ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


เปรียบเทียบลิสซิ่งกับเช่าซื้อ: กลยุทธ์เลือกสินเชื่อเครื่องจักรสำหรับธุรกิจ SME


เวลาพูดถึง “ซื้อเครื่องจักรใหม่” สำหรับโรงงานหรือธุรกิจผลิต หลายคนไม่ได้ติดปัญหาที่ อยากลงทุนหรือไม่ แต่ติดอยู่ที่คำถามสำคัญมากกว่า คือ

“จะใช้เงินสดตัวเองทั้งหมดดี หรือควรใช้ สินเชื่อเครื่องจักร จากธนาคาร?”

พอเริ่มหาข้อมูลจริง ๆ ก็พบว่ามีตัวเลือกเต็มไปหมด
ทั้ง ลิสซิ่ง (Leasing), เช่าซื้อ (Hire Purchase),
รวมถึงโปรแกรมต่าง ๆ ในนาม เงินกู้ธุรกิจsme, ทั้งแบบ
สินเชื่อแบบมีหลักประกัน (ใช้ตัวเครื่องหรือทรัพย์อื่นค้ำ)
และ สินเชื่อSMEไม่ใช้การค้ำประกัน ที่เน้นดูรายได้และกระแสเงินสดของกิจการ

ปัญหาคือ ในสายตาเจ้าของกิจการหลายราย คำเหล่านี้ “ฟังดูคล้ายกันไปหมด”
จนแยกไม่ออกว่าอะไรคือการ “เช่าใช้” อะไรคือการ “ผ่อนเพื่อเป็นเจ้าของ”
โครงสร้างหนี้ต่างกันอย่างไร กระทบเงินหมุนและความยืดหยุ่นของธุรกิจระยะยาวแค่ไหน
และที่สำคัญ ธุรกิจของตนเอง “เหมาะกับแบบไหนมากกว่า” กันแน่

จากประสบการณ์ให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการ SME หลายกลุ่ม
ตั้งแต่โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ โรงงานชิ้นส่วน ไปจนถึงผู้ลงทุนในเครื่องจักรสำหรับแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่ม
จะเห็นภาพชัดมากว่า การเลือกใช้ผิดประเภทระหว่างลิสซิ่งกับเช่าซื้อ
หรือการใช้ สินเชื่อแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แทนที่จะจัดโครงสร้าง สินเชื่อแบบมีหลักประกัน ให้เหมาะสมตั้งแต่ต้น
อาจทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยสูงเกินจำเป็น และดึงสภาพคล่องของธุรกิจตลอดอายุเครื่องจักรโดยไม่รู้ตัว

โรงงานเล็ก ๆ ที่กำลังโต…แต่ติดตรงเครื่องจักร

สมมติว่า “คุณเอ” เป็นเจ้าของโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารรายหนึ่ง
ลูกค้าหลักคือร้านอาหาร แฟรนไชส์ขนม และแบรนด์สินค้าอาหารรายเล็ก–กลาง ที่กำลังขยายสาขา

ปัญหาของคุณเอคือ

เครื่องจักรรุ่นเดิมเริ่มมีปัญหาจุกจิก หยุดบ่อย

ต้นทุนแรงงานสูง เพราะต้องใช้คนเยอะ

ดีลเลอร์เสนอเครื่องจักรรุ่นใหม่ที่เร็วกว่า ประหยัดไฟกว่า แต่ราคา “หลักล้าน”

เขามีเงินเก็บอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ไม่อยากลงหมดหน้าตัก
เลยเริ่มมองหา สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME ที่เน้นลงทุนในเครื่องจักรโดยเฉพาะ

ดีลเลอร์แนะนำว่า

“สมัยนี้ไม่ต้องซื้อสดแล้วครับ เลือกได้ทั้งลิสซิ่งหรือเช่าซื้อ
หลายธนาคารก็มีโปรแกรมสินเชื่อเครื่องจักรให้ SME โดยใช้ตัวเครื่องเป็นหลักประกันเอง”

คุณเอเลยมาปรึกษาว่า
“ลิสซิ่งหรือเช่าซื้อ แบบไหนกันแน่ที่เหมาะกับธุรกิจผม?”

ลิสซิ่ง vs เช่าซื้อ: เหมือนจะคล้าย แต่เล่นคนละเกม
1. เรื่องกรรมสิทธิ์: เช่าใช้ vs ผ่อนเป็นเจ้าของ

ลิสซิ่ง (Leasing)
ธนาคารหรือบริษัทลิสซิ่งเป็น “เจ้าของเครื่องจักร” ตามกฎหมายตลอดอายุสัญญา
เราเป็นผู้เช่าใช้ มีหน้าที่จ่ายค่าเช่าเป็นงวด ๆ
ครบสัญญาแล้ว

บางแบบต้องคืนเครื่อง

บางแบบมีสิทธิ์ “ซื้อขาด” ในราคาเศษตามที่ตกลงล่วงหน้า

ตัวอย่างเช่น โปรแกรม K-Equipment Leasing / KF&E ของกสิกรไทย
ให้เช่าเครื่องจักร 3–5 ปี วงเงินประมาณ 70–100% ของราคาทรัพย์สิน
จ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือนเท่ากันตลอดสัญญา เหมาะกับเครื่องที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว ไม่อยากเป็นเจ้าของเครื่องรุ่นเก่าที่ยากขายต่อในอนาคต

เช่าซื้อ (Hire Purchase)
เป้าหมายคือ “ผ่อนเครื่องจนเป็นเจ้าของ”
ธนาคารตั้งสัญญาเช่าซื้อ ใช้ตัวเครื่องจักรจดเป็นทรัพย์ในสัญญา
เมื่อผ่อนครบ เครื่องจะกลายเป็นทรัพย์ของกิจการทันที

เช่น สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักร–เครื่องมือของธนาคารไทยเครดิต
ที่เน้นว่า “ผ่อนเครื่องจักรเหมือนผ่อนบ้าน ค่างวดโปะได้” เป็นสินเชื่อ SME สำหรับลงทุนในเครื่องจักรโดยเฉพาะ

สรุปสั้น ๆ:

ลิสซิ่ง = เช่าใช้ก่อน จะเป็นเจ้าของหรือไม่ ค่อยว่ากัน

เช่าซื้อ = ผ่อนเพื่อเป็นเจ้าของแน่ ๆ ในปลายทาง

2. มุมบัญชี–ภาษี: ค่าเช่ากับค่าเสื่อม

โดยภาพใหญ่ (ไม่ลงดีเทลภาษีเชิงลึก):

ลิสซิ่ง

มักบันทึกเป็น “ค่าเช่า” รายเดือน

งบดุลเบากว่า เพราะเครื่องไม่ขึ้นเป็นทรัพย์ของกิจการ

เหมาะกับธุรกิจที่อยากให้ค่าใช้จ่ายไปผูกกับผลประกอบการปีต่อปี

เช่าซื้อ

เครื่องจักรขึ้นเป็น “สินทรัพย์” ของธุรกิจ

ต้องตั้ง “ค่าเสื่อมราคา” ทุกปี

ค่างวดที่ผ่อน แยกเป็น “เงินต้น + ดอกเบี้ย”

ในมุม SME ส่วนใหญ่ จุดนี้แปลว่า

ถ้าคุณอยาก “สะสมฐานสินทรัพย์” เพื่อใช้เป็นหลักประกันในอนาคต → เช่าซื้อช่วยสร้างฐานตรงนี้
ถ้าคุณอยากเน้นเป็นค่าใช้จ่าย และให้โครงสร้างทรัพย์สินเบา ๆ → ลิสซิ่งอาจตอบโจทย์กว่า

3. เรื่องเทคโนโลยีและการเปลี่ยนรุ่นเครื่อง

จุดนี้สำคัญสำหรับทั้งโรงงาน และธุรกิจแฟรนไชส์ที่ใช้เครื่องเฉพาะ (เช่น เครื่องชง–เครื่องอบ–เครื่องซีลบรรจุภัณฑ์)

ถ้าเป็นเครื่องที่ เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว
เช่น เครื่องพิมพ์ดิจิทัล เครื่อง CNC รุ่นใหม่ ระบบ Automation ที่ออกฟีเจอร์ใหม่ถี่
→ ลิสซิ่งจะทำให้คุณ “ไม่ติดกับเครื่องเก่า” มากเกินไป
ครบสัญญาแล้วสามารถคืน เปลี่ยนรุ่น หรือทำสัญญาใหม่กับเครื่องที่ทันสมัยขึ้นได้

ถ้าเป็นเครื่องที่ ใช้งานยาว 7–10 ปีขึ้นไป
เช่น เครื่องซีลถุง เครื่องอบอุตสาหกรรม เครื่องบด–เครื่องผสมขนาดใหญ่
→ การเช่าซื้อให้เป็นเจ้าของ แล้วใช้ยาวจนคุ้มค่า มักประหยัดกว่าในระยะยาว

สำหรับเคสของ “คุณเอ” โรงงานบรรจุภัณฑ์
เครื่องใหม่ที่เขาดูอยู่เป็นเครื่องที่น่าจะใช้งานได้ยาวเกิน 7–8 ปี แม้เทคโนโลยีจะไม่เปลี่ยนเร็วมาก
เราจึงคุยกันว่า โครงสร้างเช่าซื้ออาจเหมาะกว่าในระยะยาว เพราะ

ผ่อนครบ → มีสินทรัพย์เพิ่มในงบดุล

สามารถใช้เครื่องเป็นหลักประกันต่อไป หากอนาคตจะขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME เพิ่มเพื่อขยายไลน์ผลิตอีกชุด

แล้วธนาคารไหนมี “สินเชื่อเครื่องจักร” แบบนี้บ้าง?

ไม่ใช่แค่ธนาคารเดียวที่ทำสินเชื่อเครื่องจักร ปัจจุบันมีหลายเจ้าให้ SME เลือก:

1. กสิกรไทย / KF&E

มีทั้ง ลิสซิ่ง และ เช่าซื้อเครื่องจักร ภายใต้แบรนด์ Kasikorn Factory & Equipment (KF&E)

วงเงินโดยทั่วไป 70–100% ของมูลค่าเครื่องจักร ระยะเวลาเช่า/ผ่อน 1–5 ปี ค่าเช่าคงที่ตลอดสัญญา

จุดเด่นคือ โฟกัส “ครบเครื่องเรื่องเครื่องจักร” มีทีมที่เข้าใจสินค้าและอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยตรง

2. ธนาคารไทยเครดิต

มีผลิตภัณฑ์ สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักร–เครื่องมือ (Hire Purchase) สำหรับ SME
เน้นจุดขาย “ผ่อนเหมือนผ่อนบ้าน ค่างวดโปะได้ ประหยัดดอกเบี้ย”

นอกจากนี้ยังมี สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME ทั้งแบบมีหลักทรัพย์และ สินเชื่อแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในกลุ่ม “SME กล้าให้” สำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องควบคู่กันไปได้

3. ธนาคารทิสโก้ (TISCO)

มี สินเชื่อเพื่อลงทุนในเครื่องจักร ครอบคลุมทั้งเครื่องจักรใหม่–มือสอง
ให้บริการทั้งในรูปแบบเช่าซื้อ และสินเชื่อเพื่อธุรกิจ (SME Easy Money)

กลุ่มเป้าหมายหลักคือ “นิติบุคคล” ที่มีรายได้ปีละ 30 ล้านบาทขึ้นไป และมีประวัติธุรกิจชัดเจน

4. ธนาคารพัฒนา SME (SME D Bank)

ออกโปรแกรมสินเชื่อเพื่อ “ลงทุน/ปรับเปลี่ยนเครื่องจักร” หลายรอบ
เช่น โครงการ Soft Loan ปรับเปลี่ยนเครื่องจักร หรือ SME Green Productivity ที่ดอกเบี้ยพิเศษ (เคยมีรอบที่ดอกเบี้ยราว 4% ตลอด 7 ปี)

เน้นสนับสนุน SME ที่ต้องการอัปเกรดเทคโนโลยีหรือเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่รายอื่น (SCB, กรุงศรี ฯลฯ) ก็มี สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME ที่ยอมใช้เครื่องจักรเป็นส่วนหนึ่งของหลักประกันในกรอบสินเชื่อเพื่อการลงทุน/ขยายกิจการได้ แม้ชื่อโปรดักต์จะไม่ใช้คำว่า “สินเชื่อเครื่องจักร” ตรง ๆ ก็ตาม

แล้ว “สินเชื่อแบบมีหลักประกัน” กับ “สินเชื่อแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน” มาช่วยตรงไหน?

ในชีวิตจริง เจ้าของกิจการไม่ได้ใช้แค่สินเชื่อเครื่องจักรอย่างเดียว
เรามักต้องผสม หลายแหล่งเงินทุน เข้าด้วยกัน

สินเชื่อแบบมีหลักประกัน

เช่น ลิสซิ่ง/เช่าซื้อที่ใช้เครื่องจักรค้ำ, หรือ Term Loan ที่ใช้ที่ดิน+เครื่องจักรเป็นหลักประกัน

ให้วงเงินก้อนใหญ่ ดอกเบี้ยถูกกว่า

เหมาะกับ “เงินลงทุนระยะกลาง–ยาว” อย่างการซื้อเครื่องจักรหลัก

สินเชื่อแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

เช่น วงเงินหมุนเวียน SME ที่ดูจากเครดิตธุรกิจและรายได้
อย่างผลิตภัณฑ์ “SME กล้าให้” บางตัวของไทยเครดิตที่ปล่อยแบบไม่ต้องใช้หลักประกัน

เหมาะกับใช้จ่ายในส่วน

เงินเดือนทีมงาน

ค่าวัตถุดิบ

ค่าเช่าพื้นที่ สต๊อกสินค้า

ค่าเปิดสาขาแฟรนไชส์รอบใหม่ ฯลฯ

มุมกลยุทธ์คือ:

ใช้ “สินเชื่อเครื่องจักร” หรือสินเชื่อแบบมีหลักประกัน เป็นกระดูกสันหลังสำหรับลงทุนในทรัพย์ถาวร
แล้วใช้ “สินเชื่อแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน” หรือวงเงินหมุนเวียน SME เป็นตัวช่วยลมหายใจสั้น ๆ ในแต่ละเดือน

ถ้าเอาทุกอย่างไปอัดในวงเงินไม่มีหลักประกันอย่างเดียว ดอกเบี้ยจะสูงและวงเงินมักไม่พอเมื่อต้องซื้อเครื่องราคาเป็นล้าน
แต่ถ้าเอาแต่ทรัพย์ไปค้ำอย่างเดียว โดยไม่เผื่อวงเงินหมุนเวียนไว้เลย ก็เสี่ยงที่ “เครื่องเดินได้ แต่เงินหมุนไม่ทันธุรกิจ”
สรุป: ธุรกิจแบบไหนเหมาะกับอะไร?

ลองสรุปให้คุณเอ (และผู้อ่านที่สถานการณ์คล้าย ๆ กัน) แบบนี้:

ถ้าธุรกิจของคุณ

ใช้เครื่องจักรที่อายุการใช้งานยาว เทคโนโลยีไม่เปลี่ยนเร็ว

อยากสะสมสินทรัพย์ให้บริษัท

มีแผนใช้เครื่องเป็นหลักประกันต่อยอดในอนาคต

???? เช่าซื้อ (Hire Purchase) + สินเชื่อเครื่องจักรแบบมีหลักประกัน ผ่านธนาคารที่เชี่ยวชาญด้านนี้ (เช่น KBank/KF&E, ไทยเครดิต, TISCO ฯลฯ) คือแกนหลักที่น่าพิจารณา

ถ้าธุรกิจของคุณ

ต้องการเปลี่ยนเครื่องบ่อย ๆ ตามเทคโนโลยี

เน้นให้ค่าใช้จ่ายสอดคล้องกับการใช้งานระยะสั้นถึงกลาง

ไม่อยากผูกพันเป็นเจ้าของเครื่องรุ่นเก่าที่ยากต่อการขายต่อในอนาคต

???? ลิสซิ่งเครื่องจักร จากสถาบันการเงินที่เข้าใจตลาดเครื่องจักร (อย่าง KF&E ของกสิกรไทย) อาจยืดหยุ่นกว่า

ไม่ว่าคุณจะเลือกแบบไหน
???? อย่าลืมออกแบบ “คู่หู” คือ สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไว้เป็นวงเงินหมุนเวียนรองรับค่าใช้จ่ายประจำวันของธุรกิจด้วย

สุดท้าย เครื่องจักรไม่ใช่แค่เหล็กก้อนหนึ่งในโรงงาน
มันคือ “หัวใจของกระแสเงินสด”
การเลือกระหว่างลิสซิ่งกับเช่าซื้อ และการวางโครง สินเชื่อเครื่องจักร + สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME + แหล่งทุนอื่น ๆ ให้สมดุล
คือจุดเล็ก ๆ บนกระดาษ ที่อาจกำหนดได้เลยว่า
ธุรกิจของคุณจะ “โตอย่างมั่นคง” หรือ “โตไปพร้อมความเครียดเรื่องหนี้” ในอีกหลายปีข้างหน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 06, 2025, 07:01:56 AM โดย ธิดารัตน์ »