
ธุรกิจขายดี มีลูกค้าเข้าตลอด แต่พอไปขอ
สินเชื่อเพื่อธุรกิจ กลับถูกปฏิเสธ เพราะ “ไม่มีแผนการเงิน”
เคสที่ผมเจอล่าสุดคือเจ้าของกิจการนำเข้าสินค้าจากจีนรายหนึ่ง —
เขานำเข้าอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและของใช้ในครัวจากกวางโจว ขายผ่านช่องทางออนไลน์และตัวแทน
รายได้เฉลี่ยเดือนละ 800,000–900,000 บาท
แต่กลับต้องเผชิญปัญหา “เงินขาดมือ” อยู่เป็นประจำ ทั้งที่ยอดขายไม่ได้ตก
เหตุผลนั้นง่ายแต่ร้ายแรง — เขา “ไม่มีแผนกระแสเงินสด”
ทุกครั้งที่สั่งของจากจีน ต้องจ่ายล่วงหน้าเต็มจำนวน
แต่กว่าจะรับเงินจากลูกค้าในประเทศได้จริง ต้องรออีกเกือบ 2 เดือน
ช่องว่าง 45–60 วันนี้กลายเป็นหลุมเงินสดที่กัดกินสภาพคล่องโดยไม่รู้ตัว
และเมื่อไม่มีเอกสารแสดงแผนการใช้เงินชัดเจน
คำตอบจากธนาคารคือคำว่า “ไม่ผ่านการอนุมัติสินเชื่อ”
1. เพราะธนาคารปี 2568 “ดูอนาคตของคุณ” มากกว่าอดีต
หนึ่งในแนวโน้มสำคัญของปีนี้คือ สถาบันการเงินไทยเริ่มปรับระบบประเมินสินเชื่อให้เน้น “ศักยภาพปัจจุบัน”
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่า ในปี 2568 ระบบ Credit Scoring ถูกปรับให้รวมพฤติกรรมการใช้บัญชี
การจ่ายตรงเวลา และกระแสเงินสดในบัญชีธุรกิจเข้ามาเป็นตัวชี้วัดสำคัญ
ซึ่งหมายความว่า —
ธนาคารไม่ได้ดูว่าคุณเคยพลาดมากี่ครั้ง แต่ดูว่าคุณกำลังบริหารเงินอย่างไรในวันนี้
ดังนั้นการมี “แผนการเงิน” ที่แสดงให้เห็นว่า เงินกู้จะถูกนำไปใช้ทำอะไร คืนเมื่อไหร่ และสร้างรายได้กลับมาเท่าไร
คือสิ่งที่ช่วยให้คุณเข้าถึง
แหล่งเงินทุน ได้ง่ายกว่าเดิม
โดยเฉพาะผู้ขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก หรือ
สินเชื่อไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันแผนการเงินที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงในมุมมองของผู้ให้กู้ และเปลี่ยนภาพคุณจาก “ผู้ขอกู้” เป็น “คู่ค้าทางการเงิน”
2. เพราะการไม่มีแผน อาจทำให้ใช้เงินผิดประเภท
ผมเคยเห็นหลายกรณีที่ธุรกิจใช้สินเชื่อระยะยาว (Term Loan) มาหมุนจ่ายค่าแรงและวัตถุดิบระยะสั้น
ผลคือ “เงินต้น” ยังไม่ทันลด แต่ดอกเบี้ยกลับบานขึ้นทุกเดือน
หรือในทางกลับกัน บางคนใช้วงเงินหมุนเวียน OD ไปซื้อเครื่องจักร —
เงินหมดเร็ว แต่รายได้จากเครื่องจักรยังไม่เข้ามา
ทั้งหมดนี้เกิดจากการ “ไม่แยกวัตถุประสงค์ทางการเงินให้ชัด”
ซึ่งการวางแผนล่วงหน้าจะช่วยให้คุณเห็นว่า เงินก้อนนี้ควรใช้เพื่ออะไร
และควรจับคู่กับสินเชื่อประเภทไหนให้ตรงงาน เช่น
สินเชื่อหมุนเวียน (Working Capital) สำหรับจ่ายค่าแรง วัตถุดิบ หรือสต็อก
สินเชื่อเพื่อการลงทุน (Term Loan) สำหรับซื้อเครื่องจักรหรือขยายกิจการ
เมื่อใช้สินเชื่อให้ตรงประเภท กระแสเงินสดของคุณจะสมดุล และลดภาระดอกเบี้ยโดยไม่รู้ตัว
3. เพราะการมีแผน ช่วยให้ได้วงเงิน “พอดีกับศักยภาพจริง”
ธนาคารไม่ได้ต้องการให้คุณกู้มากที่สุด — แต่ต้องการให้คุณ “กู้พอดีที่สุด”
ตัวชี้วัดที่ใช้คือ DSR (Debt Service Ratio) และ DSCR (Debt Service Coverage Ratio)
DSR: ภาระหนี้รวมต่อรายได้เฉลี่ยต่อเดือน (ควรไม่เกิน 60%)
DSCR: อัตราความสามารถชำระหนี้จากกำไรสุทธิ (ควรเกิน 1.2)
ตัวเลขเหล่านี้จะคำนวณได้เฉพาะเมื่อคุณมี “แผนกระแสเงินสด” ชัดเจน
การจัดทำแผนนี้ทำให้ธนาคารมั่นใจว่าคุณจะผ่อนชำระได้จริง
และในบางกรณี ยังช่วยให้ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าผู้ที่ไม่มีแผนประกอบการขอสินเชื่อ
4. เพราะ “แผนการเงิน” คือหลักฐานความน่าเชื่อถือ
จากประสบการณ์ของผม ผู้ประกอบการที่มีงบการเงินเรียบร้อย มักได้รับการอนุมัติเร็วกว่าคนที่ถือแต่เอกสาร
เพราะแผนการเงินคือเครื่องพิสูจน์ความเข้าใจของเจ้าของกิจการเอง
ในยุคที่ สถาบันการเงินใช้ระบบดิจิทัลและ NDID ตรวจสอบข้อมูลได้ภายในไม่กี่นาที
“ความโปร่งใส” กลายเป็นหลักฐานสำคัญแทน “ทรัพย์ค้ำ”
ธุรกิจที่มี Statement, ยอดขาย POS, และงบกระแสเงินสด 6–12 เดือน
จะกลายเป็น “ลูกค้าคุณภาพ” ในทันที
Insight จากที่ปรึกษาสินเชื่อหลายแห่งยืนยันว่า:
“ปี 2568 เป็นปีที่ข้อมูลกลายเป็นหลักทรัพย์ ถ้าธุรกิจมีข้อมูลดี ก็เข้าถึงสินเชื่อได้ง่าย แม้ไม่มีที่ดินค้ำประกัน”
5. มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: แผนการเงินที่ดีต้อง “มองเห็นอนาคตได้”
หลายคนคิดว่าแผนการเงินคือเอกสาร Excel 2 หน้า แต่ในมุมมองธนาคาร มันคือ “แผนที่ของธุรกิจ”
สิ่งที่ผู้ให้กู้ต้องการเห็นคือ 3 เรื่อง:
รายได้ที่เป็นจริง — ไม่ต้องสูงเกินจริง แต่ต้องมีหลักฐาน เช่น Statement หรือ POS
ค่าใช้จ่ายที่สอดคล้องกับรายได้ — เห็นภาพว่าใช้เงินอย่างมีเหตุผล
แผนรับมือความเสี่ยง — ถ้ายอดขายลด 20% หรือวัตถุดิบแพงขึ้น 10% ธุรกิจยังอยู่ได้ไหม
การวางแผนล่วงหน้าแบบนี้ทำให้ผู้กู้ “รู้ตัวก่อนธนาคารรู้” ว่าจะมีจุดไหนที่ต้องเสริมสภาพคล่อง
6. กรณีศึกษา: ธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีนที่เปลี่ยนชีวิตด้วย “แผนใหม่ก่อนรีไฟแนนซ์”
เจ้าของกิจการนำเข้าสินค้าจากจีนรายหนึ่ง — ผู้ที่กล่าวถึงตอนต้น —
หลังถูกปฏิเสธสินเชื่อรอบแรก เขากลับมาวางแผนใหม่โดยเริ่มจากข้อมูลจริงทั้งหมด
เราเริ่มช่วยเขาจัดทำ “แผนรีไฟแนนซ์สินเชื่อ SME” ที่แสดงให้เห็นภาพรอบเงินสดของกิจการชัดเจน
เขาจัดทำ
ตาราง Cash Flow 12 เดือนล่วงหน้า
แผน การชำระซัพพลายเออร์จีนและค่าขนส่งแยกรายรอบ
และแผน บริหารวงเงินใหม่หลังรีไฟแนนซ์ เพื่อให้ตรงกับรอบนำเข้าแต่ละเดือน
เมื่อครบ 3 เดือน เขายื่นขอ สินเชื่อไม่มีหลักประกันวงเงิน 1.5 ล้านบาท
เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เก่าและเพิ่มทุนหมุนเวียนในรอบนำเข้า
ผลลัพธ์คือ ธนาคารอนุมัติภายใน 14 วัน พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยลงกว่า 20%
ภายในครึ่งปี เขาเพิ่มรอบนำเข้าได้จากเดือนละ 1 ครั้งเป็น 2 ครั้ง
และสามารถเจรจากับซัพพลายเออร์ให้เครดิตเทอมเพิ่มอีก 15 วัน
รายได้เติบโตขึ้นกว่า 40% ภายในเวลาไม่ถึงปี
เขายิ้มแล้วพูดกับผมว่า
“ผมเคยคิดว่ายอดขายดีพอแล้ว แต่จริง ๆ ต้องมียอดขาย + แผนเงิน ถึงจะไปต่อได้”
7. ข้อดี–ข้อเสียของการวางแผนก่อนขอสินเชื่อ
ข้อดี ข้อเสีย / สิ่งที่ต้องระวัง
✅ เพิ่มโอกาสอนุมัติสินเชื่อ ⚠️ ต้องใช้เวลาเตรียมข้อมูลอย่างน้อย 1–2 เดือน
✅ ได้วงเงินและอัตราดอกเบี้ยเหมาะสม ⚠️ ถ้าแผนไม่อัปเดต อาจไม่ตรงกับสภาพจริง
✅ สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจน่าเชื่อถือ ⚠️ ต้องรักษาวินัยทางการเงินต่อเนื่อง
✅ วางระบบบัญชีธุรกิจให้ยั่งยืน ⚠️ ต้องเข้าใจตัวเลขพื้นฐาน เช่น DSCR, DSR
สรุป: แผนการเงิน คือก้าวแรกของการเข้าถึง “แหล่งเงินทุน” อย่างมั่นคง
การวางแผนทางการเงินไม่ใช่เอกสารที่ทำเพื่อให้ธนาคารดูเท่านั้น
แต่เป็นกระจกสะท้อนศักยภาพของธุรกิจเราเอง
ในปี 2568 ที่การแข่งขันสูงและแหล่งทุนมีตัวเลือกมากขึ้น ทั้งธนาคารและ Non-Bank
ธุรกิจที่มี “ข้อมูลชัด” และ “แผนการใช้เงินโปร่งใส” จะได้เปรียบมากที่สุด
ก่อนยื่นขอ
สินเชื่อSMEไม่มีหลักทรัพย์2568ลองถามตัวเองก่อนว่า —
“เรามีแผนที่ชัดเจนพอจะให้คนอื่นเชื่อมั่นหรือยัง?”
เพราะสุดท้ายแล้ว สินเชื่อที่ดีไม่ใช่แค่ “เงินที่ได้มา”
แต่คือ “โอกาสที่เราใช้เงินนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

อยากเข้าใจขั้นตอนการวางแผนอย่างมืออาชีพมากขึ้น
อ่านต่อที่บทความเต็มได้ที่
การวางแผนการเงินก่อนขอสินเชื่อ