
ปี 2568 เป็นปีที่วงการสินเชื่อธุรกิจในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน โดยเฉพาะ
สินเชื่อธุรกิจsmeไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเคยเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ประกอบการ แต่ปัจจุบันสถาบันการเงินและผู้ให้กู้ Non-Bank เริ่มปรับเกณฑ์การพิจารณาให้เข้ากับโครงสร้างธุรกิจสมัยใหม่มากขึ้น พร้อมเปิดรับกลุ่มธุรกิจที่มีโมเดลสร้างรายได้ชัดเจนแม้ไม่มีทรัพย์สินค้ำประกัน
ในฐานะที่ปรึกษาด้านสินเชื่อ ผมมองว่านี่คือจังหวะทองของผู้ประกอบการที่รู้จักเตรียมข้อมูลธุรกิจให้พร้อม เพราะ “การไม่มีหลักทรัพย์ค้ำ” ไม่ได้แปลว่าไม่มีโอกาส แต่แปลว่าคุณต้องใช้ข้อมูล รายได้ และศักยภาพการเติบโตเป็นตัวพิสูจน์แทน
กลุ่มธุรกิจที่มาแรงในปี 2568
1. ธุรกิจดิจิทัลและเทคโนโลยี
จากการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล สถาบันการเงินเริ่มยอมรับรายได้จากโมเดลออนไลน์ เช่น Subscription, SaaS, FinTech, HealthTech และ EdTech ข้อมูลยอดสมาชิกและรายได้ประจำถูกนำมาใช้วิเคราะห์ Credit Scoring แทนงบการเงินแบบดั้งเดิม จุดแข็งของกลุ่มนี้คือใช้ต้นทุนต่ำแต่ขยายตลาดได้รวดเร็ว
2. ธุรกิจที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
ผู้ขายบน Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือ Instagram กำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากระบบสินเชื่อสามารถดึงข้อมูลยอดขาย ความสม่ำเสมอของรายได้ และประวัติธุรกรรมออนไลน์มาวิเคราะห์แทนเอกสารภาษีหรือหลักทรัพย์
3. ธุรกิจบริการเฉพาะทางและอาชีพอิสระ
ฟรีแลนซ์และผู้ให้บริการเฉพาะทาง เช่น ที่ปรึกษา นักออกแบบ นักเขียน หรือผู้ผลิตคอนเทนต์ เริ่มเข้าถึง
สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก ได้ง่ายขึ้นด้วยการใช้ข้อมูลโอนเงินจากแพลตฟอร์มอย่าง Fiverr, Upwork หรือธุรกรรมธนาคารที่มีความสม่ำเสมอ
4. ธุรกิจสีเขียว (Green Business)
ปี 2568 ภาครัฐผลักดันนโยบาย ESG และกองทุนสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก พลังงานทดแทน หรือธุรกิจรีไซเคิล มีสิทธิ์เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและได้รับคะแนนพิเศษในการอนุมัติ
5. ธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม
กลุ่มนี้เติบโตต่อเนื่องหลังโควิด-19 เช่น คลินิกสุขภาพ อาหารเสริม หรือบริการสปา มีฐานลูกค้าซ้ำสูงและกระแสเงินสดสม่ำเสมอ ซึ่งสถาบันการเงินมองว่าเป็นธุรกิจที่เสี่ยงต่ำ
6. ธุรกิจแฟรนไชส์ขนาดเล็ก
แฟรนไชส์ร้านอาหาร เครื่องดื่ม หรือบริการที่มีโมเดลชัดเจน ได้รับความเชื่อมั่นจากธนาคาร บางรายมีโปรแกรมร่วมกับแฟรนไชส์ให้สินเชื่อโดยตรง ทำให้การอนุมัติง่ายขึ้น
ทำไมกลุ่มนี้ถึงได้เปรียบ
การเปลี่ยนแปลงเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การใช้ Credit Scoring ที่ดึงข้อมูลพฤติกรรมการชำระเงิน ยอดขายออนไลน์ และการใช้จ่ายผ่าน e-wallet มาเป็นหลัก การสนับสนุนจากโครงการ Soft Loan และการเข้ามาของผู้ให้บริการ FinTech ที่พิจารณายืดหยุ่นกว่าธนาคาร รวมถึงการใช้ Alternative Data เช่น รีวิวลูกค้า หรือจำนวนผู้ติดตามในโซเชียลเพื่อประเมินความน่าเชื่อถือ
ในฐานะที่ปรึกษา ผมมองว่าธุรกิจที่ต้องการ “สินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์” ควรโฟกัสที่การสร้างรายได้สม่ำเสมอและเก็บหลักฐานการทำธุรกรรมให้ครบถ้วน เพราะนี่คือหลักฐานที่แท้จริงในการชนะใจผู้ให้กู้
กลยุทธ์เพิ่มโอกาสอนุมัติในปี 2568
เตรียมข้อมูลธุรกิจให้พร้อม ทั้งยอดขายออนไลน์ รายงานการเงินจากระบบ และข้อมูลลูกค้า
สร้างความน่าเชื่อถือในโลกดิจิทัล เช่น รีวิวที่ดี ยอดผู้ติดตาม หรือการมีเว็บไซต์ธุรกิจอย่างมืออาชีพ
เลือกผู้ให้กู้ที่เหมาะกับธุรกิจ FinTech และ Non-Bank บางรายมีโปรแกรมเฉพาะสำหรับกลุ่มธุรกิจเฉพาะทาง
ใช้ที่ปรึกษาด้านสินเชื่อช่วยวางแผน เพื่อเลือกประเภทสินเชื่อที่เหมาะสม เช่น สินเชื่อ SME วงเงินสูง หรือสินเชื่อธุรกิจไม่มีหลักทรัพย์แบบดอกเบี้ยต่ำ

สรุป
ปี 2568 คือช่วงเวลาสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนแม้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หากรู้จักปรับตัวให้เข้ากับเกณฑ์ใหม่ของสถาบันการเงินและใช้ข้อมูลธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด 6 กลุ่มธุรกิจที่กล่าวมามีโอกาสสูงขึ้นอย่างชัดเจน และหากวางแผนการขอสินเชื่ออย่างมีกลยุทธ์ โอกาสอนุมัติจะอยู่ไม่ไกล
หากคุณกำลังมองหา “สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME” หรือ “สินเชื่อธุรกิจไม่มีหลักทรัพย์” ที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ เยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้ที่
www.easycashflows.com เพื่อรับคำปรึกษาและโซลูชันการเงินที่เหมาะกับคุณ
ข้อมูลอ้างอิง:
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (2568) “รายงานแนวโน้มสินเชื่อ SME ปี 2568”
https://www.sme.go.thธนาคารแห่งประเทศไทย (2568) “การปรับเกณฑ์การให้สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็ก”
https://www.bot.or.thกระทรวงพลังงาน (2568) “โครงการส่งเสริมธุรกิจสีเขียว”
https://www.energy.go.th