
ในบริบทของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง การเข้าถึง
แหล่งเงินทุน ผ่านผลิตภัณฑ์
สินเชื่อสำหรับธุรกิจ ที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับลักษณะงานไซต์จริง เป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาสภาพคล่องให้กิจการเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีการเข้าประมูลงานใหม่ โอนย้ายไซต์ หรือเร่งเฟสงานในช่วงเวลาที่ต้นทุนจำนวนมากต้องถูกจ่ายออกไปก่อนรายได้จะทยอยรับรู้
อย่างไรก็ตาม การมีเพียงสัญญาว่าจ้างหรือใบเสนอราคาไม่ได้เพียงพอสำหรับฝ่ายสินเชื่อของธนาคารในการพิจารณาอนุมัติวงเงินให้กับ ผู้รับเหมา ได้อย่างเหมาะสม ในทางปฏิบัติ “เอกสารเฉพาะทาง” ที่สะท้อนทั้งโครงสร้างโครงการ กระแสเงินสด และหลักประกันที่ชัดเจน คือหัวใจที่ทำให้การขอ สินเชื่อ SME ภาคก่อสร้างมีโอกาสอนุมัติเร็วขึ้น และได้วงเงินสอดคล้องกับความต้องการจริงของโครงการ
บทความนี้จึงมุ่งเน้นอธิบาย “ประเภทของเอกสารเฉพาะทางแต่ละแบบ” ที่ผู้รับเหมาก่อสร้างควรเตรียมเมื่อวางแผนขอสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับโครงการ โดยยึดกรอบแนวคิดจากหน้า
สินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาของ EasyCashFlows และขยายความเชิงวิเคราะห์เพิ่มเติมในภาษาทางการ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการใช้สินเชื่ออย่างมีวินัยและเป็นระบบ
1. กลุ่มเอกสารโครงการ: ทำให้ธนาคาร “เห็นไซต์งานบนกระดาษ”
กลุ่มแรกคือเอกสารที่ทำให้ฝ่ายสินเชื่อเข้าใจ “ตัวตนของโครงการ” อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่าจากผู้รับเหมา
1.1 สัญญารับเหมาก่อสร้าง (Construction Contract)
สัญญารับเหมาก่อสร้างเป็นเอกสารหลักที่เชื่อมโยงโดยตรงกับการขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ สำหรับโครงการนั้น ๆ เนื่องจากระบุข้อมูลสำคัญ ได้แก่
มูลค่าสัญญารวม
ระยะเวลาก่อสร้าง
เงื่อนไขงวดจ่ายเงิน (Payment Terms)
อัตราเงินกัน (Retention) ตามสัญญา เช่น 5–10%
เงื่อนไขกรณีส่งมอบล่าช้าหรือผิดสัญญา
เอกสารฉบับนี้ช่วยให้ธนาคารสามารถประเมิน “ความสมเหตุสมผล” ระหว่างวงเงินที่ผู้รับเหมาต้องการใช้เป็น เงินทุนหมุนเวียน กับรายได้ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจริงตามสัญญา
1.2 BOQ และแบบก่อสร้างหลัก (Drawing & BOQ)
Bill of Quantities (BOQ) และแบบก่อสร้างหลักเป็นเอกสารทางเทคนิคที่อธิบาย “ปริมาณงานและวัสดุ” ที่ต้องใช้ในโครงการ หากผู้ประกอบการจัดเตรียม BOQ พร้อมต้นทุนที่คำนวณแล้วอย่างเป็นระบบ
ธนาคารจะเห็นโครงสร้างต้นทุนวัสดุและค่าแรงอย่างชัดเจน
สามารถเปรียบเทียบกับมูลค่าสัญญาและเงื่อนไขงวดจ่าย
ช่วยสนับสนุนความน่าเชื่อถือของคำขอสินเชื่อผู้รับเหมา ว่ามาจากการวางแผนต้นทุนอย่างมืออาชีพ
สำหรับผู้รับเหมาที่ต้องการใช้ สินเชื่อ SME หรือ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ เพื่อรองรับต้นทุนเหล่านี้ การมี BOQ ที่ตรวจสอบได้ จะช่วยลดข้อสงสัยของฝ่ายสินเชื่ออย่างมาก
2. เอกสารความคืบหน้าและการเบิกจ่าย: รองรับสินเชื่อเบิกเป็นงวด (Drawdown)
หนึ่งในลักษณะสำคัญของสินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่บทความหลักกล่าวถึง คือโครงสร้างการ “เบิกเป็นงวด” (Drawdown) เพื่อให้ผู้ประกอบการจ่ายดอกเบี้ยเฉพาะส่วนที่ใช้จริง การออกแบบวงเงินลักษณะนี้จำเป็นต้องมีเอกสารรองรับความคืบหน้าของงานอย่างเป็นระบบ
2.1 ใบตรวจรับงาน (Progress Certificate)
ใบตรวจรับงาน หรือ Progress Certificate เป็นเอกสารที่ออกโดยผู้ว่าจ้างหรือวิศวกรที่ปรึกษา เพื่อรับรองว่า
งานก่อสร้างในงวดนั้น ๆ คืบหน้าตามสัดส่วนที่ระบุในแบบและสัญญา
คุณภาพและปริมาณงานเป็นไปตามข้อกำหนด
เมื่อผูกการเบิกวงเงินกู้แต่ละงวดเข้ากับใบตรวจรับงาน
ธนาคารสามารถใช้เอกสารนี้เป็นฐานข้อมูลในการอนุมัติวงเงินงวดถัดไป
ทำให้สินเชื่อมีลักษณะ “จ่ายตามความคืบหน้า” จริง ไม่ใช่เพียงให้วงเงินก้อนแล้วเบิกใช้โดยไม่มีข้อมูลประกอบ
สำหรับผู้รับเหมา การจัดเก็บและส่งมอบใบตรวจรับงานให้ครบถ้วนและตรงเวลา เป็นการแสดงวินัยทางธุรกิจที่ช่วยให้การใช้ แหล่งเงินทุน จากธนาคารมีความต่อเนื่อง ไม่สะดุดจากปัญหาระหว่างทาง
2.2 รายงานความคืบหน้าของโครงการ (Progress Report)
นอกจากใบตรวจรับงานแล้ว รายงานความคืบหน้าพร้อมรูปถ่ายไซต์งานในแต่ละเฟส จะช่วยเติม “ภาพรวมโครงการ” ให้ฝ่ายวิเคราะห์สินเชื่อเห็นชัดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกรณีโครงการที่มีมูลค่าสูง หรือมีระยะเวลาก่อสร้างยาวนาน
เอกสารชุดนี้อาจจัดทำเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาปรับกรอบวงเงิน หรือกำหนดเงื่อนไขของ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ที่ใช้ร่วมกับโครงการนั้นอย่างเหมาะสม
3. เอกสารด้านกระแสเงินสด: เชื่อม “ตัวเลขไซต์งาน” เข้ากับโครงสร้างสินเชื่อ
การขอสินเชื่อในภาคก่อสร้างไม่ใช่เพียงการชี้ให้เห็นว่างานมีอยู่จริง แต่ต้องแสดงให้เห็นด้วยว่า วงเงินที่ขอจะหมุนเวียนอย่างไร และคืนธนาคารจากกระแสเงินสดส่วนใด
3.1 ตารางประมาณการกระแสเงินสดของโครงการ (Project Cash Flow)
ตาราง Project Cash Flow ที่จัดทำอย่างเป็นระบบจะระบุ
กระแสเงินออก: ค่าแรง ค่าวัสดุ ค่าเช่าอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายหน้างานอื่น ๆ ในแต่ละเดือน
กระแสเงินเข้า: งวดรับชำระจากผู้ว่าจ้างตามกำหนดในสัญญา หักด้วย Retention ตามเงื่อนไข
เอกสารนี้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการออกแบบวงเงิน สินเชื่อ ผู้รับ เหมา ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น
กำหนดวงเงินสูงสุดในช่วงที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายรับ
วางแผนช่วงเวลาที่ควรทยอยลดวงเงิน เมื่อโครงการเริ่มทยอยปิดงวดและรับเงินครบถ้วน
สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ที่ไม่อ้างอิงข้อมูลกระแสเงินสดโครงการ มักเสี่ยงต่อการจัดโครงสร้างหนี้ที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นวงเงินที่สูงเกินไป หรือระยะเวลาผ่อนที่สั้นเกินความเป็นจริงของงานก่อสร้าง
3.2 ข้อมูลงบการเงินของกิจการโดยรวม
แม้จะเป็นการขอสินเชื่อสำหรับโครงการใดโครงการหนึ่ง ธนาคารยังจำเป็นต้องดู “สุขภาพการเงินของกิจการในภาพรวม” ผ่าน
งบกำไรขาดทุน
งบดุล
รายการเดินบัญชีธนาคาร
รายละเอียดลูกหนี้–เจ้าหนี้การค้า
ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ฝ่ายสินเชื่อประเมินว่า ผู้ประกอบการมีความสามารถใช้ เงินทุนหมุนเวียน อย่างมีวินัยหรือไม่ และจะสามารถชำระหนี้ตามกรอบเวลาที่กำหนดได้เพียงพอเพียงใด
4. เอกสารหลักประกัน: ฐานสำคัญของสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
เนื่องจากสินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในบทความหลักถูกจัดอยู่ในกลุ่ม สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เอกสารเกี่ยวกับหลักประกันจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม
4.1 เอกสารกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์
กรณีใช้ที่ดิน อาคารสำนักงาน หรือโกดังเป็นหลักประกัน ผู้ประกอบการควรเตรียม
โฉนดที่ดินหรือเอกสารสิทธิ์ที่ดิน
หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้าง
แผนที่สังเขปและข้อมูลการใช้ประโยชน์
การจัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนตั้งแต่ต้น จะช่วยให้การประเมินมูลค่าหลักประกันและขั้นตอนจดทะเบียนจำนองดำเนินไปอย่างราบรื่น ลดการสอบถามซ้ำและการเลื่อนนัด
4.2 เอกสารเครื่องจักรและอุปกรณ์ก่อสร้าง
หากใช้เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ก่อสร้างสภาพดีเป็นหลักทรัพย์เพิ่มเติม ผู้ประกอบการควรมี
รายการทรัพย์สิน (Fixed Asset List) ระบุยี่ห้อ รุ่น อายุการใช้งาน
เอกสารการซื้อขายหรือเอกสารแสดงสิทธิ์ในทรัพย์สิน
หลักประกันประเภทนี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการขอสินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะเมื่อผู้ประกอบการต้องการใช้ สินเชื่อ SME วงเงินสูงกว่าระดับที่ใช้เพียงอสังหาริมทรัพย์ค้ำประกัน
5. เอกสารเสริมด้านประสบการณ์และความน่าเชื่อถือ
นอกเหนือจากเอกสารทางเทคนิคและการเงินแล้ว เอกสารที่สะท้อน “ประวัติและความน่าเชื่อถือ” ของผู้ประกอบการรับเหมา ก็มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น
ใบรับรองผลงานโครงการที่ผ่านมา
หนังสือรับรองจากผู้ว่าจ้างเดิม
รายชื่อโครงการสำคัญที่เคยดำเนินการแล้วเสร็จ
ข้อมูลเหล่านี้แม้จะไม่ใช่เอกสารบังคับทุกกรณี แต่ในเชิงปฏิบัติสามารถเสริมให้ฝ่ายสินเชื่อมั่นใจว่า การใช้ แหล่งเงินทุน ในรูปแบบสินเชื่อครั้งนี้อยู่ในมือของผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์และมีวินัยในวิชาชีพ
6. สรุป: การเตรียมเอกสาร คือการออกแบบสินเชื่อไปพร้อมกัน
จะเห็นได้ว่า “เอกสารเฉพาะทางแต่ละแบบ” ไม่ได้มีบทบาทเพียงเพื่อให้ฝ่ายสินเชื่อมีข้อมูลครบถ้วนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้รับเหมาก่อสร้างมองเห็นภาพรวมของโครงการอย่างเป็นระบบ ทั้งในมุมต้นทุน รายได้ กระแสเงินสด และความสามารถในการใช้ เงินทุนหมุนเวียน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
กล่าวโดยสรุป การเตรียมเอกสารที่ดีคือการ
วางแผนโครงสร้าง สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ไปในตัว
สื่อสารกับธนาคารได้อย่างมีเหตุผลและมีข้อมูลสนับสนุน
เพิ่มโอกาสได้รับการอนุมัติวงเงินที่สอดคล้องกับความต้องการจริงของโครงการ โดยไม่สร้างภาระเกินความสามารถของกิจการ
หากท่านสนใจศึกษาโครงสร้างสินเชื่อแบบเบิกเป็นงวด (Drawdown) การใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน และแนวคิดการออกแบบสินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างละเอียดมากขึ้น แนะนำให้เข้าไปอ่านบทความหลัก
“สินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง”
บนเว็บไซต์ EasyCashFlows
ซึ่งได้สรุปภาพรวมของสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างไว้อย่างเป็นระบบ
เพื่อใช้เป็นคู่มือประกอบการวางแผนขอ สินเชื่อ SME ในภาคก่อสร้างให้มีความเหมาะสมทั้งในมุมผู้ประกอบการและในมุมสถาบันการเงินได้อย่างครบถ้วนยิ่งขึ้นค่ะ