สำหรับครอบครัวที่อยากมีบุตรแต่มีปัญหาภาวะการมีบุตรยาก อาจจะเริ่มมองหาตัวช่วยเพิ่มโอกาสสำหรับการมีบุตร โดยหนึ่งในโอกาสนั้นคือการทำ IUI (Intra-Uterine Insemination) แต่จะเลือกทำ
ทำ IUI ที่ไหนดี และการเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลควรเลือกจากอะไร? สิ่งแรกที่ควรทำ คือ ศึกษาหาข้อมูลให้เป็นอย่างดีก่อนตัดสินใจทำ อีกทั้งยังต้องหาข้อมูลของคลินิกหรือโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อนำมาประกอบในการตัดสินใจว่าจะเลือกทำ IUI ที่ไหนดี ซึ่งบทความนี้จะขอแนะนำการเลือกโรงพยาบาลสำหรับการทำ IUI ให้กับทุกคนได้รู้จัก พร้อมกับให้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับการทำ IUI เพื่อเตรียมตัวก่อนจะลงมือทำ
เลือก IUI ที่ไหนอย่างไรดีอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า สำหรับครอบครัวที่กำลังประสบปัญหาภาวะการมีบุตรยาก สามารถเพิ่มโอกาสมีสมาชิกตัวน้อยให้กับครอบครัวของตนเองด้วยการเลือกทำ IUI (Intra-Uterine Insemination) หรือการฉีดเชื้อผสมเทียม การเลือกทำ IUI ต้องคำนึงถึงโรงพยาบาลที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์เกี่ยวกับการรักษาภาวะการมีบุตรยากโดยเฉพาะ มีนวัตกรรมทันสมัย เครื่องมือที่พร้อมให้บริการ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมีวิธีการอื่นอีกหลากหลายวิธีที่จะช่วยให้เกิดภาวะการตั้งครรภ์ได้ อีกทั้งต้องพิจารณาจากความเหมาะสมของแต่ละบุคคลเรื่องสภาพร่างกาย สุขภาพของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเป็นอย่างไร เหมาะกับวิธีไหนมากที่สุด
การทำ IUI คืออะไรการทำ IUI คือ การฉีดเชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกโดยใช้ท่อพลาสติกสอดผ่านไปทางปากมดลูกและฉีดน้ำอสุจิเข้าไปในโพรงมดลูก ซึ่งช่วงที่จะฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปนั้นจะต้องเป็นช่วงที่ฝ่ายหญิงไข่ตกหรือเป็นช่วงที่ใกล้กับเวลาไข่ตกเท่านั้น เนื่องจากมีโอกาสจะทำให้อสุจิว่ายไปปฏิสนธิกับไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่มันไม่ได้หมายความว่าจะมีโอกาสเกิดการปฏิสนธิอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะอสุจิของฝ่ายชายเองจะต้องแข็งแรงและมีขั้นตอนผ่านการคัดกรอง 1 ล้านตัวขึ้นไป หากมีน้อยกว่านั้นโอกาสในการตั้งครรภ์จะน้อยลงตามไปด้วย
การเดินทางเนื่องจากการทำ IUI จะต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงแรกของขั้นตอนการทำ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุและงดการใช้ร่างกายเกินความจำเป็นจึงต้องเลือกโรงพยาบาลพยาบาลที่อยู่ใกล้หรือเดินทางได้สะดวก
มีเทคโนโลยีอะไรบ้างบรรดาเหล่าคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังคิดว่าทำ IUI ที่ไหนดี ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากโรงพยาบาลบีเอ็นเอช มาพร้อมกับทีมผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ทางการแพทย์เรื่องการทำ IUI โดยตรง อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี นวัตกรรมและเครื่องมือที่ทันสมัยมากมายสามารถช่วยแก้ไขปัญหาภาวะการมีบุตรยากได้ดังนี้
- IVF (In-Vitro Fertilization) คือ ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งเหมาะกับครอบครัวที่ฝ่ายหญิงมีเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ มีภาวะไข่ไม่ตกและไข่ตกช้าเนื่องจากมีโรคที่ส่งผลต่อฮอร์โมน หรือฝ่ายชายที่มีจำนวนอสุจิน้อยหรือรูปร่างผิดปกติ การทำ IVF ทั้งฝ่ายชายและหญิงจะต้องดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ทานผัก ผลไม้และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งคุณหมอจะให้คำแนะนำ ความเสี่ยงของการทำเด็กหลอดแก้วและโอกาสสำเร็จก่อนเริ่มขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้วอยู่เสมอ โดยขั้นตอนการทำจะมีทั้งหมด 4 ขั้นตอนหลัก คือ การกระตุ้นไข่ การเก็บไข่ การเพาะเลี้ยงตัวอ่อนและการย้ายตัวอ่อน
- ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) หรือที่เรียกว่า “อิ๊กซี่” เป็นส่วนหนึ่งของการทำเด็กหลอดแก้วหรือ IVF โดยวิธีการนี้จะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อการทำเด็กหลอดแก้วไม่ประสบความสำเร็จ ICSI จะเป็นการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุด 1 ตัว ฉีดเข้าไปในเซลล์ไข่ 1 ใบ และนำไข่ที่ผสมแล้วไปเลี้ยงในห้องปฏิบัติการประมาณ 3-5 วัน ซึ่งระหว่างนี้จะมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากไข่ที่ผสมเจริญเป็นตัวอ่อนแล้วจะต้องนำตัวอ่อนนั้นฉีดกลับเข้าไปในโพรงมดลูกเพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตในครรภ์ต่อไป การทำ ICSI จะแตกต่างจากการทำ IVF ในส่วนอสุจิและไข่ เพราะการทำ IVF จะปล่อยให้อสุจิและไข่ผสมกันเอง แต่การทำ ICSI จะเกิดจากความตั้งใจนำอสุจิและไข่มาผสมกันเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ
- IUI (Intra-Uterine Insemination) คือ การฉีดเชื้อผสมเทียม เหมาะสำหรับฝ่ายชายที่พบปัญหาเกี่ยวกับอสุจิ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนอสุจิ ความเข้มข้นหรือการเคลื่อนที่ของอสุจิ แม้กระทั่งตัวฝ่ายหญิงเองที่มีปัญหาปากมดลูกหรือคอมดลูกตีบ ประจำเดือนผิดปกติ หรือฝ่ายหญิงที่ต้องการตั้งครรภ์ด้วยน้ำอสุจิแช่แข็ง รวมไปถึงการแพ้น้ำอสุจิที่ส่งผลให้ช่องคลอดระคายเคือง แต่ถ้าฝ่ายหญิงไม่มีปัญหาท่อนำไข่อุดตันและอายุน้อยกว่า 30 ปี ก็สามารถทำ IUI ได้เช่นกัน ทั้งนี้การทำ IUI เป็นวิธีที่ง่าย ไม่ยุ่งยากเนื่องจากเป็นวิธีพื้นฐานและช่วยให้อสุจิเข้าถึงไข่ตรงกับวันที่ไข่ตกพอดี และช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากกว่าการมีเพศสัมพันธ์อีกด้วย
- GIFT (Gamete Intrafallopian Transfer) หรือที่เรารู้จักกันว่าการทำกิฟต์ วิธีนี้จะเหมาะสำหรับฝ่ายหญิงที่ตรวจพบว่ามีท่อรังไข่ปกติอย่างน้อย 1 ข้าง และทางด้านของฝ่ายชายเองจะต้องมีเชื้ออสุจิที่ปกติเช่นกัน โดยวิธีการทำกิฟต์มีทั้งหมด 5 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 คือการกระตุ้นรังไข่ ซึ่งสามารถเลือกวิธีการกระตุ้นได้ด้วยการรับประทานยา ฉีดหรือพ่นเข้าจมูก และแพทย์จะอัลตราซาวนด์เพื่อตรวจสอบการตอบสนองของรังไข่
ขั้นตอนที่ 2 คือ การเจาะไข่ มีวิธีที่เป็นที่นิยมอยู่ 2 วิธีคือ การเจาะผ่านทางผนังหน้าท้องและเจาะผ่านผนังช่องคลอด
ขั้นตอนที่ 3 คือ การย้ายเซลล์ไข่และอสุจิเข้าสู่ท่อนำไข่
ขั้นตอนที่ 4 คือ การให้ฮอร์โมนหลังจากการทำกิฟต์
ขั้นตอนที่ 5 คือ การตรวจสอบการตั้งครรภ์
แต่ข้อจำกัดของวิธีนี้ คือ ฝ่ายหญิงจะต้องมีท่อนำไข่ไม่อุดตัน หรือถ้าอุดตันจะต้องมีการตรวจสอบว่าอุดตันทั้งสองข้างหรือไม่ ถ้าอย่างน้อยอุดตันเพียงข้างเดียวก็สามารถทำกิฟต์ได้
การบริการสิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนการทำ IUI ที่ไหนดี คือ การให้บริการของโรงพยาบาลที่มีความพร้อม มีบุคลากรให้ข้อมูลอย่างชัดเจน และการบริการที่ดีนั้นจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคู่สมรสและลดความเครียดที่เกิดจากการตัดสินใจในการรักษาภาวะการมีบุตรยาก โดยทางโรงพยาบาลบีเอ็นเอชเองจะมีวิธีรักษาช่วยเหลือคู่รักที่มีปัญหาภาวะการมีบุตรยากให้บริการเช่นกัน โดยมีขั้นตอนการเตรียมตัวของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง อาทิ ฝ่ายชายจะมีการตรวจเลือดรวมไปถึงการตรวจน้ำอสุจิ ส่วนทางด้านของฝ่ายหญิงจะได้ตรวจอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด ตรวจระดับฮอร์โมนในเลือด และฝ่ายหญิงจะได้รับชุดยาที่ต้องกระตุ้นไข่ที่อยู่ในรูปแบบของยาทานและยาฉีด แต่ทั้งนี้อาจจะมีค่าบริการในส่วนอื่นเพิ่มเติม เช่น ค่ายา ค่าอุปกรณ์การแพทย์ ค่าทำความสะอาดน้ำอสุจิ ค่าธรรมเนียมแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาล ด้วยความที่การบริการเป็นสิ่งที่โรงพยาบาลให้ความอันดับต้น ๆ เสมอ ทางโรงพยาบาลจะทำการแจ้งขั้นตอน รายละเอียดการทำ IUI แก่ลูกค้าก่อนทุกครั้งเพื่อสร้างความเข้าใจและการเตรียมตัวให้กับลูกค้า
แพทย์ความเชี่ยวชาญของแพทย์ถือเป็นสิ่งสำคัญการของการทำ IUI นอกจากจะเลือกว่าควรทำ IUI ที่ไหนดี ก็ควรเลือกทีมแพทย์ที่ถนัดเรื่องการทำ IUI โดยเฉพาะด้วยเช่นกัน เนื่องจากความเชี่ยวชาญของแพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถวางแผนการทำ IUI ได้ดี อีกทั้งหากได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ที่มีความชำนาญก็จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น รวมไปถึงทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยแนะนำได้ว่าวิธีแบบใดจึงจะเหมาะสำหรับผู้ตั้งครรภ์มากที่สุด
สิ่งอำนวยความสะดวกนอกจากการบริการของโรงพยาบาลที่จะต้องพิจารณาและคำนึงถึงแล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกก็เป็นส่วนสำคัญเช่นกันที่จะต้องพิจารณาให้ดีว่าควรจะทำ IUI ที่ไหนดี เนื่องจากโรงพยาบาลบางแห่งอาจจะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไม่พร้อมซึ่งจะส่งผลให้โอกาสความสำเร็จน้อยลง ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มทำ IUI ควรเลือกโรงพยาบาลให้บริการอย่างมีคุณภาพ มีสภาพแวดล้อมที่ดี รวมไปถึงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมจริง ๆ
โอกาสสำเร็จโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของการทำ IUI อยู่ที่ประมาณ 10-15% ถือว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยพอสมควรเนื่องจากการทำ IUI มาพร้อมกับข้อจำกัดหลายด้าน แต่ทั้งนี้อาจจะเหมาะสำหรับบางคน อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะสำเร็จก็ประกอบไปด้วยหลายปัจจัยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรงของอสุจิ สภาพร่างกายของฝ่ายชายและหญิง รวมไปถึงอายุของฝ่ายหญิงด้วย