ค้าได้
  • สามารถจัดการข้อมูลของลูกค้า โดยจัดเก็บอย่างปลอดภัยและเป็นระบบ ช่วยทำให้ลูกค้าไว้วางใจและสามารถหาสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการในอนาคต
  • มีระบบจองคิว line oa ซึ่งใช้สำหรับทำธุรกิจโดยเฉพาะ ซึ่งมีฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ช่วยโปรโมทธุรกิจให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องของสินค้า บริการ หรือโปรโมชั่น เป็นต้น

จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าระบบจองคิวจะช่วยให้การทำธุรกิจในปัจจุบันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยสำหรับขยายธุรกิจและทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นตามไปด้วย

สรุป

ระบบจองคิวหรือระบบจองออนไลน์คือเทคโนโลยีที่เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับจองคิวผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต รวมถึงแอพลิเคชันไลน์ ก็สามารถจองไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา ช่วยในเรื่องทำธุรกรรม นัดพบแพทย์ รวมถึงทำธุรกิจ เป็นต้น

ขอบคุณความรู้ดีๆจาก https://betaskthai.com/

156
6jars

6jars คืออะไร หลาย ๆ คนอาจจะไม่คุ้นหูกับเทคนิควิธีออมเงินที่ง่าย และช่วยให้เก็บเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพวิธีนี้ แล้ว 6Jars คืออะไร จะออมเงินด้วยวิธีนี้ต้องรู้อะไรบ้าง ต้องเตรียมตัวอย่างไรจึงจะใช้วิธีออมเงินแบบ 6jars ได้ ในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทคนิค 6jars เริ่มออมเงินได้เร็วกว่า ก็รวยก่อนใครเพื่อนไปเลย!

6 Jars คืออะไร
6jars คือทริคเก็บเงินทริคหนึ่ง ซึ่งแบ่งรายรับของคุณออกเป็น 6 ส่วน หรือเปรียบเทียบเป็น 6 โหลตามชื่อเทคนิคนี้นั่นเอง โดย 6jars เป็นหนึ่งในวิธีเก็บเงินแบบจริงจังที่จะช่วยให้คุณสามารถเก็บเงินได้โดยไม่เบียดเบียนค่าใช้จ่ายของตนเองมากเกินไป เรียกได้ว่าหากใช้เทคนิค 6jars ก็จะมีทั้งเงินเก็บและเงินใช้ในสัดส่วนที่พอเหมาะ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร ก็สามารถหยิบวิธีเก็บเงินแบบ 6jars นี้มาปรับใช้กับตนเองได้ทันที

ความสำคัญของ 6 Jars
จุดเด่นและความสำคัญของ 6jars คือความยืดหยุ่นของวิธีการเก็บเงินนี้ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตแบบปกติของตนเองได้ ยังมีเงินใช้ในชีวิตประจำวัน มีเงินซื้อความสุข และยังมีเงินเก็บอีกด้วย หากใครกำลังมองหาวิธีเก็บเงินให้ได้เร็วสำหรับนักเรียนหรือวิธีเก็บเงินให้อยู่ที่สามารถปรับใช้กับตัวเองได้ทันที เทคนิค 6jars ก็สามารถตอบโจทย์ได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมากเลย

ดังนั้นเทคนิค 6jars จึงมีความสำคัญอย่างมากทั้งสำหรับผู้เริ่มต้นเก็บเงินและผู้ที่เก็บเงินมานานแล้วแต่ก็ยังเก็บเงินได้อยู่สักที เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้คุณมีเงินเก็บไปพร้อม ๆ กับการมีเงินใช้  6jars จึงเข้ามาช่วยปรับพฤติกรรมการใช้เงินของคุณ และทำให้คุณสามารถเก็บเงินตามเป้าได้ในที่สุด

วิธีเก็บเงิน 6 Jars ทำตามได้ไม่ยาก เรียนรู้เองได้เลย!

วิธีเก็บเงิน 6jars

วิธีการออมเงิน 6jars จะต้องแบ่งเงินออกเป็น 6 ส่วน โดยแต่ละส่วนจะแบ่งเงินออกไม่เท่ากัน โดยเปอร์เซนต์ดังกล่าวเป็นเปอร์เซนต์ที่ผ่านการคำนวณมาแล้วโดยนักเขียนชาวแคนาดาและนักธุรกิจชาวแคนาดาที่ร่วมกันพัฒนาเทคนิค 6jars นี้นั่นเอง ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าถ้าสามารถแบ่งเงินตามนี้ได้ คุณก็จะเก็บเงินอยู่อย่างแน่นอน!

โหลใบที่ 1 เพื่อค่าใช้จ่ายจำเป็น 55%
วิธีการเก็บเงิน 6jars โหลแรก คือโหลที่จะแบ่งเงินออกมาเป็นจำนวนมากที่สุด นับเป็น 55% จากรายรับทั้งหมดที่เราได้รับมานั่นเอง สำหรับ 6jars โหลนี้ ต้องขอบอกเลยว่าเป็นส่วนที่สำคัญมาก ๆ และแม้ว่าเทคนิค 6jars นี้จะเป็นเทคนิคที่ค่อนข้างมีความเป็นสากลสูง ไม่ว่าใครก็ใช้ได้ แต่ในโหลนี้คุณอาจจะเพิ่มจำนวนเปอร์เซนต์ขึ้นไปอีกได้ หากมีรายจ่ายจำเป็นมากเกินกว่าที่กำหนดเอาไว้

เนื่องจากบางคนอาจมีภาระค่าใช้จ่ายที่มากกว่าค่าเฉลี่ย การใช้เทคนิค 6jars โหลนี้จึงสามารถยืดหยุ่นและปรับให้ครอบคลุมกับรายจ่ายของคุณเสียก่อนได้ หรืออีกทางหนึ่งที่สามารถทำได้หากคุณยังอยากใช้เทคนิค 6jars ในเปอร์เซนต์ที่ดีที่สุด คือการใช้เทคนิค 6jars นี้ร่วมกับเทคนิคอื่น ๆ หรือหารายได้เสริมด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถได้ยอดถึงตามเป้านั่นเอง

โหลใบที่ 2 เพื่อเงินเก็บในอนาคต 10%
เนื่องจากวิธีเก็บเงินแบบ6jars เป็นวิธีแบ่งเก็บเงิน ดังนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีโหลสำหรับเงินเก็บด้วย โดยโหล 6jars โหลที่สองนี้จะแบ่งออกมาจากรายรับเป็นจำนวน 10% โดยจะใช้เป็นส่วนของเงินเก็บโดยรวมสำหรับอนาคตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเงินสำหรับเหตุฉุกเฉิน อุบัติเหตุ เงินหลังเกษียณ หรือเงินสำหรับการใช้จ่ายกับประกันชีวิตเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิตคุณ

6jars โหลนี้นี่เองที่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่สามารถเก็บเงินได้จริง เนื่องจากส่วนแบ่งจากรายได้ไม่ได้เยอะมากจนทำให้รู้สึกท้อถอยไป แต่ก็ยังมีจำนวนมากพอที่จะสามารถเก็บสะสมจนเป็นเงินก้อนใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ได้ นอกจากโหลนี้แล้วก็ยังมี 6jars โหลอื่นอีกเช่นกันที่ทำให้คุณสามารถเก็บเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โหลใบที่ 3 เพื่อความมั่นคงทางการเงิน 10%
6jars โหลที่สาม คือโหลเพื่อความมั่นคงทางการเงิน  6jars โหลนี้เองจึงเป็นอีกหนึ่งโหลที่ทำให้คุณสามารถเก็บเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดสำคัญของ 6jars โหลนี้คือการต่อยอดให้เงินของคุณเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยตัวมันเอง ดังนั้นจึงทำให้คุณมีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงการเก็บเงินไว้นิ่ง ๆ เฉย ๆ เท่านั้น

วิธีการทำให้โหล 6jars โหลนี้สร้างความมั่นคงทางการเงินให้คุณได้ก็คือการนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งคุณสามารถศึกษาความเสี่ยงและวิธีการลงทุนแต่ละรูปแบบ จากนั้นจึงเลือกการลงทุนที่คุณคิดว่าเหมาะสมกับคุณมากที่สุด ตัวอย่างการลงทุนที่โหล 6jars นี้สามารถนำไปใช้ได้เช่น การลงทุนหุ้น การลงทุนกองทุน การลงทุนคริปโต ตลอดจนการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ

ดังนั้นเงินจากโหลนี้จะเติบโตได้มากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณศึกษาการลงทุนเหล่านั้นมาเท่าไหร่ และเลือกใช้วิธีการลงทุนแบบใดที่จะทำให้ 6jars โหลนี้เติบโตได้เรื่อย ๆ อย่างมั่นคงนั่นเอง

โหลใบที่ 4 เพื่อรางวัลชีวิต 10%
6jars โหลนี้จะแตกต่างจากโหลที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเป็นโหลสำหรับการซื้อของฟุ่มเฟือยเพื่อให้รางวัลชีวิตนั่นเอง ถึงแม้ว่าจะเรียกว่าของฟุ่มเฟือย แต่นั่นก็เป็นเพียงคำศัพท์สำหรับการเรียกการใช้จ่ายเพื่อตนเองเท่านั้น ดังนั้นเงินใน 6jars โหลนี้คุณสามารถนำไปซื้อของที่คุณอยากได้ได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ กระเป๋า เครื่องเล่นเกม ตลอดจนทริปท่องเที่ยว

โหลนี้จึงเป็นโหลที่ทำให้การเก็บเงินแบบ 6jars ไม่ยากจนเกินไปและเหมาะกับคนแทบทุกประเภท จะเป็นคนที่เริ่มต้นเก็บเงินหรือเก็บเงินไม่เก่งก็ไม่มีปัญหาในการใช้เทคนิค 6jars อย่างแน่นอน

โหลใบที่ 5 เพื่อการศึกษา 10%
6jars ใบรองสุดท้าย คือโหลสำหรับการศึกษา ซึ่งไม่ได้รวมแค่การศึกษาภายในระบบอย่างการเรียนระดับประถม มัธยม จนถึงมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงการเรียนเสริมเพิ่มความรู้ต่าง ๆ นอกห้องเรียนที่จะเป็นการพัฒนาทักษะความสามารถของคุณอีกด้วย

โหลใบนี้ทำให้เทคนิค 6jars ยังเป็นเทคนิคที่ยอดนิยมในปัจุบัน เพราะโลกยุคใหม่เป็นโลกที่แข่งกันด้วยความรู้ ยิ่งคุณมีความรู้มาก พัฒนาตนเองไปมาก ก็ยิ่งต่อยอด สร้างรายได้ สร้างความมั่นคง และเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มากขึ้น

โหลใบที่ 6 เพื่อผู้คนรอบตัว 5%
สำหรับโหลสุดท้ายของ 6jars โหลเพื่อผู้คนรอบตัว สำหรับโหลนี้เรียกได้ว่าเป็นโหลเพื่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือจะให้คนอื่น ๆ ที่คุณไม่รู้จักอย่างการนำเงินไปทำบุญก็ยังได้ เพราะมนุษย์เราไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวในโลกใบนี้อย่างขาดสังคมคนรอบตัวไป ดังนั้น 6jars โหลนี้จึงทำให้คุณได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนที่คุณรักหรือมนุษย์คนอื่น ๆ เพิ่มเติม

6 Jars ใช้งานง่าย คุณเองก็เริ่มทำได้ไม่ยาก

จะเห็นได้ว่าเทคนิค 6jars นี้เป็นเทคนิคที่ง่ายและมีประสิทธิภาพอย่างมาก ไม่ว่าคุณจะเป็น นักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน หรือแม้กระทั่งผู้สูงวัย คุณก็จะไม่มีปัญหากับการเก็บเงินแบบ 6jars อย่างแน่นอน โดยคุณสามารถปรับแต่งให้เข้ากับการดำเนินชีวิตของตนเองและเริ่มใช้เทคนิค 6jars ในชีวิตประจำวันได้เลยในทันที

แต่หลาย ๆ คนอาจยังมีคำถามว่าแล้วเราจะแบ่งเงินออกเป็น 6 โหลตามวิธี 6jars แบบง่าย ๆ ได้อย่างไร จะให้จดเองก็ดูวุ่นวายหรือเปล่า? แน่นอนว่าในยุคแห่งอินเตอร์เน็ตแบบนี้ย่อมมีตัวช่วยมากมายที่ทำให้คุณทำตามเทคนิค 6jars ได้แบบสบาย ๆ  โดยเราขอยกตัวอย่างหนึ่งในตัวช่วยที่ใช้งานง่ายและกำลังมาแรงอย่างแอปพลิเคชัน MAKE by KBank

การใช้แอปพลิเคชัน MAKE by KBank จะช่วยให้คุณทำตามเทคนิค 6jars ได้สะดวกมากขึ้นเพราะในแอปนี้จะมีฟีเจอร์ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Cloud Pocket ซึ่งทำให้คุณสามารถแบ่งกระเป๋าในบัญชีนั้น ๆ ออกเป็นกี่กระเป๋าก็ได้ หากเราเปรียบเทียบแล้วกระเป๋ากับโหลก็ใช้สำหรับแบ่งเงินเหมือนกัน ดังนั้นจึงสามารถใช้เทคนิค 6jars ร่วมกับแอปพลิเคชันนี้ได้ไม่ยากเลย

นอกจากแอปพลิเคชันนี้แล้ว ก็ยังมีตัวช่วยอื่น ๆ อีกที่สามารถทำให้คุณทำตามเทคนิค 6jars ได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวล เพียงเลือกตัวช่วยที่เหมาะกับคุณ และเริ่มต้นเก็บเงินตอนนี้ รับรองว่าในไม่ช้าคุณก็จะมีเงินเก็บจำนวนมาก จนอาจจะมากกว่าที่คุณคาดเอาไว้เสียอีก!

157
โทรศัพท์พับได้เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามอง ด้วยดีไซน์สวยกะทัดรัดพับเก็บได้ทำให้พกพาได้อย่างสะดวกเหมือนพกตลับแป้งก็ว่าได้ และยังให้ความโดนเด่นที่มีการดีไซน์แตกต่างกับโทรศัพท์ทั่ว ๆ ไปในตลาด อีกทั้งไม่ได้มีดีแค่พับได้เท่านั้นแต่ยังมีฟังก์ชั่นที่น่าสนใจอีกเพียบ

นับว่าโทรศัพท์แบบพับได้ถูกใจสาว ๆ เป็นอย่างมากโดยเฉพาะในซีรี่ย์เกาหลีหลาย ๆ เรื่องที่มีการใช้มือถือพับได้จนเห็นแล้วอยากเป็นเจ้าของขึ้นมาทันที ไม่เพียงสาว ๆ เท่านั้น โทรศัพท์จอพับได้ยังได้รับความนิยมในธุรกิจอีกด้วย ใครที่ต้องการจับจองแล้วละก็ต้องไม่พลาดบทความนี้เพราะเราได้รวบรวมโทรศัพท์พับได้2023 ไว้ให้คุณแล้วจะเป็นรุ่นได้บ้างนั้นติดตามได้เลยค่ะ

โทรศัพท์พับได้ 2023

ขอขอบคุณภาพจาก https:// images .samsung.com/th/smartphones/galaxy-z-fold5/images/galaxy-z-fold5-highlights-display.jpg?imbypass=true

โทรศัพท์พับได้ดีกว่ารุ่นอื่นอย่างไร

โทรศัพท์พับได้ที่ไม่ได้มีข้อดีแค่จอพับได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีข้อดีและฟีเจอร์ที่น่าสนใจที่คุณยังไม่รู้อีกมากมาย มาทำความรู้จักกับมือถือพับว่ามีข้อดีและฟีเจอร์ไหนที่น่าสนใจบ้างดังนี้

  • มีหน้าจอขนาดใหญ่แต่ไม่มีปัญหาในการพกพา ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 7.6 นิ้วที่ไม่มีปัญหาสำหรับการพกพา ที่สามารถพับเก็บได้ง่ายให้เหลือครึ่งหนึ่งของจอขนาดใหญ่นี้เท่านั้น
  • จอด้านนอกใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยโทรศัพท์พับได้บางรุ่นได้เพิ่มจอด้านนอกเพื่อใช้ดูการแจ้งเตือนต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดจอพับด้านในและสามารถรองรับแอพพลิเคชั่นที่จำเป็นอย่างเช่น Line Google Maps YouTube เป็นต้น ให้ใช้งานได้อย่างสะดวกและง่ายดาย
  • ได้รับประสบการณ์การถ่ายรูปแปลกใหม่ แน่นอนว่าโทรศัพท์พับได้สามารถกางได้หลากหลายองศาตามต้องการ ทำให้ง่ายต่อการถ่ายรูปสะดวกมากโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องง้อขาตั้งมือถืออีกต่อไป
  • มือถือพับได้ใช้แบ่งหน้าจอใช้หลายแอพ ในโทรศัพท์ทั่วไปอาจใช้งานได้เพียงแค่แอพเดียวเท่านั้น แต่ในโทรศัพท์พับได้คุณสามารถใช้ได้หลายแอพพลิเคชั่นพร้อมกัน ซึ่งข้อดีข้อนี้คุณสามารถเปิดมือถือในระดับ 90 องศาให้ตั้งขึ้นหรือองศาอื่น ๆ ตามต้องการและแบ่งหน้าจอใช้จอบนกับจอล่างแล้วเลือกแอพพลิเคชั่นที่ต้องการได้เลย

แนะนำ 4 โทรศัพท์พับได้ 2023 เลือกรุ่นไหนดี

หากพูดถึงเทคโนโลยีในมือถือที่ล้ำสมัย samsung ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีการพัฒนามือถือเพื่อตอบสนองการใช้งานของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโทรศัพท์พับได้ที่ผลิตออกมารุ่นด้วยกันเราจึงได้รวมโทรศัพท์พับได้ 2023 กับ 4 รุ่นที่น่าสนใจจะมีรุ่นไหนบ้างสามารถติดตามได้ดังนี้

Samsung Galaxy Z Fold5

โทรศัพท์พับได้ Z Fold5 กี่บาท

ขอขอบคุณภาพจาก https:// images .samsung.com/th/smartphones/galaxy-z-fold5/images/galaxy-z-fold5-highlights-multitasking.jpg?imbypass=true

เริ่มต้นที่รุ่น Galaxy Z Fold5 เป็นโทรศัพท์พักได้ที่มีขนาดจอใหญ่ขนาด7.6 นิ้ว เมื่อพับเก็บจะมีขนาดหน้าจอ 6.2 นิ้วที่ให้ความสว่างสูงถึง 1750 นิต ด้วยขนาดหน้าจอการแสดงผลขนาดใหญ่ช่วยให้คุณดูหนังเล่นเกมได้อย่างเต็มอารมณ์พร้อมทำงานได้อย่างลื่นไหลเรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนแท็บเล็ตที่ใช้ง่ายได้อย่างคุ้มค่า

ด้วยตัวเครื่องมีความหนา 13.4 มม.และมีน้ำหนักอยู่ที่ 253 ก. ในส่วนของแบตเตอรี่มีขนาดใหญ่ใช้งานได้ยาวนานถึง 73 ชั่วโมงมีขนาดอยู่ที่ 4400 mAh  และสำหรับสายเซลฟี่มีกล้องทั้ง 2 ตัวกล้องหน้า 4 MP และกล้องหลัง 10 MP มีให้เลือก 2 สี Icy Blue และ Gray แล้วโทรศัพท์พับได้ ราคาเท่าไหร่?

ซึ่ง Galaxy Z Fold5  มีให้เลือกซื้อราคาตามความจุ 3 ราคาได้แก่
256GB /12GB ราคา 59,900 บาท
512GB /12GB  ราคา65,900 บาท
1TB /12GB  ราคา 75,900 บาท

Samsung Galaxy Z Flip5

โทรศัพท์พับได้ z flip5

ขอขอบคุณภาพจาก
https:// images .samsung.com/th/smartphones/galaxy-z-flip5/images/galaxy-z-flip5-highlights-kv-a.jpg?imbypass=true

ต่อด้วยที่รุ่น Galaxy Z Fold5 เป็นโทรศัพท์พับได้รุ่นใหม่ล่าสุดดีไซน์สวยเรียบหรูเหมาะสำหรับทุกการใช้งาน ที่ได้เพิ่มฟีเจอร์ที่น่าสนใจได้แก่ จอนอกขนาด 1.4 นิ้วและขนาดจอเต็ม 6.7 นิ้ว พร้อมกับบานพับ Flex Hinge , ปรับแต่งการแสดงผลจอนอกได้อย่างอิสระ , การถ่ายเซลฟี่ด้วย FlexCam ที่สามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงการใช้ปุ่มซัตเตอร์ถ่ายภาพให้ง่ายยิ่งขึ้นผ่าน Galaxy Watch6 ที่ให้กล้องหน้าคมชัดถึง 12 ล้านพิกเซล

ช่วยให้คุณสามารถใช้งานโทรศัพท์พับได้ยาวนานมากขึ้นถึง 57 ชั่วโมงกับแบตเตอรี่ขนาด 3700 mAh มีให้ 4 สีด้วยกันคือ Mint Graphite Lavender Cream

ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับขนาดของความจุมี 2 ราคาด้วยกันคือ
ความจุ RAM 8/256GB ราคา 39,900 บาท
ความจุ RAM 8/512GB ราคา 45,900 บาท

Samsung Galaxy Z Fold4

มือถือพับได้ Galaxy Z Fold4

ขอขอบคุณภาพจาก
https:// images .samsung.com/th/smartphones/galaxy-z-fold4/images/galaxy-z-fold4_highlights_accessories.jpg

โทรศัพท์พับได้รุ่น Galaxy Z Fold4 ที่มีดีไซน์หน้าจอพับครึ่งให้ได้อัตราส่วนภาพที่กว้างช่วยให้คุณใช้งานได้เต็มหน้าจอ ด้วยหน้าจอด้านนอกมีขนาด 6.2 นิ้วและหน้าจอหลักขนาด 7.6 นิ้ว และมีน้ำหนักเบาพกพาได้อย่างสะดวกมีให้เลือก 3 สีได้แก่  Graygreen, Phantom Black , Beige

โดยหน้าจอที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วกลับหน้าจอแสดงผล 120Hz ถูกใจสายเกมเมอร์ที่ช่วยให้คุณเล่นเกมได้อย่างไหลลื่น และสำหรับสายเซลฟี่ไม่ต้องกังวลเรื่องการถ่ายภาพกลางคืนด้วยกล้อง 3 ตัวได้แก่กล้องหลัง 50 MP กล้อง Ultrawide 12MP และ Space Zoom 30 เท่า 10 MP รวมถึงกล้องหน้าที่ใช้เทคนิคซ่อนกล่องแบบ under-display camera และมีแบตเตอรี่ถึง 4400mAh ที่สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน

โดยรุ่นนี้จะมีให้เลือก  4 สีคือ Gray Green, Phantom Black, Beige และ Burgundy และราคาตามความจุอยู่ที่ 512GB / 12GB ราคา 50,900บาท

Samsung Galaxy Z Flip4

มือถือพับได้ Samsung Z Flip4

ขอขอบคุณภาพจาก
https:// images .samsung.com/th/smartphones/galaxy-z-flip4/images/galaxy-z-flip4_highlights_customcover_img.jpg

Galaxy Z Flip4 โทรศัพท์พับได้สุดน่ารักที่มีให้เลือก 4 เฉดสีด้วยกันได้แก่ Bora Purple, Graphite, Pink Gold และ Blue เป็นมือถือพับได้ขนาดเล็กเหมาะสำหรับการพกพา มีขนาดจออยู่ที่ 6.7 นิ้ว และ ความจุของแบตเตอรี่อยู่ที่ 3700 mAh ที่มีการอัปเดตใหม่ช่วยให้ใช้งานได้นานมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของกล้องคู่หลัง 2 ตัวได้แก่ กล้องมุมกว้างพิเศษ 12 MP กล้องมุมกว้าง 12MP เช่นกัน และกล้องเซลฟี่หนึ่งตัว 10 MP มาพร้อมกับหน้าจอด้านนอก 1.2 นิ้ว คุณสามารถออกแบบได้เองอย่างเช่นอิโมจิ AR สุดน่ารัก ภาพถ่าย นาฬิกา หรือสภาพสภาพอากาศ เป็นต้นและ ใช้สำหรับการแจ้งเตือนกิจกรรมต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้หน้าจอหลัก

ราคาตามความจุอยู่ที่ 128G/ 8GB ราคา 26,900 บาท

รู้จักกับโทรศัพท์พับได้รุ่น Fold และ Flip มีข้อแตกต่างกันอย่างไร

ได้ทราบรายละเอียดและสเปคของโทรศัพท์พับได้ทั้ง 4 รุ่นไปแล้วรวมถึงราคาของโทรศัพท์พับได้กี่บาท แต่จะเห็นได้ว่าทั้งรุ่น Fold และ Flip จะมีลักษณะภายนอกที่เห็นได้ชัดว่ามีดีไซน์การพักครึ่งในแนวที่แตกต่างกันในรุ่น Fold จะเป็นการพับครึ่งของมือถือรุ่นทั่วไปแต่รุ่น Flip จะมีรูปทรงสี่เหลี่ยมทำให้การแสดงผล หน้าจอมีขนาดแตกต่างกันด้วย

รวมถึงเทคโนโลยีของมือถือทั้งสองรุ่นมีความแตกต่างกันและมีความโดดเด่นไม่เหมือนกัน ทั้งในเรื่องความของหน่วยความจำที่รุ่น Fold จะมีตั้งแต่ 256GB / 512GB จนถึง 1TB  และรุ่น Flip จะเริ่มต้นตั้งแต่ 128GB /256GB/512GB รวมถึงแบตเตอรี่ที่มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจากรุ่น Fold ให้แบตเตอรี่ถึง 4400 mAh แต่รุ่น Flip แบตเตอรี่แพง 3700 m Ah รวมถึงราคาของทั้ง 2 รุ่นที่มีความแตกต่างกันขึ้นกับความจุของตัวเครื่องนั้นเอง

Q&A เกี่ยวกับโทรศัพท์พับได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโทรศัพท์พับได้ซึ่งเราได้รวบรวม เพื่อไขข้อสงสัยเกี่ยวกับมือถือพับได้ 3 ข้อด้วยกันดังนี้

โทรศัพท์พับได้ Z Fold5 รุ่นใหม่ ต่างจาก Z Fold4 ยังไง?

หากพูดถึงความต่างของตัวเครื่อง Z Fold5 และ Z Fold4 จะมี Cover Display ขนาดหน้าจอแสดงผลหลัก ขนาดเท่ากันแต่จะแตกต่างตรงที่น้ำหนักและตัวเครื่องที่บางลงของ Z Fold5 และในส่วนของ Flex Hinge ที่มีในรุ่น Z Fold5 ช่วยให้การพับที่พอดีกับมือมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มความสว่างมากขึ้นที่สว่างสูงสุดถึง 1750 nits ช่วยให้จอสว่างสู้แสงแม้อยู่ในที่แสงจ้า

โทรศัพท์พับได้ Z Flip5 รุ่นใหม่ ต่างจาก Z Flip4 ยังไง?

ความแตกต่างระหว่าง Z Flip5 รุ่นใหม่ กับ Z Flip4 ที่มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงให้แตกต่างจากรุ่นเก่าคือรุ่น Z Flip4 มีข้อแตกจากดังนี้เริ่มจากตัวเครื่องภายนอกที่มีจอใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 3.4 นิ้ว เป็นหน้าจอแบบ Flex Window ที่สามารถเปิดแอพพลิเคชั่นจากฝาหน้าได้ และมี RAM 8 GB เท่ากันแต่  Z Flip4 จะมี ROM ให้เลือกมากกว่าคือ 128GB/256GB/512GB แต่ Z Flip5 มี ROM ให้เลือก 2 แบบคือ 256GB/512GB

โทรศัพท์พับได้หน้าจอจะเสียหายง่ายไหม?

แน่นอนว่าโทรศัพท์พับได้ดีไซน์ตัวเครื่องให้พับเก็บง่ายพกพาสะดวกและเนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตมีสารที่เป็นแก้วแบบพับได้ ดังนั้นจำเป็นต้องใช้งานอย่างทะนุถนอมและต้องมีการดูแลรักษาเป็นพิเศษซึ่งสามารถทำตามข้อควรระวังในคู่มืองานการงานได้

สรุปโทรศัพท์พับได้เลือกแบบไหนรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ล่าสุด

โดยรวมแล้วทั้งสเปกและรายละเอียดของโทรศัพท์พับได้มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เราสามารถเลือกใช้มือถือพับได้จากไลฟ์สไตล์คือความต้องการของแต่บุคคลเช่น สายเซลฟี่ ทำคอนเทนต์ถ่ายวิดีโอลงโซเชียล เกมเมอร์

รวมถึงนักธุรกิจที่ต้องการใช้มือถือจอใหญ่แต่พกพาสะดวก อย่างเช่นโทรศัพท์มือถือฝาพับรุ่น Fold สมาร์ท โฟนแท็บเล็ตที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักธุรกิจได้อย่าง รวมถึงเกมเมอร์หรือผู้ใช้ที่ต้องการมือถือจอใหญ่ไว้ดูหนัง หรือต้องการมือถือดีไซน์โดดเด่นไม่เหมือนใคร มีให้เลือก 2 รุ่นด้วยกันคือZ Fold5 รุ่นใหม่ และ Z Fold4

158
ข้อมูลล่าสุดจากที่เราได้รับมานั้นมีการคาดการณ์จากทาง Samsung ว่าจะมีการเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นที่แฟน ๆ หลายคนรอคอยนั่นคือ Samsung Galaxy S23 FE ราคาที่หลายคนจับตามองว่าประหยัดขึ้นหรือไม่ ซึ่งจากข่าวล่าสุดนั้นมีการยืนยันจาก กสทช. แล้วว่าจะมีการออกขายในไทยปี 2023 นี้ ทำให้มีแฟน ๆ มีสืบหาข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งยังมีการคาดการณ์ว่าจะมีสีของตัวเครื่องออกมาให้เลือกถึง 4 สีด้วยกัน ซึ่งมาดูกันว่ามีสเปคอะไรที่น่าสนใจ และ GalaxyS23 FE ราคาคาดการณ์ตอนเปิดตัวกัน

Samsung Galaxy S23 FE ราคาเท่าไหร่
ขอบคุณรูปภาพจาก -https://www.thaimobilecenter.com/content/samsung-galaxy-s23-fe-coming-q3-2023.asp-

Samsung Galaxy S23 FE ราคาคาดการณ์ และสเปคที่น่าสนใจ
สำหรับการวางขายที่กำลังใกล้เข้ามาจากการคาดการณ์ต่าง ๆ จาก Samsung ที่ปล่อยออกมานั้น จากข่าวสรุปจะมีด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นนั่นคือ Galaxy S23 FE ความจุ 128GB และ 256GB นั่นเอง ซึ่งเราจะมาดูกันว่ามีความจุเท่าไหร่กันบ้าง และ Galaxy S23 FE ราคาแต่ละรุ่นนั้นเท่าไหร่กันบ้าง

Galaxy S23 FE รุ่น 128GB
จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้และมีชื่อเสียงจากทางฝั่งอินเดียนั้น Samsung Galaxy SE23 FE รุ่นความจุ 128GB นั้นมีการคาดการณ์ว่าGalaxy SE23 FE ราคาของรุ่น 128GB จะอยู่ที่ประมาณ 54,999 รูปี หรือคิดเป็นเงินไทยจะเป็นราคาประมาณ 23,500 บาท ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนั้นการคาดการณ์ Galaxy S23 FE ราคาจากทางอินเดียและฝั่งไทยจะไม่ต่างกันมาก

Galaxy S23 FE รุ่น 256GB
Samsung Galaxy SE23 FE รุ่นความจุ 256GB นั้นจากแหล่งข่าวเดียวกันในอินเดียได้มีการคาดการณ์ไว้ว่า Galaxy S23 FE ราคาของรุ่น 256GB อยู่ที่ 59,999 รูปีหรือคิดเป็นเงินไทยคือ 25,700 บาท ซึ่งราคาจากฝั่งอินเดียและไทยจะมีการคลาดเคลื่อนไม่มากนัก

Galaxy S23 FE ราคาเทียบกับ S21 FE รุ่นก่อน

เปรียบเทียบราคา Galaxy S23 FE
ขอบคุณรูปภาพจาก -https://www.techmoblog.com/galaxy-s23-fe-coming-q4-2023/-

Galaxy S23 FE กับสเปคที่คาดการณ์ต่าง ๆ และ Galaxy S23 FE ราคาที่เปรียบเทียบกับรุ่นก่อนที่มีข่าวปล่อยออกมานั้นสามารถเทียบสเปคกับ S21 FE ได้ดังนี้

  • ชิปประมวลผลของ Galaxy S21 FE นั้นคือ Exynos 2100 ซึ่งเป็นรุ่นที่เก่ากว่า Galaxy S23 Fe ที่เป็นรุ่น Exynos 2200
  • ขนาดหน้าจอสำหรับทั้ง 2 รุ่นนั้นเท่ากันโดยมีขนาดหน้าจอ 6.4 นิ้ว
  • ความจุแบตเตอรี่ที่เท่ากันทั้ง 2 รุ่นนั่นคือความจุขนาด 4,500mAh
  • กล้องของ S21 FEนั้นจะมีความละเอียดของกล้องหลังอยู่ที่ 12MP และ กล้องหน้า 32MP ซึ่งทาง Galaxy S23 FE นั้นมีความละเอียดของกล้องหลังอยู่ที่ 50MP และ กล้องหน้า 12MP 

สำหรับราคาของ Galaxy S21 FE นั้นมีราคาอยู่ที่ 22,900 ซึ่งสำหรับการคาดการณ์ Galaxy S23 FE ราคาจะอยู่ที่ 23,500 และ 25,700

Galaxy S23 FE ราคาและสเปคเมื่อเทียบกับ S23 มีฟีเจอร์อะไรน่าสนใจเพิ่มเติม
ในโทรศัพท์แต่ละรุ่นที่ปล่อยออกมาจากทาง Samsung นั้นจากรุ่นก่อนหน้าและพัฒนาไปยังรุ่นต่อไปจะมีการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่อง หรือ ชิปประมวลผล ซึ่งเราจะมีดูกันว่าตระกูลรุ่น FEจากทาง Samsung ที่จะเน้นไปที่มือถือประสิทธิภาพดี และ มีราคาที่ประหยัดนั้น โดยทางฝั่งของ Galaxy S23 FE ราคาที่ปล่อยออกมาแล้วนั้น กับ Galaxy S23 รุ่นตัวก่อนหน้ามีราคาเท่าไหร่ มีสเปคที่ต่างกันอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการเปรียบเทียบในการเลือกซื้อให้เหมาะกับตัวเรา โดย

  • ชิปฝั่งรุ่นใหม่ Galaxy S23 FE นั้นมีชิปประมวลผลรุ่นใหม่ที่เร็วและแรงกว่าเดิมโดยจะเป็นชิป Exynos 2200 และ ชิปสุดแรงอย่าง Snapdragon 8 Gen 1 โดยจากการที่มีชิป 2 รุนนี้ที่ต่างกันตามประเทศที่วางขาย โดยต่างจาก S23 ตัวปกติที่เป็นชิป Snapdragon 8 Gen 2 
  • ขนาดหน้าจอของ Galaxy S23 FE นั้นจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าทาง S23 เล็กน้อย ซึ่งทาง Samsung Galaxy S23 FE นั้นจะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.4 นิ้ว ซึ่งต่างจาก S23 ที่มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.1 นิ้ว
  • ความจุของแบตเตอรี่ของ Samsung Galaxy S23 FE นั้นมีความจุแบตเตอรี่ที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีความจุอยู่ที่ 4,500mAh แตกต่างจาก S23 ปกติที่มีแบตเตอรี่ 3,900mAh
  • สำหรับกล้องของทั้ง 2 รุ่นนั้นมีจะเหมือนกันโดยมีกล้องหลังความละเอียดอยู่ที่ 50MP และกล้องหน้าความละเอียด 12MP

ซึ่งสเปคที่กล่าวมาเพื่อเปรียบเทียบนั้นยังเป็นเพียงการคาดการณ์เพียงเท่านั้น ซึ่งรอการจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับใครที่กำลังรอซื้ออยู่นั่นเองซึ่งเราได้มีการคาดการณ์ Galaxy S23 FE ราคาประมาณ 23,000 บาทถึง 25,000 บาทนั่นเอง

Samsung Galaxy S23 FE ราคานี้เหมาะกับใคร
รุ่น FE ของทาง Samsung นั้นเป็นรุ่นที่เน้นพัฒนาสมาร์ตโฟนที่มีฟังก์ชันการใช้งานเต็มที่ และยังคงราคาความประหยัดไว้ สำหรับใครที่ดู Galaxy S23 FE ราคาที่อยู่ในการคาดการณ์ไว้และสเปคไม่แรงเกินไปและชอบใจก็สามารถรอจับจองกันได้ แต่หากใครต้องการความแรงที่เพิ่มขึ้นมานั้นสามารถเลื่อนไป Samsung Galaxy S23, S23+ หรือ S23 ultra ได้ตามความต้องการ

สรุป Samsung Galaxy S23 FE ราคาประหยัด อีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ
Samsung Galaxy S23 FE ที่กำลังจะวางจำหน่ายช่วงปลายปีนั้นมีการคาดการณ์ต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นสเปคที่เหมาะสม แรงพอดี และราคาที่เหมาะสมให้คงกับรุ่น FE ไว้ ซึ่งหากใครอ่านและ เปรียบเทียบสเปคและคิดว่า Galaxy S23 FE ราคาที่ดูไว้ไม่แรงเกินไปนั้นก็สามารถรอจับจองกันเป็นเจ้าของได้เลย

159
ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้าน
ใครที่ผ่อนบ้านมาแล้ว 3 ปี หรือพึ่งจะผ่อนบ้านต้องรู้ว่าปกติแล้วดอกเบี้ยบ้านใน 3 ปีแรกจะเป็นดอกเบี้ยแบบคงที่ก็คือ ดอกเบี้ยจะเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าดอกเบี้ยนโยบายจะเพิ่มหรือลด แต่พอเข้าปีที่ 4 ดอกเบี้ยจะเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัวในทันที เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแรกเลยก็คือ ดอกเบี้ยแพงขึ้น อย่างที่ 2 ดอกเบี้ยบ้านจะถูกเพิ่มหรือลดตามประกาศดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย

นี่จึงเป็นสาเหตุที่หลายคนหันมาสนใจหรือเริ่มต้นรีไฟแนนซ์บ้าน เพื่อให้ดอกเบี้ยถูกลง และดอกเบี้ยกลับมาคงที่

แต่การรีไฟแนนซ์บ้านก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย ดังนั้นบทความนี้เราจะมาดูค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการรีไฟแนนซ์บ้าน และมาเข้าใจการรีไฟแนนซ์บ้านกัน

ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้าน กับรีเทนชั่นต่างกันไหม
ก่อนอื่นเรามาลองปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่าง 2 วิธียอดฮิตในการลดดอกเบี้ยบ้านกันก่อนดีกว่านั่นก็คือ รีเทนชั่น และ รีไฟแนนซ์บ้าน ซึ่งค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันระหว่างการรีไฟแนนซ์บ้าน และการรีเทนชั่นบ้าน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยดังต่อไปนี้

วัตถุประสงค์หลัก:

  • การรีไฟแนนซ์บ้าน: วัตถุประสงค์หลักของการรีไฟแนนซ์บ้านคือ การลดอัตราดอกเบี้ย โดยใน 3 ปีแรกธนาคารจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำและคงที่ แต่พอเข้าปีที่ 4 ดอกเบี้ยจะถูกเปลี่ยนเป็นดอกเบี้ยแบบลอยตัว และอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น การรีไฟแนนซ์จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยให้ถูกลงและทำให้ดอกเบี้ยกลับมาเป็นแบบคงที่
  • การรีเทนชั่นบ้าน: วัตถุประสงค์หลักของการรีเทนชั่นบ้านก็เหมือนกับการรีไฟแนนซ์บ้านตรงที่ทำเพื่อลดดอกเบี้ย เพียงแต่ดอกเบี้ยที่ลดจะไม่เยอะเท่ากับการรีไฟแนนซ์บ้าน

รูปแบบการกู้ยืม:

  • การรีไฟแนนซ์บ้าน: จะเป็นการขอสินเชื่อกับธนาคารใหม่ เป็นการกู้หนี้จากธนาคารใหม่เพื่อมาปิดหนี้บ้านที่ธนาคารเก่า โดยย้ายไปเป็นหนี้กับธนาคารใหม่แทน
  • การรีเทนชั่นบ้าน: เป็นการขอลดดอกเบี้ยบ้านกับธนาคารเดิม ยังเป็นลูกหนี้กับธนาคารเดิม
ค่าใช้จ่าย:

  • การรีไฟแนนซ์บ้าน:ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้านจะแบ่งเป็น 2 แบบคือ แบบบังคับ เช่น ค่าประเมินบ้าน, ค่าอากรณ์แสตมป์, ค่าจดจำนอง, ค่าประกันอัคคีภัย ซึ่งในบางธนาคารก็จะมีโปรโมชันฟรีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เหล่านี้ส่วนค่าใช้จ่ายแบบไม่บังคับก็เช่น ค่าประกัน MRTA เป็นต้น
  • การรีเทนชั่นบ้าน: สำหรับการรีเทนชั่นจะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการรีไฟแนนซ์บ้านโดยจะมีแค่ค่าธรรมเนียม 1-2% ของยอดหนี้เดิม หรือ ยอดหนี้บ้านคงเหลือแล้วแต่ธนาคารจะกำหนด

อัตราดอกเบี้ย:

  • การรีไฟแนนซ์บ้าน: สำหรับดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านจะถูกกว่าดอกเบี้ยของการรีเทนชั่น โดยในปัจจุบันจะเฉลี่ย 3 ปีถูกสุด 3.27% แต่จากที่ได้ลองเข้าไปใช้บริการเปรียบเทียบรีไฟแนนซ์บ้านจาก Refinn ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 3.25%
  • การรีเทนชั่นบ้าน: ส่วนดอกเบี้ยจากการรีเทนชั่นจะไม่แน่นอน แตกต่างกันไปในแต่ละธนาคารซึ่งจะน้อยกว่าดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน เช่น อาจจะลดลงจากเดิม 1-2%

การรีไฟแนนซ์บ้านและการรีเทนชั่นบ้านต่างมีข้อแตกต่างให้พิจารณาไม่ว่าจะเป็นเรื่องดอกเบี้ยที่ลดต่างกัน หรือ ค่าใช้จ่ายที่ต่างกัน ดังนั้นเรามาสรุปข้อดีข้อเสียของการรีไฟแนนซ์บ้านและการรีเทนชั่นกันดีกว่า

รีเทนชั่น (Retention)

ข้อดี:
   • ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า: การรีเทนชั่น มักมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรีไฟแนนซ์เนื่องจากคุณไม่ต้องจ่ายค่าประเมินทรัพย์สินใหม่หรือค่าธรรมเนียมการจัดสัญญาใหม่
   • ไม่ต้องเปลี่ยนธนาคาร: คุณยังคงใช้ธนาคารหรือสถาบันการเงินเดิมและไม่ต้องเปลี่ยนแปลงสัญญากู้ยืมเงินที่มีอยู่ ซึ่งลดความซับซ้อนและเรื่องราวในกระบวนการ
   • ระยะเวลาที่รวดเร็ว: การรีเทนชั่น อาจใช้เวลาน้อยกว่าในการพิจารณาอนุมัติเมื่อเทียบกับกระบวนการรีไฟแนนซ์

ข้อพิจารณา:

   • อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่ที่ต่ำสุด: คุณอาจไม่ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในตลาด เนื่องจากการ รีเทนชั่น จะขึ้นอยู่กับการต่อรองกับธนาคารเดิม

รีไฟแนนซ์ (Refinance)

ข้อดี:
   • อัตราดอกเบี้ยต่ำ: การรีไฟแนนซ์ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าซึ่งในระยะยาวจะทำให้สามารถประหยัดเงินได้มากกว่าการรีเทนชั่นเป็นหลักแสน
   • มีโอกาสขอเงินสดเพิ่ม: ถ้าหากธนาคารใหม่ประเมินราคาบ้านสูงกว่าหนี้บ้านคงเหลือของคุณ จะสามารถขอกู้เพื่อปิดหนี้ และกู้เพิ่มเพื่อใช้เอนกประสงค์ได้อีกด้วย

ข้อพิจารณา:

   • ค่าใช้จ่ายมากกว่า: การรีไฟแนนซ์มักมีค่าใช้จ่ายมากกว่า เช่น ค่าประเมินทรัพย์สินใหม่, ค่าธรรมเนียมการจัดสัญญา, และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสัญญาใหม่ แต่ทั้งนี้บางธนาคารก็มีโปรโมชันฟรีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

การเลือกระหว่างรีเทนชั่นและรีไฟแนนซ์บ้าน ควรพิจารณาวัตถุประสงค์และสถานการณ์การเงินของคุณ รวมถึงค่าใช้จ่ายและอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับคุณ เพื่อตัดสินใจให้เหมาะสมสำหรับความต้องการและเป้าหมายการเงินของคุณในระยะยาวและระยะสั้น

ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้าน มีอะไรบ้าง
สำหรับค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้านมีหลายรายการที่คุณควรพิจารณาเมื่อคุณตัดสินใจที่จะทำการรีไฟแนนซ์บ้าน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปตามธนาคารหรือสถาบันการเงินที่คุณเลือก และสถานการณ์การเงินของคุณ ต่อไปนี้คือค่าใช้จ่ายที่มักปรากฏในกระบวนการรีไฟแนนซ์บ้าน:

   • ค่าประเมินบ้าน : จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 พันบาท ซึ่งจะขึ้นอยู่กับหลักประกันด้วย
   • ค่าจดจำนอง : สำหรับค่าจดจำนองจะอยู่ที่ 1% ของวงเงินกู้ โดยจะต้องจ่ายตอนจดจำนองใหม่ ณ กรมที่ดิน
   • ค่าประกันอัคคีภัย : จะขึ้นอยู่กับมูลค่าบ้าน แต่ทั้งนี้ประกันอัคคีภัยจะมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงนักโดยจะอยู่ที่ 1-3 พันบาท
   • ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ : เช่น ค่าอากรแสตมป์ ซึ่งจะคิดเป็น 0.05% ของวงเงิน

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้ควรถูกพิจารณาในการคำนวณว่าการรีไฟแนนซ์บ้านนั้นคุ้มค่าหรือไม่ และอาจมีการต่อรองเพื่อลดค่าใช้จ่ายบางรายการกับธนาคารหรือสถาบันการเงินของคุณ ทั้งนี้การใช้บริการผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้านก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเมื่อต้องการรีไฟแนนซ์บ้าน

ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้าน แต่ละที่ต่างกันไหม
เป็นเรื่องที่สำคัญในการเลือกธนาคารที่เหมาะกับความต้องการของคุณ เพราะค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจมีความแตกต่างไปตามนโยบายของแต่ละธนาคารและสถานะทางการเงินของคุณ นี่คือตัวอย่าง 8 ธนาคารที่มีดอกเบี้ยและโปรโมชันในการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้านที่น่าสนใจ:

  1. ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)
  • มีสองกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก คือ

 ◦สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ทีทีบีสำหรับลูกค้าที่รับเงินเดือนผ่านบัญชี TTB Payroll ที่มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยใน 3 ปีแรกต่ำสุดที่ 3.25% โดยมีวงเงินขั้นต่ำที่ 500,000 บาทและสูงสุดไม่เกิน 50,000,000 บาท

 ◦สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ทีทีบีสำหรับลูกค้าทั่วไป ที่ไม่มีบัญชีเงินเดือนผ่าน ทีทีบี ที่มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยใน 3 ปีแรกต่ำสุดที่ 3.35% ในกรณีลูกค้าทั่วไปที่สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท โดยมีอัตราดอกเบี้ยในปีแรกที่ 2.75% และในปีที่ 2-3 คือ MRR-3.93% หรือตัวเลื่อย 1-3 คือ MRR-4.23%
 • สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านพร้อมที่ดินหรือห้องชุดคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท ธนาคารจะให้วงเงินเท่ากับยอดหนี้เดิมหรือสูงสุดไม่เกิน 95% ของราคาประเมินที่ธนาคารกำหนด
 • ในกรณีการรีไฟแนนซ์บ้านพร้อมที่ดินหรือห้องชุดคอนโดมิเนียมราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ธนาคารจะให้วงเงินเท่ากับยอดหนี้เดิมหรือสูงสุดไม่เกิน 90% ของราคาประเมินที่ธนาคารกำหนด โดยเลือกตัวไหนต่ำกว่า และยังให้ระยะเวลากู้สูงสุดถึง 35 ปี โดยคำนึงถึงอายุของผู้กู้ซึ่งต้องไม่เกิน 65 ปี ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยฐานของธนาคารเป็น MRR = 7.580%

  2.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์จำกัด (มหาชน) (LH Bank)
 • อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านเฉลี่ยในระยะ 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 3.30% โดยใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ ตลอด 3 ปีแรก = MRR-5.25%
 • วงเงินกู้มีอัตราส่วน 100% ของภาระหนี้คงเหลือจากสถาบันการเงินเดิม แต่ไม่เกินราคาประเมินหลักประกัน
 • เงื่อนไขผู้กู้คือต้องมีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป

  3.ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
 • อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านเฉลี่ยในระยะ 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 3.35%
 • ในกรณีที่หลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยในกลุ่มโครงการที่มีข้อตกลงกับธนาคาร วงเงินกู้สูงสุดเท่ากับ 100% ของภาระหนี้คงเหลือ แต่มีเงื่อนไขให้อนุมัติวงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป และอยู่ในกรณีของการทำประกันคุ้มครองสินเชื่อสำหรับที่อยู่อาศัยทั่วไปที่ไม่มีข้อตกลงกับธนาคาร อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์เฉลี่ยในระยะ 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 3.55% โดยให้วงเงินกู้สูงสุดเท่ากับ 100% ของภาระหนี้คงเหลือ แต่มีเงื่อนไขให้อนุมัติวงเงินตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป และอยู่ในกรณีของการทำประกันคุ้มครองสินเชื่อ

  4.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)
 • อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านเฉลี่ยในระยะ 3 ปีอยู่ที่ 3.50%
 • แบ่งเป็น อัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอด 3 ปี คือ ปีที่ 1 = 2.50% ปีที่ 2 = 3.50% และปีที่ 3 = 4.50%
 • วงเงินกู้สูงสุดที่ 95% ของราคาประเมินหลักประกัน
 • ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดถึง 30 ปี (รวมระยะเวลาผ่อนชำระและอายุของผู้กู้ต้องไม่เกิน 65 ปี)
 • เงื่อนไขผู้กู้คือต้องมีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป

  5.ธนาคารกรุงไทย (KTB)
 • อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยในระยะ 3 ปีอยู่ที่ 3.62%
 • สำหรับสินเชื่อรีไฟแนนซ์แบบทำประกัน มีอัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 = MRR-3.70%
 • สำหรับสินเชื่อรีไฟแนนซ์แบบไม่ทำประกัน มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ 3.72%
 • วงเงินกู้สูงสุดที่ 100% ของภาระหนี้คงเหลือจากสถาบันการเงินเดิม
 •ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดถึง 40 ปี

  6.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (G H Bank)
 • อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านสุขสันต์สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการอยู่ที่ 3.75%
 • วงเงินกู้สูงสุดตามเกณฑ์หลักประกันและรายได้ตามระเบียบปฏิบัติงานสินเชื่อของธนาคาร
 • สำหรับลูกค้าทั่วไปหรือกลุ่มลูกค้ารายย่อย อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ 3.85%
 • วงเงินสูงสุดตามเกณฑ์หลักประกันและรายได้ตามระเบียบปฏิบัติงานสินเชื่อของธนาคาร
 • ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดถึง 40 ปี

  7.ธนาคารกสิกรไทย (Kbank)
 • สำหรับบ้านในโครงการของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นพันธมิตรของธนาคาร
  ◦ อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน MRR = 3.15% ตลอด 3 ปีแรก
  ◦ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีเท่ากับ 3.90%
  ◦ วงเงินกู้ไม่เกิน 100% ของราคาประเมินหลักประกัน
 
 • สำหรับโครงการทั่วไปที่ต้องการลดดอกเบี้ย:
  ◦ อัตราดอกเบี้ยตามอัตราสินเชื่อเงินให้ธนาคารที่ MRR = 7.050% ในช่วง 3 ปีแรก
  ◦ วงเงินกู้สูงสุด 90% ของมูลค่าหลักประกัน
  ◦ ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 30 ปี (อายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี)

  8.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
 • สินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่นมาขอลดดอกเบี้ยบ้าน มี 2 รูปแบบของอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน: แบบทำประกัน และแบบไม่ทำประกัน
 • เงื่อนไขการทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อคือต้องมากกว่า 70%
 • วงเงินกู้สูงสุดต้องไม่เกินวงเงินสินเชื่อเคหะเท่ายอดหนี้เดิมของวงเงินกู้
สำหรับลูกค้าทั่วไป ลูกค้าโครงการ / ลูกค้าองค์กร:อัตราดอกเบี้ยพิเศษขึ้นอยู่กับประเภทโครงการหรือประเภทองค์กร

รีไฟแนนซ์บ้านที่ไหนดี
อ่านมาจนถึงตรงนี้หลายคนก็คงอยากรีไฟแนนซ์บ้านกันแล้วใช่ไหมครับ แต่ธนาคารที่มีบริการรีไฟแนนซ์บ้านก็มีเต็มไปหมด และแต่ละธนาคารก็มีโปรโมชันไม่เหมือนกัน ลำพังจะให้ไปนั่งหาโปรโมชันทีละธนาคารมาเปรียบเทียบเองก็เสียเวลาอีก พอเลือกได้แล้วก็ต้องเข้าไปคุยทีละธนาคารอีก

ดังนั้นผมขอแนะนำแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาช่วยให้การรีไฟแนนซ์บ้านของคุณสะดวกและง่ายยิ่งขึ้นอย่าง Refinn ซึ่งทาง Refinn เขาได้รวบรวมโปรโมชันรีไฟแนนซ์บ้านจากธนาคารชั้นนำมาไว้ในที่เดียว ให้คุณได้เปรียบเทียบและเลือกสมัครได้ตามที่ต้องการโดยทาง Refinn และที่สำคัญเขายังมีเจ้าหน้าที่คอยติดตามและดำเนินเรื่องให้ตั้งแต่ต้นจนเสร็จสิ้นกระบวนการ

เรียกได้ว่าถ้าเข้าไปใช้บริการรีไฟแนนซ์บ้านกับ Refinn คุณจะแทบไม่ได้ยุ่งยากทำอะไรเลยแค่กรอกข้อมูลและรอเจ้าหน้าที่ประสานงานให้ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถรีไฟแนนซ์บ้านได้แล้ว

สรุป
สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านนั้นแน่นอนว่าสามารถลดดอกเบี้ยได้มากกว่าการรีเทนชั่นแต่ก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายบ้างเล็กน้อย แต่ระยะยาวแน่นอนว่าการรีไฟแนนซ์บ้านประหยัดดอกเบี้ยได้มากกว่าเป็นหลักแสน ซึ่งจริง ๆ แล้วหลายคนที่บอกว่ารีไฟแนนซ์บ้านแพงเพราะไปเลือกทำประกัน MRTA เพราะคิดว่าถ้าทำแล้วจะได้ดอกเบี้ยถูกกว่า หรือ ถ้าไม่ทำแล้วจะส่งผลให้การรีไฟแนนซ์บ้านไม่ผ่านการอนุมัติ ต้องบอกว่าไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะประกัน MRTA เป็นประกันภาคบังคับ จะทำหรือไม่ทำก็ได้

โดยประกัน MRTA มีข้อดีตรงที่ว่าถ้าผู้ทำประกันเสียชีวิตในขณะที่ยังผ่อนชำระหนี้บ้านไม่หมด หนี้จะถูกยกเว้นในทันทีและบ้านก็จะตกไปเป็นมรดกของผู้ที่สืบต่อทางสายเลือดตามกฎหมาย

ดังนั้นใครที่กำลังจะรีไฟแนนซ์บ้านและเข้าใจเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วก็ขอแนะนำอีกครั้งให้เข้าไปใช้บริการรีไฟแนนซ์บ้านกับทาง Refinn เพื่อความสะดวกและรวมเร็ว รวมถึงยังสามารถปรึกษากับผู้เชียวชาญทางการเงินได้อีกด้วย

160
ปลายปีนี้ Samsung มีเรื่องให้น่าสนใจไม่น้อยกับ Samsung Galaxy S23 FE ที่เป็นรุ่นยอดนิยมในแต่ละไตรมาสที่ผู้บริโภคยังคงคาดหวังกับแนวทางการใช้งานจริง ๆ ของตัวเครื่อง S23 FE ว่าจะมีการปรับแต่งด้านใดบ้าง แน่นอนว่าข่าวหลุดหรือข่าวลือของ Samsung S23 FE 5G กับชิปเซตที่มีการปรับปรุงและได้รับการยอมรับกับ Exynos 2200 โดยก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะใช้ Snapdragon 8 Gen 1 ซึ่งเราต้องมาดูกันว่าจะเป็นชิปเซตตัวใด

samsung galaxy s23 fe

ขอขอบคุณภาพจาก -https://cdn1.smartprix.com/rx-iqyWKHq2S-w420-h420/samsung-galaxy-s23-f.webp-

สเปกที่คาดการณ์ของ Samsung Galaxy S23 FE แบบละเอียด
เรื่องที่เป็นอันถกเถียงกันมากที่สุด คือชิปเซตเฉพาะของ Samsung S23 FE จะออกมาเป็นตัวชิปเซตเฉพาะ Samsung Exynos 2200 Chipset ปรับแต่งมาให้เข้ากับ Hardware ของ Samsung แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่าเครื่อง S23 FE ก็เป็นเหมือนรุ่น Optimize มา ชิปเซตก็ออกแบบเฉพาะ จะทำให้เครื่องเสถียรมากขึ้น ในแง่ของ Ai Camera หรือตัวแบตเตอรี่ ก็จะลดความร้อนในตัวเครื่อง พร้อมการเปลืองแบตลงแน่นอน

ตัว Galaxy S23 FE มากับ RAM 6/8 GB กับความจุ 128/256GB ด้วย Android 13 บนระบบปฏิบัติการล่าสุด ซึ่งเป็นตัวเครื่องพร้อมหน่วยความจำของรุ่นเรือธงอยู่แล้ว ประกอบกับตัวเครื่อง S23 FE ที่มีขนาดหน้าจอ 6.4 นิ้ว เป็น Dynamic AMOLED ด้วยความละเอียด Full HD+ 1080 x 2400 pixels 405 ppi รองรับรีเฟรชเรทที่ 120 Hz ให้หน้าจอลื่นไหล ให้สัมผัสการใช้งานแบบขั้นสุดทุกความบันเทิง และการเล่นเกมบนสมาร์ตโฟน

ข้อมูลที่คาดการณ์ของ ซัมซุง S23 FE เพิ่มเติม ก็ยังคงเสริมความครบเครื่องของ Samsung Smartphone ด้วย Fingerprint Sensor สแกนลายนิ้วมือ รองรับ 5G กับตัวเชื่อมต่อ Bluetooth v5.3 ล่าสุด พร้อมหัวชาร์จ USB-C มี ชาร์จเร็วสูง 25 W รองรับ Wireless Charging ตัวเครื่อง S23 FE ใช้นานด้วยแบตเตอรี่ 4500 mAh และในส่วนของกล้อง S23 FE 5G มากับกล้องหลัก 50 ล้านมี OIS กล้องหน้า 10 ล้าน Ultrawide 12MP Telephoto 8 ล้าน

เทียบสเปก Samsung Galaxy S23 FE และ S21 FE แตกต่างมากแค่ไหน
จุดแตกต่างที่เห็นชัดจาก Samsung Galaxy S21 FE และ S23 FE คือกล้องหน้าและกล้องหลักของทั้งคู่ ออกแบบมาแตกต่างกันมาก โดย S21 FE จะมีกล้องหน้าชัด 32 ล้าน แต่กล้องหลังและเลนส์ดรอปลง 12 ล้าน ในขณะที่ Samsung Galaxy S23 FE ที่ออกแบบให้มีกล้องหลัง 50 ล้าน กล้องหน้า 10 ล้าน ที่เป็นโมเดลปกติของสมาร์ตโฟนทั่วไป และภาพรวมของทั้งขนาดและเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงชิปเซต S23 FE ก็ตอบโจทย์และดีมากกว่าเดิม

เทียบสเปก Samsung Galaxy S23 FE และ S23 แตกต่างมากแค่ไหน
ด้วยความที่ซัมซุง S23 FE เป็นเครื่อง Optimize จาก Samsung Galaxy S23 ทำให้ความแตกต่างระหว่างตัวเครื่องสองรุ่น ไม่ได้ต่างกันมากมายนัก เว้นเสียแต่ตัวหน่วยประมวลผล หรือชิปเซตจะเปลี่ยนจาก S23 ที่เป็น Snapdragon Gen 2 ไปเป็น Exynos 2200 ที่ตัว Snapdragon จะแรงกว่า แต่ราคาก็สูงกว่าไปด้วยเช่นกัน ในขณะที่ S23 FE ก็มากับกล้อง 50 MP + 12 MP + 8 MP Triple Rear Camera มี OIS S23 ก็มีกล้อง 50.0 MP + 10.0 MP + 12.0 MP ซึ่งแล้วแต่การตัดสินใจตามงบประมาณของผู้ซื้อเองว่าต้องการสเปกแบบไหน

samsung S23 FE คือรุ่นอะไร

ขอขอบคุณภาพจาก -https://mspoweruser.com/wp-content/uploads/2023/09/s23fe_colors_watermarked_720.jpg-

เจาะลึก Samsung Galaxy S23 FE คือรุ่นอะไร ต่างจาก S23 อย่างไรบ้าง
จุดประสงค์และคอนเซปต์ของ Samsung Galaxy S23 FE คือการออกแบบสมาร์ตโฟนรุ่นเรือธง ที่มีราคาจับต้องได้ โดยมีต้นแบบตัวเครื่องจาก Samsung Galaxy S23 จึงทำให้ทั้งรูปร่าง สีสัน งานออกแบบของทั้งสองรุ่นจะมีเหมือนกัน แน่นอนว่าราคาของ S23 FE จะอยู่ในระดับกลาง ๆ ที่ถูกลงจากรุ่นหลัก ด้วยการตัดทอนบาง Hardware และวัสดุบางส่วนลง แต่คุณภาพของความเป็นรุ่นเรือธงยังคงอยู่ครบ น่าใช้งานกว่าเดิมมาก

Samsung Galaxy S23 FE ดีไซน์ และสีสันของ S23 FE
อย่างที่เกริ่นไปว่า Samsung Galaxy S23 FE มีดีไซน์เหมือนกับรุ่นเรือธงอย่าง Galaxy S23 แต่สีที่ให้มาคาดการณ์ว่าจะมีสีสันแบบมาตรฐาน และสีพิเศษในรุ่น โดย S23 FE มีสีขาวและดำ ที่เป็นสีเหมาะกับผู้ใช้งานแบบมาตรฐาน พร้อมกับสีม่วง Purple/Lilac ที่เป็นสีโทนเข้ม ไม่ค่อยเห็นในสมาร์ตโฟนเท่าไหร่ และสียอดนิยมอย่างสีเขียว ที่เป็นเฉดสี Mint สีเขียวมินต์ที่กำลังมาแรง เป็นสีที่เสิร์ฟได้ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ทุกช่วงวัย

สมาร์ตโฟน Samsung Galaxy S23 FE เหมาะกับผู้ใช้ประเภทไหน
ตัว Samsung Galaxy S23 FE เป็นมือถือที่เน้นการใช้งานที่ครอบคลุมในทุก ๆ ส่วน ทำให้เราไม่สามารถจำกัดความเหมาะสมกับผู้ใช้ได้ เพราะในแง่ของความบันเทิง หน้าจอ และรีเฟรชเรท ก็เพียงพอต่อการรับชมสื่อ หรือเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ในแง่ของไลฟ์สไตล์ กล้องหน้า กล้องหลัก และเลนส์อื่น ๆ ก็มีมาให้พร้อมครบครันเทียบเท่า S23 รวมถึงสีสันยอดนิยม ทำให้สมาร์ตโฟน S23 FE เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์แน่นอน

เบื้องต้น การใช้งาน Galaxy S23 FE ยังคงเน้นความเป็นเครื่องเสถียร ทำให้ตอบโจทย์ต่อการนำไปใช้ทุกไลฟ์สไตล์จริง ๆ มีการป้องกัน และทนทานที่ดี มีกันน้ำ IP68 ยิ่งตอกย้ำความน่าใช้งานสำหรับทุกคนเป็นอย่างดี

สรุป Samsung Galaxy S23 FE สเปกถูกใจ ครบครัน
โดยสรุปแล้ว S23 FE 5G คือมือถือสมาร์ตโฟนรุ่นเรือธงที่มีครบทุกฟีเจอร์ และฟังก์ชัน ในราคาพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้ในไลฟ์สไตล์ไหนก็ทำได้ มีกล้องหลักและเลนส์เสริมที่ครบทุกขั้นตอน ในขณะเดียวกันด้านความบันเทิงก็ตอบโจทย์ทั้งการเล่นเกมที่ลื่นไหล หน้าจอที่คมชัด รายละเอียดสูง หากเทียบกับรุ่นเรือธงอื่น ๆ จุดเด่นของ S23 FE ก็ยังคงเป็นความครบครัน ในราคาที่น่าซื้อ ต้องมารอดูกันว่า เมื่อเปิดตัวแล้วจะมีดีขนาดไหน

161
smart city

แนวโน้มของเมืองหลวง กับแนวคิดของSmart Cityหรือเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คน กำลังเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อการใช้ชีวิตอย่างมั่นคงในอนาคตเป็นอย่างมาก และด้วยความที่สิ่งนี้ดูเป็นภาพรวมมากเกินไป ใครหลายคนอาจจะไม่ใส่ใจอย่างที่คิด โดย Smart City จะเป็นการพัฒนาในทุก ๆ ด้านของคุณภาพชีวิตของผู้คนในเมือง ทั้งการศึกษา การใช้ทรัพยากร การโทรคมนาคม และการสร้างเมืองให้น่าอยู่ น่าพักอาศัย และมีความทันสมัยไปในตัว

รู้จัก Smart City คืออะไร ?

Smart City มีความหมายตรงตัวว่า เมืองอัจฉริยะ คือเมืองที่นำเอาทรัพยากร และเทคโนโลยีมาใช้ส่งเสริมเมืองให้เกิดคุณภาพ และสร้างโครงสร้างเมืองให้ทันสมัย สอดรับกับแนวทางการบริหารเมืองให้ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ให้การอำนวยความสะดวกกับผู้คนในเมือง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดย Smart City คือ เมืองอัจฉริยะ มีองค์ประกอบที่ไม่ใช่แค่การสร้างเมืองให้สวยงามน่าอยู่ แต่ต้องจัดการตั้งแต่โครงสร้างภายในให้สมบูรณ์แบบด้วย

7 องค์ประกอบหลักของ Smart City

Smart City 7 ด้าน

Smart People

7 Smart City ที่เจาะลึกไปถึงประชากรในเมือง Smart City คือการสร้างให้พลเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความสุข ให้สิ่งอำนวยความสะดวก เน้นนำการศึกษาให้เข้าถึงทุกคนทุกระดับ ลดความเหลื่อมล้ำ Smart City จะผลักดันให้ผู้คนมีเสรีภาพในการสร้างสรรค์ และมีแนวโน้มที่ช่วยพัฒนาเมืองให้ผลิตบุคลากรที่เมืองอัจฉริยะต้องการ Smart City 7 ด้านในแง่ของ พลเมืองอัจฉริยะ มีความสำคัญในด้านทรัพยากรความรู้ ที่ช่วยให้เมืองพัฒนาเร็วขึ้น

Smart Governance

Smart City Smart Governance การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ เป็นแนวทางพัฒนาภาครัฐให้ครอบคลุม ทุกการเคลื่อนไหวในการบริหารบ้านเมือง ให้อำนวยความสะดวกกับประชากร และเป็นตัวเชื่อม โครงการ Smart City ให้สามารถสอดรับกับแนวทางของ 7 องค์ประกอบได้ เป็นเหมือนฟันเฟืองขับเคลื่อน สื่อสาร แนะนำให้เมืองอัจฉริยะ เป็นเมืองที่พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว

Smart Economy

เศรษฐกิจอัจฉริยะ เป็น Smart City ที่สร้างยอดเงินหมุนเวียนในเมืองให้ได้มากที่สุด จากการผลักดันทุกการธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจดิจิทัล หรือธุรกิจทั่วไป, การท่องเที่ยว, สินค้าและบริการ, การเกษตร และอื่น ๆ สมาร์ทซิตี้ Smart Enonomy มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสร้างก้อนเงินให้หมุนเวียน และดึงดูดรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Smart Mobility

Smart Mobility คือ Smart City ที่ต้องการขับเคลื่อนความคล่องตัวของเมืองอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็นระบบจราจร การจัดโครงสร้างถนน ระบบขนส่ง และรถโดยสารสาธารณะ ให้ลื่นไหล ไม่ติดขัด เพื่อให้เมืองเกิดความปลอดภัยต่อการเดินทาง

Smart City Smart Mobility คือ จะมอบเทคโนโลยี และนวัตกรรมในการช่วยจัดการระบบจราจร มุ่งเน้นในการแก้ปัญหาพาหนะที่มีมาตรฐานมากขึ้น สอดรับกับการใช้รถสาธารณะ ที่ช่วยให้ผู้คนเดินทางเข้าถึงสถานที่ได้ง่ายมากขึ้น

Smart Energy

พลังงานเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อน Smart City ในแง่ของเชื้อเพลิง เป็นหัวใจของการทำให้เทคโนโลยีทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ Smart Energy คือการออกแบบ จัดสรรพลังงานให้เพียงพอ และสมดุลต่อการใช้งานในเมือง มีการเลือกใช้พลังงานหมุนเวียนเข้ามาทดแทนให้มากขึ้น และแก้ไขจุดต่าง ๆ ใน Smart City ที่มีการใช้พลังงานไม่เสถียร เสี่ยงต่อการเกิดอันตราย มอบความปลอดภัย ไม่ให้เกิดพลังงานขาดแคลนในเมือง

Smart Environment

Smart Environment คือเมืองที่มีการดูแลสภาพอากาศ และภูมิอากาศ หรืออันตรายจากธรรมชาติภายในเมือง Smart City จะเน้นนำเอาเทคโนโลยี มาประยุกต์ให้ป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น เช่นสร้างระบบเฝ้าระวังภัยพิบัติ จัดการระบบลำธาร หรือน้ำ รวมไปถึง สร้างโครงสร้างเมืองที่ป้องกันสภาพอากาศที่อาจเกิดขึ้นกับภูมิประเทศ สมาร์ทซิตี้ Smart Environment จะทำให้เมืองใหญ่ปลอดภัยน่าอยู่มากขึ้น

Smart Living

Smart Living คือ Smart City ที่คำนึงงานสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี หรือ Universal Design หลักอารยสถาปัตย์ และคำนึงถึงความสวยงาม และการใช้งานให้มีประสิทธิภาพกับ Smart City ที่สุด โดยมุ่งเน้นให้ Smart Living เป็นเหมือนหน้าตาของเมือง ที่มีทั้งความน่าอยู่ และทันสมัยไปพร้อมๆกับสิ่งอำนวยความสะดวกกับผู้อาศัย และนักท่องเที่ยว

ข้อดีข้อเสียของ Smart City

ข้อดีสมาร์ทซิตี้

ข้อดีของ Smart City

  • คุณภาพชีวิต และความสะดวกสบายในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ใน Smart City เป็นไปได้ราบรื่น
  • การสื่อสาร การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และสื่อต่าง ๆ มีความลื่นไหลครอบคลุม
  • ปัจจัย 4 ของการใช้ชีวิตบน Smart City มีครบและมีคุณภาพเข้าถึงทุกส่วน
  • ความปลอดภัยที่ยกระดับบนสมาร์ทซิตี้ จะส่งเสริมทั้งการท่องเที่ยว และประชากรให้มีความสุขมากขึ้น  พร้อมกับสุขภาพที่ดีจากระบบสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ
  • Smart City ส่งเสริมเศรษฐกิจให้ธุรกิจเล็ก ใหญ่เติบโตได้รวดเร็ว ด้วยความทันสมัย พร้อมการสร้างนวัตกรรมที่ให้ประโยชน์กับทุกระบบ

ข้อเสียของ Smart City

  • การพัฒนา Smart City คือการปรับโครงสร้างใหม่ ทำให้เมืองที่ริเริ่มทำอาจมีปัญหาในการจัดการระบบภาพรวม ทำให้ลำบากในการใช้ชีวิตเบื้องต้น
  • เมื่อมี Smart City ความ หมายของสิ่งที่ล้าสมัย หรือสิ่งเก่า ๆ อาจจะเลือนหายไปตามวิถีการใช้ชีวิต
  • ความปลอดภัยในการใช้ชีวิตภายนอกมีมากขึ้น แต่ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์อาจจะต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะ Smart City มีการใช้งานเทคโนโลยีมากมาย มิจฉาชีพอาจใช้ช่องโหว่ของบางจุด ล้วงข้อมูลสำคัญกับเราได้
  • การจู่โจมทางไซเบอร์ อาจทำให้ระบบบน Smart City ที่เชื่อมถึงทุกภาคส่วนพังลงได้แบบห่วงโซ่

ตัวอย่างโครงการ Smart City ในไทย

Smart City ระยอง

ระยอง มีโครงการและส่วนของ Smart City ที่มีการพัฒนาในส่วน วังจันทร์วัลเลย์ โดยเป็นฐานที่ตั้งของ EECi เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก แม้จะเป็นแค่พื้นที่ไม่ถึงขั้นเป็นเมืองใหญ่ แต่วังจันทร์วัลเลย์ ก็มีการนำเอา Smart City 7 ด้าน มารวมกัน เป็นระบบครบทั้งตัวพื้นที่ เป็นตัวอย่างของการสร้าง Smart City ที่ต้องการเป็นเมืองที่ครบองค์ประกอบรอบด้าน ใช้ทรัพยากร และความสะดวกสบายเป็นอันดับ1

Smart City เชียงใหม่

ในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นหนึ่งใน Smart City thailand ที่เป็นโครงการ เกษตรอัจฉริยะ ผนวกกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้าช่วยส่งเสริมวิถีดั้งเดิมของการทำเกษตรกรรม และวัฒนธรรมของล้านนา ให้ได้ผลผลิตที่มั่นคง แน่นอน มีเป้าหมายให้ประชาชน มีความอุดมสมบูรณ์ กินดีอยู่ดี ไม่ขัดสน สร้างรายได้อย่างมั่นคง โดยให้ความสำคัญของ Smart City กับ Smart Tourism, Smart Economy, และ Smart Agriculture

Smart City ภูเก็ต

เป้าหมายหลักของภูเก็ต ที่มีโครงการของภาครัฐ จะเป็นการสร้างเมืองภูเก็ตให้เป็นไอทีซิตี้ ที่มีความทันสมัยเข้าถึงทุกส่วนด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า Smart City ของภูเก็ตจะมุ่งเน้นให้เป็นเมืองธุรกิจดิจิทัล ที่ช่วยเสริมการท่องเที่ยวที่เป็นจุดแข็งของจังหวัดอยู่แล้ว ให้มีสร้างรายได้ และคุณภาพการติดต่อสื่อสารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากใครที่ต้องการรู้จักว่า Smart City คืออะไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ ภูเก็ตไอทีซิตี้คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Smart City

ตัวอย่าง Smart CIty ในต่างประเทศที่เห็นได้ชัด ?

หากใครอยากเห็น Smart City ที่ประสบความสำเร็จ สามารถดูได้จากประเทศ สิงคโปร์, ฮ่องกง และประเทศชั้นนำอื่น ๆ ที่มีการหยิบจับเอา 7 องค์ประกอบของ Smart City มาใช้งานอย่างลงตัว โดยคำนึงถึงวิถีชีวิต ภูมิประเทศ และวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ ที่ยังสร้างเม็ดเงิน กับคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

Smart ICT คืออะไร เกี่ยวข้องกับ Smart Living หรือไม่?

Smart City Smart ICT คือ Smart Information and Communication Technology คือระบบไอทีเฉพาะที่มีความปลอดภัย ส่วนตัวสูง และมีความเสถียรกว่าเน็ตเวิร์กทั่วไป โดยความเกี่ยวข้องของ Smart ICT กับ Smart Living คือการส่งเสริมให้ระบบความปลอดภัยในความเป็นอยู่ของประชากร ทำได้ง่ายขึ้น เพราะด้วยความที่เป็นเน็ตเวิร์กแบบ Leases line ที่ทำให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย รวดเร็ว ปลอดภัยจากข้อมูลส่วนตัว

หากจะเริ่มต้น Smart City จะขับเคลื่อนได้ด้วยอะไร?

แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจดิจิทัล หรือการสื่อสารส่งผ่านข้อมูลถึงกัน Smart City จึงจำเป็นต้องมีระบบเครือข่ายในการส่งสัญญาณเพื่อเชื่อมต่อผู้คนและอุปกรณ์ให้เข้าถึงกัน โดยการริเริ่มด้านระบบเครือข่ายสัญญาณอินเทอร์เน็ต สามารถเริ่มต้นได้ทันที เพื่อรองรับการมาถึงของเมืองอัจฉริยะในอนาคต

สรุปเรื่อง Smart City

smart city thailand

Smart City Smart Life คือปัจจัยสำคัญของความก้าวหน้าที่ใครหลายคนมักมองข้าม เพราะความเป็นจริงแล้ว Smart City สามารถเริ่มต้นได้จากตัวเราเองก่อนได้ เริ่มจากบ้าน หรืออาคารสำนักงาน ให้มีระบบที่ดี เพื่อรองรับ Smart City ในอนาคต และหากใครสนใจอยากริเริ่ม ให้ลองดูประเทศ หรือเมืองตัวอย่างที่มีการทำโครงการ ว่าจะผนวกกับตัวเราได้อย่างไร แน่นอนว่าภาครัฐก็มีการริเริ่ม เมืองอัจฉริยะแล้วด้วยเช่นกัน

162
ปรึกษาหมอออนไลน์ สะดวกรวดเร็ว ปรึกษาได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ปรึกษาหมอออนไลน์ได้ทุกที่" border="0

ในปัจจุบันการปรึกษาหมอออนไลน์ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอย่างที่นิยม และเริ่มได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก สำหรับผู้ใช้งานจะสามารถเห็นแอปพลิเคชันปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆมากมาย เพราะการปรึกษาหมอออนไลน์ ถือว่าเป็นรูปแบบการรักษาอีกรูปแบบหนึ่ง

ซึ่งเหมาะมากกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน การที่คนเริ่มหันไปปรึกษาหมอออนไลน์ก็เพื่อลดการพบปะผู้คนต่างๆ รวมถึงความสะดวกสบายที่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยการปรึกษาหมอออนไลน์มีอะไรบ้าง วันนี้ทางBedeeมีคำตอบให้คุณค่ะ

ทำไมเราถึงต้องทำการปรึกษาหมอออนไลน์

ทำไมคนเราถึงจำเป็นที่จะต้องเข้ารับการปรึกษาหมอออนไลน์ เหตุเนื่องมาจากในคนส่วนใหญ่อาจจะไม่อยากเสียเวลาไปกับการนั่งรอคิวเป็นชั่วโมงที่โรงพยาบาล บุคคลเหล่านี้จึงเริ่มหันมาสนใจการปรึกษาแพทย์ออนไลน์มากยิ่งขึ้น เพราะถือว่าเป็นการช่วยลดระยะเวลาในการใช้ชีวิตได้เล็กน้อย

โดยคนไข้ที่เข้ารับการปรึกษาหมอออนไลน์จะได้รับคำแนะนำและการดูแลตนเองเบื้องต้น ผ่านการพูดคุยทางโทรศัพท์มือถือ หรือได้มีการวิดีโอคอลเพียงแค่ทำการบอกอาการให้แพทย์ฟังแพทย์ก็จะทำการวินิชฉัยว่าเป็นอะไรและให้ดูแลตัวเองอย่างไร

การปรึกษาหมอออนไลน์ สามารถปรึกษาอาการอะไรได้บ้าง

การปรึกษาหมอออนไลน์นั้นสามารถปรึกษาได้ตามอาการของคนไข้โดยจะต้องบอกอาการต่างๆให้แพทย์ได้ทราบ แต่ส่วนใหญ่แล้วการปรึกษาหมอออนไลน์ก็จะมีโรคที่เหมาะสมเช่นโรคทั่วไปและโรคที่จะต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถทำการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้ทางวิดีโอคอล เพื่อให้แพทย์ได้ทำการวินิจฉัยเบื้องต้นให้ โดยโรคที่สามารถปรึกษาได้มีดังนี้

  1. ข้อเสื่อม / ข้อเสื่อมโดยทั่วไปปฐมภูมิ
  2. ตาแดงจากไวรัส /ตาแดงจากไวรัส ที่มิได้มีรหัสระบุรายละเอียด
  3. เนื้อเยื่ออักเสบ
  4. วิงเวียน มึน
  5. ปวดศีรษะ
  6. อาหารเป็นพิษจากเชื้อแบคทีเรียอื่น
  7. อาการท้องร่วง
  8. กระเพาะและลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ
  9. มีไข้ / ไข้ไม่ทราบสาเหตุ /ไข้ ไม่ระบุชนิด
  10. ความผิดปกติของระบบการทรงตัวของหู
*และยังมีโรคอื่นๆอีกมากมาย

มัดรวม 5 แอปพลิเคชั่นปรึกษาหมอออนไลน์

วันนี้เราขอมาแนะนำ 5 แอปพลิเคชั่นในการปรึษาหมอออนไลน์ซึ่งมาพร้อมกับบริการน่าสนใจ ดังนี้

1. Bedee
Bedee(บีดี) แพลตฟรอมดิจิทัลเพื่อสุขภสพแบบครบวงจรจากเครือ BDMS ที่จะให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นจึงทำให้คุณสบายใจได้ว่าสามารถทำการปรึกษาแพทย์ออนไลน์หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทุกที่ ทุกเวลา สามารถมั่นใจในเรื่องของความรู้และคุณภาพที่ได้มาตรฐานจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากประสบการ์ณ โดยภายในแอปจะมี 3 บริการหลักๆดังนี้

   1. มีบริการปรึกษาหมอออนไลน์ สามารถพูดคุยกับทางแพทย์ออนไลน์ได้ทันที หรือจะทำการนัดหมายกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางก็ได้ สามารถนัดง่าย ไม่จำเป็นที่จะต้องรอคิว
   2. บริการปรึกษาเภสัชกรออนไลน์ ปรึกษาและรับคำแนะนำจากเภสัชกรได้ฟรี ทั้งในเรื่องของการซื้อยา และการทานยาหรือใช้ยาอย่างปลอดภัย
คุณสามารถทำการสั่งซื้อสินค้าจาก Health Mall ศูนย์รวมสินค้าเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีสินค้ามากมายให้คุญได้เลือกมากกว่า 2,500 รายการ ไม่ว่าจะเป็นวิตมิน
   3. ยาสามัญประจำชาติ อุปกรณ์ของทางการแพทย์ และสินค้าชั้นนำต่างๆมามาย พร้อมจัดส่งถึงบ้านให้คุณภายใน 90 นาที
ช่องทางการเข้ารับบริการ : แอปพลิเคชัน Bedee (สามารถทำการดาวน์โหลดได้ผ่าน App Store หรือ Play Store)

ค่าใช้จ่าย : การปรึกษาหมอออนไลน์โดยทั่วไป จะมีราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท ต่อระยะเวลาการให้บริการ 15 นาที แต่ถ้าเป็นแพทย์เฉพาะทาง จะเริ่มต้นที่ 500 บาท ต่อระยะเวลาบริการ 15 นาที ปรึกษาเภสัชกรออนไลน์ จะไม่มีค่าใช้จ่าย และยังรวมไปถึงค่ายา เวชภัณฑ์ สินค้าสุขภาพต่างๆราคาจะเป็นไปตามมาตรฐานของร้านขายยาทั่วไปเลย

ปรึกษาหมอออนไลน์ที่ไหนดี" border="0

2. Health at Work
Health at Work (เฮลท์ แอท โฮม) เป็นบริการของทางคลินิกออนไลน์ จะมีการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลชั้นนำ สามารถทำการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้ทันที โดยที่ไม่จำเป็นต้องนัดหมาย พร้อมรับฟังผลสรุปผ่านการแชท โทร หรือวิดีโอคแลl ได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 7.00-23.00 น.

3. Siriraj Connect
Siriraj Connect (ศิริราชคอนเน็กต์) เป็นอีกช่องทางการปรึกษาหมอออนไลน์จากโรงพยาบาลศิริราช แต่จะต้องทำการลงทะเบียนข้อมูลต่างๆและทำการนัดหมายผ่านแอป Siriraj Connect จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลทำการยืนยันพบแพทย์ออนไลน์ผ่านการ Video Call

4. Doctor Anywhere
แอปปรึกษาแพทย์ Raksa (รักษา) ในปัจจุบันได้ทำการรวมและให้บริการในชื่อ Doctor Anywhere (ดอกเตอร์ เอนีแวร์) ภายในแอปพลิเคชันจะมีการให้บริการปรึกษาหมอออนไลน์ผ่านวิดีโอออนไลน์ โดยจะมีทีมแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งจะผ่านการรับรองและเต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์จากโรงพยาบาลชั้นนำ

5. Samitivej Virtual Hospital
Samitivej Virtual Hospital (สมิติเวช เวอร์ชัวล์ ฮอสพิทอล) ช่องทางปรึกษาหมอออนไลน์กับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลสมิติเวช โดยจะมีการเปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง และยังมีบริการเสริมอื่นๆที่ครบวงจร เพื่อเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนที่มาใช้งาน

คำถามที่มักพบบ่อยเกี่ยวกับบริการปรึกษาหมอออนไลน์

การปรึกษาหมอออนไลน์มีข้อดีอย่างไร?
การปรึกษาหมอออนไลน์มีจุดเด่นตรงที่ สามารถทำการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง ใช้ระยะเวลาในการพูดคุยหรือวิดีโอคอลที่ไม่นาน แถมราคายังถือว่าย่อมเยาสามารถเอื้อมถึงได้ และเมื่อแพทย์ได้รู้แล้วว่าคุณเป็นอะไร แพทย์จะทำการจัดยาส่งให้ถึงบ้านที่รวดเร็วอีกด้วย

การปรึกษาหมอออนไลน์ใช้ระยะเวลานานหรือไม่?
การปรึกษาหมอออนไลน์จะมีการใช้เวลาที่ไม่นาน โดยจะใช้ระยะเวลาในการพูดคุยกับคุณหมอเฉพาะทางเพียงแค่ 10-20 นาทีเท่านั้นซึ่งถือว่าไม่นานเลย ก็สามารถรู้ได้ว่าอาการเบื้องต้นที่คุณเป็นนั้นมันคือต้นต่อของโรคอะไร

สรุปปรึกษาหมอออนไลน์

สรุปแล้วในปัจจุบันการปรึกษาหมอออนไลน์นั้นก็ถือว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถช่วยให้คนได้ใช้ชีวิตที่รวดเร็วขึ้นได้ และสามารถทราบวิธีการเบื้องต้นในการดูแลตนเอง และยังมีบริการที่ครบครันสามารถทำการจัดส่งยาที่รวดเร็วถึงบ้านได้เลย เพียงแค่คุณนั่งปรึกษาแพทย์ออนไลน์อยู่ที่บ้านก็แทบจะไม่ต่างจากการไปหาหมอที่โรงพยาบาลเลย หากท่านใดสนใจสามารถทำการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันปรึกษาหมอออนไลน์ 24 ชั่วโมงได้เลย

163
สังเกตอาการซึมเศร้าเรื้อรังของตัวเองและคนใกล้ตัว พร้อมการดูแลและป้องกัน
ซึมเศร้าเรื้อรัง" border="0

โรคซึมเศร้าเรื้อรัง แม้จะมีอาการรุนแรงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับโรคซึมเศร้า แต่ก็สามารถทำให้เกิดความทุกข์และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน การทำงาน และการเข้าสังคมไม่แตกต่างจากโรคซึมเศร้าเลย โดยสิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือผู้ป่วยหรือคนรอบตัวที่มีความเสี่ยงเป็นซึมเศร้าเรื้อรัง อาจไม่สามารถบอกได้ว่าอาการและพฤติกรรมต่างๆ นั้นเป็นสัญญาณของซึมเศร้าเรื้อรังหรือไม่ ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาเช็กกันว่าอาการแบบไหนเข้าข่ายซึมเศร้าเรื้อรัง อะไรคือสาเหตุของโรค รวมถึงวิธีป้องกันและรักษาโรคซึมเศร้าเรื้อรัง สามารถทำได้อย่างไร

อาการแบบไหน เข้าข่ายซึมเศร้าเรื้อรัง

ซึมเศร้าเรื้อรัง อาการ" border="0

Dysthymia หรือโรคซึมเศร้าเรื้อรัง คือหนึ่งในความผิดปกติทางอารมณ์ ความคิด และร่างกายที่อยู่ในกลุ่มภาวะซึมเศร้า โดยความผิดปกติของอารมณ์ ได้แก่ รู้สึกเศร้า ไม่มีความสุข ความผิดปกติของความคิด ได้แก่ ขาดสมาธิ ตัดสินใจไม่ได้ ไม่มั่นใจในตัวเอง หรือความผิดปกติในการทำงานของร่างกาย ได้แก่ ความผิดปกติด้านการกิน การนอน อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง เป็นต้น

ซึ่งถึงแม้ซึมเศร้าเรื้อรังจะมีความรุนแรงน้อยกว่าโรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) แต่จะมีอาการเรื้อรังติดต่อกันเป็นระยะเวลานานสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้ป่วย โดยอาการของโรคซึมเศร้าเรื้อรังอาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรืออาจเกิดในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งจนเข้าใจไปว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้นลองสำรวจกันว่าตัวคุณหรือคนใกล้ชิดมีลักษณะอาการดังต่อไปนี้หรือไม่

  • รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง เหนื่อยล้า ไม่มีเรี่ยวแรง
  • รู้สึกเบื่ออาหาร หรืออยากกินอาหารมากกว่าปกติ
  • มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ นอนไม่หลับหรือนอนมากไป
  • หงุดหงิด โกรธง่าย หรือมีอารมณ์โกรธรุนแรงมากเกินปกติ
  • ขาดสมาธิ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
  • ขาดความเชื่อมั่น ตำหนิตัวเองบ่อยๆ ไม่รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง
  • หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม ไม่อยากพบเจอผู้คน

โดยสำหรับผู้ใหญ่จะพบความผิดปกติของอารมณ์ร่วมกับอาการอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 2 ปี สำหรับเด็กและวัยรุ่น อาจมีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งหากเกิดอาการดังกล่าว แนะนำว่าควรไปพบจิตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยซึมเศร้าเรื้อรัง และพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

สาเหตุของภาวะซึมเศร้าเรื้อรังเกิดขึ้นจากอะไร
สาเหตุของภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง" border="0

แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคซึมเศร้าเรื้อรัง dysthymia ได้อย่างแน่ชัด แต่ก็มีการสันนิษฐานว่าอาจเกิดขึ้นจากหลากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • สาเหตุทางพันธุกรรม พ่อแม่ญาติพี่น้องหรือบุคคลในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคซึมเศร้า
  • การทำงานผิดปกติหรือความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุม และการแสดงออกทางอารมณ์
  • ลักษณะนิสัยเฉพาะตัวบางอย่าง เช่น นิสัยมองโลกในแง่ร้าย มองสิ่งต่างๆ ในแง่ลบ วิตกกังวลง่าย เก็บกดอารมณ์ ไม่แสดงออก ฯลฯ
  • ประสบเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ เผชิญกับความตึงเครียดหรือตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่กดดัน เช่น ถูกคุกคามทางเพศ ถูกทอดทิ้ง หย่าร้าง ตกงาน ปัญหาการเงิน ฯลฯ
  • ปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถกระตุ้นให้เป็นซึมเศร้าเรื้อรัง เช่น การใช้สารเสพติด แอลกอฮอล์ หรือภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เป็นต้น

จะทำอย่างไร? หากต้องการป้องกันซึมเศร้าเรื้อรัง

แม้ว่าจะยังไม่ทราบถึงกลไกการเกิดซึมเศร้าเรื้อรังที่แน่ชัด แต่ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงก็ยังสามารถป้องกันไม่ให้ตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรังได้โดย

  • ฝึกตัวเองให้สามารถรับมือกับความเครียด หาวิธีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด
  • ผ่อนคลายความเครียดด้วยกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ทำแล้วมีความสุขหรือเกิดความภูมิใจ
  • หากมีเรื่องที่ทำให้เครียดหรือเป็นทุกข์ ลองพูดคุยกับคนที่ไว้ใจเพื่อระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในใจ อย่าเก็บกดความรู้สึกไว้
  • รักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนใกล้ตัว ออกไปพบปะพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวบ่อยๆ
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หมั่นสังเกตอารมณ์ของตัวเอง หากรู้สึกผิดปกติ หรือไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ และความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์

การตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคซึมเศร้าเรื้อรัง
การวินิจฉัยและรักษาโรคซึมเศร้าเรื้อรัง" border="0

การวินิจฉัยซึมเศร้าเรื้อรัง จิตแพทย์จะใช้การสัมภาษณ์ประวัติและตรวจสภาพจิต โดยในเบื้องต้นจะมีการสอบถามประวัติ ได้แก่ ประวัติโรคซึมเศร้าของผู้ป่วยหรือบุคคลในครอบครัว และอาการผิดปกติต่างๆ ได้แก่ ในผู้ใหญ่มีอารมณ์ซึมเศร้าต่อเนื่องนานกว่า 2 ปี หรือกรณีเด็กและวัยรุ่นอาจมีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปี ฯลฯ

โดยในปัจจุบันเกณฑ์การวินิจฉัยภาวะซึมเศร้าเรื้อรังจะใช้ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, 5th Edition, Text Revision (DSM-V-TR) ของสมาคมจิตแพทย์สหรัฐอเมริกา (American Psychiatric Association) และ International Classification of Disease, 11th Edition (ICD-11) ขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization)

ซึ่งหากอาการตรงตามเกณฑ์วินิจฉัย ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยกำลังเป็นซึมเศร้าเรื้อรัง ดังนั้นแพทย์จึงต้องใช้การตรวจด้วยวิธีต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อค้นหาว่าอาการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับโรคทางกายบางชนิดหรือไม่ หากไม่ใช่โรคทางกาย ก็ต้องมีการประเมินอาการทางจิตเพิ่ม เพื่อดูความรุนแรงของอาการและพิจารณาการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

โดยในส่วนของการรักษาโรคซึมเศร้าเรื้อรัง dysthymia นั้น สามารถใช้วิธีรักษาด้วยยา และการรักษาด้วยจิตบำบัด หรืออาจใช้ทั้ง 2 วิธีร่วมกัน

  • วิธีรักษาด้วยยา (Pharmacological Treatment)
ปัจจุบันยาต้านเศร้ามีหลากหลายชนิด เช่น ยาต้านเศร้ากลุ่มเอสเอสอาร์ไอ (SSRIs) ยาต้านเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก (TCAs) ยาต้านเศร้ากลุ่มเอสเอ็นอาร์ไอ (SNRIs) โดยยาต้านเศร้ากลุ่มใหม่ๆ จะมีผลข้างเคียงต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มยาในอดีต อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยอาจต้องใช้เวลาเพื่อปรับเปลี่ยนหายาที่เหมาะสม หรือปรับตัวต่อผลข้างเคียงของยา ข้อแนะนำสำคัญคือควรกินยาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์แนะนำ และห้ามหยุดใช้ยาเอง

  • การรักษาด้วยจิตบำบัด (Psychotherapy)
การทำจิตบำบัดมีหลากหลายวิธี ได้แก่ จิตบำบัดแบบความคิดและพฤติกรรม (CBT) จิตบำบัดสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (IPT) การกระตุ้นพฤติกรรม (Behavioral Activation) การบำบัดโดยการแก้ปัญหา (Problem solving Therapy) ฯลฯ โดยการเลือกวิธีบำบัดจะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย

โดยการรักษาซึมเศร้าเรื้อรังนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ระยะเวลา เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญในการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าคือการทำความเข้าใจกับโรคซึมเศร้าเรื้อรัง คอยดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาตามแผน และไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ ให้กำลังใจและช่วยสนับสนุนให้ผู้ป่วยดีขึ้น

วิธีดูแลตัวเองหรือคนใกล้ชิดเมื่อเป็นซึมเศร้าเรื้อรัง
ดูแลตัวเองหรือคนใกล้ชิดเมื่อเป็นซึมเศร้าเรื้อรัง" border="0

โรคซึมเศร้าเรื้อรังคืออาการป่วยทางจิตใจ ความคิด และร่างกาย ซึ่งในบางครั้งมันอาจเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ยาก หรือไม่สามารถสังเกตเห็นได้จากภายนอก อีกทั้งอาการต่างๆ ของซึมเศร้าเรื้อรัง มักเกิดขึ้นเป็นระยะๆ จนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นจึงไม่ควรวินิจฉัยอาการด้วยตนเอง

ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรหันมาใส่ใจในการสังเกตตนเองและคนใกล้ชิดให้มากยิ่งขึ้น โดยสังเกตจากพฤติกรรมซึ่งเป็นการแสดงออกที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่าอารมณ์ความคิด หากพบว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีพฤติกรรมผิดปกติแตกต่างไปจากเดิม เช่น หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม ไม่อยากพบปะพูดคุยกับใคร พฤติกรรมการกินการนอนผิดปกติ ดูอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ไม่ค่อยมีสมาธิ ฯลฯ ซึ่งหากสังเกตเห็นอาการซึมเศร้าเรื้อรังดังกล่าวหรือสัญญาณอื่นๆ ควรไปพบจิตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย

นอกเหนือจากการเข้ารับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญหรือบุคลากรทางแพทย์แล้ว การสนับสนุนทางสังคม ทั้งเพื่อน คนใกล้ตัว และครอบครัว ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยบรรเทาทุกข์จากภาวะซึมเศร้าเรื้อรังได้ โดยแนวทางที่สามารถช่วยดูแลคนใกล้ชิดเมื่อเป็นซึมเศร้าเรื้อรัง มีดังนี้

  • พูดคุยและรับฟังผู้ป่วยซึมเศร้าเรื้อรัง
  • ทำความเข้าใจกับสิ่งที่ผู้ป่วยกำลังรู้สึก
  • ยอมรับผู้ป่วยซึมเศร้าเรื้อรังโดยปราศจากการตัดสิน
  • สนับสนุนและให้กำลังใจผู้ป่วยในการรักษาภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง
  • ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเรื้อรังให้สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด

สรุปเกี่ยวกับซึมเศร้าเรื้อรัง
ลองสังเกตตนเองและคนใกล้ตัวว่ากำลังมีภาวะอารมณ์หรือพฤติกรรมผิดปกติตามอาการที่เข้าข่ายซึมเศร้าเรื้อรังหรือไม่ ซึ่งหากประเมินแล้วพบความเสี่ยงหรือมีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ควรเข้าพบจิตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและพิจารณาวิธีการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป โดยสิ่งสำคัญในการดูแลผู้ป่วยคือการทำความเข้าใจกับโรคซึมเศร้า รวมถึงเข้าใจแนวทางในการรับมือกับภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง โดยหากท่านใดอยากได้รับคำปรึกษาหมอออนไลน์เพื่อให้การช่วยเหลือก่อนในเบื้องต้น ก็สามารถทำได้ผ่านแอป Bedee ที่ให้คุณสามารถปรึกษาหมอได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน

164
คอร์สเรียนเทรดหุ้น

มือใหม่ด้านการลงทุนแต่อยากเล่นหุ้นทำอย่างไร เรียนรู้พื้นฐานการลงทุนและเข้าใจตลาดได้ง่ายกับคอร์สเรียนเทรดหุ้น คอร์สเรียนหุ้นเบื้องต้นที่จะช่วยสอนการลงทุนให้คุณเตรียมตัวก่อนเข้าตลาดได้อย่างมืออาชีพ

คอร์สเรียนเทรดหุ้น ยกระดับความรู้ด้านการลงทุน

เทรนด์การเทรดหุ้นเรียกได้ว่าเป็นตลาดที่ผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจ แต่ตลาดหุ้นขึ้นชื่อในด้านความเสี่ยงและการผันผวนของราคาอยู่เสมอ ทำให้ต้องใช้หลักการอ่านกราฟ วิเคราะห์แนวโน้ม รวมถึงความเข้าใจตลาดเทรดหุ้นที่ดีในระดับหนึ่งมาประยุกต์ใช้ อย่างที่รู้กันดีว่าการลงทุนกับความเสี่ยงนั้นเป็นของคู่กัน การเทรดหุ้นเป็นการทำกำไรที่ต้องใช้เวลาศึกษาหาความรู้เพิ่มพูนความมั่นใจเพื่อป้องกันความเสี่ยงซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการลงทุน คอร์สสอนเทรดหุ้นในปัจจุบันซึ่งมีเปิดสอนอยู่มากมายหลายแห่งจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับทำความเข้าใจพื้นฐานธุรกิจก่อนเข้าตลาดหุ้น

โดยสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเรียนเทรดหุ้นอาจจะไม่แน่ใจว่าควรเริ่มต้นจากไหน หรือควรหาความรู้เพิ่มเติมในส่วนใดบ้างถึงจะลงสนามเทรดได้อย่างมั่นใจ มีความเสี่ยงน้อย ทำให้คอร์สเรียนการลงทุนเป็นทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์ทั้งยังสะดวกสบายสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนแต่ต้องหาเวลาศึกษาเพิ่มเติม เพราะคอร์สเรียนเทรดหุ้นนั้นสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านรูปแบบการสอนหุ้นทางออนไลน์ที่จะช่วยยกระดับความรู้ด้านการลงทุนให้คุณพิชิตกำไรไม่ติดดอย

คอร์สเรียนเทรดหุ้น ต่อยอดวางแผนทางการเงินอย่างมืออาชีพ

เรียนเทรดหุ้นออนไลน์

เรียนเทรดหุ้นจำเป็นแค่ไหน และเรียนเรื่องหุ้นสามารถนำไปต่อยอดอย่างไรได้บ้างนั้นน่าจะเป็นข้อสงสัยอันดับต้นในใจใครหลาย ๆ คนด้วยกัน ซึ่งคอร์สเรียนหุ้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะรวบรวมองค์ความรู้ที่จำเป็นต้องเข้าใจก่อนเข้าตลาดหุ้นไว้อย่างครอบคลุม อย่างเช่นหุ้นคืออะไร ทำไมเราถึงต้องลงทุน การเตรียมตัวก่อนลงทุนต้องเริ่มต้นจากไหน ตลอดจนวิธีการเล่นหุ้นสำหรับคนที่อยากลงทุนนั้นเขาเล่นกันอย่างไร การวิเคราะห์ตลาด เทคนิควิธีอ่านกราฟ ซึ่งคอร์สเรียนเทรดหุ้นจะช่วยตอบคำถามเหล่านี้ให้แก่คุณได้

การเลือกคอร์สเรียนหุ้นออนไลน์จึงเปรียบเสมือนการทำความรู้จักพื้นฐานเบื้องต้นของตลาดหุ้นสำหรับมือใหม่ที่ไม่มีพื้นฐานในด้านการลงทุนมาก่อนเลย หรือสำหรับบุคคลที่กำลังหัดเทรดอยู่แล้วแต่ต้องการเพิ่มพูดความรู้ ฝึกฝนการอ่านวิเคราะห์ตลาดหุ้นเพื่อการทำกำไรที่ดียิ่งขึ้นจนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ การเรียนเทรดหุ้นเป็นการทำความเข้าใจความเป็นไปของตลาด ปรับเปลี่ยนมุมมอง ทำให้มองเห็นภาพรวมที่ชัดเจนของการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำเทคนิคที่ได้ไปประยุกต์ใช้ก่อเกิดผลตอบแทนอันดีในระยะยาว

ที่จะเห็นภาพได้ชัดเจนคือการเรียนเทรดหุ้นสามารถนำไปต่อยอดในด้านของบริการลงทุนและตลาดหุ้นต่าง ๆ นอกจากนี้แล้วยังรวมถึงในด้านวางแผนการตลาดและการเงิน ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวเพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์แนวโน้มที่อาจส่งผลได้ในการเทรดหุ้น เนื่องจากการเทรดนั้นมีความเสี่ยงสูง การเรียนเทรดหุ้นจะช่วยให้มีความระมัดระวังและรู้จักจัดการความเสี่ยงได้อย่างรอบคอบ รู้ทันสภาพอารมณ์ที่อาจเป็นผลกระทบจากการตัดสินใจเทรดหุ้นดังกล่าว

ในส่วนต่อมาคือต่อยอดการคำนวณรายได้ ภาษี กำไร จากการลงทุน การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจะช่วยปรับปรุงทักษะให้คุณเทรดได้อย่างเชี่ยวชาญ นำความรู้ด้านตลาดหุ้นและการลงทุนที่ได้จากการเรียนเทรดหุ้นไปประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจหรือกิจการ และเมื่อพัฒนาทักษะด้านการลงทุนจนชำนาญ คุณก็จะสามารถต่อยอดด้านการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ใช่แค่เพียงลงตลาดหุ้นไทย แต่รวมถึงหุ้นต่างประเทศได้อย่างมีคุณภาพ พร้อมเจาะตลาดเทรดอย่างสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) โดยไม่ติดดอย

ลงเรียนคอร์สเรียนเทรดหุ้นแล้วได้ประโยชน์อย่างไร

คอร์สเรียนเทรดหุ้นเป็นหนึ่งในคอร์สเรียนน่าสนใจอันดับต้นสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนและทำกำไรจากการเทรด แล้วประโยชน์ที่จะได้รับจากการเรียนเทรดหุ้นนั้นมีอะไรบ้าง?

สิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับจากคอร์สเรียนการลงทุนคือเนื้อหาสาระที่ครอบคลุมและอัดแน่นเกี่ยวกับการเทรดหุ้น เริ่มตั้งแต่การปูพื้นฐานเทหุ้น สอนการลงทุนเบื้องต้นไปจนถึงการเรียนเทรดหุ้นแบบลงสนามจริง เข้าใจตลาด รู้จักวิเคราะห์วางแผนทางการเงินอย่างไรให้ลงทุนได้อย่างรอบคอบ ลดปัจจัยความเสี่ยง เป็นคอร์สสอนเทรดหุ้นที่เจาะลึกการเทรดเหรียญสกุลเงินดิจิทัลในตลาดเทรด Cryptocurrency รวมถึงเรียนการลงทุนแบบเปิดโลก ให้คุณเล่นหุ้นต่างประเทศได้อย่างเชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพ

สรุปภาพรวมคอร์สเรียนเทรดหุ้น

ใครหลายคนคงเริ่มมีคำถามกันแล้วว่าควรเรียนเล่นหุ้นที่ไหนดี สำหรับผู้ที่กำลังมองหาคอร์สสอนเทรดหุ้นเพื่อยกระดับความรู้ในด้านการลงทุน คอร์สเรียนเทรดหุ้น FutureSkill เป็นคอร์สสอนหุ้นที่เหมาะสำหรับผู้สนใจเรียนรู้และทำความเข้าใจตลาดเทรดเพื่อการลงทุนให้มีประสิทธิภาพ ลดปัจจัยความเสี่ยงจากการเทรดหุ้นและเพิ่มโอกาสต่อยอดทำกำไรระยะยาวได้อย่างมั่นคง ตอบโจทย์ทุกที่ทุกเวลา อีกทั้งหากต้องการทำกำไรเพิ่มเติมในส่วนอื่นก็อาจมองหาคอร์สที่น่าสนใจอย่างเรียนยิงแอดโฆษณาหรือคอร์สสอนยิงแอดได้เช่นกัน

165
โรงงานรับบรรจุเครื่องสำอาง

สำหรับคนที่จะเริ่มทำธุรกิจหรือมีธุรกิจในเรื่องของความสวยความงามเป็นของตัวเอง และกำลังมองหาโรงงานที่สามารถรับบรรจุเครื่องสำอางอยู่ สิ่งที่ควรคำนึงถึงและให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเลยก็คือเรื่องของ การเลือกโรงงานที่รับบรรจุเครื่องสำอางแบบปลอดภัย100% ที่จะต้องได้มาตรฐานและสามารถทำการไว้วางใจได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีโรงงานที่รับแบ่งบรรจุเครื่องสำอางอยู่มากมาย

แต่ละโรงงานก็จะมีรายละเอียดและขั้นตอนในการทำที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่ว่าคุณจะเลือกใช้บริการของโรงงานรับแบ่งบรรจุเครื่องสำอางที่ไหน แต่วันนี้เรามีแนวทางในการเลือกโรงงานรับบรรจุเครื่องสำอางที่มีการผลิตสินค้าได้อย่างมีคุณภาพ สามารถทำให้คุณตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น

รายละเอียดต่างๆในการรับบรรจุเครื่องสำอาง

สำหรับคนที่พึ่งเริ่มทำธุรกิจที่เกี่ยวกับสกินแคร์ต่างๆแต่ยังไม่อยากที่จะผลิตออกมาเยอะมากจนเกินไป ทางเราก็สามารถรับผลิตสินค้าเหล่านั้นได้ ไม่ว่าจะทำในปริมาณที่มากหรือน้อยเพียงใดก็สามารถสั่งทำบริการรับบรรจุเครื่องสำอางได้เช่นกัน หรือใครที่ต้องการงานที่เร่งด่วน ส่งตรงตามเวลาเราก็ให้บริการได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ

และสำหรับรายละเอียดต่างๆในการเข้ารับบริการรับบรรจุเครื่องสำอางหรือรับบรรจุสกินแคร์ต่างๆ ของทางโทรแพ็ค เอเชีย(Propack Asia) และทางเราสามารถทำแบบรับแบ่งบรรจุเครื่องสำอางได้ตามที่ลูกค้าต้องการได้เหมือนกัน และทางเราก็รับทำทั้งแบบขวด, กระปุก, ซอง หรือแบบหลอดก็สามารถทำได้เช่นกัน

ขั้นตอนของการเข้ารับบรรจุเครื่องสำอาง

ในส่วนของขั้นตอนในการผลิตสินค้าของโปรแพ็ค เอเชีย(Propack Asia)นั้นมีอยู่เพียงแค่ 8 ขั้นตอนเท่านั้น ซึ่งใน8ขั้นตอนนี้ก็ถือว่าไม่ยุ่งยากคนที่พึ่งเริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับสกินแคร์และกำลังมองหาโรงงานที่รับบรรจุเครื่องสำอางก็สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายแถมทางบริษัทของเรายังจัดส่งงานรวดเร็วอีกด้วย

1. ลูกค้าจะต้องทำการแจ้งรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับงานที่อยากได้ หรือจะต้องทำการส่งตัวแทนมาอธิบายหรือส่งตัวอย่างมาให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นการประเมินราคาและขั้นตอนการผลิตต่างๆ
2. ทางเจ้าหน้าที่จะเริ่มทำการจัดส่งใบเสนอราคา ก็ต่อเมื่อลูกค้าได้ทำการสรุปรายละเอียดงานอยากครบถ้วนแล้ว
3. ลูกค้าได้ทำการสั่งซื้อและรับบริการจากเราและได้ทำการชำระเงินตามที่ได้ตกลงกันไว้ในใบเสนอราคาก่อนที่จะเริ่มทำการผลิต
4. ทางเราจะรับสินค้าจากทางลูกค้า และเตรียมดำเนินการที่คลังสินค้า
5. ตรวจสินค้าพร้อมกับตรวจคุณภาพของสินค้าเบื้องต้น จากนั้นจะรอการดำเนินการผลิตจัดส่งตัวอย่างผลงานให้กับลูกค้าเพื่อเป็นการยืนยันก่อนเริ่มทำการผลิตงานตัวจริง
6. เริ่มเป็นการเข้าสู่กระบวนการผลิตหลังจากได้รับการยืนยันแล้ว
7. ลูกค้าได้ชำระเงินส่วนที่เหลือ และนัดหมายช่องทางการจัดส่ง
8. ทางเราจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า โดยสินค้าของเราสามารถจำหน่ายได้เลยทันที

ควรเลือกโรงงานบริการรับบรรจุเครื่องสำอางแบบไหน ถึงจะได้โรงงานที่มีคุณภาพ

บริการรับบรรจุเครื่องสำอางที่ไหนดี

แต่ละคนจะมีเทคนิคการเลือกโรงงานรับบรรจุเครื่องสำอางที่แตกต่างกันออกไป โดยหลายคนมักจะเลือกจากโรงงานที่ได้มาตรฐานมีความปลอดภัย100% และต้องมีทีมในการทำงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง คอยดูแลควบคุมในเรื่องของการผลิตสินค้าในทุกๆขั้นตอนให้ถูกต้องและถูกวิธี เพื่อที่จะให้ลูกค้าได้รับของที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทางโรงงานรับบรรจุเครื่องสำอางจะต้องให้คำปรึกษาที่ครอบคลุมรอบด้านกับคนที่จะมาใช้บริการได้

โดยทางโรงงานรับบรรจุเครื่องสำอางจะต้องทำงานออกมาได้เป็นอย่างดีตามที่ได้คุยกันไว้ ทั้งในเรื่องของระยะเวลาในการส่งงาน และที่สำคัญคือสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยากต่างๆลงได้ ด้วยบริการจากโรงงานรับบรรจุเครื่องสำอางที่ผลิตอย่างครบวงจรเลยทีเดียว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเลือกโรงงานรับบรรจุเครื่องสำอางแห่งนี้แล้วสามารถจบได้ในที่เดียวเลยนั้นเอง

วันนี้ทางเราขอแนะนำโรงงานที่รับแบ่งบรรจุเครื่องสำอางที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย โดยทางโปรแพ็ค เอเชีย (Propack Asia)ถือว่าเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในเรื่องของการรับบริการแพ็คสินค้าที่เกี่ยวกับสกินแคร์ต่างๆและยังรับบรรจุเครื่องสำอางอีกด้วย เพราะทางบริษัทจะมีทีมงานที่เป็นมืออาชีพและยังมีประสบการณ์ในการทำงานมานานกว่า 10 ปี พร้อมกับทางโรงงานรับแบ่งบรรจุเครื่องสำอางยังมีการใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยนำเข้ามาจากต่างประเทศ และยังอยู่ภายใต้กระบวนการผลิตตามมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 อีกด้วย

ราคาของการรับบรรจุเครื่องสำอาง

ในเรื่องของราคาสำหรับการเข้ารับบรรจุเครื่องสำอางนั้น ปกติแล้วราคาจะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือองค์ประกอบที่ใช้รวมไปถึงปัจจัยต่างๆ ทั้งในเรื่องของขั้นตอนในการผลิต วัสดุของบรรจุภัณฑ์ รายละเอียดในการพิมพ์สติ๊กเกอร์หรือสกรีนฉลาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของปริมาณที่จะใส่ลงไปและระยะเวลาในการผลิต ถ้าหากต้องการแบบเร่งด่วนราคาก็จะสูงขึ้นตามเช่นกัน

โปรโมชั่นในการเข้ารับบรรจุเครื่องสำอางและช่องทางติดต่อ

สำหรับใครที่กำลังสนใจหรือหาบริษัทที่รับบรรจุเครื่องสำอาง โดยคุณสามารถทำการติดต่อหรือสอบถามรายละเอียดต่างๆหรือในเรื่องของโปรโมชั่นได้ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายของทางบริษัทโปรแพ็ค เอเชีย(Propack Aisa) และคุณลูกค้ายังสามารถทำการดูรายการสินค้าต่างๆได้ผ่านทาง

ที่อยู่1/111 หมู่ที่ 4 ซ.แจ้งวัฒนะ 19 ต.คลองเกลือ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120 วันและเวลาเปิดทำการจ.-ส. 8.00 -17.00 น. (หยุดวันอาทิตย์) หรือคุณสามารถติดต่อสอบถามผ่านทางTel 082-964-5665 และE-mail  sales.propackasia@gmail.com

คำถามที่มักจะพบบ่อยเกี่ยวกับการรับบรรจุเครื่องสำอาง

โรงงานรับบรรจุเครื่องสำอางใช้ระยะเวลาในการผลิตนานเท่าไหร่?

โดยปกติแล้วระยะเวลาในการรับบรรจุเครื่องสำอางจะอยู่ประมาณ2-3เดือน หรือสามารถลดระยะเวลาลงได้ถ้าหากลูกค้าต้องการแบบเร่งด่วน โดยคุณสามารถทำการติดต่อประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ได้เลย แต่ระยะเวลาก็จะขึ้นอยู่กับรูปแบบของผลิตภัณฑ์และรายละเอียดต่างๆด้วยเช่นกัน

ทำไมถึงต้องใช้โรงงานในการรับแบ่งบรรจุเครื่องสำอาง?

อย่างแรกเลยคือในเรื่องของความปลอดภัยที่จะได้รับ ถ้าหากว่าคุณไม่ได้ใช้โรงงานในการรับบรรจุเครื่องสำอาง สินค้าของคุณก็จะไม่ได้มาตรฐานและไม่ผ่านมาตรฐานสากลอย่างแน่นอน การที่ผลิตภัณฑ์ของคุณนั้นผ่านโรงงานรับแบ่งบรรจุเครื่องสำอางจะยิ่งทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่า สินค้าของคุณปลอดภัย100%อย่างแน่นอน

สรุปโดยรวมของการรับบรรจุเครื่องสำอาง

สรุปโดยรวมของการรับบรรจุเครื่องสำอางที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานที่สามารถเชื่อถือได้ ก็จะช่วยให้สินค้าของคุณได้รับการเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และยังสามารถทำการวางขายได้อย่างไม่มีสะดุดอีกด้วย สำหรับใครที่ยังหาโรงงานรับบรรจุเครื่องสำอางไม่ได้เราขอแนะนำโปรแพ็ค เอเชียนจำกัดเป็นบริษัทที่ผ่านมาตรฐานสากลโลกในเรื่องของการรับแบ่งบรรจุเครื่องสำอางและสกินแคร์ต่างๆ และให้คำแนะนำได้อย่างครบครันอีกด้วย

166
ไมโครเวฟที่ใช้งานในครัว

การรับประทานอาหารให้ปัจจุบันนั้น ผู้คนมักจะต้องการรับประทานอาหารที่ทำเสร็จใหม่ ๆ อยู่เสมอ เนื่องจากถูกสุขอนามัย พร้อมด้วยสดชาติที่สดใหม่ แต่เกิดปัญหาตรงที่หากรับประทานอาหารไม่หมดจะทำอย่างไรต่อไป เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานไป อาหารอาจเน่าเสียได้ หรือถึงแม้นำเข้าไปเก็บไว้ในตู้เย็น เมื่อนำออกมาก็ไม่สามารถที่จะรับประทานได้ในทันที ต้องรอให้อาหารหายเย็นเองซึ่งก็ใช้เวลานานขึ้นไปอีก แถมรสชาติของอาหารก็ไม่เหมือนเดิมอีกด้วย

จึงมีการประดิษฐ์เตาไมโครเวฟ (microwave) ขึ้นเพื่อช่วยให้อาหารที่นำออกมาจากตู้เย็นสามารถนำมาอุ่น และรับประทานได้ในขณะที่ยังร้อนอยู่ แม้จะสู้อาหารที่ทำสุกใหม่ ๆ ในทันทีไม่ได้ แต่ก็สามารถให้รสชาติที่ใกล้เคียงที่สุด พร้อมยังสามารถฆ่าเชื้อโรคที่อาจเกิดขึ้นหากทิ้งอาหารให้หายร้อนก่อนนำเข้าตู้เย็นอีกด้วย

เตาไมโครเวฟ (Microwave) คืออะไร

เตาไมโครเวฟที่ใช้คลื่นไมโครเวฟอุ่นอาหาร

เตาไมโครเวฟ(microwave) คืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับทำอาหารหรืออุ่นอาหารที่อุณหภูมิต่าง ๆ โดยใช้คลื่นไมโครเวฟ (microwave radiation) เพื่อทำให้อาหารมีอุณหภูมิตามที่ต้องการ คลื่นไมโครเวฟจะทำให้อาหารมีความร้อนขึ้น โดยไม่ต้องตั้งไฟที่เตา รวมถึงไม่ต้องใช้เครื่องครัวที่มีขนาดใหญ่เพื่ออุ่นอาหารด้วย เครื่องไมโครเวฟนี้มักถูกใช้สำหรับทำอาหารอย่างรวดเร็วเพื่อความสะดวกสบาย เช่น อุ่นอาหารที่นำออกจากตู้เย็น เช่น ผัดกะเพรา, ซุป หรือสามารถใช้สำหรับทำพ็อปคอร์นได้อีกด้วย

ตู้ไมโครเวฟยังสามารถอุ่นอาหารแบบกำหนดเวลาได้อีกด้วยเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้งาน เพราะฉะนั้นกล่าวได้ว่าไมโคเวฟเป็นอุปกรณ์ที่มีความสะดวกสบายและช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็วขึ้นมาก

ในการเลือกซื้อไมโครเวฟให้เหมาะต่อการใช้งาน มีเทคนิคอย่างไร

เลือกไมโครเวฟให้เหมาะแก่การใช้งาน

ในการเลือกซื้อตู้ไมโครเวฟ (microwave) ที่เหมาะกับสำหรับใช้งานต้องพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้ได้ไมโครเวฟราคาถูกและตรงตามความต้องการโดยการเลือกซื้อไมโครเวฟที่ควรพิจารณาเช่น

  • พิจารณาขนาดของไมโครเวฟให้เหมาะสมกับพื้นที่ในห้องครัวและความจุของจานหรืออุปกรณ์ที่ต้องการนำเข้าในไมโครเวฟ
  • ควรเลือกไมโครเวฟที่มีกำลังไฟเพียงพอสำหรับใช้งานตามที่ต้องการ สำหรับอุ่นอาหารและใช้งานในครัว ไมโครเวฟที่มีกำลังไฟระหว่าง 600-1000 วัตต์จะดีที่สุด
  • ตรวจสอบว่าไมโครเวฟมีระบบความปลอดภัยที่เพียงพอ เช่น การล็อกประตูเวลาที่ไมโครเวฟกำลังทำงาน และป้องกันการทำงานโดยไม่มีอาหารในจาน
  • กำหนดงบประมาณที่พร้อมจ่ายสำหรับไมโครเวฟ และค้นหาอุปกรณ์ที่ตรงตามงบประมาณนี้ รวมถึงติดตามข่าวโปรโมชั่นไมโครเวฟลดราคา โดยราคาของไมโครเวฟมักขึ้นอยู่กับความสามารถและฟีเจอร์ของเครื่อง
  • เลือกไมโครเวฟที่สามารถควบคุมและมีปุ่มใช้งานที่ง่าย ควรอ่านและทำความเข้าใจคู่มือการใช้งานก่อนซื้อไมโครเวฟ
  • ควรอ่านรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ใช้งานคนอื่น ๆ เพื่อรับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคุ้มค่าและประสิทธิภาพของไมโครเวฟที่สนใจ
  • เลือกซื้อจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและมีบริการหลังการขายที่ดี เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและการบริการหลังการขายของไมโครเวฟ

ข้อดีของไมโครเวฟมีอะไรบ้าง

เตาไมโครเวฟมีข้อดีหลายอย่างที่ทำให้เป็นอุปกรณ์ที่นิยมสำหรับหลายคน ตัวอย่างข้อดีเช่น

  • ไมโครเวฟสามารถอุ่นอาหารได้อย่างรวดเร็วช่วยลดเวลาในการทำอาหารเนื่องจากใช้คลื่นไมโครเวฟ ซึ่งช่วยลดเวลาสำหรับปรุงอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ไมโครเวฟมีการใช้งานที่ง่าย สามารถกำหนดเวลาหรือกำหนดระดับความร้อนได้เอง ไม่ต้องมีความเชี่ยวชาญก็สามารถใช้งานได้ เพราะมีปุ่มควบคุมที่ง่าย
  • ไมโครเวฟมักใช้พลังงานน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการใช้เตาแก๊สหรือเตาถ่านสำหรับปรุงอาหารเพราะไม่ต้องทำความร้อนให้อุณหภูมิสูงมากโดยไม่จำเป็น
  • การใช้ไมโครเวฟสามารถรักษาคุณค่าทางอาหารได้ดีกว่าวิธีปรุงอาหารแบบอื่น ซึ่งอาจทำให้สารอาหารสูญเสียไป
  • มีระบบความปลอดภัยในการใช้ไมโครเวฟ เช่น การล็อกประตูขณะที่เครื่องทำงานเพื่อป้องกันการเปิดประตูในระหว่างทำงาน
  • ไมโครเวฟมีความสามารถสำหรับทำอาหารหลากหลายประเภท เช่น ไข่ลวก, ไข่ตุ๋น, หมูทอดกระเทียม, แกงจืด หรือข้าวผัด เป็นต้น
  • มีไมโครเวฟราคาถูกที่ราคาสามารถจับต้องได้ หรืออาจมีช่วงโปรโมชั่นไมโครเวฟลดราคาให้เลือกซื้อได้ทั่วไป

สรุป

การเลือกใช้เตาไมโครเวฟ (microwave) ต้องคำนึงถึงวิธีใช้งานเป็นหลัก โดยเลือกไมโครเวฟที่เหมาะสมกับราคา มีกำลังไฟที่เพียงพอ ได้มาตรฐานความปลอดภัย ต้องอ่านรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ใช้งานคนอื่น ๆ และเลือกซื้อกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและมีบริการหลังการขายที่ดี

167
Google Analytics

Google Analytics คือ เครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์ของเรา ที่นักการตลาดออนไลน์ยุคใหม่ควรมีติดตั้งไว้ เพราะจะช่วยให้ธุรกิจที่ต้องการทำการตลาดผ่านเว็บไซต์สามารถเข้าถึงข้อมูลและสถิติต่างๆ ของผู้ที่เข้ามาในเว็บไซต์ของเราได้ เพื่อนำไปต่อยอดในการวางแผนธุรกิจของเรา สามารถทำการตลาดได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญ Google Analytics สามารถใช้งานได้ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น Google Analytics คือเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือมีธุรกิจอยู่แล้ว และอยากใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้ได้มากที่สุด

แต่หลายคนอาจยังไม่เคยใช้ หรืออาจสงสัยว่า Google Analytics หรือ GA คืออะไร ทำงานอย่างไร? มีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจของเราได้บ้าง? ในบทความนี้จะมาตอบข้อสงสัยเหล่านี้กัน!

รู้จักกับ Google Analytics 4 คืออะไร?

Google Analytics 4 (หรือ GA4) คือ Google Analytics เวอร์ชันล่าสุดที่ได้มีการเริ่มต้นเปิดให้ใช้งานตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2563 ที่ผ่านมา โดย GA4 ได้ถูกพัฒนามาเพื่อรองรับความผันผวนของพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของผู้บริโภคที่มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงได้มีการปรับปรุง interface การใช้งาน และระบบการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ

โดย Google Analytics 4 จะมีการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเราอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้าใจ user journey ของผู้ที่มาเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างครบวงจรและแม่นยำ รวมถึงการใช้ AI และ Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูล ยกตัวอย่างฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ GA4 เพิ่มเข้ามา ดังนี้

-พัฒนาการใช้งานร่วมกับเครื่องมืออย่าง Google Ads, Youtube Ads และช่องทางอื่นๆ ได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
-การติดตาม user journey ได้อย่างเป็นระบบ และเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางในการประเมินข้อมูล
-มีมุมมองในการประมวลผลข้อมูลผ่านรูปแบบของ report ที่หลากหลายตามการใช้งาน
-สามารถเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ดีมากยิ่งขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บางราย

หลักการทำงานของ Google Analytics

หลายคนคงสงสัยว่า Google Analytics ใช้ยังไง? มีหลักการทำงานอย่างไร? โดยการทำงานของ Google Analytics จะเริ่มต้นจากการเก็บข้อมูลต่างๆ ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเรา โดยจะต้องมีการใส่ code ในแต่ละหน้าเพจที่เราต้องการเก็บข้อมูล (เช่น user เข้ามายังเว็บไซต์ของเราจากช่องทางไหน, มีพฤติกรรมอย่างไรบนเว็บเพจ หรือมีจำนวน user เข้ามาในเว็บไซต์เท่าไหร่ เป็นต้น)

หลังจากที่หน้าเว็บของเราได้รวบรวมข้อมูลแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกส่งไปยัง Google Analytics เพื่อจัดระเบียบข้อมูล และประมวลผลออกมาเป็น report ที่เราสามารถนำมาวิเคราะห์ต่อได้ ตามความต้องการของธุรกิจ โดยเรายังสามารถตั้งค่าการประเมินผลของข้อมูลให้เหมาะสมต่อการนำมาใช้งานได้อีกด้วย

ประโยชน์ของ Google Analytics คืออะไร?

ประโยชน์ของ Google Analytics

แล้วประโยชน์ของ Google Analytics คืออะไร? มีอะไรบ้าง? เพื่อให้สามารถนำมาวางแผนและปรับใช้ให้เข้ากับธุรกิจของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ ซึ่งจริงๆ แล้วศักยภาพของ Google Analytics สามารถมีส่วนช่วยให้เราเข้าใจธุรกิจและลูกค้าของเรามากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น

Google Analytics เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน
Google Analytics คือ เครื่องมือที่ใช้งานได้ไม่ยาก สามารถเรียนรู้ได้ และที่สำคัญคือไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ หากมีบัญชีของ Google อยู่แล้ว ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นเรียนรู้ รวมไปถึงธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น ตลอดจนธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ต้องการเริ่มต้นใช้งาน Google Analytics

Google Analytics ช่วยหากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
Google Analytics ช่วยให้สามารถระบุได้ว่า กลุ่มลูกค้าที่มักเข้ามาใช้บริการในเว็บไซต์ของเราเป็นใคร มาจากไหน จากข้อมูลเชิงภูมิประชากรศาสตร์ ได้แก่ ภาษา, ประเทศ, จังหวัด, เพศ และกลุ่มอายุ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจนำไปปรับใช้ในกลยุทธทางการตลาดต่างๆ เพื่อให้ตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด

เก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคครบวงจร
Google Analytics สามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้เว็บเพจของเราได้อย่างครบวงจร และเมื่อรู้แล้วว่าผู้เข้าใช้เว็บไซต์ของเรามีการตอบสนองอย่างไรบ้าง ทำให้สามารถนำข้อมูลนี้มาพัฒนาเว็บไซต์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้

ช่วยวางแผนการทำ SEO และ Content Marketing
หากเว็บไซต์ของเราสามารถทำอันดับได้ดีบน search engine จะทำให้มีคนเห็นและเข้าถึงเว็บเพจของเราได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยการใช้ Google Analytics สามารถวิเคราะห์พฤติกรรม และจำนวนผู้เข้าใช้งานในแต่ละเว็บเพจ เพื่อพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีส่วนทำให้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ในปริมาณมากหรือน้อยนั่นเอง

สามารถปรับใช้เครื่องมือได้ตามต้องการ
การใช้ report ของ Google Analytics เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถปรับมุมมองได้อย่างหลากหลายตามความต้องการ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการตลาดของธุรกิจ ซึ่งถือเป็นฟีเจอร์ที่ทรงพลังและสำคัญมากสำหรับนักการตลาดเลยทีเดียว

ข้อมูลแม่นยำและเป็นปัจจุบัน
Google Analytics มีการส่งข้อมูลและประมวลผลอย่างถูกต้องแม่นยำ และมีความเป็นปัจจุบันสูง ทำให้สามารถเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ และนำมาพัฒนาการตลาดได้อย่างถูกต้องและตรงจุด

Google Analytics สามารถวัดค่าอะไรได้บ้าง?

Google Analytics สามารถเก็บข้อมูลและประมวลผลข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ของ user ได้หลายแง่มุม ตามความต้องการของธุรกิจ เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่า user ที่เข้ามามีจำนวนเท่าไหร่ เป็นใคร มาจากไหน และมีความสนใจอะไรในเว็บไซต์ของเราบ้าง โดยมีสิ่งที่สามารถวัดได้ ยกตัวอย่างเช่น

Users
บ่งบอกจำนวนผู้ใช้งานที่เข้ามาในเว็บไซต์ของเรา โดยจะนับจำนวนเป็น unique user ซึ่งจะไม่ซ้ำกัน ทำให้เรารู้ว่ามีผู้ที่สนใจคลิกเข้ามายังเว็บไซต์จริงๆ กี่คน

Bounce Rate
อัตราส่วนของผู้ที่เข้ามาเพียงหน้าเพจเดียวเท่านั้น โดยไม่ได้มีการทำอย่างอื่นบนเว็บไซต์เลย

Average Session Durations
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้เข้ามาดูในเว็บไซต์

Goal Completions
นอกจากนี้ เรายังสามารถตั้งได้ว่าจะให้เว็บไซต์เก็บข้อมูลพฤติกรรมอะไรเป็นพิเศษ เช่น การคลิกไปยังหน้าชำระเงิน การคลิกดูรูปภาพบนหน้าเว็บ หรือการคลิกไปยังหน้าเพจอื่น เป็นต้น

สอนวิธีติดตั้ง Google Analytics
 
การติดตั้ง Google Analytics ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด ทุกคนสามารถทำตามได้เพียงแค่มีบัญชีอีเมลของ Google อยู่แล้ว โดยมีขั้นตอนดังนี้

1.เข้าไปที่เว็บไซต์ https://analytics.google.com 
2.Login ด้วย gmail ที่ต้องการผูกกับ Google Analytics
3.กดไปที่ “Start Measuring”
4.กรอกข้อมูลต่างๆ สำหรับการตั้งค่าบัญชีของเรา ได้แก่ Account Setup, Property Setup และ About Your Business
5.อ่านข้อตกลงและเงื่อนไขในการใช้บริการ และกดตกลงเพื่อสร้างบัญชี Google Analytics
6.เพียงเท่านี้ก็สามารถเริ่มต้นการใช้งาน Google Analytics ได้เลย!

Google Analytics ต่างจาก Google Tag Manager อย่างไร?

Google Analytics ต่างจาก Google Tag Manager อย่างไร

Google Analytics และ Google Tag Manager เป็นเครื่องมือที่มักถูกใช้งานร่วมกัน แต่มีหน้าที่แตกต่างกัน โดย Google Analytics คือเครื่องมือที่ทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ประมวลผล ส่วนน Google Tag Manager เป็นเครื่องมือที่คอยส่งข้อมูลจากเว็บไซต์ไปยัง Google Analytics ในรูปแบบของ tags นั่นเอง

Dimension ใน Google Analytics คืออะไร?

Dimension ใน Google Analytics คือ ข้อมูลด้านคุณสมบัติหรือลักษณะของ user ที่มีร่วมกันและสามารถจัดกลุ่มได้ เช่น user เข้าเว็บไซต์มาจากช่องทางไหน, user ใช้ระบบปฏิบัติการอะไร, ตลอดจนเพศ, กลุ่มอายุ และภูมิลำเนาของผู้ที่เข้ามาในเว็บไซต์ เป็นต้น

Metric ใน Google Analytics คืออะไร?

Metric ใน Google Analytics คือ ปริมาณเพื่อใช้วัดค่าของ user ที่ถูกจัดกลุ่มอยู่ใน Dimension ต่างๆ กล่าวคือ แต่ละ Dimension สามารถมีคุณสมบัติได้หลายอย่าง โดยค่า Metric ที่ใช้งานบ่อย ยกตัวอย่างเช่น Sessions, Bounce Rate, Average Session Duration, Goal Completion เป็นต้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Google Analytics

Data Stream ใน Google Analytics คืออะไร?
Data Stream ใน Google Analytics คือส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อข้อมูลที่เก็บได้จากเว็บไซต์มาสู่ Google Analytics อาจเรียกได้ว่า Data Stream คือ flow ของข้อมูล หรือจุดเชื่อมต่อของข้อมูลนั่นเอง ดังนั้นในแต่ละเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ต้องการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ใน Google Analytics จำเป็นต้องมีการสร้าง Data Stream เพื่อเชื่อมต่อระหว่างเว็บไซต์สู่ Google Analytics

ทุกเว็บไซต์สามารถติดตั้ง Google Analytics ได้ใช่หรือไม่?
สามารถใช้ Google Analytics เพื่อทำการเก็บข้อมูลได้จากเว็บไซต์ไหนก็ได้ แต่เว็บไซต์นั้นจะต้องอนุญาตให้สิทธิคุณในการใช้งานเท่านั้น ดังนั้น โดยส่วนมากแล้ว Google Analytics จะเป็นการใช้งานเพื่อเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ของตัวเอง

สรุปเนื้อหาของ Google Analytics 

Google Analytics คือ เครื่องมือในการเก็บรวมรวมข้อมูล และนำมาประมวลผล เพื่อใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ของ user ที่มีความแม่นยำสูง สามารถปรับแต่งหน้า report เพื่อแสดงผลข้อมูลได้หลากหลาย ด้วยการใช้ dimensions และ metrics ที่ต้องการ มีการใช้งานที่ user-friendly เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำธุรกิจ และธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ทำให้สามารถทำความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ และ customer’s journey ได้ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ และนำไปสู่การวางแผนกลยุทธทางการตลาดเพื่อพัฒนาธุรกิจต่อไป


168
ไม่มีเงิน

ภาระค่าใช้จ่ายที่มีอยู่ในแต่ะวันบางครั้งอาจมากเกินกว่ารายได้ที่เข้ามา จนเป็นปัญหาที่ทำให้แม้จะจัดสรรเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอเสียที แต่สิ่งที่เป็นต้นตอของปัญหาไม่มีเงินพอใช้จริง ๆ เริ่มต้นจากการที่เราใช้จ่ายเกินตัวไปด้วยหรือเปล่า? เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ ควรรีบแก้พฤติกรรมการใช้จ่ายในลักษณะนี้โดยเร็ว

การจัดการสถานการณ์ทางการเงินที่ยากลำบากอาจจะต้องใช้ความพยายามและเวลา เนื่องจากว่าเราต้องเริ่มจากตนเองวางแผนการเงินใหม่ทั้งหมด เพื่อให้หมดปัญหาไม่มีเงินและไม่มีเงินเก็บ

สำหรับในบทความนี้จะชวนให้คุณทำความเข้าใจว่า ทำไมเราไม่มีเงิน เงินที่หามาได้ไปไหนหมดแล้ว แต่ละเดือนต้องใช้เงินเดือนชนเดือน แล้วจะทำอย่างไรในการแก้ปัญหาไม่มีเงินนี้ได้บ้าง ร่วมหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน

ทำไมถึงไม่มีเงิน เพราะอะไร?

เมื่อเราเกิดความเครียด ไม่มีเงิน ก็มักตั้งคำถามกับตัวเองว่าเป็นเราเงินของเราใช้ไปกับอะไรจนหมด เป็นสิ่งที่จะเกิดเป็นคำถามในตอนที่เงินไม่พอใช้ แต่ลืมไปว่าจริง ๆ แล้วควรเริ่มตั้งคำถามเมื่อมีการใช้จ่ายทุกครั้ง เพราะนั่นคือสาเหตุของปัญหาที่เราไม่มีเงินนั่นเอง

  • ไม่ทำบันทึกรายรับรายจ่าย การไม่จดบันทึกรายรับและรายจ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละวันทำให้คุณไม่รู้เกี่ยวกับสถานะการเงินของคุณ และไม่สามารถวางแผนการเงินได้ ควรเริ่มจดบันทึกรายรับรายจ่ายเพื่อให้รู้ความเป็นไปของเงินเราว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้างแล้วจะได้รู้จักวางแผนให้เหมาะสม

  • จ่ายมากกว่าได้ เพราะเป็นแบบนี้เลยทำให้ไม่มีเงิน ไม่มีเงินเก็บ รายจ่ายเกิดขึ้นในทุก ๆ วันอยู่แล้ว บางทีแค่เลื่อนมือถือเฉย ๆ อยู่ดี ๆ ก็เสียเงินไปกับการสั่่งของออนไลน์ เพราะสมัยนี้ไม่ว่าจะซื้ออะไรทุกอย่างก็ง่ายไปหมด ยิ่งเราที่ชอบซื้อของอยู่แล้วยิ่งทำให้ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และไม่คำนึงถึงสถานการณ์การเงินตัวเอง จนบางทีแทบจะไม่มีเงินกินข้าว ทำให้ไม่สามารถเก็บเงินอยู่ ฉะนั้นควรสร้างความรับผิดชอบต่อการใช้จ่ายและคิดถึงการเงินในระยะยาว

  • เงินเมื่อไรก็หาใหม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่านี่คือเรื่องจริง ถ้าคนเราขยันและขวนขวายที่จะหาเงินไม่ว่าช่องทางไหนเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตนเองเสมอ ไม่ว่ายังไงก็จะสามารถหาเงินมาได้ แต่ว่าอาจเป็นข้อเสียคือการใช้เงินอย่างไม่ยั้งมือและไม่คิดถึงการเก็บเงินอาจทำให้เงินหมดไปกับสิ่งของไม่จำเป็น ควรพิจารณาการใช้จ่ายอย่างมีสมาธิและพิจารณาว่าสิ่งที่จะซื้อเป็นจริงๆ จำเป็นหรือไม่

  • ลงทุนไม่พอดี อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เราไม่มีเงิน ส่วนหนึ่งก็เพราะการจัดสรรเงินลงทุนไม่ให้เหมาะสมลงทุนมากไม่ได้แปลว่าเราจะได้กำไรมาก แต่นั่นคืความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่างหาก การวางแผนลุงทุนเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อให้คุณสามารถบรรลุเป้าหมายการเงินของคุณได้ และลดความเสี่ยงในการลงทุน ควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ในกระบวนการตัดสินใจเมื่อเลือกการลงทุนของคุณและให้ความสำคัญกับการควบคุมและปรับเปลี่ยนเสมอตามสถานการณ์ตลาดและเศรษฐกิจ

วิธีแก้ปัญหาไม่มีเงิน ทำอย่างไรดี

ไม่มีเงินเก็บ

สำหรับวิธีแก้ปัญหาไม่มีเงิน สามารถทำอย่างไรได้บ้างนั้น ดูขั้นตอนและทำตามง่าย ๆ ดังนี้

1. ระบุเป้าหมายการเงินให้ชัดเจน

ไม่มีเงินเก็บ ก็เพราะว่าเราไม่มีการกำหนดที่ชัดเจนว่าเป้าหมายเก็บเงินคืออะไร เมื่อไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามสิ่งที่จำต้องทำอันดับแรกคือ เป้าหมายต้องระบุความเป้าหมายหรือความตั้งใจอย่างฃชัดเจนเพื่อให้คุณรู้ว่าต้องการอะไรในการทำแต่ละอย่าง ยกตัวอย่างเช่น "ฉันต้องการออมเงินเพิ่มขึ้นทุกเดือนในจำนวน 5,000 บาท เพื่อซื้อรถใหม่ภายใน 2 ปี" “อยากขายของแต่ไม่มีทุน ฉันจะเริ่มเก็บเงิน 10,000 เพื่อเป็นทุนในการขายของออนไลน์” หรือ "ฉันต้องการมีกองทุนฉุกเฉินโดยเพิ่มเงินลงในบัญชีในระยะเวลา 6 เดือน" เพื่อให้เกิดเป็นแรงจูงใจอยากทำให้สำเร็จ

2. วางแผนการเงินให้ดีขึ้น

หลังจากที่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไรแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการวางแผนการเงิน เป็นขั้นตอนสำคัญในการจัดการเงิน เพื่อให้คุณสามารถบรรลุเป้าหมายเก็บเงินโดยไม่ล้มเหลวระหว่างทาง และช่วยให้สถานการณ์การเงินที่ดีขึ้นหมดปัญหาไม่มีเงิน ไม่มีเงินเก็บ

โดยเริ่มจากวางแผนใช้เงินว่าจะใช้กับค่าอะไรบ้าง มีอะไรที่เราจำเป็นต้องจ่ายเป็นประจำ หรือส่วนไหนที่เราลดลงได้เพื่อให้มีเงินเหลือเก็บมากขึ้น ระบุรายได้และรายจ่ายของคุณให้ชัดเจน เพื่อให้คุณสามารถควบคุมการใช้จ่ายและตรวจสอบว่าคุณกำลังออมหรือลงทุนตามเป้าหมายอยู่หรือไม่ ถ้าไม่วางแผนและใช้อย่างไรจุดหมาย ขืนถ้าเป็นแบบนี้จะทำให้เราไม่มีเงินสักบาทเหลือใช้เหลือเก็บออม

3.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

เครียดที่ไม่มีเงิน

เรื่องของปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเงินจากที่ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีเงินให้มีเก็บมีใช้มากขึ้น ต้องเริ่มจากลดค่าใช้จ่ายตรวจสอบรายการรายจ่ายและพยายามลดรายการที่ไม่มีความจำเป็นออก เช่น การออกกินข้าวนอกบ้านบ่อย ๆ ชอบชอปปิงซื้อเสื้อผ้าใหม่ ออกไปสังสรรกับเพื่อทุกอาทิตย์ ถ้าเป็นเช่นนี้ควรเว้นหรือทำนาน ๆ ครั้ง

คิดก่อนทำรายการซื้อไม่ต้องซื้อสิ่งของชิ้นนั้นเร็ว ๆ บางทีการได้นึกคิดไตร่ตรองการซื้อสักพัก เมื่อเวลาผ่านไปความอยากได้อาจลดลงจนสังเกตได้ว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะซื้อแล้ว การปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ เหล่านี้ได้แน่นอนว่าคุณจะกลายเป็นคนที่คิดรอบคอบและควบคุมการใช้เงินของตนเองได้มากขึ้น ลดความเครียดที่ไม่มีเงินไปได้

4.  ยกเลิกใช้บัตรเครดิต

ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีเงินใช้สาเหตุเป็นไปได้ว่า คุณติดนิสัยชอบผ่อนหรือตัดผ่านเครดิตเป็นประจำ เพราะเห็นว่าการจ่ายทีหลังทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนไม่ได้ใช้เงินตอนนี้ แต่เงินที่ใช้ก็เป็นเงินของเราในอนาคตก็ต้องจ่ายอยู่ดี แถมถ้าทำแบบนี้บ่อย ๆ เข้าวันที่ถึงกำหนดจ่ายยอดชำระอาจมากกว่าที่คิดเพราะว่าดอกเบี้ยที่คิดเพิ่มมาอีกด้วย

กรณีที่คุณมีหลายบัตรเครดิต คุณอาจต้องยกเลิกบางใบที่ไม่ค่อยได้หยิบมาใช้ และเลือกเก็บบัตรเครดิตเพียงหนึ่งหรือสองใบเท่านั้น เพื่อลดความซับซ้อนในการจัดการบัตรเครดิต เปลี่ยนเป็นเลือกใช้เงินสดหรือบัตรเดบิตแทนได้ พยายามใช้เงินสดหรือบัตรเดบิตที่เชื่อมต่อกับบัญชีเงินฝากของคุณในการชำระค่าใช้จ่าย วิธีนี้จะช่วยคุณควบคุมจำนวนเงินที่คุณใช้ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากคุณจะไม่สามารถใช้เงินเกินยอดในบัญชีเงินฝากได้ ไม่มีตังค์คงเหลือเพียงพอให้ใช้

5.  แบ่งสรรเงินเป็นส่วน ๆ

เมื่อประสบกับปัญหาไม่มีเงิน ไม่มีเงินเก็บ อีกหนึ่งทางออกสำหรับปัญหานี้ง่าย ๆ เลยคือ คุณสามารถลองแบ่งเงินทั้งหมดออกเป็นสัดส่วนตามการใช้จ่ายต่าง ๆ ดูว่าเราจะใช้เงินไปกับอะไรบ้าง รายได้ของเรามาจากทางไหนบ้าง และเราจะเก็บเงินโดยมีเป้าหมายคืออะไรบ้าง

ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เรารู้ขอบเขตที่มาที่ไปของเงิน และจำนวนเงินทั้งหมดที่เราต้องใช้ โดยสำหรับวิธีนี้จะมีอีกหนึ่งตัวช่วยอย่าง แอป MAKE by KBank เป็นเครื่องมือที่มีฟีเจอร์หลากหลายที่จะช่วยให้คุณบริหารการเงินของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดปัญหาการไม่มีเงินเก็บในที่สุด ฟีเจอร์ที่โดดเด่นและน่าใช้มี ดังนี้

  • Cloud Pocket ฟีเจอร์นี้มีคุณสมบัติที่จะทำให้คุณแบ่งกระเป๋าเงินและออกแบบได้ตามใจชอบในแบบฉบับของตนเอง เช่น ในแต่ละเดือนคุณใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง ก็สามารถแยกออกมาเป็นกระเป๋าแต่ละใบอย่างชัดเจนเลย เพื่อไม่ให้เงินมาปะปนกัน

  • Expense Summary สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเดือนนั้น ๆ บนแอป MAKE ช่วยคุณในการจัดรายการรายจ่ายแต่ละเดือนในหลาย ๆ หมวดหมู่ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าบันเทิง ชอปปิง ชำระบิล หมวดอื่น ๆ เป็นต้น เพื่อห้คุณมีการรับรู้ได้ว่าเงินถูกใช้ไปที่ใด และที่สำคัญคือมีโอกาสในการต่อยอดปรับปรุงการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับรายได้อย่างไรบ้าง

ไม่มีเงินเก็บ เริ่มต้นได้ด้วยแอปเก็บเงิน

จากข้อแนะนำเกี่ยวกับการวิธีแก้ปัญหาไม่มีเงิน ไม่มีเงินเก็บด้านบนที่ได้อธิบายกันไป หากคุณสามารถเริ่มต้นทำได้ตั้งแต่การระบุเป้าหมายใหัชัดเจน วางแผนการเงินให้ดีขึ้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ยกเลิกใช้บัตรเครดิต ไปจนถึงการแบ่งสัดส่วนของเงินออกเพื่อแบ่งใช้ ทำตามวิธีเหล่านี้เชื่อได้เลยว่าคุณจะสามารถเก็บเงินได้มากขึ้น

หรือสำหรับใครที่จากเดิมมีความตั้งใจอยากมีรายเสริม แต่ไม่มีเงินลงทุน ต่อจากนี้ให้เปลี่ยนเป็นเป้าหมายว่า จะเก็บเงินเพื่อลงทุนในการสร้างรายได้เสริมให้กับตนเอง โดยเริ่มต้นวางแผนการใช้และเก็บเงินก็สามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ด้วยการลงมือทำอย่างจริงจัง และใช้ตัวช่วยที่จะมาช่วยเก็บออมเงินของเรา แบ่งเป็นสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมและที่มาที่ไปของเงินมากขึ้น ดาวน์โหลดและลองใช้ แอป MAKE by KBank ได้เลย!


169
การเปลี่ยนเลนส์ตา

ในปัจจุบันดวงตานับว่าเป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะมีบทบาทสำหรับใช้ชีวิตประจำวันของเราเพื่อใช้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ รวมถึงทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ เช่น ขับขี่ยานพาหนะ สื่อสารกับผู้คน หรือการแสดงความรู้สึก เป็นต้น

ดังนั้นเราควรที่จะรักษาดวงตาของเราให้สามารถใช้งานได้ดีอยู่เสมอ ไม่อย่างงั้นอาจจะทำให้เราสายตาเสียได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสายตา อาจจะทำให้สายตาสั้นลงได้ ยิ่งผู้ที่มีสายตาที่สั้นอยู่แล้วจะยิ่งเป็นปัญหา เพราะปกติหากสายตาสั้นก็สามารถแก้ปัญหาโดยการใส่แว่นสายตา หรือทำเลสิค (Lasik) เพื่อให้สายตาเป็นปกติได้

แต่หากมีปัญหาสายตาสั้นมากจนไม่สามารถหรือไม่เหมาะที่จะทำเลสิคได้ ก็ต้องรักษาด้วยวิธีอื่น ซึ่งมีอีกวิธีคือการเปลี่ยนเลนส์ตา ซึ่งจะผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาโดยการฝังเลนส์เสริม (Phakic IOL) จะช่วยรักษาให้สายตากลับมาปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนเลนส์ตา
การเปลี่ยนเลนส์ตาเป็นกระบวนการที่ต้องใช้จักษุแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสำหรับผ่าเปลี่ยนเลนส์ตา ต่อไปนี้คือขั้นตอนทั่วไปในกระบวนการผ่าตัดใส่เลนส์ตา

  • ตรวจสอบสาเหตุ โดยก่อนที่จะเปลี่ยนเลนส์ตาใหม่ จักษุแพทย์จะตรวจสอบสาเหตุหรือปัญหาที่ทำให้ต้องเปลี่ยนเลนส์ตา อย่างเรื่องมีปัญหาทางสายตา เช่น สายตาสั้น (nearsightedness) หรือ สายตายาว (farsightedness) รวมถึงสาเหตุอื่น ๆ เช่น ต้อกระจก (cataracts) หรือสายตาเอียง (astigmatism) ซึ่งอาจต้องการรักษาทางการแพทย์อื่น ๆ รวมถึงผ่าตัดในบางกรณี ก่อนที่จะเปลี่ยนเลนส์ตา
  • ตรวจวัดสายตา ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนเลนส์ตาเพราะปัญหาสายตาเบื้องต้น เช่น สายตาสั้นหรือสายตายาว จักษุแพทย์จะตรวจวัดสายตา โดยใช้ตาราง
  • ตรวจสอบสายตา (eye chart) หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อหาค่าสายตาที่เหมาะสม รวมถึงวัดความสามารถในการมองเห็น และตรวจสอบสภาพของดวงตา
  • เลือกประเภทของเลนส์ตา หลังจากตรวจสอบสาเหตุและตรวจวัดสายตาเสร็จสิ้นแล้ว จักษุแพทย์จะพูดคุยเกี่ยวกับประเภทของเลนส์ตาที่เหมาะสม ซึ่งมีเลนส์ตาหลายประเภทที่สามารถใช้เปลี่ยนเลนส์ตาได้ เช่น เลนส์ตาแบบสั้น หรือเลนส์ตาแบบยาว
  • กระบวนการผ่าตัด ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้เลเซอร์ (laser) เปิดแผลที่กระจกตาขนาดเล็กประมาณ 3 มิลลิเมตรและใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไป กระบวนการนี้ส่วนใหญ่แผลจะสามารถสมานได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเย็บแผลแต่อย่างใด โดยใช้เวลาเปลี่ยนเลนส์ตาประมาณ 10-15 นาที
  • หลังจากผ่าตัด ผู้ที่เปลี่ยนเลนส์ตาต้องดูแลตัวเองให้ดี โดยงดขยี้ตาหรือนอนตะแคงทับตาที่เปลี่ยนเลนส์กระจกตา งดกิจกรรมทุกอย่างที่สามารถกระทบดวงตา รวมถึงอย่าแต่งหน้าบริเวณดวงและระวังอย่าให้สิ่งสกปรกเข้าตาประมาณ 2 อาทิตย์ รับประทานยาและใช้ยาหยอดตาตามคำสั่งของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัด

เปลี่ยนเลนส์ตาเหมาะกับใคร

เปลี่ยนเลนส์ตาเหมาะกับผู้มีปัญหาทางสายตา

การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาเหมาะกับบุคคลที่มีปัญหาทางสายตาและต้องการปรับปรุงความสามารถสำหรับมองเห็น ได้แก่

  • ผู้ที่มีสายตาสั้น (nearsightedness) ซึ่งสายตาสั้นจะทำให้เห็นสิ่งของใกล้เนื้อตาได้ดี แต่มองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลได้ยาก การผ่าตัดสายตาสั้นโดยเปลี่ยนเลนส์ตาสามารถช่วยให้ผู้ที่มีสายตาสั้นมองเห็นได้ชัดขึ้น
  • ผู้ที่มีสายตายาว (farsightedness) โดยสายตายาวทำให้มองเห็นสิ่งของไกลได้ดี แต่มองเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ได้ยาก การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาสามารถช่วยปรับปรุงสายตาสำหรับผู้ที่มีสายตายาวเพื่อให้สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ได้ดีขึ้น
  • ผู้ที่เป็นต้อกระจก (cataracts) ซึ่งต้อกระจกเป็นความขุ่นในเลนส์ตาธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อถึงวัยทอง การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาต้อกระจกสามารถช่วยเอาเลนส์ตาที่มีปัญหาออกและแทนที่ด้วยเลนส์ตาเทียม ซึ่งการเปลี่ยนเลนส์ตาต้อกระจกจะทำให้มองเห็นชัดเจนขึ้น
  • ผู้ที่มีสายตาเอียง (astigmatism) โดยสายตาเอียงคือสายตาที่มีความเบ้ในการมองเห็นแบบแตกต่างในแกนต่าง ๆ การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาสามารถช่วยปรับปรุงสายตาสำหรับผู้ที่มีสายตาเอียง โดยการใส่เลนส์ตาที่เหมาะสมเพื่อปรับปรุงความชัดเจนสำหรับมองเห็น
  • ผู้ที่ต้องการลดความจำเป็นสำหรับสวมแว่นตา ซึ่งการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาสามารถช่วยลดความจำเป็นสำหรับสวมแว่นตา เช่น สวมแว่นตาสองชนิด (แว่นสายตาสั้นและแว่นสำหรับกรองแสง) หรือแว่นตาที่มีเลนส์ตาแบบต่าง ๆ เป็นต้น

ข้อดีของการเปลี่ยนเลนส์ตา
การเปลี่ยนเลนส์ตาผ่านกระบวนการผ่าตัดตาเป็นวิธีที่มีข้อดีมากมายสำหรับบุคคลที่มีปัญหาสายตาหรือต้องการปรับปรุงความสามารถสำหรับมองเห็น ข้อดีสำคัญของการเปลี่ยนเลนส์ตา เช่น

  • เมื่อเปลี่ยนเลนส์ตาแล้วจะช่วยให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนและคมชัดในระยะยาว โดยไม่ต้องใส่แว่นตาซึ่งอาจมีความไม่สะดวก และอาจช่วยลดการเสื่อมของสายตาตามวัยในวันข้างหน้า
  • สามารถอ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์ ขับรถ เล่นกีฬา และทำกิจกรรมพักผ่อนอื่น ๆ ได้สะดวกขึ้น
  • การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาสามารถช่วยรักษาหรือป้องกันต้อกระจกในตา ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อคนเข้าสู่วัยทอง โดยการเปลี่ยนเลนส์ตาเทียมสามารถทำให้สายตากลับมาชัดเจนขึ้น
  • ช่วยลดความกังวลและความเครียดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสายตาได้
  • การเปลี่ยนเลนส์ตาสามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง โดยที่ไม่ต้องกังวลหรือขาดความมั่นใจเมื่อต้องพบกับผู้อื่นในสถานการณ์ต่าง ๆ

ข้อจำกัดของการเปลี่ยนเลนส์ตา
การเปลี่ยนเลนส์ตาเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่มีข้อจำกัดและควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจทำ ข้อจำกัดหลายข้อที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนเลนส์ตา เช่น

  • การเปลี่ยนเลนส์ตาไม่ได้เหมาะกับทุกคน ควรปรึกษากับจักษุแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมของกระบวนการสำหรับสถานะสายตา
  • การผ่าตัดตาเปลี่ยนเลนส์ตาเป็นกระบวนการที่มีความเสี่ยง เช่น ความเจ็บปวดหรืออักเสบหลังผ่าตัด อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
  • การเปลี่ยนเลนส์ตามีค่าใช้จ่ายสูง อาจจะไม่เป็นทางเลือกที่เหมาะสมในกรณีที่ไม่สามารถรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้

5 เทคนิค การเลือกโรงพยาบาลผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา

การเลือกโรงพยาบาลผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา

การเลือกโรงพยาบาลสำหรับผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาเป็นขั้นตอนสำคัญที่มีความสำคัญสำหรับดูแลและรักษาที่มีคุณภาพสูงสุด เช่น

1.ค้นหาข้อมูลและรีวิว
ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาลว่าเป็นที่รู้จักและเชื่อถือได้ที่ให้บริการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา โดยใช้เครื่องมือค้นหาออนไลน์หรือขอคำแนะนำจากจักษุแพทย์หรือคนรู้จักที่เคยผ่าตัดเลนส์ตามาก่อน

2.ความเชี่ยวชาญของแพทย์
ควรตรวจสอบระดับความเชี่ยวชาญจักษุแพทย์ที่ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาในโรงพยาบาลนั้น โดยตรวจสอบประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของจักษุแพทย์

3.เทคโนโลยีและอุปกรณ์
ตรวจสอบว่าโรงพยาบาลมีเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัยสำหรับผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา ซึ่งโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยมักมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า หากต้องดูแลและผ่าตัดสายตา

4.ระยะเวลาในการรอคอย
สอบถามเรื่องระยะเวลาที่ต้องรอคอยที่จะสามารถนัดหรือเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา บางโรงพยาบาลอาจมีระยะเวลารอคอยนานขึ้นเนื่องจากความนิยมหรือจำนวนคนที่มาใช้บริการมาก ต้องคำนวณเรื่องเวลาให้ดี

5.ค่าใช้จ่าย
การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายสูง ควรขอข้อมูลเกี่ยวกับราคาและระบบชำระเงินที่โรงพยาบาลนั้นใช้

เปลี่ยนเลนส์ราคาเท่าไหร่
การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาของโรงพยาบาลในเครือรัฐบาลจะอยู่ที่ราคา 80,000 บาท ส่วนโรงพยาบาลในเครือเอกชนราคาจะอยู่ที่ 150,000 บาท ซึ่งอาจจะขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหรือภูมิลำเนาที่อยู่ของโรงพยาบาลนั้น ๆ

สรุป
หากรู้สึกถึงความผิดปกติของสายตาที่ไม่เหมือนเดิม ควรเข้าปรึกษาจักษุแพทย์ในทันทีเพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะสม เช่น ใส่แว่นตา ทำเลสิก หรือผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา เป็นต้น โดยต้องศึกษาข้อมูลสำหรับความเหมาะสมในการรักษาดวงตา รวมถึงความน่าเชื่อถือของโรงพยาบาลที่รักษาด้วย

170
คีโมคือวิธีต่อสู้กับมะเร็งร้ายทั้งการผ่าตัดและไม่ผ่าตัด
คีโมมีวิธีเตรียมตัวอย่างไร" border="0
เป้าหมายของการรักษาก็คือการทำให้คนไข้หายป่วย การรักษาโดยใช้ยาคืออาวุธของแพทย์เพื่อใช้ในการจัดการเชื้อโรคหรือต้นเหตุที่ก่อให้เกิดโรค และคีโมก็เป็นสิ่งที่จะขาดไม่ได้สำหรับการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อร้าย ที่แม้จะมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา อาทิเช่น ผมร่วง คลื่นไส้ อาเจียน แต่การให้คีโมก็เป็นวิธีการหลักที่ช่วยในการรักษาและสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายของผู้ป่วยได้

สำหรับผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยให้ต้องใช้ยาเคมีบำบัดหรือคีโมเพื่อช่วยควบคุมเซลล์มะเร็ง ไม่ให้แพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ผู้ป่วยจะต้องรักษาสุขภาพกายและสุขภาพใจให้แข็งแรงสมบูรณ์ให้พร้อมสำหรับการรักษา ซึ่งวิธีการให้คีโมจะแบ่งไปตามอาการและความรุนแรงของโรค และความแข็งแรงของผู้ป่วย แล้วผู้ป่วยจะต้องเตรียมตัวอย่างไร มีขั้นตอนการรักษาอย่างไรบ้าง คอลัมน์นี้ได้รวบรวมข้อมูลไว้ให้คุณแล้ว

คีโม คืออะไร
คีโม คือ" border="0
คีโมหรือเคมีบำบัด (Chemotherapy) คือ สารเคมีชนิดหนึ่งที่ใช้ในการต่อต้านหรือยับยั้งเซลล์ที่สามารถเติบโตหรือแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็ว เช่น เซลล์มะเร็ง และการให้คี โมยังสามารถทำลายเซลล์ปกติที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในร่างกาย เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว เซลล์เส้นผม และเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหาร

โดยธรรมชาติแล้วเซลล์ปกติในร่างกายเราเมื่อถูกทำลายร่างกายก็จะสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน แต่สำหรับการใช้คีโมยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง แพทย์จะให้คนไข้พัก เพื่อรอให้เมล็ดเลือดขาว และสภาพร่างกายแข็งแรงพอจะได้รับการรักษาด้วยเคมีร่วมกับการฉายแสงและการผ่าตัดต่อไป

เป้าหมายของการให้คีโม คือ การทำลายเซลล์มะเร็งให้หายไป แต่ในการรักษาผู้ป่วยบางราย อาจเกิดมะเร็งขึ้นมาใหม่ได้หลังการรักษา ด้วยปัจจัยหลายประการ จึงไม่มีแพทย์คนใดจะสามารถรับรองได้ว่าการทำคีโมจะช่วยรักษาโรคมะเร็งให้หายขาดได้

กระบวนการทำงานของคีโม
ยาเคมีบำบัด หรือคีโม มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง หลากหลายรูปแบบ ทำให้เซลล์ไม่อาจแบ่งตัวหรือตายไปในที่สุด โดยแพทย์จะใช้ยาเคมีในการรักษา ควบคุม และประคับประคอง โดยแพทย์จะพิจารณาใช้ยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน ทั้งการใช้ยาในช่วงก่อน และภายหลังการผ่าตัด หรือการใช้ยาร่วมกับการฉายแสง เป็นต้น ซึ่งขั้นตอนการให้คีโมของแพทย์ก็จะใช้ยาไปตามอาการและความรุนแรงของโรคเพื่อระงับการกระจายของเซลล์มะเร็งไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ

คีโมช่วยอะไรได้บ้าง
วิธีการให้คีโม" border="0

เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปสู่อวัยวะส่วนอื่น ๆ การให้คี โมประกอบการรักษาก็คือขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติได้ แล้วคีโมมีประโยชน์อย่างไร ช่วยอะไรได้บ้างไปดูกัน

• ช่วยรักษาโรคมะเร็งที่อยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดไม่ได้ ตลอดจนรักษาร่วมกับการผ่าตัดหรือฉายแสง เพราะโรคมะเร็งบางประเภทไม่อาจรักษาได้ด้วยการผ่าตัดหรือฉายแสงเพียงอย่างเดียวหรือแต่ต้องอาศัยการทำคีโมร่วมด้วย เพื่อไม่ให้เนื้อร้ายกลับมาเกิดขึ้นใหม่ได้อีกจึงต้อง
• ช่วยป้องกันไม่ให้มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ทำให้เซลล์ลดการแบ่งตัว และตายไปจากร่างกายทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด
• ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยหรือประคับประคองหลังจากที่เซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ จนไม่สามารถควบคุมได้แล้ว โดยเฉพาะการให้คีโมผู้สูงอายุ เพื่อให้อาการดีขึ้น มีชีวิตที่ยาวนานมากขึ้น

ขั้นตอนการรักษาด้วยการทำคีโม
การให้คี โมในผู้สูงอายุ" border="0

วิธีการักษาของสถานพยาบาลแต่ละแห่งจะมีขั้นตอนการรักษาที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้คีโมทำลายเซลล์มะเร็งที่มองไม่เห็น หรือที่หลงเหลืออยู่หลังจากผ่าตัดหรือฉายแสงช่วยป้องกันการกลับไปเป็นโรคซ้ำ ขั้นตอนการให้คีโมมีดังต่อไปนี้

• แพทย์จะสอบถามอาการและซักประวัติผู้ป่วย ว่ามีการแพ้ยา หรือมีบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งหรือไม่ มีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่า ตลอดจนข้อมูลด้านอื่น ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาการรักษาด้วยคีโม
• ตรวจปัสสาวะของผู้ป่วยเพื่อดูการทำงานของตับ
• ตรวจเลือดของผู้ป่วยเพื่อประเมินความสมบูรณ์ของเลือดและการทำงานของอวัยวะที่เกี่ยวข้อง
• ตรวจการทำงานของหัวใจก่อนให้ยาในผู้ป่วยบางราย เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่เกิดขึ้นต่อการใช้ยา
• ตรวจภาพรังสีก่อนใช้ยา ระหว่างใช้ยา และหลังจากใช้ยา เพื่อบันทึกข้อมูลการรักษา
• แพทย์จะแจ้งแผนการรักษา และข้อมูลการใช้ยา เพื่อให้คนไข้ทราบผลดีและผลเสียของการรักษาด้วยคีโม
• ระยะเวลาการรักษาจะมีหลายช่วง ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ และความแข็งแรงของผู้ป่วย

วิธีการให้คีโมทางการแพทย์เพื่อรักษาผู้ป่วยมีดังนี้

• ให้ยาผู้ป่วยชนิดรับประทาน ในรูปแบบเม็ด แคปซูล หรือยาที่ต้องละลายน้ำก่อนดื่ม
• ฉีดคีโมเข้าทางหลอดเลือดดำ
• ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เพื่อให้ยาไปยับยั้งเซลล์มะเร็งในบริเวณที่ต้องการ
• ฉีดเข้าไขสันหลัง ซึ่งจะฉีดบริเวณช่องว่างระหว่างชิ้นเนื้อเยื่อที่ควบคุมสมองและเส้นประสาทไขสันหลัง
• ฉีดเข้าทางช่องท้อง
• ฉีดเข้าหลอดเลือดแดง เพื่อนำตัวยาผ่านหลอดเลือดแดงไปทำลายเซลล์มะเร็งได้
• ทาบริเวณผิวหนังให้ผู้ป่วย รูปแบบนี้เป็นชนิดครีมที่ทาบนผิวหนังได้โดยตรง

การเตรียมตัวเมื่อต้องทำคีโม
การให้คีโมจะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งใช้ระยะในการรักษาแบ่งออกตามแต่ละช่วง เช่น เข้ารับการรักษาด้วยคีโม 1 สัปดาห์แล้วเว้นให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอีก 3 สัปดาห์ ร่างกายถึงจะปรับสมดุลและสร้างเซลล์ขึ้นมาทดแทน ทีนี้ลองมาดูกันว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร

• รักษาสุขภาพให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ โดยการรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ และทำใจให้สบาย หลังรับคีโมร่างกายจะได้ฟื้นตัวได้เร็ว
• นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ให้ร่างกายและจิตพร้อมที่จะรับการรักษา
• ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งว่าใช้ยาอะไรอยู่ ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, วิตามิน, อาหารเสริม หรือสมุนไพรต่าง ๆ เพื่อให้แพทย์ประเมินว่ารบกวนการออกฤทธิ์ของการใช้เคมีบำบัดหรือไม่ และหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการให้คี โม
• ในผู้ป่วยบางรายที่เป็นเด็ก แพทย์จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เข้าใจถึงวิธีการรักษาและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเป็นกังวล
• ผู้ป่วยควรงดสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้มะเร็งบางชนิดกลับมาเกิดขึ้นใหม่ได้อีก อีกทั้งยังทำให้ความอยากอาหารลดลง ส่งผลให้ร่างกายมีปัญหาทางสุขภาพ

การปฏิบัติตัวเมื่อต้องทำคีโม
การให้คีโม" border="0

หลังจากเข้ารับการรักษาคีโมแล้ว แพทย์จะให้ผู้ป่วยกลับบ้านไปพักฟื้นเพื่อรอรับการรักษาในรอบใหม่ โดยผู้ป่วยจะต้องดูแลตนเองหลังจากการรักษาอย่างเคร่งครัด และผู้ป่วยควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะอาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้ตามสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ซึ่งวิธีการปฏิบัติตัวหลังจากการให้คี โมจะขาดขั้นตอนเหล่านี้ไปไม่ได้เลย

• ปฏิบัติตามคำสั่งเพื่อลดภาวะการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
• หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย มีจุดเลือดตามผิวหนัง หรือมีเลือดออกจากอวัยวะต่าง ๆ ควรติดต่อแพทย์ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันนัดในครั้งถัดไป
• ไปหาแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่ง ตลอดจนทำคีโมในรอบถัดไป
• ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยขับสารเคมีที่ตกค้างในร่างกาย
• ไม่ควรไปในที่ฝูงชน เพื่อหลีกเลี่ยงการรับเชื้อจากผู้อื่น

การรักษาคีโมอาจมีอาการข้างเคียงมีดังนี้

• คลื่นไส้อาเจียน
• มีไข้สูง
• หนาวสั่น
• หายใจลำบาก
• เจ็บหน้าอก
• ผมร่วง
• เกิดแผลในปาก
• ปริมาณเม็ดเลือดลดลง
• มีผื่นหรืออาการแพ้บริเวณผิวหนัง
• ปวดบริเวณที่รักษาคีโม
• ปัสสาวะหรืออุจจาระมีเลือดปน
• ท้องผูกหรือท้องเสียมากกว่า 4 ครั้งต่อวัน

วิธีแก้อาการข้างเคียงที่เกิดจากการรักษาคีโม

• รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย
• รับประทานอาหารน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง
• หลีกเลี่ยงของทอดของมันและอาหารที่มีรถจัด
• ทำความสะอาดช่องปากหลังรับประทานอาหาร
• สูดหายใจยาว ๆ ลึก ๆ ช้า ๆ เมื่อรู้สึกคลื่นไส้
• หากอาเจียนไม่หยุดให้รีบพบแพทย์ทันที

วิธีบรรเทาผลข้างเคียงจากคีโม
ด้วยในปัจจุบันมีการขายสินค้าสุขภาพผ่านตู้อัตโนมัติ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งโดยเฉพาะ สามารถเลือกซื้อสินค้าจากตู้จำหน่ายสินค้าที่พร้อมให้บริการในหลายพื้นที่ คุณสามารถเลือกชมสินค้าที่มีหลากหลายซื้อง่ายตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ หรือไลน์ของ Bedee

สรุป
วิธีการรักษาด้วยคีโมจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีความแข็งแรงขึ้น และช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ถึงแม้ว่าแพทย์จะไม่อาจรับรองได้ว่าวิธีการให้คีโมจะทำให้โรคมะเร็งรักษาหายขาด แต่การเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอก็สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคได้ และบางรายก็เซลล์มะเร็งก็ไม่กลับมาเกิดขึ้นอีก ทั้งนี้ผู้ป่วยจะต้องมีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วหลังเข้ารับการรักษา

171
ทำเลสิคที่ไหนดี

คงทราบกันดีอยู่แล้วว่าอวัยวะที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรานั้นคือดวงตา ไม่ว่าการที่จะทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ เราจำเป็นที่จะต้องใช้การมองเห็นในการหยิบจับสิ่งของ การสัมผัส ในไลฟ์สไตล์ยุคใหม่นี้ที่มีเทคโนโลยีหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องที่จำเป็นต้องใช้สายตา อย่างการมองหน้าจอคอม หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ซึ่งการมองหน้าจอเหล่านี้นาน ๆ เข้า อาจจะทำให้สายตาเสียได้ ซึ่งทางออกสำหรับคนสายตาสั้นนั้นมีอยู่หลายวิธีเช่น การตัดแว่น หรือจะเป็นการใส่คอนแทคเลนส์ แต่จะเกิดปัญหาในความไม่สะดวกได้

ดังนั้น การทำเลสิคก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับปัญหาของคนที่มีสายตาสั้น ก็จะเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่าทำเลสิคที่ไหนดี เพราะการทำเลสิคนั้นแพทย์ผู้ทำจะต้องมีความชำนาญและประสบการณ์ที่สูงเพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหาสายตาสั้นได้อย่างตรงจุด บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับการทำเลสิคว่ามีประเภทอะไรบ้าง และวิธีตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลที่จะทำเลสิคด้วยเช่นกัน

ทำความรู้จักกับการทำเลสิค (LASIK)
ก่อนที่จะตั้งคำถามทำเลสิคที่ไหนดี เรามาทำความรู้จักกับการทำเลสิคกันก่อนว่าคืออะไรการทำเลสิค หรือชื่อเต็มที่เรียกว่า Laser in Situ Keratomileusis คือแก้ไขปัญหาสายตาสั้นด้วยการยิงเลเซอร์ความยาวคลื่นสั้นที่มีระดับอัลตาไวโอเลตไปยังที่กระจกตา เหมือนกับการเจียระไนกระจกตาเพื่อให้ได้ความโค้งที่เหมาะสมต่อการมองเห็นภาพที่ชัดเจนโดยการผ่าตัดจะแยกกระจกตาชั้นบนเพื่อยกขึ้นแล้วจะใช้ตัวเอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser) ยิงไปยังกระจกตาชั้นกลางเพื่อปรับความโค้ง

จากนั้นจะทำการปิดกรจกตาชั้นบนที่ทำการยกขึ้นไปกลับโดยไม่เย็บ เพราะกระจกตาที่ทำการผ่าตัดนั้นสามารถสมานกันได้เองตามธรรมชาติ การทำเลสิคนั้นสามารถแก้ไขปัญหาคนมีค่าสายตาที่ผิดปกติไม่ว่าจะเป็น คนที่มีค่าสายตาสั้น มีค่าสายตายาว หรือจะเป็นคนที่มีค่าสายตาเอียง เทคโนโลยีการทำเลสิคนี้เป็น

ประเภทของเลสิค
การทำเลสิคนั้นจะมีด้วยกันอยู่หลายประเภท แต่ละประเภทจะเหมาะกับแต่ละบุคคล มีดังนี้

1.ทำเลสิคแบบดั้งเดิม (Standard LASIK)
เป็นการทำเลสิคแบบดั้งเดิม โดยการใช้ใบมีดขนาดเล็ก ด้วยการลอกผิวกระจกตาชั้นนอกให้สามารถเปิดกระจกตาและสามารถปิดได้ จากนั้นจะใช้เลเซอร์เอ็กไซเมอร์ปรับกระจกตาให้ได้ความโค้งที่เหมาะสม แล้วทำการปิดกระจกตากลับเข้าที่เดิม วิธีนี้อาจมีความเสี่ยงกระจกตาเคลื่อนได้ภายหลัง

2.ทำเลสิคแบบ Femto LASIK
เป็นการใช้เลเซอร์ไร้ใบมีดแทนการใช้มีดแบบดั้งเดิม ซึ่งจะมีความแม่นยำและอ่อนโยนต่อกระจกตามากกว่า หลังการผ่าตัดแล้วสามารถมองเห็นดีขึ้นแต่อาจจะยังไม่คมชัด

3.ทำเลสิคแบบ ReLEx SMILE
เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่ล่าสุดมีความแม่นยำสูง และผลข้างเคียงที่น้อย โดยวิธีการคือจะใช้เลเซอร์ผ่าตัดตรงเนื้อเยื่อของกระจกตาให้เป็นรูปเลนส์ แล้วจะนำแผลที่ผ่าออกผ่านรูเล็ก ๆ ที่ผ่าออกด้วยเลเซอร์

4.ทำเลสิคแบบ PRK
เป็นการทำตามวิธีการผ่าตัดแบบไม่แยกชั้นกระจกตา โดยการลอกกระจกตาชั้นนอก แล้วใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตา จากนั้นจะปิดแผลด้วยคอนแทคเลนส์

5.ทำเลสิคแบบเลนส์แก้วตาเทียม IOL/ICL
จะเป็นการเสริมเลนส์เทียมเข้าไปที่กระจกตา เป็นเลนส์เสริมแบบ Phakic IOL (Phakick Intraocular Lens) หรือ ICL (Implantable Contact Lens) ที่มีคุณสมบัติใส บาง และยืดหยุ่น

9 เทคนิค ใช้ตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลทำเลสิค แก้ไขค่าสายตา
เลสิกโรงพยาบาลไหนดี

คราวนี้เราจะมาแนะนำถึงวิธีการที่จะเลือกโรงพยาบาลว่าเราควรทำเลสิคที่ไหนดี การเลือกโรงพยาบาลที่จะทำเลสิคควรรู้ถึง 9 วิธีนี้ ที่จะช่วยให้การเลือกทำเลสิคมีประสิทธิภาพ

1.เลือกโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานคุณภาพ
ควรเลือกโรงพยาบาลที่ได้รับเครื่องหมายฐาน ISO เพื่อรองรับคุณภาพของโรงพยาบาลมีความถูกต้อง และปลอดภัย

2.เลือกใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและปลอดภัย
ควรเลือกโรงพยาบาลที่ใช้เครื่องมือทันสมัย เพื่อการรักษาที่รวดเร็ว ปลอดภัย มีการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.เลือกจักษุแพทย์ที่มีความชำนาญการและมืออาชีพ
ควรเลือกจักษุแพทย์ที่มีความชำนาญ เพราะการจะทำการผ่าตัดใด ๆ จำเป็นต้องใช้แพทย์เฉพาะทาง มีความรู้ทางด้านนั้น ๆ เฉพาะ เพื่อความปลอดภัย สามารถรักษาได้อย่างถูกต้อง

4.เลือกโรงพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สมเหตุสมผล
ควรเลือกโรงพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับค่ารักษาไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป ให้ไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตประจำวัน

5.เลือกโรงพยาบาลที่แจ้งข้อมูลรายละเอียดครบถ้วนอย่างละเอียด
จะต้องเลือกดูโรงพยาบาลที่มีการให้ข้อมูลตั้งแต่ค่าใช้จ่ายในการรักษา กระบวนการวิธีการรักษามีอย่างไรบ้าง ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อน-หลังการรักษา การติดตามอาการและการรับประกันการรักษาให้แก่ผู้ที่เข้ารับการรักษา

6.มีการให้คำปรึกษาก่อนที่จะเข้ารับการทำเลสิค
มีการให้คำแนะนำ ปรึกษาก่อนที่จะเข้ารับการรักษา เช่น ผู้เข้ารับการรักษาเหมาะกับวิธีทำเลสิคแบบใด พร้อมทั้งมีการประเมินราคาให้

7.เลือกโรงพยาบาลที่มีความสะอาดมีมาตรฐานความปลอดภัย
เลือกโรงพยาลที่มีมาตรฐานความปลอดภัย เพราะการทำการผ่าตัดต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ทางโรงพยาบาลต้องมีเครื่องมีอที่มีความสะอาด และความปลอดภัย

8.เลือกจากการรีวิวของลูกค้าที่มีความน่าเชื่อถือ
การเลือกดูโรงพยาบาลผ่านการรีวิวของลูกค้าที่เข้ารับการรักษาก็เป็นอีกตัวเลือกที่สำคัญ การรีวิวนั้นจะต้องมีคว่ามน่าเชื่อถือไม่ใช้หน้าม้าของโรงพยาบาล

9. เลือกโรงพยาบาลที่สามารถเดินทางได้สะดวก
การเดินทางก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพราะสามารถเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อการติดตามผลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น จะได้เข้ารับการปรึกษาที่รวดเร็ว

ข้อดีและข้อจำกัดของการทำเลสิค

ศูนย์เลสิคที่ไหนดี

เมื่อทราบถึงวิธีการเลือกทำเลสิคที่ไหนดีแล้ว เรามารู้ถึงข้อดีและข้อจำกัดในการทำเลสิคของประเภทต่าง ๆ กัน โดย

1. ทำเลสิคแบบดั้งเดิม (Standard LASIK) วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีค่าสายตาสั้นน้อยกว่า 1000 สายตายาวน้อยกว่า 500 และค่าสายตาเอียงน้อย กว่า 500 ต้องเป็นผู้ที่มีกระจกตาไม่บางเกินไป และมีรูม่านตาที่ไม่ใหญ่เกินไป

2.ทำเลสิคแบบ Femto LASIK วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีค่าสายตาสั้นน้อยกว่า 1000 สายตายาวน้อยกว่า 500 และค่าสายตาเอียงน้อยกว่า 500 ผู้ที่มีกระจกตาบางก็สามารถทำเลสิคแบบ Femto LASIK ได้

3.ทำเลสิคแบบ ReLEx SMILE วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีค่าสายตาสั้นได้ถึง 1000 และค่าสายตาเอียงน้อยถึง 500 วิธีนี้ไม่สามารถผ่าตัดผู้ที่มีค่าสายตายาวได้

4.ทำเลสิคแบบ PRK วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีค่าสายตาสั้นน้อยกว่า 800 และค่าสายตาเอียงน้อยกว่า 800 สำหรับผู้ที่มีกระจกตาไม่หนา หรือมีตาเล็ก

5.ทำเลสิคแบบเลนส์แก้วตาเทียม IOL/ICL เหมาะกับผู้ที่มีค่าสายตาผิดปกติมาก ๆ

สรุป
ก่อนจะเข้ารับการรักษาแบบเลสิค การตั้งคำถามว่าทำเลสิคที่ไหนดี ก็จะเป็นคำถามแรก ๆ ที่เกิดขึ้นมานับว่าเป็นการเริ่มศึกษาหาข้อมูลที่ดี นอกจากนั้นควรจะหาข้อมูลการทำเลสิคต่าง ๆ ด้วย เพราะแต่ละวิธีจะเหมาะกับบุคคลที่แตกต่างกันออกไป ควรหาคำปรึกษาจากแพทย์ที่โรงพยาบาลให้ดี ถึงการเตรียมตัวต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับการรักษา


172
การซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่ว เหตุใดเราจึงต้องให้ความใส่ใจ

ฝ้าเพดานรั่ว" border="0

คุณเคยประสบพบเจอกับการที่น้ำรั่วจากฝ้าเพดานหรือไม่ ปัญหาที่แก้เมื่อไหร่ก็ไม่เคยหายขาดสักที ยิ่งช่วงหน้าฝนทีไรน้ำก็รั่วทุกที ทำให้คุณรู้สึกกังวลทุกรอบที่ฝนตก ก่อนอื่นเลยที่ต้องรู้คือฝ้าเพดานนั้นเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญต่อบ้านมาก เราควรหมั่นตรวจเช็กอยู่เสมอในทุกๆเดือน การซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่วจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ การปล่อยให้ฝ้าเพดานมีน้ำรั่วนั้นอาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆได้ภายในบ้าน แต่ถ้าหากคุณทำการซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่วด้วยการซ่อมๆไปโดยไม่รู้จุดสาเหตุที่เกิดขึ้นของฝ้าเพดานที่น้ำรั่วนั้นก็อาจทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อน ซ่อมไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้สักที ดังนั้นในบทความนี้เราจะพาไปรู้จักกับสาเหตุและต้นตอของการรั่วซึมของฝ้าเพดานว่าสามารถเกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง

ทำความรู้จักการซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่ว

รับซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่ว" border="0

การซ่อมฝ้าเพดานนั้นมีความสำคัญทำให้ไม่อาจมองข้ามได้ เมื่อเกิดปัญหาเราก็ควรจะหาวิธีการแก้ไขเพื่อรักษาสภาพบ้านให้คงอยู่ได้อย่างมีความสุข การที่ปล่อยให้เกิดน้ำรั่วซึมตามฝ้าเพดานนั้นจะทำให้เกิดเชื้อโรคต่างๆที่ตามมาจากแหล่งน้ำที่รั่วซึม ทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวบ้านและโครงสร้างอื่นๆของบ้านได้ อาจทำให้มีคราบเชื้อราตามฝ้าเพดาน หรือตามพนังของตัวบ้าน การซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่วจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะซ่อมด้วยวิธีเบื้องต้นที่มีตามอินเทอร์เน็ตก็ดี หรือจะเรียกช่างซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่วผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องของการซ่อมฝ้าเพดานโดยเฉพาะก็ตาม การซ่อมฝ้าเพดานนั้นไม่แม้แต่เพียงจะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำรั่วของเพดานเพียงเท่านั้นแต่ยังช่วยให้ยืดสภาพอายุการใช้งานของบ้านได้อีกด้วยทำให้บ้านยังคงมีสภาพที่แข็งแรง

ซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่ว คืออะไร
การทำการซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่วนั้นคือการรักษาสภาพของฝ้าเพดาน แล้วยังช่วยยืดอายุการใช้งานของตัวบ้าน เป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจลุกลามตามมาของน้ำรั่วตามฝ้าเพดานที่อาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการผุพังของตัวบ้าน การทำการซ่อมแซมจะต้องรู้ถึงเครื่องมือที่ใช้งานในการซ่อม และทราบถึงต้นตอของสาเหตุที่เกิดขึ้น เพื่อที่การซ่อมแซมจะได้มีประสิทธิภาพสูงที่สุดช่วยหยุดและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด

ก่อนซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่ว ต้องรู้สาเหตุก่อน!

ฝ้าเพดานขึ้นรา" border="0

ก่อนทำการซ่อมแซมใดๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของบ้าน เราควรตั้งข้อสังเกตและหาสาเหตุของการรั่วไหลของน้ำก่อนว่าจากแหล่งที่ใด เพื่อที่จะให้การซ่อมแซมนั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ไม่เกิดการรั่วไหลของน้ำซ้ำซ้อน ลดค่าใช้จ่ายที่อาจไม่จำเป็น สาเหตุของฝ้าเพดานน้ำรั่วมีดังนี้

 • การทากันซึมที่ไม่ได้มาตรฐาน
เป็นการทากันซึมของแผ่นกระเบื้องที่ไม่ดี และไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะส่วนของรอยต่อของพื้นและผนังห้องน้ำ ด้วยสาเหตุนี้ทำให้น้ำอาจจะซึมเข้าตามผนังแล้วไหลไปยังฝ้าเพดานของชั้นล่างได้

 • ติดตั้งข้อต่อท่อระบายน้ำไม่ดี
มีสาเหตุจากการติดตั้งตะแกรงระบายน้ำทิ้ง ที่ทำการเจาะและติดตั้งได้ไม่ดีเท่าไหร่ เป็นสาเหตุทำให้ข้อต่อระหว่างท่อระบายน้ำกับตะแกรงระบายน้ำไม่ตรงกัน จนทำให้เป็นเกิดการรั่วซึมของน้ำ

 • ระบบท่อประปาเสียหาย
ปัญหาระหว่างท่อประปากับฝ้าเพดานก็มีผลเช่นกัน อาจเกิดขึ้นได้จากท่อน้ำดีหรือท่อน้ำทิ้ง ซึ่งสาเหตุเกิดได้จากการติดตั้งท่อประปาที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลทำให้น้ำไหลลงจากปากท่อน้ำทิ้งด้านนอก

 • ปูกระเบื้องห้องน้ำที่ไม่ดี
การปูกระเบื้องที่ไม่ได้มาตรฐานก็สามารถทำให้เกิดการรั่วซึมของน้ำได้เช่นกัน โดยการปูกระเบื้องแบบซาลาเปา ที่เป็นการปูแบบแปะกาวซีเมนต์ลงบนบางส่วนของกระเบื้องเกิดมีช่องว่างของกระเบื้อง ทำให้มีความชื้นและน้ำสะสม ทำให้กระเบื้องหลุด หรือโก่ง จนเป็นสาเหตุของน้ำรั่วซึม

 • ติดตั้งระบบสุขภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
เกิดจากสาเหตุที่การติดตั้งระบบสุขภัณฑ์ที่ไม่ตรงกับท่อระบายน้ำ ทำให้การระบายน้ำทิ้งได้ไม่ดีนัก ทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดน้ำรั่วซึมตามฝ้าเพดาน


ปัญหาที่การซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่วคือทางออก

ช่างซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่ว" border="0

เมื่อทำการซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่วได้แล้ว จะทำให้บ้านของคุณได้รับการป้องกันต่างๆ โดยการซ่อมฝ้าเพดานนั้นให้ประโยชน์แก่บ้านคุณได้ดังนี้

   1. ป้องกันการเกิดเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ทำให้บ้านของคุณมีสุขภาพอนามัยที่ดี
   2. ป้องกันการเกิดรอยผุพังของฝ้าเพดานหรือโครงสร้างต่างๆ ของบ้าน ที่สามารถลุกลามได้จากสาเหตุของการรั่วซึมของน้ำ
   3. ทำให้สภาพบ้านของคุณยังคงดูใหม่อยู่เสมอ เมื่อได้รับการปรับปรุง และซ่อมแซม จากการตรวจเช็กสภาพบ้านอยู่เสมอ

สรุป ซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่ว
หากคุณสังเกตได้ถึงการรั่วซึมของน้ำตามฝ้าเพดาน ให้คุณทำการตรวจสอบหาสาเหตุต้นตอมาจากที่ใด แล้วทำให้การซ่อมแซม หรือเรียกช่างซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่ว ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญ ทำให้การรั่วซึมของน้ำตามฝ้าเพดานได้รับการแก้ไขปัญหาได้ถูกจุด ไม่เกิดปัญหาซ้ำซ้อน ช่วยป้องกันบ้านของคุณเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ทำให้สภาพบ้านของคุณยังคงแข็งแรงอยู่ตลอด

173
บ้านเดี่ยวลาดกระบัง

บ้านลาดกระบังร่มเกล้า สุวรรณภูมิ ถือเป็นอีกย่านหนึ่งที่คนเลือกมาอาศัยกันเยอะ เนื่องจากสงบ ห่างไกลจากตัวเมือง แต่ถ้าหากอยากเดินทางเข้าเมืองก็ไม่ไกลมากเพราะมีทางด่วนให้ใช้บริการ ตรงเข้ากรุงเทพชั้นใน เพียงค่ๆม่กี่อึดใจ ทั้งยังมีห้างสรรพสินค้า ใกล้โรงพยาบาลและมหาวิทยาลัยชั้นนำ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะกับการอยู่กันเป็นครอบครัว รวมถึงใกล้กับสนามบิน หากใครเดินทางบ่อย ๆ รับรองว่าบ้านแถวลาดกระบังจะช่วยตอบโจทย์ให้คุณไม่น้อย

บ้านลาดกระบัง น่าสนใจอย่างไร

โครงการบ้านลาดกระบัง

บ้านลาดกระบังร่มเกล้า สุวรรณภูมินั้นเหมาะกับคนที่ต้องการอยู่เงียบ ๆ ต้องการความสงบ ไม่แออัดมากนัก รวมถึงต้องการพื้นที่กว้าง แต่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงบ้านแถวนี้มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านโครงการ ทาวเฮ้าส์ คอนโดต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับงบประมาณและความต้องการของผู้พักอาศัย

การเดินทางของโซนบ้านลาดกระบัง

การเดินทางบ้านแถวลาดกระบัง

การเดินทางของผู้ที่อาศัยอยู่แถวลาดกระบังสามารถเดินทางได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถเมล์ และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน MRT โดยมีรายละเอียดดังนี้

รถยนต์ - ถนนสายสำคัญของบ้านแถวลาดกระบังก็คือถนนลาดกระบัง เป็นเส้นที่ใช้สัญจรระหว่างกรุงเทพมหานครและภาคตะวันออก ที่สำคัญยังอยู่ใกล้ทางด่วนพิเศษมอเตอร์เวย์ ทำให้การเดินทางไปชลบุรีรวดเร็วกว่าโซนอื่น ๆ

รถเมล์ - สำหรับใครที่ไม่มีรถส่วนตัวก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะบ้านแถวลาดกระบังก็มีรถเมล์ที่สามารถเข้ากรุงเทพโซนในได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนสาย โดยมีสายรถเมล์สำคัญดังต่อไปนี้
สาย 92 อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ - แยกพัฒนาการ
สาย 517 สถานีขนส่งจัตุจักร - ตลาดเทิดไท
สาย 553 สุวรรณภูมิ - ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ
สาย 555 สนามบินสุวรรณภูมิ - รังสิต

ความสะดวกสบายของโซนบ้านลาดกระบัง

บ้านลาดกระบังนอกจากจะได้พื้นที่บ้านที่กว้างกว่าโซนอื่น ๆ ลดความแออัดจากในชุมชนแล้ว ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกเพราะมีทั้งตลาดใหญ่ให้จับจ่ายใช้สอยและมีห้างสรรพสินค้า โรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชน  มหาวิทยาลัยชั้นนำ โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ในบ้านแถวลาดกระบังอีกด้วย

ตลาดและห้างสรรพสินค้า

ห้างแถวบ้านลาดกระบัง

บ้านแถวลาดกระบังมีตลาดและห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงเยอะ จึงไม่ต้องห่วงเรื่องของกินเลย ซึ่งตลาดที่คนที่อยู่แถวลาดกระบังชอบไปเดินบ่อย ๆ ก็จะมี

โซนตลาด

  • ตลาดนัดสุวรรณภูมิ
  • วีมาร์เก็ต ลาดกระบัง
  • พาสิโอ้มอล
  • ตลาดหัวตะเข้
  • วิดวะ-การ์เด้น

โซนห้างสรรพสินค้า

  • เมกะบางนา
  • ซีคอนศรีนครินทร์
  • พาราไดซ์พาร์ค
  • เซ็นทรัลบางนา
  • เดอะมอล์บางกะปิ
  • แฟชั่นไอซ์แลนด์
  • เซ็นทรัลวิลเลจ

โรงเรียนและมหาวิทยาลัย

โรงเรียนแถวบ้านลาดกระบัง

สำหรับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยย่านลาดกระบังก็มีหลากหลาย ทั้งรัฐบาลและเอกชน รวมไปถึงโรงเรียนนานาชาติ และมหาวิทยาลัยนานาชาติดังต่อไปนี้

โซนโรงเรียน

  • โรงเรียนมัธยม เทพศิรินทร์ ร่มเกล้า (รัฐบาล)
  • โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้า (เอกชน)
  • โรงเรียนศึกษาพัฒนา (เอกชน)
  • โรงเรียนมัธยมสาธิตนานาชาติพระจอมเกล้า (เอกชน)
  • โรงเรียนมัธยมเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า (รัฐบาล)

โซนมหาวิทยาลัย

  • สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
  • มหาวิทยาลัยหัวเฉียว
  • มหาวิทยาลัยนานาชาติอัสสัมชัญ
  • มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

คลินิกและโรงพยาบาล

โรงพยาบาลแถวบ้านลาดกระบัง

หากกังวลเรื่องโรงพยาบาลหรือคลินิกรักษาพยาบาลก็ยิ่งไม่ต้องห่วง เพราะโรงพยาบาลชั้นนำฝั่งบ้านลาดกระบังก็มีให้เลือกมากมายเช่นก้น ทั้งรัฐบาลและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น

  • คลินิกชุมชนลาดกระบัง
  • คลิกเวชกรรมจุฬารัตน์ 8
  • คลินิกศูนย์สุขภาพการแพทย์
  • คลินิกกายภาพบำบัดร่มเกล้า
  • คลินิกทันตกรรมบ้าน ฟอ.ฟัน
  • ร่มเกล้าคลินิกเวชกรรม
  • โรงพยาบาลลาดกระบัง
  • โรงพยาบาลสิรินธร
  • โรงพยาบาลรามคำแหง
  • โรงพยาบาลไทยนครินทร์บางนา
  • โรงพยาบาลสมิติเวชพระรามเก้า
  • โรงพยาบาลวิภา-ราม พัฒนาการ
  • โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 8
  • โรงพยาบาลสินแพทย์ ลาดกระบัง
  • โรงพยาบาลเวชธานี
  • โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ

บ้านลาดกระบัง เหมาะกับใครบ้าง

บ้านลาดกระบังเหมาะกับใคร

ถ้าจะบอกว่าบ้านลาดกระบังเหมาะกับใครบ้าง คงต้องบอกว่าเหมาะกับคนที่ต้องการความสงบ แต่ก็ยังไม่ห่างไกลความเจริญมาก รวมถึงเดินทางเข้าตัวเมืองสบาย ๆ ได้ ต้องการพื้นที่ส่วนตัวที่ค่อนข้างกว้างขวาง ตอบสนองความต้องการในการเริ่มสร้างครอบครัว

สรุปบ้านลาดกระบัง

หมู่บ้านแถวลาดกระบัง

หากใครที่กำลังมองหาบ้าน ที่อยู่อาศัยสำหรับการเริ่มต้นสร้างครอบครัว บอกเลยว่าบ้านแถวลาดกระบังเป็นอีกตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะไม่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาด โรงพยาบาลและคลินิก สถานศึกษาชั้นนำ

และหากเป็นผู้ที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะท่องเที่ยวต่างประเทศ บ้านลาดกระบังก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเพราะใกล้สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่สำคัญหากใครชอบเที่ยวทะเล บ้านแถวลาดกระบังยังเดินทางไปชลบุรีได้รวดเร็วกว่าโซนอื่น ๆ อีกด้วย เรียกได้ว่าเข้าเมืองก็สบาย ออกต่างจังหวัดก็สบาย!

174
ระบบสะสมแต้ม

การที่เราจะสามารถดึงเอาลูกค้าให้กลับมาซื้อสินค้าหรือบริการอีกครั้ง รวมไปถึงรักษาฐานความภักดีของลูกค้าระบบสะสมแต้มก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญสำหรับการตลาดดิจิทัลที่พัฒนามาไกลพอสมควร มีลูกเล่นมากมาย เป็นมากกว่าแค่การสะสมแต้มและแลกของรางวัล แต่ระบบสะสมคะแนน หรือระบบสมาชิก ยังประยุกต์ใช้กันกับแนวทาง ด้านการตลาดได้อีกหลายรูปแบบ ทำให้สอดคล้องกับตัวธุรกิจหรือแบรนด์ได้อิสระมากขึ้น

และเมื่อเราเข้าใจแล้วว่า ระบบสะสมแต้มเป็นมากกว่าแค่คะแนนสะสม เราจะมาดูกันว่าสิ่งที่สำคัญ และการนำระบบนี้ไปใช้เป็นอย่างไร การสะสมแต้มเพิ่มยอดขายและทำให้ผู้ใช้งานกลับมาซื้อสินค้าหรือบริการได้จริงหรือไม่ สรุปภาพรวมของเทคนิคเชิงลูกค้าสัมพันธ์ที่สำคัญไม่แพ้กับแผนการตลาดแบบอื่น ๆ กัน

ทำความเข้าใจ ระบบสะสมแต้ม คืออะไร

ระบบสะสมแต้ม เป็นหนึ่งในหลักการ CRM ที่เป็นหลักในการดูแลและให้ความสำคัญกับลูกค้า ให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์หรือสินค้า จนทำให้เกิดยอดขายหรือการซื้อซ้ำ พร้อมสร้างความสัมพันธ์ให้ลูกค้ารักในแบรนด์ Loyalty หรือระบบสะสมคะแนน เป็นกลยุทธ์และแนวทางที่ช่วยดึงความสนใจ ให้ผู้บริโภคเกิดความอยากซื้อต่อ หรือใช้ต่อ ผ่านการออกแบบวิธีการสร้างคะแนน หรือแต้มสะสมที่สอดคล้องกับสินค้าและบริการ

โดยการออกแบบระบบสะสมแต้ม ไม่ใช่แค่การเก็บแต้มอย่างเดียว แต่เป็นการสอดแทรกแผนการตลาด หรือการขายสินค้าที่น่าสนใจ ผ่านการประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาด ด้วยการนำแต้มที่สะสมได้จากการซื้อสินค้าตามยอด หรือปรับแต่งให้เก็บแต้มจากการซื้อสินค้าที่มีโปรโมชั่น จนนำไปสู่การได้แต้มมาเพื่อแลกของรางวัล หรือแลกเป็นส่วนลด โดยการสะสมแต้มจะสร้างความหลากหลาย และมอบความบันเทิงในการใช้จ่ายให้กับผู้บริโภคได้

แน่นอนว่านอกจากระบบสะสมแต้มจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีแล้ว ด้านการสร้าง อย่างโปรแกรมทำบัตรสะสมแต้มก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเมื่อเราได้ไอเดีย หรือแผนการตลาดเพื่อนำไปใช้ยังโปรแกรมสะสมแต้มแล้ว เราก็ต้องออกแบบ UX UI และสร้างโปรแกรมสะสมแต้มให้สมบูรณ์แบบ ดูน่าใช้งานด้วย ดังนั้นการหาบริการในการดูแลหรือสร้างโปรแกรมสำหรับร้านค้าที่ครอบคลุมทั้งการตลาด ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรจะมองข้ามเช่นเดียวกัน

ระบบสะสมแต้มสำหรับสมาชิกที่มอบโปรโมชันและสิทธิพิเศษมากมาย
 
ระบบสะสมคะแนน

เบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างระบบสะสมแต้ม จะเป็นการดึงลูกค้ามาเพื่อสมัครสมาชิก ผ่านแพลตฟอร์มที่เราสร้างขึ้นเอง หรือสมัครผ่านแพลตฟอร์ม Social ที่เข้าถึงง่ายก็ได้ โดยเมื่อลูกค้าเข้าสู่ระบบสมาชิก ระบบสะสมแต้มก็จะมีการเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน และคะแนนสำหรับการนำไปแลกสินค้า หรือการเสิร์ฟโปรโมชั่นพิเศษ ๆ ให้กับสมาชิกนั่นเอง ซึ่งแต้มสะสมก็ได้มากจากการซื้อสินค้าและบริการ รวมไปถึงการมีส่วนร่วมกับแบรนด์แล้วแต่เรากำหนด

นอกจากนี้ประโยชน์ของระบบสะสมแต้ม หรือการที่ลูกค้าเข้ามาเป็นสมาชิกเพื่อรับสิทธิประโยชน์ ยังเอื้อต่อกลยุทธ์ทางการตลาดอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะโปรแกรมทำบัตรสะสมแต้ม หรือระบบสะสมคะแนน ยังสามารถใช้งานเพื่อส่งข่าวสาร หรือคอนเทนต์ที่น่าสนใจของแบรนด์ได้ง่าย เพราะมีช่องทางสำหรับการติดต่อระหว่างแบรนด์ไปยังลูกค้าได้โดยตรง และมีโอกาสที่ลูกค้าจะมีการเข้าร่วมแคมเปญหรือโปรโมชั่นได้ง่ายกว่าบุคคลทั่วไป

ระบบสะสมแต้มเพิ่มผลกำไรและยอดขายให้กับธุรกิจจริงหรือไม่

ระบบสมาชิก

เริ่มต้นเป้าหมายของการทำระบบสมาชิก หรือโปรแกรมทำบัตรสะสมแต้ม ล้วนแล้วแต่เป็นการหวังผลกำไรทั้งสิ้น โดยการที่เราจะได้ยอดขายหรือกำไรจากกลยุทธ์นี้ คือการที่เรารักษาฐานของลูกค้า หรือมีปฏิสัมพันธ์กลับลูกค้า ให้พวกเขาได้รับข่าวสาร และรู้สึกว่าแบรนด์ดูแลพวกเขาอย่างดี จนทำให้เกิดการซื้อซ้ำ เมื่อระบบสะสมแต้มมีเข้ามา ก็จะทำให้พวกเขารู้สึกให้ความสำคัญกับการจับจ่ายใช้สอยกับธุรกิจของเราได้ง่ายมากขึ้น

อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะมีการแนะนำ หรือบอกต่อถึงสินค้าและบริการของเรา ผ่านแผนการตลาดที่เรานำเสนอไม่ว่าจะเป็นโปรโมชันที่ตรงใจ หรือแผนการตลาดจากการได้รับแต้มสะสมจากการแนะนำคนอื่นมาสมัครสมาชิกก็ทำได้ ดังนั้น ระบบสะสมแต้ม จึงมีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับแผนการตลาดออนไลน์ที่เราวางไว้ได้ง่าย สามารถนำไปประยุกต์หรือเป็นเครื่องมือช่วยเหลือแนวทางการขายอื่น ๆ ได้อย่างอิสระ และเข้าใจง่าย

สรุป

ระบบสะสมแต้ม เป็นระบบที่มีประโยชน์มากในปัจจุบันสำหรับการตลาดออนไลน์ เพราะไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใด ระบบสมาชิก ที่มีแต้มสะสม คือปัจจัยหลักที่ช่วยกระตุ้นการซื้อได้ อีกทั้งยังช่วยให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำได้ไม่ยาก แต่ความสำคัญที่สุดสำหรับระบบสะสมแต้ม คือการออกแบบและวางแผนที่ดี ผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ และนักการตลาดที่มีประสบการณ์ จึงจะทำให้ระบบที่ทำประสบผลสำเร็จได้ดีที่สุด


ขอบคุณความรู้ดีๆจาก https://betaskthai.com/]

175
ซ่อมหลังคารั่ว เพิ่มความพร้อมรับทุกสภาพอากาศให้บ้านคุณ
บ้านเป็นสถานที่พักพิงให้กับทุกคน ดังนั้นบ้านควรมีความสะอาด มีสภาพที่สมบูรณ์ สามารถปกป้องผู้อาศัยในบ้านจากสภาพอากาศที่แปรปรวนภายนอกบ้าน แดด ลม ฝน สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวถึงมานี้ บ้านต้องปกป้องผู้อาศัยใต้ชายคาจากสิ่งเหล่านี้ได้ ซึ่งหลังคาเป็นส่วนสำคัญมากที่จะช่วยป้องกันสภาพแวดล้อมจากภายนอก

หากบ้านที่อาศัยหลังคารั่ว ผู้อาศัยก็อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะฝน หากฝนตกหนัก ๆ ก็อาจจะเห็นน้ำรั่วจากเพดานได้ มองผิวเผินอาจจะสามารถป้องกันได้ด้วยกันนำถังมาวางรองน้ำ แต่มันมีปัญหาที่มากกว่าตาเราเห็น การอุดรอยหลังคารั่วจึงเป็นสิ่งที่ควรรีบทำ

บทความนี้จะมาช่วยอธิบายให้เห็นว่าสาเหตุของหลังคาบ้านรั่วมาจากอะไรการซ่อมหลังบ้านมีความสำคัญอย่างไร หลังคารั่วจะสร้างปัญหาอะไรให้กับผู้อาศัยในบ้าน และการซ่อมหลังคารั่วมีวิธีอะไรบ้าง
ซ่อมหลังคารั่ว" border="0

ควรรู้สาเหตุที่แท้จริงก่อนซ่อมหลังคารั่ว
ก่อนจะไปดูรายละเอียดของการซ่อมหลังคารั่ว เราควรทราบก่อนว่าสาเหตุที่ทำให้หลังคาบ้านรั่วนั้นมีที่มาจากอะไรได้บ้าง เพราะการทราบสาเหตุจะช่วยให้เลือกวิธีการแก้ปัญหาได้เหมาะสม และสามารถซ่อมแซมได้ถูกจุด โดยสาเหตุของหลังคารั่วสามารถแบ่งออกได้ 3 อย่าง รายละเอียดดังนี้

3 สาเหตุหลังคารั่ว
1. วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการมุงหลังคาบ้านเสื่อมสภาพ : หลังคาบ้าน หรือแม้แต่ส่วนไหน ๆ ของบ้านก็ล้วนมีอายุการใช้งาน โดยเฉพาะสำหรับหลังคาบ้านที่ต้องเจอกับสิ่งเร้ามากมายที่จะทำให้หลังคาเสื่อมสภาพเร็ว ไม่ว่าจะเป็นแดด ลม หรือฝน ทำให้การเสื่อมสภาพของอุปกรณ์มุงหลังคาบ้านเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลังคารั่ว

2. การติดตั้งหลังคาที่ผิดวิธี : อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลังคารั่ว คือ การติดตั้งที่ไม่ถูกหลัก ติดตั้งด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น การติดตั้งอุปกรณ์มุงหลังคาไม่ครบ, สลับแผ่นกระเบื้อง, กะระยะซ้อนทับ หรือองศาของแผ่นกระเบื้องถูกติดตั้งไม่เหมาะสม โดยมากสิ่งเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นหากเลือกช่างมุงหลังคาที่ขาดประสบการณ์

3. รางน้ำอุดตัน : รางน้ำที่ติดตั้งบนหลังคา สามารถกักเก็บน้ำได้ในปริมาณหนึ่ง หากรางน้ำมีการอุดตัน จากเศษใบไม้ หรือกิ่งไม้ ส่งผลให้รางน้ำไม่สามารถระบายน้ำได้ตามปกติ น้ำก็อาจไหลย้อนกลับส่งผลให้น้ำรั่วซึมเข้าไปในตัวบ้านได้
สาเหตุหลังคารั่ว" border="0

การซ่อมหลังคารั่ว เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม แต่สิ่งที่ควรทำมากที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้เกิดหลังคารั่วตั้งแต่แรก ซึ่งการทราบสาเหตุจะช่วยให้หาวิธีป้องกันได้ อย่างไรก็ตามแม้จะป้องกันรัดกุมแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงบางปัจจัยได้ ดังนั้นหากพบว่ามีหลังคารั่ว การซ่อมหลังคารั่วก็เป็นสิ่งที่ควรรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด

ปัญหาหลังคาที่ควรใช้บริการซ่อมหลังคารั่ว
ปัญหาจากหลังคารั่ว จะส่งผลต่าง ๆ ต่อตัวบ้าน เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการซ่อมหลังคารั่ว เรามาดูกันว่า หากปล่อยให้หลังคาบ้านรั่ว จะมีปัญหาอะไรตามมาบ้าง

1. หลังคารั่ว อาจเริ่มจากจุดเล็ก ๆ แต่หากไม่ทำการอุดรอยรั่วหลังคา รอยรั่วนั้นก็อาจขยายใหญ่ขึ้น สร้างความเสียหายมากขึ้น

2. น้ำซึมเข้าตัวบ้าน และความชื้นสะสม ปัญหาที่จะตามมาจากหลังคารั่ว คือ น้ำที่ซึมเข้าบ้าน โดยเฉพาะในฤดูฝน ที่จะมีฝนตกตลอดเวลา ทำให้มีน้ำปริมาณมากซึมเข้าทางหลังคา บริเวณฝ้าเพดานจะสะสมความชื้น ทำให้เกิดรอยและอาจพังลงมาได้ นอกจากนี้ความชื้นที่สะสมในตัวบ้านเป็นสาเหตุของการเกิดเชื้อรา ไรฝุ่น และแบคทีเรีย ทำให้บ้านกลายเป็นที่อมโรคได้

3. สิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ที่เข้ามาทางรอยหลังคารั่ว นอกจากฝน หรือแดดแล้ว อาจมีอย่างอื่นเข้ามาทางรอยรั่วได้ เช่น กระรอก หรือหนู ซึ่งจะสร้างเสียงรบกวนจากบนเพดาน

ปัญหาที่ตามมาจากหลังคารั่ว ไม่ได้ส่งผลกับแค่สภาพของบ้านเพียงเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพของผู้อาศัยในบ้านได้ ดังนั้นการซ่อมหลังคารั่ว จึงเป็นส่วนสำคัญของการซ่อมแซมบ้านที่จะขาดไม่ได้

แจกวิธีซ่อมหลังคารั่วยอดนิยม
เมื่อทราบถึงสาเหตุและปัญหาที่เกิดจากหลังคารั่วแล้ว มาถึงส่วนสำคัญที่ทุกคนอยากทราบ คือ การซ่อมหลังคารั่ว ซึ่งการซ่อมหลังคารั่วนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วิธีหลัก ๆ ดังนี้
แจกวิธีซ่อมหลังคารั่วยอดนิยม" border="0


ซ่อมหลังคารั่ว ด้วยเคมีภัณฑ์
การซ่อมหลังคารั่วด้วยเคมีภัณฑ์ เป็นการอุดรอยรั่วหลังคาที่เจ้าของบ้านสามารถทำได้ด้วยตนเอง เคมีภัณฑ์สำหรับอุดหลังคารั่วที่เป็นที่นิยมใช้ ก็จะมี ซีเมนต์ หรือซิลิโคน แม้ว่าการซ่อมหลังคารั่วด้วยเคมีภัณฑ์อาจทำได้ง่าย อย่างไรก็ตามต้องใช้ความระมัดระวัง และมีทักษะในระดับนึง เพราะการปีนขึ้นไปซ่อมหลังคาอาจเสี่ยงต่อการพลัดตกลงมาได้

ซ่อมหลังคารั่ว โดยช่างมืออาชีพ
การซ่อมหลังคารั่วที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การหาช่างที่มีทักษะ มีประสบการณ์ เป็นช่างเฉพาะด้านที่มีความรู้ความสามารถ เพราะหลังคาเป็นส่วนสำคัญของตัวบ้าน การอุดรูรั่วหลังคา หากอุดได้ไม่ดี ไม่นานรอยรั่วก็จะกลับมาอีก แต่หากการซ่อมหลังคารั่วทำโดยช่างที่มีความสามารถ เช่น ผู้ให้บริการซ่อมแซมปรับปรุงครบวงจรอย่าง Q-CHANG ก็จะช่วยยืดอายุให้หลังคาได้นานอย่างที่ควรเป็น

สรุปการซ่อมหลังคารั่ว
หากปล่อยให้หลังคาบ้านรั่ว ก็เปรียบเสมือนการปิดประตู หรือหน้าต่างบ้านไม่สนิท ซึ่งอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมเข้ามาในตัวบ้าน ซึ่งอาจส่งผลต่อสภาพตัวบ้านไปจนถึงสุขภาพความเป็นอยู่ของผู้อาศัย ดังนั้นหากพบว่าบ้านที่อาศัย มีรอยรั่ว การซ่อมหลังคารั่วด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพนับเป็นสิ่งเร่งด่วน

176
ปวดหัวข้างขวา

เมื่อเราประสบกับอาการปวดหัวข้างขวา ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ยิ่งสุขภาพร่างกายอ่อนแอ เมื่อนั้นปวดหัวข้างขวาจะกำเริบขึ้นมา สาเหตุที่ทำให้ปวดหัวข้างขวาจี๊ดๆ มาจากสิ่งแวดล้อมความเป็นอยู่ของเรา การทำงาน ภาวะความเครียดสะสม พักผ่อนไม่เพียงพอ สูบบุหรี่ โรคไมเกรน และโรคภูมิแพ้ ส่งผใทำให้ชีวิตประจำวันแย่ลง อาการปวดจะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก

ใครที่กำลังปวดหัวข้างขวา หรือปวดหัวซีกขวาอยู่ตอนนี้ ทางเราได้หาข้อมูลเกี่ยวกับ สาเหตุ วิธีการป้องกันการเกิดอาการปวดหัวข้างขวา รวมทั้งหมดไว้ในบทความนี้แล้ว

อาการปวดหัวและสาเหตุที่ทำให้ปวดหัว
ปวดหัวเป็นอาการที่คนหลายคนพบเจออย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะปวดบริเวณศีรษะปวดหัวข้างขวา อาจจะเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เช่น เครียดการทำงาน การเรียน พักผ่อนไม่เพียงพอ รวมถึง โรคไซนัส และ โรคไมเกรน จนทำให้เกิดอาการปวดหัวขึ้นมา

การทราบเกี่ยวกับสาเหตุ และอาการปวดหัวเป็นสิ่งสำคัญจะช่วยให้เราเข้าใจถึงปัญหาของการเกิดอาการปวดหัวที่เกิดได้ มีดังนี้

1. ปวดหัวข้างขวา
ปวดหัวข้างขวามีลักษณะอาการปวดหัวจี๊ดๆข้างขวา รวมถึง ปวดหัวคิ้วข้างขวาด้วยเช่นกัน สาเหตุหลักที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะมี ดังต่อไปนี้

  • ภาวะความเครียด การใช้ชีวิตประจำวันเรามักจะเจอกับปัญหาในแต่ละวันที่แตกต่างกัน ปัญหาพวกนี้ทำให้เราเกิดความเครีดยที่สะสม ความเหนื่อยล้า และ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ซึ่งจะมีปวดหัวข้างขวาท้ายทอย แต่อาจจะเกิดอาการปวดหัวข้างขวาและข้างซ้ายได้ด้วยเช่นกัน
  • โรคไซนัสและโรคภูมิแพ้ ลักษณะของอาการ หากมีน้ำมูกเหนียว ๆ หรือจมูกบวมข้างขวามักจะปวดหัวขวาเหมือนกัน เพราะท่อระบายในโพรงไซนัสเกิดอุดตัน จึงมีความดันในโพรงไซนัสทำให้ปวดหัวข้างขวากระบอกตา
  • ไมเกรน โรคของไมเกรนเกิดจาก ความเครียด อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือพันธุกรรม ทำให้ปวดไมเกรนข้างขวา โดยมีอาการปวดหัวจี๊ด ๆ ข้างขวาเป็นพัก ๆ รวมถึงอาการอื่นๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เห็นภาพซ้อน หน้ามืด รู้สึกชา
  • อาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์ มีเมื่อรปวดหัวข้างขวาที่รุนแรงแบบกะทันหัน มักจะเกิดตรงบริเวณรอบ ๆ ดวงตา อาจจะลามไปอวัยวะส่วนต่างของร่างกาย เช่น ใบหน้า คอ หัวไหล่ และอาการอื่น ๆ เช่น เหงื่อออกบริเวณใบหน้า ตาแดง น้ำตาไหล น้ำมูกไหล


2. ปวดหัวรอบขมับ
ปวดหัวรอบขมับมักจะมีสาเหตุมาจากการพักผ่อนที่ไม่มีเพียงพอ การใช้สายตามากเกินไป ความเครียดกังวล สามารถทำให้เกิดอาการปวดหัวรอบขมับ อาจจะมีอาการปวดหัวแบบนี้ไปตลอดดทั้งวัน การที่คุณต้องจัดการกับปัญหา และลดความเครียดอาจช่วยลดอาการนี้ได้

3. ปวดเบ้าตาลามขึ้นไปบริเวณศีรษะ
ปวดเบ้าตาลามขึ้นไปบริเวณศีรษะ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน สาเหตุส่วนใหญ่ที่มักจะทำให้เกิดขึ้นมีดังนี้

  • ไมเกรน จะมีอาการลักษณะปวดหัวข้างขวาหรือปวดหัวข้างซ้าย ลามไปถึงอาการอื่น ๆ เช่น อาเจียน คลื่นไส้
  • โรคต้อหิน จะปวดหัวข้างขวา ปวดตา ตาผร่ามัว ความดันในตาสูงผิดปกติ ทำให้เกิดความเสียหายของเส้นประสาทตา จนอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นหรือตาบอดได้
  • ความเครียดของกล้ามเนื้อ อาการมักจะเกี่ยวกับลูกตา การใช้สายตาที่มากจนเกินไป หรือการเพ่งมองจอคอมเป็นเวลานาน จนทำให้เกิดอาการปวดเบ้าตาลามไปจนหน้าผากหรือศีรษะ

4. ปวดหัวบริเวณหน้าผากลามลงไปถึงโหนกแก้ม
เป็นอาการที่บ่งบอกถึงโรคไซนัสอักเสบ มีอาการปวดบริเวณ หน้าผาก โหนกแก้ม เบ้าตา เนื่องจากการอักเสบเยื่อบุภายในช่องจมูกเกิดการบวม ส่งผลให้โพรงไซนัสที่ติดกับจมูกตีบตัน เกิดน้ำมูกติดค้างภายในโพรงจมูกเป็นจำนวนมาก เป็นสภาวะการเติบโตของเชื้อโรค จนเยื่อบุภายในจมูกอักเสบและเป็นหนอง

5. ปวดหัวลามไปยังบริเวณใบหูและกราม
ปวดหัวข้างขวาลามไปยังใบหู กรามเป็นอาการที่บ่งบอกถึงโรคข้อต่อขากรรไกรและกล้ามเนื้อบดเคี้ยว หากมีอาการปวดหัวข้างขวาหลังหู ช่วงกราม ขากรรไกร หรือตอนหลังตื่นนอน อ้าปากไม่ค่อยได้ เคี้ยวอาหารไม่สะดวกอาจจะมีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อบดเคี้ยว ข้อต่อขากรรไกร ซึ่งเกิดจากการนอนกัดฟันแบบไม่รู้ตัวในขณะที่นอนหลับอยู่

แนะนำ 5 วิธีแก้อาการปวดหัวข้างขวา ปวดหัวจี๊ดๆ ด้วยตนเอง

วิธีแก้อาการปวดหัวข้างขวา

ปวดหัวข้างขวา สามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายสาเหตุ อาทิ ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ไมเกรน ไซนัสหรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ โดยทางเรามีคำแนะนำ 5 วิธีแก้อาการปวดหัวข้างขวา ได้ด้วยตัวเอง

1. กินยาแก้ปวด
กินยาแก้ปวดหัว จำพวกยาพาราเซตามอล 500 มก. ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาเภสัชกร หรือร้านสะดวกชั้นนำทั่วไป  ซึ่งจะช่วยบรรเทาผู้ที่ปวดหัวข้างขวาที่ไม่รุนแรงมากหนัก

ควรรับประทานยาพาราเซตามอล 500 มก. ตามสัดส่วนน้ำหนักตัว ครั้งละไม่เกิน 1 - 2 เม็ดต่อครั้ง ทุก ๆ 4 - 6 ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยบรรเทาปวดหัวข้างขวาได้ แต่ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 5 วัน ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการ และรักษาได้ทันท่วงที

2.  ออกกำลังกายและ ยืดกล้ามเนื้อ
ออกกำลังกายแน่นอนว่าเป็นวิธีทำให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยทำให้คุณผ่อนคลายมีสมาธิในการออกกำลังกาย ดังนั้นปวดหัวข้างขวาที่อาจมีสาเหตุจากความเครียดสะสมจาก การทำงาน การเรียน หรือปัญหาต่าง ๆ ที่พบเจอ ออกกำลังกายเองจะลดอาการปวดหัวจี๊ดๆข้างขวาที่เกิดขึ้นได้

ยืดกล้ามเนื้อ ถ้าปวดหัวข้างขวา หรือปวดท้ายทอยข้างขวา เป็นอาการที่เกิดจากความเครียด เกร็งบริเวณท้ายทอยเป็นเวลานาน การยืดกล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอย บ่า และไหล่จะช่วยลดเกร็งของกล้ามเนื้อรวมถึงปวดหัวข้างขวาด้วยเช่นกัน

3. ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ
สาเหตุอาการปวดหัวข้างขวาอย่างหนึ่ง มาจากร่างกายอยู่ในสภาวะขาดน้ำจึงทำให้มีอาการปวดหัวข้างขวาตุ๊บๆ อย่างไรก็ตามควรดื่มน้ำให้เพียงพอเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย จะช่วยบรรเทาปวดหัวข้างขวาได้

4. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
ในบางครั้งทำงานหนักเป็นเวลานาน หรือเรียนหนัก ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุไรก็ตามร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอมักเป็นสาเหตุที่สำคัญในการเกิดความเครียด อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น และจะเริ่มปวดหัวข้างขวา ดังนั้นปวดหัวข้างขวาวิธีแก้ เข้านอนให้ตรงเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ 7-9 ชั่วโมง

5. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีน
สาเหตุปวดหัวข้างขวาจี๊ดๆอีกหนึ่งวิธีแก้คือ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ และคาเฟอีน เพราะเครื่องดื่มดังกล่าวส่งผลต่อการขยาย หรือหดตัวของหลอดเลือด และกระตุ้นระบบประสาท ทำให้ปวดหัวข้างขวา มีภาวะความเครียดสะสมเกิดการตึงตัวของกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ

วิธีป้องกันอาการปวดหัวข้างขวา

วิธีป้องกันอาการปวดหัวข้างขวา

ปวดหัวข้างขวาผู้ที่มีอาการมักจะปวดหัวจี๊ดๆข้างขวาเหมือนเข็มทิ่ม เป็นอาการที่บ่งบอกถึงปัญหาเกี่ยวกับตัวเรา อาทิ สภาวะความเครียดสะสม พักผ่อนไม่เพียงพอ ไมเกรน โรคไซนัส และภูมิแพ้  เมื่อมีอาการดังกล่าวหากปล่อยไว้เป็นเวลานานไม่มีการป้องกันจะส่งผลไม่ดีต่อตัวเราเป็นอย่างมาก อาการปวดหัวข้างขวาก็ยังคงวนกับมาเป็นอยู่แบบนี้เรื่อย ๆ  ดังนั้นทางเราได้รวมวิธีป้องกันปวดหัวข้างขวาที่สามารถทำตามได้

  • รักษาสุขภาพร่างกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีโภชนาการครบ 5 หมู่และรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสมสามารถช่วยลดความเครียด และป้องกันการเกิดปวดหัวข้างขวา
  • จัดการกับความเครียด การเรียนรู้เทคนิคจัดการกับความเครียด เช่น การฝึกสมาธิ ฝึกการควบคุมอารมณ์ หรือการรับความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยาอาจช่วยลดความเครียด และป้องกันปวดหัวข้างขวา
  • นอนหลับให้เพียงพอ ควรนอนหลับให้ได้ 7 - 8 ชั่วโมง จะสามารถช่วยลดอาการเหนื่อยล้า ความเครียด
  • ระมัดระวังเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีตัวกระตุ้นทำให้เกิดปวดหัวด้านขวา เช่น อาหารมัน น้ำมันพืช เนื้อสัตว์แปรรูป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง
  • งดสูบบุหรี่ ในบุหรี่มีสาร นิโคติน ทำให้หลอดเลือดในร่างกายตีบ หรือแคบลงส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง จนทำให้ปวดหัวข้างขวา รวมถึง โรคไมเกรนอีกด้วย
  • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ ร่างกายเกิดสภาวะขาดน้ำเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดหัวข้างขวา ดังนั้นควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอในแต่ละวัน

สรุป
ปวดหัวข้างขวา เป็นลักษณะอาการที่บ่งบอกถึงปัญหาภัยร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจาก ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ โรคไมเกรน โรคไซนัส และภูมิแพ้ อย่างไรก็ตามควรหมั่นดูแลตัวเองออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ตรวจเช็คสุขภาพทุกปี จะช่วยป้องกันการเกิดปวดหัวข้างขวา

ถ้าหากปวดหัวข้างขวาเป็นเวลานาน หรือปวดหัวข้างขวารุนแรงควรรีบพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยดูแลรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมกับอาการของเรา


177
กระเบื้องหลังคาแตกเกิดจากสาเหตุอะไร? ปัญหาน้ำรั่วซึมซ้ำซากเกิดจากอะไรกันแน่
ส่วนประกอบของบ้านที่เราไม่ค่อยได้สนใจนั่นคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากหลังคาเพราะอยู่สูงและทำความสะอาดค่อนข้างยากและเราจะสนใจหลังคาก็ต่อเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน หากมีฝนตกลงมาแล้วทำให้หลายบ้านทราบว่ากระเบื้องหลังคาแตกและมีการรั่วซึมของน้ำฝนต้องทำการซ่อมหลังคารั่วอย่างเร่งด่วน เพราะหากปล่อยไว้อาจทำให้น้ำฝนที่รั่วซึมส่งผลให้บ้านเสียหายได้

ปัญหากระเบื้องหลังคาแตกเป็นปัญหาใหญ่ที่คุณอาจจะซ่อมบำรุงเองไม่ได้ เพราะอันตรายมากหากคุณนั้นไม่ใช่ช่างมืออาชีพ แต่เคยสงสัยไหมว่ากระเบื้องบนหลังคาทำไมถึงแตกได้แล้วมันเกิดจากสาเหตุอะไรกันนะ บทความนี้มีคำตอบพร้อมแนะนำช่างซ่อมหลังคาที่ดี

กระเบื้องหลังคาแตกร้าวเกิดจากอะไร" border="0

ลักษณะอาการกระเบื้องหลังคาแตก
ลักษณะอาการกระเบื้องหลังคาแตกจะสังเกตได้ทั้งวันที่มีแดดจ้า ๆ หากเป็นรอยแตกที่มีขนาดใหญ่และบ้านที่ไม่มีฝ้าอาจสังเกตได้จากแสงที่ส่องลอยลงมาก แต่หากเป็นกระเบื้องหลังคาแตกร้าวจะสังเกตได้ในฤดูฝนซึ่งหากฝนตกลงมาจะให้น้ำฝนรั่วซึมหยดลงมาใส่เฟอร์นิเจอร์ ที่นอน หรือของใช้ภายในบ้านทำให้เกิดความเสียหายได้ วิธีแก้ไขเบื้อต้นอาจจะต้องย้ายเฟอนิเจอร์และทำการหาภาชนะมารองน้ำฝนเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายภายในบ้านก่อนแล้วเรียกช่างมาซ่อมหลังคารั่วอย่างเร่งด่วน

อีกวิธีที่สังเกตลักษณะอาการกระเบื้องหลังคาแตกได้ในระยะแรกคือ หากมีฝนตกจะพบคราบน้ำสีน้ำตาลบนฝ้าที่เกิดจากการรั่วซึมของน้ำนั่นเอง ซึ่งหากไม่รีบแก้ไขปัญหากระเบื้องหลังคาแตกจะทำให้ฝ้าเพดานได้รับความเสียหายเป็นบริเวณกว้างและจะทำให้ฝ้าเพดานทะลุลงมาได้ รวมถึงปัญหาเชื้อราและกลิ่นอับ

วิธีซ่อมกระเบื้องหลังคาแตก" border="0

กระเบื้องหลังคาแตก เป็นอย่างไร
ในส่วนกระเบื้องหลังคาแตกไม่ได้เกิดปัญหาจากตัวกระเบื้องหลังคาเท่านั้น ยังมีส่วนสันครอบหลังคา รวมถึงการก่อสร้างหลังคาที่ไม่ได้มาตรฐานตั้งแต่แรกทั้งระดับ หรือการประกอบชิ้นส่วนผิดที่ทำให้เกิดปัญหากระเบื้องหลังคาแตกในระยะยาวได้อีกด้วย

กระเบื้องหลังคาแตก เกิดจากอะไร?
เคยสงสัยไหมว่ากระเบื้องหลังคาแตกเกิดจากอะไรทั้ง ๆ ที่หลังคานั้นอยู่สูงมากแต่กับแตกร้าวได้เราจะรู้ว่ากระเบื้องหลังคาก็ต่อเมื่อมีฝนตกเท่านั้น ซึ่งเป็นเวลาที่ต้องเร่งรีบแก้ไขแต่ก่อนจะทราบวิธีแก้ไขนั้นไปดูสาเหตุกันก่อนว่าทำไมกระเบื้องหลังคาจริงแตกได้

•กระเบื้องหลังคาเสื่อมสภาพ
แน่นอนว่าเมื่อเราสร้างบ้านส่วนประกอบของบ้านหากอายุการใช้งานผ่านไปหลายปีทุกอย่างมักเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา กระเบื้องหลังคาก็เช่นกันอาจเกิดการชำรุดแตกร้าวที่เกิดจากอุปกรณ์ชำรุดเสียหายได้ หากกระเบื้องหลังคาแตกไม่มากนักช่างอาจใช้วิธีอุดรอยรั่ว ซึ่งเป็นวิธีซ่อมหลังคารั่วที่อาจทำให้เกิดรอยรั่วซ้ำจุดเดิมได้ หากคุณเลือกช่างที่ไม่ดีช่างก็อาจจะใช้วิธีนี้แก้ไขหลังคาบ้านคุณได้

•ไม่ดูแลรักษากระเบื้องหลังคา
เป็นวิธีที่คุณอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อนว่าหลังคาบ้านจำเป็นต้องมีการดูแลรักษาด้วย แล้วมันต้องดูแลรักษาอย่างไรล่ะ? เพราะหลังคาบ้านเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ง่าย ๆ ซึ่งทำให้หลังคาบ้านของคุณอาจมีใบไม้หรือเศษกิ่งไม้ที่สะสมอยู่บนหลังคาบ้านของคุณเป็นเวลานาน ซึ่งในปัญหานี้เองอาจทำให้กระเบื้องหลังคาแตกและรั่วซึม ดังนั้นควรสังเกตหลังคาบ้านและความทำความสะอาดหากมีการสะสมของใบไม้และต้นไม้บนหลังคา แต่หากไม่สามารถทำความสะอาดได้เองควรเรียกช่างเข้ามาตรวจสอบจึงจะปลอดภัยมากกว่า

•มุงหลังคาไม่ได้มาตรฐาน
การมุงกระเบื้องหลังคาควรใช้บริการช่างที่มีประสบการณ์เพราะไม่อย่างนั้นการติดตั้งโครงสร้างและกระเบื้องหลังคาที่ไม่ได้มาตรฐานจะส่งผลต่อคุณภาพงานที่ได้ อย่างเช่นการติดตั้งสันครอบหลังคาผิดวิธีกะจะทำให้สันครอบกระเบื้องหลังคาแตกร้าวส่งผลให้น้ำฝนไหลซึมตามรอยแตกได้

หาช่างซ่อมหลังคากระเบื้องแตก" border="0

วิธีแก้ปัญหากระเบื้องหลังคาแตก
กระเบื้องหลังคาแตกมีหลายระยะด้วยกันและไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะหากทราบก่อนวิธีซ่อมอาจแค่อุดรอยแตกเท่านั้นแต่อย่าชะล่าใจปล่อยทิ้งไว้เพราะอาการรั่วซึมจะกระทบถึงภายในบ้าน ซึ่งในข้อนี้อาจเป็นผลให้คุณต้องเปลี่ยนหลังคาใหม่ทั้งชุดก็เป็นได้ ซึ่งวิธีแก้ปัญหากระเบื้องหลังคาแตกมีวิธีการซ่อมดังต่อไปนี้

1.แก้ปัญหากระเบื้องหลังคาแตกด้วยตนเอง หากกระเบื้องหลังคาแตกเป็นรอยรั่วในระยะแรกคุณอาจซ่อมหลังคารั่วได้เอง จากการใช้กาวอะคริลิคกาวซิลิโคน หรือเทปกันซึม แต่วิธีเหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาได้ในระยะสั้นเท่านั้น
2.เปลี่ยนอุปกรณ์หลังคาเสื่อมสภาพ วิธีซ่อมกระเบื้องหลังคาแตกคือการเปลี่ยนอุปกรณ์บางอย่างที่อาจเสื่อมสภาพที่เกิดจากฝนตก แสงแดดอย่างเช่นสกรูหรือแหวนรอง
3.เปลี่ยนสันครอบหลังคา วิธีแก้ไขต้องแกะสันครอบหลังคาออกแล้วและทำการเทปูนใหม่เพื่อประกอบสันครอบตัวใหม่เข้าไป
4.กระเบื้องหลังคาแตกใหม่ยกชุด ถ้าหากวิธีซ่อมอื่น ๆ ไม่ได้ผลและก่อให้เกิดปัญหาเดิมซ้ำ ๆ หรือหนักกว่าเดิม จำเป็นต้องซ่อมหลังคากระเบื้องแตกโดยการเปลี่ยนทั้งกระเบื้องและอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด

ควรเลือกช่างซ่อมกระเบื้องหลังคาให้ดี
หากจำเป็นต้องเลือกช่างเข้ามาซ่อมกระเบื้องหลังคาแตกควรเลือกช่างที่มีประสบการณ์และน่าเชื่อถือ เพราะการซ่อมหลังคาหากทำการซ่อมไม่ดีหรือผิดวิธีจะยิ่งให้เกิดการเสียหายหนักกว่าเดิม เป็นเหตุที่อาจส่งผลให้คุณต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับการเปลี่ยนหลังคาใหม่ทั้งหมดก็เป็นได้

หลังคากระเบื้องแตกซ่อมอย่างไรดี" border="0

สรุป กระเบื้องหลังคาแตก
ได้ทราบแล้วปัญหาของกระเบื้องหลังคาแตกสามารถเกิดได้หลายสาเหตุด้วยกัน รวมถึงวิธีซ่อมหลังคารั่วหรือแตกนั้นกะมีหลายวิธีด้วยกัน หากคุณยังไม่มั่นใจที่จะซ่อมหลังคาด้วยตัวเองควรมองหาช่างที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาซ่อมบำรุงให้จึงจะดีกว่า

178
หลังคาเป็นส่วนสำคัญที่บ้านทุกหลังต้องมี เพราะหลังคานั้นใช้ปกป้องคนในบ้านจากฝน, แดด, ลม รวมถึงความร้อน ดังนั้นหลังคาจึงต้องมีคุณภาพที่ดี ใช้วัสดุที่ดี และที่สำคัญใช้ช่างมุงหลังคาที่มีความสามารถ มีประสบการณ์

เพราะการเลือกช่างมุงหลังคาได้ดีจะช่วยการันตีได้เลยว่าบ้านของเราจะได้หลังคาคุณภาพดีอย่างแน่นอน เพราะช่างมุงหลังคาจะมีความสามารถในการมุงหลังคาได้ดี และรู้ว่าควรแนะนำให้ลูกค้าใช้หลังคาแบบไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด เจ้าของบ้านไม่ต้องไปหาวัสดุมุงหลังคาเอง ดังนั้นหากจะสร้างบ้าน ซ่อมแซมบ้าน หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับหลังคา การหาช่างมุงหลังคาที่มีประสบการณ์จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

ช่างมุงหลังคามืออาชีพ

ช่างมุงหลังคา สำคัญอย่างไร

ในการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างสักหลังนึง ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญหลากหลาย ไม่ว่าช่างแบบไหนก็ล้วนมีความสำคัญ ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือ ช่างมุงหลังคา เพราะหลังคาใช้ป้องกันแดด ฝน พายุ และสิ่งต่าง ๆ หากหลังคาที่มุงไม่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการในการมุงหลังคา หรือเลือกวัสดุที่ไม่ได้คุณภาพมามุงหลังคา หลังคาก็จะเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร

ไม่ว่าจะเป็นหลังคารั่วเวลาฝนตก หลังคาไม่สามารถสะท้อนหรือป้องกันความร้อนได้ดี หรือหลังคาพังหากเจอพายุที่รุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทบต่อการใช้ชีวิตในบ้านเป็นอย่างมาก และสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากใช้ช่างมุงหลังคาที่ขาดประสบการณ์ ดังนั้นการหาช่างมุงหลังคา หรือหาคนรับเหมามุงหลังคาต้องเลือกให้ดี

ช่างมุงหลังคา สำคัญอย่างไร

อยากได้ช่างมุงหลังคาเก่ง ๆ เลือกอย่างไร ?

หากเราอยากหาช่างมุงหลังคาที่เก่ง ๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหลังคาบ้านของเราจะได้คุณภาพ มีมาตรฐาน มีหลายส่วนที่ต้องทำการพิจารณา โดยเราได้คัดจุดสำคัญ ที่เจ้าของบ้านทุกคนควรตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนตัดสินใจเลือกช่างมุงหลังคา

- เป็นช่างมุงหลังคาที่มีประสบการณ์
การเลือกช่างมุงหลังคา หรือแม้แต่ช่างฝีมือต่าง ๆ สิ่งสำคัญคือดูกันที่ผลงาน ซึ่งผลงานจะสามารถดูได้จากงานก่อนหน้าที่ช่างรับเหมาเคยทำ ดังนั้นเพื่อความมั่นใจก่อนเริ่มจ้างช่างมุงหลังคา ควรขอดูผลงานที่ช่างเคยทำมาก่อน

- รีวิวจากผู้ใช้งานก่อนหน้า
การเลือกช่างมุงหลังคา นอกจากการดูผลงานแล้ว การสอบถามปากเปล่าจากลูกค้าก่อนหน้าที่เคยใช้บริการ หรือหาอ่านรีวิวจากอินเตอร์เน็ต จะช่วยให้เราทราบคุณภาพการบริการ ทัศนคติของผู้ให้บริการ และข้อมูลอื่น ๆ ที่อยากทราบ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้สามารถเลือกช่างมุงหลังคาที่ตอบโจทย์ได้มากที่สุด

- ค่าใช้จ่าย
ก่อนจะเริ่มตกลงรับงาน จะมีขั้นตอนที่ช่างเสนอราคาก่อน ถึงแม้จะเป็นช่างมุงหลังคาที่มีคุณภาพ แต่หากมีราคาสูงเกินไป ก็เป็นไปได้ว่าช่างอาจจะโก่งราคา ดังนั้นการเลือกช่างมุงหลังคาจะมีความสามารถจะสำคัญ แต่ราคาช่างมุงหลังคาต้องสมเหตุสมผล ก็มีความสำคัญเช่นกัน

- เงื่อนไขต่าง ๆ
การตกลงจ้างงาน ช่างมุงหลังคา หรือช่างฝีมือต่าง ๆ ย่อมมีเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขการทำงาน ต้องดำเนินการแล้วเสร็จภายในกี่วัน กี่เดือน หรือเงื่อนไขการรับประกันคุณภาพ หากก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานตามที่ตกลงกันไว้ ช่างเข้ามาปรับปรุงแก้ไข ก่อนเลือกจ้างช่างมุงหลังคา เราควรตรวจสอบเงื่อนไขต่าง ๆ ทั้งหมดให้ครบถ้วน

ช่างมุงหลังคา มีบริการแบบไหนบ้าง ?

ช่างมุงหลังคานั้นก็มีบริการอยู่หลายแบบ เพราะหลังคานั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย โดยเราได้นำตัวอย่างบริการของช่างมุงหลังคา ซึ่งมีอยู่ด้วยกันดังนี้

ช่างมุงหลังคา มีบริการแบบไหนบ้าง

บริการติดตั้งวัสดุมุงหลังคา

บริการแรกของช่างมุงหลังคา คือ การมุงหลังด้วยวัสดุพื้นฐาน เช่น กระเบื้อง โดยวัสดุกระเบื้องก็มีอยู่หลายเกรด ซึ่งช่างมุงหลังคาที่มีประสบการณ์จะสามารถเลือกวัสดุที่มีคุณภาพ เพื่อยืดอายุการใช้งานให้หลังคาอยู่ได้นานที่สุด และใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามราคาการมุงหลังคาก็จะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับต้นทุน และการจัดการของช่างมุงหลังคาแต่ละเจ้า

บริการติดตั้งหลังคา Shingle Roof

สำหรับบริการช่างมุงหลังคาตัวถัดมา คือ การติดตั้งหลังคาแบบ Shingle Roof ซึ่งเป็นหลังคาแบบยางมะตอย เป็นหลังคาที่มีคุณสมบัติโดดเด่น คือ ความเหนียว ยืดหยุ่น ความทนทาน และด้วยวัสดุที่เป็นยางมะตอย ทำให้ไม่มีปัญหาแตกร้าว ยิ่งโดนแสงแดด ความเหนียวก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทำให้หลังคาแบบ Shingle Roof มีความทนทานต่อแดด ลม ฝน รวมถึงพายุ

โดยหลังคายางมะตอย Shingle Roof สามารถสรุปคุณสมบัติได้ ดังนี้

1. หลังคามีความเหนียว ทนทาน ไม่แตกหัก
2. มีสีให้เลือกหลากหลาย และสีไม่ซีดจาง แม้เจอแดด ลม ฝน
3. ป้องกันแรงลมได้ถึง 180 กม. / ชม.


สรุปช่างมุงหลังคา

จากที่กล่าวไว้ข้างต้นจะเห็นได้ว่าหลังคาเป็นส่วนสำคัญของบ้าน ช่วยป้องกันแดด, ลม, ฝน และพายุ เป็นด่านป้องกันแรกของตัวบ้าน ที่เจ้าของบ้านต้องให้ความสำคัญ หากเลือกช่างมุงหลังคาได้ดีจะช่วยให้บ้านมีหลังคาที่แข็งแรง ทนทาน ป้องกันสภาพอากาศต่าง ๆ ได้ดี

ดังนั้นการเลือกช่างมุงหลังคา ควรเลือกอย่างระมัดระวัง เลือกช่างรับเหมาที่มีประสบการณ์ มีทัศนคติให้บริการที่ดี ราคาสมเหตุสมผล เพื่อให้เรามีหลังคามุงบ้านคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสมไม่แพงจนเกินไป

179
บ้านสวนหลวงเป็นบ้านในกรุงเทพที่อยู่แถวชานเมืองทางฝั่งตะวันออก มีการเดินทางที่ค่อนข้างสะดวกสบายเพราะรอบพื้นที่มีถนนเชื่อมเข้า-ออกใจกลางเมืองและยังสามารถไปต่างจังหวัดได้หลาย ๆ เส้นทาง เช่น ถนนกาญจนาภิเษก เป็นต้น
 
ปัจจุบันยังมีรถไฟฟ้าสายสีเหลืองผ่านย่านสวนหลวงที่มาช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตมากยิ่งขึ้น และทำให้มีโครงการบ้านสวนหลวงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม, ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโด เกิดขึ้นมากมายตลอดแนวรถไฟฟ้า พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สถานศึกษา ทำให้ย่านสวนหลวงนี้มีความอุดมสมบูรณ์ไม่แพ้ตัวเมือง
 
บ้านแถวสวนหลวงเหมาะสำหรับคนที่ชอบใช้ชีวิตที่สงบ มีความเป็นส่วนตัว แต่ก็ยังไม่พ้นที่จะต้องการได้รับความสะดวกสบายทันสมัยทั้งจากการเดินทางไปทำงาน ไปศึกษา ไปพักผ่อนหย่อนใจในการใช้ชีวิตแบบไลฟ์สไตล์คนเมือง

บ้านสวนหลวง ไลฟ์สไตล์ชีวิตที่เงียบสงบสำหรับคนเมือง

บ้านสวนหลวง ดีอย่างไร
การมีที่อยู่อาศัยในบ้านสวนหลวง มีข้อดีหลาย ๆ อย่าง เช่น

- อยู่ในย่านที่มีบรรยากาศที่ยังคงเป็นธรรมชาติ สภาพอากาศที่เอื้อต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ไม่ต้องระแวง PM2.5
- โครงการบ้านสวนหลวงมีมากมายให้เลือกได้ มีแบบที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ซื้อ พร้อมมีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุก ๆ ด้านของสมาชิกในครอบครัวทุก ๆ คน
- การเดินทางเข้า-ออกสะดวกสบาย รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ส่วนบุคคล รถโดยสารสาธารณะ หรือ รถไฟฟ้า
- เป็นแหล่งที่มีสาธารณูปโภคครบครัน สถานที่ราชการ อาคารพาณิชย์ เป็นต้น
- มีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ในพื้นที่ให้แก่ผู้พักอาศัย โดยไม่ต้องเดินทางไปไกล ๆ

การพัฒนาของที่อยู่ย่านบ้านสวนหลวง
ทุกวันนี้ย่านบ้านสวนหลวงได้รับการพัฒนาจนกลายมาเป็นประตูสู่ภาคตะวันออกที่ได้เชื่อมต่อกับอีกหลายจังหวัด เช่นสมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา เป็นต้น จึงเหมาะที่จะทำให้เป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่สงบเงียบ ไม่วุ่นวาย เพราะล้อมรอบด้วยสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ช่วยฟอกอากาศให้กับคนในพื้นที่ได้
 
แต่ทั้งนี้ก็ยังสามารถสนุกกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งหลายที่เหมือนในตัวเมือง เช่น การเดินทางที่สะดวกรวดเร็วขึ้น สามารถใช้ชีวิตหย่อนใจในพื้นที่สวนหลวงที่เจริญไม่แพ้ที่ไหน ๆ เพราะมีทั้งห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัด, คาเฟ่, โรงเรียน และโรงพยาบาล แบบครบทุกรูปแบบโดยไม่ต้องเดินทางเข้าไปในตัวเมือง แต่ก็ยังรู้สึกว่าได้อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่สงบ

 การพัฒนาของที่อยู่ย่านบ้านสวนหลวง

วิธีการเดินทาง โซนบ้านสวนหลวง
สำหรับคนที่ต้องการเริ่มสร้างครอบครัว หรือต้องการมีชีวิตที่ไม่พลุกพล่านนั้น การตัดสินใจซื้อหมู่บ้านสวนหลวง จึงนับได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีทั้งในแง่การลงทุนหรือการพักอยู่อาศัย ย่านบ้านสวนหลวงนั้นมีถนนเชื่อมกับทางด่วนที่เชื่อมกับตัวเมืองและต่างจังหวัด ทำให้การเดินทางเข้า-ออกสู่ตัวเมืองและต่างจังหวัด ไม่ว่าจะใช้วิธีใดในการเดินทาง

รถยนต์ส่วนตัว
สามารถเดินทางไปตามถนนสายหลักได้หลายเส้น เช่น ถนนสวนหลวง ถนนศรีนครินทร์ ถนนบางนาตราด ฯลฯ จึงสามารถเข้าไปในตัวเมือง หรือ ไปต่างจังหวัดโดยไม่ลำบาก

รถไฟฟ้า BTS และ  MRT
สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเพื่อไปต่อกับรถไฟฟ้าสายหลักสายสีเขียว หรือ รถไฟฟ้า MRT ทั้งยังสามารถเชื่อมต่อรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ และใช้เวลาในการเดินทางเพียงแค่สั้น ๆ เพราะไม่ต้องไปเผชิญกับการจราจรที่แออัดและติดขัดมาก ๆ ในตัวเมือง เพิ่มความสะดวกสบายให้กับคนที่มีบ้านแถวสวนหลวง

ขนส่งสาธารณะ
หมู่บ้านสวนหลวงส่วนใหญ่จะอยู่ติดหรือใกล้กับถนนใหญ่ มีขนส่งสาธารณะใกล้ ๆ เช่น รถโดยสารประจำทาง, แท็กซี่, มอเตอร์ไซค์รับจ้าง จึงไม่มีปัญหากับคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนบุคคล

ความสะดวกสบาย โซนบ้านสวนหลวง
แน่นอนว่าสิ่งอำนวยความสะดวกในโซนบ้านสวนหลวงนั้นมีการพัฒนาและขยายตัวอยู่เรื่อย ๆ มีการขยายถนนตัดใหม่เพื่อเพิ่มความสะดวกให้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ แต่ก็ยังคงความร่มรื่นของบรรยากาศชานเมือง มีพื้นที่ให้เดินท่องเที่ยวกินบรรยากาศ เช่น วัดที่มีอุโบสถผนังชมพู กรอบหน้าต่างสีทอง คาเฟ่กลางแจ้ง ร้านอาหารนานาชาติ และยังมีสวนหลวง ร.9
 
นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่รอบ ๆ โซนสวนหลวงในทุก ๆ ด้านเพื่อ

- สถานศึกษา : โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ, สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น
- ห้างสรรพสินค้า : เดอะไนน์ พระราม 9, พีเพิล พาร์ค คอมมูนิตี้มอลล์, ตลาดเอี่ยมสมบัติ
- สถานพยาบาล : โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์, โรงพยาบาลวิภาราม พัฒนาการ
- สวนสาธารณะ : สวนหลวง ร.9, ศูนย์กีฬาทางน้ำ บึงหนองบอน เป็นต้น

ความสะดวกสบาย โซนบ้านสวนหลวง

สรุป บ้านสวนหลวง
หากคิดจะซื้อบ้านสวนหลวงเป็นที่อยู่อาศัยหรือเพื่อการลงทุนก็สามารถนับได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะว่าย่านโซนสวนหลวงได้มีการพัฒนากันมาอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายความเจริญ และทั้งระบายคนหรือครอบครัวที่อยู่กันอย่างแออัดในตัวเมืองไปยังชานเมืองที่สามารถช่วยสนองรูปแบบการใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน
 
ปัจจุบันย่านสวนหลวงถูกจัดให้เป็นย่านที่อยู่อาศัยในระดับกลางถึงระดับบน มีให้เลือกทั้งบ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม, ทาวน์เฮ้าส์, คอนโด และบ้านมือสอง ที่พร้อมให้ซื้อขายในราคาล้านต้น ๆ จนถึง 10 ล้านบาท และเป็นทำเลที่มีความต้องการ “ซื้อ” มากที่สุดในปี 2565 หลังจากมีการรองรับการเดินทางที่หลากหลาย รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง


180
ระบบนัดหมาย

ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ คุณเคยประสบปัญหาการต่อคิวหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับการต่อคิวแถวยาวจนต้องทำให้รอนาน หรือบางระบบบริการที่รับคิวตามจำนวนจำกัดต่อวัน ทำให้ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการบางท่านต้องเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ในครั้งนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักกับระบบนัดหมายผ่านทางออนไลน์สำหรับสถานบริการ ที่จะช่วยให้คุณลูกค้ารู้สึกสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องไปต่อคิวให้เสียเวลาเปล่า แค่ทำการเข้าระบบนัดหมายออนไลน์ง่าย ๆ ด้วยมือถือหรือคอมพิวเตอร์

ระบบนัดหมายสำคัญอย่างไร

ระบบนัดหมายออนไลน์นั้นเกิดขึ้นมาเพื่อที่จะให้อำนวยความสะดวกแก่ระบบการบริการต่าง ๆ และผู้เข้ารับใช้งาน ที่มีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากบางร้านค้าหรือบริการต่าง ๆ มีลูกค้าจำนวนมากจึงทำให้เกิดระบบต่อคิวขึ้น ทำให้ผู้เข้ารับบริการหรือลูกค้า จำเป็นที่จะต้องต่อคิวรับบริการเป็นเวลานาน จึงเกิดมาเป็นระบบนัดหมายออนไลน์ที่สามารถทำให้ร้านค้าและบริการต่าง ๆ สามารถเข้าถึงระบบนัดหมายออนไลน์ที่จะสามารถอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่ไม่จำเป็นต้องมาต่อคิวหน้างาน ทำให้ลูกค้ามีเวลาว่างมากขึ้นสะดวกสบายมากขึ้น

ทำไมถึงต้องใช้ระบบนัดหมาย

การใช้ระบบนัดหมาย

การเพิ่มระบบนัดหมายออนไลน์ให้กับบริการต่าง ๆ นั้น ช่วยให้อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่จะมาใช้บริการได้ผ่านช่องทางระบบออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ มีการบันทึกระบบที่ชัดเจนและง่ายต่อวิธีจัดระบบบริการ แล้วยังสามารถเพิ่มจำนวนผู้มาใช้บริการได้มากขึ้น ด้วยสาเหตุที่ก่อนจะใช้ระบบนัดหมายออนไลน์นั้นลูกค้าที่มาเข้าใช้งานจำเป็นต้องมาต่อคิวหน้าร้านเอง ทำให้เกิดจำกัดสิทธิ์ในการใช้งานเนื่องจากบางพื้นที่ ที่ให้บริการนั้นมีพื้นที่จำกัดทำให้ลูกค้าไม่สามารถมาพร้อมกันได้ในจำนวนมาก ดังนั้นการเพิ่มมาใช้ระบบนัดหมายออนไลน์นั้นจะช่วยให้เพิ่มความประทับใจแก่ลูกค้า ที่สามารถอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าได้ ไม่จำเป็นต้องมาต่อคิวหน้าสถานบริการ ทำให้ผู้มาใช้บริการสามารถไปทำอย่างอื่นที่ลูกค้าอยากทำก่อนถึงเวลานัดหมายได้

ข้อดีของระบบนัดหมาย

ข้อดีระบบนัดหมาย

ข้อดีของการใช้ระบบนัดหมายออนไลน์นั้นมีประโยชน์มากมายให้แก่ลูกค้า และสถานบริการ เช่น

1. ช่วยจัดการลูกค้าให้เป็นระเบียบ

ด้วยความที่ระบบจัดคิวแบบเดิม ๆ นั้นจำเป็นต้องให้ลูกค้ารับบัตรคิวหรือต่อแถวที่มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างทำให้ยุ่งยากต่อวิธีเข้ารับบริการ ไม่ว่าจะเป็นการแซงคิว หรือเวลาที่บัตรคิวหาย ทำให้เกิดปัญหาที่ตามมา เมื่อใช้ระบบนัดหมายออนไลน์นี้จะมีการบันทึกที่ชัดเจนและง่ายต่อระบบต่อคิวเข้ารับบริการ

2. ช่วยประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง

จากสาเหตุที่ระบบต่อคิวแบบเดิมจะมีการใช้บัตรคิวที่จะต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ที่สิ้นเปลืองเช่นกระดาษหรือเครื่องรับบัตรคิว แต่วิธีใช้ระบบนัดหมายออนไลน์นี้จะเป็นการบันทึกข้อมูลลงระบบ และมีการแสดงคิวเลย จึงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองกระดาษ

3. เพิ่มความพึงพอใจแก่ลูกค้า

เพราะถ้าลูกค้าไม่ต้องมายืนรอหน้าสถานบริการนั้น จึงทำให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายและความพอใจต่อสถานบริการ

4. สามารถควบคุมเวลาที่ทำงานได้ดีขึ้น

ระบบนัดหมายออนไลน์นั้นจะมีความละเอียดทั้งจำนวนคิวในขณะนั้น และเวลาที่เข้ารับบริการ ทำให้ผู้ให้บริการจัดสรรเวลาได้ดีขึ้น

5. ช่วยเพิ่มความเป็นธรรมขึ้น

ระบบต่อคิวแบบเดิมนั้น จำเป็นที่จะต้องยืนต่อคิวอยู่เสมอ ถ้าเดินออกจากแถวไปก็ทำให้ลูกค้าท่านนั้นเสียสิทธิ์ไปโดยทันที ด้วยสาเหตุนี้เองระบบนัดหมายออนไลน์จะช่วยให้วิธีต่อคิวเป็นธรรมขึ้น ไม่ทำให้ลูกค้าเสียสิทธิ์เข้ามารับบริการ

6. มอบประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า

ลูกค้าบางท่านอาจเกิดความกังวลใจเรื่องของรอเวลานาน ฉะนั้นระบบนัดหมายออนไลน์นี้เองจะบอกข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนคิวที่เหลือที่ต้องรอ หรือเวลาที่เข้ารับบริการโดยละเอียด

7. ช่วยเก็บข้อมูลนำมาวิเคราะห์

ระบบนัดหมายออนไลน์นี้จะบันทึกข้อมูลทุกอย่างไม่ว่าเป็นเรื่องของจำนวนผู้ใช้ที่เข้าใช้งาน วันเวลาที่เข้าใช้บริการ ระยะเวลาที่ใช้บริการ ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปวิเคราะห์และพัฒนาสถานบริการให้ดียิ่งขึ้นได้

สรุป

การเปลี่ยนมาใช้ระบบนัดหมายออนไลน์นี้นอกจากที่จะช่วยให้ลูกค้าที่มาเข้ารับบริการของคุณเกิดความประทับใจแล้ว ยังอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าอีกด้วย และช่วยให้สถานบริการทำงานได้ง่ายมากขึ้น ไม่ต้องยุ่งยากต่อวิธีจัดระบบให้คิวให้ลูกค้า อีกทั้งยังมีระบบที่บันทึกข้อมูลที่ช่วยให้สถานบริการนำไปพัฒนาต่อยอดได้


ขอบคุณความรู้ดีๆจาก https://betaskthai.com/

181
ทำลิปสติกแบรนด์ตัวเอง

เมื่อคุณเกิดความคิดที่อยากจะทำธุรกิจใหม่ ๆ ที่สามารถขายสินค้าของคุณได้ แต่คุณไม่สามารถผลิตขึ้นมาเองได้ อย่างเช่น คุณมีความคิดที่อยากจะทำลิปสติกขายในแบรนด์ของคุณเอง มีไอเดียในการสร้างสรรค์ลิปสติกใหม่ ๆ ในการทำสูตรของลิปสติก ทั้งสูตรทำผลิตลิปสติก หรือสีใหม่ ๆ ที่กำลังอยู่ในกระแส หรือนอกกระแส เกิดเป็นแฟชั่นใหม่ ๆ แต่คุณไม่สามารถทำการผลิตเองได้ ดังนั้นจึงเกิดเป็นโรงงานผลิตลิปสติก PDL ขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์สำหรับผู้คนที่สนใจอยากจะทำธุรกิจขายลิปสติกให้คุณสามารถหารายได้ ได้ มีคุณภาพ ปราศจากอันตรายต่อผู้บริโภค และความเชื่อมั่นในสินค้าของคุณ เพื่อเข้าสู่ท้องตลาดที่มีการแข่งขันได้

Pure Derima Laboratories โรงงานผลิตลิปสติก เครื่องสำอางที่ได้มาตรฐาน 
Pure Derima Laboratories เป็นโรงงานผลิตลิปสติก และเครื่องสำอางบำรุงผิวชนิดต่าง ๆ ที่ได้รับตามมาตรฐานสากล GMP ASEAN, ISO 22716, HALAL และ มาตรฐานที่ถูกยอมรับอื่นๆ อีกทั้งยังพร้อมมีบริการที่ครอบคลุมในรูปแบบของ ONE STOP SERVICE โดยที่ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าที่จะทำการผลิต จากสูตรมาตรฐาน และมีคุณภาพหลายประเภทครอบคลุมทุกสภาพผิว หรือลูกค้าจะคิดค้นพัฒนาสูตรที่ลูกค้าคิดขึ้นมาเอง ลูกค้าสามารถกำหนดคุณสมบัติของสารสกัด เนื้อสัมผัส และกลิ่นของลิปสติกตามที่ลูกค้าต้องการเองได้ และทางโรงงานผลิตลิปสติกพร้อมบริการขึ้นทะเบียนเครื่องสำอาง หรือที่รู้จักกันในเครื่องหมาย อย. ที่เป็นเครื่ององค์การอาหารและยา ที่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมีความน่าเชื่อถือ อยู่ภายใต้แบรนด์ของท่านเอง

ประเภทเนื้อลิปสติปที่โรงงานผลิตลิปสติกมีอะไรบ้าง

 สั่งผลิตลิป

1. Power Matte Lip Colour
รายละเอียดเนื้อสัมผัส : ผลิตภัณฑ์ลิปครีมเนื้อแมตต์ ช่วยให้ปากแลดูอิ่มเอิบ สวยสดใสอย่างเป็นธรรมชาติ เนื้อลิปเนียนนุ่มให้สัมผัสที่ดี เม็ดสีชัดติดทน พร้อมสารบำรุงริมฝีปากด้วย Sodium Hyaluronate, Ultra Filling Spheresช่วยให้ริมฝีปาก แลดูกระชับเรียบเนียน และ มีสารต้านอนุมูลอิสระจาก Vitamin B3 ช่วยป้องกันริมฝีปากหมองคล้ำ
สารสกัดที่มีในลิปสติก Metallic Matte Lip Colour : Sodium Hyaluronate ,Ultra Filling Spheres ,Vitamin E

2. Metallic Lip Color
รายละเอียดเนื้อสัมผัส : เป็นผลิตภัณฑ์ลิปครีมเนื้อแมตต์สีเมทัลลิค เพิ่มความประกาย มีเงาวาวคล้ายผิวของเมทัลลิค เพื่อความหรูหรามีเสน่ห์ ให้ริปฝีปากแลดูอวบอิ่ม สดใส สวยอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่อสัมผัสลิปเนียนนุ่มด้วย Ultra Filling Spheres ช่วยให้ริมฝีปากแลดูเรียบเนียนไปกับของผิวปาก และยังมีสารสกัดของ วิตามิน E ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้อนกันริมฝีปากไม่ให้หมองคล้ำ
สารสกัดที่มีในลิปสติก Metallic Matte Lip Colour : Sodium Hyaluronate ,Ultra Filling Spheres ,Vitamin E

ขั้นตอนการผลิตลิปสติก

1.เลือกสูตรลิปสติกที่ต้องการผลิต
ลูกค้าสามารถเลือกสูตรตามมาตรฐานของโรงงานผลิตลิปติก PDL ที่เตรียมไว้ หรือลูกค้าสามารถคิดค้นและวิจัยสูตรลิปสติกที่ลูกค้าคิดค้นมาแล้วเองได้

2.รับใบเสนอราคา และชำระมัดจำ
ลูกค้าใบเสนอราคาจากทางโรงงานผลิตลิปสติก PDL ที่จะทำการผลิตลิปสติกจากสูตรที่ลูกค้าเลือกเอาไว้ แล้วทำการชำระค่ามัดจำ เพื่อที่จะทำให้โรงงานผลิตลิปสติก PDL ได้ทำการผลิตลิปสติกสูตรที่ลูกค้าได้ทำการเลือกเอาไว้

3.คิดค้น วิจัย และพัฒนาสูตรสครับแบรนด์ของคุณ
ทางโรงงานผลิตลิปสติก PDL จะคิดค้นพร้อมสกัดวัตถุดิบใหม่ ๆ ที่หลากหลายเพื่อนำมาผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผู้บริโภค ตามความต้องการของลูกค้ารูปแบบของการพัฒนาสูตรมีดังนี้

  • Self-Invented Formula พัฒนาสูตร ในรูปแบบมาตรฐานของบริษัทฯ เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของคุณเอง
  • Benchmark Formula พัฒนาสูตร ในรูปแบบสูตรที่คุณชื่นชอบ
  • Private Formula Development พัฒนาสูตรจาก ในรูปแบบสูตรที่คุณมีเอง
  • Innovative Formula พัฒนาสูตร ในรูปแบบนวัตกรรม
  • กรณีเป็นสูตรเฉพาะของแบรนด์ หรือพัฒนาสูตรใหม่ ลูกค้าแจ้งรายละเอียด และลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ หรือส่งตัวอย่าง(ถ้ามี) มาให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย

4.เริ่มกระบวนการผลิต
ทางโรงงานผลิตลิปสติก PDL จะเริ่มกระบวนการผลิตลิปสติกตามรูปแบบของสูตร และพัฒนาสูตรของลูกค้าที่เลือกเอาไว้ เพื่อให้เกิดเป็นแบรนด์ใหม่ของลูกค้าที่มีคุณภาพสามารถแข่งขันในตลาดได้ด้วยความมาตรฐานของโรงงานการผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ ใช้เวลาทำการ 14 - 20 วันทำการ

5.ชำระมัดจำส่วนที่เหลือ
เมื่อโรงงานผลิตลิปสติก PDL ทำกระบวนการผลิตเสร็จสิ้นครบสมบูรณ์แล้ว จะแจ้งให้ลูกค้าทำการชำระค่ามัดจำส่วนที่เหลือ

6.โรงงานส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า
ทางโรงงานผลิตลิปสติก PDL จะทำการส่งมอบสินค้าลิปสติกตามสูตรที่พัฒนาและมีคุณภาพให้กับคุณลูกค้า

อยากเป็นเจ้าของแบรนด์ลิปสติกกับทางโรงงานผลิตลิปสติกต้องมีเงินลงทุนเท่าไหร่ ?   

อยากผลิตลิปสติกขาย

โดยปกติในการทำแบรนด์สินค้าอะไรสักอย่างเราจะต้องวางงบไว้เป็น 3 ส่วน

1.งบประมาณเรื่องสินค้า ซึ่งประกอบไปด้วย วัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ กล่อง การผลิตบรรจุ ต่างๆ  งบประมาณตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักล้าน ขึ้นอยู่กับ กลุ่มลูกค้า และ เป้าหมายของธุรกิจ แนะนำให้เริ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจจะเริ่มจากแค่เลือกลิปสติกสมุนไพรให้เหมาะกับกลุ่ม ลองทำก่อนหลักร้อยแท่ง ยังไม่ต้องมีการทำบรรจุภัณฑ์ เพราะการสั่งทำบรรจุภัณฑ์จะมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น เราต้องลองตลาดก่อน ส่วนนี้ลงทุนหลักหมื่นต้น ๆ

2.งบเรื่องการตลาด ส่วนนี้หลายๆ คนไม่ได้เตรียมและวางแผนไว้ ทำให้หลายต่อหลายครั้งที่ทำแบรนด์ลิปสติกสมุนไพรออกมาแล้วขายไม่ได้ ต้องบอกว่าทุกวันนี้การแข่งขันในตลาดค่อนข้างสูงเนื่องจากกระแสตอนนี้กำลังดัง ดังนั้นงบด้านการตลาดก็ต้องเตรียมไว้ให้พอเช่นกัน งบการตลาดจะแบ่งเป็น 2 ส่วนเบื้องต้นคือ 

2.1 คือ งบในการจัดทำสื่อ เช่นการถ่ายรูปภาพเพื่อโปรโมทสินค้า ค่าวัสดุอุปกรณ์  และการทำVDO แนะนำสินค้า
2.2 คือ งบการโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นการลงโฆษณาใน Facebook,IG,  tiktok หรือ Google
ส่วนงบการตลาด แนะนำให้เตรียมเผื่อไว้ 1-3 เท่าจากงบของสินค้า เช่น เราลงทุนทำสินค้า 3 หมื่น จะต้องเตรียมสำหรับงบการตลาดไว้ 3-9 หมื่น งบส่วนนี้ต้องหาไว้เลย เพราะหากเปรียบสินค้าเป็นรถ งบการตลาดก็คือน้ำมันที่ต้องเติมเพื่อทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้

3.งบดำเนินการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าขนส่ง ค่าเงินเดือนพนักงาน และที่ขาดไม่ได้คือค่าแรงตัวเราด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วต้นทุนไม่ครบ ทำงานแล้วไม่มีเงินเหลือ เพราะเรานำเงินที่ขายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนนี้ แนะนำว่าให้ตั้งเงินเดือนตัวเราให้ชัดไปเลย เราควรฝึกไว้ตั้งแต่เริ่มต้นทำแบรนด์ลิปสติก  เมื่อธุรกิจเราโตขึ้นจะได้เป็นระบบ
 
ทั้ง 3 ส่วนนี้เป็นงบที่ทางคนที่สนใจทำแบรนด์ลิปสติกต้องเตรียม ต้องวางแผนให้รอบคอบ

วิธีเลือกโรงงานผลิตลิปสติกให้ได้มาตรฐาน
วิธีการเลือกโรงงานผลิตลิปสติกให้ได้มาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือจะต้องตรวจดูให้ละเอียด คุณจะต้องตรวจโรงงานผลิตลิปด้วยการหามาตรฐานสากลที่โรงงานผลิตลิปสติกได้รับการรับรองจากองค์การต่าง ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ตามมาตรฐาน GMP ASEAN, ISO 22716, HALAL ที่มีความน่าเชื่อถือ และเป็นองค์กรที่มีมาตรฐานสากล มาตรฐานเหล่านี้จะทำให้ผู้บริโภคเกิดความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์และทำการซื้อผลิตภัณฑ์ของลูกค้า ทำให้เกิดผลประโยชน์ทุกฝ่าย ทั้งเครดิตของลูกค้าเอง และทางโรงงานผลิตลิป รวมถึงเกิดความไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์สินค้าของลูกค้าเองด้วย

สรุป   
หากคุณเป็นผู้ที่สนใจอยากเริ่มธุรกิจในการทำแบรนด์ลิปสติกเป็นของตัวเองเพื่อส่งเข้าสู่ท้องตลาด ให้สามารถสู้และแข่งขันทางการตลาดกับแบรนด์อื่น ๆ ได้ คุณจะต้องทำการตรวจสอบหาโรงงานผลิตลิปสติกที่เชื่อถือได้ และได้การรองรับจากองค์กรมาตรฐานสากล และตรวจเช็กความพร้อมของโรงงานผลิตลิป เพื่อให้ได้ซื่งมาสินค้าที่มีคุณภาพ ทำให้สินค้าของคุณเองมีชื่อเสียง มีคุณภาพ และเกิดการบอกต่อ ทางโรงงานผลิตลิปสติก PDL เองก็มีบริการต่าง ๆ ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องของการให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าที่ต้องการสร้างแบรนด์ลิปสติก ในการให้คำแนะนำต่าง ๆ  พร้อมทั้งการทำการพัฒนา และวิจัยสูตรสารสกัดตามที่ลูกค้าต้องการ ให้เกิดเป็นสูตรใหม่ ทางโรงงานผลิตลิป PDL จะทำให้ลิปสติกของลูกค้ามีความแปลกใหม่ ทำให้ผู้คนสนใจในสินค้าของคุณ แต่ก็ยังคงคุณภาพ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค


182
คอร์สเรียน UX UI มีความน่าสนใจอย่างไร ?

ในปัจจุบันนักพัฒนา และออกแบบ UX UI เป็นอาชีพที่มีความต้องการสูงมาก ส่งผลให้มีหลายสถาบันเปิดสอนคอร์สคอร์สเรียน UX UI หลายแห่ง ทำให้หลาย ๆ คนที่มีความสนใจไม่รู้ว่าควรเลือกเรียน UX UI ที่ไหนดี การเรียน UX UI จะมีความน่าสนใจอย่างไร มีหลักสูตรใดให้เรียนบ้าง ในบทความนี้มีคำตอบ

คอร์สเรียน UX UI มีความสำคัญอย่างไร ?

คอร์สเรียน UX UI สำคัญอย่างไร ?

ในสายงานของนักพัฒนา Software นั้น UX UI จะองค์หลักที่มีความสำคัญ เป็นหลักการที่ดูเหมือนจะมีความคล้ายคลึงกันแต่ในด้านของการทำงาน จะถือว่ามีบทบาทที่ต่างกัน ทำให้ผู้ที่สนใจในด้าน UX UI จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้ง 2 ด้าน เพื่อที่จะสามารถทำงานในสายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คอร์สเรียน UX UI จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก

ใน UX UX Course จะเน้นให้ผู้เรียนได้ทำการศึกษาทักษะ จากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้าน UX UI โดยเฉพาะ ทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจบทเรียนได้ง่าย สามารถนำไปใช้ได้จริง สอนตั้งแต่บทเรียน UX UI ขั้นพื้นฐานไปจนถึงระดับสูง พร้อมสอนการใช้งานเครื่องมือ และมีการลงมือปฏิบัติ เริ่มต้นทำโปรเจกต์ UX UI ของจริง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะทั้งหมดเกี่ยวกับ UX UI ได้อย่างเต็มที่

UX UI Course เป็นคอร์สเรียนที่มีประโยชน์มาก โดยจะยิ่งมีความเหมาะสมถ้าหากผู้ที่มีความสนใจในการเรียน จะนำไปใช้เพื่อประกอบการทำงานกับอาชีพต่าง ๆ เช่น

  • Software Developer
  • UX/UI Design Application
  • UX/UI Designer
  • Application Developer
  • Front End / Back End Developer

แนะนำคอร์สเรียน UX UI มีอะไรบ้าง ?
ภายในคอร์สเรียน UX UI จะมีหลักสูตรให้เลือกหลายหลักสูตรมาก ซึ่งแต่ละหลักสูตรก็จะมีเนื้อหาสำคัญที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถเลือกหลักสูตร UX UI เรียนรู้ตามความต้องการของตนเองได้อย่างอิสระ โดยจะขอแนะนำคอร์สเรียน UX UI ที่มีความน่าสนใจเพื่อเป็นตัวช่วยในการประกอบการตัดสินใจในการเรียน UX UI ในครั้งนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ดังนี้

  • UI UX Design Course ขั้นพื้นฐาน
  • UX Design Course เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้
  • UI Design สำหรับ Website Ecommerce
  • คอร์สเรียนการสร้าง และการออกแบบ UX สำหรับ Designer
  • คอร์สเรียนการสร้าง และการออกแบบ UI สำหรับ Designer
  • คอร์สเรียน UX UI เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้

คอร์สเรียน UX UI ผู้เรียนจะสามารถเรียนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งรูปแบบของการเรียนจะเป็นการปลดล็อกเรียนทีละบท สามารถเลือกเวลาเรียนได้เองตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งผู้เรียนจะสามารถกลับมาเรียนบทเดิมได้ตลอด พร้อมทั้งยังสามารถสอบถามอาจารย์ผู้สอน เพื่อสอบถามคำถามต่าง ๆ ได้ตลอดระยะเวลาการเรียน UX UI เพื่อให้เข้าใจบทเรียนทั้งหมดได้อย่างแท้จริง โดยสิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับจากคอร์สเรียน UX UI มีดังนี้

  • รู้จักกับพื้นฐานการออกแบบของ UX UI
  • รู้จักกับเครื่องมือทั้งหมดที่ใช้ใน UX UI
  • ผู้เรียนได้เรียนรู้กับปัญหา พร้อมวิธีแก้ไขปัญหาจากผู้ที่มีประสบการณ์จริง
  • ผู้เรียนได้ทดลองทำโปรเจกต์การพัฒนา และออกแบบ UX UI จริง
  • สามารถวัดผลลัพธ์ของการทำโปรเจกต์ จากผู้ใช้งานจริงได้
  • เมื่อเรียนจบสามารถรับใบ Certificate รับรองความสามารถที่ใช้ในการสมัครงานได้จริง

เลือกคอร์สเรียน UX UI จากผู้เชี่ยวชาญดีอย่างไร ?

คอร์สเรียน UX UI คุณภาพจากผู้ที่มีประสบการณ์

การเลือก UX UI Course จากผู้เชี่ยวชาญ จะส่งผลดีต่อผู้เรียนได้อย่างมาก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ที่ทำงานด้าน Software Developer และผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ UX UI จากบริษัทที่มีชื่อเสียงมากมาย ที่พร้อมจะถ่ายทอดวิชาการพัฒนา การออกแบบ UX UI จากประสบการณ์ ผ่านทางคอร์สเรียน UX UI สำเร็จรูป ให้กับผู้เรียนได้เข้าใจบทเรียนทั้งหมดได้อย่างลึกซึ้ง พร้อมทั้งเมื่อเรียนจบแล้วสามารถพร้อมรับใบ Certificate ที่สามารถใช้ในการสมัครงานได้จริง

โดยภายในคอร์สเรียน UX UI จะประกอบด้วยหลักสูตรที่มีเนื้อหาครอบคลุมในทุกด้าน ที่จะเริ่มตั้งแต่ UX UI เรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ตลอดจนถึงขั้นระดับมืออาชีพ เมื่อเรียนจบแล้วจึงมั่นใจได้ว่า ผู้เรียนสามารถใช้ความรู้ต่าง ๆ เหล่านี้ในการพัฒนาในสายงานของตนเองได้อย่างแท้จริง

สรุป
UX UI Course ถือเป็นคอร์สเรียนที่มีความน่าสนใจมาก มีคอร์สเรียน UX UI ที่มีคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ให้เลือกหลากหลาย เป็นคอร์สเรียนที่เหมาะสำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพทางเกี่ยวกับด้านนักพัฒนา และการออกแบบหน้าตาแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ รวมถึงยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการเข้ามาทำงานในสายงานด้านนี้ การเรียน UX UI จึงถือเป็นการเรียนที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้เป็นอย่างดี

183
 เรียนยิงแอดที่ไหนดี

การเรียนยิงแอดไม่เพียงใช้สำหรับโฆษณาขายสินค้าเท่านั้น แต่ยังนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดในสายงานอื่นได้อีกด้วย และรู้หรือไม่คุณสามารถลงเรียนยิงแอดแบบออนไลน์เรียนง่าย ๆ ได้ที่บ้าน

การเรียนยิงแอดเหมาะกับใครบ้างและสามารถนำไปใช้ต่อยอดในสายงานไหนได้บ้าง

เรียนยิงแอดโฆษณาเฟสบุ๊ค

ต้องบอกเลยว่าในการเรียนยิงแอดโฆษณาเป็นการสอนโดยผู้ที่มีความรู้เรื่องยิงแอดอย่างแท้จริง ที่สามารถเรียนได้ตั้งแต่นักธุรกิจมือใหม่ไปจนถึงนักธุรกิจที่มีพื้นฐานการยิงแอดแต่ยังขาดเทคนิค โดยการเรียนยิงแอดเป็นอีกตัวช่วยที่จะทำให้คุณวิเคราะห์รวมถึงมีวิธีคิดร่วมไปกับการสอน และยังเทคนิคดี ๆ ที่คุณยังไม่เคยทราบมาก่อนรวมไว้ในการเรียนการสอนอีกด้วย

อีกหนึ่งข้อดีของการเรียนยิงแอดที่คุณเรียนได้ง่าย ๆ ที่บ้านหรือทุกสถานที่ตามสะดวก ที่จะช่วยเพิ่มพูนความรู้ความสามารถและต่อยอดในสายงานอื่น ๆ โดยไม่จำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อไปเรียนให้เสียเวลาอีกด้วย

สำหรับใครที่ขายของออนไลน์คงไม่มีใครไม่รู้จักการยิงแอดที่จะช่วยให้สินค้าของคุณเป็นที่รู้จักและใช้สำหรับโฆษณาให้ได้ลูกค้าตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ไม่เพียงเท่านี้การเรียนยิงแอดโฆษณายังสามารถต่อยอดในสายงานอื่น ๆ ได้อีกด้วยจะมีสายงานไหนบ้างติดตามได้เลย และใครที่สนใจเรียนเกี่ยวกับการสอนยิงแอดสามารถนำข้อมูลในหัวข้อนี้ไปต่อยอดในสายงานอื่น ๆ ได้ มีรายละเอียดดังนี้

นักธุรกิจ E-commerce
การเรียนยิงแอดจะมีการเรียนการสอนตั้งแต่เริ่มต้นผู้เข้าสามารถนำความรู้ในการเรียนยิงแอดไปต่อยอดในธุรกิจ E-commerce ได้โดยทั่วไปในคอร์สเรียนจะสอนตั้งแต่พื้นฐานเกี่ยวกับการสร้างเพจ เทคนิคการโพสต่าง ๆ เรียนยิงแอดโฆษณา และยังสอนให้ผู้เรียนหัดคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง จึงเป็นเรื่องไม่ยากเลยหากผู้เรียนต้องการนำความรู้ที่ได้รับจากการสอนยิงแอดไปต่อยอดและพัฒนาในธุรกิจออนไลน์ของตนเองเพื่อให้เป็นที่รู้จักและเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์

นักการตลาด
ในสายงานการตลาดต้องมีการอัพเดทข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อให้เท่าทันกับกลยุทธ์เกี่ยวกับการตลาดในปัจจุบัน ในเรื่องของเรียนยิงแอดก็เป็นตัวการสำคัญในการขับเคลื่อนของการทำงานในด้านการตลาด  เพราะการยิงแอดช่วยให้แบรนด์สินค้ามีความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นใครที่ต้องการเปลี่ยนสายงานไปทำงานการตลาดไม่ควรพลาดเกี่ยวกับการเรียนเทคนิคเกี่ยวกับการยิงแอดโฆษณา

ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการตลาดแบบใหม่หรือการตลาดแบบดิจิทัล
สำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องการตลาดออนไลน์ไม่ควรพลาดการเรียนยิงแอด เพราะว่าการยิงแอดโฆษณานั้นถึงจะมีมานานมากแล้วแต่ยังสามารถใช้ได้จริงวัดผลได้ และมากไปกว่านั้นหากมีเทคนิคก็สามารถทำโฆษณาในการยิงแอดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การเรียนยิงแอดยังช่วยเพิ่มทักษะความรู้เกี่ยวกับการตลาดแบบดิจิทัลพร้อมสูตรหรือวิธีคิดที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน แม้มีเวลาน้อยก็สามารถเรียนยิงแอดได้เพราะคอร์สเรียนนั้นสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาตามที่ผู้เรียนต้องการ

เคล็ดไม่ลับเลือกคอร์สเรียนยิงแอดให้เหมาะกับตัวเองคนไม่มีพื้นฐานก็เรียนได้
แน่นอนว่าผู้เรียนยิงแอดโฆษณามีตั้งแต่ผู้ที่มีพื้นฐานเรื่องยิงแอด และอาจกำลังลองผิดลองถูกจนอยากปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง ไปจนถึงไม่มีพื้นฐานในเรื่องการยิงแอดเลย หรือแม้แต่ผู้ที่มีความรู้อยู่แล้วแต่ต้องการเพิ่มทักษะให้มากขึ้น หลายคนอาจตั้งคำถามว่าแล้วต้องเลือกคอร์สเรียนแบบไหน จึงจะเหมาะสมกับตนเองหรือเรียนยิงแอดที่ไหนดี ดังนั้นเราจึงได้หาข้อสรุปในการเลือกคอร์สเรียนยิงแอดให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลสามารถดูได้จากรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • การเรียนยิงแอดโฆษณาควรเลือกสถาบันการสอนที่มีเนื้อครอบคลุม ที่สามารถเรียนได้ตั้งแต่มือใหม่ที่ไม่มีพื้นฐานเลยก็เรียนได้ เพราะบางเนื้อหาคุณอาจยังไม่เคยรู้มาก่อนซึ่งสถาบันการสอนจะมีเทคนิคหรือประสบการณ์รวมถึงเคล็ดลับดี ๆ มาสอนคุณอย่างแน่นอน
  • เลือกเรียนกับสถาบันที่ไม่เพียงสอนเนื้อหาหรืออัดเนื้อหาให้คุณเท่านั้น แต่ต้องเลือกสถาบันการสอนการเรียนยิงแอดโฆษณาที่สามารถให้คุณคิดวิเคราะห์ไปพร้อมกับผู้สอนด้วย
  • สำหรับผู้ที่มีความรู้เรื่องยิงแอดอยู่แล้วอยากต่อยอดในการยิงแอดให้ปังมากยิ่งขึ้น ควรเลือกเรียนยิงแอดกับสถาบันที่มีผู้สอนที่มีประสบการณ์ และต้องมีรีวิวจากคนที่เรียนจริง ๆ จึงจะทำให้มั่นใจว่าเงินที่เสียไปคุณจะได้ความรู้กลับมาอย่างแน่นอน
  • ในการเลือกเรียนคอร์สสำหรับมือใหม่นั้นเนื้อหาของคอร์สเรียนยิงแอดโฆษณาต้องตอบโจทย์สำหรับมือใหม่ ที่ไม่เพียงแต่มีเนื้อหาพื้นฐานเท่านั้น แต่เนื้อหาของคอร์สเรียนต้องครอบคลุมตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการสร้างเพจ Facebook ไปจนถึงผลผลลัพธ์ที่สามารถประเมินได้จริง

สรุป
การตลาดแบบดิจิทัลกับการยิงแอดใน Facebook ยังสามารถใช้ได้จริงแต่คุณต้องมีทักษะความรู้และเทคนิคจึงจะทำให้การยิงแอดนั้นประสบผลสำเร็จ ซึ่งการเรียนยิงแอดโฆษณาก็เป็นอีกตัวช่วยที่จะนำพาคุณไปสู่ความสำเร็จได้เร็วมากยิงขึ้น

สุดท้ายนี้เราขอแนะนำคอร์สสอนยิงแอดกับสถาบันออนไลน์ SkillLane สอนโดยเจ้าของแฟนเพจ ADX มือขวาแม่ค้าออนไลน์ที่ไม่เพียงสอนให้ทำตามเท่านั้น แต่ในคอร์สเรียนจะเป็นการสอนแบบให้ผู้เรียนรู้วิธีคิดวิเคราะห์และสามารถนำไปใช้ได้จริง มีรีวิวของผู้เรียนมากกว่า 2,000 คน และใครที่สนใจอยากเรียนยิงแอดสามารถเข้าไปดูเนื้อหาของคอร์สก่อนเรียนได้ ซึ่งในการเรียนคอร์สนี้ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการยิงแอดก็สามารถลงเรียนได้


184
โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ

การมองหาโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบัน สามารถหาได้หลากหลาย ตอบโจทย์มากมาย มีแนวการสอนแตกต่าง เลือกเจาะจงได้ แต่ก็ตามมาด้วยปัจจัยของผู้เรียน ที่ต้องการเวลาเรียนภาษาอังกฤษที่เหมาะสมกับตัวเอง หรือเลือกหาโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ช่วยในการสอบ หรือการทำงานมากกว่า รวมไปถึงการหาโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ราคาถูก ใกล้บ้านไปด้วย ดังนั้นเราจะมาดูกันว่า จะเลือกเรียนให้ถูกวิธีต้องทำอย่างไร

แนวทางการเลือกโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงที่สุด

1. เลือกโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษา
การเลือกโรงเรียนสอนอังกฤษ ที่มีเจ้าของภาษา หรือชาวต่างชาติมาสอนในคอร์ส จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจ และเรียนรู้หลัก หรือแนวทางการสอนที่รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการฟังภาษาอังกฤษ และการพูดภาษาอังกฤษ เมื่อเราได้คุยหรือรับการสอนจากเจ้าของภาษา จะทำให้เราได้เห็นและได้พูดคุยกับภาษาที่เป็นสำเนียงจริง สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดมากขึ้นกับคอร์สของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษทุกรูปแบบ

2. เลือกโรงเรียนที่มีคอร์สแก้ปัญหาเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเป็นหลัก
เป็นหลักการเลือกโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษลำดับต้น ๆ เพราะการที่เราเลือกมาเรียนคอร์สเหล่านี้ ก็เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาให้เราได้อย่างตรงจุด ซึ่งการเรียนจากสถาบันสอนพิเศษที่มีคอร์สที่หลากหลาย ในแง่ของวิชาอื่น ๆ อาจจะไม่ทำให้เราได้โฟกัสการเรียนภาษาอังกฤษที่มากพอ ดังนั้น เราควรเลือกเรียนโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ และมีคอร์สสำหรับสอนภาษาอังกฤษเท่านั้น เพราะโรงเรียนจะเลือกแนวทางการแก้ไขให้เราได้ดีที่สุด

3. เลือกจากความสะดวกของผู้เรียนเป็นหลัก
เมื่อเราคิดว่าจะหาโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ที่ไหนดี เรามักจะเน้นหาความสะดวกในการเดินทาง หรือติดต่อเพื่อเข้าเรียนเป็นหลัก โดยในความเป็นจริง สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ใช่ลำดับที่สำคัญที่สุดในการหาโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ดังนั้นเราต้องเลือกโรงเรียนหรือสถาบันที่มีคุณภาพก่อนเสมอ จากนั้นจึงเลือกความสะดวกของเราต่อคอร์สที่โรงเรียนสอนอังกฤษนำเสนอ เช่นโรงเรียนใกล้บ้าน หรือโรงเรียนที่จัดตารางสอนตามความไลฟ์สไตล์เราได้

4. เลือกโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่มีราคาค่าคอร์สเหมาะสม ไม่แพงเกินไป
โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ราคาถูก อาจไม่ใช่ปัจจัยหลักของการเลือกโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ แต่การดูคอร์สและเหตุผลของการจ่ายค่าเล่าเรียน ก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะคอร์สราคาแพงไม่ได้การันตีความสำเร็จ แต่ให้ดูที่คุณภาพ หรือคอร์สเรียนที่เหมาะกับเราเสียก่อน จากนั้นค่อยหาตัวเลือกว่าเรียนที่ไหน ราคาดี ราคาสมเหตุสมผล เพียงพอต่องบประมาณที่เรามีในการแก้ปัญหา และโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษบางที่ อาจมีโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์เราได้

5. เลือกเรียนโรงเรียนที่ครอบคลุมทุกคอร์สเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ
เพื่อที่เราจะได้เรียน หรือแก้ปัญหาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะคนส่วนใหญ่ที่หาคอร์สเรียนภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ มักไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับภาษาอังกฤษแค่เรื่องเดียว บางคนต้องการสอบให้ผ่าน และยังต้องเผชิญปัญหาเกี่ยวกับภาษาด้านอื่น ดังนั้น โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษหรือสถาบันสอนภาษา จะต้องมีคอร์สหลากหลาย และมีความต่อเนื่องในการแก้ปัญหาให้กับผู้เรียนได้ด้วยหลักสูตรที่ครอบคลุม จึงจะคุ้มค่า ไม่ต้องเปลี่ยนที่เรียนบ่อยโดยไม่จำเป็น

โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ส่งผลดีอย่างไร

ข้อดีของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ

  • ทำให้เราสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วขึ้นกว่าการศึกษาทั่วไป โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษจะจับจุด หรือข้อบกพร่องของเราได้ดีกว่า
  • สถาบันสอนภาษาอังกฤษมีศักยภาพด้านการดูแล และเพิ่มคะแนนการสอบได้จริง
  • โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเพิ่มความมั่นใจให้ผู้เรียน สามารถนำทักษะที่ได้จากโรงเรียนสอนอังกฤษไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ กล้าพูด กล้าแสดงออก
  • การเรียนภาษาอังกฤษ เปิดโอกาสให้เราสามารถเรียนต่อต่างประเทศได้ อีกทั้งยังเปิดโอกาสในการทำงาน ในส่วนที่ต้องใช้ภาษา และมีเงินเดือนมากกว่า จึงควรเลือกโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ตอบโจทย์ต่อการสอบเข้า หรือสอบใบประกาศที่เราต้องการ

แนะนำโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ครบครันและน่าเรียน

1. โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ English Parks
ที่ English Parks คือโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ครอบคลุมทุกแนวการสอน และแนวข้อสอบ สามารถเลือกเรียนได้ตั้งแต่ปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ หรือการศึกษาในทุกระดับชั้น รวมถึงบุคคลทั่วไป และวัยทำงาน อีกทั้งยังเป็น โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ผู้ใหญ่หรือเด็กก็เรียนได้ จากการประเมินระดับความรู้ และความพิเศษกว่าที่ไหน คือการจัดคอร์สที่เหมาะสมกับตัวเราเองได้ ทั้งบทเรียน หลักสูตร และเลือกเวลาเรียนที่เหมาะสมได้

2. EduF1rst School สอนภาษาอังกฤษแบบติวตัวต่อตัว
หากใครที่ต้องการเจาะประเด็นการเรียนภาษาอังกฤษแบบตัวต่อตัว สอนแบบสด ๆ ถามได้ทันที EduF1rst จะตอบโจทย์เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีคอร์สเกี่ยวกับการสอบที่ละเอียด และเหมาะกับทุกคน มีการการันตีการสอบ ให้ผลทดสอบที่ยอดเยี่ยม ทบทวนได้เต็มที่ เจาะไปยังประเด็นหรือปัญหาที่สนใจได้ สถาบันสอนภาษาอังกฤษ EduF1rst School เป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่มีประสบการณ์สูงถึง 15 ปี มีผู้เข้าเรียนทุกระดับ

3. โรงเรียนภาษาอังกฤษ BLC ENGLISH
โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ BLC English Language Center เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่มีแนวทางการเรียนที่ไม่เหมือนใคร เน้นความบันเทิงและได้ความรู้ มีการการันตีผลผ่านคอร์สสอนภาษาอังกฤษ และคอร์สสำหรับการสอบภาษาอังกฤษ เน้นการทำให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจในการนำภาษาอังกฤษไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีหลักสูตรมาตรฐานที่โรงเรียนสอนอังกฤษต้องมี สามารถเลือกคอร์สเรียนจากการวัดระดับภาษาอังกฤษเบื้องต้นได้อย่างตรงจุด

4. BritishCouncil เรียนภาษาอังกฤษมาตรฐาน คุณภาพดี
BritishCouncil เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่มีมาตรฐาน มีผู้เรียนจำนวนมาก และเปิดการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน เน้นสอนภาษาอังกฤษที่ใช้เทคนิครูปแบบให้คนส่วนใหญ่ สามารถเรียนได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด BritishCouncil คือโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่มีความเป็นสากล มีสาขากระจายอยู่หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่มีการเปิดการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน เหมาะสำหรับทุกคนที่อยากเรียนภาษา

5. ติวสอบอย่างมั่นใจ สอบได้ด้วย Chulatutor
จุฬาติวเตอร์ จะเน้นไปในด้านแผนหรือหลักสูตรการสอบ เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่ครบครันในคอร์สการสอบ มีทั้งการสอนสด หรือเป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ออนไลน์ที่มีคุณภาพ ครบครันแผนการสอนในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะข้อสอบเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ที่ต้องนำไปใช้เรียนต่อ หรือนำไปใช้ในการทำงานต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสมากขึ้น เลือกติวเตอร์สอนภาษาที่ตรงใจได้ และมีรีวิวสำหรับผู้ที่เข้ารับคอร์สการเรียนที่ดี ไม่แพ้เจ้าอื่น

เลือกโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ เรียนกับครูต่างชาติเจ้าของภาษาหรือครูไทยได้

เรียนที่โรงเรียนสอนอังกฤษกับครูผู้เชี่ยวชาญ

ที่ English Parks มีหลักสูตรที่เราสามารถเลือกเรียนกับครูผู้เชี่ยวชาญ และชาวต่างชาติเจ้าของภาษาได้ โดยการเรียนกับเจ้าของภาษาในโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ จะช่วยให้ทักษะเกี่ยวกับการฟังภาษาอังกฤษ และทักษะด้านการพูดพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด เพราะการคลุกคลีกับเจ้าของภาษาทำให้เราเคยชินกับรูปศัพท์ รูปประโยค และสำเนียงได้ ทำให้เราสามารถออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นใจ เลือกหาที่เรียนภาษาอังกฤษพร้อมประสบการณ์ดี ๆ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ

ทบทวนหรือเรียนหลักสูตรก่อนสอบจริง 7 วันได้หรือไม่
ในปัจจุบัน สถาบันสอนภาษาอังกฤษจะมีคอร์สสำหรับการติวด่วนในทุกแนวการสอบ เพื่อจะช่วยเร่งคะแนนให้กับผู้ที่เข้าเรียน และใกล้สอบได้มากขึ้น แต่หากต้องการคุณภาพในการเรียนและผ่านสอบได้แบบเต็มประสิทธิภาพ แนะนำให้เข้าเรียนคอร์สกับโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษก่อนสอบในระยะเวลาที่มากขึ้น เพื่อเน้นให้ความเข้าใจและมีความมั่นใจในการสอบ

โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ดียังไง
มีหลายคนอาจจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ทำให้ต้องเลือกโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ออนไลน์กัน และมักจะมีความกังวลว่าเรียนออนไลน์อาจจะไม่ดีเท่าการเรียนที่สถาบันไปเลย ซึ่งในปัจจุบัน โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ มีการพัฒนาหลักสูตรอย่างเข้มข้น พอ ๆ กับการเรียนปกติ อีกทั้งเรามีวิดีโอทบทวนบทเรียนได้ จึงเป็นเส้นทางที่มั่นใจได้เลยว่าเราสามารถเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างครบถ้วนแน่นอน

สรุปโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ทางเลือกสำหรับทุกคน
การเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่หากเราขาดตอนไปแล้ว จะกลับมาทำความเข้าใจใหม่ในชั้นเรียนได้ยากขึ้น ดังนั้นการเลือกเรียนกับโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ จึงเป็นเหตุผลที่ไม่ควรมองข้าม และในปัจจุบันสถาบันสอนภาษาอังกฤษก็มีคอร์สให้เลือกมากมาย มีราคาที่สมเหตุสมผล และหาที่เรียนได้ง่ายมาก หากใครที่กังวลกับเวลาและการจัดการเกี่ยวกับการเรียนเสริม ก็เลือกเรียนออนไลน์ได้ตามสะดวก ให้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน

185
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้เทรนด์การถ่ายรูปสวย ๆ บนโซเชียลมีเดียนับว่าเป็นกระแสยอดนิยมในหมู่คนทุกเพศทุกวัย ดังนั้นเมื่อเลือกซื้อโทรศัพท์สักเครื่องจึงไม่แปลกที่จะมองหาโทรศัพท์กล้องสวยที่สามารถถ่ายภาพได้คมชัด

แบรนด์ต่าง ๆ ในปัจจุบันจึงพัฒนาโทรศัพท์กล้องสวย ที่อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์อันชาญฉลาด เลนส์กล้องคมชัด มีโหมดการถ่ายรูปหลากหลายแบบให้เลือก ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนก็ถ่ายออกมาสวย โทรศัพท์กล้องสวยที่สามารถถ่ายวิดีโอได้แบบที่กล้องไม่สั่น ยิ่งซูมได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี และที่สำคัญต้องเป็นโทรศัพท์กล้องหน้าสวยที่มาพร้อมกับฟีเจอร์บิวตี้เฟส เพราะเทรนด์การถ่ายรูปเซลฟี่ถือเป็นที่นิยมอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ในทุกวันนี้

มือถือถ่ายรูปสวย Samsung Galaxy S23 Ultra
ขอขอบคุณภาพจาก -https://www.samsung.com/th/smartphones/galaxy-s23-ultra/buy/

สมา์ทโฟนกล้องสวย เหตุผลที่ควรมีสักเครื่อง
ในอดีตเมื่อเดินทางไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ หรือพบปะกับเพื่อนฝูง ผู้คนก็มักจะพกกล้องฟิล์มหรือกล้องดิจิตอลติดตัวเพื่อได้เก็บภาพไว้เป็นความทรงจำ แต่ในปัจจุบันนี้การมีโทรศัพท์กล้องสวยสักเครื่องพกติดตัวตลอดเวลาช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้ผู้คนได้เป็นอย่างมาก นอกจากดีไซน์ของโทรศัพท์จะมีขนาดเล็กกะทัดรัดแล้วยังมีกล้องมือถือถ่ายรูปสวยซึ่งสามารถเก็บรายละเอียดภาพได้ครบถ้วนทุกรายละเอียด สามารถเลือกได้ว่าอยากเก็บภาพความทรงจำไว้ในรูปแบบภาพนิ่งหรือแบบภาพเคลื่อนไหว อยากย้อนมาดูเมื่อไรก็ทำได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มสำหรับการล้างภาพฟิล์ม รวมถึงประหยัดเวลาในการย้ายภาพจากเมมโมรี่การ์ดกล้องดิจิตอล ทั้งหมดนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงควรมีโทรศัพท์กล้องสวยติดตัวไว้สักเครื่อง

รวมโทรศัพท์กล้องสวย 2023
โทรศัพท์กล้องสวยขึ้นหิ้งที่ได้รับการยอมรับของสายถ่ายภาพนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Samsung เป็นหนึ่งในแบรนด์สมาร์ทโฟนที่ออกแบบและพัฒนาให้เป็นมือถือที่ถ่ายรูปสวยที่สุด ด้วยการคิดค้นเลนส์กล้องที่ความสามารถในการซูมและยังได้ภาพที่คมชัด รวมถึงยังเป็นโทรศัพท์กล้องหน้าสวย จนได้รับการยอมรับว่าเป็นโทรศัพท์มือถือที่กล้องชัดที่สุดอีกด้วย เมื่อถามว่ากล้องโทรศัพท์รุ่นไหนดีที่สุด ก็คงจะไม่พูดถึง 4 รุ่นนี้ไม่ได้

Samsung Galaxy Z Fold4

โทรศัพท์กล้องสวย Samsung Galaxy Fold4
ขอขอบคุณภาพจาก -https://www.samsung.com/th/smartphones/galaxy-z-fold4/

โทรศัพท์กล้องสวยที่หน้าจอสามารถพับได้ โดยมีหน้าจอนอกขนาด 6.2 นิ้ว และจอด้านในขนาด 7.6 นิ้ว ซึ่งสามารถแสดงผลได้ 2176 x 1812 พิกเซล ด้วยจอแสดงผล Dynamic AMOLED 2X ส่วนตัวชิป CPU เป็นรุ่น Snapdragon 8+ Gen 1 (4nm) มีหน่วยความจำ 59,900 บาท

ตัวกล้องมีถึง 3 เลนส์ที่มาพร้อมกับระบบกันสั่น ดังนั้นการถ่ายรูปด้วยกล้อง Samsung Galaxy Z Fold4 จึงทำให้ได้ภาพที่สวยคมชัด อีกทั้งยังสามารถปรับโหมดได้ตามแสงในช่วงเวลา เมื่อถ่ายภาพตอนกลางคืนก็สามารถที่จะเลือกโหมด Nightography ที่จะช่วยเพิ่มความสว่างให้กับรูปภาพได้ จึงไม่แปลกที่จะได้รับขนานนามว่าเป็นโทรศัพท์กล้องสวยที่สุดรุ่นหนึ่ง

Samsung Galaxy S23 Ultra

มือถือกล้องชัด Samsung Galaxy S23 Ultra
ขอขอบคุณภาพจาก -https://www.samsung.com/th/smartphones/galaxy-s23-ultra/buy/

มือถือกล้องดีที่สุดอีกรุ่นที่ไม่ได้เพียงแค่สเปคเครื่องแรง ดีไซน์เก๋เท่านั้น ด้วยหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ถึง 6.8 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดถึง 1440 x 3088 พิกเซล สามารถมองเห็นหน้าจอได้อย่างชัดเจนแม้จะอยู่กลางแจ้ง ตัวเครื่องมาพร้อมกับ CPU Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 ที่สามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยม เล่นแอปพลิเคชันไหนก็ไม่มีสะดุด ราคา 41,900 บาท

สำหรับการถ่ายภาพต้องบอกเลยว่า Samsung Galaxy S23 Ultra ถูกพัฒนามาให้เป็นโทรศัพท์กล้องสวยที่สุด กล้องหลังมีความสามารถถ่ายภาพได้ด้วยความละเอียดสูงถึง 200 ล้านพิกเซล สามารถซูมได้สูงสุดถึง 100 เท่า แต่ก็ยังมีความคมชัด เพราะมีเลนส์กล้องถึง 4 เลนส์ นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจจับ Laser Autofocus ที่เป็นตัวช่วยในการจับโฟกัสของภาพให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นแม้ว่าจะเป็นสถานที่ที่มีแสงน้อยก็ตาม

Samsung Galaxy Z Flip4
สมาร์ทโฟนกล้องสวย Samsung Galaxy Z Filp4
ขอขอบคุณภาพจาก -https://images.samsung.com/th/smartphones/galaxy-z-flip4/images/galaxy-z-flip4_highlights_kv.jpg
โทรศัพท์มือถือพับได้อีกรุ่นหนึ่งของ Samsung ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นโทรศัพท์กล้องสวย หน้าจอตัวเครื่องขนาดกว่า 6.7 นิ้ว ส่วนจอด้านนอกขนาด 1.9 นิ้ว สามารถแสดงผลความละเอียดได้ 1080 x 2640 พิกเซล ชิป CPU เป็นรุ่น Snapdragon 8+ Gen 1 ราคา 31,190 บาท

ส่วนตัวกล้องหลังมี 2 เลนส์ แบ่งเป็นกล้องหลักที่มีความละเอียก 12 ล้านพิกเซล และกล้อง Ultra-Wide 12 ล้านพิกเซลสำหรับการเก็บภาพมุมกว้าง ส่วนกล้องหน้าอยู่ที่ 10 ล้านพิกเซล จุดเด่นอีกจุดหนึ่งคือสามารถที่จะตั้งกล้องถ่ายแบบ Flex Camera ได้ด้วยการปรับระดับมุมกล้องด้วยฝาพับ สะดวกทั้งถ่ายเซลฟี่คนเดียวหรือจะถ่ายกับเพื่อนก็สามารถเก็บได้ครบ จึงไม่แปลที่รุ่นนี้ได้รับการยอมรับเป็นโทรศัพท์กล้องสวย 2023

Samsung Galaxy S23 | S23+

มือถือกล้องชัด Samsung Galaxy S23
ขอขอบคุณภาพจาก -https://www.samsung.com/th/smartphones/galaxy-s23/buy/

โทรศัพท์กล้องสวยอีกรุ่นตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้มีดีไซน์เรียบหรู หน้าตาของทั้งสองรุ่นจะต่างกันที่ขนาดและน้ำหนักเพียงเล็กน้อย แต่ฟังก์ชันต่าง ๆ มีความคล้ายคลึงกัน ตัวหน้าจอมาพร้อมแผง Dynamic AMOLED ที่มีความละเอียดระดับ FHD+ และตัว CPU เป็นรุ่น Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 ตัวแรงอีกด้วย

มากไปกว่านั้นสำหรับรุ่นนี้คือเป็นโทรศัพท์กล้องหน้าสวย คมชัด เพราะมีความละเอียดถึง 12 ล้านพิกเซล ขณะที่กล้องหลังมีสามเลนส์ที่สามารถรองรับการซูมแบบ 3x Optical Zoom ไปจนถึง 30x Space Zoom เลยทีเดียว ราคา 37,900 บาท

โทรศัพท์กล้องสวย เทียบแต่ละรุ่นเหมาะกับสายไหน
สำหรับคนที่ชอบโทรศัพท์กล้องสวยและมีดีไซน์สวย ๆ คงหนีไม่พ้น Samsung Galaxy Z Flip4 ที่สามารถพับหน้าจอได้และเหมาะกับคนที่ชอบเซลฟี่หรือตั้งกล้องหามุมถ่ายรูปเอง แถมยังสามารถที่จะถ่ายรูปได้ด้วยกล้องหลัก เพียงแค่ทำการพับหน้าจอลงก็ทำให้ได้รูปเซลฟี่ที่ดูชัดขึ้น

ขณะเดียวกันหากใครชอบโทรศัพท์พับได้แต่มีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นก็ต้องเป็น Samsung Galaxy Z Fold4 ที่เมื่อเปรียบเทียบกล้องมือถือกับตัวอื่น ๆ ถือว่าไม่แพ้กันเลย เพราะทั้งกล้อง Ultra-Wide และ Telephoto ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมากสีสันโดดเด่นและคมชัดเสมือนจริง แถมยังเหมาะกับสายไนท์ไลฟ์ เนื่องจากสามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยให้ดูสว่างเห็นรายละเอียดชัดเจน

หากเป็นสายทำคอนเทนต์ที่ต้องเน้นการใช้กล้องเพื่อถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ สถานที่ อาหาร หรือวิดีโอเพื่อลงยูทูป ขอแนะนำเลยว่าเหมาะกับ Samsung Galaxy S23 Ultra ที่สุด เพราะรุ่นนี้เป็นโทรศัพท์กล้องสวยที่สุด มีการพัฒนาให้มีเลนส์กล้องถึง 4 เลนส์ ด้วยความละเอียดสูงถึง 200 ล้านพิกเซลแบบที่ใครก็เทียบได้ยาก แถมยังสามารถซูมไกลได้มากกว่า 100 เท่า

โทรศัพท์เน้นกล้อง ต้องดูสเปคกล้องยังไงบ้าง

วิธีการเลือกซื้อโทรศัพท์กล้องสวยมีองค์ประกอบที่จะต้องสังเกตดูสเปคของกล้องหลักๆ ดังนี้
  • ความละเอียด ยิ่งกล้องมีความละเอียดมากเพียงใดก็จะทำให้ถ่ายรูปออกมาดูมีสีสันที่สวยงาม คมชัด สามารถขยายดูรายละเอียดของรูปภาพได้ชัดเจนขึ้น
  • ระยะเลนส์ เลนส์กล้องมือถือแต่ละเครื่องจะมีค่าระยะของเลนส์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งระยะเลนส์นั้นเป็นตัวที่จะกำหนดมุมมองภาพที่ถ่าย ยิ่งมีค่าความยาวน้อยภาพที่ได้ก็จะกว้าง แต่ถ้าระยะมากก็จะได้ภาพที่ดูใกล้ขึ้น
  • ระบบโฟกัส ช่วยสามารถปรับกล้องให้จับภาพวัตถุได้อย่างเหมาะสม โดยส่วนใหญ่แล้วโทรศัพท์กล้องสวยทุกวันนี้นิยมพัฒนาให้กล้องมือถือมีระบบโฟกัสอัตโนมัติ รวมถึงมีโหมดหน้าชัดหลังเบลอสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปที่เน้นวัตถุ เช่น อาหาร ภาพคน สัตว์ เป็นต้น

มือถือถ่ายรูปสวย มีเลนส์อะไรบ้าง
เมื่อพูดถึง โทรศัพท์กล้องสวย สิ่งที่ควรจะพิจารณาเพิ่มเติมอย่างแน่นอนคือ เลนส์กล้อง การเลือกโทรศัพท์ถ่ายรูปสวยที่เหมาะกับตัวผู้ใช้งานนั้นก็ต้องทำความรู้จักกับเลนส์กล้องแต่ละชนิด เพราะโทรศัพท์แต่ละรุ่นนั้นก็จะมีชนิดของเลนส์กล้องที่แตกต่างกันไป

  • เลนส์ Wide
คือเลนส์ที่ใช้ถ่ายภาพมุมกว้าง เช่น วิวทิวทัศน์ ภาพตึกในเมือง ภาพมุมสูง เพราะสามารถที่จะเห็นภาพรวมในแนวกว้างได้อย่างชัดเจนและครอบคลุม

  • เลนส์ Tele
คือเลนส์กล้องสำหรับการถ่ายภาพวัตถุที่อยู่ใกล้ เหมาะกับการถ่ายภาพเวลาเข้าชมคอนเสิร์ตที่ต้องอยู่ไกล ๆ แต่อย่างไรก็ตามการถ่ายภาพซูมก็อาจจะทำให้ความละเอียดของภาพลดลงตามระยะการซูมที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

  • เลนส์ Prime
เป็นเลนส์ที่มีระยะโฟกัสที่ตายตัวซึ่งเหมาะกับการถ่ายรูปเซลฟี่ จะทำให้ได้รูปที่มีความคมชัดมากขึ้น รวมถึงสามารถที่แยกวัตถุออกจากพื้นหลังและเพิ่มเอฟเฟคภาพโบเก้ได้

สรุปโทรศัพท์กล้องสวย
หากเป็นคนที่รักการถ่ายภาพเซลฟี่ ชอบตั้งกล้องเองเพื่อให้ได้ภาพความไหวที่สามารถเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน และชอบโทรศัพท์กล้องสวยที่พับได้ หน้าจอใหญ่ ดูเก๋ไก๋ ไม่เหมือนใคร ไม่ควรพลาดที่จะมี Samsung Galaxy Z Flip4 และ Samsung Galaxy Z Fold4 ไว้ครอบครอง เพราะนอกจากจะตอบโจทย์ทุกการถ่ายรูปแล้วยังสามารถพกพาได้ง่าย

ทว่าเป็นสายทำคอนเทนต์ที่เน้นการใช้งานถ่ายภาพ รีวิวอาหาร สถานที่ พาเที่ยว ซึ่งต้องการโทรศัพท์กล้องสวยที่มีความสามารถในการซูมได้ถึง 100 เท่า ก็จะเหมาะกับ Samsung Galaxy S23 Ultra ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมือถือที่ถ่ายรูปสวยที่สุดแห่งปี 2023

186
โทรศัพท์เล่นเกม 2023

ขอขอบคุณภาพจาก https:// www .samsung.com/th/smartphones/galaxy-s23-ultra/

ในยุคที่เกมออนไลน์ถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดดให้มีความสนุก ตื่นตาตื่นใจ และสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นสำหรับทุกเพศทุกวัย จนทำให้ปัจจุบันมีเกมมากมายที่สามารถเล่นผ่านบนมือโทรศัพท์มือถือได้ทุกที่ทุกเวลา โทรศัพท์เล่นเกมที่ดีทำให้สามารถสนุกกับการเล่นเกมได้ไม่ว่าอยู่ที่ไหน โทรศัพท์เล่นเกมส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงถูกพัฒนามาเพื่อรองรับกับเอฟเฟคภาพสุดอลังการ

ยิ่งเกมมีรายละเอียดกราฟิกมากเพียงใด ผู้เล่นยิ่งต้องการโทรศัพท์เล่นเกมที่สเปคแรงและมีจอแสดงผลที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องของความละเอียด พิกเซลต่อนิ้ว ประเภทแผง และองค์ประกอบอื่น ๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อการเล่นเกม ดังนั้นการหาโทรศัพท์มือถือสำหรับเล่นเกมที่ตอบโจทย์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยกระดับความมันและเพิ่มประสบการณ์การเล่นที่ดีให้กับผู้เล่นได้มากยิ่งขึ้น

มือถือเล่นเกมที่ดีที่สุด

ปัจจุบันมีโทรศัพท์เล่นเกมมากมายที่ผลิตออกมาให้ตอบโจทย์สายเกมมิ่ง Samsung เองเป็นหนึ่งในแบรนด์มือถือสมาร์ตโฟนที่ออกแบบให้รองรับการใช้งานที่เน้นความละเอียดภาพและเอฟเฟคสูง ๆ รวมถึงขนาดหน่วยความจำจำนวนมากที่รองรับตัวเกมไม่ให้ติดขัดซึ่งเหมาพกับการเป็นโทรศัพท์เล่นเกม

Samsung Galaxy A54 5G

โทรศัพท์เล่นเกม Samsung Galaxy A54 5G

ขอขอบคุณภาพจาก https:// www .samsung.com/th/smartphones/galaxy-a/galaxy-a54-5g-awesome-violet-256gb-sm-a546elvdthl/

โทรศัพท์เล่นเกมราคาย่อมเยาที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.4 นิ้ว ด้วยความละเอียด 1080 x 2340 พิกเซล (403 ppi) มีจอแสดงผล Super AMOLED 24-bit (16 ล้านสี) สามารถใช้งานกลางแจ้งได้เป็นอย่างดีเหมาะกับการเป็นโทรศัพท์เล่นเกม เพราะให้ภาพที่สวย คมชัด ตัวเครื่องยังมีคุณสมบัติกันฝุ่นละอองและระบบป้องกันน้ำได้ในความลึกไม่เกิน 1 เมตร

มีหน่วยความจำ RAM 8 GB ROM 256GB และ microSD สูงสุด 1 TB สามารถรองรับเกมหนัก ๆ ได้เป็อย่างดี สามารถเป็นโทรศัพท์เล่นเกมเอฟเฟคสูง รวมถึงกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซลและมีกล้องด้านหลังถึง 3 เลนส์ที่ละเอียดถึง 50 ล้านพิกเซล กล้องหลังมีความสามารถซูมได้ถึง 10 เท่า และมีความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 5,000 มิลลิแอมป์ ราคา 13,999 บาท

Samsung Galaxy S23 | S23+

มือถือเล่นเกม Samsung Galaxy S23

ขอขอบคุณภาพจาก https:// www .samsung.com/th/smartphones/galaxy-s23/

โทรศัพท์เล่นเกมอย่าง S23 และ S23+ จะมีลักษณะภายนอกต่างกันที่ Samsung Galaxy S23+ จะมีขนาดหน้าจอและขนาดแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่า หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ที่มีความละเอียด 1080 x 2340 พิกเซล ในส่วนของหน้าจอและตัวเครื่องด้านหลังเป็นวัสดุที่ทำมาจากกระจก Gorilla Glass Victus สามารถกันน้ำได้ชั่วคราวในระดับความลึกไม่เกิน 1.5 เมตร มี RAM 8 GB ROM 128/256 GB ส่วนตัวกล้องถ่ายภาพมีให้เลือกหลายโหมด ทั้งโหมดถ่ายหน้าสวย เทคโนโลยีถ่ายภาพอัจฉริยะ และมีระบบกันสั่นแบบออปติคอลเพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด แบตเตอรี่ 3,900 มิลลิแอมป์ ราคา 32,900 บาท สำหรับ S23 และ 36,900 บาท สำหรับ S23+

Samsung Galaxy S23 Ultra

โทรศัพท์เล่นเกม Samsung Galaxy S23 Ultra

ขอขอบคุณภาพจาก https:// www .samsung.com/th/smartphones/galaxy-s23-ultra/buy/

โทรศัพท์เล่นเกมอย่าง S23 Ultra มีหน้าจอขนาด 6.8 นิ้ว ที่มีความละเอียดสูงถึง 1440 x 3088 พิกเซล หน่วยความจำ 8/12 GB ROM 256/512 GB แบตเตอรี่ความจุสูงถึง 5,000 มิลลิแอมป์ มีคุณสมบัติกันน้ำและฝุ่นละออง กล้องหลัง 200 ล้านพิกเซล สามารถซูมได้ถึง 100 เท่า ขนาดภาพสูงสุด 8000 x 6000 พิกเซล พร้อมด้วยระบบป้องกันภาพสั่นไหวและโหมดการถ่ายภาพมากมาย ตัวเครื่องมาพร้อมกับปากกา S Pen ดีไซน์เก๋ช่วยจดบันทึก อีกทั้งยังมีความจุแบตเตอรี่ 5,000 มิลลิแอมป์และมีเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 45W ที่รองรับการชาร์จไร้สาย ราคา 41,900 บาท

Samsung Galaxy Z Fold4

มือถือเกมมิ่ง Samsung Galaxy Z Fold4

ขอขอบคุณภาพจาก https:// www .samsung.com/th/smartphones/galaxy-z-fold4/

โทรศัพท์เล่นเกมที่หน้าจอพับได้ขนาดใหญ่กว่า 7.6 นิ้ว ทำมาจากกระจก Corning Gorilla Glass Victus+ มีความละเอียด 1768 x 2208 พิกเซล ครอบเครื่องเป็นอะลูมิเนียม มีคุณสมบัติกันฝุ่นละอองและกันน้ำได้ชั่วคราวในระดับความลึกไม่เกิน 1.5 เมตร หน่วยความจำ RAM 12 GB ROM 256/512 GB มาพร้อมปากกา Stylus สำหรับวาดเขียนและรีทัชรูปภาพ มีความจุแบตเตอรี่ 4,400 มิลลิแอมป์ รองรับการชาร์จไวและชาร์จไร้สาย ราคา 59,900 บาท

มือถือเล่นเกม เปรียบเทียบสเปค

สำหรับโทรศัพท์เล่นเกมที่ยกมาแต่ละรุ่นนั้นสเปคต่างกันอย่างไร หากมองรูปลักษณ์ภายนอกเพียงผิวเผิน Samsung Galaxy A54 และ Samsung Galaxy S23 มีหน้าตาที่ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ Samsung Galaxy S23 จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าเพียงเล็กน้อย ด้วยหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ของทั้งสองรุ่นที่สามารถแสดงผลได้ถึง 120 เฮิรตซ์ เหมาะกับการใช้งานที่เน้นภาพกราฟิกสมจริง โดยขนาดน้ำหนักของ Samsung Galaxy S23 จะมีขนาดเบากว่า ถือได้ถนัดมือสามารถเป็นโทรศัพท์ไว้เล่นเกมที่เล่นได้ยาว ๆ แต่เมื่อเทียบราคาจะเห็นว่ารุ่น A54 ราคาถูกกว่าเพียง 13,999 บาท ซึ่งถือว่าเป็นโทรศัพท์เล่นเกมราคาถูก

นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังรองรับการชาร์จไวสูงสุด 25 W ทว่า Samsung Galaxy A54 ไม่รองรับการชาร์จแบบไร้สายเหมือนกับ Samsung Galaxy S23 ดังนั้นหากใครชอบความสะดวกสบายไม่ได้ต้องชาร์จแบตนาน Samsung Galaxy S23 ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเป็นโทรศัพท์ที่เหมาะกับการเล่นเกม

สำหรับ Samsung Galaxy S23 Ultra ที่ถูกเปิดตัวหลังจาก Samsung Galaxy Z Fold4 แต่มีราคาถูกกว่า ซึ่งมาพร้อมกับหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ที่หน้าจอมีขนาด 6.8 นิ้ว และมีน้ำหนักที่เบากว่าอยู่ที่ 234 กรัม ขณะที่ Samsung Galaxy Z Fold4 เป็นหน้าจอแบบที่พับได้ เมื่อกางออกจะใหญ่ถึง 7.6 นิ้ว

ทั้งนี้ความเร็วของ CPU ของรุ่น S23 Ultra จะมีความเร็วกว่าและมีขนาดความจำถึง 512 GB ซึ่งถือว่าเป็นมือถือที่สามารถเล่นเกมหนัก ๆ ได้อย่างแบบไม่มีสะดุด แต่สเปคของรุ่น Z Fold4 เองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ยิ่งหากใครชอบการเล่นเกมแบบคมชัดหน้าจอใหญ่ Samsung Galaxy Z Fold4 สามารถตอบโจทย์การเป็นโทรศัพท์สเปคเล่นเกมเช่นกัน

แนะนำมือถือเล่นเกมที่เหมาะกับแต่ละคน

จากการเปรียบเทียบสเปคและราคาของแต่ละรุ่นทำให้เห็นความแตกต่าง การเลือกโทรศัพท์เล่นเกมที่เหมาะสมกับเกมเมอร์นั้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน

Samsung Galaxy A54 5G เหมาะกับเกมเมอร์ที่ชอบเล่นเกมบนถือที่มีหน้าจอใหญ่แต่ไม่ต้องการซื้อมือถือเล่นเกมหนัก ๆ ที่มีราคาสูง รุ่นนี้ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะมีหน้าจอขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2340 พิกเซล ราคาเพียง 13,999 บาทเท่านั้น

Samsung Galaxy S23 23+ และ S23 Ultra เป็นโทรศัพท์เล่นเกมที่มีขนาดเบา มีหน้าจอขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรุ่น S23 Ultra ที่หน้าจอใหญ่ถึง 6.8 นิ้ว สเปคเครื่องแรง ภาพสวยคมชัด เล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ราคากลาง ๆ และยังรองรับการใช้งานชาร์จไร้สายและชาร์จไว

Samsung Galaxy Z Fold4 เป็นมือถือจอพับได้ที่ใหญ่ที่สุด เหมาะกับเหล่าเกมเมอร์ที่ชอบเล่นเกมด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ รองรับการเล่นเกมที่เน้นภาพกราฟิกแบบจัดเต็ม มีชิปที่แรงขึ้นอย่าง Snapdragon 8+ Gen 1 ทำให้เล่นเกมแบบไม่มีกระตุก รวมถึงยังรองรับปากกา Stylus S pen สำหรับใครที่ชอบการจดบันทึกและวาดเขียนอีกด้วย

โทรศัพท์เกมมิ่งดูสเปคอย่างไร

การตัดสินใจเลือกซื้อโทรศัพท์เล่นเกมที่ตอบโจทย์สไตล์การใช้งานสักเครื่องมีหลายองค์ประกอบที่ต้องดูก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อ โดยทั่วไปสเปคเริ่มต้นของโทรศัพท์เล่นเกม คือ ต้องมีระบบแอนดรอยด์ที่มีเวอร์ชันสูงกว่า 4.4 ขึ้นไป หน่วยความจำ RAM อย่างน้อย 1 GB ROM 3 GB ขึ้นไป และ ชิปประมวลผล CPU ไม่ควรต่ำกว่า 4 Core ความเร็ว 2.5 กิกะเฮิรตซ์,จิกะเฮิรตซ์ขึ้นไป

ถ้าหากเป็นสายเกมเมอร์ที่เน้นเล่นเกมที่มีรายละเอียดค่อนข้างมาก ต้องการความคมชัดของภาพ ไม่สะดุดระหว่างเล่นเกม เครื่องไม่ร้อน และแบตอึดทน มือถือนั้นจะแตกต่างจากมือถือที่ใช้งานทั่วไป เพราะจะต้องมองหารุ่นที่มีสเปคความแรงสูง ชิป CPU ตระกูล Snapdragon มีหน่วยความจำที่มากพอเพื่อรองรับกับพื้นที่ของเกม ยิ่งเป็นเกมที่มีรายละเอียดมาก ก็จะยิ่งใช้พื้นที่ความจำเยอะกว่าปกติ รวมถึงควรที่จะสามารถรองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบชาร์จไวได้ เพื่อไม่ให้การเล่นเกมขาดช่วง

โทรศัพท์เล่นเกม ตั้งค่าอย่างไรให้ไม่สะดุด

วิธีตั้งค่ามือถือเพื่อให้เล่นเกมได้แบบไม่สะดุดสามารถทำได้โดยการเตรียมพร้อมโทรศัพท์เล่นเกมให้มีแบตเตอรี่พร้อมใช้งานตลอดการเล่นเกม เพื่อให้โทรศัพท์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และควรที่จะปิดการแจ้งเตือนแอพต่าง ๆ ในมือถือเพราะยิ่งมีแอพเปิดค้างไว้เป็นจำนวนมาก หรือ มีแจ้งเตือนแทรกเข้าระหว่างเล่นเกม นอกจากจะทำให้รบกวนการเล่นเกมแล้วยังทำให้เครื่องทำงานหนักด้วย

นอกจากนี้ยังสามารถเปิดโหมดการใช้งานเต็มประสิทธิภาพเพื่อให้การเล่นเกมลื่นขึ้น พร้อมกับปรับกราฟิกในตัวเกมให้เหมาะสมกับสเปคเครื่องมือถือเล่นเกมให้มีความสอดคล้องกัน ถ้าหากปรับโหมดเอฟเฟคที่สูงเกินไปแต่สเปคเครื่องไม่ถึงก็จะทำให้เกมสะดุด

มือถือเล่นเกมที่ตอบโจทย์

เหล่าเกมเมอร์ที่มองหาโทรศัพท์ที่เหมาะกับการเล่นเกมในปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย ทั้งในราคาย่อมเยาและราคาสูงซึ่งแต่ละรุ่นก็มีข้อดีแตกต่างกันไป การจะเลือกซื้อโทรศัพท์เล่นเกมนั้นก็ขึ้นอยู่กับสไตล์และเกมที่แต่ละคนเล่น หากเล่นเกมรายละเอียดภาพและเอฟเฟคไม่สูงมากนัก Samsung Galaxy A54 5G นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะนอกจากจะมีหน้าจอใหญ่แล้วยังราคาไม่สูง แต่ถ้าใครที่ชอบเล่นเกมที่มีเอฟเฟคภาพสูงก็อาจจะเหมาะกับ Samsung Galaxy S23 Ultra และ Samsung Galaxy Z Fold4 ที่สามารถรองรับการเล่นเกมหนัก ๆ ได้แบบไม่มีสะดุด

187
ปลูกผม FUE เพิ่มเส้นผมให้คุณแบบไม่มีรอยแผลเป็น


ปลูกผม FUE เป็นเทคนิคมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก เหมาะกับเรื่องของความสวยงาม เพราะไม่มีรอยแผลเป็นที่เกิดจากการเย็บแผล ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นธรรมชาติมากที่สุด แถมยังถูกจัดให้เป็นวิธีแก้ปัญหาผมบางที่ให้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังมากที่สุดในปัจจุบันนี้ พึงเข้าใจว่า ปลูกผม FUE เป็นหนึ่งในวิธีศัลยกรรมปลูกผมถาวร
 
เป็นเรื่องปกติที่ทุก ๆ คนจะต้องพบเจอกับการที่มีผมร่วง แต่ถ้าไม่เกิน 100 เส้นในแต่ละวันก็ไม่อาจนับเป็นปัญหาได้เพราะบนศีรษะของแต่ละคนจะมีอยู่หลายหมื่นรูขุมขน อีกทั้งเส้นผมก็มีวงจรชีวิตตั้งแต่งอก เติบโตก็กินเวลาราว ๆ 2-6 ปี จากนั้นก็จะหยุดโตก่อนร่วงออกมา จากนั้นก็เกิดเป็นเส้นผมชุดใหม่งอกขึ้นมาแทน
 
ดังนั้นถ้ามีปัญหาผมร่วงมากเกินไปควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และวิธีรักษาผมร่วงทันที ซึ่งการปลูกผม FUE เป็นหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาที่เราจะมาเน้นถึงในบทความนี้

การศัลยกรรมปลูกผม FUE เป็นอย่างไร
การศัลยกรรมปลูกผม FUE เป็นการผ่าตัดเล็ก จึงไม่ต้องพักฟื้นนานแค่ 2-3 วันเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีการกรีดหนังศีรษะแบบเทคนิค FUT นอกจากนี้ผู้ใช้บริการสามารถใช้เส้นขนบริเวณอื่น ๆ เช่น หนวด เครา ขนหน้าอก ขนแขน ขนหน้าแข้งนอกเหนือจากผมที่ท้ายทอย หรือ หลังกกหู มาใช้ปลูกผมที่ศีรษะได้
 
การปลูกผม FUE ต้องใช้กราฟผมในการปลูก  และ 1 กราฟผมก็คือ 1 กอผมที่มีเส้นผมตั้งแต่ 1-4 เส้นขึ้นไป แต่กอผมที่เหมาะสมในการใช้ปลูกผมนั้นควรมีเส้นผมตั้งแต่ 2 เส้นขึ้นไป
 
การปลูกผม FUE ไม่ยุ่งยาก และร่างกายก็จะไม่ปฏิเสธ เพราะเป็นการใช้เซลล์รากผมจากร่างกายของผู้เข้ารับการรักษานั่นเอง แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ว่าสภาพหนังศีรษะ และผมที่จะนำมาปลูกนั้นแข็งแรงสมบูรณ์ดีหรือไม่

ปลูกผม FUE เจ็บไหม

การปลูกผม FUE จะเจ็บเฉพาะตอนที่ต้องฉีดยาชาหรือยานอนหลับชนิดอ่อนเท่านั้น ดังนั้นในช่วงเวลาที่มีการปลูกผม FUE ผู้รับบริการก็จะไม่รู้สึกเจ็บเลยเพราะยาได้ออกฤทธิ์แล้ว

ปลูกผม FUE ไม่มีรอยแผลเป็นจริงไหม
ปลูกผม FUE เป็นเทคนิคการผ่าตัดปลูกผมที่ไม่จำเป็นต้องกรีดหนังศีรษะ จึงไม่จำเป็นต้องเย็บแผล ทำให้ไม่มีรอยแผลเป็น



ปลูกผม FUE ช่วยแก้ปัญหาเส้นผมอย่างไร

ปลูกผมเทคนิค fue นอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาเส้นผมร่วงเยอะผิดปกติ ผมบาง ศีรษะล้านแล้ว ยังสามารถช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น
ปรับโครงหน้าใหม่ เพื่อที่จะได้เสริมความงามให้กับใบหน้า
ช่วยร่นแนวผมลงมาเพื่อแก้ไขการที่มีหน้าผากกว้างเกินไป
ทำให้ผมดูหนา ไม่ว่าจะอยู่ในทรงผมไหนก็ตาม
สามารถปิดรอยแผลเป็นที่ศีรษะ ถึงแม้ว่าจะเป็นทรงสกินเฮดก็ตาม


วิธีการปลูกผม FUE ทำอย่างไร

ขั้นตอนสำหรับการปลูกผม FUE จะมีดังนี้

ผู้รับบริการจะทำการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ และช่วยออกแบบแนวผมที่จะทำการปลูกให้ได้ตามที่ต้องการ หลังจากนั้นก็จะได้ทำการคำนวณจำนวนกอผมที่ต้องใช้ในการปลูกผม
เมื่อถึงวันนัด ก่อนเริ่มกระบวนการปลูกผม FUE แพทย์จะทำการวางยาชา หรือยานอนหลับอย่างอ่อนให้แก่ผู้รับบริการ แล้วจึงทำการโกนผมตรงบริเวณที่ต้องการเจาะเอาเซลล์รากผมออกมา โดยมากจะเป็นบริเวณท้ายทอยที่เซลล์รากผมมีความแข็งแรง พร้อมทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค
หลังยาชาออกฤทธิ์ แพทย์จะทำการเจาะเอากอผมออกมาในแนวขนานไปกับเซลล์รากผม ด้วยเครื่องมือพิเศษที่มีหัวเจาะขนาดเล็กประมาณ 0.8-1.0 มิลลิเมตร แล้วนำไปแช่ในน้ำยาพิเศษเพื่อเลี้ยงเซลล์รากผมให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเมื่ออยู่นอกร่างกาย รวมถึงการควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ 4-8๐C ก่อนที่จะนำไปคัดเลือกเอาเฉพาะที่สมบูรณ์ดีเพื่อใช้ในการปลูกผมเทคนิค FUE ต่อไป
ระหว่างนั้นแพทย์จะได้มีการฉีดยาชาหรือยานอนหลับอย่างอ่อน อาจมีฉีดยาห้ามเลือดก่อนที่จะเจาะรูตรงบริเวณที่ต้องการปลูกผม โดยที่ตำแหน่งนี้จะมีการกำหนดตำแหน่ง ความหนาแน่น และทิศทางของแนวผมตามธรรมชาติไว้แล้ว

เมื่อแพทย์ได้นำเซลล์รากผมใส่ลงไปตรงที่เจาะเตรียมไว้ในตำแหน่งและทิศทางที่เหมาะสมที่สุดจนครบแล้ว ก็จะทำการปิดผ้าพันแผลบริเวณนี้ 1-2 วัน ก็เป็นอันเสร็จ บางคลินิกอาจใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Implanter Pen เพื่อปกป้องรากผมเวลานำไปปลูกที่บริเวณเตรียมไว้แล้ว


ขั้นตอนการดูแลหลังปลูกผม FUE

หลังเสร็จสิ้นจากการปลูกผม FUE แล้วควรทำตามคำแนะนำจากแพทย์ผู้ทำการปลูกผม FUE อย่างเคร่งครัด เพราะว่าเป็นระยะที่สามารถส่งผลต่อการที่เส้นผมที่ปลูกไว้จะไม่ขึ้นได้เช่นกัน ข้อควรปฏิบัติมีดังต่อไปนี้
ควรนอนหงายหรือตะแคงให้ศีรษะสูง เพื่อลดอาการปวดบวมที่แผล แนะนำให้ใช้หมอนรองคอเพื่อป้องกันการกดทับแผลด้านหลังศีรษะ
ภายใน 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัดให้งดจับ ซับเลือด แกะ เกา บริเวณแผลที่ทำการปลูกผมจะได้ไม่กระทบกระเทือนเซลล์รากผมที่ยังไม่เชื่อมติดกับเนื้อเยื่อจนอาจทำให้หลุดออกมาได้
ห้ามแกะหรือดึงสะเก็ดออกเพื่อไม่ให้เลือดออก เพราะหลังปลูกผม 15 วันสะเก็ดเหล่านี้จะค่อย ๆ หลุดลอกเอง
ให้สระผมได้เบา ๆ ตามปกติวันรุ่งขึ้นหลังปลูกผม FUE และให้ใช้ยาสระผมชนิดอ่อนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ด้วยน้ำอุณหภูมิห้องที่มีแรงดันน้ำที่ไม่แรง ห้ามใช้ลมร้อนเป่าผม 1 เดือน
งดใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม และสารเคมีทุกชนิด 2 เดือนเพราะหนังศีรษะบริเวณปลูกผมยังบอบบางอยู่
งดออกกำลังกาย 2 สัปดาห์
งดว่ายน้ำ หรือซาวน่า 1 เดือน
ระวังไม่ให้ศีรษะกระทบกระแทกกับของแข็ง ไม่ก้มศีรษะเพื่อป้องกันเลือดออก หรือ บวมที่แผล
หลีกเลี่ยงที่แออัด มีฝุ่นควันมาก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
หลังกระบวนการปลูกผม FUE ให้กินยาปฏิชีวนะเพื่อกันการติดเชื้อ และลดอาการบวมตามแพทย์สั่งจ่าย
หลีกเลี่ยงการตากแดดและความร้อน เพราะมีผลต่อเซลล์รากผม ควรสวมใส่เครื่องป้องกันอย่างเหมาะสม เป็นเวลา 3 เดือน
งดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ งดอาหารหมักดอง
ให้ไปพบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามผลของการปลูกผมว่าไม่มีปัญหาใด ๆ
หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้สูง ปวดบวมแดงผิดปกติ เลือดออกมากผิดปกติ มีอาการอักเสบหรือติดเชื้อ ก็ให้รีบไปพบแพทย์




ปลูกผม FUE ใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะเห็นผล

หลังการปลูกผม FUE ซึ่งใช้เวลาประมาณ 6 – 10 ชั่วโมงซึ่งขึ้นกับปริมาณกอผมที่ต้องใช้ในการปลูกผม อาจประสบกับการมีเส้นผมร่วงในระยะแรกประมาณ 3-4 สัปดาห์ซึ่งเป็นวงจรปกติ แต่ไม่มีเซลล์รากผมหลุดออกไปด้วย และภายใน 3-4เดือนผมจะเริ่มงอกขึ้นมาใหม่ในตำแหน่งที่ปลูก
 
ต่อจากนั้นภายใน 6 เดือนจะได้เห็นผลลัพธ์ครึ่งหนึ่ง คือผมขึ้นมาใหม่ได้หมดแล้วเพียงแต่อาจจะยังเป็นเส้นบางอยู่ และหลังจากปลูกผมได้ 12-18 เดือน ผมจะกลับมาหนา แข็งแรง แลดูเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญเป็นผมถาวรไม่เจอกับปัญหาฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (Dihydrotestosterone-DHT) ที่มีอิทธิพลยับยั้งการสร้างเส้นผมที่ต่อมรากผม
 
สรุปการปลูกผม FUE

การปลูกผม FUE สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผมบาง ผมร่วงจากกรรมพันธุ์หรือจากการดูแลสุขภาพผมที่ไม่เหมาะสม ให้กลับมามีผมหนา ดูสุขภาพดีและเป็นธรรมชาติมากขึ้น เป็นวิธีแก้ปัญหาผมบางอย่างถาวร
 
อีกทั้งการปลูกผม FUE ราคาจะคิดเป็นต่อกราฟ ส่วนราคาจะสูงหรือไม่ก็ขึ้นกับหลายปัจจัย ค่าจ้างบุคลากร อุปกรณ์ที่ใช้ประสบการณ์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมูลค่าทางการตลาดของแต่ละคลินิก
 
ดังนั้นการที่จะตัดสินใจเลือกวิธีแก้ปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน ด้วยการปลูกผม FUE นั้น ต้องเลือกว่าควรปลูกผม fue ที่ไหนดี ด้วยการศึกษาจาก ปลูกผม fue รีวิวของลูกค้าเจ้าอื่น ๆ รวมทั้งควรรู้ว่า ปลูกผม fue ราคาที่จะเลือกทำนั้นอยู่ในงบประมาณหรือไม่





188
เรียน content marketing

การตลาดบนโลกออนไลน์ในปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูงมาก ๆ เนื่องจากกระแสและความนิยมต่าง ๆ ของการซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางออนไลน์ อีกทั้งแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้าไปใช้งานและซื้อสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชันนั้น ๆ ทำให้พ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายบนโลกออนไลน์ต้องเกิดการแข่งขันกัน โดยการทำ content ต่าง ๆ  เพื่อดึงดูดความสนใจต่อผู้บริโภคให้มากที่สุด

Content Marketing เป็นเนื้อหาต่าง ๆ ที่ทำขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนผู้อ่านเป็นผู้ซื้อได้ หรือเรียกได้ว่าเป็นการนำเสนอขายสินค้านั่นเอง แต่ก็ไม่ได้เป็นการขายตรงสักทีเดียว โดยContent นั้นจะต้องมีความน่าสนใจ ไม่น่าเบื่อ สามารถทำให้ผู้บริโภคเข้ามาอ่านหรือดู content ของคุณให้ได้เยอะที่สุด ซึ่ง Content นั้นก็ไม่ได้มีแค่เป็นข้อความเพียงอย่างเดียว จะประกอบไปด้วยวิดีโอ รูปภาพ หรือสื่อต่าง ๆ อีกด้วย

ทำให้ปัจจุบันผู้คนมีความสนใจเกี่ยวกับ Content Marketing กันเป็นจำนวนมาก และเริ่มมีการค้นหาคอร์สเรียน Content Marketing เพื่อนำมาพัฒนาให้แบรนด์ของตนเองนั้นเติบโตต่อไป และสร้างรายได้ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าแบรนด์ที่มีการสร้าง Contentที่น่าสนใจ สามารถสร้างรายได้ให้แบรนด์ของตนได้อย่างมาก

ในบทความนี้เราจะกล่าวถึงการเรียน Content Marketing นั้นคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร รายละเอียดต่าง ๆ ในคอร์สเรียน Content Marketing รวมไปถึงใครบ้างที่ควรลงคอร์สเรียนนี้

เรียน Content Marketing ดียังไง?

การนำเสนอข้อมูลที่มีจุดประสงค์เพื่อการขายหรือการสร้าง Content Marketing จะช่วยกระตุ้นให้กลุ่มผุ้บริโภคมีความสนใจกับแบรนด์ของคุณเพิ่มขึ้นได้ แต่หากคุณนั้นยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการสร้าง Content Marketing คุณก็สามารถที่จะใช้ตัวช่วยอย่างการเรียน Content Marketing ได้

การเรียน Content Marketing ดีอย่างไร ?

การลงเรียน Content Marketing นั้นจะช่วยให้คุณสามารถสร้าง Content ต่าง ๆให้ดูน่าสนใจขึ้น เรียนรู้เกี่ยวกับการวางกลยุทธ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการสร้าง Content ได้ และอื่น ๆ ดังต่อไปนี้

  • การเรียน Content Marketing จะช่วยวางแผนให้คุณในการเตรียมเนื้อหาข้อมูลต่าง ๆ รูปภาพ และวิดีโอ เพื่อให้ Content นั้นมีความน่าสนใจ
  • การเรียน Content Marketing  จะช่วยให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ช่องทางต่าง ๆ ในการนำเสนอ Content ของคุณ เช่น สื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน เป็นต้น
  • การเรียน Content Marketing  จะช่วยให้คุณสามารถวัดและวิเคราะห์ผลของ Content Marketing  เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • การเรียน Content Marketing   ทำให้คุณสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้
  • การเรียน Content Marketing  ช่วยให้คุณสามารถนำเสนอเนื้อหาต่าง ๆ ได้เพื่อสร้างความแตกต่างและความจดจำให้กับลูกค้าได้
นอกจากนี้การเรียน Content Marketing จะสามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์ของคุณได้ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยที่จะทำให้คุณสร้าง Content ได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

รายละเอียดคอร์สเรียน Content Marketing

รายละเอียดคอร์สเรียน Content Marketing

สำหรับรายละเอียดคอร์สเรียน Content Marketing จะแตกต่างกันไปตามสถาบันต่าง ๆ ที่เปิดสอนรวมไปถึงระยะเวลาในการเรียนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วรายละเอียดคอร์สเรียน Content Marketingนั้นมีดังนี้

  • คอร์เรียน Content Marketing การวางแผนในการสร้างเนื้อหา การเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ การวิเคราะห์ผลของเนื้อหา และการนำเสนอเนื้อหาอย่างมืออาชีพ
  • คอร์สเรียน Content Marketing  มีทั้งเนื้อหาสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเกี่ยวกับการทำ Content Marketing เลยหรือการเรียนในขั้นสูงสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะเพิ่มเติมต่าง ๆ
  • รูปแบบการสอน โดยการเรียนContent Marketing  นั้นจะมีทั้งแบบสอนออนไลน์และแบบออฟไลน์ หรือการเรียนผ่านเครื่องมือต่าง ๆ
  • ระยะเวลาในคอร์ส content marketing  ซึ่งระยะเวลาในการเรียนนั้นจะแตกต่างกันไป โดยมีทั้งคอร์สเรียนระยะสั้นใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง หรือเป็นคอร์สเรียนระยะยาว ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบัน
  • คอร์สเรียนContent Marketing คุณสามารถเรียนรู้การใช้งานต่าง ๆ เพื่อต่อยอดการทำ Content ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
  • เรียนรู้การนำเสนอ Content ที่แตกต่างกันไปในแต่ละแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชัน เพื่อให้เหมาะสมกับการนำเสนอและตรงความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
  • ราคาของคอร์สเรียนContent Marketing จะแตกต่างกันไปแต่ละสถาบันซึ่งอาจขึ้นอยู่กับเนื้อหาและระยะเวลา
ในการลงเรียนContent Marketing นั้น คุณสามารถเลือกคอร์สเรียนให้ตรงกับความต้องการของคุณได้ โดยคุณอาจมองหาคอร์สเรียนที่มีเนื้อหา หรือระยะเวลาตามที่คุณต้องการ ซึ่งคุณสามารถค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้กับทางสถาบันโดยตรงได้เลย

คอร์ส Content Marketing เหมาะกับใคร?

สำหรับคอร์เรียนContent Marketing  เหมาะสำหรับคนที่ทำการตลาดในโลกออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นทางแพลตฟอร์มใดก็ตาม หรือเหมาะสำหรับคนที่มีความสนใจในการสร้าง Content ในการนำเสนอขายสินค้า และเหมาะกับคนที่ต้องการเพิ่มทักษะในการเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ เป็นต้น นอกจากนี้แล้วการเรียนContent Marketing ยังเหมาะกับกลุ่มคนต่อไปนี้

  • เจ้าของธุรกิจหรือแบรนด์ต่าง ๆ ที่ต้องการเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าและบริการ รวมถึงต้องการเจริญเติบโตในการขายของออนไลน์
  • นักธุรกิจหรือเจ้าของแบรนด์ต้องการเรียนการสร้าง Content หรือเขียนเนื้อหาอย่างมีคุณภาพแบบมืออาชีพ
  • การเรียนContent Marketing  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้าง Content แต่ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำ Content Marketing
  • เจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของแบรนด์ที่ต้องการทำความเข้าใจกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีต่อ Content ต่าง ๆ ในปัจจุบัน
  • การเรียนContent Marketingเหมาะกับผู้ที่ต้องการแนวคิดและกลยุทธ์ต่าง ๆ ในการต่อยอดธุรกิจ

หลังจากเรียนคอร์ส Content Marketing แล้วจะได้อะไร?

หลังจากเรียนคอร์ส Content Marketing แล้วจะได้อะไร?

หลังจากการเรียนคอร์ส Content Marketing  หรือเมื่อเรียนไปแล้วคุณจะได้ความรู้อะไรบ้างนำไปต่อยอดธุรกิจออนไลน์ได้อย่างไร โดยความรู้ทั้งหมดที่คุณได้เรียนContent Marketing นั้นสามารถนำมาต่อยอดกับธุรกิจของคุณได้ ดังต่อไปนี้

  • คุณสามารถที่จะเข้าใจการสร้าง Content Marketing ได้อย่างดีและสามารถนำไปใช้ได้อย่างมืออาชีพ ซึ่งสามารถสร้างประโยชน์อย่างมากให้กับธุรกิจของคุณได้
  • คุณสามารถที่จะวางแผนกลยุทธ์เกี่ยวกับการตลาดออนไลน์กับสินค้าจากแบรนด์ของคุณได้
  • การเรียนContent Marketing  สามารถทำให้คุณเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้
  • คุณสามารถสร้าง Content Marketing ให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการของลูกค้าได้
  • การสร้าง Content Marketing  ในรูปแบบวิดีโอหรือรูปภาพสามารถกระตุ้นการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของลูกค้าได้ เนื่องจากลูกค้าสามารถเห็นจุดเด่นและคุณสมบัติของสินค้าจากแบรนด์คุณได้อย่างชัดเจน
  • คุณสามารถที่จะวัดและวิเคราะห์ Content ที่คุณสร้างได้ เพื่อนำผลนั้นมาพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดของแบรนด์คุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • คุณสามารถเรียนรู้การแต่งภาพ และการตัดต่อวิดีโอให้ดูมืออาชีพขึ้นได้ จากการเรียนContent Marketing
ทั้งนี้การเรียนContent Marketing จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์กับธุรกิจออนไลน์ของคุณได้มากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับความพร้อมในการเรียนรู้ต่าง ๆ หากคุณยังไม่มีความรู้ด้านการสร้าง Content เลยอาจจะต้องใช้เวลามากพอสมควรที่จะทำการสร้าง Content ให้มีคุณภาพขึ้นได้ และทุกอย่างขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและความสม่ำเสมอของคุณด้วย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคอร์สเรียน Content Marketing

ในการเรียนContent Marketing สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังไม่มีพื้นฐานมาก่อนนั้น ก็มักที่จะมีคำถามที่พบบ่อยในการสร้าง Content ต่าง ๆ โดยคำถามที่พบได้บ่อยในการลงเรียนContent Marketing มีดังนี้

ต้องใช้เครื่องมืออะไรในการเรียนบ้าง?

ในการเรียนContent Marketing คุณจะต้องใช้เครื่องมือบางอย่างที่จะช่วยพัฒนาธุรกิจออนไลน์ของคุณได้ โดยมีเครื่องมือที่ต้องใช้งานคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้

  • โปรแกรมที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการเข้ามาชมเว็บไซต์ของลูกค้าแต่ละคนนั้นว่า มีความสนใจต่อสินค้าหรือบริการของคุณอย่างไร โดยโปรแกรมนั้นได้แก่ Google Analytics
  • Google Trend เครื่องมือที่จะทำให้ทราบถึงความสนใจของผู้บริโภคได้ โดยเครื่องมือนี้จะแสดงผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบคำหรือประโยคที่ผู้บริโภคมีการค้นหาบ่อย ๆ
  • เครื่องมือกราฟิกต่าง ๆ ที่จะช่วยแต่งรูปภาพ หรือการตัดต่อวิดีโอ เช่น Canva, Adobe Photoshop และอื่น ๆ
  • เครื่องมือที่ช่วยจัดการเนื้อหาต่าง ๆ เช่น WordPress, HubSpot, Drupal ใช้ในการสร้างและจัดการเนื้อหาอย่างมีระเบียบ
  • เครื่องมือที่ใช้สร้างลิงก์ต่าง ๆ เช่น Moz, SEMrush, Ahrefs ใช้ในการวิเคราะห์ลิงก์ที่ส่งมายังเว็บไซต์ของคุณ
  • เครื่องมือวางแผนการตลาด เช่น Trello, Asana, Monday.com เพื่อวางแผนและจัดการการตลาดต่าง ๆ

ถ้ามีข้อสงสัยสามารถสอบถามผู้สอนได้หรือไม่?

หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเรียนContent Marketing คุณสามารถรับคำปรึกษาหรือสอบถามผู้สอนได้เลยไม่ว่าคุณนั้นจะลงเรียนในช่องทางไหนก็ตามจะเป็นการเรียนในห้องเรียน หรือเรียนผ่านออนไลน์หากคุณมีคำถามก็สามารถที่จะถามผู้สอนได้ทุกเวลา ซึ่งผู้สอนนั้นก็พร้อมที่จะตอบคำถามหรือช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้อย่างทันถ่วงที

189
รับบรรจุอาหารเสริม

เป็นที่แน่นอนกันอยู่แล้วว่าเมื่อเริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารเสริม ที่กำลังมาแรงกันในช่วงนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการหันไปใช้บริการรับบรรจุอาหารเสริม เพราะนอกจากการใส่ใจในตัวของผลิตภัณฑ์แล้ว ก็ยังต้องมีบรรจุภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพ ที่ช่วยให้รักษาความปลอดภัย และความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ดังนั้นการใช้บริการรับบรรจุอาหารเสริม ที่จะช่วยทุ่นแรงและค่าใช้จ่ายให้กับผู้ดำเนินกิจการขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริม การบริการรับบรรจุอาหารเสริมนี้ไม่เพียงที่จะช่วยให้ความสะดวก ยังรวมถึงบริการต่าง ๆ  สามารถบรรจุได้ตั้งแต่ 100 ชิ้น ไปจนถึง 1,000,000 ชิ้น ด้วยความทันสมัยของเครื่องจักรสมัยใหม่

รับบรรจุอาหารเสริม มีข้อดีอย่างไรบ้าง
หลายท่านอาจจะสงสัยว่าการใช้บริการรับบรรจุอาหารเสริมมีข้อดีอย่างไรบ้าง อย่างอื่นเลยต้องยอมรับก่อนว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่จะตัดสินใจซื้อสินค้าด้วยภาพลักษณ์ก่อนเป็นอย่างแรก ด้วยหน้าตาของผลิตภัณฑ์ ทำให้เกิดความสนใจของผู้ซื้อ ดังนั้นเองผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจึงจำเป็นที่จะต้องหาบริการบรรจุอาหารเสริมที่จะมาช่วยในการขายของเจ้าของแบรนด์ มีข้อดีดังนี้

1.มีความคุณภาพตรงตามที่ลูกค้าต้องการ เช่นขนาดของบรรจุภัณฑ์ หรือรูปแบบของบรรจุภัณฑ์
2.มีความปลอดภัยในการบรรจุอาหารเสริม ด้วยมาตรฐาน ISO มีทีมงานที่มีประสบการณ์คอยควบคุม บรรจุภัณฑ์มีความสะอาด
3.บริการรับบรรจุอาหารเสริมช่วยให้แบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของผู้ประกอบการ มีความน่าเชื่อถือ มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม น่าซื้อ และยังคำนึงถึงเจ้าของแบรนด์และลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
4.สามารถกำหนดให้การรับบรรจุอาหารเสริมตามจำนวน หรือขนาด ต่อบรรจุภัณฑ์ที่มีความเหมาะสม และได้ความมาตรฐาน
5.บรรจุภัณฑ์อาหารเสริมสามารถเก็บรักษาความมีประสิทธิภาพของตัวอาหารเสริม ตัวผลิตภัณฑ์ไม่เสื่อมสภาพก่อนวันกำหนด ด้วยความเชี่ยวชาญของการรับบรรจุอาหารเสริม

รับบรรจุอาหารเสริม จะเข้ารับบริการที่ไหนดี 
การที่ผู้ประกอบการเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจะเข้ารับบริการรับแพคอาหารเสริมนั้นจะต้องตรวจเช็คความได้มาตรฐานของโรงงานและความน่าเชื่อถือที่ได้รับจากเครื่องหมายมาตรฐานสากล ทาง Propack ก็เป็นตัวเลือกที่สำคัญในการรับบรรจุอาหารเสริม ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการแพ็คสินค้าแบบครบวงจร ตามความมาตรฐานของสากล ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรูปกล่องหรือบรรจุภัณฑ์แบบ PVC และ POF อีกทั้งยังมีบริการที่ครบครันที่เกี่ยวข้องกับการแพ็ค ทั้งการพิมพ์เลขล็อต วันที่ผลิต และวันหมดอายุลงบนบรรจุภัณฑ์ หรือจะเป็นการพิมพ์สติกเกอร์ ลงบนบรรจุภัณฑ์ โดยทีมงานที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ภายใต้การควบคุมคุณภาพมาตรฐาน ISO 9001:2015 ตลอดทุกกระบวนการ ด้วยเครื่องจักรที่มีความทันสมัย ปลอดภัย นำเข้าจากต่างประเทศ มีกำลังในการรองรับงานของลูกค้าที่มีความละเอียด และความถูกต้อง มีมาตรฐาน สามารถรองรับงานได้ตั้งแต่ 100 ชิ้น จนไปถึง 1,000,000 ชิ้น ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

รับบรรจุอาหารเสริม ที่ไหนดี

รับบรรจุอาหารเสริม รายละเอียดในการบรรจุมีอะไรบ้าง
การบริการของการรับบรรจุอาหารเสริม จะมีหลายรูปแบบไม่ว่าผู้ประกอบการผลิตอาหารเสริมแบบใดก็ตาม เช่น ผง เจลลี่ น้ำ หรือเม็ดยา ก็สามารถเข้ารับแพคอาหารเสริมได้ การบรรจุอาหารเสริมนี้ให้หลายตัวเลือกได้เลือกกันอีกด้วย

1.การรับบรรจุอาหารเสริมแบบลงซอง ที่จะเหมาะกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่เป็นแบบผง หรือแบบเจลลี่ ตามการกำหนดน้ำหนัก ปริมาณของผู้ประกอบการกำหนดได้อย่างแม่นยำ สามารถฉีกแล้วพร้อมรับประทานได้เลย
2.การรับบรรจุอาหารเสริมแบบลงขวด ที่จะเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มาในรูปแบบของ ของเหลว ตามการกำหนดมิลลิลิตรได้อย่างแม่นยำของผู้ประกอบการ สามารถเปิดขวดแล้วสามารถบริโภคได้
3.การรับบรรจุอาหารเสริมแบบลงกระปุก ที่จะเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแบบเป็นตัวเม็ดยา ไม่ว่าจะเป็นเม็ดรูปทรงไหนก็ สามารถบรรจุลงกระปุกตามจำนวนที่ผู้ประกอบการกำหนดได้อย่างแม่นยำ และครบถ้วน สามารถเปิดฝากระปุกแล้วบริโภคได้
4.การรับบรรจุอาหารเสริมแบบลงแผง เป็นบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะกับการบรรจุเม็ดยา ที่กำหนดขนาดของเม็ดยา และจำนวนได้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการได้แม่นยำ สามารถแกะรับประทานได้

รับบรรจุอาหารเสริม ขั้นตอนในการเข้ารับบริการมีอะไรบ้าง
1.ลูกค้าชี้แจงรายละเอียดของงาน
ลูกค้าจะต้องส่งข้อมูลความต้องการรายละเอียดเช่น การบรรจุอาหารเสริมลงในบรรจุภัณฑ์อะไร ตัวผลิตภัณฑ์อาหารเสริมมีลักษณะเป็นอย่างไร แล้วบอกจำนวนบรรจุภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการ

2.เจ้าหน้าที่จัดส่งใบเสนอราคา
เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับรายละเอียดของลูกค้าและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วจะมีการแจ้งราคา ค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสมให้แก่ลูกค้า

3.ลูกค้ายืนยันการสั่งซื้อและชำระมัดจำการบริการ
เมื่อลูกค้าได้รับใบเสนอราคาแล้วลูกค้าต้องทำการยืนยันแล้วทำการชำระเงินมัดจำ เพื่อจะนำไปสู่กระบวนการบรรจุอาหารเสริม

4.รับสินค้าจากลูกค้า
ลูกค้าต้องนำสินค้าอาหารเสริมส่งให้ทางการบรรจุอาหารเสริมเพื่อที่จะทำการบรรจุอาหารเสริมลงในบรรจุภัณฑ์

5.ตรวจนับสินค้า
ทาง Propack จะทำการตรวจสอบสินค้า เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำการบรรจุอาหารเสริม

6.เข้าสู่กระบวนการผลิต
Propack จะทำการรับบรรจุอาหารเสริมของลูกค้าด้วยความปลอดภัย และมีมาตรฐาน

7.ชำระมัดจำส่วนที่เหลือ
ลูกค้าจะต้องทำการชำระมัดจำส่วนที่เหลือเพื่อรับสินค้าที่บรรจุอาหารเสริมสิ้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว

8.จัดส่งสินค้า
ลูกค้าจะได้สินค้าพร้อมบรรจุลงบรรจุภัณฑ์ตามที่ลูกค้าต้องการ

ขั้นตอนรับบรรจุอาหารเสริม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรับบรรจุอาหารเสริม
Propack รับบรรจุอาหารเสริมที่ได้มาตรฐานไหม
ทาง Propack มีทีมงานที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และมีการควบคุมมาตรฐาน ISO 9001:2015 พร้อมทั้งเครื่องจักรที่มีมาตรฐาน จากต่างประเทศ

Propack รับบรรจุอาหารเสริมจำนวนครั้งละเท่าไหร่
สามารถรับบรรจุอาหารเสริมจำนวนน้อยถึงมากตามความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ 100 ชิ้น จนถึง 1,000,000 ชิ้น

สรุปการเข้ารับบรรจุอาหารเสริมมีดีอย่างไร
การที่เข้ารับบรรจุอาหารเสริมกับทาง Propack นั้น ช่วยให้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในการทำผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ไม่ต้องยุ่งยากกับการแพ็คของลงบรรจุภัณฑ์เองให้เหนื่อย และไม่ได้มาตรฐาน ทาง Propack มีผู้เชี่ยวชาญด้านการแพ็คของ และมีเครื่องจักรที่มีมาตรฐานสามารถแพ็คของได้ถูกต้องครบถ้วน และรวดเร็ว พร้อมบริการอื่น ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าอีกด้วย

190
ยาพาราเซตามอลกินให้ถูกวิธี ปลอดภัยไม่ทำลายตับ

ไขข้อสงสัย ยาพาราเซตามอลที่หลายๆท่านรู้จักกันดี ว่าเป็นยาบรรเทาปวด ลดไข้  ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านของหลายๆคน ถ้าหากวันใดวันหนึ่ง เกิดรับประทานยาพาราติดต่อกันเป็นเวลานาน จะมีผลอย่างไรต่อสุขภาพหรือไม่ พร้อมมีอาการผิดปกติอะไรบ้างที่ควรสังเกตหากแพ้ยา และควรมีวิธีการกินยาพาราที่เหมาะสมปลอดภัยได้อย่างไร ทั้งข้อระมัดระวังในการกินยามีอะไรบ้าง มาหาคำตอบจากข้อมูลของยาพาราจากบทความนี้กัน

ยาพาราเซตามอล มีสรรพคุณอะไรบ้าง
ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือทางการแพทย์เรียกว่า ยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) ซึ่งจัดเป็นยาที่ช่วยบรรเทาอาการปวด ลดไข้ จากอาการปวดเช่น การปวดศีรษะ ปวดเมื่อย(ไข้หวัด) ปวดหลัง เป็นต้น มีฤทธ์บรรเทาอาการปวดน้อยถึงระดับปานกลางเท่านั้นไม่มีผลต่อการปวดชนิดรุนแรงได้

ในปัจจุบันจึงเป็นยาสามัญประจำบ้านที่หาได้ตามท้องตลาด ราคาถูก โดยที่ยาพาราเซตามอลนี้ มีด้วยกันหลากหลายยี่ห้อ ตามแต่ละขนาดที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ ซึ่งมีทั้งแบบน้ำและแบบเม็ดในการเลือกรับประทาน

ยาพาราเซตามอล จะออกฤทธิ์ภายในกี่นาที

ยาพาราเซตามอลออกฤทธิ์ภายในกี่นาที

หลายท่านคงสงสัยว่า การทานยาพาราออกฤทธิ์กี่นาทีกันนะ สามารถมีข้อมูลที่บอกได้ดังนี้

การทานยาพาราเซตามอล (Paracetamol) จะออกฤทธิ์ยาภายในเวลาประมาณ 10 – 30 นาที พร้อมทั้งมีฤทธิ์ยาต่อเนื่องไปจนถึง 4 – 6 ชั่วโมง ซึ่งท่านสามารถรับประทานยาพาราได้ตามอาการ โดยยาพาราจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ

  • ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) แบบชนิดเม็ด : เป็นยาพาราสำหรับใช้ในผู้ใหญ่ มีด้วยกัน 2 แบบ เป็นชนิดเม็ดขนาด 325 มก.  / ขนาด 500 มก.
  • ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) แบบชนิดน้ำ : เป็นยาพาราที่ใช้สำหรับเด็ก หรือทารกในการรับประทานตามขนาดน้ำหนักของร่างกายเด็กนั้นเอง

วิธีกินยาพาราเซตามอลที่ถูกต้องมีอะไรบ้าง
ท่านสามารถรับประทานยาพาราได้ตามขนาดของยาได้ดังนี้

  • ยาพาราเซตามอลแบบชนิดเม็ด เป็นชนิดเม็ดขนาด 325 มก.ต่อเม็ด  และขนาด 500 มก.ต่อเม็ด โดยทั่วไปแล้วนั้นผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 55 กิโลกรัมขึ้น ท่านสามารถรับประทานได้ครั้งละไม่เกิน 1 – 2 เม็ด ( จะเท่ากับ 1,000 มก.) ควรเว้นระยะเวลารับประทานต่อห่างกัน 4 ชั่วโมง

  • ยาพาราเซตามอลแบบชนิดน้ำ ซึ่งภายใน 1 ช้อนชา มจะเท่ากับ 5 cc. จะประกอบด้วยยาพาราขนาด 120 มิลลิกรัม /160 มิลลิกรัม /250 มิลลิกรัม เป็นต้น ท่านควรได้คำแนะนำในการรับประทานจากแพทย์ หรือเภสัชกรในการคำนวณวิธีทานก่อนทุกครั้ง เพื่อให้สามารถรับประทานได้อย่างถูกต้องปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อตับของบุตรท่านนั้นเอง

ซึ่งสามารถคำนวณการกินยาได้ดังนี้

1.ชนิดน้ำที่บรรจุด้วยหยดหลอดแบบดรอป จะมีความเข้มข้น 60 มิลลิกรัม ต่อยา 0.6 ซีซี. ควรทานครั้งละ 1 -1.5 ซีซี. โดยวิธีทานคือจากน้ำหนักตัวของเด็กหารด้วย 10 เป็น ซีซี

2.ชนิดที่ทานด้วยช้อน ความเข้มข้นของยา 120 มิลลิกรัม ต่อยา 5 ซีซี. (ปริมาณ 5 cc.จะเท่ากันหนึ่งช้อนชา) โดยวิธีทานคือจากน้ำหนักตัวของเด็กหารด้วย 2 เป็นซีซี

3.ชนิดที่ทานด้วยช้อน ความเข้มข้นของยา 250 มิลลิกรัม ต่อยา 5 ซีซี. โดยวิธีทานคือจากน้ำหนักตัวของเด็กหารด้วย 4 เป็นซีซี

ห้ามกินยาพาราเกินกี่เม็ด ?

ข้อห้ามในการกินยาพาราเกินขนาด

ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) มีด้วยกันหลายรูปแบบในการทาน จะมีทั้งแบบชนิดน้ำ แบบชนิดเม็ด ซึ่งมีข้อควรห้ามในการกินดังนี้ 

  • ยาพาราเซตามอลแบบชนิดเม็ด ไม่ควรทานเกินวันละ 8 เม็ด (จะเท่ากับจะเท่ากับ 4,000 มก.) ต่อวัน พร้อมทั้งไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลา 5 วัน หากมีความจำเป็นให้ต้องทานนานกว่านี้ควรปรึกษาแพทย์ทันที

  • ยาพาราเซตามอลแบบชนิดน้ำ ควรได้คำแนะนำจากแพทย์ หรือเภสัชกรในการคำนวณวิธีทานก่อนทุกครั้ง

จากที่กล่าวข้างต้นไปแล้วนั้น หากท่านทานยาพารามากเกินขนาด อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้เกิดอาการซึม คลื่นไส้ อาเจียน ความดันลดลง หากบางรายอาจจะส่งผลให้การทำงานของตับวาย ไตเสียได้นั้นเอง

ควรกินยาพารายี่ห้อไหนดี ?
ในปัจจุบันยาพาราเซตามอลมีด้วยกันหลากหลายยี่ห้อที่ท่านสามารถเลือกมาอยู่คู่บ้าน เพื่อสามารถช่วยท่านบรรเทาอาการปวดหัว ปวดตัว ลดไข้ได้ในกรณีฉุกเฉินอย่างทันท่วงที วันนี้จะขอแนะนำยาพาราทั้ง 4 ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมเป็นที่ยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน  พร้อมเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย จะมียี่ห้อไหนบ้าง ไปดูกันเลย

1. Bakamol

ยาพารายี่ห้อBakamol

ชื่อยา : Bakamol 500 มก. (แบบกระปุก 100 เม็ด)

ส่วนประกอบ : ประกอบด้วยยาพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม ต่อ 1 เม็ด
สรรพคุณ :  ยาบรรเทาอาการปวด ปวดศีรษะ ลดไข้ ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านที่เหมาะกับอาการปวดเล็กน้อยจนถึงปานกลาง ท่านสามารถไว้วางใจในคุณภาพของยาพารานี้ได้โดยเฉพาะ เนื่องจากโรงพยาบาลกรุงเทพฯที่เป็นผู้ผลิตได้ให้ความสำคัญกับยาที่คุณจะได้รับนั้นเอง

การรับประทาน : ควรทานครั้งละ 1 – 2 เม็ด ในทุกๆ 4 – 6 ชั่วโมง
คำเตือน : ห้ามทานเกิน 8 เม็ดต่อวัน และติดต่อกันเกิน 5 วัน

2. Tylenol

ยาพารายี่ห้อTylenol

ชื่อยา : Tylenol  500 มก. (แบบแผง 10 เม็ด )

ส่วนประกอบ : ประกอบด้วยยาพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม ต่อ 1 เม็ด
สรรพคุณ :  ยาบรรเทาอาการ แก้ปวดขั้นพื้นฐาน ปวดศีรษะ ลดไข้ ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านที่เหมาะกับอาการปวดเล็กน้อยจนถึงปานกลาง

การรับประทาน : ควรทานครั้งละ 1 – 2 เม็ด ในทุกๆ 4 – 6 ชั่วโมง
คำเตือน : ห้ามทานเกิน 8 เม็ดต่อวัน และติดต่อกันเกิน 5 วัน

3. Sara

ยาพารายี่ห้อsara

ชื่อยา : Sara  500 มก. (แบบแผง 10 เม็ด)

ส่วนประกอบ : ประกอบด้วยยาพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม ต่อ 1 เม็ด
สรรพคุณ :  ยาบรรเทาอาการ แก้ปวดเล็กน้อยจนถึงปานกลาง เช่น ปวดศีรษะ ลดไข้ ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านเช่นเดียวกัน

การรับประทาน : ควรทานครั้งละ 1 – 2 เม็ด ในทุกๆ 4 – 6 ชั่วโมง
คำเตือน : ห้ามทานเกิน 8 เม็ดต่อวัน และติดต่อกันเกิน 5 วัน

4. Cemol

ยาพารายี่ห้อcemol

ชื่อยา : cemol 500 มก. (แบบกระปุก 100 เม็ด)

ส่วนประกอบ : ประกอบด้วยยาพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม ต่อ 1 เม็ด
สรรพคุณ :  เป็นยาสามัญประจำบ้านที่เหมาะกับอาการแก้ปวดเล็กน้อยจนถึงปานกลาง เช่นการปวดศีรษะ ปวดฟัน ปวดเมื่อยจากไข้หวัด ลดไข้ แก้ตัวร้อน  เป็นต้น

การรับประทาน : ควรทานครั้งละ 1 – 2 เม็ด ในทุกๆ 4 – 6 ชั่วโมง
คำเตือน : ห้ามทานเกิน 8 เม็ดต่อวัน และติดต่อกันเกิน 5 วัน

กินยาพาราอันตรายไหม มีผลข้างเคียงหรือไม่ ?
ข้อควรรู้ก่อนการทานยาพารา พร้อมทั้งความอันตรายที่ท่านไม่ควรมองข้าม คือ

1.ห้ามใช้กับผู้มีประวัติแพ้ยาพาราเซตามอลที่หากทานจะเกิดอาการดังเช่น ผื่น ลมพิษ บวมตามหน้า – ริมฝีปาก หน้ามืดหายใจลำบาก แน่นอก ผื่นแดง ผิวหนังลอก รวมถึงท่านที่มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับตับ ทั้งสตรีมีครรภ์ ควรหยุดยาทันทีแล้วรีบพบแพทย์เพื่อหาแนวทางทานยารักษาวิธีอื่น

2.ห้ามทานยาเกินขนาดจากฉลากยาที่แนะนำ ควรหลีกเลี่ยงการทานยาพาราร่วมกับยาชนิดอื่นที่ส่วนประกอบเป็นยาพาราเซตามอลเช่นเดียวกันจะถือว่าท่านกินยาเกินขนาด หรือรวมทั้งการดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย จนส่งผลให้ตับเกิดการทำงานบกพร่องจนเข้าสู่ภาวะตับวายได้นั้นเอง

3.สามารถทานยาตามอาการได้ โดยกินก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ แต่หากท่านมีไข้สูงเกินมากกว่า 39.5 องศาเซลเซียสควรรีบพบแพทย์ทันที

สรุป
หลายท่านคงจะรู้ถึงคุณสมบัติของยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ที่ช่วยแก้ไขบรรเทาอาการปวดต่างๆได้ แต่ถ้าท่านทานยาพาราโดยที่ไม่มีอาการก่อน ที่พูดในกันว่ากินยาดักไว้ก่อน ป้องกันอาการปวดไข้นั้น จึงจะถือว่าเป็นการใช้ยาโดยไม่สมเหตุสมผล ที่อาจจะส่งผลข้างเคียงจากตัวยาเข้าสู่ร่างกายท่านได้ หวังว่าข้อมูลดังกล่าวจะสามารถช่วยให้ท่านสามารถรับประทานยาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม พร้อมทั้งปลอดภัยต่อตัวท่าน รวมถึงบุตรของท่านได้นะคะ



191
สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนซื้อบ้านเดี่ยวระยอง

การซื้อบ้านเป็นการตัดสินใจที่สำคัญในชีวิตของเรา ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการเงินในอนาคตของเราอย่างมาก ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านเดี่ยวระยองจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับบุคคลที่ต้องการอาศัยอยู่ในที่มีความเป็นส่วนตัวและเงินลงทุนที่คุ้มค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยากจะลงหลักปักฐานที่จังหวัดระยอง คนที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของวัยทำงานแล้วต้องการลงทุนมีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง หรือคนที่หาบ้านและที่ดินระยอง บทความนี้เรามาหาคำตอบกันว่า ทำไมเราต้องเลือกซื้อบ้านระยอง ถ้าพร้อมแล้ว ก็มาดูกันเลย

บ้านเดี่ยวระยองมีข้อดีเยอะกว่าที่คุณคิด

เลือกซื้อบ้านเดี่ยวระยองมีข้อดีกว่าที่คุณคิด

การเลือกซื้อบ้านเดี่ยวระยองเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว นอกจากการซื้อแล้ว เรายังสามารถขายบ้านระยองให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าได้เช่นกัน การเลือกซื้อบ้านเดี่ยวระยองมักเป็นการตัดสินใจที่สำคัญในชีวิตของเราอย่างมาก เพราะบ้านเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง ในการเลือกซื้อบ้านระยอง เราจึงจำเป็นที่ต้องคิดให้รอบคอบและถี่ถ้วน เพื่อไม่ให้มีผลกระทบในการวางแผนชีวิตในอนาคตของเราด้วย โดยบ้านเดี่ยวระยองมักมีข้อดี ดังนี้

1. บ้านเดี่ยวระยองให้ความเป็นส่วนตัวที่สูง

การเลือกซื้อบ้านเดี่ยวในตัวเมืองระยอง ช่วยให้เรามีความเป็นส่วนตัวที่สูง และไม่ต้องแบ่งพื้นที่ของตัวบ้านให้กับคนอื่น นอกจากนี้การเลือกซื้อบ้านเดี่ยวยังช่วยให้เราสามารถปรับแต่งบ้านระยองได้ตามต้องการและกำลังความต้องการของเรา เรียกได้ว่า แทบไม่ต้องเกรงใจเพื่อนบ้าน ตราบที่เราไม่ไปรบกวนพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านหรือโครงการนั่นเอง

2. บ้านเดี่ยวระยองให้ชีวิตที่สงบสุขและเหมาะสมกับการมีครอบครัว

การเลือกซื้อบ้านเดี่ยวระยองยังช่วยให้เรามีชีวิตที่สงบสุขและเหมาะสมกับการอาศัยอยู่ของครอบครัว เนื่องจากบ้านเดี่ยวจะให้เรามีพื้นที่ใช้สอยที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ทำกิจกรรมหลายๆอย่างได้ที่บ้านระยอง ไม่ว่าเป็นปิ้งย่าง หรืองานสังสรรค์ต่างๆ ทำให้เป็นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมอย่างมากเลยทีเดียว กับผู้ที่มีครอบครัวที่มีสมาชิกมากกว่า 2-3 คน

3. เงินลงทุนที่คุ้มค่า

เมื่อเทียบกับการเช่าบ้าน การเลือกซื้อบ้านเดี่ยวระยองจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่อยู่ในช่วงโควิด-19 ที่อัตราดอกเบี้ยบ้านต่ำ ซึ่งจะช่วยลดค่าผ่อนจ่ายต่อเดือนบ้านระยองได้มากขึ้น มีเงินเหลือแบ่งไปใช้ส่วนอื่นเยอะขึ้นด้วยนั่นเอง

การมองหาบ้านเดี่ยวระยอง ไม่ได้ยากอย่างที่ทุกคนเข้าใจ

การมองหาบ้านเดี่ยวระยองไม่ได้ยากอย่างที่ทุกคนคิด

สำหรับการมองหาบ้านเดี่ยวระยอง นั้น หลายๆคนมักคิดว่าเป็นเรื่องที่ยาก แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราจะบอกว่าไม่ได้ยากเท่าที่ทุกคนคิด และวันนี้เราจึงมาแนะนำวิธีการมองหาบ้านในระยอง เพื่อทำให้การมองหาบ้านระยองของคุณทำได้ง่าย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จะมีวิธีอย่างไรบ้าง มาดูกันเลย

1. วางแผนการซื้อบ้าน

  • กำหนดงบประมาณที่เหมาะสมในการซื้อบ้าน
ค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อบ้านเดี่ยวระยองเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องคำนวณให้ดี เพื่อวางแผนการในชำระสินเชื่อ เช่น ค่าดอกเบี้ย รวมถึงค่าธรรมเนียมส่วนต่าง ๆ เช่นภาษีอสังหาริมทรัพย์ ประกันอสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงบ้านระยองรักษาอื่น ๆ

  • กำหนดพื้นที่และตำแหน่งที่ต้องการ
ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อบ้าน, ผู้ซื้อศึกษาและเปรียบเทียบพื้นที่ สถานที่ตั้งบ้านเดี่ยวระยองอย่างละเอียด โดยตรวจสอบและสำรวจสภาพแวดล้อมในย่าน หรือโซนที่คุณต้องการจะซื้อบ้านในระยอง เช่น บริเวณรอบๆ บ้าน, สถานที่สำคัญๆ ในตัวเมือง, ระยะทางจากที่อยู่ถึงโรงเรียนและโรงพยาบาล โดยใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์และแหล่งข้อมูลอื่น ๆ เป็นต้น

  • วิเคราะห์ผลประโยชน์จากการลงทุนในบ้านเดี่ยว
พิจารณาแผนอนาคตของคุณและเห็นว่าบ้านระยองที่คุณกำลังหายังได้รับการพิจารณาตามปัจจัยหลายประการ เช่น มูลค่าของบ้านมือสอง, ศักยภาพในการขยายตัวของเมืองหรือโซนที่บ้านเดี่ยวระยองตั้งอยู่ เพื่อให้ได้กำไรที่สูงขึ้น เมื่อเราต้องขายบ้านในอนาคต

2. หาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบ้านเดี่ยวในระยอง

ดูข่าวล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดอสังหาฯในระยอง โดยค้นหาเว็บไซต์ที่มีข้อมูล บ้านเดี่ยวระยองที่เชื่อถือได้บนอินเทอร์เน็ต เช่น ระยองน่าอยู่ พร้อมเปรียบเทียบราคาบ้านเดี่ยวในพื้นที่ใกล้เคียง หรือผู้พัฒนา(developer) ที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพ โปรโมชั่นและสิ่งที่คุณจะได้ ก่อนทำการซื้อบ้านระยอง

3. ติดต่อสอบถามรายละเอียดและราคากับผู้ขายบ้านเดี่ยวในระยอง

ติดต่อผู้ขายหรือสำนักงานฝ่ายขายเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคา และรายละเอียดอื่นๆของบ้านเดี่ยวระยอง อีกทั้ง เราต้องสอบถามเงื่อนไขการซื้อขายบ้านระยอง ไม่ว่าจะเป็นเงินดาวน์ เงินที่เราต้องมัดจำเพื่อจองซื้อบ้าน เพื่อป้องกันการเสียประโยชน์ของเราในกรณีที่เรายื่นกู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน

คนซื้อบ้านเดี่ยวในจังหวัดระยองมักมีลักษณะอย่างไร

จากที่เราไปเกริ่นไปแล้วบางส่วนว่า บ้านเดี่ยวระยอง มักเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว ชอบธรรมชาติ จากจุดเด่นของจังหวัดระยอง ที่มีธรรมชาติที่สวยงาม มีทะเล มีภูเขา ดังนั้นกลุ่มคนที่เหมาะจะซื้อบ้านระยอง จากจุดเด่นที่ได้กล่าวไป มักจะมีลักษณะดังนี้

ครอบครัวที่มีเด็กเล็ก

บ้านเดี่ยวในระยองมักมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางที่เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็ก บ้านในระยองที่มีสวนหรือพื้นที่เล็กๆ ทั้งหลัง รอบๆบ้าน ที่สามารถให้เด็กๆ วิ่งเล่นและเดินเล่นได้อย่างปลอดภัย

ลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและกังวลเรื่องความเงียบสงบ

บ้านระยองมักอยู่ในพื้นที่ที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว ซึ่งหากคุณเป็นคนที่มองหาความสงบและต้องการความเป็นส่วนตัวสูง คุณอาจพิจารณาซื้อบ้านเดี่ยวระยองแทนการมีบ้านในชุมชนหรืออาคารพาณิชย์

ผู้สูงอายุหรือผู้ที่จะเกษียณ

ระยองเป็นที่นิยมในการเกษียณและมีบ้านเดี่ยวระยองเป็นที่ลงตัวสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่กำลังจะเกษียณ บ้านในระยองให้ความเป็นส่วนตัวและสะดวกสบายสำหรับผู้สูงวัยในการใช้ชีวิตหลังเกษียนและมีพื้นที่สำหรับเข้าพักอย่างสะดวกสบาย ไม่ลำบากในการเดินเข้าออกบ้าน หรือห้องนอน ห้องน้ำของผู้สูงอายุ

นักลงทุนที่มองหาโอกาสลงทุนที่ดี

การลงทุนในบ้านระยองมักเป็นที่นิยมเพราะมีโอกาสในการได้รับผลตอบแทนทางการเงินสูงขึ้น อนึ่งการลงทุนในบ้าน ทำให้เรามีทรัพย์สินที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง และมีความมั่นคงในอนาคตอีกด้วย

คนที่รักชีวิตที่เชื่อมต่อกับธรรมชาติ

ระยองเป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็น สวนพฤกษศาสตร์ระยอง เกาะเสม็ด เป็นต้น ทำให้บ้านเดี่ยวระยองมักเหมาะสำหรับคนที่รักชีวิตบนธรรมชาติ เช่น ระเบียงวิวชายหาด หรือมีที่ดินใช้ปลูกสวนหรือสร้างสวนแบบส่วนตัว ที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์ให้แก่การใช้ชีวิตในบ้านระยองให้ใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

บทสรุป

จากที่ได้กล่าวไปในบทความ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องรู้ และต้องซื้อบ้านระยอง ด้วยขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนซื้อบ้านที่เราได้แนะนำไป จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณมีข้อมูลในการคัดเลือกบ้านเดี่ยว ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากยิ่งขึ้น และเราก็อย่าลืมว่าการซื้อบ้านเดี่ยวนั้นจะเป็นการลงทุนใหญ่ที่ต้องการความรอบคอบและข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด ดังนั้น การเตรียมตัวมาอย่างดี จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้การซื้อบ้านเดี่ยวในระยอง มีประสิทธิภาพมากขึ้นและได้บ้านเดี่ยวระยองที่เราต้องการนั่นเอง

และหากคุณต้องการที่จะศึกษาหาข้อมูล เพื่อไม่ให้พลาดการตัดสินใจก่อนการซื้อบ้าน ติดตาม "ระยองน่าอยู่" หรือจังหวัดอื่นๆ เช่น บ้านเดี่ยวชลบุรี ได้ที่บนเว็บไซต์ NaYoo เพื่อหาข้อมูล เกร็ดความรู้อื่นๆเกี่ยวกับบ้าน ได้เลย

192
พิชิตใจลูกค้าด้วยระบบสะสมคะแนน

หากคุณเป็นหนึ่งคนที่เริ่มต้นทำธุรกิจ มีร้านค้า หรือเป็นเจ้าของกิจการใดก็ตาม อาจจะเคยนึกสงสัยว่าทำไมลูกค้าบางคนถึงกลับมาซื้อสินค้าอยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่าหัวใจสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้ยอดขายเพิ่มขึ้นหรือได้กำไรนั้นมาจากลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าประจำที่พึงพอใจในตัวสินค้าหรือบริการแล้วกลับมาซื้อซ้ำรวมทั้งใช้จ่ายอยู่บ่อยครั้ง แล้วเราจะมีวิธีใดบ้างที่ทำให้ลูกค้าเก่ารวมถึงลูกค้าหน้าใหม่อยู่คู่กับธุรกิจเราไปในระยะยาว?

หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับระบบสะสมคะแนนหรือที่เรียกว่าระบบสะสมแต้มกันอยู่บ้าง ซึ่งระบบสะสมคะแนนที่ว่าเป็นการทำ Loyalty Program แบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน และในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักระบบสะสมแต้มกันให้มากขึ้น


ทำความรู้จักกับระบบสะสมคะแนน ทำไมถึงได้รับความนิยม

ในยุคที่การแข่งขันสูง ร้านค้ารวมถึงธุรกิจรูปแบบคล้ายกันต่างต้องแย่งชิงยอดขายเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตไปได้ในระยะยาว การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าเพื่อให้เกิดการกลับมาอุดหนุนใช้จ่ายสินค้าเราซ้ำรวมทั้งบอกต่อนั้นถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการทำระบบสะสมคะแนนซึ่งเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมและเจ้าของธุรกิจมากมายเลือกใช้

ระบบสะสมแต้ม หรือ ระบบสะสมคะแนน เป็นระบบที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาสำหรับเป็นกลยุทธ์ในด้านการทำ Loyalty Program เพื่อดึงดูดจูงใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการซ้ำ โดยตัวโปรแกรมจะเป็นในลักษณะของระบบสะสมคะแนนแบบออนไลน์ที่ใช้งานง่าย นับเป็นเครื่องมือด้าน CRM (Customer Relationship Management) ที่ช่วยให้เข้าใจลูกค้า สร้างความพึงพอใจและกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของโปรแกรมทําบัตรสะสมแต้มก็มีขั้นตอนการใช้งานไม่ยุ่งย่าง โดยส่วนใหญ่อันดับแรกจะเป็นการลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์เพื่อเป็นสมาชิกร้านค้าก่อน ในบางร้านก็อาจจะมีการทำเป็น QR Code วางไว้หน้าร้านเพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการสมัครระบบสะสมคะแนน จากนั้นหลังกรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เริ่มสะสมแต้มหรือคะแนนผ่านการซื้อสินค้ารวมถึงการเข้าใช้บริการตามเงื่อนไขที่ทางร้านกำหนดได้เลย

ซึ่งระบบการทำงานของระบบสะสมคะแนนคือการบันทึกพฤติกรรมใช้จ่ายสินค้าหรือบริการของลูกค้าเพื่อนำมาวิเคราะห์วางแผนการตลาด แล้วพัฒนาต่อยอดเป็นโปรโมชั่น คูปองส่วนลดไปจนถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ โดยหลังจากสะสมแต้มถึงที่เงื่อนไขกำหนดแล้ว ลูกค้าสามารถนำไปแลกรับของรางวัลกับทางร้านได้นั่นเอง

ระบบสะสมคะแนนมาพร้อมด้วยโปรโมชันมากมาย

ระบบสะสมคะแนนพร้อมด้วยโปรโมชันมากมาย

สิทธิประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับเมื่อมีแต้มในระบบสะสมคะแนนครบตามเงื่อนไขร้านค้า ถือเป็นการดึงดูดลูกค้าให้ใช้จ่ายหรือใช้บริการซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกทางหนึ่ง ด้วยตัวระบบสมาชิกที่จัดเก็บข้อมูลไว้อย่างครบถ้วน ทำให้เราสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อยอดพฤติกรรมของลูกค้าได้ว่ามีความชอบหรือความสนใจแบบไหน แล้วเมื่อเราเข้าใจลูกค้าก็จะสามารถออกโปรโมชั่น ข้อเสนอพิเศษหรือส่วนลดต่าง ๆ ได้ตรงต่อความต้องการและตอบโจทย์มากที่สุด

แล้วเมื่อลูกค้าเกิดความคุ้มค่าก็จะนำไปสู่ความเชื่อมั่นและภักดีต่อแบรนด์ ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่องเพราะการใช้จ่ายผ่านสิทธิพิเศษนั้นดึงดูดใจและช่วยให้ตัดสินใจใช้จ่ายได้ง่ายกว่าการซื้อโดยไม่มีส่วนลดใด ๆ นั่นเอง ระบบสะสมคะแนนจึงเป็นกลยุทธ์ลูกเล่นทางการตลาดที่โดดเด่นผ่านระบบแลกรับของรางวัล ไม่ว่าจะสร้างกิจกรรมแจกคะแนน แจ้งเตือนแลกของรางวัลหรือโฆษณาให้แก่ธุรกิจ ทั้งหมดนี้สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายผ่านระบบสะสมคะแนน

ประโยชน์ของระบบสะสมคะแนน ช่วยเพิ่มยอดขายได้จริงหรือไม่

ประโยชน์ของระบบสะสมคะแนนที่ควรรู้

ระบบสะสมคะแนนมีประโยชน์อยู่หลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าผ่านระบบดิจิทัลที่ง่ายดายและสะดวก ซึ่งตัวข้อมูลเหล่านี้ทางร้านค้าสามารถนำไปวิเคราะห์พัฒนากลยุทธ์ด้านการขายเพิ่มเติมได้ ยิ่งหากมีโปรแกรมทําบัตรสะสมแต้มเพื่อดึงดูดลูกค้าให้ซื้อได้ตามเป้าหรือกลับมาใช้จ่ายซ้ำอย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็นการเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้แล้ว ระบบสมาชิกที่มีระบบสะสมคะแนนเพื่อมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ อย่างข้อเสนอพิเศษ ส่วนลดโปรโมชั่นที่ตรงใจให้แก่ลูกค้าจะเป็นการเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์ได้ในระยะยาว ช่วยรักษาความสัมพันธ์อันดีให้ลูกค้าไม่ปันใจไปหาแบรนด์อื่น กระตุ้นให้ลูกค้าประจำเกิดการซื้อซ้ำรวมถึงแนวโน้มในการบอกต่อแบบปากต่อปากได้สูง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนหรือคนสนิท เป็นการช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ให้แก่ธุรกิจนั่นเอง

ระบบสะสมคะแนนจึงไม่ใช่เพียงแค่ตัวช่วยรักษาลูกค้าประจำแต่ยังช่วยเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ได้อีกด้วย และเมื่อฐานลูกค้าขยายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ธุรกิจร้านค้าของเราก็จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับว่าเป็นการเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนอีกทางหนึ่ง

สรุประบบสะสมคะแนน

ระบบสะสมแต้ม หรือ ระบบสะสมคะแนน ที่ตอบโจทย์อย่างจะช่วยสร้างความได้เปรียบให้แก่ร้านค้าของเราได้มากขึ้นท่ามกลางการแข่งขันระหว่างคู่แข่ง ผ่านการมอบบริการการดูแลที่ตรงใจลูกค้า การแลกรับของรางวัล คูปองส่วนลด โปรโมชั่นหรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าไว้ในระยะยาว ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการซื้อซ้ำและกระตุ้นยอดขายให้แก่ธุรกิจได้อย่างคุ้มค่าและยั่งยืนมากที่สุด

ขอบคุณบทความดีๆจาก https://betaskthai.com/

193
ประโยชน์ของการออมเงิน

ประโยชน์ของการออมเงินมีมากมายหลายประการ ซึ่งจะช่วยให้คุณมีชีวิตที่มั่นคงและมีความสุข โดยประโยชน์ของการออมเงินสำหรับแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าคุณได้นำเงินออมตรงส่วนนั้นไปใช้จ่ายกับอะไรบ้าง ดังนั้นประโยชน์ของการออมเงินสำหรับนักเรียนหรือวัยทำงานจึงอาจเหมือนหรือแตกต่างกันไปก็ได้

แล้วประโยชน์ของการออมเงินมีอะไรบ้าง ทำไมคนส่วนใหญ่จึงแนะนำให้เริ่มหัดออมเงินเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถอ่านข้อมูลการออมเงิน แนวทางการออมเงิน และประโยชน์ของการออมเงิน 10 ข้อหลัก ไปพร้อม ๆ กันได้ในบทความนี้

การออมเงินคืออะไร

ก่อนจะไปทำความรู้จักกับประโยชน์ของการออมเงิน เราควรทำความรู้จักกับการออมเงินกันก่อนว่าคืออะไร

การออมเงินคือ การนำเงินส่วนคงเหลือหลังหักค่าใช้จ่าย หรือการแบ่งเงินเก็บออกจากรายรับและเก็บเงินส่วนนั้นไว้เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อื่น ๆ ต่อไป โดยประโยชน์ของการออม อาจขึ้นอยู่กับว่าคุณมีจุดประสงค์ที่จะใช้เงินออมนั้นอย่างไร หากคุณออมเงินโดยมีเป้าหมายเช่นต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย ประโยชน์การออม ก็คือการช่วยให้คุณมีเงินมากพอที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่คุณต้องการ

ในขณะที่หากคุณเก็บเงินออมเอาไว้ก่อน ยังไม่ได้นำไปใช้จ่ายกับอะไร ประโยชน์ของการออมเงิน ก็จะแบ่งออกเป็นหลากหลายข้อ ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป

ประโยชน์ของการออมเงิน 10 ข้อ ที่ทำให้คนตัดสินใจออมเงิน

ประโยชน์ของการออมเงิน 10 ข้อ

ข้อดีของการออมเงินมีหลากหลาย โดยเราได้ทำการคัดสรรประโยชน์ของการออมเงิน 10 ข้อเด่น ที่ทำให้คนตัดสินใจเริ่มออมเงินมาให้คุณแล้ว ประโยชน์ของการออมมีดังนี้

1. มีความมั่นคงทางการเงิน
ผลดีของการออมเงินข้อแรก คือการมีความมั่นคงทางการเงิน ไม่ว่าจะในปัจจุบันและอนาคต ประโยชน์ของการออมเงินในข้อนี้ถือเป็นข้อหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจออมเงิน เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมาตอนไหนที่จะทำให้เราต้องใช้เงินจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น การเกิดอุบัติเหตุ การเกิดโรคระบาด หรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ที่หากเรามีเงินออมอยู่ก็จะทำให้เราไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าที่ควร

2. ไม่เป็นหนี้เป็นสิน
ข้อดีของการออมอีกข้อหนึ่งที่สำคัญมากคือการไม่มีหนี้สิน ซึ่งเป็นประโยชน์ของการออมเงินที่ส่งผลต่อชีวิตเป็นอย่างมาก เนื่องจากหากคุณใช้จ่ายมากเกินไปจนเป็นหนี้ แม้จะได้รายรับมามากเท่าไหร่ก็จะต้องแบ่งไปชดเชยหนี้สินที่คุณมีอยู่ด้วย ทำให้จะขยับตัวนำเงินไปใช้ส่วนอื่น ๆ ก็ลำบาก จะนำเงินไปลงทุนก็มีไม่มากพอ แถมยังต้องแบกรับภาวะความเครียดอีกด้วย

3. มีอิสระทางการเงิน
ประโยชน์ของการออมเงินที่โดดเด่นอีกข้อหนึ่งคือการที่คุณมีอิสระทางการเงิน ซึ่งต่อเนื่องมาจากข้อที่แล้วคือคุณไม่มีหนี้สิน และมีเงินมากพอที่จะนำไปใช้ทำสิ่งต่าง ๆ ที่คุณอยากทำได้ ทั้งยังมีเงินเก็บให้อุ่นใจสำหรับอนาคตอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นประโยชน์ของการออมเงินที่เหมาะกับคนตั้งแต่ในวัยเรียนตลอดจนถึงวัยทำงานเลยทีเดียว จะบอกว่าเป็นประโยชน์ของการออมเงินของนักเรียนก็ย่อมได้

4. เกษียณอายุได้เร็วตามเป้า
การประหยัดอดออมมีประโยชน์หลากหลาย แต่สำหรับวัยทำงานแล้ว ประโยชน์ของการออมเงินที่เป็นแรงจูงใจสำคัญที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นการเกษียณอายุได้รวดเร็วก่อนกำหนด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่เติบโตมากในปัจจุบัน โดยการวางแผนและการออมเงินที่ดีจะทำให้มนุษย์เงินเดือนทั้งหลายสามารถเกษียณอายุได้ตามที่ต้องการและยังมีเงินเหลือใช้ในอนาคต

5. มีเงินทุนเพื่อเพิ่มรายได้หลายช่องทาง
ประโยชน์ของการออมเงินข้อนี้หลายคนอาจจะมองว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับทุก ๆ คน เนื่องจากบางคนอาจจะไม่ได้นำเงินไปใช้ในการลงทุนช่องทางต่าง ๆ อย่างการซื้อกองทุน การนำไปลงทุนทำกิจการ หรือการซื้อหุ้นเป็นต้น แต่แท้จริงแล้วเพียงแค่คุณออมเงินในบัญชีออมทรัพย์ต่าง ๆ คุณก็จะได้ประโยชน์ของการออมเงินโดยมีเงินเพิ่มขึ้นจากเงินออมในทุก ๆ เดือนแล้ว เพียงแต่อาจเป็นจำนวนที่น้อยกว่าเท่านั้นเอง

6. มีเงินเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
ประโยชน์ของการออมเงินอีกข้อหนึ่งที่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนอยากออมเงินคือการมีเงินเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายไปกับการรักษาโรคต่าง ๆ ยามเรามีอายุ หรือการเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้สินทรัพย์ของเราเสียหายก็ตาม นอกจากนี้ประโยชน์ของการออมเงินข้อนี้ยังไปเชื่อมโยงกับข้อความมั่นคงทางการเงินอีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถอุ่นใจได้ว่าจะไม่ต้องประสบปัญหาทางการเงินอย่างร้ายแรงในอนาคต

7. มีเงินเหลือสำหรับการพัฒนาและซื้อความสุขให้แก่ตนเองและครอบครัว
ประโยชน์การออมเงินอีกหนึ่งข้อที่เหมาะกับคนทุก ๆ ช่วงวัย คือการมีเงินเหลือเพียงพอสำหรับตนเองและครอบครัว ประโยชน์ของการออมเงินข้อนี้ ทำให้คุณสามารถลงทุนไปกับตัวเอง เพื่อพัฒนาทักษะและความสามารถต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดรายได้เพิ่มเติมในอนาคตได้

นอกจากนี้ประโยชน์ของการออมเงินที่ทำให้เราได้มีเงินเหลือก็ยังช่วยเชื่อมสัมพันธ์กับคนในครอบครัวได้โดยการนำเงินไปใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน เป็นการกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวและทำให้สมาชิกในครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกันได้อีกด้วย

8. สุขภาพจิตดี ไม่เครียดเรื่องค่าใช้จ่าย
ประโยชน์ของการออมทรัพย์หรือประโยชน์ของการออมเงินข้อนี้คือการมีสุขภาพจิตดี เพราะเมื่อคุณมีเงินออมแล้ว ก็ไม่ต้องคอยกังวลมากนักเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถตัดได้อย่างค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ หากคุณมีภาระเพิ่มเติมเช่น ค่าเทอมบุตรหลาน เป็นต้น

9. มีมรดกส่งต่อภายในครอบครัว
การมีมรดกส่งต่อก็เป็นอีกหนึ่งประโยชน์ของการออมเงินไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของตัวเงินเองหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ก็ตาม ช่วยให้ครอบครัวคุณมีความมั่นคง และลูกหลานสามารถสร้างอนาคตของตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้น

นอกจากนี้หากคุณมีมรดกสำหรับส่งต่อแล้วก็หมายความว่าตัวคุณเองจะไม่เป็นภาระแก่ลูกหลาน และมีเงินเพียงพอที่จะเลี้ยงตนเองยามแก่เฒ่าอีกด้วย

10. เศรษฐกิจในประเทศเติบโตก้าวหน้า
ประโยชน์ของการออมเงินข้อนี้อาจเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนคาดไม่ถึง คือเมื่อเราออมเงินกับธนาคารหรือช่องทางต่าง ๆ ก็จะมีเงินเข้าไปหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจประเทศสามารถเติบโตได้ดี และส่งผลต่อรายรับต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเราต่อไป

แนะนำวิธีการออมเงินแบบง่าย ๆ เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย
เมื่อเรารู้ประโยชน์ของการออมเงินกันไปแล้ว คำถามต่อไปคือจะทำอย่างไรเพื่อให้สามารถออมเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แท้จริงแล้วการออมเงินนั้นมีวิธีและแนวทางมากมาย แต่เราจะขอแนะนำแนวทางใหม่ล่าสุดที่ช่วยให้การออมเงินของคุณทำได้ง่ายและสะดวกสบายยิ่งกว่าเดิมนั่นคือการใช้แอปพลิเคชัน MAKE by KBank

เนื่องจากแอป MAKE by KBank สามารถแบ่งกระเป๋าเงินสำหรับการออมเงินและค่าใช้จ่ายได้ ทั้งยังมีการรวมสรุปผลการใช้เงินในแต่ละเดือนให้อย่างอัตโนมัติอีกด้วย จึงเหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้นหัดออมใหม่ ๆ เป็นอย่างมาก เนื่องจากคุณสามารถฝึกนิสัยการออมได้โดยมีตัวช่วยมากมายนั่นเอง

สรุปประโยชน์ของการออมเงิน

จากประโยชน์ของการออมเงินทั้งหมด 10 ข้อ จะสามารถอธิบายสั้น ๆ ได้ว่าประโยชน์ของการออมคือการทำให้คุณมีเงินสำรองสำหรับอนาคต ซึ่งคุณสามารถเก็บไว้เพื่อให้มีความมั่นคงทางการเงิน เพื่อการเกษียณ หรือนำไปใช้เป็นเงินทุนเพื่อการลงทุนต่าง ๆ ให้มีรายได้เสริมก็ได้

ประโยชน์ของการออมเงินเหล่านี้ อาจจะเกิดขึ้นเพียงบางข้อสำหรับบางคน เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนที่จะนำเงินออมไปใช้ในรูปแบบเดียวกัน แล้วแต่ว่าคุณมีจุดประสงค์ของการออมเงินเพื่ออะไร แต่ไม่ว่าจะเป็นการออมเพื่อประโยชน์ของการออมเงินแบบไหน ในท้ายที่สุดแล้ว การมีเงินออมเอาไว้ก่อน ย่อมดีกว่าการใช้จ่ายจนไม่เหลือเงินเก็บเลยอยู่ดี

การออมเงินในปัจจุบันก็มีแนวทางมากมายที่จะช่วยให้คุณออมเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วย ทำให้การออมเงินเป็นเรื่องง่ายและสะดวกยิ่งกว่าเดิม ซึ่งคุณสามารถเลือกใช้แนวทางใดก็ได้แล้วแต่ความถนัด เพื่อให้สามารถออมเงินได้อย่างเห็นผล และได้รับประโยชน์ของการออมเงินอย่างที่คุณตั้งใจไว้

194
เลือกแอปออมเงินให้เก็บเงินได้มากขึ้น

การออมอยู่คู่กับคนไทยมาเป็นระยะเวลานาน ในสมัยอดีตผู้คนนิยมออมเงินผ่านการหยอดเหรียญกระปุกออมสิน สะสมแบงค์ใส่ตู้เก็บสมบัติหรือนำไปฝังดิน ต่อมานิยมฝากบัญชีธนาคารเพื่อสะสมดอกเบี้ยไปพร้อมกับเก็บเป็นเงินสำรองในอนาคต ปัจจุบันเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า จนทำให้การออมเงินนั้นแปรสภาพไปสู่แอปออมเงินให้น่าสนใจกว่าเดิม รวมถึงอำนวยความสะดวกการทำธุรกรรมผ่านแอปเก็บเงินอีกด้วย

MAKE by KBank แอปเก็บเงินสำหรับคนรุ่นใหม่

แอปเก็บเงิน MAKE by KBank


ก่อนที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นส่วนหนึ่งการสร้างแอปเก็บเงินในปัจจุบัน ผู้ผลิตแอปได้ริเริ่มคิดค้นแอปพลิเคชั่นสำหรับการเงินไม่ว่าจะเป็นการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อบันทึกการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

จัดทำฟีเจอร์จดบันทึกการใช้จ่ายในสมาร์ทโฟนผ่านระบบแอนดรอยด์หรือ IOS ไปจนถึงการโอนเงินเข้าบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่นธนาคารเดียวกัน ทำให้ผู้ใช้งานจริงได้รับความสะดวกสบายทางธุรกรรมการเงินมากขึ้น
ทว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีสำหรับธุรกรรมการเงินในระยะแรกนั้น เกิดข้อปรับปรุง

แก้ไขระบบการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์เรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตแอปพลิเคชั่นให้เป็นเวอร์ชั่นปัจจุบันตลอดเวลา การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายผ่านสมาร์ทโฟนบางครั้งเกิดความคลาดเคลื่อน ทำให้ไม่สามารถเช็คยอดเงินคงเหลือจากปัจจุบันได้เท่าที่ควร

การใช้งานแอปพลิเคชั่นสำหรับการเงินมีมากเกินความจำเป็น ทำให้ข้อมูลการใช้งานกระจัดกระจายไม่เป็นระบบ รวมไปถึงเศรษฐกิจยุคปัจจุบันที่ผู้คนตั้งเป้าเก็บเงินได้ยากขึ้น เนื่องจากค่าเงิน โรคภัย รวมถึงสภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

ส่งผลให้คนยุคใหม่มีปัญหาออมเงินไม่ถึงเป้าหมาย ถึงแม้ว่าจะทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย ดำเนินการเปิดบัญชีธนาคารเพื่อแยกค่าใช้จ่ายแล้วก็ตาม แอปเก็บเงินกสิกรจึงได้ริเริ่มผลิตแอปเก็บเงินที่สามารถแยกรายรับรายจ่าย ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าใช้จ่ายพร้อมเงินเก็บแต่ละครั้งได้ดี

MAKE by KBank แอปเก็บเงินยุคปัจจุบันสำหรับคนรุ่นใหม่ ภายใต้ผู้ผลิตจากแอปเก็บเงินกสิกร  ถือได้ว่าเป็นแอปออมเงินที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนรุ่นใหม่ มีคุณสมบัติที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น หนึ่งบัญชี แบ่งกระเป๋าย่อยได้ โดยใช้หลักการ 6 Jars เข้ามาช่วยจัดการเก็บเงิน ทำให้วางแผนการใช้จ่ายตามเป้าหมายในอนาคตได้ดีขึ้น

นอกจากนี้แอปช่วยเก็บเงินดังกล่าวสามารถทำธุรกรรมอื่น ๆ เทียบเท่ากับบัญชีทั่วไปได้ เช่น โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารระหว่างบัญชีภายในธนาคารกสิกรไทย โอนเงินระหว่างธนาคารด้วยกัน รวมถึงถอนเงินโดยไม่ใช้บัตรผ่านตู้ ATM ธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ เป็นต้น

ฟีเจอร์สุดช่วยเก็บเงินจากแอปออมเงิน MAKE by KBank

ฟีเจอร์แอปออมเงิน MAKE by KBank

ยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น ผู้ผลิตแอปเก็บเงินดังกล่าว ได้ริเริ่มระดมสมองสำหรับการสร้างแอปเก็บเงินที่เป็นมากกว่าการทำธุรกรรมทั่วไปอย่าง โอนเงิน ถอนเงินหรือจ่ายเงินสดผ่านแอปพลิเคชั่น

ช่วงเริ่มต้นผลิตแอปเก็บเงิน ผู้ผลิตได้ริเริ่มสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้งานทำธุรกรรมการเงินในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร ก่อนนำมาวิเคราะห์ว่าผู้ใช้งานปัจจุบันมีความต้องการใช้งานแอปเก็บเงินไปในทิศทางใด โดยวางแผนการผลิตแอปพลิเคชั่นสำหรับออมเงินพร้อมกับเป็นแอปช่วยเก็บตังไปในตัว

หลังจากทดสอบการใช้งานแอปเก็บเงินเป็นไปในทิศทางบวก ผู้ผลิตแอปเก็บเงินกสิกรได้ปล่อยแอปดังกล่าว สำหรับการให้บริการ MAKE by KBank ให้กับบุคคลภายนอกที่เป็นมากกว่าการทำธุรกรรมทั่วไป
สามารถวางแผนทางการเงินไปพร้อมกันไม่ว่าจะเป็นการแบ่งกระเป๋าบัญชีการใช้จ่าย สรุปรายรับ-รายจ่าย รวมถึงโอนเงินเข้าบัญชีในระยะอยู่ใกล้กัน รวมถึงเป็นตัวช่วยในการเก็บเงินยุคปัจจุบัน

แอปแบ่งเงินเก็บ MAKE by KBank มีวัตถุประสงค์อยากให้ใครหลายคนรู้สึกสนุกกับการเก็บเงิน ไปพร้อมกับวางแผนการออมเงินผ่านแอปเก็บเงินได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น แอปเก็บเงินกสิกรตัวนี้ มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจที่ช่วยให้การออมเงินในยุคปัจจุบันสนุกมากยิ่งขึ้น ดังนี้
 
Cloud Pocket
หนึ่งในหัวใจสำคัญจากแอปเก็บเงินตัวนี้ มีคุณสมบัติเปรียบเสมือนกระเป๋าที่วางแผนการเงินเป็นสัดส่วน จัดทำบัญชีรายย่อยให้เป็นบัญชีเดียว เพื่อให้การออมเงินที่วางแผนไว้ถึงเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น ตั้งค่ากระเป๋าการเงินเป็นเก็บเงินใช้จ่ายส่วนตัว เก็บเงินไปเที่ยว เก็บเงินซื้อตั๋วคอนเสิร์ต รวมถึงเก็บเงินซื้อหนังสือ จะทำให้ผู้ใช้งานแอปเห็นภาพการเก็บเงินผ่านแอปแบ่งเงินเก็บได้ดีขึ้น

Expense Summary
เป็นฟีเจอร์สรุปค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนผ่านแอปเก็บเงิน มีข้อน่าสนใจคือ สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินแต่ละเดือนของตัวเองว่าเป็นไปในทิศทางใด รวมถึงลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นของตนเอง ผู้ใช้งานสามารถวางแผนการใช้จ่ายของตนได้ทันที ในเดือนถัดไปว่าควรไปทิศทางใดถึงจะมีเงินเก็บมากขึ้น

ภายในฟีเจอร์แอปแบ่งเงินดังกล่าวเลือกดูได้ว่าใช้จ่ายไปแล้วกี่เปอร์เซนต์ มีเงินเก็บคงเหลือเท่าไร ปัจจุบันฟีเจอร์ Expense Summary แบ่งรายจ่ายออกเป็น 6 แบบ ดังนี้ อาหาร, ช้อปปิ้ง, เดินทาง, บันเทิง, ชำระบิล และอื่น ๆ

Pop Pay
เป็นการโอนเงินผ่านระบบบลูทูธ (Bluetooth) ระยะ 5-10 เมตร จากแอปเก็บเงินด้วยกัน หลักการทำงานคล้ายกับ Nearby Share ผ่าน Android หรือ Airdrop ผ่าน IOS หากใช้คู่กับ Chat Banking ฟีเจอร์สำหรับจดบันทึกธุรกรรม รวมถึง Cloud Pocket ที่เน้นแบ่งกระเป๋าใช้จ่ายตามการออม จะช่วยให้บริการจัดการเงินได้ดีขึ้น

Pop Pay นั้น มีที่มาจากการพัฒนาฟีเจอร์ 2 ส่วนหลักคือ MAKE it Social เน้นผู้ใช้สามารถบริหารจัดการเงินด้วยตัวเองผ่านการวางแผนทางการเงิน และ MAKE it Fast พัฒนาฟีเจอร์เทคโนโลยีพร้อมออกแบบฟีเจอร์ เพื่อให้จัดการเงินได้สะดวก มีความปลอดภัยในการใช้งานมากยิ่งขึ้น

Chat Banking
เป็นฟีเจอร์สำหรับจดบันทึกธุรกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ถอน โอน จ่าย ผ่านรูปแบบนิยายแชตที่ได้รับความนิยมในคนรุ่นใหม่ โดยเน้นบทสนทนาระหว่างผู้ส่งสารไปถึงผู้รับสารตลอดเวลา เปรียบเสมือนกับการส่งข้อความที่มีการตอบกลับ ถือได้ว่า Chat Banking เปรียยเสมือนเป็นเลขาส่วนตัวคอยรายงานค่าใช้จ่ายผ่านแอปช่วยเก็บเงินให้เรารับทราบว่าได้ทำธุรกรรมอะไรไปบ้าง

ดาวน์โหลดแอปออมเงิน MAKE by Kbank เลย!

หน้าจอหลักแอปออมเงิน MAKE by KBank

แอปออมเงิน MAKE by KBank ถูกออกแบบโดยผู้ผลิตแอปเก็บเงินกสิกร มุ่งมั่นพัฒนาฟังก์ชั่นหน้าจอหลักพร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ ของแอปให้มีจุดเด่นที่น่าสนใจพร้อมใช้งาน แอปเก็บเงินดังกล่าว มีรูปแบบการใช้งานที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการใช้งานของแอป ระบบหลังบ้านที่มั่นใจได้ถึงความปลอดภัย ความเสถียรภาพของแอปแบ่งเงินที่ข้อมูลไม่สามารถรั่วไหลออกไปได้

แอปเก็บเงินดังกล่าวมาพร้อมกับฟังก์ชั่นโดยรวมที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น Cloud Pocket ที่เป็นการแบ่งกระเป๋าเก็บเงินภายในแอป Expense Summary ฟีเจอร์เกี่ยวกับการสรุปค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนว่าใช้อะไรบ้าง ไปจนถึง Pop Pay ที่เน้นโอนเงินระหว่างผู้ใช้ด้วยกันในระยะ 5-10 เมตร เป็นต้น

ช่วยให้การใช้งานภายในแอปสะดวกขึ้น หากต้องการใช้แอปเก็บเงิน เพื่อจัดการธุรกรรมการเงินให้เป็นสัดส่วนตามฉบับตนเอง มีวิธีดาวน์โหลดแอปดังนี้

  • ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น MAKE by KBank ผ่านระบบ IOS และ Andriod
  • เปิดหน้าแอปออมเงิน จากนั้นกรอกหมายเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
  • ตั้งรหัส Log-in เพื่อความปลอดภัยทางธุรกรรม จากนั้นตั้งชื่อเล่นผู้ใช้งานของตนเอง
  • อ่านรายละเอียดต่าง ๆ พร้อมเงื่อนไขการเปิดบัญชีเพิ่มเติมให้เรียบร้อยก่อนเปิดใช้งาน
  • หากผู้ใช้งานมีแอป KPLUS เดิมอยู่แล้ว ให้ดำเนินการเปิดบัญชีผ่านแอปดังกล่าว เพื่อให้ทาง MAKE by KBank เชื่อมต่อข้อมูลเก่าที่เคยสมัครไว้
  • ยืนยันตัวตนผ่านบัตรประชาชนด้วยตู้ ATM กสิกรไทย ดำเนินการสอดบัตรที่ตู้ ให้ระบบตรวจสอบข้อมูล จากนั้นให้ดำเนินการยืนยันตัวตนผ่านแอปแบ่งเงินอีกครั้งหนึ่ง ผ่านการแสกนใบหน้าตามที่ระบุ

สรุป
คนรุ่นใหม่เลือกใช้แอปเก็บเงินเพิ่มขึ้นต่อเนื่องภายในระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา หลังจากการระบาดของโควิด รวมถึงสภาพเศรษฐกิจ ทำให้คนนิยมออกจากบ้านน้อยลง เน้นใช้เทคโนโลยีอย่างสมาร์ทโฟนใช้ทำธุรกรรมทางการเงินมากขึ้น รวมถึงการใช้งานแอปช่วยเก็บเงิน เพิ่มฟีเจอร์การใช้งานให้น่าสนใจ เพื่อเก็บเงินได้ตามความประสงค์ของตนเอง

ถือได้ว่าแอปเก็บเงิน MAKE by KBank ให้ความสำคัญกับการออมเงินผ่านแอปออมเงิน ที่มีฟีเจอร์อันน่าสนใจไม่ว่าจะเป็น Cloud Pocket เน้นวางแผนกระเป๋าการเงินตามสัดส่วนการใช้จ่าย หรือแบ่งออมเงินในชีวิตประจำวัน Pop Pay ที่เน้นโอนเงินระหว่างแอปช่วยเก็บเงินด้วยกัน ในระยะ 5-10 เมตร เข้ามาจัดการการออมเงินผ่านแอปเก็บตังได้ดีขึ้น

ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์อันเห็นได้ชัดว่า MAKE by KBank เป็นแอปเก็บเงินที่รวบรวมฟีเจอร์การใช้งานแอปออมเงินได้น่าสนใจ ไม่ซับซ้อนจนเกินไปสำหรับผู้ใช้งานครั้งแรก ทันทีที่สมัครบัญชีเสร็จ หากผู้ใช้งานครั้งแรกใส่ชื่อผู้แนะนำ ผู้แนะนำจะได้รับเงินโบนัสเพิ่มจากแอปออมเงินกสิกร นอกจากนี้ยังมีส่วนลดพิเศษจากพาร์ท
เนอร์ต่าง ๆ มอบให้ผู้สมัครอีกด้วย


195
ปลูกผม FUE

อาการผมร่วง ผมบาง กลายเป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับใครหลาย ๆ คนที่อยากจะมีผมดกดำ แต่ก็กลัวการปลูกผมด้วยวิธีการผ่าตัด ซึ่งในปัจจุบัน มีเทคนิคการปลูกผมแบบใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด เพียงแค่เจาะกอผมแล้วย้ายไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ ไม่ต้องผ่าตัดให้เจ็บตัว ใช้เวลาพักฟื้นน้อย มีความปลอดภัยสูง อีกทั้งผลลัพธ์ยังดูเป็นธรรมชาติ นั่น คือ การปลูกผม FUEแล้วการปลูกผมแบบนี้ คืออะไร มีวิธีการแตกต่างจาก FUT และ DHI อย่างไร เราไปดูกัน

แนะนำเทคนิคปลูกผม FUE

การปลูกผม FUE (Follicular Unit Extraction) หรือ FUE hair transplant คือ เทคนิคการผ่าตัดปลูกผม เพื่อรักษาอาการผมร่วงหรือศีรษะล้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคนิคการปลูกผมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ด้วยข้อดีที่ว่า ไม่ทิ้งรอยแผล เส้นผมดูเป็นธรรมชาติ สามารถฟื้นตัวได้ไว และมีความปลอดภัยสูง

โดยการปลูกผม FUE จะใช้ผมของตัวคนไข้เอง ซึ่งปกติจะเป็นบริเวณด้านหลังหรือด้านข้างของหนังศีรษะ ที่จะเจาะนำกอผมออกมาด้วยเครื่องมือพิเศษ มีลักษณะเป็นเข็มขนาดเล็ก ต้องอาศัยความชำนาญของศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ จากนั้น ก็นำกอผมมาปลูกในบริเวณที่ต้องการ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย โดยที่คนไข้ไม่จำเป็นต้องนอนพักฟื้นที่สถานพยาบาล

ประโยชน์ของการปลูกผม FUE

การปลูกผม FUE มีประโยชน์หลายอย่าง เมื่อเทียบกับเทคนิคการฟื้นฟูผมแบบเก่า เช่น FUT (Follicular Unit Transplantation) โดยข้อดีของการปลูกผม FUE มีดังนี้

  • รอยแผลเป็นมีขนาดเล็ก เพราะเป็นการเจาะทีละกอผม ไม่ต้องใช้ไหมเย็บ ทำให้สังเกตรอยแผลเป็นได้ยาก
  • ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ด้วยการปลูกผม FUE แพทย์จะทำการออกแบบแนวเส้นผมที่มีความแม่นยำและดูเป็นธรรมชาติ
  • การปลูกผม FUE เป็นการผ่าตัดขนาดเล็ก ไม่จำเป็นต้องมีการลอกหนังศีรษะออกเหมือนการปลูกผมแบบ FUT ทำให้ไม่ต้องพักฟื้น ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น สามารถกลับมาทำกิจกรรมตามปกติได้ภายใน 2 - 3 วัน
  • สำหรับเทคนิคนี้ เหมาะสำหรับทุกสภาพผม ทั้งผมตรง ผมหยักศก หรือผมหยิก ทุกคนจึงสามารถทำได้
  • เราสามารถใช้เส้นผมจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าอก หลัง หรือเครา สำหรับการปลูกผม FUE ได้
  • มีความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ต่ำ เช่น การติดเชื้อ เส้นประสาทเสียหาย ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อยกว่าการปลูกผมแบบ FUT
  • การปลูกผม FUE ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน เนื่องจากเส้นผมที่เรานำมาใช้นั้น เป็นเส้นผมของเราเอง ร่างกายจึงไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน สามารถแก้ปัญหาผมร่วงได้อย่างตรงจุด

แม้ว่า การปลูกผม FUE จะมีประโยชน์มากมาย แต่อย่างไรก็ตาม การประสบความสำเร็จ ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการนั้น ก็ยังขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำ ดังนั้น การเลือกแพทย์ที่มีคุณภาพและประสบการณ์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ อีกทั้งผลลัพธ์ของแต่ละคนก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในร่างกายของแต่ละคนอีกด้วย

ลักษณะอาการที่ควรปลูกผม FUE

การปลูกผม FUE เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง และหัวล้านโดยเฉพาะ โดยลักษณะเฉพาะของอาการที่เหมาะสำหรับการปลูกผม FUE คือ

ผมร่วง

การปลูกผม FUE เหมาะสำหรับการรักษาผู้ที่มีปัญหาผมร่วง โดยเฉพาะในบริเวณที่มีศีรษะล้าน ไรผมและกระหม่อม ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งอาการผมร่วงอาจจะเกิดขึ้นได้ ทั้งจากอาการเจ็บป่วย กรรมพันธุ์ หรือสารเคมี ดังนั้น ก่อนเข้ารับการรักษา เราควรจะปรึกษาแพทย์ให้ดีเสียก่อน

ผมบาง

หากเรามีอาการผมบางในบางบริเวณของศีรษะ แต่บริเวณอื่นกลับมีเส้นผมอย่างหนาแน่นและมากพอที่จะใช้ การปลูกผม FUE จึงเป็นเทคนิคที่มีความเหมาะสมมาก ด้วยแพทย์จะเจาะกอผม เพื่อดึงรากผมที่แข็งแรงออกจากบริเวณดังกล่าว และนำมาปลูกบริเวณที่ผมบาง เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของเส้นผม

หัวล้าน

แม้ว่า คุณจะมีปัญหาศีรษะล้านหรือหัวล้าน การปลูกผม FUE ก็ยังเป็นทางเลือกที่เราสามารถทำได้ ถ้าหากเรามีปริมาณเส้นผมจากส่วนอื่นของร่างกายที่มากพอ เราก็สามารถเจาะกอผมและนำมาปลูกได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ความสำเร็จของผลลัพธ์ก็ขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ของแพทย์ คุณภาพของเส้นผม และปัจจัยต่าง ๆ ในร่างกายของเราด้วย ดังนั้น ก่อนเข้ารับการปลูกผม FUE เราจะต้องปรึกษากับแพทย์ เพื่อให้ประเมินสภาพเส้นผม บริเวณที่ต้องการเจาะผมและปลูกผม ว่า เหมาะสมที่จะรักษาด้วยวิธีนี้หรือไม่

ปลูกผม FUE, FUT, DHI  แตกต่างกันอย่างไร

ปลูก ผม fue กับ fut

เทคนิคการปลูกผมในปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายวิธี ทั้ง FUE (Follicular Unit Extraction), FUT (Follicular Unit Transplantation) และ DHI (Direct Hair Implantation) ต่างก็ใช้ในการแก้ปัญหาผมร่วงและเพิ่มความหนาแน่นของเส้นผม แต่ละวิธีมีลักษณะเฉพาะ ข้อดี และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนี้

การปลูกผม FUE เป็นการเจาะกอผมจากบริเวณหนึ่ง (โดยปกติ คือ ด้านหลังหรือด้านข้างของหนังศีรษะ) ด้วยเครื่องมือพิเศษขนาดเล็ก (microneedle หรือ punch tool) แล้วนำมาปลูกในบริเวณที่ต้องการ (บริเวณหัวล้านหรือผมบาง) ซึ่งเทคนิคนี้ จะทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ คล้ายจุด ซึ่งสังเกตเห็นได้ยากกว่า ทำให้เราสามารถไว้ผมสั้นได้ โดยไม่เห็นแผลเป็น

อีกทั้งยังเป็นการปลูกผมที่ไม่จำเป็นต้องมีการลอกหนังศีรษะออก ส่งผลให้เนื้อเยื่อมีอาการบาดเจ็บน้อยลงและฟื้นตัวได้เร็วกว่า เมื่อเทียบกับการปลูกผมแบบ FUT และผลลัพธ์ที่ได้นั้น ก็ดูเป็นธรรมชาติ เพราะได้รับการออกแบบอย่างแม่นยำ เนื่องจากแพทย์สามารถกำหนดบริเวณที่ต้องการปลูกได้

การปลูกผม FUT เป็นการผ่าตัด เพื่อนำเนื้อเยื่อหนังศีรษะออกจากบริเวณที่มีเส้นผมหนาแน่น ก่อนจะนำไปปลูกลงในบริเวณที่ต้องการ ซึ่งเทคนิคนี้จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ หากเราตัดผมสั้นก็จะสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย และด้วยเป็นการผ่าตัด ทำให้ร่างกายต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้น

การปลูกผม DHI เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการปลูกผม FUE ซึ่งรากผมที่สกัดออกมาจะถูกฝังลงในบริเวณที่ต้องการทันที โดยใช้เครื่องมือพิเศษ ทำให้ไม่ทิ้งรอยแผล อีกทั้งยังมีการควบคุมมุมและทิศทางของเส้นผมที่ปลูกได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่อาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการผมร่วงมาก

สรุปแล้ว การปลูกผม FUE ได้รับความนิยมในเรื่องของการไม่ทิ้งรอยแผลเป็น และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ต่างจากการปลูกผม FUT ที่สามารถปลูกผมได้ในปริมาณมากในเวลาเดียวกัน ส่วนการปลูกผม DHI ก็โดดเด่นที่เป็นการปลูกผมที่แม่นยำ แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา โดยในแต่ละเทคนิคนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยแต่ละอย่าง เช่น ความรุนแรงของอาการผมร่วง ปริมาณเส้นผม ความต้องการส่วนตัวในแต่ละเทคนิค เป็นต้น

ปลูกผม FUE ที่ไหนดี

ปลูก ผม long hair fue

แล้วเราควรจะเลือกปลูกผม FUE ที่ไหนดี อย่างที่กล่าวไปว่า การปลูกผมเป็นเทคนิคที่ละเอียดอ่อน ผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ของแพทย์ด้วยส่วนหนึ่ง ดังนั้น การเลือกสถานพยาบาลที่มีชื่อเสียง แพทย์มีความเชี่ยวชาญ และให้บริการดี ก็จะเป็นการรับรองถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่ง

โดยเราควรจะเลือกสถานพยาบาลในการปลูกผม FUE ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้

  • แพทย์ปลูกผมที่มีประสบการณ์และผ่านการรับรอง ด้วยการตรวจสอบข้อมูลประจำตัว คุณสมบัติ และประสบการณ์ในการทำศัลยกรรมปลูกผม
  • ตรวจสอบเทคโนธลยีและอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ที่ทันสมัย มีความปลอดภัย และสะอาด พร้อมใช้งาน
  • ชื่อเสียงของสถานพยาบาล ใบอนุญาตและการรับรองที่จำเป็นในการดำเนินการปลูกผม เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่า สถานพยาบาลมีการปฏิบัติตามมาตรฐานและแนวทางที่กำหนด
  • ค้นหาข้อเสนอแนะต่าง ๆ บนโลกออนไลน์จากผู้ที่เคยเข้ารับการรักษา หากมีข้อเสนอแนะในเชิงบวกและผลลัพธ์ของผู้ป่วยที่ประสบความสำเร็จ ย่อมเป็นการบ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาลนั้น
  • มีภาพถ่ายของคนไข้ ทั้งก่อนและหลัง เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เราจะได้รับ หลังทำการปลูกผม FUE
  • สถานพยาบาลมีความสะอาดและให้บรรยากาศที่อบอุ่น ปลอดภัย และถูกสุขลักษณะ
  • เมื่อเข้ารับบริการ เราสามารถปรึกษาแพทย์ได้อย่างครบถ้วน โดยแพทย์สามารถอธิบายรายละเอียดขั้นตอนของการปลูกผม FUE และร่วมประเมินวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
  • มีการชี้แจงราคาค่าใช้จ่ายอย่างโปร่งใส ไม่ควรมีค่าใช้จ่ายแอบแฝง และควรแจ้งล่วงหน้าว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
  • ภายหลังจากการปลูกผม FUE แล้ว ทางสถานพยาบาลควรมีบริการดูแลและติดตามผลของการปลูกผม เพื่อกำกับติดตามความคืบหน้า และสามารถเข้าแก้ไข เมื่อมีปัญหาได้อย่างทันท่วงที

สรุปการปลูกผม FUE

การปลูกผม FUE (Follicular Unit Extraction) หรือ FUE hair transplant คือ เทคนิคการปลูกผมแบบที่ไม่ต้องผ่าตัด เพียงใช้เครื่องมือพิเศษในการเจาะกอผมแล้วย้ายไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ เพื่อใช้รักษาอาการผมร่วง ผมบาง ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้เลย โอกาสเกิดความเสี่ยงต่ำ มีความปลอดภัยสูง นับว่า เป็นเทคนิคในการปลูกผมที่น่าสนใจและกำลังได้รับความนิยมสูง

196
Samsung Galaxy Watch6 Classic

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้มีข่าวลือกันว่าทาง Samsung อาจจะนำขอบหน้าปัดหมุนแบบสามารถสัมผัสได้จริงกลับมาบน Samsung Galaxy Watch6 Classic หรือรุ่น Samsung Galaxy Watch 6 Pro นั่นเอง ทำให้ดูเปรียบเสมือนดั่งนาฬิกายุคคลาสสิคจริง ๆ แต่มีความทันสมัย และมีลูกเล่นต่าง ๆ ที่เหมือนกับนาฬิกาสมัยใหม่ผสมเข้าด้วยกัน ส่วนในเรื่องสเปคต่าง ๆ ที่มีข่าวลือหลุดออกมาของทาง Samsung Galaxy Watch 6 Series จะมีความคล้ายคลึงกับ Samsung Galaxy Watch4 Series โดยในรุ่นของ Samsung Galaxy Watch6 Classic จะนำขอบตัวเรือนแบบจริงที่สัมผัสได้จริงเหมือนกับขอบหน้าปัดที่อยู่ใน Samsung Galaxy Watch 4 Classic ทั้งนี้ หน้าปัดนาฬิกาจะมีดีไซน์หน้าจอแบบ OLED ทรงกลมเหมือนกันทั้ง 2 รุ่น และด้วยขนาดแล้ว Samsung Galaxy Watch 6 Series นี้ได้มีการอัพเกรดหน้าจอให้มีขนาดที่ใหญ่กว่าสมาร์ทวอทซ์รุ่นเก่าอย่าง Samsung Galaxy Watch 5 Series อยู่ที่ประมาณ 20%

Samsung Galaxy Watch6 Classic ลือฟีเจอร์เด่น

ซึ่งตัวนาฬิกาของทาง Samsung Galaxy Watch6 Classic จะมาพร้อมหน้าปัด 2 ขนาดให้เลือก ได้แก่ หน้าปัดขนาด 43 มิลลิเมตร และ 47 มิลลิเมตร โดยที่ตัวเรือนจะพร้อมกับหน้าปัดที่สามารถหมุนได้จริงเหมือนกับรุ่นก่อนอย่าง Samsung Galaxy Watch 4 Classic แต่จะเปลี่ยนเป็นวัสดุใหม่ โดยจะใช้วัสดุเป็นสแตนเลสสตีล ที่มีความทนทานและน้ำหนักเบากว่าแทนที่ ส่วนกระจกก็จะใช้เป็นวัสดุ Sapphire Glass ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความคงทนกันกระแทกสูง ทำให้ทนต่อการขีดข่วนเป็นรอย หรือการแตกของหน้าจอ
ส่วนรายละเอียดของ Size หน้าปัดจอแสดงผลในรุ่น 43 มิลลิเมตร นั้นจะมาในขนาด 1.31 นิ้ว พร้อมความละเอียดอยู่ที่ 432 x 432 Pixel และรายละเอียดของ Size หน้าจอที่ใหญ่ที่สุดจะมีขนาด 47 มิลลิเมตร มีขนาดอยู่ที่ 1.47 นิ้ว ที่มีความละเอียด 480 x 480 Pixel เท่ากับตัว Samsung Galaxy Watch 6 มาตรฐาน สำหรับความคงทนของนาฬิกาตัวเรือนจะมีมาตรฐาน IP68 / ATM5 /MiL-STD-810 ที่มีความทนทานทั้งป้องกันน้ำ ฝุ่นเข้าตัวนาฬิกา และกันสั่นสะเทือนที่ทนทานเอามาก ๆ
เรียกได้ว่าฟีเจอร์ที่ลือกันออกมานั้นทาง Samsung Galaxy Watch6 Classic ได้มีการปรับแต่งตัวหน้าปัดนาฬิกาที่สามารถหมุนได้จริงกลับมา พร้อมทั้งได้รับการอัพเกรดวัสดุให้มีความทนทานแต่มีน้ำหนักเบา และกระจกของตัวหน้าปัดที่เป็น Sapphire Glass ก็มีความทนทานสูง บวกกับการขยายขนาดหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดในรุ่น Samsung Galaxy Watch ที่เคยมีมา ทำให้ซัมซุง สมาร์ทวอทช์รุ่นนี้ เรียกได้ว่าใส่ใจรายละเอียดของผู้ใช้งานจริง

Samsung Galaxy Watch6 Classic สเปคโดยรวม

ส่วนสเปคของตัวนาฬิกา Samsung Galaxy Watch6 Classic ที่ลือกันออกมานั้น ได้รับการอัพเกรดเหมือนกับในรุ่น Samsung Galaxy Watch 6 ซี่รี่ส์มาตรฐาน ซึ่ง Samsung Galaxy Watch 6 Classic นั้นจะมาพร้อมกับระบบกันสั่น มีไมโครโฟน และลำโพงสนทนาในตัวนาฬิกาเอง แล้วยังสามารถรองรับระบบการสั่งการด้วยเสียงอีกด้วย ส่วนในเรื่องของแบตเตอรี่ในรุ่นหน้าปัดขนาด 43 มิลลิเมตร จะมีความจุแบตเตอรี่ 300 mAh และรุ่นหน้าปัดขนาด 47 มิลลิเมตร จะมีความจุแบตเตอรี่ที่ 425 mAh และนาฬิการุ่น Samsung Galaxy Watch6 ก็รองรับระบบชาร์จไฟไร้สายได้ และมีการติดตั้งการใช้หน่วยประมวลผล Exynos W930, RAM 2GB พร้อม ROM 16GB ที่ผลิตโดยสถาปัตยกรรมแบบใหม่ ขนาด 5 นาโนเมตร ในรุ่นนี้จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Wear OS 4 ที่ครอบทับด้วย One UI Watch 5 เป็นเวอร์ชั่นใหม่ แล้วยังรองรับการเชื่อมต่อแบบ Bluetooth 5.3 และ Wi-Fi ที่มีความเสถียร นอกจากนี้ Samsung Galaxy Watch6 Classic ได้มีการอัพเกรด RAM ให้เพิ่มขึ้นเป็น 2GB จากรุ่นก่อนที่ให้ RAM มาเพียง 1.5GB เท่านั้น ส่วนความจุของ Galaxy Watch6 Classic ให้มาที่ 16GB เท่าเดิม ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์วิเคราะห์การนอนหลับได้ละเอียดกว่าเดิม พร้อมกับเซนเซอร์ต่าง ๆ ที่แสดงผลเป็น มาตราความเร่งที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหว ไจโรสโคปที่สามารถหมุนวัดองศา เซ็นเซอร์ตรวจจับออกซิเจนในเลือด เซนเซอร์การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิ เข็มทิศ และยังสามารถวัดมวลร่างอีกด้วย นับได้ว่าเป็นสเปคที่ครบถ้วนเลยสำหรับซัมซุง สมาร์ทวอทช์รุ่นนี้ที่กำลังจะออกมาจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้

Samsung Galaxy Watch6 Classic มี 2 สีให้เลือกซื้อ

โดยข่าวสารปัจจุบันที่มีการให้ข้อมูลออกมาทาง Samsung ปล่อยนาฬิการุ่น Galaxy Watch 6 Classic ออกมาด้วยกัน 2 สี จะมีสีดำ และสีเงิน ซึ่งเป็นสีที่มีความมาตรฐานเหมาะแก่ผู้ใช้งานทุกคน เป็นสีที่ได้รับความนิยมสูง สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ เป็นสีที่ดูทางการ มีความเรียบง่ายและสบายตา ซึ่งแต่ละสีจะมีความโดดเด่นอย่างไรบ้าง เราจะมาดูกัน

Galaxy Watch6 Classic สี Black

นาฬิกา Samsung รุ่น Galaxy Watch6 Classic Black จะมีสีดำด้านเป็นสีที่มีความนิยมสุด เพราะใส่ไปไหนก็ได้ เป็นสีที่มีความคลาสสิคดูมีความสุขุม ดูเป็นทางการ สีดำยังเป็นสีที่ให้ความรู้สึกเข้มแข็ง หนักแน่น ลึกลับ และน่าค้นหา สำหรับใครที่ชอบสไตล์คลาสสิค

Galaxy Watch6 Classic สี Silver

นาฬิกา Samsung รุ่น Galaxy Watch6 Classic Silver จะมีสีเงินออกเทา ๆ ที่ทำให้อยู่ระหว่างของสีขาวและสีดำ สำหรับใครที่ชอบสีขาวแต่ก็กังวลเรื่องความสกปรก สีเงินจะเข้ามาเติมเต็มในส่วนนี้ทำ ส่วนสีเงินนี้จะดู ความหรูหรา เกียรติยศ ความสง่างาม ความสร้างสรรค์ ความทันสมัย

Galaxy Watch6 classic สีใหม่


Samsung Galaxy Watch 6 ลือพร้อมระบบการติดตามนอนหลับที่ดีขึ้น พร้อมทั้งระบบวิเคราะห์สุขภาพร่าง

ด้วยความที่มีข่าวลือหลุดสเปคนาฬิกาของทาง Samsung Galaxy Watch6 Classic ยกระดับระบบให้ดีขึ้น ปรับปรุงระบบต่าง ๆ ที่มีจากรุ่นก่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบวิเคราะห์การนอนหลับ ที่ช่วยวิเคราะห์เปรียบเทียบลักษณะของผู้ใช้งาน แล้วจะช่วยวิเคราะห์สุขภาพร่างของขณะที่ผู้ใช้งานนอนหลับ เจ้า Samsung Galaxy Watch 6 Classic นี้จะช่วยเช็กสถานะร่างกายโดยละเอียด เช่น ระยะเวลาการนอนหลับ การเผาผลาญแคลอรีขณะที่ผู้ใช้นอนหลับ ระยะเวลาของการหลับลึก หลับยาว หรือหลับสั้น บอกถึงความสม่ำเสมอของการนอนหลับ และสามารถตรวจจับการกรนระหว่างนอนของผู้ใช้งาน อีกทั้งวัดค่าออกซิเจนในเลือด วัดค่าอัตราการเต้นของหัวใจ และวัดอุณหภูมิของร่างกายอีกด้วย โดยยังสามารถนำค่าเหล่านี้มาบันทึกย้อนหลังได้ เพื่อนำไปปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ Samsung Galaxy Watch6 Classic เป็นสมาร์วอทซ์ที่น่าจับตามองมากสำหรับใครที่รักสุขภาพ หรือบุคคลธรรมดาทั่วไป เพราะเจ้าสมาร์ทวอทซ์รุ่นนี้สามารถวิเคราะห์สุขภาพร่างกายของเราได้ ทำให้เราได้ใกล้ชิดถึงการมีสุขภาพที่ดี แล้วยังสามารถนำบันทึกไปปรึกษากับแพทย์เพื่อการวิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น

สรุป Samsung Galaxy Watch6 Classic รุ่นใหม่ไฉไลกว่าเดิม

เรียกได้ว่าข้อมูลข่าวสารที่หลุดออกมานั้นสำหรับนาฬิการุ่น Samsung Galaxy Watch6 Classic นั้นออกแบบมาให้เหมาะกับผู้ใช้งานแทบทุกคน ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์แบบไหนก็สามารถใช้งาน Samsung Galaxy Watch 6 Classic ได้ มีให้คุณได้เลือกจับจ่ายใช้สอยด้วยกัน 2 รุ่น รุ่นแรกจะมีหน้าปัดจอแสดงผล 44 มิลลิเมตร มีแบตเตอรี่ขนาด 300 mAh และรุ่นที่ 2 มีหน้าปัดจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่สุดในรุ่น 47 มิลลิเมตร ขนาดแบตเตอรี่ 435 mAh ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้จะมาพร้อมกับ 2 สีให้เลือก สีแรกคือสีดำ และสีที่สองคือสีเงิน

และมีการอัพเกรดตัวระบบปฏิบัติการแบบใหม่ที่จะทำหน้าที่ช่วยวิเคราะห์สุขภาพร่างกาย เสมือนเป็นเลขาของคุณ ที่จะคอยบอกค่าสถานะร่างกายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าออกซิเจนในเลือด ค่าอัตราการเต้นของหัวใจ และอุณหภูมิของร่างกาย ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ตัว Samsung Galaxy Watch6 Classic ยังทำหน้าที่ได้ขณะที่คุณกำลังนอนหลับอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหลับลึก หลับยาว หลับสั้น ก็จะยังคงวัดค่าสถานะร่างกาย

เรียกได้ว่าเป็นนาฬิกาเรือนใหม่ที่น่าจับจ่ายใช้สอยอย่างมากด้วยสาเหตุที่เป็นนาฬิกาที่เป็นระบบดิจิตอลแต่คงความคลาสสิคด้วยระบบเข็มนาฬิกาที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ WiFi ได้อีกด้วย แล้วยังมีการแสดงค่าสถานะร่างกาย เพื่อวิเคราะห์ผลสุขภาพของผู้ใช้งาน ทำให้เจ้านาฬิการุ่น Samsung Galaxy Watch6 Classic นี้เป็นที่น่าจับตามองเลยทีเดียว

197
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะได้ยินเกี่ยวกับข่าวลือ ข่าวหลุดของ Tablet ระดับสูงตัวคุ้มค่าจากทาง Samsung นั้นก็คือ Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi ซึ่งในตอนนี้กำลังใกล้ที่จะเปิดตัวในประเทศไทยแล้ว โดยการเปิดตัวที่กำลังจะมาถึงจะมีการเปิดตัวทั้งหมด 3 รุ่นนั้นก็คือ Tab S9 WiFi/5G, Tab S9+ WiFi/5G และ Tab S9 Ultra WiFi/5G ให้กับผู้ที่สนใจได้ลองพิจารณาสเปกเครื่องแต่ละรุ่น ให้มีความเหมาะสมในการใช้งานของตนเอง ว่ามีความต้องการใช้งานในสเปกในระดับใด

โดยในบทความนี้จะมาเจาะลึกข้อมูลทั้งหมดของ Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi ตั้งแต่รายละเอียดสเปกเครื่อง ดีไซน์การออกแบบตัวเครื่อง จุดเด่นของเครื่องที่มีความน่าสนใจ พร้อมการเปรียบเทียบสเปก Tab S9 Plus WiFi กับ Tab S8 Plus WiFi กันในแบบชัด ๆ ว่าตัวเครื่องมีความแตกต่างจากรุ่นที่เปิดตัวไปก่อนหน้าอย่างไร มีความคุ้มค่าที่จะซื้อมากขนาดไหน เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อ Tablet รุ่นใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้

สเปค Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi

ขอขอบคุณภาพจาก -https://www.gizmochina.com/wp-content/uploads/2023/03/samsung-galaxy-tab-s9-series-1024x768.jpeg-

ไฮไลต์หลักของ Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi มีจุดเด่นไหนที่น่าสนใจ ?
จากข่าวลือของสำนักรีวิวมือถือชื่อดังที่มีความน่าเชื่อถือ จากหลาย ๆ สำนักได้เปิดเผยข้อมูลของ Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi ออกมาแล้วนั้น จะทำให้เราได้เห็นว่า Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi มีความน่าสนใจมาก ทั้งเรื่องของสเปกโดยรวมของตัวเครื่อง รวมถึงดีไซน์การออกแบบตัวเครื่อง ซึ่งในหัวข้อนี้จะขอบอกถึงไฮไลต์หลัก ๆ ของ Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi ที่มีความน่าสนใจคือ

  • หน้าจอรุ่นใหม่ล่าสุดแบบ Dynamic AMOLED 2X WQXGA
  • หน่วยประมวลผลตัวใหม่ล่าสุด ที่เหมาะกับทั้งการเล่นเกม และใช้งานที่หลากหลายอย่าง Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy
  • ใช้งานระบบสแกนลายนิ้วมือได้ง่ายด้วยระบบ Optical สแกนลายนิ้วมือภายในหน้าจอ
  • กล้องหลัก 2 ตัว และกล้องหน้า 1 ตัว
  • รองรับการใช้งานปากกา S - Pen
  • ลำโพงทั้งหมด 4 ตัว
  • มาตรฐานกันน้ำ และกันฝุ่นระดับ IP 68
  • สีของตัวเครื่องสีใหม่ 2 สี

จะเห็นได้เลยว่า Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi เป็น Tablet อีกหนึ่งรุ่นที่มีความน่าสนใจมากของปี 2023 โดยไฮไลต์ต่าง ๆ ที่ได้กล่าวออกไป ต้องขอย้ำให้ผู้ที่สนใจได้ทราบอีกครั้งว่าเป็นข้อมูลที่มาจากการคาดการณ์เท่านั้น เมื่อเปิดตัวจริงอาจมีบางอย่างที่มีความแตกต่างกันไป

รายละเอียดสเปกเครื่อง Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi เป็นอย่างไรบ้าง ?
จากที่เห็นแล้วว่าไฮไลต์หลัก ๆ ของตัวเครื่อง Table Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi ว่ามีความน่าสนใจอย่างไรมาแล้ว ในหัวข้อนี้จะอธิบายถึงรายละเอียดสเปกทั้งหมดของรุ่น Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi ว่ามีสเปกภายในเป็นอย่างไร ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นข้อมูลที่มาจากการคาดการณ์ของสำนักรีวิวที่มีความน่าเชื่อถือได้ปล่อยออกมาเท่านั้น อาจมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงได้หากเปิดตัวจริง

รายละเอียดสเปกของ Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi

  • หน่วยประมวลผลหลัก : Snapdragon 8 Gen 2 for Galaxy Octa Core ความเร็ว 3.36 GHz
  • หน่วยประมวลผลกราฟิก : GPU Adreno 740 ความเร็ว 719 MHz
  • หน่วยความจำ : Ram 12 GB Rom 512 GB
  • หน้าจอ : Dynamic AMOLED 2X ขนาด 12.4 นิ้ว ความละเอียด 2800 x 1782p Refresh Rate 120 Hz
  • กล้อง : กล้องหลัง 2 ตัว 13 MP + 8 MP กล้องหน้า 12 MP
  • ขนาดตัวเครื่อง : 254.8 x 165.8 x 5.9 มม.
  • แบตเตอรี่ : 10,090 mAh รองรับการชาร์จไว 45 W
  • สแกนลายนิ้วมือ : ระบบ Optical แบบฝังจอ
  • รองรับการใช้งาน S - Pen พร้อมระบบชาร์จกับตัวเครื่องได้
  • ระบบปฏิบัติการ : ONE UI 5.1.1 บน Android 13

จากสเปกจะเห็นได้ว่า Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi มีการใช้หน่วยประมวลผลหลักคือ Snapdragon 8 Gen 2 ซึ่งเป็นตัวเดียวกันที่ใช้ใน Samsung Galaxy S23 Series มือถือระดับเรือธงที่พึ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน เป็นตัวที่บ่งบอกได้ว่า Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi นั้น ในการใช้งานจริงจะต้องมีความลื่นไหลอย่างแน่นอน ทำให้ใครที่กำลังมีแผนในการซื้อ Tablet ตัวใหม่ ที่ต้องการรุ่นที่มีสเปกแรง ๆ จะต้องอดใจรออีกนิด เพราะใกล้ถึงเวลาเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลนี้ก็ยังเป็นเพียงข้อมูลที่ไม่ได้มาจาก Samsung Official ยังคงต้องรอการยืนยันข้อมูลสเปกอีกครั้งเมื่อมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi ต่างจาก Tab S8 Plus WiFi ในด้านใดบ้าง ?
อย่างที่หลาย ๆ คนทราบกันดีว่า Samsung Galaxy Tab S8 Plus WiFi เป็นรุ่นที่เปิดตัวมาแล้วในปีก่อน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับรุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวอย่าง Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi จะต้องมีสเปกภายในที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาให้ดียิ่งกว่าเดิม โดยในหัวข้อนี้จะมาเปรียบเทียบสเปกของทั้ง 2 รุ่นในหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน

1.ด้านหน่วยประมวลผลหลักของเครื่อง Samsung Galaxy Tab S8+ WiFi มาพร้อมกับ Snapdragon 8 Gen 1 ส่วน Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi มาพร้อมกับ Snapdragon 8 Gen 2 ซึ่งในเรื่องประสิทธิภาพในการทำงานมีความแตกต่างกันราว ๆ 47% และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้มากกว่า

2.ด้านหน่วยประมวลผลกราฟิก Samsung Galaxy Tab S8+ WiFi มาพร้อมกับ Adreno 730 ส่วน Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi มาพร้อมกับ Adreno 740 ซึ่งในด้านการประมวลผลกราฟิกพบว่า Adreno 740 ใน Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi ทำได้ดีกว่าราว ๆ 79 % เลยทีเดียวถือเป็นค่าที่มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจน

3.ด้านหน่วยความจำ Samsung Galaxy Tab S8+ WiFi มาพร้อมกับ Ram 8 GB Rom 128 GB ส่วน Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi มาพร้อมกับ Ram 12 GB Rom 512 GB

4.ด้านการถ่ายรูปด้วยกล้องหลัก Samsung Galaxy Tab S8+ WiFi มีเพียงกล้องหลัง 1 ตัว ความละเอียด 12 MP ส่วน Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi มาพร้อมกับกล้องหลัง 2 ตัว ความละเอียด 13 MP และ 8 MP   

Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi เปิดตัวพร้อม 4 สีหลัก

Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi เปิดตัวสีใหม่

ขอขอบคุณภาพจาก -https://cdn2.cellphones.com.vn/x,webp,q100/media/wysiwyg/tablet/samsung/samsung-galaxy-tab-s9-ultra-3.jpg-

Samsung Galaxy Tab S9 Plus จากการคาดการณ์จะเห็นได้ว่า ตัวเครื่องจะมีสีให้เลือก 4 สี ซึ่งเป็น 2 สีเก่าที่มีอยู่ในรุ่นก่อน ๆ เช่น และมี 2 Samsung Galaxy Tab S8 Plus คือ สีดำ Graphite, สีเงิน Silver ส่วนในรุ่น Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi จะมีการเปิดตัวสีใหม่เพิ่มเติมอีก 2 สีใหม่ โดยสีที่มีการเปิดตัวทั้งหมด คือ

Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi สีดำ Graphite
เป็นสียอดนิยมสุดคลาสสิกที่ได้รับความนิยมมากในกลุ่มผู้ใช้มือถือ Samsung เป็นสีดำที่มีความเงาสวยมีมิติ ถูกใช้ใน Smart Phone และ Tablet ตัวระดับกลางถึงระดับสูงมาแล้วหลาย ๆ รุ่น ซึ่งก็ไม่พลาดที่ Samsung Galaxy Tab S9 Plus จะเปิดตัวพร้อม ๆ กับสีนี้

Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi สีเงิน Silver
อีกหนึ่งสียอดนิยมที่ตีคู่มากับสีดำ Graphite เลยทีเดียว เป็นสีที่เงินเงาดูสวยงาม ใครที่ชอบมือถือเงา ๆ ขาว ๆ ดูสะอาดน่าจะถูกใจกับสีนี้ เป็นสีที่ถูกใช้มาอย่างยาวนาน ซึ่งแน่นอนใน Samsung Galaxy Tab S9 Plus ก็มีสีนี้มาให้เลือก

Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi สีน้ำเงิน Dark Blue
เป็นหนึ่งในสีที่จะมาพร้อมกับรุ่น Samsung Galaxy Tab S9 Plus เป็นสีที่เคยใช้ใน Smart Phone และ Tablet รุ่นก่อน ๆ ซึ่งในรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันมักจะไม่มีสีนี้ แต่สีน้ำเงิน Dark Blue กำลังจะกลับมาเปิดตัวอีกครั้งในอีกไม่นานนี้

Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi สีครีม Beige
เป็นสีที่ทาง Samsung กำลังจะนำมาใช้ครั้งแรก โดยจะเปิดตัวพร้อม ๆ กับ Tablet รุ่นเรือธงหลักอย่าง Samsung Galaxy Tab S9 Plus ถือว่าเป็นสีใหม่ล่าสุดที่มีความน่าสนใจอย่างมาก ใครที่ชอบอะไรใหม่ ๆ ต้องไม่พลาดที่จะรอชมความสวยงามของสีนี้

Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi ต่างจาก Tab S9 WiFi และ Tab S9 Ultra WiFi อย่างไรบ้าง ?
จากการคาดการณ์ในการเปิดตัว Samsung Galaxy Tab S9 Series นั้นจะมีการเปิดตัวรุ่นย่อยทั้งหมดออกมาถึง 3 รุ่น โดยแต่ละรุ่นจะมีราคาเริ่มต้นที่แตกต่างกัน รวมถึงสเปกภายในเครื่องที่มีความแตกต่างกัน เพื่อรองรับผู้ใช้หลาย ๆ ประเภท โดย Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi ถือเป็นรุ่นที่อยู่ในระดับกลางของ Series ซึ่งในหัวข้อนี้จะเป็นการเปรียบเทียบ Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi กับอีก 2 รุ่นที่เหลือเพื่อให้เห็นข้อแตกต่างของสเปก

ความแตกต่างระหว่าง Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi กับ Samsung Galaxy Tab S9 WiFi ถือเป็นรุ่นเล็กสุด มีราคาถูกที่สุด มีความแตกต่างกันที่รุ่นนี้จะมีหน้าจอที่เล็กกว่าคือ 11 นิ้ว มาพร้อมกับหน่วยความจำ Ram 12 GB Rom 256 GB เป็นรุ่นเดียวที่มีกล้องหลัง 1 ตัว ความละเอียด 13 MP และมีความจุของแบตเตอรี่ที่น้อยที่สุด 8400 mAh

ความแตกต่างระหว่าง Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi กับ Samsung Galaxy Tab S9 Ultra WiFi ถือเป็นรุ่นใหญ่สุดมีราคาสูงที่สุด โดยมีความแตกต่างคือ ขนาดของหน้าจอรุ่นนี้จะใหญ่ถึง 14.6 นิ้ว สามารถเลือกหน่วยความจำได้หลายรูปแบบตั้งแต่ Ram 8/12/16 GB Rom 256/512 GB/1 TB และความจุแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าด้วยขนาด 11,200 mAh

Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi เหมาะกับผู้ใช้แบบไหน ?
จากสเปกที่คาดการณ์ออกมา จะเห็นได้เลยว่า Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi ถือเป็น Tablet ที่น่าจับตามองมากสำหรับปี 2023 ด้วยสเปกต่าง ๆ ของตัวเครื่องที่ให้มาแบบจัดเต็มทั้งหน่วยประมวลผล และหน้าจอ ถือเป็นรุ่นระดับกลางใน S9 Series ที่มีความคุ้มค่ามาก ด้วยราคาที่มีความเหมาะสม โดยมีข้อสังเกตเล็กน้อยก่อนตัดสินใจซื้อก็คือ Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi อย่างที่หลาย ๆ คนทราบจะเป็นรุ่นที่ไม่สามารถใส่ซิมได้ ทำให้ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบ 5 G ทำให้เหมาะกับผู้ใช้งานที่มีสัญญาณ WiFi มากกว่า

Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการใช้งานโซเชียลทุกรูปแบบ ด้วยความแรงของหน่วยประมวลผลตัวท็อปอย่าง Snapdragon 8 Gen 2 สามารถทำทุกกิจกรรมได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม, เล่นแอปฯโซเชียล, ทำงานเอกสาร, ทำงานกราฟิก Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi สามารถตอบโจทย์ได้ทุกอย่าง บวกกับหน้าแบบ Dynamic AMOLED 2X WQXGA ขนาดใหญ่ถึง 12.4 นิ้ว Refresh Rate สูงถึง 120 Hz ทำให้ไม่ว่าใคร ๆ ที่ได้ลองใช้จะต้องติดใจอย่างแน่นอน

Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่จากทำหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน
Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi จะมาพร้อมกับ ONE UI 5.1.1 บน Android 13 โดยมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งหนึ่งฟีเจอร์ที่เป็นจุดเด่นของรุ่นนี้เลยก็คือ การทำงานแบบ Multi-Tasking ที่สามารถทำได้ดีมากกว่ารุ่นอื่น ๆ ที่เคยมีมา สามารถจัดเรียงหน้าต่างของแอปฯ ต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ สามารถซ่อนหน้าต่างแอปฯ แบบ Pop-Up แล้วสามารถเรียกกลับได้อย่างง่ายดาย

ด้วยการทำงาน Multi-Tasking ที่มีประสิทธิภาพสูงแล้ว Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi ยังมาพร้อมกับ S-Pen ที่จะช่วยให้การจดบันทึกโน้ตต่าง ๆ เป็นไปได้โดยง่าย พร้อมทั้งสามารถเก็บ S-Pen ไว้ที่หลังเครื่อง พร้อมกับชาร์จไปในเวลาเดียวกันได้ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้มาก

สรุป Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi คุ้มค่ามากขนาดไหน ?
Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi ถือเป็น Tablet ที่มีความน่าสนใจมากสำหรับ Tablet ในปี 2023 ด้วยสเปกของตัวเครื่องที่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการใช้งานทุก ๆ ด้าน ยังมาพร้อมกับหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ที่ให้ภาพสวยสดงดงาม มากกว่าจอของแบรนด์อื่น ๆ ในตลาด โดยรุ่น Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi ที่กำลังจะเปิดตัวคาดว่า หน่วยความจำจะสามารถเลือกได้แบบเดียวก็คือ Ram 12 GB Rom 512 GB พร้อมกับ 4 สี โดยแบ่งเป็นสีเก่า 2 สี และสีใหม่อีก 2 สี ให้เลือกซื้อได้ตามใจต้องการ

สุดท้ายนี้ขอย้ำว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงข้อมูลที่มาจากการคาดการณ์เท่านั้น ข้อมูลบางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลังหากมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยขอแนะนำผู้ที่สนใจ Samsung Galaxy Tab S9 Plus WiFi ให้ติดตามข่าวสารการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Samsung Galaxy Tab S9+ WiFi กับทาง Samsung Official เพิ่มเติม เพื่อที่จะไม่ได้พลาดข่าวสารต่าง ๆ เมื่อมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการออกมา

198
บ้านปิ่นเกล้า ใกล้รถไฟฟ้า

ปิ่นเกล้าจัดว่าเป็นย่านทำงานและย่านที่อยู่อาศัยที่มีคนพักไม่น้อยไปกว่าฝั่งพระนครเลยครับ เป็นอีกย่านหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพมหาครที่เป็นจุดศูนย์กลาง มีผู้คนอาศัยอย่างแน่นหนา เนื่องด้วยมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่มากถึง 4 แห่ง รวมไปถึงที่พักอาศัย เช่น อะพาร์ทเมนต์, คอนโด, ทาวน์เฮาส์, ทาวน์โฮม, บ้านเดี่ยว และตึกสูงเสียดฟ้าอีกด้วยครับ ซึ่งย่านบ้านปิ่นเกล้า เป็นทำเลที่มีความเจริญใกล้เคียงกับตัวเมืองหลวงที่สุดครับ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าบริเวณย่านแห่งนี้ก็จะเป็นทำเลทองที่มีผู้คนอยากเข้ามาอาศัยและทำธุรกิจอย่างแน่นอน และหากคุณกำลังมองหาความสะดวกสบายในการเดินทาง บ้านปิ่นเกล้าจะไม่ทำให้คุณผิดหวังครับ

จุดเด่นของบ้านปิ่นเกล้า

บ้านปิ่นเกล้ามีจุดเด่นหลักๆ คือเป็นชุมชนหมู่บ้านเก่าแก่ฝั่งกรุงธนบุรีที่อยู่ติดกับแม่น้ำสำคัญของประเทศไทยนั่นก็คือแม่น้ำเจ้าพระยา
ในย่านบางกอกน้อยที่ทุกคนรู้จักนั่นเองครับ

ปัจจุบันได้มีความพัฒนาหมู่บ้านฝั่งธนและเจริญขึ้นตามกาลเวลา บ้านปิ่นเกล้าฝั่งธนบุรีจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในย่านนี้ ทำให้มีผู้คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจและอยากจับจองบ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม, คอนโด

รวมไปถึงบ้านมือสองกันอย่างมากมาย อีกทั้งการลงทุนก็เป็นสิ่งที่วัยรุ่นสมัยใหม่ให้ความสำคัญ หรือเด็กจบใหม่บางคนถึงกับต้องศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อทำธุรกิจในอนาคตก็มีเช่นกันครับ และนี่คือจุดเด่นทำเลทองของบ้านปิ่นเกล้านั่นเอง

โครงการบ้านปิ่นเกล้า เหมาะกับใคร

โครงการบ้านปิ่นเกล้าเหมาะกับผู้อยู่อาศัยทุกเพศทุกวัยเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน, วัยทำงาน และผู้สูงอายุก็ล้วนเหมาะกับโครงการบ้านปิ่นเกล้ากันทั้งสิ้น เพราะบริเวณย่านนั้นมีทุกสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อีกทั้งยังมีโรงเรียนชื่อดังแถวนั้นด้วยครับ

หากคุณมีบ้านแถวปิ่นเกล้าและไม่อยากส่งบุตรหลานไปเรียนไกลถึงในตัวเมืองกรุงเทพมหานคร คุณก็สามารถส่งเข้าโรงเรียนแถวบ้านได้เลยครับ โรงเรียนดีมีคุณภาพไม่แพ้กับในเมืองเลย หรือหากที่บ้านคุณมีผู้สูงอายุก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปครับ เพราะมีสถานพยาบาลใกล้เคียงรองรับอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วหากถามว่าโครงการบ้านปิ่นเกล้าเหมาะกับใคร คำตอบคือเหมาะกับคนทุกช่วงอายุและทุกเพศทุกวัยเลยครับ

บ้านปิ่นเกล้า ตอบโจทย์การเดินทางสะดวกสบาย

หากคุณกำลังกังวลว่าการเดินทางแถวย่านปิ่นเกล้าสะดวกสบายไหม บทความนี้มีคำตอบอย่างแน่นอนครับ ไม่ว่าคุณจะมีรถยนต์ส่วนตัว หรือไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็สามารถเดินทางได้อย่างง่ายดาย คุณสามารถวางแผนการเดินทางได้ทั้งการเดินทางโดยรถไฟฟ้า และการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวเลยครับ

บ้านปิ่นเกล้า เดินทางโดยรถส่วนตัว

การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวย่านบ้านปิ่นเกล้า เนื่องจากโครงการบ้านปิ่นเกล้าอยู่ติดกับ 3 ถนนเส้นทางหลัก คือ ถนนจรัญสนิทวงศ์, ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า และถนนบรมราชชนนี คุณสามารถขับรถขึ้นทางเส้นทางด่วนพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกได้ครับ ซึ่งเป็นการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวที่สะดวกมาก อีกทั้งแถวจรัญสนิทวงศ์ในย่ามเช้ารถไม่ค่อยติดอีกด้วย เหมาะสำหรับการเดินทางเข้าไปทำงานในเมืองได้อย่างสบายใจและไม่ต้องกังวลถึงปัญหาเรื่องเวลาการเดินทางเลยครับ

บ้านปิ่นเกล้า เดินทางโดยรถไฟฟ้า

การเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ในปัจจุบันบริเวณปิ่นเกล้าก็มีรถไฟฟ้าผ่านอยู่แล้ว แต่ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าขยายเพิ่มแถวโครงการบ้านปิ่นเกล้ามากถึง 3 สายเลยครับ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีแดง (ศาลายา-บางตำหรุ), รถไฟฟ้า BTS สายสีส้ม (ตลิ่งชัน - มีนบุรี) และรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT (บางซื่อ - พุทธมณฑลสาย 4) ครับ

จะเห็นได้ชัดว่าแต่ละสายที่ผ่านโครงการบ้านปิ่นเกล้า จะสามารถใช้บริการทั้งเข้าตัวเมืองและออกตัวเมืองได้เลย หากคุณไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็สามารถเดินทางได้ง่ายไม่แพ้กันเลยครับ สะดวกสบายแบบนี้

สถานที่สำคัญโซนบ้านปิ่นเกล้า

สำหรับสถานที่สำคัญโซนบ้านปิ่นเกล้า หลายคนคงเป็นกังวลว่าอยู่ห่างออกจากใจกลางเมืองขนาดนี้จะมีสถานที่สำคัญหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำว่าย่านปิ่นเกล้ามีสถานที่สำคัญอะไรบ้างครับ มาดูไปพร้อมๆ กันเลยครับ

1. โรงพยาบาลใกล้เคียง

มีโรงพยาบาลที่ใกล้เคียงกับบ้านปิ่นเกล้าประมาณ 3 แห่ง คือ โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์, โรงพยาบาลเจ้าพระยา และสุดท้าย โรงพยาบาลเฉพาะทางผิวหนังอโศก สาขาปิ่นเกล้าครับ หากคุณหรือคนในครอบครัวไม่สบาย สามารถติดต่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเหล่านี้ได้ครับ

2. โรงเรียนใกล้เคียง

นอกจากการปฐมพยาบาลแล้ว การศึกษาก็เป็นสิ่งสำคัญมากครับ โดยบริเวณย่านบ้านปิ่นเกล้า มีหลายโรงเรียนสำหรับบุตรหลานคุณ ดังนี้ โรงเรียนอนุบาลคุณแม่, โรงเรียนอนุบาลธรรมภิรักษ์ธนบุรี, โรงเรียนมัธยมวัดนายโรง, โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม, โรงเรียนธรรมภิรักษ์, วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง LIT (ศูนย์กรุงเทพฯ) และวิทยาลัยเทคโนโลยีจรัลสนิทวงศ์ครับ

3. ห้างสรรพสินค้าใกล้เคียง

ห้างสรรพสินค้าใกล้เคียงจะมีเมอร์รี่คิงส์, ห้างเวลโก ปิ่นเกล้า, ห้างพาต้า ปิ่นเกล้า และห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้าช้อปปิ้งมอลล์ครับ

สรุป บ้านปิ่นเกล้า

บ้านปิ่นเกล้าเป็นโครงการบ้านที่อยู่แถวฝั่งธนบุรีที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาย่านบางกอกน้อย ซึ่งรายล้อมไปด้วยชุมชน มีผู้คนมากมายอาศัยอยู่โดยที่คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทาง, สิ่งอำนวยความสะดวก, ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า, สถานที่ศึกษา

รวมไปถึงสถานพยาบาลและโรงพยาบาล เพราะมีหมดครบครันไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในเมืองเลยครับ และยิ่งในอนาคตเชื่อว่าจะมีทางเลือกของการที่ทางที่สะดวกขึ้นมากกว่านี้ได้อีกครับ

โครงการบ้านปิ่นเกล้า จะมีราคาอยู่ที่ไม่เกิน 2 ล้านถึง 5 ล้านบาท มีหลายขนาดให้เลือกเริ่มต้นที่มากกว่า 50 ตารางเมตรจนถึง 300 ตารางเมตร มีห้องนอนและห้องน้ำ 2-5 ห้องนอนแล้วแต่เราจะเลือกเลยครับ อีกทั้งยังมีให้เลือกอีกด้วยว่าจะเลือกแบบตกแต่งพร้อมอยู่หรือห้องเปล่าด้วยครับ

โครงการบ้านปิ่นเกล้าจัดว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการบ้านที่น่าสนใจมากเลยครับ หากคุณสนใจอย่ารอช้าที่จะซื้อเลยครับ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

199
เรียน ielts สอบได้คะแนนสูง

อย่างที่รู้กันว่าคะแนนสอบ IELTS สามารถใช้ยื่นเพื่อขอเรียนต่อในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ใช้สำหรับยื่นสมัครทำงาน หรือยื่นเพื่อขอย้ายถิ่นฐาน การเรียน IELTS หรือติวสอบ IELTS จึงเป็นสิ่งที่ควรเตรียมตัวก่อนเข้าสอบ ซึ่งการเรียน IELTS ไม่ได้ช่วยเพียงแค่เพิ่มคะแนนสอบเท่านั้น แต่ความรู้ ทักษะด้านภาษาอังกฤษที่ได้จากกาเรียน IELTS จะติดตัวและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในอนาคต

สำหรับคนที่ยังลังเลในการเริ่มเรียน IELTS บทความนี้จะช่วยเพิ่มกระจ่างให้คุณเห็นถึงความสำคัญของการเรียน IELTS การเรียน IELTS ดียังไง และมันจะสามารถช่วยอะไรคุณได้บ้าง เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกคอร์ส IELTS มาเรียนสักคอร์ส

ทำไมถึงควรเรียน IELTS คะแนนสอบ IELTS สำคัญอย่างไร
IELTS (International English Language Testing System) เป็นการสอบเพื่อวัดระดับความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ประเมินทักษะด้านภาษาอังกฤษครบทุกด้าน ทั้งแบบการฟัง พูด อ่าน เขียน ซึ่งการสอบของ IELTS ได้รับความนิยมในระดับสากล

โดยคะแนนสอบ IELTS เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งตั้งไว้ว่าผู้ประสงค์เข้าศึกษาต่อต้องสอบให้ได้คะแนนตามที่กำหนด การสมัครงานในบางองค์กร หากมีคะแนน IELTS สูงก็จะช่วยเพิ่มโอกาสที่องค์กรจะเลือกเราเข้าทำงาน หรือสายงานประเภทที่ต้องใช้ภาษา คะแนนสอบ IELTS ก็เป็นสิ่งที่ต้องยื่นคู่กับ Resume

และสำหรับคนที่ต้องการย้ายภูมิลำเนา ด่านตรวจบางประเทศ เช่น ประเทศออสเตรเลีย, แคนาดา, นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร คะแนนสอบ IELTS ก็เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่จะขอตรวจเช่นกัน

จากที่กล่าวไว้ข้างต้นทำให้เห็นว่าคะแนนสอบ IELTS เป็นสิ่งสำคัญ หากทำคะแนนได้สูง โอกาสทั้งการเรียนต่อ หรือการทำงานก็จะสูงมากกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นการเรียน IELTS จะช่วยให้เราได้เตรียมความพร้อมก่อนสอบ คอร์ส IELTS จะช่วยให้เราคุ้นชินกับข้อสอบก่อนเริ่มทำการสอบ เพิ่มโอกาสที่จะทำให้คะแนน IELTS ให้สูงขึ้น นอกจากนี้การเรียน IELTS ยังเป็นการเพิ่มทักษะความชำนาญด้านภาษาอังกฤษไปในตัว

ทำไมถึงควรเรียน IELTS

ไม่มีพื้นฐานก็เรียน IELTS ได้ เพิ่มความพร้อม เพิ่มคะแนนสอบ IELTS
สำหรับผู้ที่สนใจเรียน IELTS แต่ยังมีความลังเลว่า จำเป็นต้องมีพื้นฐานไหม และเราจะต้องเรียนอะไรจากคอร์สติว IELTS บ้าง และจะได้อะไรจากการจบคอร์สบ้าง

การเรียน IELTS ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐาน เพียงแค่มีเป้าหมายคะแนนที่ต้องการทำให้ได้ในการสอบ IELTS และมีความตั้งใจ ไม่ว่าใครก็สามารถเรียนคอร์ส IELTS ได้ ซึ่งสิ่งที่จะได้อย่างแน่นอน คือ ได้พัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษให้ดียิ่งขึ้น เป็นการช่วยเตรียมความพร้อม เพิ่มความมั่นใจสำหรับการสอบ IELTS นอกจาก นี้หลักสูตรที่ถูกคัดสรรมา รวมกับความขยันตั้งใจ โอกาสที่จะเพิ่มคะแนนสอบ IELTS ก็จะสูงมากขึ้น

หลักสูตรของคอร์สเรียน IELTS แต่ละตัว แต่ละสถาบันก็มีความแตกต่างกันออกไป โดยเราจะยกตัวอย่างคอร์สเรียน IELTS จาก English Parks โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่จะช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งรายละเอียดคอร์ส IELTS ของ English Parks มีรายละเอียด ดังนี้

Super IELTS
มาที่คอร์สเรียน IELTS ตัวแรกของ English Parks เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งเป้าในการทำคะแนนสอบ IELTS ให้อยู่ที่ประมาณ 6.5 - 7.5 คะแนน เตรียมพร้อมทั้งการสอบแบบ Writing ที่สามารถส่งให้อาจารย์ตรวจได้ไม่จำกัดครั้ง หรือการสอบแบบ Speaking ที่คุณจะได้สนทนาภาษาอังกฤษกับคุณครูที่ชำนาญด้าน IELTS Part Speaking อัดแน่นทั้งเนื้อหา และเทคนิคเพื่อการทำคะแนนสอบให้ได้สูง

ระยะเวลาเรียน 60 ชั่วโมง

Unlimited English for IELTS
มาที่คอร์สเรียน IELTS ตัวถัดไป อย่าง Unlimited English ตรงตามชื่อ หลักสูตรการเรียน IELTS ที่สามารถเข้าเรียนได้แบบไม่จำกัดชั่วโมง พัฒนาศักยภาพด้านภาษาอังกฤษ เหมาะสำหรับคนที่ตั้งเป้าคะแนนสอบ IELTS 6.5 คะแนนขึ้นไป มีจำนวนชั่วโมงเรียนที่มากขึ้น ทำให้มีเวลาที่จะสามารถปรับพื้นฐานทักษะภาษาอังกฤษให้สูงได้ยิ่งขึ้น

ระยะเวลาเรียน 3 เดือน (144 ชั่วโมง) / 6 เดือน (288 ชั่วโมง)
1.Unlimited Everyday เลือกเรียนได้ทุกวันตามต้องการ (จันทร์ – อาทิตย์) ไม่จำกัดชั่วโมง
2.Unlimited Weekday เลือกเรียนได้เฉพาะวันจันทร์ – พฤหัสบดี ไม่จำกัดชั่วโมง
3.Unlimited Weekend เลือกเรียนได้เฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์ ไม่จำกัดชั่วโมง

การเรียน IELTS มีข้อดีอย่างไรบ้าง
การเรียน IELTS โดยเฉพาะ English Parks ให้อะไรผู้เรียนได้มากกว่าที่คิด โดยข้อดีจากการเรียน IELTS มีอยู่ด้วยกัน ดังนี้

-การเรียน IELTS เพิ่มโอกาสทำคะแนนสอบ IELTS ให้สูงยิ่งขึ้น
-ได้พัฒนา ทักษะ และความรู้ด้านภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้านการฟัง พูด อ่าน เขียน
-ได้รับการแนะแนวทางการเรียนให้ไปถูกทาง เพราะการอ่านหนังสือ ทบทวนด้วยตนเอง โดยขาดแนวทาง ก็อาจได้ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร ยกตัวอย่าง
-การสอบ Writing ควรมีแนวทางที่ชัดเจนในการเขียน
-การสอบ Speaking หากมีคู่ซ้อมสนทนาจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการติวมากยิ่งขึ้น
-แนวการทำข้อสอบ เป็นจุดขายของสถาบันติวเลยก็ว่าได้ เพราะสถาบันติวเหล่านี้ จะทำการศึกษา ข้อสอบ IELTS และจัดหลักสูตร เพื่อให้ผู้เรียนสามารถคุ้นเคยกับข้อสอบได้มากที่สุด
-การเรียน IELTS ในสถาบัน หรือโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ สิ่งที่เราจะได้ คือ บรรยากาศของคนที่ขมักเขม้น เตรียมตัวสอบ มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ที่สอบเหมือนกันจะช่วยผลักดันให้มีความตั้งใจมากขึ้น

การเรียน IELTS มีข้อดีอย่างไรบ้าง

ใครบ้างที่เหมาะสมในการเรียน IELTS
สำหรับผู้ที่เหมาะสมในการเรียน IELTS มีกลุ่มไหนบ้าง คำตอบ คือ ใคร ๆ ก็เหมาะสมที่จะเรียนคอร์ส IELTS ได้ ขอแค่เป็นคนที่มีเป้าหมาย มีความตั้งใจ ไม่ว่าใครก็สามารถเรียน IELTS ได้ แต่จะสามารถทำได้ถึงเป้าหมายหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจด้วยเช่นกัน

ข้อสงสัยที่พบได้บ่อยสำหรับผู้ที่สนใจเรียน IELTS
เราได้รวบรวมคำถามที่คนสงสัยเกี่ยวกับการเรียน IELTS มีดังนี้

1.การเรียน IELTS ไว้ใช้เพื่อสอบ IELTS อย่างเดียวหรือเปล่า ?
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น จริงอยู่ที่การเรียน IELTS มีเป้าหมายมุ่งเน้นเพื่อเพิ่มโอกาสเพิ่มคะแนนในการสอบ IELTS แต่สิ่งที่เราใช้สำหรับนำไปสอบ จะเป็นความรู้ ทักษะที่ติดตัวเราไป ซึ่งภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่ควรมีติดตัวไว้ เพื่ออนาคตที่ดีกว่า เปิดโอกาสในการเรียนต่อมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หรือการทำงาน

2.ควรเลือกคอร์สเรียน IELTS แบบไหน ?
การเลือกคอร์สเรียน IELTS สักตัว สิ่งสำคัญที่ต้องดู คือ เวลา เวลาที่เรียนมีความยืดหยุ่นมากน้อยแค่ไหน วันที่เรียนตรงกับวันที่เราว่างหรือไม่ เพราะทุกคนต่างมีภารกิจต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรือการทำงาน ดังนั้นการเลือกคอร์สเรียน IELTS ควรเลือกที่ ๆ มีเวลาการสอนตรงกับที่เราว่าง เพื่อให้เราสามารถเข้าเรียนได้ครบถ้วน

3.เลือกเรียน IELTS กับสถาบันไหนดี ?
ถ้าพูดถึงสถาบัน หรือโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ที่มีคอร์สเรียน IELTS ก็มีอยู่มากมายหลายแห่งให้เลือก เพราะอย่างที่ทราบกัน คือ คะแนนสอบ IELTS มีความสำคัญ นำไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นความต้องการในตลาด ผู้ที่ต้องการทำคะแนนสอบ IELTS สูงจึงมีอยู่มาก

ดังนั้นมีตัวเลือกให้เลือกได้มากมาย การจะเลือกเรียน IELTS กับสถาบันแห่งไหน ควรเลือกสถาบันที่ไม่ไกลบ้าน เดินทางสะดวก มีราคาที่เหมาะสม และควรหาอ่านรีวิวจากผู้เรียนก่อนหน้า เพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจ

 เรียน IELTS เหมาะกับใคร

การเรียน IELTS ให้อะไรคุณได้มากกว่าที่คิด
การเรียน IELTS กับคอร์สเรียนของสถาบันที่เชี่ยวชาญด้านข้อสอบ IELTS ไม่ใช่เพียงแค่การสอนตามตำรา แต่เป็นการสอนที่มีแนวทางชัดเจน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถทำความคุ้นเคยกับข้อสอบ IELTS ก่อนลงสนามจริง ลดความประหม่า เพิ่มความมั่นใจในการทำข้อสอบ เพราะความประหม่า หรืออาการลนจะเป็นอุปสรรคในการทำข้อสอบ

นอกจากนี้การเรียน IELTS จะช่วยให้เราได้ทักษะภาษาอังกฤษที่ติดตัว เพราะความรู้ที่ได้ หากเรียนด้วยความเข้าใจ มันจะติดตัวเราไปแม้ว่าจะผ่านการสอบไปแล้วก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการทำคะแนนสอบ IELTS ให้สูง การหาคอร์สเรียน IELTS ที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องมี คือ ความตั้งใจ ทั้งในห้องเรียน หรือการกลับไปทบทวนต่อที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ

200
คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของหลาย ๆ คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างทักษะในการพูด ฟัง อ่าน และเขียน ให้สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว พร้อมสร้างความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่นการท่องเที่ยว การศึกษา และการทำงาน คอร์สเรียนภาษาอังกฤษเป็นการลงมือปฏิบัติที่เป็นประโยชน์และพัฒนาทักษะความสามารถของคุณในการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน

ในคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ จะได้เรียนรู้พื้นฐานของภาษาอังกฤษอย่างเป็นระบบ รวมถึงไวยากรณ์พื้นฐาน, การใช้คำศัพท์ในบทสนทนาประจำวัน, การอ่านและเขียนข้อความที่เข้าใจง่าย รวมทั้งการฟังและเข้าใจได้ในสถานการณ์ทั่วไป

บทความนี้ นำเสนอเกี่ยวกับคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ที่เหมาะกับทุกคน พร้อมทั้งแนวทางในการเลือกคอร์สเรียนซึ่งมีหลายคอร์สที่น่าสนใจ ข้อดีของคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ รวมถึงปัญหาที่พบบ่อย ไปดูพร้อมกันได้เลย

เราเหมาะกับคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ แบบไหน

แนะนำคอร์สภาษาอังกฤษ

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษของ English Parks เรามาทำความเข้าใจกันก่อนเลือกคอร์สภาษาอังกฤษ เพื่อให้ได้ตรงตามความต้องการได้เลย โดยแบ่งคอร์สเรียนภาษาอังกฤษได้ 6 คอร์ส ดังนี้

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ Unlimited English

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ Unlimited English เป็นคลาสเรียนภาษาอังกฤษที่พิเศษ เรียนได้ไม่จำกัดชั่วโมงเรียน มาเรียนได้ทุกวัน เลือกเวลาเรียนตามที่ตัวเองสะดวก โดยพัฒนาทั้งทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ที่สำคัญเรียนสดกับเจ้าของภาษาที่จบมาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก และเรียนในคลาสขนาดเล็ก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการได้ความรู้ภาษาอังกฤษสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง

ซึ่งคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ Unlimited English นี้ทาง English Parks จะมุ่งเน้นสำหรับผู้เรียนที่สนใจในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นต้นไป จนถึงกลุ่มผู้เรียนในระดับวัยทำงาน พร้อมกับเสริมการเรียนรู้ การเรียนเขียนภาษาอังกฤษให้มีความถูกต้อง

คอร์สติวสอบภาษาอังกฤษ

คอร์สติวภาษาอังกฤษ คอร์สนี้สำคัญสำหรับนักเรียนที่เตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยหรือจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และในหลักสูตรนานาชาติ English Parks ได้ออกแบบคอร์สเรียนภาษาอังกฤษโดยเฉพาะสำหรับ IELTS และ TOEIC หรือข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งคอร์สเรียนภาษาอังกฤษคอร์สนี้สามารถใช้ได้ทั้งทดสอบความสามารถและนำไปใช้ในการเรียนในห้องเรียนได้เป็นอย่างดี

คอร์สเรียนเขียนภาษาอังกฤษ

คอร์สเรียนเขียนภาษาอังกฤษ การเขียนภาษาอังกฤษเป็นอีกทักษะหนึ่งที่มีความสำคัญ เพราะสามารถนำไปใช้ได้ทั้งในการเรียนและทำงาน การเขียนเป็นทักษะที่มีความจำเป็นในด้านการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กร ดังนั้นจึงจำเป็นต้องลงคอร์สเรียนเขียนภาษาอังกฤษ ที่ English Parks กันแล้ว เพื่อพัฒนาด้านการเขียนภาษาอังกฤษให้เก่งยิ่งขึ้น

คอร์สเรียนพูดภาษาอังกฤษ

คอร์สเรียนพูดภาษาอังกฤษ นอกจากการฟัง อ่าน และเขียนแล้ว ภาษาอังกฤษยังมีอีกทักษะที่สำคัญอีกอย่างคือการพูด ภาษาอังกฤษถ้าไม่ฝึกพูดเป็นประจำทำให้ไม่กล้าที่จะพูด ทำให้พูดได้ไม่คล่อง ขาดความมั่นใจ อาจทำให้กลัวภาษาอังกฤษไปเลยก็เป็นได้ ทาง English Parks จึงได้เปิดคอร์สเรียนพูดภาษาอังกฤษ เพื่อส่งเสริมผู้เรียนที่ต้องการฝึกพูดอย่างจริงจังให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้นอย่ารอช้ามาสานฝันตัวเองให้เป็นจริงด้วยการโต้ตอบด้วยภาษาอังกฤษให้คล่องแคล่วดังเจ้าของภาษาด้วยหลักสูตร Pronunciation ปรับปรุงการออกเสียงให้ถูกต้องและชัดเจนกันเลย

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน เป็นการปูพื้นฐานหรือสร้างความเข้าใจภาษาอังกฤษใหม่ตั้งแต่ต้น คอร์สนี้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษแบบไม่มีพื้นฐานมาก่อน ฝึกประโยคพื้นฐานและคำศัพท์ที่จำเป็น โดยคอร์สเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐานนี้จะช่วยให้มั่นใจในความพร้อมที่จะเริ่มต้นใช้ภาษาอังกฤษเพื่อไปต่อยอดคอร์สเรียนภาษาอังกฤษอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ง่ายขึ้น สามารถสอบถามได้ที่ English Parks

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว เหมาะสำหรับผู้เรียนที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษแบบเร่งด่วน หรือต้องการเน้นทักษะภาษาอังกฤษเฉพาะด้านเป็นพิเศษ ทั้งด้านการพูด, ฟัง, อ่าน และ เขียน หลักสูตรจะปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจในการเรียนภาษาอังกฤษ และมีประสิทธิภาพสูงสุด ในเวลาอันรวดเร็ว และสามารถนำภาษาอังกฤษไปใช้งานได้ทันที

แนวทางในการเลือกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษที่เหมาะกับคุณ

วิธีเลือกคอร์สติวภาษาอังกฤษ

ในปัจจุบันการเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคนไม่ว่าจะเป็นวัยเรียนหรือวัยทำงาน ต้องมีการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารกับผู้คน ตามข่าวสาร รวมถึงการเรียนเพื่อสอบ และการสมัครงาน เป็นตัน ดังนั้นทุกคนควรเรียนรู้ไว้ให้เข้าใจและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง

แต่ด้วยคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ที่มีให้เลือกมากมาย ทำให้หลายๆ คนเกิดความไม่มั่นใจในการจะเลือกคอร์สเรียน บทความนี้จะนำเสนอวิธีเลือกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษที่เหมาะกับบุคคลให้ได้มากขึ้น

ประเมินเป้าหมายและความต้องการของคุณ

โดยกำหนดจุดประสงค์และความต้องการ ในการลงคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ของคุณเพื่อ

  • จุดประสงค์ทางการเรียน ความก้าวหน้าทางวิชาชีพ การท่องเที่ยว การเพิ่มพูนความรู้ส่วนตัวหรือต่อยอดด้านการศึกษา
  • ระบุว่าคุณต้องการพัฒนาทักษะใดบ้าง เช่น การพูด การอ่าน การเขียน หรือการฟัง ให้ชัดเจน
  • มีพื้นฐานหรือทักษะเฉพาะที่ต้องการพัฒนา เช่น ภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจหรือการเขียนเชิงวิชาการหรือไม่
  • พิจารณาระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษของตัวเอง ประเมินว่าอยู่ในระดับใดในแง่ของไวยากรณ์พื้นฐาน คำศัพท์ และการพูด สิ่งนี้จะช่วยให้กำหนดระดับคอร์สเรียนภาษาอังกฤษที่เหมาะสมได้ดี โดยไม่หนักหรือเบาจนเกินไป
  • พิจารณางบประมาณที่คุณสามารถใช้สำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ เปรียบเทียบราคาคอร์สเรียนภาษาอังกฤษและคุณภาพการสอนที่ได้รับ

เลือกสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่มีคุณภาพ

  • ค้นหาโรงเรียนสอนภาษา สถาบัน หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีชื่อเสียงที่เปิดสอนคอร์สภาษาอังกฤษ หรือคอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ โดยคำนึงถึงชื่อเสียง วิธีการสอน และคุณสมบัติของผู้สอน
  • ศึกษารายละเอียดวิชาและคอร์สเรียน ที่สอดคล้องกับเป้าหมายและความต้องการของคุณ ตรวจสอบว่าคอร์สเรียนภาษาอังกฤษครอบคลุมทักษะหรือพื้นฐานที่คุณต้องการมุ่งเน้นหรือไม่
  • พิจารณารูปแบบคอร์สเรียนและกำหนด โดยตัดสินใจต้องการเรียนแบบตัวต่อตัว คอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ตรวจสอบตารางเรียนสะดวกสำหรับคุณและสามารถกำหนดเวลาเรียนด้วยตัวเองได้หรือไม่
  • เลือกสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่ ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ มีผู้เชี่ยวชาญด้านคอร์สเรียนและการสอนโดยตรง เพื่อให้สามารถออกแบบคอร์สเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างเหมาะสมกับอายุ ความต้องการ และปรับจุดอ่อน จุดแข็งให้ผู้เรียนได้

ขอคำแนะนำและรีวิวจากผู้เรียนก่อนหน้า

  • ขอคำแนะนำจากเพื่อน เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว หรือคนอื่นที่เคยเรียนคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ มาก่อนหน้า สอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของสถาบันกับคอร์สเรียนภาษาอังกฤษหรือโรงเรียนสอนภาษาต่างๆ
  • ค้นหารีวิวหรือข้อมูลจากผู้เรียนคนอื่นทางแพลตฟอร์มออนไลน์ ฟอรัม หรือเว็บไซต์ที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคุณภาพและประสิทธิผลของคอร์สเรียนภาษาอังกฤษได้
  • ลองเข้าร่วมคลาสเรียนภาษาอังกฤษทดลองหรือลองเรียนฟรี สิ่งนี้จะทำให้คุณได้รับประสบการณ์โดยตรงเกี่ยวกับรูปแบบการสอน สื่อที่ใช้ และสภาพแวดล้อมการเรียนรู้โดยรวม
ดังนั้นการเลือกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเส้นทางการเรียนรู้ของคุณ ใช้เวลาในการประเมินเป้าหมาย ค้นคว้าทางเลือกต่างๆ และรวบรวมคำติชมจากผู้อื่น เมื่อพิจารณาได้จะพบกับคอร์สเรียนภาษาอังกฤษที่สอดคล้องกับความต้องการของคุณ เพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ให้สูงสุด และช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี

ข้อดีของคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ

ข้อดีของคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ สามารถให้ประโยชน์มากมายแก่ผู้เรียน ดังต่อไปนี้

  • คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะทางภาษาของตน ทั้งอ่าน เขียน พูด และฟัง เรียนรู้ไวยากรณ์ คำศัพท์ และโครงสร้างประโยคได้ดี มีผลต่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
  • ผลการเรียนที่ดีขึ้น ภาษาอังกฤษเป็นสื่อการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษา ความสามารถทางภาษาอังกฤษช่วยให้ผู้เรียนเรียนได้ดีขึ้น เข้าใจเนื้อหาในการสอบและงานที่ทำ
  • ทักษะการสื่อสาร ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล มีการพูดและการใช้แพร่หลายทั่วโลก การลงคอร์สภาษาอังกฤษทำให้ผู้เรียนมีความสามารถในการสื่อสารกับผู้คนทั้่วโลกเปิดโอกาสในการทำงานร่วมกัน และการสร้างเครือข่าย
  • โอกาสทางอาชีพ การมีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีเพิ่มโอกาสในการทำงานและในการจ้างงาน ช่วยให้สมัครงานได้ทั้งในและต่างประเทศ
  • การพัฒนาตนเอง คอร์สภาษาอังกฤษ สามารถเพิ่มความมั่นใจในตนเองทั้งทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียนของผู้เรียน
  • การเข้าถึงแหล่งข้อมูล การรู้ภาษาอังกฤษจะเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้มาก ทั้งหนังสือ งานวิจัย บทความออนไลน์ และเว็บไซต์

FAQ ของคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ หัวข้อนี้จะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับคำถาม ต่อไปนี้

จำเป็นต้องมีความรู้ภาษาอังกฤษมาก่อนเพื่อลงคอร์สภาษาอังกฤษหรือไม่?

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษจะเปิดสอนสำหรับผู้เรียนตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับสูง บางคอร์สจะเจาะจงผู้เริ่มต้นที่มีความรู้ภาษาอังกฤษเล็กน้อยหรือไม่มีพื้นฐานเลย และบางคอร์สสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะให้ดีขึ้น ดังนั้นไม่ต้องมีพื้นฐานก็สามารถเลือกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษได้

ควรพิจารณาจากอะไรในการเลือกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ

การเลือกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ให้พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ระดับความสามารถที่มี เป้าหมายการเรียน ชื่อเสียงและการรับรองของสถาบัน ความยืดหยุ่นของการจัดตารางเวลา ค่าใช้จ่ายและความพร้อมของบริการ อ่านบทวิจารณ์ และเปรียบเทียบตัวเลือกต่างๆ

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษประเภทต่างๆ มีอะไรบ้าง

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษมีหลายประเภท ได้แก่ คอร์สเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน เพื่อพัฒนาภาษาโดยรวม, คอร์สภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับบริบททางวิชาชีพ, คอร์สภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ, คอร์สติวภาษาอังกฤษ , คอร์สเรียนพูดภาษาอังกฤษ และคอร์สเฉพาะทาง

สรุปเกี่ยวกับคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษที่ได้รับการออกแบบมา เพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาของผู้เรียนในด้านการพูด การฟัง การอ่านและการเขียน โดยในปัจจุบัน มีคอร์สเรียนที่มีเนื้อหาครอบคลุมทุกความต้องการ ตั้งแต่คอร์สเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน คอร์สติวสอบภาษาอังกฤษ คอร์สเรียนเขียนภาษาอังกฤษ คอร์สเรียนพูดภาษาอังกฤษ และคอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว ซึ่งแต่ละคอร์สก็มีข้อดีที่แตกต่างกันไป อยู่ที่ไลฟ์สไตล์และความต้องการของเราว่า คอร์สเรียนแบบใดจะเหมาะสมกับเรามากที่สุด

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9