ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


ตรวจหัวใจ สำคัญยังไง มีวิธีการตรวจแบบใดบ้าง?

"โรคหัวใจ" เป็นภัยเงียบที่หลายคนมีความรู้สึกว่า เป็นสิ่งไกลตัว ยังไม่แก่ มิได้อ้วน ไม่ได้รับประทานอาหารมันๆมากมาย ฯลฯ จึงไม่ได้ใส่ใจ หรือเห็นจุดสำคัญของการตรวจหัวใจ เท่าที่ควร แต่ถ้ามาดูสถิติดังนี้แล้วคุณอาจจะเปลี่ยนใจก็เป็นไปได้


องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่า ในปี 2558 กลุ่มโรคหัวใจและเส้นเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตชั้น 1 และจากสถิติเดือนกันยายน พุทธศักราช 2561 กระทรวงสาธารณสุข เมืองไทย ได้เปิดเผยตัวเลขผู้ป่วยโรคหัวใจว่ามีมากยิ่งกว่า 430,000 รายต่อปี แล้วก็มีอัตราการตายถึง 20,855 คนต่อปี หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน

ด้วยเหตุนั้นการตรวจหัวใจก็เลยเป็นอีกหนึ่งสำหรับเพื่อการตรวจสุขภาพที่คุณไม่ควรละเลย เพื่อคุ้มครองปกป้องการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คิด

โรคหัวใจ
เป็น ความผิดปกติใดๆเกี่ยวกับหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นลิ้นหัวใจ เส้นโลหิตหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจ หรือระบบคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ซึ่งความผิดปกติกลุ่มนี้ล้วนมีผลต่อการทำงานของหัวใจแล้วก็สุขภาพร่างกาย นั่นก็เนื่องจากว่าหัวใจเป็น อวัยวะสำคัญปฏิบัติหน้าที่สูบฉีดเลือดและก็สารอาหารต่างๆไปเลี้ยงอวัยวะทุกๆส่วนของคนเรา

อาการโรคหัวใจที่สำคัญและพบมากได้แก่ ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจอ่อนกำลัง (Heart Failure) โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

คนใดบ้างที่ควรตรวจหัวใจ?
คุณควรจะรีบไปพบแพทย์ ถ้าเกิดมีลักษณะที่อาจบอกถึงโรคหัวใจตั้งแต่นี้ต่อไป เนื่องจากว่ายิ่งตรวจพบและได้รับการดูแลรักษาเร็วก็จะยิ่งมีผลดีต่อตัวคุณเอง

  • เจ็บอกร้าวไปไหล่ซ้าย
  • แน่นหน้าอกคล้ายมีอะไรมานอนทับที่บริเวณหน้าอก
  • เสียด หรือแสบร้อนรอบๆอก
  • หมดแรง
  • อ่อนแรงง่ายดายเสียยิ่งกว่าธรรมดา
  • เหงื่อแตกมากยิ่งกว่าปกติ
  • ใจสั่น
  • หน้ามืด เป็นลม
  • อ่อนล้าอย่างมากเมื่อออกกำลังกาย

ส่วนผู้ที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงโรคหัวใจดังนี้ ก็ควรจะเข้ารับการตรวจความสามารถหัวใจด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายประเภทด้วยกัน

  • อายุมาก
  • ผู้ชายจะมีความเสี่ยงของโรคหัวใจมากยิ่งกว่าผู้หญิงก่อนวัยหมดประจำเดือน
  • ดูดบุหรี่จัด
  • ติดเหล้า หรือมีพฤติกรรมเป็นคนชอบดื่ม
  • มีระดับไขมันในเลือดสูง
  • เป็นโรคโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับโรคเส้นเลือด
  • มีคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ หรืออัมพาต
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • อ้วน


เพราะฉะนั้นคุณควรตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อช่วยระวังโรคร้ายและก็ความเสี่ยงจากโรคอื่นๆที่ตามมาพร้อมปัญหาด้านสุขภาพ หากตรวจพบว่า มีการเสี่ยงโรคหัวใจดังข้างต้น แพทย์จะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนความประพฤติการใช้ชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดโรคหัวใจ ยกตัวอย่างเช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักผลไม้ ลดอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอล บริหารร่างกายเป็นประจำ และก็ชี้แนะให้มาตรวจเช็กการเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ



การตรวจหัวใจ มีวิธีการตรวจอย่างไร?
เมื่อไปพบแพทย์เพื่อตรวจหัวใจ หมอจะซักประวัติสุขภาพรวมทั้งความประพฤติปฏิบัติการใช้ชีวิต ประวัติเจ็บป่วยของคนภายในครอบครัว น้ำหนัก ความสูง เพื่อประเมินว่า มีภาวะน้ำหนักเกินไหม และก็วัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดความดันโลหิต แล้วก็ฟังเสียงหัวใจว่า มีความผิดปกติหรือเปล่า แล้วต่อจากนั้นขั้นตอนต่อไปคือการตรวจเสริมเติม ตัวอย่างเช่น

การตรวจหัวใจแบบพื้นฐาน

  • ตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจ วิธีแบบนี้สามารถบอกจังหวะการเต้นหัวใจที่ผิดปกติรวมทั้งวินิจฉัยโรคเยื่อห่อหุ้มหัวใจบางชนิด หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย แต่ก็ส่งผลคลาดเคลื่อนได้
  • เอกซเรย์ปอด จะช่วยทำให้เห็นปอด เส้นเลือดแดง และการกระจายของหลอดเลือดในปอด สภาวะน้ำหลากปอด สภาวะหัวใจล้มเหลว และเงาของหัวใจข้างหลังปอด และก็บอกขนาดหัวใจก้าวหน้าพอสมควร
  • ตรวจเลือด เป็นการตรวจหาสารต่างๆในเลือด เพื่อดูว่า มีโรค หรือสภาวะสุขภาพที่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจ ไหม อาทิเช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น

การตรวจหัวใจแบบพิเศษ

  • อัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiogram หรือ ECHO) การตรวจหัวใจวิธีนี้จะใช้คลื่นเสียงความถี่สูงแต่มีความปลอดภัย เข้าไปยังรอบๆหน้าอก และรับเสียงที่สะท้อนออกมา แล้วต่อจากนั้นนำข้อมูลที่สะท้อนกลับมาไปแปลเป็นภาพบ่งบอกถึงรูปร่าง ขนาด การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และก็ลิ้นหัวใจของผู้ป่วย สามารถบอกถึงความผิดปกติ ความรุนแรงของโรค และก็ช่วยสำหรับเพื่อการติดตามผลการรักษาได้ แต่ว่ามีข้อเสียเป็น จะไม่เห็นหลอดเลือดหัวใจโดยตรง ถ้าผู้ป่วยอ้วน หรือผอมบางมากไป หรือมีถุงลมโป่งพอง ก็อาจทำให้ได้ภาพที่ไม่แน่ชัด
  • การเดินสายพาน (Exercise stress test หรือ EST) เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกายด้วยการเดินสายพาน หรือปั่นจักรยาน หมอจะให้คุณเดินสายพานที่เคลื่อนไปเรื่อยๆหรือขี่จักรยานเพื่อหัวใจเต้นแรงขึ้น เวลาที่ต่อขั้วสายนำไฟฟ้ารอบๆอก 10 สายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ ถ้าหากมีหลอดเลือดหัวใจตีบ เลือดก็จะไม่สามารถมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ ทำให้มีลักษณะแน่นหน้าอก หายใจติดขัด อัตราเต้นของหัวใจผิดปกติ เกิดการเปลี่ยนของคลื่นไฟฟ้าให้เห็นนั่นเอง
  • การตรวจหัวใจด้วยเตียงปรับระดับ (Tilt table test) ทำโดยให้ผู้ป่วยนอนบนเตียงที่ที่ปรับระดับองศาของเตียงได้ แล้วหมอจะประเมินชีพจร ความดันเลือด ลักษณะคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และก็อาการอื่นๆของผู้ป่วยในเวลาที่เตียงมีการเปลี่ยนแปลงระดับ วิธีการแบบนี้มักใช้ในการตรวจผู้ป่วยที่เป็นลม หรือหมดสติโดยไม่รู้ปัจจัย และเป็นลมบ่อยๆหรือเป็นลมง่าย เป็นต้นว่า เห็นเลือดแล้วเป็นลมเป็นแล้ง เปลี่ยนท่าแล้วเป็นลมเป็นแล้ง ซึ่งอาจมีปัจจัยมาจากปัญหาเกี่ยวกับสมอง หรือหัวใจก็ได้
  • การบันทึกคลื่นหัวใจกระแสไฟฟ้า (Holter monitoring) แพทย์จะเปิดเครื่องบันทึกคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจไว้กับเพศผู้เจ็บไข้ราว 24-48 ชั่วโมง โดยผู้ป่วยสามารถกลับไปบ้านแล้วก็ทำกิจกรรมได้ตามปกติ เมื่อครบกำหนดเวลาก็เลยกลับมาโรงพยาบาลเพื่อถอดเครื่องออกและคอยผลตรวจวิเคราะห์ วิธีแบบนี้เหมาะกับคนที่มีอาการใจสั่นผิดปกติเป็นบางครั้ง หน้ามืดศีรษะ คล้ายจะเป็นลมเป็นแล้ง รวมทั้งหัวใจเต้นแรงผิดปกติเสมอๆ
  • การตรวจระบบไฟฟ้าในหัวใจ (Electrophysiological studies) เป็นการตรวจโดยใส่สายสวนหัวใจขนาดเล็กเข้าไปตามเส้นเลือดดำรอบๆขาหนีบ หรือใต้ไหปลาร้า เพื่อนำไปยังตำแหน่งต่างๆภายในหัวใจ ซึ่งจะช่วยสำหรับในการบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจรวมทั้งดูว่า มีไฟฟ้าลัดวงจรเกิดขึ้นในหัวใจ หรือเปล่า รวมถึงสามารถส่งกระแสไฟน้อยๆไปกระตุ้นให้มีอาการปรากฏชัดเพิ่มขึ้น ทำให้หมอพินิจพิจารณาความผิดปกติได้ละเอียดมากกว่าการบันทึกคลื่นหัวใจไฟฟ้า
  • การสวนหัวใจ (Cardiac catheterization) และก็การฉีดสี (Coronary angiography) เป็นการใช้สายสวนขนาดเล็กใส่เข้าไปจากรอบๆขาหนีบ ข้อพับแขน หรือข้อมือตามแนวเส้นเลือดแดงจนกระทั่งรูเปิดของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ แล้วใช้สารละลายทึบรังสีฉีดเข้าไปทางสายสวนด้วย เพื่อเห็นการตีบแคบของเส้นเลือดอย่างแจ่มแจ้ง วิธีนี้จะช่วยวินิจฉัยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบได้อย่างแม่นยำ และก็ใช้เวลาพักฟื้นเพียง 24 ชั่วโมงก็สามารถกลับไปอยู่ที่บ้านได้ โดยจะไม่มีการใช้ยาสลบ ใช้เพียงยาชาเฉพาะที่เท่านั้น

ตรวจหัวใจ ส่งผลข้างๆหรือไม่?
การตรวจหัวใจด้วยวิธีสวนหัวใจและฉีดสารละลายทึบรังสี มีโอกาสทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ แต่ว่าก็เจอได้น้อยมาก ดังเช่น อาจส่งผลให้มีเลือดออกตำแหน่งที่แทงเข็ม และบางคนมีลักษณะแพ้สีแบบไม่ร้ายแรง ส่วนผลแทรกซ้อนที่รุนแรงนั้นเจอได้น้อยกว่า 1% เท่านั้น ได้แก่ อัมพาต แพ้สีร้ายแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะร้ายแรง รวมทั้งอาจถึงกับตาย แต่ว่าเมื่อประเมินจุดเด่นข้อบกพร่องแล้ว คุณประโยชน์ที่กำลังจะได้จากการตรวจนั้นมักมีมากกว่าขึ้นกับสาเหตุด้านอายุรวมทั้งสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละราย
โรคหัวใจยิ่งตรวจเจอเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลดีต่อการรักษาเพียงแค่นั้น การหมั่นสังเกตอาการผิดปกติและรับการตรวจอย่างทันทีทันควันจัดว่า สำคัญอย่างยิ่ง ถ้าหากคุณเป็นกังวล หรือไม่แน่ใจว่า ตนเองมีลักษณะของโรคหัวใจหรือไม่ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรจะไปพบหมอเพื่อปรึกษาและตรวจวินิจฉัยอย่างแม่นยำจะดีที่สุด

https://www.honestdocs.co/heart-check
 

Tags :  โรคหัวใจ