
การสร้างโรงงานใหม่คือ “เกมการลงทุน” ที่เปลี่ยนอนาคตธุรกิจการผลิตในทันที ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องจักร ชิ้นส่วนยานยนต์ หรือโลจิสติกส์ ทุกคนต่างรู้ดีว่าการมีโรงงานเป็นของตัวเองคือก้าวสำคัญสู่การขยายขีดความสามารถในการแข่งขัน
ปี พ.ศ. 2568 เป็นปีที่ภาคการผลิตไทยได้รับแรงหนุนจาก ดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.50% (ประกาศสิงหาคม 2568) ทำให้การเข้าถึง
สินเชื่อสำหรับโรงงานร และสินเชื่อสำหรับบริษัทโรงงานอุตสาหกรรม มีต้นทุนที่ผ่อนคลายกว่าปีก่อน ทว่าคำถามที่ผู้ประกอบการต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดคือ

? จะ กู้สร้างโรงงาน หรือจะ ทำลีสซิ่งโรงงาน แบบไหนคุ้มกว่ากันในระยะยาว?

วิเคราะห์เชิงลึก: กู้สร้างโรงงาน vs ลีสซิ่งโรงงาน
1. การกู้สร้างโรงงาน (Factory Loan)
ผู้กู้ต้องจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยปี 2568 อยู่ที่ 5–7% (ต่ำกว่าลีสซิ่ง)
ต้องมีเงินดาวน์ประมาณ 20–30% ของโครงการ
ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทันที โรงงานถูกบันทึกเป็น สินทรัพย์ ในงบดุล
สามารถหัก ค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี
2. การลีสซิ่งโรงงาน (Factory Leasing)
จ่ายเงินมัดจำราว 3–6 เดือนของค่าเช่า
ค่าเช่าเฉลี่ยสูงกว่าภาระการผ่อนกู้ เพราะรวมผลตอบแทนของบริษัทลีสซิ่ง
ค่าเช่าสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายภาษีได้ทั้งหมด
มีความยืดหยุ่นเมื่อครบสัญญา แต่หากต้องการเป็นเจ้าของ ต้องจ่ายเพิ่มตามที่ตกลงไว้
Insight เชิงกลยุทธ์: เลือกอย่างไรให้ธุรกิจไม่พลาด
ถ้าเป้าหมายคือการลงทุนระยะยาว → การกู้สร้างโรงงานมักคุ้มกว่า เพราะแม้ต้นทุนเริ่มต้นสูง แต่สินทรัพย์ยังคงมูลค่าในงบดุล และช่วยเพิ่มเครดิตธุรกิจในอนาคต
ถ้าเป้าหมายคือการรักษาสภาพคล่อง → ลีสซิ่งเหมาะกว่า เพราะใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อย แต่ต้องยอมรับต้นทุนรวมที่สูงขึ้น
สำหรับ SME ที่มีแผนผลิตเพื่อส่งออก → การมีสินทรัพย์เป็นของตัวเองช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการเจรจาสัญญาระหว่างประเทศ
สำหรับบริษัทสตาร์ทอัพด้านการผลิต → ลีสซิ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงในช่วงแรก เพราะสามารถเปลี่ยนทำเลหรือขนาดโรงงานได้ง่ายกว่า
ผลกระทบต่อกระแสเงินสด
กู้สร้างโรงงาน:
ต้องใช้เงินดาวน์ก้อนใหญ่ กระแสเงินสดตึงในระยะสั้น แต่สร้างความมั่นคงในระยะยาว
ลีสซิ่งโรงงาน:
เงินลงทุนเริ่มต้นต่ำกว่า เหมาะกับธุรกิจที่ยังไม่มั่นใจรายได้ในอนาคต แต่เสี่ยงเรื่องภาระค่าเช่าที่สูงกว่า
กรณีศึกษาเปรียบเทียบ (ปี 2568)
บริษัท A: กู้สร้างโรงงานมูลค่า 50 ล้านบาท
เงินดาวน์: 15 ล้านบาท (30%)
เงินกู้: 35 ล้านบาท ระยะเวลา 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 6%
ผ่อนรายเดือน: ≈ 388,500 บาท
ต้นทุนรวม 10 ปี: 46.62 ล้านบาท
หลังครบกำหนด โรงงานยังมีมูลค่าเหลือ ≈ 25 ล้านบาท
บริษัท B: ลีสซิ่งโรงงานมูลค่า 50 ล้านบาท
มัดจำ: 3 ล้านบาท
ค่าเช่า 10 ปี: 500,000 บาท/เดือน → ต้นทุนรวม 60 ล้านบาท
หากซื้อเมื่อครบสัญญา ต้องจ่ายเพิ่มอีก 10 ล้านบาท

? สรุป: กรณีนี้ “กู้สร้างโรงงาน” คุ้มกว่าในระยะยาว แต่ “ลีสซิ่งโรงงาน” ใช้เงินเริ่มต้นน้อยและยืดหยุ่นกว่า
ปัจจัยที่ควรคิดก่อนตัดสินใจ
กระแสเงินสด (Cash Flow): ธุรกิจพร้อมจ่ายเงินดาวน์หรือไม่?
Debt to Equity Ratio: สัดส่วนหนี้สินต่อทุนกระทบต่อเครดิตอย่างไร?
Tax Planning: จะใช้ประโยชน์จากการหักค่าเสื่อมราคา หรือการหักค่าเช่าภาษีได้คุ้มค่ากว่ากัน?
กลยุทธ์การเติบโต: โรงงานนี้จะเป็นฐานการผลิตระยะยาว หรือแค่ “ก้าวแรก” ที่ต้องการความยืดหยุ่น?
สินเชื่อสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในปี 2568
ธนาคารกสิกรไทย (KBank): สินเชื่อเพื่อธุรกิจการผลิต วงเงินสูงถึง 70–80% ของมูลค่าโครงการ
ไทยพาณิชย์ (SCB): สินเชื่อพัฒนาโครงการ สำหรับโรงงานและศูนย์กระจายสินค้า
ธนาคารออมสิน: สินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำ เหมาะกับผู้ประกอบการโรงงานรายเล็ก
EXIM Bank: สินเชื่อสำหรับบริษัทโรงงานที่เน้นส่งออก ช่วยสนับสนุน Supply Chain ระหว่างประเทศ
สรุป
การตัดสินใจ “กู้สร้างโรงงาน” หรือ “ทำลีสซิ่งโรงงาน” ไม่มีคำตอบตายตัว ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย กระแสเงินสด และกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจ
ถ้าอยากเป็นเจ้าของสินทรัพย์ สร้างความมั่นคงระยะยาว → กู้สร้างโรงงาน คุ้มกว่า
ถ้าต้องการสภาพคล่อง ยืดหยุ่น ไม่อยากเพิ่มหนี้สินต่อทุน → ลีสซิ่งโรงงาน อาจตอบโจทย์
ปี 2568 จึงถือเป็น “ช่วงเวลาเหมาะ” ที่ผู้ประกอบการควรวิเคราะห์ทางเลือกด้านการเงินอย่างรอบด้าน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุนครั้งใหญ่
Call to Action
กำลังวางแผน กู้สร้างโรงงาน หรือหาสินเชื่อสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม?
อ่านข้อมูลเชิงลึก + รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญได้ที่

?
www.easycashflows.com