โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Diseases - STDs) เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด และการรู้เท่าทันอาการเบื้องต้นคือปราการด่านสำคัญที่ช่วยให้คุณเข้ารับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ป้องกันการลุกลามของโรค และลดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น
หลายคนอาจรู้สึกกังวลหรือไม่แน่ใจว่าอาการแบบไหนที่เข้าข่าย บทความนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะพาคุณไปสำรวจสัญญาณเตือนและอาการของโรค STD ที่พบบ่อย เพื่อให้คุณสามารถสังเกตความผิดปกติของร่างกายได้ด้วยตนเอง
รู้ทันอาการ STD สัญญาณเตือนสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามร่างกายของเรามักส่ง "สัญญาณเตือน" เมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น อาการของโรค
STD ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอาการเพียงเล็กน้อยอย่างอาการคัน, มีผื่นขึ้น, หรืออาการที่ชัดเจนขึ้นอย่างการมีหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศ ล้วนเป็นข้อมูลสำคัญที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยง
การตระหนักรู้และไม่เพิกเฉยต่อสัญญาณเหล่านี้ คือกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การวินิจฉัยและการรักษาที่ทันท่วงที ซึ่งโรคส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายขาดได้หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ
ทำไม STD ส่วนใหญ่ถึงไม่แสดงอาการในระยะแรก?นี่คือความจริงที่อันตรายที่สุดเกี่ยวกับโรค STD คือผู้ติดเชื้อจำนวนมาก อาจไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาเลย โดยเฉพาะในช่วงแรกของการติดเชื้อ หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อยจนถูกมองข้ามไป เหตุผลก็เพราะเชื้อโรคบางชนิดสามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกายได้อย่างเงียบๆ โดยไม่รบกวนระบบภูมิคุ้มกันมากนักในระยะแรก
ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงไม่รู้ตัวว่าตนเองมีเชื้อและสามารถแพร่กระจายไปสู่คู่นอนได้โดยไม่ตั้งใจ ดังนั้น การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำทุก 6 เดือน - 1 ปี จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการยืนยันสถานะการติดเชื้อ แม้ว่าคุณจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เลยก็ตาม
อาการ STD โดยรวม ที่สังเกตได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิงถึงแม้โรคแต่ละชนิดจะมีอาการเฉพาะตัว แต่ก็มีกลุ่มอาการร่วมที่มักเป็นสัญญาณเตือนของโรค STD ได้เช่นกัน โดยสามารถแยกตามเพศได้ดังนี้
อาการ STD ในผู้ชาย- มีสารคัดหลั่งหรือหนองไหลออกมาจากปลายอวัยวะเพศ (อาจเป็นสีใส ขาวขุ่น เหลือง หรือเขียว)
- รู้สึกแสบหรือปวดขณะปัสสาวะ
- ปวดหน่วงบริเวณอัณฑะ หรืออัณฑะบวม
- เกิดแผล ตุ่ม ผื่น หรือตุ่มน้ำใส บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก
- มีอาการคันผิดปกติบริเวณอวัยวะเพศ
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโต
อาการ STD ในผู้หญิง- ตกขาวมีปริมาณ สี หรือกลิ่นผิดปกติไปจากเดิม (เช่น มีสีเหลือง เขียว เป็นฟอง หรือมีกลิ่นคาวปลา)
- รู้สึกแสบหรือปวดขณะปัสสาวะ
- มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เช่น เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน
- เกิดแผล ตุ่ม ผื่น หรือตุ่มน้ำใส บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก
- ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย
- มีอาการคันในหรือรอบๆ บริเวณช่องคลอด
- รู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
เจาะลึกอาการ STD ของแต่ละโรคที่พบบ่อย1. หนองในแท้ (Gonorrhea)เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อย อาการมักปรากฏหลังรับเชื้อ 2-14 วัน
ผู้ชาย: มีหนองสีเหลืองหรือเขียวข้นไหลจากท่อปัสสาวะ แสบขัดเวลาปัสสาวะอย่างรุนแรง
ผู้หญิง: ตกขาวผิดปกติ (มักมีสีเหลือง/เขียว) ปวดท้องน้อย แสบเวลาปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงกว่า 50% อาจไม่มีอาการ
2. หนองในเทียม (Chlamydia)"โรคที่มักไม่มีอาการใด ๆ " เพราะผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (ชาย 50%, หญิง 70-80%)
ผู้ชาย: อาจมีมูกใสๆ ไหลจากท่อปัสสาวะ (ไม่ใช่หนองข้น) แสบปลายท่อปัสสาวะเล็กน้อย
ผู้หญิง: ตกขาวผิดปกติ ปวดท้องน้อย อาจมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
3. ซิฟิลิส (Syphilis)เป็นโรคที่อันตรายหากไม่รักษา แบ่งอาการเป็นระยะต่างๆ
ระยะที่ 1: มีแผลริมแข็ง (Chancre) ลักษณะเป็นแผลขอบนูนแข็ง ไม่เจ็บ เกิดขึ้นบริเวณที่รับเชื้อ เช่น อวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก แผลนี้จะหายไปเองในไม่กี่สัปดาห์ แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย
ระยะที่ 2: มีผื่นขึ้นตามตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า (ผื่นไม่คัน) อาจมีผมร่วงเป็นหย่อมๆ หรือมีแผลในปาก
ระยะแฝงและระยะสุดท้าย: หากไม่รักษา เชื้อจะทำลายอวัยวะภายใน เช่น หัวใจและสมอง
4. เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes)เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex (HSV) เมื่อติดเชื้อแล้วเชื้อจะอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต
อาการ: เริ่มจากอาการคัน แสบร้อน จากนั้นจะมีตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นเป็นกลุ่ม เมื่อตุ่มน้ำแตกออกจะกลายเป็นแผลตื้นๆ ซึ่งจะรู้สึกเจ็บปวดมาก อาการจะเป็นๆ หายๆ เมื่อร่างกายอ่อนแอ
5. หูดหงอนไก่ (Genital Warts)เกิดจากเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) บางสายพันธุ์
อาการ: มีติ่งเนื้อหรือตุ่มเนื้อนูนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก ลักษณะคล้ายหงอนไก่หรือดอกกะหล่ำ โดยปกติจะไม่เจ็บ แต่บางครั้งอาจมีอาการคัน
6. เอชไอวี (HIV)เชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน
อาการระยะเฉียบพลัน (Acute HIV): หลังรับเชื้อ 2-4 สัปดาห์ บางคนอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต แล้วอาการจะหายไปเอง ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ
เมื่อสงสัยว่ามีอาการของโรค STD ควรทำอย่างไรเป็นอันดับแรกหากคุณพบว่าตัวเองมีอาการน่าสงสัยตามที่กล่าวมา ขอให้ตั้งสติและปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้:
- งดการมีเพศสัมพันธ์ทันที: เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น และป้องกันการรับเชื้อเพิ่ม
- อย่าซื้อยาปฏิชีวนะทานเองเด็ดขาด: การใช้ยาผิดประเภทอาจทำให้เชื้อดื้อยา อาการแย่ลง และบดบังอาการที่แท้จริง ทำให้แพทย์วินิจฉัยได้ยากขึ้น
- ไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย: ควรรีบไปพบแพทย์ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจคัดกรองอย่างละเอียด การวินิจฉัยที่ถูกต้องจะนำไปสู่การรักษาที่ตรงจุด
- แจ้งคู่นอน: แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ควรแจ้งคู่นอนของคุณเพื่อให้เขาได้ไปตรวจและรักษาด้วยเช่นกัน เป็นการตัดวงจรการแพร่ระบาดของโรค
สรุปเรื่อง STDอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการเลยไปจนถึงอาการที่รุนแรงและชัดเจน การสังเกตความผิดปกติของร่างกายเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่สามารถใช้ยืนยันการติดเชื้อได้ 100% วิธีเดียวที่จะรู้สถานะการติดเชื้อที่แท้จริงคือ "การตรวจเลือดและสารคัดหลั่ง" การใส่ใจสุขภาพทางเพศและเข้ารับการตรวจเป็นประจำ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คือความรับผิดชอบต่อตนเองและคนที่คุณรัก