ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


สินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง: เอกสารเฉพาะทางที่ควรเตรียมให้ พร้อมก่อนกู้



ในบริบทของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง การเข้าถึง แหล่งเงินทุน ผ่านผลิตภัณฑ์ สินเชื่อสำหรับธุรกิจ ที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับลักษณะงานไซต์จริง เป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาสภาพคล่องให้กิจการเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีการเข้าประมูลงานใหม่ โอนย้ายไซต์ หรือเร่งเฟสงานในช่วงเวลาที่ต้นทุนจำนวนมากต้องถูกจ่ายออกไปก่อนรายได้จะทยอยรับรู้

อย่างไรก็ตาม การมีเพียงสัญญาว่าจ้างหรือใบเสนอราคาไม่ได้เพียงพอสำหรับฝ่ายสินเชื่อของธนาคารในการพิจารณาอนุมัติวงเงินให้กับ ผู้รับเหมา ได้อย่างเหมาะสม ในทางปฏิบัติ “เอกสารเฉพาะทาง” ที่สะท้อนทั้งโครงสร้างโครงการ กระแสเงินสด และหลักประกันที่ชัดเจน คือหัวใจที่ทำให้การขอ สินเชื่อ SME ภาคก่อสร้างมีโอกาสอนุมัติเร็วขึ้น และได้วงเงินสอดคล้องกับความต้องการจริงของโครงการ

บทความนี้จึงมุ่งเน้นอธิบาย “ประเภทของเอกสารเฉพาะทางแต่ละแบบ” ที่ผู้รับเหมาก่อสร้างควรเตรียมเมื่อวางแผนขอสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับโครงการ โดยยึดกรอบแนวคิดจากหน้า สินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมา
ของ EasyCashFlows และขยายความเชิงวิเคราะห์เพิ่มเติมในภาษาทางการ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการใช้สินเชื่ออย่างมีวินัยและเป็นระบบ

1. กลุ่มเอกสารโครงการ: ทำให้ธนาคาร “เห็นไซต์งานบนกระดาษ”

กลุ่มแรกคือเอกสารที่ทำให้ฝ่ายสินเชื่อเข้าใจ “ตัวตนของโครงการ” อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่าจากผู้รับเหมา

1.1 สัญญารับเหมาก่อสร้าง (Construction Contract)

สัญญารับเหมาก่อสร้างเป็นเอกสารหลักที่เชื่อมโยงโดยตรงกับการขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ สำหรับโครงการนั้น ๆ เนื่องจากระบุข้อมูลสำคัญ ได้แก่

มูลค่าสัญญารวม

ระยะเวลาก่อสร้าง

เงื่อนไขงวดจ่ายเงิน (Payment Terms)

อัตราเงินกัน (Retention) ตามสัญญา เช่น 5–10%

เงื่อนไขกรณีส่งมอบล่าช้าหรือผิดสัญญา

เอกสารฉบับนี้ช่วยให้ธนาคารสามารถประเมิน “ความสมเหตุสมผล” ระหว่างวงเงินที่ผู้รับเหมาต้องการใช้เป็น เงินทุนหมุนเวียน กับรายได้ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจริงตามสัญญา

1.2 BOQ และแบบก่อสร้างหลัก (Drawing & BOQ)

Bill of Quantities (BOQ) และแบบก่อสร้างหลักเป็นเอกสารทางเทคนิคที่อธิบาย “ปริมาณงานและวัสดุ” ที่ต้องใช้ในโครงการ หากผู้ประกอบการจัดเตรียม BOQ พร้อมต้นทุนที่คำนวณแล้วอย่างเป็นระบบ

ธนาคารจะเห็นโครงสร้างต้นทุนวัสดุและค่าแรงอย่างชัดเจน

สามารถเปรียบเทียบกับมูลค่าสัญญาและเงื่อนไขงวดจ่าย

ช่วยสนับสนุนความน่าเชื่อถือของคำขอสินเชื่อผู้รับเหมา ว่ามาจากการวางแผนต้นทุนอย่างมืออาชีพ

สำหรับผู้รับเหมาที่ต้องการใช้ สินเชื่อ SME หรือ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ เพื่อรองรับต้นทุนเหล่านี้ การมี BOQ ที่ตรวจสอบได้ จะช่วยลดข้อสงสัยของฝ่ายสินเชื่ออย่างมาก

2. เอกสารความคืบหน้าและการเบิกจ่าย: รองรับสินเชื่อเบิกเป็นงวด (Drawdown)

หนึ่งในลักษณะสำคัญของสินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่บทความหลักกล่าวถึง คือโครงสร้างการ “เบิกเป็นงวด” (Drawdown) เพื่อให้ผู้ประกอบการจ่ายดอกเบี้ยเฉพาะส่วนที่ใช้จริง การออกแบบวงเงินลักษณะนี้จำเป็นต้องมีเอกสารรองรับความคืบหน้าของงานอย่างเป็นระบบ

2.1 ใบตรวจรับงาน (Progress Certificate)

ใบตรวจรับงาน หรือ Progress Certificate เป็นเอกสารที่ออกโดยผู้ว่าจ้างหรือวิศวกรที่ปรึกษา เพื่อรับรองว่า

งานก่อสร้างในงวดนั้น ๆ คืบหน้าตามสัดส่วนที่ระบุในแบบและสัญญา

คุณภาพและปริมาณงานเป็นไปตามข้อกำหนด

เมื่อผูกการเบิกวงเงินกู้แต่ละงวดเข้ากับใบตรวจรับงาน

ธนาคารสามารถใช้เอกสารนี้เป็นฐานข้อมูลในการอนุมัติวงเงินงวดถัดไป

ทำให้สินเชื่อมีลักษณะ “จ่ายตามความคืบหน้า” จริง ไม่ใช่เพียงให้วงเงินก้อนแล้วเบิกใช้โดยไม่มีข้อมูลประกอบ

สำหรับผู้รับเหมา การจัดเก็บและส่งมอบใบตรวจรับงานให้ครบถ้วนและตรงเวลา เป็นการแสดงวินัยทางธุรกิจที่ช่วยให้การใช้ แหล่งเงินทุน จากธนาคารมีความต่อเนื่อง ไม่สะดุดจากปัญหาระหว่างทาง

2.2 รายงานความคืบหน้าของโครงการ (Progress Report)

นอกจากใบตรวจรับงานแล้ว รายงานความคืบหน้าพร้อมรูปถ่ายไซต์งานในแต่ละเฟส จะช่วยเติม “ภาพรวมโครงการ” ให้ฝ่ายวิเคราะห์สินเชื่อเห็นชัดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกรณีโครงการที่มีมูลค่าสูง หรือมีระยะเวลาก่อสร้างยาวนาน

เอกสารชุดนี้อาจจัดทำเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาปรับกรอบวงเงิน หรือกำหนดเงื่อนไขของ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ที่ใช้ร่วมกับโครงการนั้นอย่างเหมาะสม

3. เอกสารด้านกระแสเงินสด: เชื่อม “ตัวเลขไซต์งาน” เข้ากับโครงสร้างสินเชื่อ

การขอสินเชื่อในภาคก่อสร้างไม่ใช่เพียงการชี้ให้เห็นว่างานมีอยู่จริง แต่ต้องแสดงให้เห็นด้วยว่า วงเงินที่ขอจะหมุนเวียนอย่างไร และคืนธนาคารจากกระแสเงินสดส่วนใด

3.1 ตารางประมาณการกระแสเงินสดของโครงการ (Project Cash Flow)

ตาราง Project Cash Flow ที่จัดทำอย่างเป็นระบบจะระบุ

กระแสเงินออก: ค่าแรง ค่าวัสดุ ค่าเช่าอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายหน้างานอื่น ๆ ในแต่ละเดือน

กระแสเงินเข้า: งวดรับชำระจากผู้ว่าจ้างตามกำหนดในสัญญา หักด้วย Retention ตามเงื่อนไข

เอกสารนี้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการออกแบบวงเงิน สินเชื่อ ผู้รับ เหมา ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น

กำหนดวงเงินสูงสุดในช่วงที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายรับ

วางแผนช่วงเวลาที่ควรทยอยลดวงเงิน เมื่อโครงการเริ่มทยอยปิดงวดและรับเงินครบถ้วน

สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ที่ไม่อ้างอิงข้อมูลกระแสเงินสดโครงการ มักเสี่ยงต่อการจัดโครงสร้างหนี้ที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นวงเงินที่สูงเกินไป หรือระยะเวลาผ่อนที่สั้นเกินความเป็นจริงของงานก่อสร้าง

3.2 ข้อมูลงบการเงินของกิจการโดยรวม

แม้จะเป็นการขอสินเชื่อสำหรับโครงการใดโครงการหนึ่ง ธนาคารยังจำเป็นต้องดู “สุขภาพการเงินของกิจการในภาพรวม” ผ่าน

งบกำไรขาดทุน

งบดุล

รายการเดินบัญชีธนาคาร

รายละเอียดลูกหนี้–เจ้าหนี้การค้า

ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ฝ่ายสินเชื่อประเมินว่า ผู้ประกอบการมีความสามารถใช้ เงินทุนหมุนเวียน อย่างมีวินัยหรือไม่ และจะสามารถชำระหนี้ตามกรอบเวลาที่กำหนดได้เพียงพอเพียงใด

4. เอกสารหลักประกัน: ฐานสำคัญของสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

เนื่องจากสินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในบทความหลักถูกจัดอยู่ในกลุ่ม สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เอกสารเกี่ยวกับหลักประกันจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม

4.1 เอกสารกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์

กรณีใช้ที่ดิน อาคารสำนักงาน หรือโกดังเป็นหลักประกัน ผู้ประกอบการควรเตรียม

โฉนดที่ดินหรือเอกสารสิทธิ์ที่ดิน

หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้าง

แผนที่สังเขปและข้อมูลการใช้ประโยชน์

การจัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนตั้งแต่ต้น จะช่วยให้การประเมินมูลค่าหลักประกันและขั้นตอนจดทะเบียนจำนองดำเนินไปอย่างราบรื่น ลดการสอบถามซ้ำและการเลื่อนนัด

4.2 เอกสารเครื่องจักรและอุปกรณ์ก่อสร้าง

หากใช้เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ก่อสร้างสภาพดีเป็นหลักทรัพย์เพิ่มเติม ผู้ประกอบการควรมี

รายการทรัพย์สิน (Fixed Asset List) ระบุยี่ห้อ รุ่น อายุการใช้งาน

เอกสารการซื้อขายหรือเอกสารแสดงสิทธิ์ในทรัพย์สิน

หลักประกันประเภทนี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการขอสินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะเมื่อผู้ประกอบการต้องการใช้ สินเชื่อ SME วงเงินสูงกว่าระดับที่ใช้เพียงอสังหาริมทรัพย์ค้ำประกัน

5. เอกสารเสริมด้านประสบการณ์และความน่าเชื่อถือ

นอกเหนือจากเอกสารทางเทคนิคและการเงินแล้ว เอกสารที่สะท้อน “ประวัติและความน่าเชื่อถือ” ของผู้ประกอบการรับเหมา ก็มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น

ใบรับรองผลงานโครงการที่ผ่านมา

หนังสือรับรองจากผู้ว่าจ้างเดิม

รายชื่อโครงการสำคัญที่เคยดำเนินการแล้วเสร็จ

ข้อมูลเหล่านี้แม้จะไม่ใช่เอกสารบังคับทุกกรณี แต่ในเชิงปฏิบัติสามารถเสริมให้ฝ่ายสินเชื่อมั่นใจว่า การใช้ แหล่งเงินทุน ในรูปแบบสินเชื่อครั้งนี้อยู่ในมือของผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์และมีวินัยในวิชาชีพ

6. สรุป: การเตรียมเอกสาร คือการออกแบบสินเชื่อไปพร้อมกัน

จะเห็นได้ว่า “เอกสารเฉพาะทางแต่ละแบบ” ไม่ได้มีบทบาทเพียงเพื่อให้ฝ่ายสินเชื่อมีข้อมูลครบถ้วนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้รับเหมาก่อสร้างมองเห็นภาพรวมของโครงการอย่างเป็นระบบ ทั้งในมุมต้นทุน รายได้ กระแสเงินสด และความสามารถในการใช้ เงินทุนหมุนเวียน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

กล่าวโดยสรุป การเตรียมเอกสารที่ดีคือการ

วางแผนโครงสร้าง สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ไปในตัว

สื่อสารกับธนาคารได้อย่างมีเหตุผลและมีข้อมูลสนับสนุน

เพิ่มโอกาสได้รับการอนุมัติวงเงินที่สอดคล้องกับความต้องการจริงของโครงการ โดยไม่สร้างภาระเกินความสามารถของกิจการ

หากท่านสนใจศึกษาโครงสร้างสินเชื่อแบบเบิกเป็นงวด (Drawdown) การใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน และแนวคิดการออกแบบสินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างละเอียดมากขึ้น แนะนำให้เข้าไปอ่านบทความหลัก

“สินเชื่อสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง”
บนเว็บไซต์ EasyCashFlows
ซึ่งได้สรุปภาพรวมของสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างไว้อย่างเป็นระบบ

เพื่อใช้เป็นคู่มือประกอบการวางแผนขอ สินเชื่อ SME ในภาคก่อสร้างให้มีความเหมาะสมทั้งในมุมผู้ประกอบการและในมุมสถาบันการเงินได้อย่างครบถ้วนยิ่งขึ้นค่ะ