ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขายกิจการ เซ้งร้าน

หน้า: [1]
1
ฉีดโบท็อกซ์โหนกแก้มคืออะไร ช่วยอะไรบ้าง? โหนกแก้มลดจริงไหม?



การมีโหนกแก้มใหญ่ โหนกแก้มชัด โหนกแก้มสูง อาจสร้างความกังวลใจให้หลายคน โดยเฉพาะในผู้ที่อยากมีใบหน้าที่ดูเรียวและสมส่วน “โบท็อกลดโหนกแก้ม” จึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ด้วยวิธีการที่ไม่ต้องผ่าตัดและสามารถปรับรูปหน้าได้ในระยะเวลาอันสั้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าโบท็อกลดโหนกแก้มคืออะไร เห็นผลเมื่อไหร่ และต้องดูแลตัวเองอย่างไรหลังทำ

ทำไมต้องฉีดโบท็อกซ์ลดโหนกแก้ม

โหนกแก้มคืออะไร และทำไมต้องลดโหนกแก้ม?
โหนกแก้ม (Cheekbone) คือโครงสร้างกระดูกส่วนหนึ่งของใบหน้าที่อยู่บริเวณแก้มทั้งสองข้าง หากโหนกแก้มใหญ่หรือสูงมากเกินไป อาจทำให้ใบหน้าดูแบน หน้ากว้าง หรือขาดมิติ ส่งผลให้ดูแข็ง ดุดัน และอาจดูมีอายุมากกว่าความเป็นจริง


โบท็อกลดโหนกแก้ม คืออะไร?



โบท็อก หรือ Botulinum Toxin เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ช่วยยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ เมื่อฉีดโบท็อกลดโหนกแก้ม จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณโหนกแก้มคลายตัว ส่งผลให้โหนกแก้มดูเล็กลง ใบหน้าเรียวขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่โหนกแก้มที่เด่นชัดเกิดจากกล้ามเนื้อ ซึ่งมักพบในผู้ที่มีพฤติกรรมเคี้ยวอาหารแข็งหรือขบฟันบ่อย ๆ

โบท็อกลดโหนกแก้มไม่เหมาะสำหรับการแก้ไขโหนกแก้มที่เกิดจากโครงกระดูก หากเป็นกรณีนี้ อาจต้องพิจารณาวิธีการผ่าตัดลดกระดูกหรือศัลยกรรมแทน

โบท็อกลดโหนกแก้ม ต้องฉีดบ่อยไหม?
เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่ การฉีดซ้ำทุก 3-6 เดือน เป็นสิ่งที่ควรทำ อย่างไรก็ตาม หากฉีดเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง กล้ามเนื้อในบริเวณนั้นจะค่อย ๆ เล็กลงจนแทบไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำบ่อย ๆ ในกรณีที่เป็นการฉีดครั้งแรก แพทย์อาจแนะนำให้ติดตามผลและกลับมาฉีดซ้ำเพื่อปรับปริมาณยาให้เหมาะสมกับใบหน้าของแต่ละบุคคล

แก้ปัญหาโหนกแก้มที่เกิดจากกระดูกได้ไหม? วิธีไหนช่วยได้บ้าง?
โบท็อกลดโหนกแก้มเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโหนกแก้มเด่นชัดจากกล้ามเนื้อเท่านั้น หากปัญหาเกิดจากกระดูก โบท็อกจะไม่สามารถช่วยได้ วิธีการลดโหนกแก้มที่เกิดจากกระดูก มีหลายวิธี เช่น

การผ่าตัดลดกระดูกโหนกแก้ม: วิธีนี้เป็นการปรับแต่งกระดูกโดยตรง สามารถทำให้โหนกแก้มดูเล็กลงได้ถาวร แต่ต้องพักฟื้นและมีความเสี่ยงจากการผ่าตัด
การฉีดฟิลเลอร์หรือไขมัน: หากต้องการแก้ปัญหาโดยไม่ผ่าตัด อาจใช้การเติมเต็มส่วนอื่นของใบหน้า เช่น ขมับหรือแก้ม เพื่อปรับสมดุลของใบหน้าให้ดูสมส่วน
หลังฉีดโบท็อกลดโหนกแก้ม ต้องดูแลตัวเอง

หลังฉีดโบท็อกลดโหนกแก้ม ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกลดโหนกแก้มเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลชัดเจนและคุ้มค่ากับการลงทุน


หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดจุดบริเวณใบหน้าในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดบวมผิดปกติ แดง หรือมีอาการแพ้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
เพื่อผลลัพธ์ที่คงทนและปลอดภัย ควรติดตามผลการฉีดกับแพทย์ตามกำหนด
การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกลดโหนกแก้มอย่างถูกวิธี ไม่เพียงช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีและอยู่ได้นาน แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อีกด้วย อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

สรุป
โบท็อกลดโหนกแก้มเป็นทางเลือกที่สะดวกและปลอดภัยสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตาม การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญมาก หากโหนกแก้มของคุณเด่นชัดจากโครงกระดูก อาจต้องพิจารณาวิธีการอื่นที่เหมาะสมกว่า เช่น การผ่าตัดหรอการเติมเต็มส่วนอื่นของใบหน้า การดูแลตัวเองหลังฉีดก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและอยู่ได้นานที่สุด อย่าลืมปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจเพื่อให้แน่ใจว่าวิธีนี้เหมาะสมกับคุณที่สุด!อยากมีใบหน้าที่เรียวสวยอย่างธรรมชาติ? เชิญมาที่ Vincent Clinic ที่นี่เราให้บริการฉีดโบท็อกเพื่อลดโหนกแก้มอย่างปลอดภัยและได้ผลทันใจ

2
Volnewmer ฟื้นฟูผิวและสลายไขมันในเครื่องเดียว เหมาะกับคนเวลาน้อย



Volnewmer นวัตกรรมที่ช่วยฟื้นฟูผิวพรรณและสลายไขมันได้ในเครื่องเดียว โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือพักฟื้นยาวนาน ในยุคที่ความงามและสุขภาพผิวพรรณได้รับความสนใจอย่างมาก แต่ด้วยชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ หลายคนอาจไม่มีเวลาเพียงพอในการดูแลตัวเองอย่างเต็มที่ เทคโนโลยีเพื่อความงามจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก Volnewmer อย่างละเอียด ตั้งแต่วิธีการทำงาน ประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ ไปจนถึงการเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง 

Volnewmer คืออะไร? 



Volnewmer คือเทคโนโลยีเพื่อการดูแลผิวพรรณและสลายไขมัน โดยใช้พลังงาน Monopolar RF (Radiofrequency) ซึ่งเป็นคลื่นวิทยุที่สามารถปล่อยพลังงานลงลึกถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พลังงานที่ส่งผ่านคลื่น RF จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในผิว ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง และเรียบเนียน อีกทั้งยังสามารถสลายไขมันในร่างกายได้พร้อมกัน จุดเด่นที่ทำให้ Volnewmer โดดเด่นกว่าคือการมีระบบทำความเย็น (Hydro-Cooling System) และระบบสั่น (Contact Cooling System) ที่ช่วยลดความเจ็บปวดและป้องกันผิวเบิร์น นอกจากนี้ Volnewmer ยังมีหัวทิปที่หลากหลาย สามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละส่วนของร่างกาย

Volnewmer ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง? 
Volnewmer เป็นเครื่องที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวพรรณและรูปร่างที่หลากหลาย โดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัดหรือพักฟื้นยาวนาน ผลลัพธ์ที่สามารถคาดหวังได้จากการทำ Volnewmer ได้แก่ 
1. ยกกระชับผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เต่งตึง และเก็บกรอบหน้าให้ชัดเจน 
2. ลดริ้วรอย ลดเลือนร่องลึกและริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา ร่องแก้ม และลำคอ 
3. ปรับผิวเรียบเนียน กระชับรูขุมขนและทำให้ผิวเนียนละเอียด 
4. สลายไขมันส่วนเกิน ลดไขมันสะสมในบริเวณต่าง ๆ เช่น เหนียง หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา 
5. ฟื้นฟูผิวล้ำลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวกระจ่างใสและอิ่มฟู 

 Volnewmer ต่างจากเทคโนโลยีอื่นอย่างไร? 
แม้ว่า Volnewmer จะใช้คลื่น RF เช่นเดียวกับเครื่องมือยกกระชับอื่น ๆ เช่น Thermage และ Ultraformer แต่ Volnewmer ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้ 
 Volnewmer vs Thermage 
- Volnewmer 
  - ระยะเวลาในการให้ความร้อนนานถึง 1,000 มิลลิวินาที ทำให้กระชับผิวได้ลึกและนานกว่า 
  - พลังงานถูกปล่อยอย่างสม่ำเสมอทั่วหัวเครื่อง 
  - มีระบบทำความเย็นที่ต่อเนื่อง ลดโอกาสผิวเบิร์นและเจ็บน้อยกว่า 
- Thermage 
  - การปล่อยพลังงานมักกระจุกตัวในบางส่วน 
  - ระบบทำความเย็นปล่อยเป็นช่วง ๆ ทำให้การควบคุมพลังงานไม่ต่อเนื่อง 


 ใครเหมาะกับการทำ Volnewmer? 



Volnewmer เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย หรือไขมันสะสมในบางส่วนของร่างกาย และต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วโดยไม่ต้องพักฟื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ และไม่มีเวลาในการดูแลตัวเองมาก 

Volnewmer ปลอดภัยหรือไม่ และเจ็บมากไหม? 
การทำ Volnewmer มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากใช้เทคโนโลยีที่พัฒนามาอย่างดี พร้อมทั้งมีระบบทำความเย็นและระบบสั่นที่ช่วยลดความเจ็บปวดและอาการระคายเคืองผิว ระหว่างทำจะรู้สึกเพียงอุ่น ๆ บนผิวหนัง ถือว่าเป็นการรักษาที่เจ็บน้อยเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่นในกลุ่มเดียวกัน 

 Volnewmer ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล และผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน? 
การทำ Volnewmer ควรทำ 4–6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างระหว่างครั้งประมาณ 2–4 สัปดาห์ หลังจากนั้นสามารถทำซ้ำได้ทุก 6–12 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น โดยปกติแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะชัดเจนขึ้นหลังทำ 2–3 ครั้งแรก 
 
Volnewmer ทางเลือกใหม่ของคนรักผิว อีกหนึ่งนวัตกรรมที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลผิวพรรณและรูปร่างโดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัด ด้วยคุณสมบัติที่ครอบคลุม ทั้งการฟื้นฟูผิว ยกกระชับ และสลายไขมัน จึงตอบโจทย์คนที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีในเวลาอันรวดเร็ว  หากคุณกำลังมองหาเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผิวสวยอิ่มฟู และมีรูปร่างกระชับอย่างปลอดภัย การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ  Volnewmer ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเพื่อความงาม แต่เป็นก้าวสำคัญของการดูแลตัวเองในยุคที่ความสะดวกสบายและประสิทธิภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด สามารถเข้ามาปรึกษาทีมแพทย์มากประสบการณ์ของ Vincent Clinic ได้เลยค่ะ

3
ท่านอนหลังเสริมหน้าอก นอนอย่างไรให้สบายและแผลหายไว อกสวยชิดดั่งใจ



การเสริมหน้าอกเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้หญิงหลายคน แต่หลังการผ่าตัด การดูแลตัวเองในช่วงฟื้นตัวถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเรื่องการนอน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการฟื้นฟูร่างกายและผลลัพธ์ที่ได้จากการเสริมหน้าอก การนอนในท่าที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้แผลหายเร็ว แต่ยังช่วยให้หน้าอกของคุณสวยงามและชิดดั่งใจหลังการผ่าตัดด้วย
บทความนี้จะมาแนะนำท่านอนที่ถูกต้องหลังการเสริมหน้าอก และเคล็ดลับในการนอนอย่างไรให้สบาย, แผลหายไว, และได้หน้าอกที่สวยชิดดั่งใจ

ทำไมท่านอนถึงสำคัญหลังการเสริมหน้าอก?

การเสริมหน้าอกทำให้ร่างกายต้องปรับตัวและฟื้นฟูจากการผ่าตัด โดยเฉพาะบริเวณหน้าอกที่ต้องพักฟื้นจากการแทรกซิลิโคนเข้าไป การนอนในท่าที่ผิดอาจส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวด แผลอักเสบ หรือหน้าอกที่ไม่ชิดและไม่เข้ารูปตามที่ต้องการ
ในช่วง 6-8 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด หน้าอกจะยังอยู่ในกระบวนการปรับตำแหน่ง ดังนั้นการเลือกท่านอนที่ถูกต้องจะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่น แผลหายเร็ว และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ท่านอนที่แนะนำหลังเสริมหน้าอก

นอนหงาย (Best Position)
การนอนหงายถือเป็นท่านอนที่ดีที่สุดหลังการเสริมหน้าอก เพราะท่านี้ช่วยลดการกดทับหน้าอกและแผลผ่าตัด โดยไม่ทำให้หน้าอกเบี้ยวหรือย้อย คุณควรนอนบนที่นอนที่มีความแข็งพอประมาณและใช้หมอนรองใต้ศีรษะและคอเพื่อให้ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อย (ประมาณ 30-45 องศา) ซึ่งจะช่วยลดอาการบวมและส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดในช่วงฟื้นฟู
ข้อดี: ช่วยให้หน้าอกไม่ถูกกดทับ, ลดอาการบวม, ช่วยให้แผลฟื้นฟูได้ดี
ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงการนอนราบหรือนอนคว่ำเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดแรงกดที่หน้าอก
หมอนหนุนใต้เข่า
การใช้หมอนหนุนใต้เข่าจะช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและลดแรงกดทับบริเวณหลังและขา ทำให้การนอนหลับในท่าหงายเป็นไปได้สบายยิ่งขึ้น และช่วยลดความตึงเครียดจากการนอนในท่าหงายเป็นเวลานาน
ข้อดี: ช่วยให้การนอนหงายสบายขึ้น, ลดความเมื่อยล้าในช่วงการนอนหลับ
ข้อควรระวัง: หมอนควรหนุนในระดับที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดแรงกดที่ผิดปกติ

เคล็ดลับการนอนให้สบายและแผลหายไว



1. ใช้หมอนช่วยหนุน
การใช้หมอนหนุนทั้งใต้ศีรษะและระหว่างขาจะช่วยให้ท่านอนหงายสะดวกขึ้น หมอนที่ดีควรมีความหนาพอเหมาะและไม่แข็งจนเกินไป เพื่อให้ศีรษะและตัวอยู่ในแนวตรงตามธรรมชาติ
2. เลือกที่นอนที่ไม่อ่อนหรือแข็งเกินไป
การเลือกที่นอนที่มีความแข็งปานกลางจะช่วยรองรับร่างกายในท่านอนหงายได้ดี โดยไม่ทำให้เกิดแรงกดทับที่หน้าอกหรือกระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้การนอนหลับมีคุณภาพและช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
3. หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวมากเกินไป
ในช่วงแรกหลังการผ่าตัด คุณควรพยายามนอนในท่าที่ไม่เคลื่อนไหวมากเกินไป การพลิกตัวไปมาหรือการขยับตัวเร็วอาจทำให้แผลเกิดการระคายเคืองและยืดเวลาในการฟื้นฟู

การนอนในท่าที่ถูกต้องหลังการเสริมหน้าอกมีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยรักษารูปทรงของหน้าอกให้สวยงาม ชิด และไม่ย้อย ลดอาการบวม ช่วยให้แผลหายไว ลดอาการเจ็บปวด และฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้น ท่านอนที่เหมาะสมจะทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการเสริมหน้าอก ดังนั้นอย่าลืมให้ความสำคัญกับท่านอนหลังการเสริมหน้าอก เพื่อให้คุณได้หน้าอกสวย ชิด และฟื้นฟูได้เร็วขึ้นอย่างปลอดภัย

สรุป
การนอนหลังเสริมหน้าอกมีความสำคัญมากต่อการฟื้นฟูร่างกายและผลลัพธ์ของการผ่าตัด การนอนในท่าหงาย และการใช้หมอนหนุนเพื่อรองรับศีรษะและตัวให้สูงขึ้นจะช่วยให้แผลฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ลดอาการบวม และช่วยให้หน้าอกคงรูปทรงที่สวยงามและชิดดั่งใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเจ็บปวดและป้องกันการเกิดแผลอักเสบหรือการเคลื่อนตัวของซิลิโคน
อย่าลืมว่า การดูแลตัวเองหลังการเสริมหน้าอกไม่เพียงแต่จะช่วยให้แผลหายเร็ว แต่ยังช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการเสริมหน้าอกของคุณ
ถ้าคุณสนใจการเสริมหน้าอกที่ถูกต้องสามารถทักเข้ามาสอบถามได้ที่ Vincent Clinic ค่ะ

4
สิวหายแน่นอน รวมเทคนิครักษาสิว ให้ผิวของคุณกลับมาใสอีกครั้ง



สิวเกิดจากอะไร
สิวเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งมักเกิดจากการผลิตน้ำมันส่วนเกินจากต่อมไขมัน รวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบและสิวขึ้นได้ ปัจจัยที่ส่งผลรวมถึงการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน การดูแลผิวไม่เหมาะสม ความเครียด อาหารบางประเภท และพันธุกรรม.

สิวมีหลายประเภท



ขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของการอักเสบที่เกิดขึ้น โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้
สิวอุดตัน (Comedonal Acne): สิวประเภทนี้เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนที่มีทั้ง สิวหัวดำ (Blackheads) และ สิวหัวขาว (Whiteheads) มักไม่ทำให้เกิดการอักเสบ แต่ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียก็อาจพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne): สิวประเภทนี้มีการอักเสบและมีการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักทำให้เกิด สิวหนอง (Pustules) หรือ สิวหัวช้าง (Papules) สิวอักเสบมักมีอาการแดงและบวม
สิวซีสต์ (Cystic Acne): เป็นสิวที่มีการอักเสบอย่างรุนแรงและลึกลงไปในผิว ทำให้เกิด ซีสต์ ซึ่งเป็นตุ่มหนองขนาดใหญ่ สิวประเภทนี้อาจทิ้งรอยแผลเป็นที่ลึกและยากต่อการรักษา
สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne): สิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยรุ่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน หรือการตั้งครรภ์ มักเกิดที่บริเวณกรามและคาง
การรักษาสิวจะขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของสิว โดยการปรึกษาแพทย์ผิวหนังก็จะช่วยให้การรักษาเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การรักษาสิวมีอะไรบ้าง



การรักษาสิวมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและประเภทของสิว ได้แก่
การรักษาผิวด้วยยาทา: ใช้ยาที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อลดการอักเสบและการอุดตันของรูขุมขน
การใช้ยารับประทาน: เช่น ยาปฏิชีวนะ (สำหรับสิวอักเสบ) หรือยาคุมกำเนิด (สำหรับผู้หญิงที่สิวเกิดจากฮอร์โมน)
การทำหัตถการ: เช่น การทำทรีตเมนต์เมโส (Meso) หรือการใช้มาเด้คอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิว
การรักษาด้วยเลเซอร์: ช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว
การดูแลที่บ้าน: ล้างหน้าให้สะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน และหลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว
การรักษาควรเลือกตามสภาพผิวและประเภทของสิว และควรปรึกษาแพทย์หากสิวไม่ดีขึ้น.
รักษาสิวที่ Vincent Clinic



การรักษาสิวที่ Vincent Clinic มีหลากหลายวิธีที่เหมาะสมกับทุกสภาพผิวและปัญหาสิวที่แตกต่างกัน โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะให้คำแนะนำและเลือกวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคุณ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยเพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว วิธีการรักษาสิวที่ Vincent Clinic ได้แก่
เมโส (Meso Therapy): การฉีดสารอาหารหรือวิตามินเข้าไปในผิวเพื่อฟื้นฟูผิว ลดการอักเสบของสิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
การรักษาด้วยมาเด้คอลลาเจน (Made Collagen): ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิวที่มีรอยแผลเป็นจากสิว และให้ผิวเนียนกระจ่างใส
การใช้ยาทาผิวและยา: เพื่อควบคุมการอักเสบและการผลิตน้ำมันบนผิวหนัง ลดการเกิดสิวใหม่
การดูแลผิวเฉพาะบุคคล: แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ และการดูแลผิวให้มีสุขภาพดี
หากคุณกำลังมองหาวิธีการรักษาสิวที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย พร้อมกับการดูแลอย่างมืออาชีพ Vincent Clinic พร้อมช่วยคุณให้ผิวหน้ากลับมาสวยใสและแข็งแรงอีกครั้ง.
การลดรอยสิว ให้ผิวแข็งแรงที่ Vincent Clinic
การลดรอยสิวและดูแลผิวให้แข็งแรงที่ Vincent Clinic เน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและการดูแลผิวอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อฟื้นฟูผิวจากรอยสิวและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
การรักษาด้วยเลเซอร์:เลเซอร์ฟื้นฟูผิว Discovery Pico ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดการปรา ผกฏของรอยสิว ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระจ่างใส
การรักษาด้วยการฉีดเมโส (Meso Therapy): การฉีดสารบำรุงต่างๆ ลงสู่ผิวชั้นใน เช่น วิตามิน C และ กรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวให้สดใสขึ้น
การใช้มาเด้คอลลาเจน (Made Collagen): การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวด้วยเทคนิค มาเด้คอลลาเจน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และลดการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความกระจ่างใสให้กับผิว ช่วยลดความหมองคล้ำและรอยดำจากสิว

5
Ultraformer MPT นวัตกรรมยกกระชับและสลายไขมันที่คุณไม่ควรพลาด



ในยุคที่การดูแลตัวเองและรักษาผิวพรรณกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับหลายคน การเลือกใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและไม่ทำให้เสียเวลาในการฟื้นฟูนั้นกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยม หนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมในวงการความงามตอนนี้คือ Ultraformer MPT ซึ่งไม่เพียงแค่ช่วยยกกระชับผิวหน้าและผิวกาย แต่ยังสามารถสลายไขมันสะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องผ่าตัด บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Ultraformer MPT และเหตุผลที่คุณไม่ควรพลาดการใช้เทคโนโลยีนี้ในการดูแลตัวเอง

Ultraformer MPT คืออะไร?



Ultraformer MPT เป็นเครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยี Focused Ultrasound ซึ่งเป็นคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง เพื่อทำการยกกระชับผิวและสลายไขมันใต้ชั้นผิว โดยการใช้ Hyperthermia Lifting Therapy ซึ่งปล่อยพลังงานความร้อนลงไปในชั้นผิวทั้งในระดับตื้นและลึก การปล่อยพลังงานเหล่านี้จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวตึงกระชับและฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลักการทำงานของ Ultraformer MPT
Ultraformer MPT ใช้คลื่น Micro Focused Ultrasound และ Macro Focused Ultrasound ที่มีระดับความลึกต่างกัน เพื่อเข้าถึงชั้นผิวที่หลากหลาย:

Micro Focused Ultrasound จะยิงพลังงานลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกันที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลดริ้วรอย
Macro Focused Ultrasound ส่งพลังงานไปยังชั้นผิวที่ลึกยิ่งขึ้น เช่น ชั้นไขมันใต้ผิว ช่วยสลายไขมันสะสมและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวกระชับและลดการสะสมของไขมันที่ไม่ต้องการ

ทำไม Ultraformer MPT ถึงไม่ควรพลาด?
ยกกระชับผิวหน้าและผิวกาย: ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถยิงพลังงานได้หลากหลายระดับความลึก Ultraformer MPT จึงช่วยให้ผิวหน้าดูเต่งตึงและกระชับขึ้น อีกทั้งยังสามารถยกกระชับผิวบริเวณอื่น ๆ เช่น ผิวคอและผิวลำตัว
สลายไขมันสะสม: ไม่เพียงแต่ช่วยยกกระชับผิว Ultraformer MPT ยังสามารถสลายไขมันที่สะสมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น บริเวณใต้คาง หน้าท้อง ต้นแขน และต้นขา
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: การกระตุ้นคอลลาเจนทำให้ผิวดูเนียนเรียบและกระชับขึ้น ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นและทำให้ผิวหน้าและผิวกายมีสุขภาพดี
ไม่มีการผ่าตัด: Ultraformer MPT ใช้เทคโนโลยีที่ไม่ต้องการการผ่าตัดหรือต้องการการพักฟื้น ทำให้คุณสามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ทันทีหลังการทำ
ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งจากการใช้ Ultraformer MPT
ผลลัพธ์จากการใช้ Ultraformer MPT สามารถเห็นได้ชัดเจนหลังจากทำการรักษาครั้งแรก โดยทั่วไปผู้ใช้จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ประมาณ 20% หลังทำ และผลลัพธ์เต็มรูปแบบจะปรากฏหลังจาก 2-3 เดือน การยกกระชับและสลายไขมันจะอยู่ได้นานถึง 8-10 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองและลักษณะผิวของแต่ละคน

Ultraformer MPT เหมาะกับใครบ้าง?



Ultraformer MPT เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย และต้องการยกกระชับผิวหน้าและร่างกายโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น:

ผู้ที่มีปัญหาหนังตาหย่อน หรือคิ้วตก
ผู้ที่มีร่องแก้มหรือมุมปากตก
ผู้ที่มีเหนียงและคางสองชั้น
ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย
ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา
ข้อดีของการเลือก Ultraformer MPT
ปลอดภัยและได้ผลจริง: Ultraformer MPT ได้รับการรับรองจาก อย. และมีความปลอดภัยสูง เพราะใช้เทคโนโลยีที่มีมาตรฐาน
ไม่ต้องพักฟื้น: หลังจากทำการรักษาผู้ใช้สามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ทันที
เห็นผลลัพธ์ชัดเจน: การยกกระชับและสลายไขมันสามารถเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนในเวลาไม่นาน

Ultraformer MPT กับ Ultraformer III แบบไหนดีกว่ากัน ?



การเลือก Ultraformer MPT หรือ Ultraformer III ขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะของปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข ทั้งสองเครื่องใช้เทคโนโลยี Focused Ultrasound เพื่อการยกกระชับและสลายไขมัน แต่มีความแตกต่างในหลายด้านที่ทำให้เหมาะกับการใช้งานที่ต่างกัน ดังนี้:

1. เทคโนโลยีและรูปแบบพลังงาน
Ultraformer MPT ใช้เทคโนโลยี Multi-Polar Technology (MPT) ที่มีความหลากหลายในการปล่อยพลังงานแบบ จุด, เส้นตรง, และวงกลม ซึ่งแต่ละรูปแบบสามารถใช้ในการรักษาได้หลากหลายอย่าง เช่น การยกกระชับ การสลายไขมัน หรือการกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวมีความกระชับขึ้น เหมาะสำหรับการรักษาในหลายตำแหน่งทั้งบริเวณใบหน้าและร่างกาย
Ultraformer III ใช้เทคโนโลยี Single-Polar Technology (SPT) ซึ่งเป็นการปล่อยพลังงานแบบ จุดเดียว เหมาะสำหรับการยกกระชับบริเวณเฉพาะที่ เช่น ร่องแก้ม คิ้วตก หรือใต้คาง เป็นต้น การใช้พลังงานแบบจุดเดียวทำให้สามารถลงลึกถึงชั้นผิวได้ดีสำหรับการยกกระชับ
2. ระดับความลึกของพลังงาน
Ultraformer MPT มีความสามารถในการปรับระดับความลึกของพลังงานได้หลายระดับ เช่น 1.5 มม., 3 มม., 4.5 มม., 6 มม., 9 มม. และ 13 มม. ซึ่งช่วยให้สามารถยกกระชับผิวและสลายไขมันในหลายระดับความลึกได้ ไม่ว่าจะเป็นการยกกระชับผิวหน้าหรือสลายไขมันใต้ผิว
Ultraformer III  มีความลึกที่สามารถเลือกได้หลากหลาย แต่จะมีความลึกที่จำกัดและไม่ได้หลากหลายเท่า Ultraformer MPT ซึ่งหมายความว่า Ultraformer III อาจจะเหมาะกับการยกกระชับที่ชั้นผิวตื้น ๆ และการยกกระชับบริเวณเฉพาะ
3. ประสิทธิภาพในการสลายไขมัน
Ultraformer MPT สามารถสลายไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในชั้นผิวที่ตื้นและลึก โดยพลังงานที่ส่งเข้าไปจะช่วยกระตุ้นการสลายไขมันสะสมและช่วยให้รูปร่างดูเรียวขึ้นได้
Ultraformer III สามารถสลายไขมันได้เช่นกัน แต่ประสิทธิภาพในการสลายไขมันอาจจะไม่เทียบเท่ากับ Ultraformer MPT เนื่องจากมีการเลือกพลังงานที่ลงลึกได้จำกัด
4. ความหลากหลายในการรักษา
Ultraformer MPT มีความหลากหลายในการรักษา ทั้งการยกกระชับผิวหน้า สลายไขมันใต้ผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ครบวงจรในเครื่องเดียว
Ultraformer III เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับบริเวณที่เฉพาะเจาะจง หรือคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในบางจุด เช่น ใต้คาง หรือลำคอ
5. ระยะเวลาและผลลัพธ์
Ultraformer MPT ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนเร็วกว่า เนื่องจากสามารถปรับระดับพลังงานที่เหมาะสมกับแต่ละบริเวณได้ดีกว่า
Ultraformer III ให้ผลลัพธ์ที่ดีในบางบริเวณ แต่ไม่สามารถทำการรักษาผิวได้หลายจุดและหลายระดับความลึกในคราวเดียว

     หากคุณต้องการการรักษาที่ ครอบคลุม ทั้งการยกกระชับและการสลายไขมันในหลายจุดทั้งใบหน้าและร่างกาย พร้อมกับความหลากหลายในการปรับระดับความลึกของพลังงาน, Ultraformer MPT จะเหมาะกว่า
     หากคุณต้องการการยกกระชับใน บางจุดเฉพาะ และไม่จำเป็นต้องการความหลากหลายในการปรับพลังงานมากนัก Ultraformer III ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ดังนั้น Ultraformer MPT เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ครบวงจรและครอบคลุมมากกว่า ขณะที่ Ultraformer III เหมาะกับผู้ที่ต้องการการรักษาที่ตรงจุดและมีความลึกที่เฉพาะเจาะจง.

สรุป
Ultraformer MPT ถือเป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมสำหรับการยกกระชับและสลายไขมันในเครื่องเดียว ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและยั่งยืน โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือพักฟื้น หากคุณกำลังมองหาวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการดูแลผิวหน้าและร่างกาย Ultraformer MPT เป็นตัวเลือกที่คุณไม่ควรพลาด!  หากคุณต้องการคำปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อทีมแพทย์ของเราเพื่อรับคำแนะนำและการบริการที่ดีที่สุดได้ที่ Vincent Clinic พร้อมรับสิทธิพิเศษและโปรโมชั่นดีๆ รอคุณอยู่ค่ะ

6
โบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ คืออะไร



โบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ คืออะไร อันตรายไหม และเหมาะกับใครบ้าง
ในยุคที่การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์และการใช้สมาร์ทโฟนเป็นกิจวัตร อาการปวดเมื่อย คอ บ่า ไหล่ กลายเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ การฉีดโบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการลดอาการปวดและช่วยคลายกล้ามเนื้อ และนอกจากนี้การฉีดโบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ยังช่วยปรับขนาดบ่าไหล่ให้เล็กลง และลำคอดูเรียวขึ้นอีกด้วย


การฉีดโบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ คืออะไร?
โบท็อกซ์ (Botulinum Toxin) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สามารถช่วยคลายกล้ามเนื้อได้ โดยจะฉีดเข้าไปยังบริเวณกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อที่ตึงหรือหดเกร็งอย่างเรื้อรัง

วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อตึงจากอาการออฟฟิศซินโดรม หรือผู้ที่ต้องการปรับบุคลิกภาพ เช่น ลดขนาดกล้ามเนื้อบ่าที่ใหญ่เกินไปเพื่อให้ดูสมส่วนขึ้น ช่วยให้ลำคอดูเรียวระหงษ์ขึ้น

โบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ อันตรายไหม

โบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ อันตรายไหม?



การฉีดโบท็อกซ์เป็นหัตถการที่ปลอดภัย ไม่อันตราย ได้รับการยืนยันทางการแพทย์ว่าสามารถช่วยบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมและลดอาการปวดเมื่อยในบริเวณดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก และผ่านการรับรองจากทั้งองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทย หลังการฉีด โบท็อกซ์จะสลายไปเองตามธรรมชาติ ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ฉีดโบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ ช่วยอะไรบ้าง?
การฉีดโบท็อกซ์บริเวณ คอ บ่า ไหล่ มีประโยชน์หลายอย่าง ดังนี้
ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
คลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวจากอาการออฟฟิศซินโดรม
ลดขนาดกล้ามเนื้อบริเวณบ่า ทำให้รูปร่างดูสมส่วน
เพิ่มความสบายในการเคลื่อนไหว เช่น หันคอหรือยกไหล่
ลดความเครียดในบริเวณที่กล้ามเนื้อตึง
ช่วยให้บุคลิกภาพดีขึ้น
โบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ เหมาะกับใคร

โบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ เหมาะกับใครบ้าง?



การฉีดโบท็อกซ์บริเวณ คอ บ่า ไหล่ เหมาะสำหรับกลุ่มคนต่อไปนี้:

ผู้ที่มีอาการออฟฟิศซินโดรม เช่น ปวดเมื่อยเรื้อรังบริเวณ คอ บ่า ไหล่
ผู้ที่มีกล้ามเนื้อบ่าใหญ่หรือดูไม่สมส่วน ต้องการปรับลุคให้ดูดีขึ้น
ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อเกร็งเรื้อรัง หรือมีอาการปวดจากการใช้งานกล้ามเนื้อหนักเกินไป
ผู้ที่ออกกำลังกายหนัก หรือใช้กล้ามเนื้อซ้ำ ๆ ในจุดเดิม เช่น นักกีฬาหรือคนที่ฝึกเวทเทรนนิ่ง ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อไหล่ดูหนาขึ้นหรือแข็งตัว หากต้องการปรับให้กล้ามเนื้อเรียวเล็กลง โบท็อกซ์สามารถช่วยได้
โบท็อกซ์ช่วยลดอาการออฟฟิศซินโดรมได้จริงไหม?
โบท็อกซ์สามารถช่วยลดอาการออฟฟิศซินโดรมได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรังจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว การฉีดโบท็อกซ์ช่วยลดแรงตึงของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย อาการปวดเมื่อยลดลง และเพิ่มความสบายในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยโบท็อกซ์ควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เช่น การปรับพฤติกรรมการนั่ง การออกกำลังกาย และการปรับสภาพแวดล้อมการทำงาน

ฉีดโบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ มีผลข้างเคียงไหม?



ผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์มีน้อยและมักเกิดในระยะสั้น สามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน เช่น

อาการบวมแดงหรือช้ำบริเวณที่ฉีด
อาการตึงเล็กน้อยในช่วง 1-2 วันแรก
อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อบริเวณใกล้เคียง (พบได้น้อย)
เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่รุนแรง ควรเลือกฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อหนัก ๆ หลังฉีด


สรุป
การฉีดโบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดและคลายกล้ามเนื้อจากออฟฟิศซินโดรมได้ดี นอกจากจะช่วยลดอาการปวดเมื่อยแล้ว ยังช่วยปรับบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้น หากสนใจควรปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก Vincent Clinic เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด

7
ตาสองชั้น ต้องทำเทคนิคแบบไหนดี? เพื่อสร้างดวงตาที่สวยงามและมีมิติ



การทำตาสองชั้นเป็นหัตถการยอดนิยมที่ช่วยแก้ปัญหาดวงตาเล็ก ตาชั้นเดียว หรือแม้แต่หนังตาตก เพื่อลับรูปทรงดวงตาให้ดูโดดเด่นและมีมิติ เทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำตาสองชั้นมีความหลากหลาย โดยการเลือกเทคนิคที่เหมาะสมสามารถช่วยแก้ไขปัญหาของแต่ละบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตาสองชั้นคืออะไร?
ตาสองชั้นคือการสร้างชั้นตาที่ชัดเจน ทำให้ดวงตาดูกลมโตและมีมิติ เป็นที่นิยมทั้งในหมู่ผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะในกลุ่มคนเอเชียที่มักมีตาชั้นเดียว หรือชั้นตาไม่ชัดเจน การมีชั้นตาช่วยไม่เพียงแต่เพิ่มความสวยงามให้กับดวงตา แต่ยังช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก หรือไขมันส่วนเกินบริเวณเปลือกตาที่อาจรบกวนการมองเห็น
ประโยชน์ของการทำตาสองชั้น
การทำตาสองชั้นไม่ได้มีแค่การเสริมความงามเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ที่สำคัญ ดังนี้:
เพิ่มมิติให้ดวงตา: ช่วยทำให้ดวงตาดูกลมโตและมีมิติ ดูสดใสและอ่อนเยาว์
แก้ปัญหาหนังตาตก: สำหรับผู้ที่มีหนังตาตกจนรบกวนการมองเห็น หรือทำให้ดวงตาดูเศร้า การทำตาสองชั้นสามารถช่วยยกหนังตาให้ตึงและดูเปิดกว้างขึ้น
ปรับรูปตาให้สมมาตร: แก้ไขปัญหาชั้นตาไม่เท่ากัน หรือชั้นตาที่เบลอ
เพิ่มความมั่นใจ: ดวงตาที่สดใสและกลมโตสามารถเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจให้กับบุคคล
ช่วยให้การแต่งหน้าเป็นเรื่องง่าย: ผู้ที่มีชั้นตาชัดเจนสามารถแต่งตาได้ง่ายขึ้น อายแชโดว์หรืออายไลเนอร์จะดูสวยและติดทน
แก้ปัญหาหนังตาเกินในผู้สูงอายุ: ลดปัญหาหนังตาเกินที่อาจทำให้การมองเห็นลดลง

ใครควรทำตาสองชั้น?



การทำตาสองชั้นเหมาะกับผู้ที่มีตาชั้นเดียว ชั้นตาไม่ชัด หรือมีปัญหาชั้นตาที่ไม่เท่ากัน รวมถึงผู้ที่มีหนังตาตกหรือเปลือกตาหย่อนคล้อยจากอายุหรือพันธุกรรม นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาดวงตาที่บวม หรือมองไม่ชัดเจน
เทคนิคการทำตาสองชั้น
การทำตาสองชั้นมีหลายเทคนิคที่สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมของผู้เข้ารับการรักษา:
เทคนิคเย็บ 3 จุด: เหมาะกับคนที่มีเปลือกตาบาง ไม่มีไขมันส่วนเกิน สามารถทำได้โดยไม่ต้องกรีดผิวหนัง ข้อดีคือแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว
เทคนิคกรีดสั้น: ใช้การกรีดสั้นบริเวณเปลือกตา เพื่อสร้างชั้นตาที่ชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาชั้นตาไม่ชัดเจน
เทคนิคกรีดยาว: ใช้การกรีดผิวหนังตลอดแนวชั้นตา เหมาะกับคนที่มีปัญหาหนังตาตกมาก หรือไขมันส่วนเกิน

เทคนิค Sakura Eyes ที่ Vincent Clinic



ที่ Vincent Clinic เรามีการใช้เทคนิค Sakura Eyes ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อสร้างชั้นตาที่ดูเป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับโครงหน้าโดยเฉพาะ เทคนิคนี้ได้รับการพัฒนาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด


สรุป การทำตาสองชั้นเป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาดวงตาเล็ก ตาชั้นเดียว หรือหนังตาตก โดยการสร้างชั้นตาที่ชัดเจนเพื่อให้ดวงตาดูกลมโตและมีมิติ ซึ่งเป็นที่นิยมทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะในกลุ่มคนเอเชีย เทคนิคการทำตาสองชั้นมีหลายแบบ เช่น เทคนิคเย็บ 3 จุด, กรีดสั้น, และกรีดยาว โดยการเลือกเทคนิคที่เหมาะสมจะช่วยแก้ปัญหาของแต่ละบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ Vincent Clinic ใช้เทคนิค Sakura Eyes ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อสร้างชั้นตาที่ดูเป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับโครงหน้า ฟื้นตัวเร็วและช่วยแก้ปัญหาตาเฉพาะบุคคล เทคนิคนี้ช่วยลดการบวมช้ำและการบาดเจ็บ ทำให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำและเป็นธรรมชาติ

8
Hifu คืออะไร ไฮฟู่ ช่วยเรื่องอะไรได้ สามารถทำส่วนไหนได้บ้าง?



Hifu อีกหนึ่งนวัตกรรมช่วยยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอยตื้น ๆ ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ทั้งยังสามารถช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้เพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย เนื่องจากเป็นเครื่องยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัดและมีหลากหลายคุณสมบัติเด่น ไม่ต้องพักฟื้น ไม่เกิดรอยแผล มีความปลอดภัย สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ จึงได้รับความนิยมเลือกใช้ในการดูแลผิวพรรณและใบหน้าเป็นอย่างมาก ในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ ไฮฟู่ ให้มากขึ้น

Hifu คืออะไร?
Hifu คือ High Intensity Focus Ultrasound เครื่องยกกระชับผิวที่สามารถช่วยเก็บกรอบหน้า แก้ม เหนียง รวมถึงบริเวณลำคอ เป็นต้น โดยจะปล่อยคลื่นพลังงานลงไปกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว จึงสามารถช่วยลดริ้วรอย เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว เรียบเนียนกระจ่างใสมากขึ้น หลังทำจะเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเต็มที่ประมาณ 1 เดือนหลังทำ

Hifu ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
Hifu สามารถช่วยดูแลเรื่องผิวพรรณและยกกระชับได้อย่างเห็นผล ซึ่งสามารถช่วยในเรื่องต่าง ๆ ได้ดังนี้

ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว
ยกกระชับผิวหน้าและบริเวณลำคอ ลดความหย่อนคล้อยของผิว
ช่วยยกหางตา แก้ปัญหาหนังตาตก
จัดการปัญหาริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา
จัดการไขมันใต้ชั้นผิวช่วยเก็บกรอบหน้า เก็บเหนียง และลดแก้ม
ช่วยยกกระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อยในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ต้นแขน ท้องแขน ต้นขา เป็นต้น

Hifu มีข้อดีอะไรบ้าง?



ยกกระชับ หน้าตึงเหมือนดึงหน้า แต่ไม่ต้องผ่าตัด
สลายไขมัน ลดริ้วรอย ลดเหนียง เก็บกรอบหน้าชัด ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวสวย
สามารถเก็บริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาซึ่งมีพื้นที่เล็กได้ โดยไม่ส่งผลกระทบกับดวงตา
ปลอดภัย ไม่ทำร้ายผิว ไม่เกิดอาการผิวเบิร์น
ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผลเพราะเป็นการปล่อยคลื่นพลังงานลงสู่ผิว ไม่ใช่การใช้เข็มหรือการผ่าตัด สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ
เหมาะกับคนที่ไม่อยากโดนเข็มหรือไม่ชอบการผ่าตัด

Hifu ทำคู่กับหัตถการอะไรได้บ้าง?
หัตถการที่ทำคู่กับ Hifu ได้มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ฉีดโบท็อกซ์ , ฉีดฟิลเลอร์ , ร้อยไหม รวมไปถึง ฉีดเมโสแฟต เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยแพทย์จะวางลำดับการรักษาก่อน-หลังให้สอดคล้องและเหมาะสมมากที่สุด

Hifu ราคาเท่าไหร่?
ราคาของ Hifu นั้นมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน ตำแหน่งที่ทำ จำนวนไลน์ที่ใช้ รวมไปถึงโปรโมชันในแต่ละช่วง จึงต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมินให้อย่างละเอียด โดยสามารถทักเข้ามาสอบถามราคากับทาง Vincent Clinic ได้เลยค่ะ

9
โบท็อกซ์กรามคืออะไร ? ช่วยให้หน้าเรียวจริงไหม ? ใช้กี่ยูนิต ?



การฉีดโบท็อกซ์กรามเป็นหนึ่งในวิธีการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะช่วยให้หน้าเรียวเล็กและดูได้สัดส่วนตามที่ต้องการ ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างละเอียดกับการฉีดโบท็อกกราม ทั้งการทำงานของโบท็อก รวมถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกกรามด้วย

โบท็อกกราม คืออะไร?

โบท็อกกราม คือ การฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) เข้าไปในกล้ามเนื้อกรามเพื่อลดขนาดและความแข็งของกล้ามเนื้อที่ทำให้กรามดูกว้าง การฉีดโบท็อก จะทำให้กล้ามเนื้อกรามคลายตัวและหดลง ซึ่งส่งผลให้รูปหน้าดูเรียวและสมส่วนมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีกรามใหญ่หรือใบหน้ากว้างจากกล้ามเนื้อ

โบท็อกกราม ช่วยอะไรบ้าง?



การฉีดโบท็อกซ์กราม เป็นการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในกล้ามเนื้อกรามหรือกล้ามเนื้อ Masseter ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ใช้ในการบดเคี้ยวอาหาร การฉีดโบท็อกซ์ที่กรามมีประโยชน์หลัก ๆ คือ

ช่วยลดความกว้างของใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก : การฉีดโบท็อกซ์กรามช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ทำให้ใบหน้าดูเรียวและได้สัดส่วนมากขึ้น จึงเป็นวิธีที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวแต่ไม่อยากทำศัลยกรรมผ่าตัด
ปรับสมดุลให้กับใบหน้า : ในบางกรณีที่กล้ามเนื้อกรามใหญ่เกินไปจนทำให้ใบหน้าไม่สมดุล การฉีดโบท็อกซ์กรามสามารถช่วยให้ใบหน้าดูสมดุลมากขึ้น
ช่วยลดริ้วรอยในบางจุด : การฉีดโบท็อกในบริเวณกรามยังช่วยลดริ้วรอยเล็กๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในบริเวณข้างแก้ม

โบท็อกกราม เหมาะกับใคร?
การฉีดโบท็อกลดกรามเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย โดยเฉพาะคนที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่หรือหนาและต้องการลดขนาดกรามให้ดูเล็กลง ซึ่งจะทำให้ใบหน้าได้สัดส่วนและเรียวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยกลุ่มที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกลดกราม





โบท็อกกราม ไม่เหมาะกับใคร?
ผู้ที่ไม่เหมาะสมกับการฉีดโบท็อก ได้แก่ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนผสมของโบท็อกหรือมีโรคประจำตัวบางประการ ซึ่งการฉีดอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายได้ โดยกลุ่มบุคคลที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อกประกอบไปด้วย:

ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ : เช่น โรคหอบหืดและโรคถุงลมโป่งพอง เนื่องจากการฉีดโบท็อกอาจมีความเสี่ยงต่อระบบทางเดินหายใจและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตในบางกรณี
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อการกลืน : โบท็อกอาจเพิ่มความเสี่ยงให้กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการกลืนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงอาจไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีปัญหานี้
ผู้ที่มีโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง : เช่น โรค ALS (amyotrophic lateral sclerosis), Lou Gehrig’s disease, myasthenia gravis หรือ Lambert-Eaton syndrome ซึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้อที่มีความเสี่ยงหากได้รับการฉีดโบท็อก เนื่องจากยาจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลงได้อีก
ผู้ที่มีอาการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะฉีด : การฉีดโบท็อกในบริเวณที่มีการติดเชื้ออาจทำให้อาการแย่ลง ดังนั้นควรรอให้ผิวหนังหายดีก่อนรับการฉีด
ผู้ที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โบท็อกอาจทำให้กล้ามเนื้อระบบต่าง ๆ ในร่างกายอ่อนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับระบบปัสสาวะสำหรับผู้ที่มีปัญหาดังกล่าว
นอกจากนี้ ก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อก ควรแจ้งข้อมูลที่สำคัญต่อแพทย์ เช่น เคยมีผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกครั้งก่อน ๆ หรือไม่ มีภาวะเลือดหยุดยาก เขียวช้ำง่าย เคยทำหัตถการอื่น ๆ หรือผ่าตัดบริเวณใบหน้ามาก่อน รวมถึงแจ้งสถานะการตั้งครรภ์หรือการให้นมบุตร ทั้งนี้เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินความปลอดภัยและให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด

โบท็อกลดกราม ยี่ห้อไหนดี
การเลือกยี่ห้อโบท็อกสำหรับฉีดลดกรามควรพิจารณาจากคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยทั่วไป ยี่ห้อโบท็อกที่ได้รับความนิยมและถือว่ามีมาตรฐานสูง ได้แก่
1. Allergan botox



จากประเทศอเมริกา เป็นแบรนด์แรกที่ได้รับการรับรองจากอย. อเมริกา (US FDA) มีความบริสุทธิ์มากที่สุด ถึง 99.5% ทำให้มีโอกาสเกิดการดื้อยาได้น้อยลงเมื่อมีการฉีดซ้ำหลาย ๆ ครั้งจุดเด่นคือออกฤทธิ์ได้แม่นยำ อยู่ได้นานที่สุดรักษาเฉพาะกล้ามเนื้อมัดที่เราต้องการ  เหมาะสำหรับฉีดก้ปัญหาริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า ลดกรามปรับรูปหน้าเรียวเมื่อฉีดแล้วผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน

2. Aestox botox



เป็นโบท็อกซ์จากประเทศเกาหลี  ความบริสุทธิ์มากกว่า 99.5% ได้การรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศเกาหลีใต้ และ องค์การอาหารและยาประเทศไทย จุดเด่นของยี่ห้อนี้ คือ ตัวยามีความเสถียร และควบคุมคุณภาพอย่างเข้มข้นทุกขวด ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ตัวยาออกฤทธิ์เร็ว และเห็นผลไว  ให้ผลลัพธ์ความสวยแบบธรรมชาติ

3. Xeomin



เป็นผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์จากเยอรมัน ผลิตด้วยเทคโนโลยี XTRACT Technology  ที่มีความบริสุทธิ์สูง เพราะมีกระบวนการกำจัดโปรตีนที่ไม่จำเป็นออกจากโมเลกุล จุดเด่นของโบท็อกยี่ห้อนี้คือ โอกาสที่ร่างกายจะเกิดสารต้านโบท็อก (Antibody) ต่ำ แม้จะต้องฉีดโบท็อกหลาย ๆ ครั้ง ปราศจากสิ่งเจือปนที่ไม่จำเป็น มีประสิทธิภาพสูงและทันสมัย ไม่มีสิ่งแปลกปลอม และโปรตีนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายเมื่อฉีดแล้วผลลัพธ์แม่นยำ อยู่ได้นานประมาณ 4-5 เดือน และเนื่องจากขนาดโมเลกุลที่เล็กและบริสุทธิ์ จึงมีการกระจายตัวที่แม่นยำ และปลอดภัยสูง

4. Dysport



โบท็อกซ์จากประเทศอังกฤษ ความบริสุทธิ์ 99% ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยยูนิตที่แตกต่างกัน จุดเด่นของ Dysport คือการกระจายตัวของยาอย่างกว้างขวาง ซึ่งช่วยให้การรักษาไม่กระจุกอยู่ที่จุดเดียว เหมาะสำหรับการฉีดกราม

สรุป

การฉีดโบท็อกกรามสามารถช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวลงและลดขนาดกรามได้ในระยะสั้น ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการหน้าเรียวโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ควรเลือกทำกับคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย เชิญชวนฉีด หากคุณต้องการลดขนาดกรามและปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก ดูเป็นธรรมชาติ การฉีดโบท็อกกรามที่ Vincent Clinic คือตัวเลือกที่ดีที่สุด! ด้วยเทคนิคที่ปลอดภัยและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คุณจะเห็นผลลัพธ์ที่น่าประทับใจโดยไม่ต้องใช้เวลาฟื้นตัว และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที

รวมโปรปังหน้าเรียว ด้วย แพ๊คเลือกสวยได้ตาม Size คลิกเลย















10
โบท็อกซ์หน้าผาก ลดริ้วรอย



โบท็อกซ์หน้าผาก ลดริ้วรอย ให้หน้าตึงกระชับ ดูอ่อนกว่าวัยทันใจ
การฉีดโบท็อกซ์หน้าผากถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการแก้ไขปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าผากและระหว่างคิ้ว ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนกังวลเพราะเป็นจุดเด่นบนใบหน้าและมักสังเกตเห็นได้ง่าย ริ้วรอยบริเวณนี้มักเกิดขึ้นจากการแสดงอารมณ์ เช่น การขมวดคิ้ว ยิ้ม หรือแสดงสีหน้าอื่น ๆ ที่ทำให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านไปริ้วรอยเหล่านี้ก็จะลึกขึ้นและชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้หน้าดูมีอายุ และลดความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน

โบท็อกซ์หน้าผาก คืออะไร?



โบท็อกซ์หน้าผากเหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ เช่น รอยย่นตอนยิ้ม รอยขมวดคิ้ว และต้องการให้หน้าดูผ่อนคลาย เป็นธรรมชาติ เป็นการฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) เพื่อช่วยลดริ้วรอยและเส้นที่เกิดขึ้นบนหน้าผาก ไม่ว่าจะเป็นเส้นขวางหรือรอยย่นที่เกิดจากการขยับใบหน้า การฉีดโบท็อกซ์ บริเวณหน้าผากจึงช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์ และลดรอยย่นที่ทำให้หน้าดูแก่กว่าอายุจริงได้

ฉีดโบท็อกซ์หน้าผากช่วยเรื่องอะไร?
การฉีดโบท็อกซ์หน้าผากมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น

ลดริ้วรอยและเส้นย่น ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น
ปรับโครงหน้าให้ดูผ่อนคลาย หน้าผากดูไม่เคร่งเครียด
ลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนหน้าผาก ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยในอนาคต
ช่วยให้หน้าอ่อนเยาว์ขึ้น ดูสดใสและเป็นธรรมชาติ
ก่อนและหลังฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก

ฉีดโบท็อกซ์หน้าผากอันตรายไหม?
การฉีดโบท็อกซ์หน้าผากถือว่าเป็นการทำหัตถการที่มีความปลอดภัย หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ และใช้สารโบท็อกซ์ของแท้ อย่างไรก็ตาม หากฉีดโดยผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญหรือใช้โบท็อกซ์ปลอม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรงเกินไป ทำให้หน้าผากไม่สามารถขยับได้ตามปกติ หากอยากฉีดโบท็อกซ์หน้าผากอย่างปลอดภัย มีข้อแนะนำ ดังนี้

การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและความน่าเชื่อถือ มีความสำคัญอย่างมาก ควรตรวจสอบว่าคลินิกมีใบอนุญาตและดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สถานที่ต้องสะอาด กว้างขวาง ตั้งอยู่ในทำเลที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น ในห้างสรรพสินค้า หรือบริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่าน
ควรเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถประเมินกล้ามเนื้อและกำหนดความลึกในการฉีดอย่างแม่นยำ เพื่อให้โบท็อกออกฤทธิ์ได้ผลดีและคงผลลัพธ์ได้นาน หลีกเลี่ยงการฉีดด้วยเทคนิคที่ไม่ได้ฉีดเข้าในกล้ามเนื้อโดยตรง เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้อยา
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นโบท็อกแท้ การรู้วิธีตรวจสอบเบื้องต้นจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าตัวยาที่ใช้เป็นของแท้ มีความปลอดภัย
ฉีดโบท็อกซ์หน้าผากเจ็บไหม?
การฉีดโบท็อกซ์หน้าผากอาจมีความเจ็บเล็กน้อยเนื่องจากเข็มที่ใช้มีขนาดเล็กมาก โดยทั่วไป ความเจ็บจะเหมือนถูกกัดหรือถูกแตะเบา ๆ เท่านั้น แพทย์บางท่านอาจใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อช่วยลดความเจ็บ ซึ่งจะทำให้รู้สึกเจ็บน้อยลงอีก

โบท็อกซ์หน้าผาก ต้องฉีดกี่ยูนิต?



จำนวนยูนิตที่ใช้ในการฉีด Botox หน้าผากจะแตกต่างกันไปตามระดับของริ้วรอยและความลึกของเส้นโดยทั่วไป จะอยู่ที่ประมาณ 15 - 30 ยูนิต หรืออาจมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งที่ Vincent Clinic แพทย์จะพิจารณาปริมาณการฉีด ตามสภาพผิวหรือปัญหาของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและไม่แข็งตึงจนเกินไป

โบท็อกซ์หน้าผากกี่วันเห็นผล?



โดยปกติแล้ว ผลของโบท็อกซ์จะเริ่มเห็นประมาณ 3-7 วันหลังฉีด และจะเห็นผลเต็มที่ในช่วงประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โบท็อกซ์จะทำงานโดยการยับยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ทำให้ริ้วรอยดูจางลง ซึ่งผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน หลังจากนั้น ริ้วรอยอาจกลับมาเกิดใหม่ได้ตามปกติ

ก่อนฉีดโบท็อกซ์เตรียมตัวอย่างไร

ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก
ปรึกษาแพทย์ : แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวหน้าและปัญหาของแต่ละบุคคล เพื่อวางแผนการรักษาแนะนำจำนวนยูนิตที่เหมาะสมในการฉีด
ทำความสะอาดผิวหน้า : ก่อนการฉีดจะต้องทำความสะอาดผิวหน้าและเตรียมบริเวณที่จะฉีดให้สะอาด
ฉีดโบท็อกซ์ : แพทย์จะค่อย ๆ ฉีดโบท็อกซ์ลงในบริเวณหน้าผาก โดยใช้เทคนิคการฉีดที่แม่นยำ
ประเมินผลหลังฉีด : แพทย์จะตรวจสอบว่าไม่มีผลข้างเคียงหรือปัญหาใด ๆ หลังการฉีดเสร็จสิ้น
How to ดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์

หลังฉีดโบท็อกหน้าผาก ควรดูแลตัวเองอย่างไร





หลังการฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น และลดความเสี่ยงต่าง ๆ ซึ่งวิธีดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกหน้าผาก ได้แก่

หลีกเลี่ยงการนอนราบหรือก้มหัวต่ำในช่วง 4 ชั่วโมงหลังการฉีด
หลีกเลี่ยงการแตะหรือถูบริเวณที่ฉีด
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ ใน 24 ชั่วโมงแรก
หลีกเลี่ยงการทำซาวน่าหรืออบไอน้ำในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
งดดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์หลังฉีด
ห้ามกินอาหารที่เผ็ดจัด หรือของหมักดองหลังจากฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก 2 สัปดาห์
หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดทับบริเวณหน้าผาก: การกดหรือนวดหน้าอาจทำให้โบท็อกซ์กระจายตัวไปยังกล้ามเนื้ออื่นที่ไม่ต้องการ และอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น อาการหนังตาตกได้
เลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ระคายเคือง: ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และกรด เช่น AHA, BHA ในช่วงแรกหลังฉีด เพื่อป้องกันการระคายเคืองผิว
ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: แพทย์จะแนะนำการดูแลตัวเองที่เหมาะสมเพื่อให้ผลการรักษาดูเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นานที่สุด
ก่อนและหลังทำโบท็อกหน้าผาก 2 สัปดาห์

ก่อนและหลังทำโบท็อกหน้าผากเห็นผลชัด

ฉีดโบท็อกซ์หน้าผากที่ไหนดี?
การเลือกสถานที่ฉีดโบท็อกซ์หน้าผากควรเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และมีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ควรตรวจสอบว่าคลินิกได้รับการรับรองมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข และใช้โบท็อกซ์แท้ที่สามารถตรวจสอบได้

ฉีดโบท็อกหน้าผากยี่ห้อไหนดี?
การเลือกยี่ห้อโบท็อกซ์สำหรับฉีดหน้าผากให้เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดของริ้วรอย อายุ ความต้องการของแต่ละบุคคล รวมถึงงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยมีโบท็อกซ์ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่

โบท็อกซ์หน้าผากด้วย Allergan

Allergan (โบท็อกซ์จากสหรัฐอเมริกา) คุณสมบัติของ Allergan เป็นยี่ห้อโบท็อกซ์จากอเมริกาที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับในวงการเสริมความงามระดับโลก มีความคงทนและผลลัพธ์ที่เห็นชัดเจนในเรื่องการลดริ้วรอยและปรับรูปหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 4-6 เดือน และออกฤทธิ์เต็มที่ภายใน 3-7 วันหลังฉีด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานและมีงบประมาณที่สูงขึ้นเล็กน้อย
โบท็อกซ์หน้าผากด้วย Xeomin

Xeomin (โบท็อกซ์จากเยอรมัน) คุณสมบัติของโบท็อกซ์ Xeomin จากเยอรมันที่มีลักษณะบริสุทธิ์ ไม่มีโปรตีนซับซ้อนเหมือนโบท็อกซ์ยี่ห้ออื่น จึงลดโอกาสการสร้างภูมิต้านทาน ข้อดีคือการออกฤทธิ์เร็วและอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและลดโอกาสการดื้อโบท็อกซ์ เหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องการดื้อยาและต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ในการเลือกยี่ห้อโบท็อกซ์สำหรับหน้าผาก ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบสภาพผิวหน้า ประเมินริ้วรอย และเลือกยี่ห้อที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของคุณ
โบท็อกซ์หน้าผากด้วย Aestox

Aestox  (โบท็อกซ์จากเกาหลี) เป็นโบท็อกซ์สัญชาติเกาหลีอีกยี่ห้อหนึ่งที่ได้รับความนิยมในคลินิกเสริมความงามหลายแห่ง เนื่องจากคุณภาพดีและราคาย่อมเยา เหมาะกับการลดริ้วรอยบริเวณต่างๆ เช่น หน้าผาก หางตา และบริเวณอื่นๆ ที่ต้องการความเรียบเนียน ความบริสุทธิ์สูงเพราะ Aestox มีการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้สารโบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) ที่ได้มีความบริสุทธิ์สูง ส่งผลให้ลดโอกาสการเกิดการแพ้หรือการดื้อยาให้ลดลง ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติหลังฉีด Aestox มักให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลุคที่ไม่แข็งหรือตึงจนเกินไป ประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์เร็ว เห็นผลลัพธ์ภายใน 3-7 วัน ซึ่งค่อนข้างรวดเร็ว และสามารถอยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังการฉีดและสภาพผิวของแต่ละคน
โบท็อกซ์หน้าผากด้วย Dysport

Dysport (โบท็อกซ์จากอังกฤษ) มีคุณสมบัติที่โดดเด่นเช่นเดียวกับ Xeomin โดยมีลักษณะของโปรตีนที่แตกต่างจากยี่ห้ออื่น ซึ่งช่วยลดโอกาสในการเกิดภูมิต้านทาน การออกฤทธิ์ของ Dysport เร็วและสามารถอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน ผลลัพธ์ที่ได้มีความเป็นธรรมชาติและช่วยลดความเสี่ยงในการดื้อโบท็อกซ์ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องการดื้อยาและต้องการผลลัพธ์ที่ดูเนียนเป็นธรรมชาติ การเลือก Dysport สำหรับลบริ้วรอยบริเวณหน้าผากควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกโบท็อกซ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ

โบท็อกซ์หน้าผากราคาเท่าไหร่?









ราคาของโบท็อกซ์หน้าผากจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบท็อกซ์และจำนวนยูนิตที่ใช้ โดยราคามักจะอยู่ที่ประมาณ 5,000-15,000 บาท ต่อครั้ง ทั้งนี้แนะนำให้เลือกฉีดกับคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือและใช้โบท็อกซ์แท้ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีกว่า

แก้ปัญหาหน้าผากยับ ด้วยโบท็อกซ์ริ้วรอย

ข้อสรุปเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก
การฉีดโบหน้าผากเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ได้ภายในไม่กี่วัน และควรมีความปลอดภัย ทั้งนี้คุณสามารถขอคำแนะนำจากทีมแพทย์ Vincent Clinic ที่มีประสบการณ์ และความน่าเชื่อถือ มีรีวิวดีจากผู้ใช้บริการ เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจในผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นธรรมชาติ เติมความมั่นใจได้ทุกวัน

ในส่วนการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์ก็มีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง หากคุณทำตามคำแนะนำข้างต้น ไม่เพียงแต่จะได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ยังช่วยให้คุณมีความมั่นใจในรูปลักษณ์และผิวพรรณที่ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย


11


โบท็อกซ์หว่างคิ้ว
ฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว คืออะไร อันตรายไหม ลดริ้วรอยได้จริงไหม



การฉีด โบท็อกซ์หว่างคิ้ว ไม่เพียงแต่ช่วยลดรอยย่นระหว่างคิ้วที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ แต่ยังช่วยปรับใบหน้าให้ดูอ่อนโยน สดใส และเป็นมิตรขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้ลึกเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว ตั้งแต่การเตรียมตัว ผลลัพธ์ ไปจนถึงคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดโบหว่างคิ้วว่าช่วยอะไรบ้างและเหมาะกับใคร

ทำไมจึงเกิดริ้วรอยหว่างคิ้ว
ริ้วรอยระหว่างคิ้วเป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบได้บ่อยเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผิวเริ่มเสื่อมสภาพและความยืดหยุ่นลดลง ซึ่งนอกจากอายุที่มากขึ้น ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลให้ผิวดูแก่ก่อนวัย และเกิดริ้วรอยได้ง่าย เช่น

การขมวดคิ้วซ้ำ ๆ การแสดงสีหน้าด้วยการขมวดคิ้วบ่อยๆ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดรอยย่นระหว่างคิ้ว
อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิวหนังลดลง ทำให้ผิวไม่สามารถกลับมาเรียบเนียนได้เหมือนเดิมหลังกล้ามเนื้อหดตัว
การแสดงสีหน้าเป็นประจำ การยิ้ม หัวเราะ หรือขมวดคิ้วในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้กล้ามเนื้อใบหน้าทำงานมากขึ้น จนเกิดรอยพับของผิว
แสงแดดและมลภาวะ รังสี UV จากแสงแดดสามารถทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น การเผชิญแสงแดดโดยไม่ป้องกัน รวมถึงการสัมผัสกับมลภาวะเป็นเวลานาน ทำให้ผิวสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน
การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
ความเครียด จากการทำงานหรือความวิตกกังวล ส่งผลต่อการเกิดริ้วรอย เพราะฮอร์โมนความเครียดสามารถเร่งกระบวนการเสื่อมสภาพของผิว
โบท็อกซ์หว่างคิ้วคืออะไร? มีกระนวนการทำงานอย่างไร
โบท็อกซ์หว่างคิ้วเป็นการฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) บริเวณกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอยลึกระหว่างคิ้ว ซึ่งมักจะเป็นรอยขมวดคิ้ว (Frown Lines) ริ้วรอยเหล่านี้เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อเมื่อแสดงอารมณ์ เช่น เครียด หรือโกรธ เมื่อเวลาผ่านไป ริ้วรอยเหล่านี้จะลึกขึ้นจนทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย หรือดูเคร่งขรึมเกินไป

โบท็อกซ์จะทำงานโดยการยับยั้งการส่งสัญญาณจากเส้นประสาทไปยังกล้ามเนื้อ ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัว และลดการเกิดรอยย่นในบริเวณดังกล่าว เมื่อฉีดบริเวณระหว่างคิ้ว กล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยย่นจะคลายตัว ส่งผลให้รอยย่นหรือริ้วรอยลึกดูจางลง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้รอยใหม่เกิดขึ้นในอนาคตเมื่อแสดงอารมณ์

รีวิว โบท็อกซ์หว่างคิ้ว ก่อนและหลัง 14 วัน

โบท็อกหว่างคิ้วอันตรายไหม?
การฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยระหว่างคิ้วถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดย โบท็อกซ์ จะช่วยลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นระหว่างคิ้วในขณะการแสดงสีหน้า เช่น การขมวดคิ้ว แต่ไม่สามารถแก้ไขริ้วรอยลึกที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวอย่างถาวรได้

ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์จะเน้นฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อบริเวณระหว่างคิ้ว หลังจากฉีด อาจรู้สึกว่าผิวบริเวณนี้ตึงขึ้นเล็กน้อย และเมื่อขยับหน้าหรือขมวดคิ้ว รอยย่นระหว่างคิ้วจะดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด

การฉีดโบท็อกซ์หว่างคิ้วมีข้อดีอย่างไร
ลดริ้วรอยลึกให้ดูจางลง หลังฉีดโบท็อกซ์ ริ้วรอยลึกจะดูเรียบเนียนขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและผ่อนคลาย การลดรอยขมวดคิ้วช่วยให้หน้าดูเป็นมิตรมากขึ้น
การรักษาที่รวดเร็วและไม่ต้องพักฟื้น การฉีดโบท็อกซ์ใช้เวลาเพียง 10-15 นาที และสามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ทันที
ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เมื่อฉีดโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ผลลัพธ์จะไม่แข็งทื่อ และยังคงการแสดงอารมณ์ได้ตามปกติ
โบท็อกซ์หว่างคิ้วเหมาะกับใครบ้าง?
คนที่มีริ้วรอยระหว่างคิ้วจากการขมวดคิ้วบ่อยๆ
ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาใบหน้าดูเครียดหรือเคร่งขรึม
คนที่ต้องการวิธีลดริ้วรอยที่ไม่ต้องผ่าตัด
โบท็อกซ์ระหว่างคิ้วกี่วันเห็นผล?
หลังฉีดโบท็อกซ์ ผลลัพธ์จะเริ่มสังเกตได้ภายใน 3-7 วัน และจะเห็นผลเต็มที่ในช่วง 2 สัปดาห์ หลังฉีด ใบหน้าจะดูเรียบเนียนขึ้น และริ้วรอยระหว่างคิ้วจะจางลง

โบท็อกซ์ระหว่างคิ้วอยู่ได้นานไหม?



โบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว โดยทั่วไปสามารถอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ก้อของโบท็อกซ์ที่ใช้ฉีด โบท็อกซ์แท้ โบท็อกซ์ปลอม รวมถึงการการดูแลตัวเองหลังฉีดตามคำแนะนของแพทย์ด้วย

ข้อควรรู้และการเตรียมตัวก่อนและหลังฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว

ข้อควรรู้และการเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์จะประเมินริ้วรอยและกำหนดปริมาณยูนิตที่เหมาะสม
งดวิตามินบางชนิดก่อนฉีด เช่น วิตามิน E, น้ำมันปลา และยาแก้ปวดบางชนิด เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดรอยช้ำ
แจ้งข้อมูลสุขภาพ โรคประจำตัว ให้แพทย์ทราบก่อนฉีด หากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรงดการฉีดโบท็อกซ์
ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์หว่างคิ้ว
แพทย์จะประเมินปัญหาริ้วรอยและกำหนดปริมาณโบท็อกซ์ที่เหมาะสม
ทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะฉีด ก่อนทำการฉีดจะมีการเตรียมผิวหน้า และทำความสะอาดใบหน้าบริเวณที่จะฉีดกก่อน เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
แพทย์ทำการฉีดโบท็อกซ์ตามการประเมิน แพทย์จะใช้เข็มเล็ก ๆ ฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซินในจุดที่ต้องการ

ข้อห้ามและการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว



ห้ามนอนราบภายใน 4 ชั่วโมงหลังฉีด
ห้ามกด นวด หรือถูบริเวณที่ฉีด
งดออกกำลังกายหนักและซาวน่าในช่วง 24 ชั่วโมง
หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหนักในวันแรกหลังจากการฉีดโบท็อกซ์
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
ก่อนและหลังฉีดโบท็อกซ์หว่างคิ้ว 14 วัน

ฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้วมีผลข้างเคียงไหม?
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้จากการฉีดโบท็อกซ์หว่างคิ้ว มีดังนี้:

รอยแดงหรือบวมบริเวณที่ฉีด สามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติ และสามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน
บางกรณีอาจมีอาการปวดศีรษะเล็กน้อยหลังฉีด แต่ก็จะหายได้เองภายในไม่กี่วัน
ทั้งนี้หากไปฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ แพทย์อาจฉีดผิดตำแหน่ง ส่งผลให้เกิดเกิดการตกของคิ้วหรือหนังตา หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

โบท็อกซ์ระหว่างคิ้วใช้กี่ยูนิต?
ปริมาณที่ใช้มักอยู่ที่ 10-25 ยูนิต ขึ้นอยู่กับความลึกของริ้วรอยหว่างคิ้วว่ามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งก่อนทำการฉีดโบท็อกซ์แพทย์จะทำการประเมินปริมาณการฉีดที่เหมาะสม เพื่อผลลัพธืที่ได้ประสิทธิภาพและธรรมชาติ

ฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้วที่ไหนดี?
การเลือกสถานที่สำหรับฉีดโบท็อกซ์เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ได้โดยตรง

คุณสมบัติของคลินิกที่ดีสำหรับการฉีดโบท็อกซ์

มีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง ต้องได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และมีป้ายเลขใบอนุญาตแสดงอย่างชัดเจน
ควรมีแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และ แพทย์ควรแนะนำคุณได้อย่างละเอียด รวมถึงการประเมินรูปหน้าและการใช้โบท็อกซ์
ใช้ผลิตภัณฑ์แท้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโบท็อกซ์ที่ใช้เป็นของแท้ ผ่านการรับรองจาก อย. (องค์การอาหารและยา) ขอให้คลินิกแสดงกล่องผลิตภัณฑ์และใบรับรองความแท้ ทุกครั้งที่ให้บริการ
คลินิกควรมีบรรยากาศที่สะอาด เป็นระเบียบ และมีมาตรฐานด้านสุขอนามัยสูง
รีวิวและความน่าเชื่อถือ ตรวจสอบรีวิวหรือผลงานของคลินิก เช่น รีวิวจากลูกค้าจริง หรือภาพก่อน-หลังการรักษา คลินิกที่มีชื่อเสียงหรือได้รับการแนะนำมักให้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือกว่า
บริการหลังการฉีด ควรมีการติดตามผล และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลหลังการฉีด เช่น การปฏิบัติตัวเพื่อให้โบท็อกซ์อยู่ได้นาน
รีวิวก่อนและหลังฉีดหว่างคิ้ว

ฉีดโบท็อกซ์หว่างคิ้วยี่ห้อไหนดี?



การฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้วสามารถเลือกใช้โบท็อกซ์จากหลากหลายแบรนด์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศไทย เช่น โบท็อกซ์จากอเมริกา อังกฤษ หรือเกาหลี โดยแต่ละแบรนด์มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทำให้ระยะเวลาของผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไป

ก่อนการฉีด แพทย์จะทำการประเมินปัญหาริ้วรอยระหว่างคิ้วของแต่ละคน ทั้งในแง่ความลึกของริ้วรอย งบประมาณ และแบรนด์ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและตอบโจทย์ความต้องการของคนไข้มากที่สุด ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมมีดังนี้

1. โบท็อกซ์ยี่ห้อ Allergan
ประเทศผู้ผลิต : สหรัฐอเมริกา

จุดเด่น

เป็นแบรนด์โบท็อกซ์ดั้งเดิมที่ได้รับการยอมรับระดับสากล
มีความบริสุทธิ์สูง และมีงานวิจัยรองรับจำนวนมาก
ผลลัพธ์ออกฤทธิ์นุ่มนวล ดูเป็นธรรมชาติ
ระยะเวลาเห็นผล : เริ่มเห็นผลใน 3-7 วันหลังฉีด และคงอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน

เหมาะกับ

ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่คงที่และปลอดภัย
ผู้ที่อาจมีแนวโน้มแพ้ง่าย เพราะมีโปรตีนปนเปื้อนน้อย
2. โบท็อกซ์ยี่ห้อ Aestox
ประเทศผู้ผลิต : เกาหลีใต้

จุดเด่น

ราคาเข้าถึงได้ง่าย
มีความบริสุทธิ์สูง และออกฤทธิ์เร็ว
เป็นโบท็อกซ์รุ่นใหม่ที่มีความนิยมเพิ่มขึ้นในเอเชีย
ระยะเวลาเห็นผล : เริ่มเห็นผลใน 3-7 วัน และคงอยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน

เหมาะกับ

ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า หรือลดริ้วรอยในระยะเวลาสั้นๆ
คนที่ต้องการเลือกแบรนด์ที่ราคาเป็นมิตร แต่ยังให้ผลลัพธ์ที่ดี
3. โบท็อกซ์ยี่ห้อ Xeomin
ประเทศผู้ผลิต : เยอรมนี

จุดเด่น

เป็นโบท็อกซ์แบบ Pure Toxin (ไม่มีโปรตีนปนเปื้อน)
ลดโอกาสการดื้อโบท็อกซ์ในระยะยาว
ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ เน้นความเบาสบาย
ระยะเวลาเห็นผล : เริ่มเห็นผลใน 5-7 วัน และคงอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน

เหมาะกับ

ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ปลอดภัยในระยะยาว
ผู้ที่มีประวัติดื้อโบท็อกซ์จากแบรนด์อื่น
4. โบท็อกซ์ยี่ห้อ Dysport
ประเทศผู้ผลิต : อังกฤษ

จุดเด่น

กระจายตัวได้ดี เหมาะกับการฉีดบริเวณกว้าง เช่น หน้าผาก หรือกราม
มีความบริสุทธิ์สูง และผ่านการรับรองจากสถาบันระดับโลก
ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและผ่อนคลาย
ระยะเวลาเห็นผล : เริ่มเห็นผลใน 3-7 วัน และคงอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน

เหมาะกับ

ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยบริเวณกว้าง
คนที่ต้องการให้ผลลัพธ์ดูเบาและผ่อนคลาย
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์จะช่วยเลือกโบท็อกซ์ที่เหมาะสมกับปัญหาและงบประมาณของคุณ พร้อมให้คำแนะนำอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจค่ะ

ก่อนและหลังโบริ้วรอยระหว่างคิ้ว 2 สัปดาห์

ก่อนและหลังโบริ้วรอยระหว่างคิ้ว

โบท็อกซ์หว่างคิ้วราคาเท่าไหร่?
ราคาสำหรับการฉีดในบริเวณนี้จะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อโบท็อกซ์และจำนวนยูนิตที่ใช้ โดยทั่วไปแล้วราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000 บาทขึ้นไป ซึ่งที่วินเซนต์คลินิกมี โปรโมชั่นโบท็อกซ์ ให้ท่านเลือกมากมาย สามารถติดต่อสอบถามกับทางคลินิกได้เลย
















สรุป
การฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้วเป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วสำหรับการลดริ้วรอยที่ทำให้ใบหน้าดูแก่หรือเคร่งเครียด การเตรียมตัวและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม รวมถึงการเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจและปลอดภัยมากที่สุด

12
รู้ก่อนเลือกทำ! เทียบ 3 เครื่องยกกระชับ Ulthera SPT, Thermage, และ Morpheus
การรักษาผิวหน้าและการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เทคโนโลยีหลัก ๆ ที่ Vincent Clinic ได้รับการยอมรับในด้านความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ได้แก่ Ulthera SPT, Thermage, และ Morpheus ทั้ง 3 เทคโนโลยีนี้ใช้วิธีที่แตกต่างกันในการกระชับผิว เหมาะสำหรับปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป บทความนี้จะอธิบายและเปรียบเทียบเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ



1. Ulthera SPT คืออะไร ?
Ulthera SPT เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงแบบโฟกัส (High-Intensity Focused Ultrasound หรือ HIFU) สามารถออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับลักษณะผิวและปัญหาความหย่อนคล้อยบนใบหน้าของแต่ละบุคคล มีความแม่นยำสูงเพราะตัวเครื่องมีหน้าจอแสดงผลแบบ Real - time ซึ่งสามารถลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่แพทย์ศัลยกรรมใช้ในการยกกระชับใบหน้า การใช้คลื่นเสียงนี้จะทำให้เกิดการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งจะช่วยยกกระชับผิวและลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Ulthera SPT สามารถทำอะไรได้บ้างUlthera SPT ช่วยอะไรได้บ้าง ?
✓ ยกกระชับผิวหน้าและลำคอ : ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้คาง และลำคอ ทำให้ผิวดูเต่งตึงและอ่อนวัยขึ้น
✓ ลดเลือนริ้วรอย : สามารถลดเลือนริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา หน้าผาก และลำคอ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น
✓ ปรับรูปหน้า : นอกจากการยกกระชับผิวแล้ว Ulthera SPT ยังสามารถช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาคางสองชั้นหรือใบหน้าไม่กระชับ
✓ ผลลัพธ์ยาวนาน : การทำ Ulthera SPT เพียงครั้งเดียวสามารถเห็นผลได้ยาวนานถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลรักษาของผู้รับบริการ
Ulthera SPT เหมาะกับใคร?
Ulthera SPT เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง และต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานแต่ไม่ต้องการทำทรีทเมนต์บ่อยครั้ง
ระดับความเจ็บ
ระดับความเจ็บค่อนข้างต่ำ แต่อาจมีความรู้สึกเหมือนการกดหรือแทงผิวในบางครั้ง ผู้ที่มีผิวบอบบางอาจรู้สึกไม่สบายขณะรับการรักษา แต่สามารถบรรเทาได้ด้วยยาชาเฉพาะที่หรือการประคบน้ำแข็งหลังทำได้
จุดเด่นของเครื่อง Ulthera SPTจุดเด่น Ulthera SPT
• ไม่มีแผลเปิด : ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผลเปิด ทำให้ไม่ต้องพักฟื้นหลังการทำ
• มีจอแสดงผล : มีหน้าจอแสดงผลแบบ Real - time สามารถออกแบบการรักษาลงลึกถึงชั้น SMAS
• เห็นผลเร็ว: ผลลัพธ์ของ Ulthera SPT จะเริ่มเห็นได้ภายใน 2-3 เดือนหลังการทำ และคงอยู่ได้นาน
• ความปลอดภัย : ผ่านการรับรองจาก FDA ในสหรัฐอเมริกา ว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
ข้อจำกัด
Ulthera SPT อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก ๆ หรือมีปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น ผิวที่เป็นแผลหรือมีการอักเสบ
การดูแลหลังทำ Ulthera SPT
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวแรง ๆ : หลีกเลี่ยงการถูหรือการนวดผิวหน้าในบริเวณที่ทำการรักษา เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้
2. หลีกเลี่ยงแสงแดด : ควรหลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นเวลานานหลังจากทำ Ulthera SPT และใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงเพื่อปกป้องผิว
3. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยน : เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น น้ำหอม หรือแอลกอฮอล์

เจาะลึกเครื่อง Ulthera SPT : Ulthera SPT นวัตกรรมยกกระชับใบหน้าและลดเลือนริ้วรอยแบบใหม่
2. Thermage FLX คืออะไร ?
Thermage เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency หรือ RF) ซึ่งสามารถแผ่พลังงานความร้อนผ่านชั้นผิวหนังไปยังชั้นคอลลาเจนใต้ผิว ความร้อนนี้จะกระตุ้นให้คอลลาเจนเก่าเกิดการหดตัวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งจะช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึงและลดเลือนริ้วรอย

Thermage FLX เฟิร์มผิว สลายแฟตThermage FLX ช่วยอะไรได้บ้าง ?



✓ ยกกระชับผิวหน้า : ช่วยกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณแก้ม ร่องใต้คาง และลำคอ ทำให้ผิวดูเต่งตึงมากขึ้น
✓ ลดเลือนริ้วรอย : Thermage สามารถลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจน เช่น ริ้วรอยรอบดวงตาและหน้าผาก
✓ กระชับผิวกาย : นอกจากการยกกระชับผิวหน้า Thermage ยังสามารถใช้กระชับผิวบริเวณอื่นๆ เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือแขน ที่เกิดจากการสูญเสียความยืดหยุ่นของผิว
✓ ผลลัพธ์ยาวนาน : ผลลัพธ์ของ Thermage สามารถคงอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี หลังจากการทำครั้งเดียว
Thermage FLX  เหมาะกับใคร  ?
Thermage เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลาง และต้องการการยกกระชับผิวทั้งใบหน้าและร่างกายโดยไม่ต้องผ่าตัด Thermage ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและดูอ่อนวัย
ระดับความเจ็บ

ความเจ็บปวดค่อนข้างน้อย ผู้รับบริการอาจรู้สึกอุ่นหรือร้อนในบริเวณที่ทำการรักษา แต่ไม่ถึงขั้นทำให้รู้สึกไม่สบาย อย่างไรก็ตาม การใช้ยาชาเฉพาะที่สามารถช่วยลดความเจ็บได้
Thermage เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและทุกสีผิวจุดเด่น



• ใช้ได้กับทุกสภาพผิว : Thermage เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและทุกสีผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวมัน ผิวแห้ง หรือผิวบอบบาง
• ไม่ต้องพักฟื้น : หลังการทำ Thermage ผู้รับบริการสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันทีโดยไม่ต้องพักฟื้น
• ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน : ผลลัพธ์จากการทำ Thermage จะเห็นผลหลังทำทันทีประมาณ 20% และจะเห็นผลได้ชัดเจน 2-3 เดือนหลังทำ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 - 1.5 ปี
ข้อจำกัด
Thermage อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวลึก หรือผู้ที่ต้องการการยกกระชับที่ลงลึกถึงชั้น SMAS
การดูแลหลังทำ Thermage FLX
1. ประคบเย็น : หลังการทำ Thermage ควรประคบเย็นบริเวณที่ทำการรักษาเพื่อช่วยลดอาการบวมและอาการแดง
2. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง : ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง
3. ดื่มน้ำมากๆ : การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

เจาะลึกเครื่อง Thermage FLX : Thermage FLX เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า ริ้วรอยแห่งวัย ไขมันสะสม จัดการได้

3. Morpheus คืออะไร ?



Morpheus เป็นเทคโนโลยีที่ผสมผสานระหว่างการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) และการใช้ Microneedling การรักษานี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เข็มเล็กๆ ที่แทรกผ่านผิวหนังเพื่อปล่อยพลังงานคลื่นวิทยุเข้าสู่ชั้นผิวลึก การรักษาด้วย Morpheus สามารถเจาะจงแก้ไขปัญหาผิวที่ลึกลงไปได้Morpheus ยกกระชับแบบไร้กังวลMorpheus ช่วยอะไรได้บ้าง ?

✓ ยกกระชับผิวหน้าและลำคอ : การใช้ Morpheus ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณที่ต้องการการรักษาเฉพาะจุด เช่น รอบดวงตา หน้าผาก และคาง
✓ ลดเลือนริ้วรอยลึก : เนื่องจากการใช้ไมโครนีดลิ่งร่วมกับคลื่นวิทยุ Morpheus สามารถเจาะลึกถึงชั้นผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ริ้วรอยลึกดูตื้นขึ้นและผิวเรียบเนียนขึ้น
✓ ปรับสภาพผิว : Morpheus ยังสามารถช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและลดรอยแผลเป็น หลุมสิว หรือผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
✓ ผลลัพธ์ยาวนาน : ผลลัพธ์ของ Morpheus สามารถคงอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังการทำและสภาพผิวของผู้รับบริการ
เหมาะกับใคร ?
Morpheus เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวลึก เช่น ริ้วรอยลึก หลุมสิว หรือรอยแผลเป็น และต้องการการรักษาเฉพาะจุดด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ระดับความเจ็บ



ระดับความเจ็บปวดค่อนข้างสูง เนื่องจากการใช้เข็ม Microneedling ในการเจาะผิวและปล่อยพลังงานคลื่นวิทยุแต่ความเจ็บปวดสามารถบรรเทาได้ด้วยการใช้ยาชาเฉพาะที่และการดูแลหลังการรักษาหัวเข็ม Morpheus  เข็มเล็กๆ ที่แทรกผ่านผิวหนังเพื่อปล่อยพลังงานคลื่นวิทยุเข้าสู่ชั้นผิวลึกจุดเด่น
• รักษาได้ลึก : การผสมผสานระหว่าง RF และ Microneedling ทำให้ Morpheus มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง โดยสามารถเจาะลึกถึงชั้นผิวที่ยากต่อการเข้าถึง
• ปรับตามสภาพผิว : สามารถปรับความลึกของเข็มได้ตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล ทำให้การรักษามีความแม่นยำและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
• เห็นผลเร็ว : ผลลัพธ์จาก Morpheus จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนภายใน 1-2 เดือนหลังการทำ และจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาว และผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี
ข้อจำกัด
Morpheus อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความกลัวเข็ม หรือผู้ที่มีปัญหาผิวหนังที่ต้องการการรักษาที่ไม่เจ็บปวดมาก
การดูแลหลังทำ Morpheus
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูผิว : หลังการทำ Morpheus ควรหลีกเลี่ยงใบหน้าโดนน้ำเป็นเวลา 24 ชั่วโมง งดการสัมผัสหรือถูผิวหน้าแรง ๆ เนื่องจากผิวอาจระคายเคืองและเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
2. รักษาความสะอาด : รักษาความสะอาดของผิวหน้าเพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
3. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง : เช่นเดียวกับ Ulthera SPT และ Thermage ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง  ใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่เพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิวหนังให้แข็งแรง
เจาะลึกเครื่อง Morpheus 8 : Morpheus 8 นวัตกรรมยกกระชับผิวที่ช่วยให้ผิวดูกระชับ เรียบเนียนขึ้นจากภายใน
เปรียบเทียบเครื่องยกกระชับ Ulthera SPT, Thermage FLX, Morpheus8การเลือกนวัตกรรมยกกระชับผิวระหว่าง Ulthera SPT, Thermage, และ Morpheus ควรพิจารณาจากสภาพผิวและความต้องการของผู้รับบริการเป็นหลัก
1. Ulthera SPT เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลางและต้องการการยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์ของ Ulthera SPT จะเห็นได้ในระยะเวลา 2-3 เดือนหลังการทำ และคงอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
2. Thermage FLX เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวทั้งใบหน้าและร่างกาย ผลลัพธ์ของ Thermage จะเห็นได้ชัดเจนภายในไม่กี่สัปดาห์และสามารถคงอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
3. Morpheus เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวลึก เช่น ริ้วรอยลึก หลุมสิว หรือรอยแผลเป็น และต้องการการรักษาเฉพาะจุด ผลลัพธ์ของ Morpheus จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนภายใน 1 - 2 เดือนและคงอยู่ได้นาน 1 ปี

สรุป
การตัดสินใจเลือกทำเครื่องยกกระชับผิวทั้งสามชนิดนี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาของคุณ การดูแลหลังการทำทรีทเมนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญในการคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

13
Q-Switch Laser ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง ต่างจาก Laserอื่นอย่างไร
Q-Switch Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ถูกพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวพรรณต่างๆ เช่น จุดด่างดำ ฝ้า กระ รอยสัก และปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ โดยการทำงานของ Q-Switch Laser จะส่งพลังงานเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นสูงเข้าไปยังชั้นผิวหนังในระยะเวลาที่สั้นมาก (นาโนวินาที) พลังงานนี้จะช่วยทำลายเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ทำให้รอยดำหรือปัญหาที่เกิดจากเม็ดสีลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ



Q-Switch Laser - สามารถใช้รักษาได้หลายปัญหาผิว เช่น รอยดำจากสิว ฝ้า กระ รอยสัก และปัญหาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวหน้ากระจ่างใสและเรียบเนียนมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้วิธีการที่รุกรานมาก

Q-Switch Laser คืออะไร ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง

Q-Switch Laser ช่วยรักษาอะไรได้บ้าง?
Q-Switch Laser ทำงานโดยการปล่อยพลังงานแสงที่เข้มข้นไปทำให้เม็ดสีแตกตัว จากนั้นเม็ดเลือดขาวจะทำหน้าที่ดูดซึมและกำจัดเม็ดสีที่ผิดปกติออกจากร่างกายผ่านกระบวนการขับของเสีย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวดูกระชับและเรียบเนียนขึ้น

ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลาย Q-Switch Laser จึงสามารถรักษาปัญหาผิวพรรณต่าง ๆ ได้ เช่น:

กระแดด กระลึก กระเนื้อ
ฝ้าตื้น ฝ้าลึก รวมถึงฝ้าที่ดื้อต่อการรักษา
ลบรอยสักทุกชนิด รวมถึงปานดำ ปานน้ำตาล และปานโอตะ
รอยดำจากสิว รอยแผลเป็น และรอยแดงต่าง ๆ
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสและเรียบเนียน
ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
แก้ปัญหาปากคล้ำ
ลดเลือนจุดด่างดำบนใบหน้า
ปรับสีผิวหลังทำเลเซอร์ขนตามบริเวณต่าง ๆ
Q-Switch Laser เป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผิวที่เกี่ยวข้องกับเม็ดสี และให้ผลลัพธ์ที่ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน

Q-Switch Laser แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

Q-Switch Laser เหมาะกับใคร?



Q-Switch Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวพรรณที่เกี่ยวข้องกับเม็ดสี เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือรอยดำจากสิว นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการลบรอยสักหรือปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอให้ดีขึ้น หากคุณมีปัญหาผิวที่ฝังลึก เช่น รอยแผลเป็นจากสิวลึก หรือจุดด่างดำที่ไม่หายไปหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงทั่วไป Q-Switch Laser ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดี

Q-Switch Laser ไม่เหมาะกับใคร?
บุคคลที่ไม่เหมาะกับการทำ Q-Switch Laser ได้แก่ ผู้ที่กำลังมีสิวอักเสบ เพราะอาจกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบมากขึ้น และทำให้สิวเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ ผู้ที่มีผิวอักเสบ หรือติดเชื้ออยู่ รวมถึงผู้ที่กำลังรักษาโรคผิวหนัง หรือเพิ่งผ่านการกรอผิวมาก็ไม่ควรเข้ารับการรักษาด้วย Q-Switch Laser เช่นกัน นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคลมชัก สตรีตั้งครรภ์ หรือผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรก็ไม่ควรทำการรักษาด้วยวิธีนี้

การเตรียมตัว ก่อนทำเลเซอร์ Q-Switch ต้องทำอย่างไร?
การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์ Q-Switch มีความสำคัญเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่าง ๆ ดังนั้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนเริ่มทำเลเซอร์ Q-Switch ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยแพทย์จะตรวจสอบสภาพผิวและกำหนดจำนวนครั้งที่ควรทำ รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับข้อควรระวังต่าง ๆ
หลีกเลี่ยงการตากแดด ควรหลีกเลี่ยงการตากแดดอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์ เพราะการตากแดดมากเกินไปอาจทำให้ผิวไหม้หรือมีการระคายเคือง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยด่างดำหรือการระคายเคืองหลังทำเลเซอร์
งดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว เช่น กรดผลไม้ (AHA), กรดซาลิไซลิก (BHA), เรตินอยด์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามิน A อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการทำเลเซอร์ เพื่อลดความเสี่ยงในการระคายเคืองหรือทำให้ผิวบางเกินไป
งดการขัดผิวและการทำหัตถการอื่น ๆ ห้ามทำการขัดผิว หรือการทำทรีตเมนต์ที่รุนแรง เช่น การกรอผิว การทำทรีตเมนต์กรด TCA หรือการรักษาผิวที่ทำให้ผิวบอบบางอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการทำเลเซอร์ เพื่อไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองมากขึ้น
หลีกเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่มที่ทำให้ผิวไวต่อแสง หากใช้ยาบางชนิดที่ทำให้ผิวไวต่อแสง เช่น ยารักษาสิวบางประเภทหรือยาปฏิชีวนะ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าควรหยุดใช้ยาก่อนทำเลเซอร์หรือไม่ เนื่องจากยาเหล่านี้อาจทำให้ผิวไวต่อแสงเลเซอร์มากเกินไป และเสี่ยงต่อการเกิดรอยไหม้หรือรอยดำหลังทำเลเซอร์
งดการทำกิจกรรมที่ทำให้ผิวระคายเคือง ก่อนการทำเลเซอร์ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง เช่น การว่ายน้ำในสระที่มีคลอรีนสูง การอบซาวน่า หรือการออกกำลังกายหนัก ๆ ที่ทำให้เหงื่อออกมาก เพื่อลดความเสี่ยงในการอักเสบของผิว
งดการแต่งหน้าหรือทาครีมบำรุงก่อนทำเลเซอร์ ในวันที่เข้ารับการรักษา ควรงดการแต่งหน้า หรือทาครีมบำรุงผิว โดยเฉพาะครีมกันแดด หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เนื่องจากอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการทำเลเซอร์ และทำให้พลังงานเลเซอร์ซึมเข้าสู่ผิวไม่เต็มที่
พักกผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมาก ๆ การพักผ่อนเพียงพอและดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนเข้ารับการรักษาจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดี และช่วยให้ผิวสามารถฟื้นตัวหลังการทำเลเซอร์ได้เร็วขึ้น
แจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัว หากผู้เข้ารับการรักษาใช้ยา หรืออาหารเสริมเป็นประจำ ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้า โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน หรือยาละลายลิ่มเลือด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำหลังการทำเลเซอร์
เตรียมป้องกันผิวจากแสงแดดหลังทำเลเซอร์ หลังการทำเลเซอร์ ผิวจะไวต่อแสงมากยิ่งขึ้น ควรเตรียมครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเพื่อใช้ปกป้องผิวทันทีหลังทำเลเซอร์และในช่วงระยะเวลาฟื้นตัว
การดูแลผิวหลังทำเลเซอร์ Q-Switch
หลังจากทำ Q-Switch Laser แล้ว การดูแลผิวอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น


หลีกเลี่ยงแสงแดด – แสงแดดสามารถทำให้ผิวไวต่อการเกิดจุดด่างดำและรอยดำใหม่ได้ หลังจากทำเลเซอร์ ผิวของคุณจะอ่อนแอและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการออกแดดเป็นเวลานานและใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงเสมอ
งดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารกระตุ้น – เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดต่างๆ อย่าง AHA, BHA หรือเรตินอยด์ ซึ่งอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและทำให้การฟื้นฟูช้าลง
ครีมบำรุงและมอยเจอร์ไรเซอร์ – หลังจากทำเลเซอร์ ผิวจะสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย การใช้ครีมบำรุงและมอยเจอร์ไรเซอร์จะช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้า – อย่าลืมว่าหลังจากทำเลเซอร์ ผิวของคุณจะอยู่ในช่วงการฟื้นฟู ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขัดถูผิวหน้าแรงๆ เพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลหรือการติดเชื้อ
การประคบน้ำแข็ง – หากคุณรู้สึกว่าผิวร้อนหรือแดงหลังจากทำเลเซอร์ สามารถประคบน้ำแข็งหรือใช้เจลเย็นเพื่อช่วยลดอาการได้
Q-Switch Laser กี่ครั้งเห็นผล?
ผลลัพธ์จากการทำ Q-Switch Laser ขึ้นอยู่กับประเภทของปัญหาผิวและสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วคนไข้มักเห็นผลลัพธ์ที่ดีหลังจากทำประมาณ 3-5 ครั้ง แต่ในบางกรณีที่มีปัญหาผิวมากหรือฝังลึก อาจต้องทำหลายครั้งมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ การเห็นผลลัพธ์ในแต่ละครั้งที่ทำ สำหรับรอยดำจากสิวหรือฝ้า กระ บางคนอาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนอาจต้องใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ขึ้นไปหลังทำเลเซอร์ เนื่องจากเลเซอร์ต้องใช้เวลาในการทำลายเม็ดสีและกระตุ้นการฟื้นฟูของผิว  หากคุณต้องการลบรอยสักหรือปัญหาผิวที่มีความเข้มข้นของเม็ดสีสูง อาจต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อให้ผลลัพธ์ชัดเจน โดยในกรณีลบรอยสัก อาจต้องทำประมาณ 5-10 ครั้งขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความลึกและสีของรอยสัก

ผลข้างเคียงของ Q-Switch Laser
แม้ว่า Q-Switch Laser จะมีความปลอดภัยสูง แต่ก็ยังมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่:



อาการแดง – หลังจากทำเลเซอร์ ผิวบริเวณที่ถูกยิงเลเซอร์อาจเกิดอาการแดงหรือบวมชั่วคราว ซึ่งเป็นเรื่องปกติและจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
ผิวแห้ง – หลังทำเลเซอร์ ผิวอาจสูญเสียความชุ่มชื้นและแห้งมากขึ้น ซึ่งควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ในการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นเสมอ
ผิวคล้ำขึ้น – ในบางกรณี ผิวหนังอาจเกิดอาการคล้ำขึ้นหรือเกิดรอยดำหลังทำเลเซอร์ ซึ่งเป็นการตอบสนองปกติของผิวที่จะฟื้นตัวในเวลา 1-2 สัปดาห์
สะเก็ดหรือผิวลอก – บางครั้งผิวอาจเกิดการลอกหรือมีสะเก็ดขึ้นหลังทำเลเซอร์ โดยไม่ควรแกะสะเก็ดเหล่านี้ ควรปล่อยให้หลุดไปตามธรรมชาติ
การระคายเคือง – ผิวอาจเกิดการระคายเคืองหรือแสบในบางราย ซึ่งสามารถดูแลด้วยการใช้ครีมบำรุงที่ไม่มีสารระคายเคือง
เปรียบเทียบ Q-Switch Laser กับ Pico Laser
การเลือกเลเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของคุณเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณกำลังลังเลระหว่าง Q-Switch Laser และ Pico Laser ควรพิจารณาจากความเข้มข้นของปัญหาผิวและผลลัพธ์ที่คุณต้องการ Pico Laser จะส่งพลังงานได้รวดเร็วกว่า Q-Switch ทำให้เม็ดสีแตกตัวได้ละเอียดและเร็วกว่า ซึ่งหมายความว่าคุณอาจเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นหลังทำเพียงไม่กี่ครั้ง Pico Laser ยังมีการฟื้นตัวที่รวดเร็วและผลข้างเคียงน้อยกว่า แต่ราคาของ Pico Laser ก็สูงกว่าเช่นกัน Q-Switch Laser เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด และยังสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีได้แม้จะใช้เวลามากกว่า Pico Laser ก็ตาม หากคุณมีปัญหาเม็ดสีหรือรอยสักที่ไม่ลึกมาก Q-Switch Laser ก็อาจเพียงพอที่จะให้ผลลัพธ์ที่คุณต้องการ

เปรียบเทียบ Q-Switch Laser กับ Discovery Pico Laser



เปรียบเทียบ Q-Switch Laser กับ Discovery Pico Laser
Q-Switch Laser และ Discovery Pico ต่างกันในหลายด้าน แม้ว่าทั้งสองประเภทจะเป็นเลเซอร์ที่ใช้สำหรับการรักษาปัญหาผิวที่เกี่ยวกับเม็ดสี เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยสัก แต่ความแตกต่างอยู่ที่เทคโนโลยีและประสิทธิภาพในการรักษา ดังนี้:

1. เทคโนโลยีและความเร็วของพลังงาน
Q-Switch Laser : ใช้เทคโนโลยีในการปล่อยพลังงานด้วยความเร็วระดับนาโนวินาที (nanosecond) ซึ่งเป็นมาตรฐานในเลเซอร์รักษาปัญหาผิวที่เกี่ยวกับเม็ดสี โดยพลังงานจะทำลายเม็ดสีที่สะสมในชั้นผิว ทำให้ผิวที่มีปัญหาค่อย ๆ จางลง

Discovery Pico : ใช้เทคโนโลยี Picosecond ซึ่งมีความเร็วในการปล่อยพลังงานที่สูงกว่ามาก        (ระดับพิโควินาที หรือ trillionths of a second) ทำให้พลังงานสามารถทำลายเม็ดสีได้ละเอียดและแม่นยำกว่า ส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงกว่าและใช้เวลาน้อยกว่า Q-Switch

2. ผลข้างเคียงและการฟื้นตัว
Q-Switch Laser : อาจทำให้เกิดอาการตกสะเก็ดหลังการรักษา โดยผิวจะมีความรู้สึกแสบหรือระคายเคืองในช่วงแรก และอาจใช้เวลาสักระยะในการฟื้นตัว

Discovery Pico : มีผลข้างเคียงน้อยกว่า เนื่องจากเทคโนโลยี Picosecond ทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อน้อยลง ผิวจึงฟื้นตัวเร็วกว่า ไม่เกิดการตกสะเก็ด หรือหากมีแผลก็น้อยกว่าการทำ Q-Switch Laser

3. ประสิทธิภาพในการรักษา
Q-Switch Laser : เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาเม็ดสีพื้นฐาน เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือรอยสักที่มีขนาดใหญ่และชัดเจน แต่ผลการรักษาอาจต้องใช้หลายครั้งเพื่อให้เห็นผลที่ชัดเจน

Discovery Pico : มีประสิทธิภาพสูงกว่าในการรักษาปัญหาที่ซับซ้อน เช่น ฝ้า กระ และรอยสักที่มีขนาดเล็กหรือสีจาง Pico สามารถทำลายเม็ดสีได้ละเอียดกว่า ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็วและชัดเจนมากขึ้นแม้ในการรักษาครั้งแรก

4. ระยะเวลาในการรักษา
Q-Switch Laser : มักต้องทำหลายครั้งถึงจะเห็นผลชัดเจน โดยแต่ละครั้งอาจใช้เวลานานขึ้น เนื่องจากพลังงานที่ปล่อยออกมาช้ากว่า

Discovery Pico : ใช้เวลาการรักษาสั้นกว่าและต้องการจำนวนน้อยครั้งในการเห็นผล เนื่องจากสามารถทำลายเม็ดสีได้ลึกและแม่นยำกว่า

5. การรักษาปัญหาผิวที่ลึกกว่า
Q-Switch Laser : ส่วนใหญ่เน้นการรักษาในชั้นผิวที่ไม่ลึกมาก การรักษาปัญหาผิวที่อยู่ลึกอาจใช้เวลามากขึ้นและอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว

Discovery Pico : สามารถเจาะลึกลงไปในชั้นผิวที่ลึกกว่า ทำให้เหมาะกับการรักษาปัญหาผิวที่ซับซ้อนหรือฝังแน่น เช่น รอยสักที่มีสีลึกหรือปัญหาเม็ดสีในชั้นผิวลึก

6. ความรู้สึกขณะรักษา
Q-Switch Laser : อาจทำให้รู้สึกเจ็บหรือแสบบริเวณที่ทำการรักษา ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานที่ใช้

Discovery Pico : มักทำให้รู้สึกเจ็บน้อยกว่าหรือแทบไม่มีความรู้สึกเจ็บเลย เนื่องจากใช้พลังงานที่สูงแต่ใช้เวลาสั้นในการยิงเลเซอร์

7. ราคา
Q-Switch Laser : ราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการรักษาที่ไม่ต้องใช้งบประมาณสูง

Discovery Pico : เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่และมีประสิทธิภาพสูงกว่า จึงมีราคาสูงกว่าการทำ Q-Switch Laser

Q-Switch Laser ใช้เทคโนโลยีนาโนวินาทีในการรักษาปัญหาเม็ดสี เช่น ฝ้า กระ และรอยสัก มีประสิทธิภาพดีแต่ต้องทำหลายครั้งและมีผลข้างเคียง เช่น การตกสะเก็ดและระคายเคือง

ส่วน Q-Switch Laser - ใช้เทคโนโลยีพิโควินาทีที่มีความเร็วและแม่นยำกว่ามาก ทำให้เห็นผลลัพธ์เร็ว ฟื้นตัวไว มีผลข้างเคียงน้อยกว่า แม้จะมีราคาสูงกว่าการทำ Q-Switch แต่โดยภาพรวมแล้ว Discovery Pico มีประสิทธิภาพสูงและรักษาปัญหาผิวที่ลึกหรือซับซ้อนมากกว่า คุ้มกว่าหากตัดสินใจทำเลเซอร์ ผลลัพธ์ก็มักจะคุ้มค่ากว่าในระยะยาว

ราคา Q-Switch Laser
ราคาของการทำ Q-Switch Laser จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่และปริมาณครั้งที่ต้องทำ โดยทั่วไปแล้ว ราคาจะเริ่มต้นที่ประมาณ 1,000-3,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการรักษาและปัญหาผิวของแต่ละบุคคล

สำหรับผู้ที่ต้องการลบรอยสักหรือรักษาฝ้า กระที่ฝังลึก อาจต้องทำหลายครั้งและราคาจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้งที่ทำ การเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือและมีผู้เชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือเลเซอร์จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย

สรุป
Q-Switch Laser เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับการรักษาปัญหาผิวที่เกี่ยวข้องกับเม็ดสี เช่น จุดด่างดำ ฝ้า กระ และรอยสัก เทคโนโลยีนี้สามารถใช้แก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย และการดูแลผิวหลังทำเลเซอร์อย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด การทำเลเซอร์ชนิดนี้มีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อย เช่น อาการแดงหรือผิวแห้ง ซึ่งสามารถจัดการได้ด้วยการดูแลผิวที่ถูกวิธี และผลลัพธ์จาก Q-Switch Laser มักจะเห็นได้หลังจากทำประมาณ 3-5 ครั้ง สำหรับใครที่สนใจการทำ Q-Switch Laser


เมื่อเปรียบเทียบกับ Pico Laser ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีความละเอียดและเร็วกว่า Q-Switch ผลลัพธ์ที่ได้อาจดีกว่า แต่ Q-Switch Laser ยังคงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด และต้องการแก้ไขปัญหาผิวพรรณที่ไม่ซับซ้อนมาก หากคุณกำลังพิจารณาการทำเลเซอร์เพื่อแก้ไขปัญหาผิว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้การรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของคุณ และอย่าลืมดูแลผิวให้ดีหลังจากทำเลเซอร์เพื่อให้ผิวฟื้นตัวเร็วและมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว สำหรับใครที่สนใจการทำ Q-Switch Laser สามารถทักเข้ามาสอบถามได้ที่ Vincent Clinic Vincent Clinic นะคะ เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือที่ทันสมัย ให้คุณมั่นใจได้ว่า ความสวยของคุณจะมาพร้อมกับความปลอดภัยแน่นอนค่ะ


14
เทคโนโลยี PicoCare 450 Laser คืออะไร ? ใช้รักษาอะไรได้บ้าง?
ในปัจจุบันการทำเลเซอร์ผิวหนังมีหลากหลายเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์การรักษาปัญหาผิวต่างๆ แต่ PicoCare 450 Laser เป็นหนึ่งในเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมมากในวงการแพทย์ความงาม สำหรับการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึงการลบรอยสักและปัญหาผิวอื่น ๆ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ PicoCare 450 Laser อย่างละเอียด พร้อมเนื้อหาที่ครอบคลุมทุกคำถามที่คุณสงสัย



เทคโนโลยี PicoCare 450 Laser คืออะไร ?

Picocare 450 Laser คืออะไร?
Picocare 450 Laser คือเลเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Picosecond ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในการส่งพลังงานเลเซอร์ Pico Laser ไปยังผิวหนังในเวลาที่สั้นที่สุด ทำให้พลังงานถูกส่งไปได้อย่างรวดเร็วโดยไม่สร้างความเสียหายแก่เนื้อเยื่อรอบข้าง ตัวเครื่องเลเซอร์นี้ถูกพัฒนาโดย WONTECH บริษัทเกาหลีที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเลเซอร์เพื่อความงาม



โดยความเร็วของ Picocare 450 Laser อยู่ที่ระดับหนึ่งในล้านล้านวินาที (Picosecond) ซึ่งหมายความว่าเลเซอร์สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาปัญหาผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลบรอยสัก, รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือแม้กระทั่งรอยแผลเป็นและหลุมสิว

Picocare 450 Laser คืออะไร?

หลักการทำงานของ Picocare 450 Laser
หลักการทำงานของ PicoCare 450 Laser คือการปล่อยพลังงานเลเซอร์ลงไปยังชั้นผิวหนังโดยใช้ช่วงระยะเวลาที่สั้นมาก จึงไม่ทำลายผิวบริเวณโดยรอบ ช่วยแตกเม็ดสีเมลานินหรือเม็ดสีที่ไม่พึงประสงค์ในผิวหนังให้กลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยที่ร่างกายสามารถกำจัดของเสียผ่านระบบภูมิคุ้มกันอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้นอย่างรวดเร็วและปลอดภัย และสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้สามารถลดเลือนริ้วรอยและยกกระชับผิวได้ในคราวเดียว

PicoCare 450 Laser เป็นนวัตกรรมเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิว โดยจะมีทั้งหมด 3 โปรแกรมย่อยที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวแต่ละประเภทได้อย่างตรงจุด ดังนี้:

โปรแกรม PicoCare – Toning
โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผิวหน้าที่กระจ่างใสและสุขภาพดี โดยใช้พลังงานเลเซอร์แบบที่ไม่สูงมากและยิงแบบทั่วถึงใบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวไม่มาก แต่ต้องการบำรุงผิวให้ดูสว่างใสขึ้น โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับแก้ปัญหา ดังนี้

ลดรอยดำ-รอยแดงจากสิว และจุดด่างดำต่าง ๆ
ทำให้ผิวหน้าดูสดใส ลดความหมองคล้ำ
ช่วยรักษาฝ้าและกำจัดเม็ดสีที่เป็นส่วนเกินบนใบหน้า
โปรแกรม PicoCare – Resolve
สำหรับโปรแกรมนี้ ใช้การยิงพลังงานเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อเน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น พร้อมลดความมันส่วนเกินบนใบหน้าได้ โปรแกรม Resolve มีประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้

ลดรอยดำ-รอยแดงจากสิว และจุดด่างดำ
ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส ลดความหมองคล้ำ

โปรแกรม PicoCare – MLA
เทคโนโลยีเลเซอร์นี้ใช้เลนส์ชนิดพิเศษที่เรียกว่า MLA ซึ่งสามารถเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นแรงอัดกระแทกที่มีความเร็วสูง จึงสามารถทำให้พังผืดของหลุมสิวถูกตัดขาดออกจากกันได้โดยไม่ต้องใช้เข็มเหมือนวิธีการเดิม กระบวนการนี้เรียกว่า “Laser Subcision” นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้กับผิวได้อีกด้วย โปรแกรม MLA มีคุณสมบัติที่โดดเด่น ดังนี้:



ช่วยปรับผิวให้เรียบเนียนด้วย Plasma Effect
กระชับรูขุมขน พร้อมทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น
ลดปัญหาหลุมสิว ทำให้แผลหลุมดูเต็มและเรียบขึ้น
ริ้วรอยเล็ก ๆ ลดลง พร้อมช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดรอยดำรอยแดงจากสิว
โปรแกรมเลเซอร์ของ PicoCare แต่ละโปรแกรมถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกัน คุณสามารถเลือกโปรแกรมที่ตรงกับสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามความต้องการ
Picocare 450 Laser ช่วยอะไรบ้าง

PicoCare 450 Laser สามารถใช้รักษาเรื่องใดได้บ้าง?
PicoCare 450 Laser เป็นเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาหลายปัญหาผิวพรรณ ได้แก่:

ลบรอยสัก Picocare 450 สามารถลบรอยสักได้ทุกสี โดยเฉพาะสีที่ยากต่อการรักษา เช่น สีเขียวและฟ้า
รักษาฝ้า กระ และจุดด่างดำ
ช่วยลดเม็ดสีที่ผิดปกติในชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลดเลือนริ้วรอยและรอยแผลเป็น
ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูสภาพผิว ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวหรือการบาดเจ็บดูจางลง
รักษาปัญหาหลุมสิว ด้วยเทคโนโลยี Picosecond ทำให้ผิวหนังสามารถสร้างตัวใหม่ และทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
รักษารอยแตกลาย
ช่วยลดเลือนรอยแตกลายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก หรือการตั้งครรภ์
Picocare 450 Laser ดีไหม? เหมาะกับใครบ้าง?
Picocare 450 Laser ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ได้รับการยอมรับและมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะในการรักษาปัญหาผิวพรรณที่เกี่ยวข้องกับเม็ดสี เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ และการลบรอยสัก เนื่องจากใช้เทคโนโลยี Picosecond ที่ให้พลังงานในเวลาที่สั้นมาก ทำให้การรักษามีความแม่นยำและลดโอกาสเกิดรอยแผลหรือผลข้างเคียงต่าง ๆ

✅ การทำ Picocare 450 Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสี, รอยสัก, ริ้วรอย หรือแผลเป็นจากสิว นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับผิวให้เรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ หรือผู้ที่ต้องการการรักษาปัญหาผิวพรรณโดยไม่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูนาน แต่หากคุณกำลังประสบปัญหาเรื่องผิวที่ลึกลงในชั้นผิวมาก เช่น รอยสักที่ฝังลึกหรือปัญหาผิวที่ต้องการการรักษาเชิงลึกมากกว่า คุณอาจต้องพิจารณา Discovery Pico ซึ่งมีฟังก์ชันที่ครอบคลุมมากขึ้น

ใครที่ไม่ควรทำ PicoCare 450 Laser?
ถึงแม้ว่า PicoCare 450 Laser จะมีความปลอดภัยสูงและสามารถรักษาหลายปัญหาผิวได้ แต่ก็มีบางกลุ่มคนที่ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์นี้ ได้แก่:

✅ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร – การทำเลเซอร์ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
✅ยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ที่เพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัย
✅ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย – ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ไวต่อแสงอาจจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการทำเลเซอร์
✅ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด – เช่น โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน โรคเบาหวาน หรือโรคผิวหนังอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนการทำเลเซอร์

การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์ Picocare 450  Laser
1. หลีกเลี่ยงการตากแดด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการทำเลเซอร์
2. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารกัดผิว เช่น กรดวิตามินเอ, กรดผลไม้ หรือสารที่ทำให้ผิวบาง
3. งดการทำเลเซอร์อื่นๆ หรือการทำทรีตเมนต์ที่ทำให้ผิวบางลง

การดูแลตัวเองหลังทำ Picocare 450 Laser



1. หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง และควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเสมอ
2. ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
3. งดการขัดผิวหรือนวดหน้า เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์หลังการทำเลเซอร์
4. งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรง เช่น AHA, BHA หรือเรตินอล อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังการทำเลเซอร์
5. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในบริเวณที่ทำเลเซอร์
6. งดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่หลังทำเลเซอร์ เพราะอาจส่งผลให้การฟื้นตัวของผิวช้าลง
ความแตกต่างของเครื่อง Pico laser

Picocare 450 laser ต่างจาก Discovery Pico อย่างไร?
เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง PicoCare 450 กับ Discovery Pico Discovery Pico ซึ่งเป็นเครื่องเลเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Picosecond เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างบางประการ ดังนี้

ประสิทธิภาพในการรักษา
Discovery Pico ใช้พลังงานที่มีความหลากหลายมากกว่า เหมาะกับการรักษารอยสักที่ลึกกว่าและฝ้าที่ฝังลึก PicoCare 450 เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวที่อยู่ในระดับผิวเผิน เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ แต่ยังมีความสามารถในการรักษารอยสักได้เช่นกัน

ความหลากหลายในหัวเลเซอร์
Discovery Pico มีหัวเลเซอร์หลายแบบที่สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมของปัญหาผิว ขณะที่ PicoCare 450 มีการออกแบบให้ใช้งานง่ายและตรงไปตรงมากับการรักษาที่เฉพาะเจาะจง

Q & A คำถามที่พบบ่อย



1. Q : Picocare 450 เจ็บไหม?
     A : ระหว่างการทำ Picocare 450 คุณจะรู้สึกเพียงแค่ความอุ่นๆ บนผิว และอาจรู้สึกเหมือนถูกดีดเบาๆ ในบริเวณที่มีเม็ดสีใต้ผิวที่หนาแน่น อย่างไรก็ตาม ระดับความรู้สึกไม่สบายจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้วถือว่าไม่เจ็บมาก
2. Q : ควรทำ Picosecond Laser บ่อยแค่ไหน?
     A : จำนวนครั้งในการทำ Picosecond Laser จะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการรักษาและการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยปกติแล้ว ความถี่ในการทำควรห่างกันประมาณ 2-4 สัปดาห์ สำหรับการรักษาปรับสีผิวและกระตุ้นคอลลาเจน ส่วนในกรณีที่ต้องการลบรอยสัก กระลึก หรือปาน ควรเว้นระยะห่าง   4-6 สัปดาห์ระหว่างการทำแต่ละครั้ง ทั้งนี้ การใช้ Picocare 450 จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าและเห็นผลเร็วกว่าเทคโนโลยีเดิม ๆ
รีวิว Picocare 450 Laser

สรุป
   PicoCare 450 Laser เป็นเครื่องเลเซอร์ที่มีความแม่นยำและประสิทธิภาพสูง ด้วยการใช้เทคโนโลยี Picosecond ทำให้สามารถรักษาปัญหาผิวพรรณได้หลายรูปแบบ เช่น การลบรอยสัก รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแผลเป็น และหลุมสิว นอกจากนี้ยังมีการฟื้นฟูผิวโดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำให้ผิวเรียบเนียน

อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้เลเซอร์ประเภทนี้ควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับปัญหาผิวของตนเอง และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวก่อนการรักษา หากคุณต้องการการรักษาปัญหาที่ลงลึก การเลือกทำ Discovery Pico อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า อย่าพลาดโอกาสในการฟื้นฟูผิวและลดเลือนริ้วรอย ด้วยเทคโนโลยี Pico Laser ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก จากผู้เชี่ยวชาญของ Vincent Clinic ทำให้ผิวคุณกลับมาสวยใสและดูสุขภาพดีอีกครั้ง

15
Discovery Pico Laser นวัตกรรมใหม่แก้ทุกปัญหาผิว


         
ถ้าจะพูดถึงวิธีการดูแลผิวหน้าให้กระจ่างใส ลดรอยดำ ริ้วรอยบนใบหน้า ยกกระชับผิวและรูขุมขน กำจัดขนบนใบหน้า รักษาสิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือหลุมสิว เป็นที่น่ากังวลใจของหลาย ๆ คน วันนี้จะมาแนะนำหนึ่งในวิธีดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพ และเห็นผลอย่างรวดเร็ว คือ การทำเลเซอร์ผิว (Skin Laser) ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายแบบ แต่ละแบบเหมาะกับการแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป สำหรับใครที่สับสนว่าเลเซอร์แบบไหนดี  เราจึงได้มีการรวบรวมข้อมูลมาให้แล้ว ไปดูกันเลย

เลเซอร์ คือคลื่นแสงที่มีพลังงานเข้มข้นสูง โดยความยาวของคลื่นแสงอาจอยู่ในช่วงของแสงยูวี (Ultraviolet light) แสงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (Visible light) หรือแสงอินฟราเรด (Infrared light) ก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ เลเซอร์มีลักษณะเป็นลำแสง มีจุดโฟกัสแม่นยำ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง โดยเลเซอร์แต่ละชนิดอาจสามารถรักษาปัญหาผิวได้เพียงอย่างเดียว หรือรักษาได้หลายปัญหาก็ได้

เครื่อง Pico Laser มีกี่แบบ มีอะไรบ้าง
Picosecond laser หรือ Pico laser คือ เทคโนโลยีเลเซอร์ที่มีคุณสมบัติการปล่อยพลังงานที่สูงในช่วงระยะเวลาที่สั้นสามารถส่งพลังงานแสงด้วยความเร็วสูงสุดถึง 1 ต่อล้านล้านวินาที ทำให้สามารถบีบอัดพลังงานลงไปยังเม็ดสี ทำให้เกิดการแตกตัวของเม็ดสีอย่างละเอียด (Photo-Acoustic Effect) แล้วเกิดการลำเลียงเม็ดสีที่แตกละเอียดนี้ออกไปโดยระบบกำจัดของเสียของร่างกาย จึงทำให้สามารถใช้ Picosecond Laser ในการรักษาโรค หรือภาวะที่มีเม็ดสีบริเวณผิวหนังผิดปกติได้ และสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ จึงนำมาใช้ในการนำมารักษาผิวหน้า ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลบรอยกระ รอยดำ และรอยหลุมสิว รวมถึงลบรอยสัก ซึ่งมีหลายรูปแบบ ดังนี้
◾ PicoSure
PicoSure เป็นเครื่องเลเซอร์แบบ Picosecond laser ที่ผลิตโดยบริษัท Cynosure Inc. ซึ่งเป็นบริษัทที่ผู้นำด้านเทคโนโลยีเครื่องเลเซอร์ในอุตสาหกรรมแพทย์และเวชศาสตร์ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดย Picosure สามารถยิงพลังงานเลเซอร์ด้วยความเร็วถึง 1 ต่อล้านล้านวินาทีเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังและตรงไปยังจุดที่ต้องการอย่างจำเพาะเจาะจง โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความร้อนสะสมที่ใต้ผิวหนังและทำให้เกิดอาการไหม้หรือสร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อรอบข้างขึ้นเพื่อเข้าไปทำให้อนุภาคเม็ดสีภายใต้ผิวหนังเกิดการแตกตัวออกเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ และร่างกายก็จะเข้าสู่กระบวนการกำจัดออกไปตามธรรมชาติ

เจาะลึกเครื่อง PicoSure :

◾ PicoWay
PicoWay เป็นเครื่องเลเซอร์แบบ Picosecond laser ผลิตโดยบริษัท Candela Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่ผู้นำด้านเทคโนโลยีเครื่องเลเซอร์ในอุตสาหกรรมแพทย์และเวชศาสตร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา PicoWay เป็นเครื่องเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยที่พบได้บ่อยในผิวหนังเช่น รอยสัก และรอยดำจากสิว โดย PicoWay ใช้เทคโนโลยี Fractional laser สามารถปลดปล่อยพลังงานเลเซอร์ได้เร็วถึง 1 ต่อล้านล้านวินาที ซึ่งสามารถทำให้เม็ดสีภายใต้ผิวหนังแตกกระจายอย่างละเอียดเพื่อให้ร่างกายสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และยังมีความสามารถในการกระตุ้นให้ผิวชั้นลึกสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ให้ผิวที่สร้างขึ้นมาใหม่มีความแข็งแรงกว่าเดิม ส่งเสริมกระบวนการผลิตคอลลาเจนภายในผิวหนัง และเป็นเทคโนโลยีที่สามารถทำให้ผิวหนังแข็งแรง และมีความยืดหยุ่น

เจาะลึกเครื่อง PicoWay :

◾ Discovery Pico
Discovery Pico เป็นเครื่องเลเซอร์แบบ Picosecond laser ที่ผลิตโดยบริษัท Quanta System จากประเทศอิตาลี มีความเร็วในการส่งพลังงานแบบสั้น ๆ ช่วยให้ผิวหน้าสวยขึ้น ลดเลือนริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อย โดยเครื่องเลเซอร์นี้สามารถปรับความถี่และจำนวนชนิดของแสงได้ ทำให้สามารถใช้งานกับการรักษาความผิดปกติบนผิวหน้าและร่างกายได้หลากหลาย
เจาะลึกเครื่อง Discovery Pico : Discovery Pico Laser  นวัตกรรมเลเซอร์ เพื่อผิวสวย เรียบเนียน

◾ PicoPlus
เป็นเครื่องเลเซอร์แบบ Picosecond laser โดยเครื่อง PicoPlus ผลิตโดยบริษัท Korea C & P Co., Ltd ประเทศเกาหลีใต้ ใช้เทคโนโลยี Laser Fractional และ Laser Q-switched ในการส่งพลังงาน สามารถยิงพลังงานเลเซอร์ออกมาด้วยความเร็วถึง 1 ต่อล้านล้านวินาทีลงสู่ชั้นใต้ผิว ด้วยความเร็วขนาดนี้จึงสามารถลงไปทำลายเม็ดสีใต้ผิวหนังอย่างละเอียดโดยที่ทิ้งความร้อนไว้ใต้ผิวน้อยที่สุด ทำให้ผิวหน้าของผู้ใช้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเซลล์ผิวหนังใหม่ ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน สม่ำเสมอ และลดการเกิดริ้วรอย รอยแตก และความหมองคล้ำของผิวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เจาะลึกเครื่อง PicoPlus :

◾ Enlighten
Enlighten เป็นยี่ห้อเครื่องเลเซอร์แบบ Picosecond laser ที่ใช้เทคโนโลยี Dual Pulse ในการส่งพลังงาน เทคโนโลยี Dual Pulse นี้มีความแตกต่างจากเครื่องเลเซอร์ Picosecond laser ทั่วไปที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน โดยเทคโนโลยี Dual Pulse จะส่งพลังงานแบบสั้น ๆ ไปยังเซลล์ผิวหนัง สามารถแก้ปัญหารอยโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยระยะเวลา Pulse Duration ที่สามารถกำหนดได้ทั้งรูปแบบ nanosecond และ picosecond ทำให้เครื่อง Enlighten สามารถกำจัดสีใต้ผิวหนังที่เกิดจากเม็ดสีผิดปกติหรือรอยสักได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุ
เจาะลึกเครื่อง  Pico Enlighten :

หลักการทำงาน Discovery Pico Laser

Discovery Pico Laser เป็นเลเซอร์ที่ปล่อยแสงออกมา ความยาวคลื่นที่ 532 และ 1064 นาโนเมตร สามารถส่งพลังงานในช่วงเวลาที่สั้นและเร็วที่สุด ในการยิง 1 ครั้งต่อ 1 ล้านล้านวินาที (picosecond) สามารถบีบอัดพลังงานลงไปยังเม็ดสี ทำให้เกิดการแตกตัวของเม็ดสีอย่างละเอียด (Photo-Acoustic Effect) แล้วเกิดการลำเลียงเม็ดสีที่แตกละเอียดนี้ออกไปโดยระบบกำจัดของเสียของร่างกาย ไม่มีการสะสมพลังงานความร้อน ลดปัญหาข้างเคียงกว่าเครื่องอื่นๆ จึงแก้ปัญหาผิวอย่างครอบคลุม ช่วยรักษาหลุมสิว รอยสิว และกระชับรูขุมขน รอยเหี่ยวย่นได้มากกว่ารุ่นอื่นๆ และยังสามารถใช้ในรักษาปัญหาแผลเป็น รอยแตกลาย หรือปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอได้ เห็นผลชัดเจนรวดเร็ว และยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ได้อีกด้วย

Discovery Pico Laser ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง



???? ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนกระจ่างใส
???? ปัญหาฝ้า กระ จางลงอย่างเห็นได้ชัด
???? ลดรอยสิว รอยดำ รอยแดง จุดด่างดำ
???? รูขุมขนดูเล็กลง ดูกระชับ
???? ใช้พลังงานงานสูงทำให้เม็ดสีแตกตัว ได้เป็นอนุภาคเล็กๆ กระตุ้นการเกิดผิวใหม่
???? ทำได้ทุกสัดส่วน ผิวหน้า ลำคอ คิ้ว ริมฝีปาก บริเวณผิวหนังที่บอบบาง
???? สะดวก รวดเร็วใช้เวลาไม่นาน เกิดผลข้างเคียงน้อย

Discovery Pico Laser เหมาะกับใคร
⭕ ผู้ที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำบนใบหน้า
⭕ ผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
⭕ ผู้ที่มีริ้วรอยบนใบหน้า
⭕ ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง
⭕ ผู้ที่มีรอยสิว หลุมสิว หรือรอยแผลเป็น
⭕ ผู้ที่ต้องการลบรอยสัก
⭕ ผู้ที่ต้องการลบรอยแตกลาย



Discovery Pico Laser มีโปรแกรมอะไรบ้าง❓





???? PICO Toning หรือ pico bright เป็นการใช้เลเซอร์ให้เข้าไปปะทะกับเซลล์เม็ดสีทั่วใบหน้า เพื่อรักษารอยดำและฝ้า ปรับผิวกระจ่างใส เกลี่ยเม็ดสีทั่วหน้าให้เท่ากัน ใช้เวลาทำไม่นาน และพักฟื้น 1 - 2 ชั่วโมงสามารถใช้ชีวิตต่อได้ และผลลัพธ์จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในช่วง 4 สัปดาห์แรก
???? PICO Fractional เป็นการยิง pico second laser ด้วยหัวยิงแบบพิเศษ โดยยิงพลังงานเป็นจุดเล็กๆจำนวนมาก ผ่านเลนส์ชนิดพิเศษที่เรียกว่า micro lens array (MLA) ทำให้เกิดพลังงานสูงใต้ผิวจนกลายเป็นโพรงช่องว่างในผิวหนังชั้นบน (intra-epidermal cavities) ทำให้เกิดการสร้างผิวและคอลลาเจนใหม่ทดแทนขึ้นตามมา ใช้ในการรักษาแผลเป็นหลุมสิว ฝ้าชนิดรักษายาก รูขุมขนกว้าง ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นได้
???? PICO pigmented หัวยิงสำหรับรักษากระและเม็ดสีผิดปกติทั้งชนิดตื้นและลึก ได้มีประสิทธิภาพสูงและมีผลข้างเคียงหลังทำการรักษาต่ำ
???? PICO tattoo ลบรอยสัก สามารถลบรอยสักได้โดยใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยลงกว่าเดิม ลบได้ทุกเฉดสี ที่มีความฉูดฉาด สีสันจัดจ้าน ก็สามารถลบได้ ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองและมีผลข้างเคียงต่างๆน้อย


ทำ Discovery Pico laser กี่ครั้งถึงเห็นผล ❓



การรักษาด้วย Pico Laser จะเห็นผลความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่ว่าผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามการรักษา และตามสภาพปัญหาผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงการประเมินของแพทย์ผู้ทำการรักษาด้วย

ทำไมต้องทำ Discovery Pico Laser ที่ Vincent Clinic ????
Discovery pico laser นวัตกรรมเลเซอร์ที่ Vincent Clinic เลือกให้บริการ Picosecond laser ด้วยเครื่อง Discovery Pico เป็นเป็นเครื่องมือที่ได้มาตรฐานระดับโลก ผ่านการรับรองมาตรฐานของอเมริกา ยุโรป และไทย (US-FDA, TH-FDA, CE) นำเข้ามาจากประเทศอิตาลี ที่ผลิตโดยบริษัท Quanta System

✔️ ใช้เครื่อง Discovery Pico แท้ นำเข้าจากประเทศอิตาลี ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก US.FDA มีความปลอดภัย
✔️ ประเมินการรักษาแบบรายบุคคล
✔️ ดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์ในการใช้ Discovery Pico ทุกเคส
✔️ รักษาอย่างตรงจุด
✔️ มีติดตามการดูแลหลังการรักษา (After Care) อย่างใกล้ชิด

การเตรียมตัวก่อนทำ  Discovery Pico Laser
????หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการรักษา
????หากมีโรคประจำตัว หรือมีประวัติการแพ้ยา โดยเฉพาะยาชา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการทำเลเซอร์
????ในวันที่นัดทำเลเซอร์ ควรงดใช้เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว หรือสเปรย์ฉีดผม บริเวณผิวหนังที่จะทำเลเซอร์

ข้อควรปฏิบัติหลังทำ Discovery Pico Laser
????การดูแลตัวเองหลังทำ Pico Laser จะแตกต่างกันไปในแต่ละโปรแกรมที่ทำนะคะ แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลผิวที่เหมาะสมกับแต่ละคนอย่างละเอียด เพื่อให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
????ไม่ควรโดนน้ำภายใน 24 ชั่วโมงแรก ให้ใช้น้ำเกลือบีบใส่สำลีแล้วซับเบา ๆ บริเวณใบหน้า และลำคอ
???? หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง แสงแดด ให้ใส่หน้ากากป้องกันทุกครั้ง
????ทาครีมกันแดด (ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และOil) และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว
????งดแต่งหน้าและออกกำลังกาย
????งดดื่มเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีแอลกอฮอล์ อาหารแสลง เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนการฟื้นฟูของผิว
????ห้ามถู แกะ เกา หรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดแรงเสียดสีบริเวณแผลเลเซอร์
????ถ้าบริเวณมีอาการผื่นบวมแดง มีตุ่มหนอง มีอากาศปวดหรือคันมากให้โทรแจ้ง และมาพบแพทย์ทันที

ผลข้างเคียงหลังทำเลเซอร์
????อาการปวด กดเจ็บ แสบร้อน บรรเทาได้ด้วยการประคบเย็น หรือยาแก้ปวดชนิดรับประทานตามคำสั่งแพทย์ อาการแสบร้อนจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง
????อาการบวม การเลเซอร์กรณีไม่มีแผลจะทุเลาลงภายใน 24 ชั่วโมง การเลเซอร์กรณีมีแผลหรือลบรอยสัก บริเวณที่ทำจะมีอาการบวม และจะทุเลาลงภายใน 2-3 วัน
???? ผิวหนังมีสีแดงขึ้น การเลเซอร์กรณีไม่มีแผลสามารถเกิดขึ้นได้ชั่วคราว และมักจะหายไปภายใน 2-3 ชั่วโมง
????สีผิวเข้มขึ้น อาจเกิดกับบริเวณที่รักษาซึ่งจะจางลงภายในเวลา 2-6 เดือน มักพบบ่อยกับผู้ป่วยที่ผิวคล้ำ และจะเป็นมากขึ้นเมื่อบริเวณที่ได้รับการรักษาถูกแสงแดดจัด
????สีผิวจางลง มักเกิดกับบริเวณที่ได้รับการรักษาหลายครั้ง หรือปฏิกิริยาตอบสนองของแสงเลเซอร์ รอยจางนี้จะหายเป็นปกติได้ แต่อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือสีผิวจางลงถาวร ซึ่งพบได้น้อย
????รอยแผลเป็น พบน้อยมาก แต่อาจเกิดขึ้นได้ในรายที่ผิวหนังถูกกระทบกระเทือน หรือผิวหนังที่มีการติดเชื้อ
????การติดเชื้อ อาจเกิดการติดเชื้อบริเวณผิวหนังที่ทำหัตถการ การใช้ยาปฏิชีวนะและการดูแลรักษาแผลดีจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้
????อาการแพ้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแพ้ที่ผิวหนังจากการลบรอยสักด้วยแสงเลเซอร์ หรืออาจเกิดการแพ้ยาปฏิชีวนะที่ใช้ทาผิวหนังได้

ข้อควรระวังหลังทำ Pico laser❗
รอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH : Post - inflamma - tory Hyperpigmentation) สามารถเกิดขึ้นได้หากก่อนทำโดนแดด หรือหลังทำดูแลตนเองไม่ดี การดูแลรักษาความสะอาดหรือเกิดการปนเปื้อนบริเวณที่ยิงอาจทำให้ติดเชื้อจนเกิด PIH ได้ ซึ่ง PIH อาจเกิดจากสภาพผิวของแต่ละบุคคล คนผิวเข้มมีโอกาสเป็นมากกว่าเพราะร่างกายสามารถผลิตเม็ดสีเมลานินได้มากกว่าโดย PIH จะหายไปเองภายในช่วง 3-6 เดือน

โดยรวมแล้ว เทคโนโลยี Pico laser มีเครื่องหลากหลายรูปแบบ และมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป แต่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาผิว เม็ดสี ฝ่า กระ จุดด่างดำ หลุมสิว รวมไปถึงรอยสัก Vincent Clinic เลือกใช้เครื่องเลเซอร์ที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย และรักษาโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

16
PicoWay Laser เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในด้านการแก้ไขปัญหาผิวหน้าและผิวกาย เช่น ลบรอยสัก ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึงแก้ปัญหาหลุมสิวและรอยแผลเป็น ด้วยประสิทธิภาพสูงและผลลัพธ์ที่ชัดเจน PicoWay Laser จึงเป็นทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับประเภทของหลักการทำงาน ข้อดี ข้อเสีย รวมถึงคำแนะนำและคำถามที่พบบ่อย เพื่อให้คุณได้เข้าใจว่า PicoWay เป็นเลเซอร์ที่เหมาะกับคุณหรือไม่



PicoWay Laser คืออะไร?
PicoWay Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ในกลุ่ม Picosecond Laser หรือเรียกอีกชื่อว่า Pico laser ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ทำงานโดยการปล่อยพลังงานเลเซอร์ในระยะเวลาที่สั้นมากในระดับพิโควินาที (หนึ่งในล้านล้านของวินาที) ซึ่งทำให้การปล่อยพลังงานมีความแม่นยำและรวดเร็วกว่าเลเซอร์แบบอื่น เช่น Q-switch Laser ที่ทำงานในระดับนาโนวินาที ด้วยความรวดเร็วและความแม่นยำนี้ เลเซอร์จึงสามารถแตกตัวเม็ดสีผิวหรือหมึกที่ฝังลึกลงไปในผิวได้อย่างละเอียด ทำให้สามารถทำลายเม็ดสีในผิวหรือหมึกสักได้อย่างตรงจุด ทำให้การลบรอยสักเป็นไปอย่างปลอดภัยและไม่ทิ้งรอยแผลเป็น และช่วยแก้ปัญหาผิวที่มีรอยดำ ฝ้า กระ หรือแม้แต่รอยแผลเป็นจากสิว รอยแตกลาย โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบๆ จึงทำให้ผิวฟื้นตัวเร็วและเกิดผลข้างเคียงน้อย

หลักการทำงานของ PicoWay Laser
PicoWay Laser ทำงานโดยการปล่อยพลังงานเลเซอร์ในระดับพิโควินาที ด้วยความเร็วและความแม่นยำสูง พลังงานนี้จะเข้าไปทำลายเม็ดสีที่อยู่ลึกในชั้นผิวหรือหมึกในรอยสัก โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง ซึ่งเป็นเหตุผลที่การทำ PicoWay ไม่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือบาดเจ็บมากเหมือนเลเซอร์ชนิดอื่น เช่น Q-switch ที่ใช้เวลาในการส่งพลังงานนานกว่า



เมื่อพลังงานเลเซอร์ถูกปล่อยออกมา มันจะทำให้เม็ดสีในผิวแตกตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็ก ซึ่งร่างกายสามารถกำจัดออกไปได้ตามธรรมชาติ ส่งผลให้สีผิวมีความสม่ำเสมอมากขึ้น ฝ้า กระ และจุดด่างดำจางลง รวมถึงรอยสักที่ต้องการลบก็จะค่อยๆ เลือนหายไป

เครื่อง PicoWay Laser ลบริ้วรอยPico Way laser มีกี่แบบ?



Pico Lasrt มีหลายรูปแบบที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อการรักษาผิวพรรณและลบรอยต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแต่ละแบบจะมีความเหมาะสมในการรักษาที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของปัญหาผิวพรรณของผู้รับการรักษา โดยหลักๆ แล้วจะมีการแบ่งประเภทตามลักษณะการรักษา ได้แก่

PicoWay Resolve: เป็นโหมดที่ใช้สำหรับการฟื้นฟูผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนรอยแผลเป็น รอยหลุมสิว และรอยดำ
PicoWay Tattoo Removal: ออกแบบมาเพื่อลบรอยสักโดยเฉพาะ ช่วยทำให้หมึกในรอยสักแตกตัวอย่างละเอียดและกำจัดออกได้รวดเร็ว
PicoWay Pigmentation: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องจุดด่างดำ ฝ้า และกระ โดยจะเน้นไปที่การทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติใต้ผิวหนัง
PicoWay Zoom: ออกแบบมาเพื่อรักษาจุดด่างดำ จุดสีน้ำตาล ที่เกิดจากแสงแดด พันธุกรรม หรืออายุ รอยแผลเป็นจากสิว และรอยสัก

หัวเลเซอร์ PicoWay Laser แต่ละหัวPicoWay Laser เหมาะกับใคร?



ผู้ที่ต้องการลบรอยสักโดยไม่เจ็บปวด
ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำ
ผู้ที่มีรอยแผลเป็นจากสิวหรือหลุมสิว
ผู้ที่ต้องการปรับผิวให้เรียบเนียนและกระจ่างใส
ข้อดีของ PicoWay LaserPicoWay Laser ช่วยอะไรบ้าง?
✅ เลเซอร์ลบรอยสัก: PicoWay Laser ได้รับความนิยมอย่างมากในการใช้ลบรอยสัก โดยเฉพาะรอยสักที่มีสีสันหลากหลาย PicoWay เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง
✅เลเซอร์ลดรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ: สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำหรือจุดด่างดำจากฝ้าและกระ PicoWay Laser สามารถช่วยลดเลือนปัญหาเหล่านี้ได้โดยไม่ทำให้ผิวบอบช้ำ
✅ เลเซอร์ลดรอยแผลเป็นและหลุมสิว: PicoWay ยังช่วยแก้ปัญหารอยแผลเป็นจากสิวและหลุมสิวได้ดี โดยการ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวหนัง ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
✅ เลเซอร์กระชับรูขุมขนและปรับผิวหน้าใส: นอกจากการรักษารอยสักหรือรอยแผลเป็นแล้ว PicoWay Laser ยังช่วยทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสและลดปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้นอีกด้วย
PicoWay Laser แตกต่างจากเลเซอร์อื่นอย่างไร?



Pico laser มีหลายแบบที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อการรักษาผิวพรรณและลบรอยต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเลเซอร์แบบ PicoWay เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน นอกจาก PicoWay แล้ว ยังมีเลเซอร์แบบอื่น ๆ ที่ใช้เทคโนโลยี Picosecond เช่น PicoSure , Pico Enlighten , และ Discovery Pico ซึ่งแต่ละแบบจะมีความเหมาะสมในการรักษาที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของปัญหาผิวพรรณของผู้รับการรักษา

PicoWay Laser มีความแตกต่างจากเลเซอร์ทั่วไปหลายด้าน ดังนี้

พลังงานสูงแต่ไม่ทำลายผิว: ด้วยความที่ PicoWay ทำงานในระดับ Picosecond ส่งผลให้พลังงานเลเซอร์สามารถปล่อยได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว พลังงานที่ปล่อยออกมาจะถูกใช้ในการทำลายเม็ดสีผิวที่ผิดปกติโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบๆ ทำให้เกิดการบาดเจ็บน้อยและใช้เวลาฟื้นฟูสั้นลง
ลดโอกาสเกิดรอยแดงและการบวม: การใช้เลเซอร์ที่มีความเร็วสูงมากในระดับพิโควินาที ทำให้การรักษาด้วย PicoWay ไม่ก่อให้เกิดรอยแดงหรือบวมในระดับที่รุนแรงเหมือนการทำเลเซอร์แบบเก่า
เห็นผลเร็วกว่า: เนื่องจาก PicoWay ทำงานได้ลึกและแม่นยำ ผู้ที่ทำเลเซอร์นี้จะเห็นผลลัพธ์ได้เร็วกว่าเลเซอร์แบบอื่น ในบางกรณีเพียงแค่ 2-3 ครั้งก็สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนได้
เปรียบเทียบเครื่อง Pico laser  แต่ละแบบ

ข้อแนะนำก่อนทำ PicoWay Laser
ก่อนที่จะตัดสินใจทำ PicoWay Laser ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและสอบถามถึงผลที่คาดหวังได้ การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์ควรทำมีดังนี้:

หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว: อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์ ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรด AHA, BHA หรือเรตินอล
หลีกเลี่ยงการตากแดด: อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์ ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง เพราะผิวที่ถูกแดดจะมีความไวต่อแสงเลเซอร์
ปรึกษาแพทย์เรื่องการรับประทานยา: หากมีการรับประทานยาประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงระหว่างการทำเลเซอร์
ขั้นตอนการทำ PicoWay Laser
การทำ PicoWay Laser มีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนและสามารถเข้าใจได้ง่าย

ประเมินสภาพผิว: แพทย์จะตรวจสอบสภาพผิวเพื่อประเมินปัญหาของผิว และแนะนำการรักษาที่เหมาะสม
เตรียมผิวก่อนการรักษา: ก่อนยิงเลเซอร์ จะมีการทายาชาเฉพาะที่ ประมาณ 45 นาที เพื่อบรรเทาอาการเจ็บระหว่างการทำเลเซอร์
เริ่มต้นการทำเลเซอร์: การยิงเลเซอร์จะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ทำการรักษา
หลังการทำเลเซอร์ทันที: หลังจากทำเสร็จ จะมีการประคบเย็นเพื่อลดผลข้างเคียงและอาการบวมหลังทำเลเซอร์
ดูแลผิวหลังทำ PicoWay Laser อย่างไร?
สิ่งที่ควรทำหลังจากยิงเลเซอร์เสร็จแล้ว การดูแลผิวหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ผิวฟื้นตัวและเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

งดโดนน้ำ หลังทำเลเซอร์ 24 ชม.: หลังทำเลเซอร์ควรงดล้างหน้าและแต่งหน้า 24 ชม.
หลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดด: หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดตรงๆ และใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงอย่างน้อย 50+ ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก
หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง: เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีกรด AHA, BHA หรือเรตินอล ควรงดใช้ชั่วคราว
รักษาความชุ่มชื้นของผิว: การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
ข้อดีของการทำ PicoWay Laser
ปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิว: PicoWay Laser สามารถใช้ได้กับทุกประเภทผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวขาว ผิวสองสี หรือผิวคล้ำ
ผลข้างเคียงน้อย: ด้วยความแม่นยำในการปล่อยพลังงาน PicoWay ทำให้ผิวไม่ถูกทำลายและฟื้นตัวได้รวดเร็ว
ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น: หลังจากทำเลเซอร์ ผู้เข้ารับการรักษาสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
เห็นผลได้เร็ว: การรักษาด้วย PicoWay Laser สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกในบางกรณี และผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หลังการรักษาแต่ละครั้ง
ข้อเสียของการทำ PicoWay Laser
แม้ว่า PicoWay Laser จะเป็นเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น:ค่าใช้จ่ายสูง: PicoWay Laser เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเลเซอร์ทั่วไป การรักษาแต่ละครั้งอาจมีราคาตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ทำ
ต้องทำหลายครั้ง: สำหรับปัญหาผิวที่รุนแรงหรือรอยสักที่ฝังลึก อาจต้องทำเลเซอร์หลายครั้งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนทำ

ปัญหาผิวแต่ละแบบต้องทำ PicoWay กี่ครั้ง ถึงจะเห็นผล?



จำนวนครั้งที่ต้องทำ PicoWay Laser ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละคน โดยปกติแล้วผู้ที่มีปัญหาผิวเล็กน้อยอาจเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่ปัญหาผิวที่รุนแรงหรือรอยสักที่ฝังลึกอาจต้องทำเลเซอร์หลายครั้งถึงจะเห็นผลชัดเจน

ลบรอยสัก: รอยสักที่มีหมึกสีเข้มอาจต้องทำ 4-6 ครั้ง แต่หากเป็นรอยสักที่มีหมึกสีอ่อนหรืออยู่ในชั้นผิวที่ลึก อาจต้องทำมากกว่า 10 ครั้ง
ฝ้า กระ จุดด่างดำ: ผู้ที่มีฝ้า กระ หรือจุดด่างดำมักจะเห็นผลได้ใน 2-3 ครั้ง แต่ถ้าเป็นฝ้าลึกอาจต้องทำ 4-6 ครั้ง
รอยแผลเป็นจากสิวและหลุมสิว: การรักษารอยแผลเป็นหรือหลุมสิวด้วย PicoWay Resolve อาจต้องทำ 3-5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของรอยแผล
ก่อนและหลังทำ Picoway laser ช่วยอะไรบ้าง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ PicoWay Laser
1. Q : PicoWay Laser แล้วเจ็บไหม?
     A : หลายคนสงสัยว่าการทำ PicoWay Laser เจ็บหรือไม่ คำตอบคือ ไม่เจ็บมาก ความรู้สึกในระหว่างการรักษามักเปรียบได้กับการดีดหนังยางเบา ๆ บนผิว ซึ่งไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวมากนัก ในบางกรณีแพทย์อาจทายาชาเฉพาะที่ทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที เพื่อลดอาการเจ็บระหว่างทำ
สำหรับคนที่กังวลเรื่องความเจ็บปวด PicoWay ถือว่าเป็นหนึ่งในเลเซอร์ที่ทำแล้วเจ็บน้อยเมื่อเทียบกับเลเซอร์รุ่นเก่า และเวลาพักฟื้นก็สั้น ทำให้ผู้ที่ทำสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้เกือบจะทันที
2. Q: Pico laser ราคาเท่าไหร่?
     A : ราคาของการทำ Pico laser จะแตกต่างกันไปตามประเภทของปัญหาผิวที่ต้องการรักษาและจำนวนครั้งที่ต้องทำ ราคาประมาณจะอยู่ในช่วง 3,000-10,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับคลินิกและพื้นที่ที่รับบริการ หากต้องการรักษาปัญหาที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การลบรอยสักหรือรอยแผลเป็น ราคาก็อาจสูงขึ้นตามความซับซ้อนของการรักษา
3. Q: PicoWay Laser มีที่ไหนบ้าง?
     A : PicoWay Laser มีให้บริการในคลินิกเสริมความงามและโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ เช่น ย่านอโศก ทองหล่อ หรือสยามสแควร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีคลินิกเสริมความงามที่มีมาตรฐานสูง นอกจากนี้ คลินิกที่มีการใช้ PicoWay ยังสามารถพบได้ในเมืองใหญ่ ๆ อื่น ๆ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา
4. Q: เลือกทำ PicoWay Laser ที่ไหนดี?
     A : การเลือกสถานที่ในการทำ PicoWay Laser เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการทำเลเซอร์ที่ได้ผลและปลอดภัยต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่องเลเซอร์และความชำนาญของแพทย์ที่ให้การรักษา ควรคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ เช่น ความเชี่ยวชาญของแพทย์ เครื่องมือที่ใช้ และความสะอาดของสถานที่ คลินิกที่ดีจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการใช้เลเซอร์ Picosecond และมีการติดตามผลหลังการรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด รวมถึงตรวจสอบรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการจริง

สรุป
PicoWay Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาปัญหาผิวหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการลบรอยสัก ลดรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแผลเป็นจากสิว รวมถึงการปรับสภาพผิวหน้าให้เรียบเนียนและกระจ่างใส ด้วยเทคโนโลยีที่ทำงานในระดับ Picosecond ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความรวดเร็วและเห็นผลชัดเจนหลังทำไม่กี่ครั้ง

หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย PicoWay เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ที่สำคัญคือการเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในการทำ Pico Laser  เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยต่อตัวคุณเอง การทำ Picoway ที่ Vincent Clinic เป็นการรักษาด้วยเลเซอร์ที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้หลายด้าน เช่น ลดรอยสิว กระ ฝ้า ลดสีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือแม้แต่รอยดำจากแผลต่างๆ โดยใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ PicoSecond ซึ่งมีการปล่อยพลังงานที่รวดเร็วและแรงในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในหลายๆ ปัญหาผิวหน้า

หากคุณสนใจไปทำ Picoway ที่ Vincent Clinic ก็สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากคลินิก เพื่อเข้าใจถึงวิธีการรักษา, ผลลัพธ์ที่ได้, และขั้นตอนการดูแลหลังทำเลเซอร์ได้ค่ะ


17
Pico Enlighten เทคโนโลยีจบปัญหา ฝ้า กระ รอยสิว รอยดำ หลุมสิว

ฝ้า กระ ปาน และรอยดำจากสิว เป็นปัญหาผิวที่สร้างความกังวลให้กับหลายๆ คน โดยเฉพาะเมื่อมีปานดำขนาดใหญ่ปรากฏบนใบหน้า นอกจากจะทำให้ความสวยงามโดยรวมลดลงแล้ว ยังส่งผลต่อความมั่นใจอีกด้วย การใช้ครีมลดรอยเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่



อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สามารถแก้ไขปัญหาผิวเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน โปรแกรม Pico Enlighten ซึ่งเป็นนวัตกรรมล่าสุดจากสหรัฐอเมริกา เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้า กระ ปาน และรอยดำอย่างได้ผล

Pico Enlighten จบปัญหา ฝ้า กระ รอยสิว รอยดำ หลุมสิว

Pico Enlighten คืออะไร?
Pico Enlighten เป็นเทคโนโลยี Pico Laser ที่ทันสมัยสำหรับการฟื้นฟูผิวโดยใช้พัลส์ของเลเซอร์ที่สั้นมากในระดับ Picosecond ระบบนี้ทำงานโดยมุ่งเป้าไปที่ความไม่สมบูรณ์ของผิวหนังที่ต้นตอ กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และทำลายเม็ดสีโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบๆ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวต่างๆ เช่น รอยแผลเป็นจากสิว ริ้วรอย และเม็ดสี เช่น ฝ้าและกระ

Pico Enlighten ทำงานอย่างไร?
ระบบ Pico Enlighten ใช้หลักการของการส่งพลังงานในช่วงเวลาสั้น ๆ วัดเป็นระดับ Picosecond ซึ่งแตกต่างจากเลเซอร์ทั่วไปที่ใช้พลังงานความร้อน Pico Enlighten มาพร้อมกับ 3 ความยาวคลื่น ได้แก่ 1064 nm, 532 nm, และ 670 nm โดยทำงานร่วมกันกับ Picosecond และ Nanosecond Laser ทำให้สามารถลบรอยสักและปัญหาผิวที่เกิดจากเม็ดสีได้อย่างล้ำลึก ทั้งในชั้นผิวที่ตื้นและลึก วิธีนี้จะอ่อนโยนต่อผิว ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและเวลาพักฟื้น ซึ่งทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการทำเลเซอร์หน้าใส



Pico Enlighten กำจัดเม็ดสีความเร็วมากกว่า 1 ต่อ 1 ล้านล้านวินาที

Pico Enlighten เหมาะกับใคร?



Pico Enlighten เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงสภาพผิวให้ดีขึ้นอย่างหลากหลาย ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาผิวจากเม็ดสี รอยแผลเป็นจากสิว หรือเพียงแค่ต้องการให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ยังสามารถให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพพร้อมกับความเสี่ยงที่น้อยมาก
✅ ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ รอยดำ และรอยคล้ำ
✅ ผู้ที่มีหลุมสิวหรือรูขุมขนกว้าง
✅ ผู้ที่ต้องการลบรอยสักทุกสี
✅ ผู้ที่ต้องการผิวเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น
✅ ผู้ที่มีรอยแผลเป็นและต้องการวิธีรักษาที่ไม่ทิ้งรอยสะเก็ด
Pico Enlighten เหมาะกับใคร
ใครไม่เหมาะกับการทำ Pico Enlighten
✅ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
✅ผู้ที่มีแผลสดหรือสิวอักเสบในบริเวณที่จะทำเลเซอร์
✅ผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย เพราะอาจเสี่ยงต่อการระคายเคือง
✅ผู้ที่มีโรคผิวหนัง เช่น สะเก็ดเงินหรือผิวหนังอักเสบ

Enlighten III ซีรี่ย์ล่าสุด
Enlighten III เป็นรุ่นล่าสุดในซีรีส์ Pico Enlighten ซึ่งนำเสนอความสามารถขั้นสูงในการฟื้นฟูผิว ระบบนี้รวมเอาความยาวคลื่นคู่ (532 นาโนเมตร และ 1064 นาโนเมตร) เข้ากับความยาวพัลส์ในระดับ Picosecond และ Nanosecond ทำให้สามารถปรับแต่งการรักษาให้เหมาะกับปัญหาผิวแต่ละประเภทได้
ทำไมต้องเลือก Enlighten III? : ความสามารถของ Enlighten III ในการสลับระหว่างพัลส์ Picosecond และ Nanosecond ช่วยให้การควบคุมการรักษาได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ความยืดหยุ่นนี้ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการรักษาปัญหาผิวที่หลากหลาย ตั้งแต่เม็ดสีผิวที่ตื้นไปจนถึงรอยแผลเป็นลึกความยาวคลื่นคู่ยังช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพในทุกประเภทผิว ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำและผลข้างเคียงอื่น ๆ

Pico Enlighten vs PicoSure ต่างกันยังไง
เมื่อพูดถึงการเลือกใช้ระหว่าง Pico Enlighten และ PicoSure ทั้งสองเทคโนโลยีมีข้อดีที่แตกต่างกัน แต่การทำความเข้าใจความแตกต่างของพวกเขาจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล
PicoSure เป็นหนึ่งในเลเซอร์ Picosecond เครื่องแรกที่ถูกแนะนำสู่ตลาด รู้จักกันดีในการลบรอยสักและรักษาปัญหาเม็ดสี ใช้ความยาวคลื่นที่ 755 นาโนเมตร ซึ่งมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการลบหมึกสักสีน้ำเงินและสีเขียว และการจัดการกับความเสียหายจากแสงแดด

เจาะลึก PicoSure : PicoSure Laser นวัตกรรมใหม่กู้หน้าใส จบปัญหาฝ้ากระ จุดด่างดำ
ส่วน Pico Enlighten นำเสนอวิธีการที่หลากหลายมากขึ้นด้วยความยาวคลื่นหลายแบบ เช่น 532 นาโนเมตร และ 1064 นาโนเมตร ทำให้เหมาะสำหรับผิวประเภทต่าง ๆ และปัญหาผิวหลายประเภท ขณะที่ PicoSure มีความโดดเด่นในการลบรอยสัก แต่ Pico Enlighten มักจะถูกเลือกเพื่อการฟื้นฟูผิวที่ครอบคลุมมากขึ้น จัดการกับปัญหาผิวที่หลากหลาย เช่น รอยแผลเป็นจากสิว ริ้วรอย และปัญหาเม็ดสีที่ยากจะรักษาเช่น ฝ้า

สรุปความแตกต่างเบื้องต้นของ Pico Enlighten vs. PicoSure
ความยาวคลื่น: Pico Enlighten มีตัวเลือกความยาวคลื่นมากกว่า (532 นาโนเมตร และ 1064 นาโนเมตร) เมื่อเทียบกับ PicoSure ที่มีเพียง 755 นาโนเมตร
ประเภทผิว: Pico Enlighten มีความหลากหลายมากกว่าในการรักษาสำหรับผิวประเภทต่าง ๆ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้คนหลากหลาย
โฟกัสการรักษา: PicoSure มีประสิทธิภาพสูงในการลบรอยสัก ในขณะที่ Pico Enlighten มุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูผิวโดยรวมมากกว่า
การดูแลหลังการรักษาด้วย Pico Enlighten

1. หลังการรักษาด้วย Pico Enlighten การดูแลผิวหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
2. หลังการรักษาด้วย Pico Laser สะเก็ดจะเริ่มมีสีเข้มขึ้นภายใน 24-48 ชั่วโมง ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือแกะเกา แนะนำให้ทายาตามที่แพทย์สั่งหรือใช้ครีมบำรุงผิวให้ความชุ่มชื้น
3. สะเก็ดจะหลุดออกไปเองภายในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์หากรักษาบริเวณใบหน้า หรือใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์หากเป็นบริเวณลำตัว
4. หลังการรักษา ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ และสามารถใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป ซึ่งปกป้องได้ทั้ง UVA และ UVB
5. ควรหลีกเลี่ยงความร้อน เช่น การทำเลเซอร์ที่มีความร้อนสูง การนวดหน้า การแช่น้ำร้อน หรือการใช้ซาวน่า อย่างน้อย 1-2 วันหลังการรักษา
6. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินเออนุพันธ์ (Retinol) ยารักษาสิว Benzoyl peroxide กรดผลไม้ เช่น Glycolic หรือ Salicylic acid และยารักษาฝ้า Hydroquinone อย่างน้อย 2-3 วันหลังการรักษา
7. หากรักษาด้วยการลบรอยสัก สะเก็ดอาจจะใช้เวลานานขึ้น ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงการแกะสะเก็ด และทาวาสลีนหรือยากลุ่ม Aquaphor เพื่อให้ความชุ่มชื้นหากมีอาการปวด แสบ หรือเกิดตุ่มน้ำภายหลังการรักษา ควรปรึกษาแพทย์ทันที

ซึ่งผลกการรักษาและระยะเวลาพักฟื้นจะขึ้นอยู่กับสภาพผิว ลักษณะปัญหาเฉพาะบุคคล
Pico Enlighten ผลลัพท์ชัดเจน



คำถามที่พบบ่อย  Pico Enlighten
1. Q : ผลข้างเคียงและความเสี่ยงของ Pico Enlighten
     A : ถึงแม้ว่า Pico Enlighten จะเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ยังคงมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงบางประการ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีลักษณะชั่วคราวและไม่รุนแรง
2. Q : ผลข้างเคียงที่พบบ่อย
     A : อาการแดงและบวม: ผิวอาจมีอาการแดงและบวมหลังจากการทำเลเซอร์ แต่อาการเหล่านี้มักจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงไม่กี่วัน
           อาการคันหรือรู้สึกไม่สบาย: ในบางกรณี ผิวอาจรู้สึกคันหรือไม่สบายเล็กน้อย ซึ่งสามารถบรรเทาด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม
3. Q : ความเสี่ยงที่ควรระวัง
     A : การเกิดรอยดำหรือรอยด่าง: แม้ว่าเทคโนโลยี Picosecond laser จะลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำหลังการรักษา แต่ยังคงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในบางกรณี ดังนั้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการดูแลผิวหลังการรักษา
4. Q : Pico Enlighten ราคาแพงไหม?
     A : ราคา Pico Enlighten อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงที่ตั้งของคลินิก ความชำนาญของผู้ทำการรักษา และปัญหาผิวเฉพาะที่ต้องการรักษา โดยทั่วไปแล้ว ราคาสำหรับการรักษา Pico Enlighten ในหนึ่งครั้งอาจอยู่ที่ประมาณ 10,000 ถึง 25,000 บาทPico 4. 5. Q : ทำไมต้อง Pico Enlighten ?
     A : Enlighten มีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์แบบดั้งเดิม ทำให้เป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่มองหาการฟื้นฟูผิวแบบไม่รุกล้ำ
           1. เวลาพักฟื้นน้อยที่สุด หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของ Pico Enlighten คือเวลาพักฟื้นที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับเลเซอร์แบบดั้งเดิมที่อาศัยพลังงานความร้อน การใช้วิธีการแบบ photomechanical ของ Pico Enlighten ช่วยลดความเสี่ยงในการทำลายผิว ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ไม่นานหลังการรักษา โดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาพักฟื้นหลังการยิงเลเซอร์ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จึงจะสามารถมาทำการรักษาด้วยเลเซอร์ซ้ำได้
           2. มีประสิทธิภาพแก้ปัญหาผิวหลายประการ มีความหลากหลายและสามารถจัดการกับปัญหาผิวหลายประการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น:
• เลเซอร์สิว: ช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวและการอักเสบ ส่งเสริมให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
• ฝ้าและกระ: ช่วยทำลายเม็ดสีที่เป็นจุดด่างดำ ทำให้สีผิวสม่ำเสมอ
• เลเซอร์หน้าใส: กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวดูสว่างใสและอ่อนเยาว์มากขึ้น


สรุป
Pico Enlighten เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาฝ้า กระ รอยแผลเป็นจากสิว หรือการฟื้นฟูผิวอย่างทั่วถึง ระบบนี้มอบผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนด้วยความเสี่ยงและเวลาพักฟื้นที่ต่ำ
หากคุณกำลังมองหาวิธีการที่สามารถฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูสดใสและอ่อนเยาว์ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสีผิว Pico Enlighten คือตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณ ด้วยการปรึกษาและรับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คุณจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและผิวที่คุณภาคภูมิใจ
ที่สำคัญควรเลือกคลินิกที่มีชื่อเสียงและได้รับการรับรอง เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับการดูแลและบริการที่มีคุณภาพสูงสุด

18
Pico Plus Laser จากเกาหลี คืออะไร เหมาะกับใคร ช่วยอะไรบ้าง ?
Pico Plus Laser เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเลเซอร์ที่พัฒนามาอย่างก้าวล้ำในด้านการรักษาผิวพรรณ โดยเฉพาะการลบลอยสัก ฝ้า กระ และปัญหาผิวต่าง ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน และลดริ้วรอย จุดเด่นของ Pico Plus Laser อยู่ที่การใช้เทคโนโลยี Picosecond Laser ซึ่งสามารถส่งพลังงานเลเซอร์ได้ในระดับที่รวดเร็วมากๆ (ความยาวพัลส์เพียงแค่หนึ่งในล้านล้านวินาที) ทำให้สามารถสลายเม็ดสีใต้ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียง



Pico Plus Laser คืออะไร ?
PicoPlusLaser เป็นเครื่องเลเซอร์นวัตกรรมจากประเทศเกาหลี ที่ใช้พลังงานในระดับ Picosecond ซึ่งเป็นพลังงานที่สามารถทำลายเม็ดสีในผิวหนังโดยไม่กระทบต่อเนื้อเยื่อรอบข้างมากนัก เทคโนโลยี Pico Laser นี้ใช้ความยาวคลื่นหลายประเภท เช่น 1064 nm, 532 nm, 595 nm, และ 660 nm ซึ่งเหมาะสำหรับการรักษาผิวหนังหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแผลเป็นจากสิว หรือแม้กระทั่งลบลอยสัก
จุดเด่นของ PicoPlus คือการใช้พลังงานเลเซอร์ที่กระทบต่อผิวหนังในช่วงเวลาสั้นมาก ซึ่งช่วยทำให้ไม่เกิดความร้อนสะสม ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือแผลเป็นจากการทำเลเซอร์



Pico Plus Laser เหมาะกับใคร?
Pico Plus Laser เหมาะสำหรับคนที่ต้องการรักษาปัญหาผิวหลากหลายประเภท ตั้งแต่ผู้ที่มีปัญหาผิวไม่เรียบเนียน หลุมสิว จุดด่างดำจากแสงแดด ไปจนถึงการลบลอยสัก สีที่เข้มและดื้อยา นอกจากนี้ยังสามารถใช้รักษารอยแดงจากหลอดเลือด ฝ้า และริ้วรอยได้ดี ทำให้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการการดูแลผิวแบบล้ำลึกในทุกมิติ Pico Plus จึงเหมาะกับ
ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวหรือแผลเป็น
ผู้ที่มีปัญหาจุดด่างดำ ฝ้า กระ ที่เกิดจากแสงแดด
ผู้ที่ต้องการลบรอยสัก
ผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวหน้าให้กระจ่างใส
Pico Plus Laser ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำ Pico Plus Laser?
แม้ว่า Pico Plus Laser จะเป็นการรักษาที่ปลอดภัย แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไม่ควรทำ:
ผู้ที่มีโรคผิวหนังอักเสบหรือโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน
ผู้ที่ใช้ยาบางประเภท เช่น ยารักษาโรคเบาหวานที่ทำให้ผิวบาง
หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ผู้ที่แพ้เลเซอร์หรือมีประวัติการเกิดแผลเป็นง่าย
ผู้ที่กำลังทานยา อาหารเสริมและสมุนไพรที่มีส่วนในการยับยั้งการแข็งตัวของโลหิต
ผู้ที่มีปัญหาผิวไวต่อแสง มีปัญหาผิวไหม้จากแสงแดด
ผู้ที่มีประวัติการเป็นมะเร็งเนื้องอก
ผู้ที่มีแผลเปิดหรือบาดแผลที่ยังไม่หาย

PicoPlus ดีไหม? ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
Pico Plus Laser มีจุดเด่นหลายอย่างที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการรักษาปัญหาผิวพรรณ ดังนี้
หัว Melanin 532/1064 : ลดฝ้า กระ และจุดด่างดำ พลังงานเลเซอร์จาก Pico Plus สามารถสลายเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ฝ้า กระ และจุดด่างดำลดลงอย่างเห็นได้ชัด
หัว Yellow toning 595: ลดรอยแดงจากสิว
หัว Fractional (MLA): ช่วยกระชับรูขุมขน รักษารอยแผลเป็นจากสิว หลุมสิว ตัวเลเซอร์สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น
หัว Green tatto 660 nm: ลบรอยสักหลายสี Pico Plus เหมาะสำหรับการลบลอยสักได้ดี โดยเฉพาะสักที่มีสีเข้ม
Pico Plus ต่างจาก Pico แบบอื่นอย่างไร?
เมื่อเปรียบเทียบกับ Pico Laser แบบอื่น เช่น PicoSure, PicoWay, และ Pico Enlighten, Pico Plus Laser มีความแตกต่างหลัก ๆ ดังนี้:
ความยืดหยุ่นของความยาวคลื่น: Pico Plus มี 4 ความยาวคลื่น (1064 nm, 532 nm, 595 nm, 660 nm) ทำให้เหมาะสมสำหรับการรักษาปัญหาผิวหลากหลายประเภท ซึ่งบางเครื่องอาจมีความยาวคลื่นน้อยกว่า
พลังงานสูงกว่า: พลังงานเลเซอร์ที่สูงขึ้นทำให้สามารถลบรอยสักและสลายเม็ดสีได้ดีกว่า
เวลาพักฟื้นสั้น: Pico Plus Laser มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อย เช่น รอยแดงหรือลอก แต่จะหายเร็ว ทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น
ความแม่นยำ: การใช้ความยาวคลื่นที่หลากหลายและพลังงานที่สม่ำเสมอช่วยทำให้การรักษามีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น
เจาะลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่อง Pico Laser รุ่นต่าง ๆ

PicoSure Laser นวัตกรรมใหม่กู้หน้าใส จบปัญหาฝ้ากระ จุดด่างดำ
Pico Enlighten เทคโนโลยีจบปัญหา ฝ้า กระ รอยสิว รอยดำ หลุมสิว
PicoWay Laser คืออะไร? ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรบ้าง และดีจริงไหม?
ข้อแตกต่างระหว่าง PicoPlus และ Discovery Pico
จากที่เราได้รู้กันมาแล้วว่า Pico Laser แต่ละรุ่นมีข้อแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการใช้งานเป็นหลักโดย Pico Plus จะเป็นการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ Picosecond มีพลังงานหลายช่วงความยาวคลื่น เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวที่หลากหลาย เช่น การลบรอยสัก กระ ฝ้า และจุดด่างดำ และในส่วนของ Discovery Pico เป็นเครื่องพิคโค่เลเซอร์ ที่ใช้พลังงาน Picosecond เช่นกัน แต่มีพลังงานสูงกว่า สามารถทำงานได้ลึกขึ้น เหมาะสำหรับการรักษาเม็ดสีลึกและฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกทั้งสองเครื่องเหมาะสำหรับการรักษาผิวพรรณ แต่มีความแตกต่างในด้านของพลังงานและการใช้งานเฉพาะ เราจะมาดูข้อเปรียบเทียบย่อยกันในแต่ละข้อ

ความแม่นยำและพลังงานที่ใช้
PicoPlus: เป็นเลเซอร์แบบพิโคเซคอนด์ที่สามารถปล่อยพลังงานได้ที่ระดับพิโคเซคอนด์ (หนึ่งในล้านล้านวินาที) ทำให้เลเซอร์สามารถเข้าถึงชั้นผิวลึกและแตกเม็ดสีได้อย่างละเอียดและมีความแม่นยำสูง โดยมีพลังงานสูงถึง 1.8 GW (กิกะวัตต์) เพื่อช่วยให้สามารถรักษาปัญหาผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Discovery Pico: มีพลังงานที่สูงถึง 1.8 GW เช่นเดียวกัน แต่เด่นที่สามารถใช้ได้ทั้งแสงเลเซอร์สองความยาวคลื่นในเครื่องเดียว (1064 nm และ 532 nm) ทำให้ครอบคลุมการรักษาปัญหาผิวที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การลบรอยสักทุกสีหรือรักษาฝ้ากระที่ลึกและตื้นได้อย่างดี
ความยืดหยุ่นในการใช้งาน
PicoPlus: สามารถใช้รักษาผิวที่มีปัญหาเรื่องเม็ดสี กระ ฝ้า รวมถึงการทำให้ผิวหน้าใสขึ้น นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับการลบรอยสักเฉพาะสี และใช้ในการรักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ดี
Discovery Pico: มีความยืดหยุ่นสูงกว่า เนื่องจากสามารถใช้รักษาเม็ดสีทุกประเภท รอยสักทุกสี และยังมีเทคโนโลยีที่สามารถใช้รักษาผิวที่มีปัญหาลึกลงไปในชั้นหนังแท้ เช่น ฝ้าลึก รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวหรือแผลผ่าตัดได้ดีกว
การลบรอยสัก
PicoPlus: มีความสามารถลบรอยสักได้ดี แต่เน้นลบเฉพาะรอยสักสีเข้ม เช่น สีดำ สีน้ำเงินเข้ม
Discovery Pico: สามารถลบรอยสักทุกสีได้ ด้วยการมีแสงเลเซอร์สองความยาวคลื่น ทำให้ครอบคลุมการลบสีสักต่าง ๆ ทั้งสีดำ สีฟ้า สีเขียว และสีที่จางกว่าเช่นสีเหลืองหรือแดง
หลักการทำงานของเทคโนโลยีแต่ละเครื่อง
PicoPlus: เน้นการทำงานแบบ single pulse และมีระบบ Zoom Handpiece ทำให้ปรับระดับพลังงานได้อย่างละเอียด
Discovery Pico: มีระบบ fractional technology ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโดยใช้เลเซอร์เข้าถึงชั้นผิวลึกได้ดียิ่งขึ้น ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการรักษาและสามารถควบคุมการปล่อยพลังงานให้เหมาะสมกับแต่ละสภาพผิวได้ดี
เปรียบเทียบความแตกต่างPicolaser

PicoPlus และ Discovery Pico แบบไหนดีกว่ากัน?
การเลือกว่าควรใช้ PicoPlus หรือ Discovery Pico ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและการรักษาที่ต้องการ:
หากคุณต้องการลบรอยสักทุกสี หรือรักษาปัญหาผิวลึกเช่นฝ้าแบบลึก รอยแผลเป็นที่ลึก Discovery Pico อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะมีความยืดหยุ่นและพลังงานที่สามารถปรับใช้ได้หลากหลายมากกว่า
แต่ถ้าคุณต้องการรักษารอยสิว กระ ฝ้าเบาๆ หรือทำให้ผิวหน้าใสขึ้นโดยทั่วไป PicoPlus ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากมีความแม่นยำสูงและใช้งานง่ายในการรักษาที่เน้นเม็ดสีและทำให้ผิวใส
ซึ่งในภาพรวมแล้ว Discovery Pico อาจมีความยืดหยุ่นและครอบคลุมการรักษาที่กว้างขวางกว่า Pico Plus เพราะมีหลายโหมดปรับให้เข้ากับการรักษาได้ทุกรูปแบบตั้งแต่ปัญหาเล็ก ๆ เช่น ผิวมีจุดด่างดำ ฝ้า กระ หรือการแก้ปัญหาหลุมสิว รอยสิว กระลึก Discovery Pico จะทำได้ดีกว่า



เปรียบเทียบความแตกต่างPicoPlus และ Discovery Pico
ก่อนทำ Pico Plus ควรเตรียมตัวอย่างไร?
ปรึกษาแพทย์: ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มการรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าผิวของคุณเหมาะสมกับการทำเลเซอร์
หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด: หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการทำเลเซอร์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการเบิร์นจากเลเซอร์
หยุดใช้ยาที่ทำให้ผิวบาง: หากใช้ยาที่มีผลต่อผิว ควรหยุดยาก่อนทำเลเซอร์ตามคำแนะนำของแพทย์
งดทานยาหรืออาหารเสริม: ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างน้อย 3-5 วันก่อนทำเลเซอร์
งดสครับหรือขัดผิว: ในบริเวณที่จะทำเลเซอร์ อย่างน้อย 3 วัน เพื่อปองกันผิวอักเสบและระคายเคือง
ขั้นตอนการรักษาด้วย Pico Plus
แพทย์วิเคราะห์ปัญหา: ก่อนที่จะรับการรักษาด้วย Pico Plus แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินสภาพผิวของคุณก่อนว่าเหมาะสมกับการทำเลเซอร์หรือไม่ และควรรักษาจุดไหนบ้าง
การเตรียมผิวก่อนทำ: ก่อนจะทำจะต้องทำความสะอาดผิวอย่างละเอียด และอาจมีการทายาชาประมาณ 30-45 นาที เพื่อลดอาการเจ็บระหว่างการยิงเลเซอร์ นอกจากนี้คุณจะได้รับแว่นตาป้องกันเพื่อป้องกันดวงตาจากเลเซอร์
ขั้นตอนการรักษา: แพทย์จะทำการยิงเลเซอร์ไปยังบริเวณที่ต้องการรักษา โดยปกติการรักษาจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดและปัญหาของผิวบริเวณที่ทำการรักษา



หลังทำ Pico Plus ควรดูแลตัวเองอย่างไร?



งดล้างหน้า: หากยิงเลเซอร์แบบมีเลือดหรือแผลตกสะเก็ด ควรงดล้างหน้า 24 ชั่วโมงแรกหลังทำ
งดแต่งหน้า: หลังทำเลเซอร์ควรงดแต่งหน้าอย่างน้อย 3-5 วันเพื่อป้องกันการระคายเคืองผิว
หลีกเลี่ยงแสงแดด: หลังทำเลเซอร์ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดเพื่อป้องกันการเกิดรอยคล้ำ ประมาณ 14 วันหลังทำ
งดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง: เช่น กรด AHA, BHA หรือสารที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง
งดการขัดถูผิว: หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวระคายเคืองอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังทำเลเซอร์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Pico Plus Laser

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Pico Plus Laser
1. Q : Pico Plus เจ็บไหม?
     A : การทำ Pico Plus อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่สามารถใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อลดความเจ็บได้
2. Q : Pico Plus ใช้เวลาในการทำเท่าไหร่?
     A : แต่ละเซสชั่นใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับพื้นที่บริเวณที่รักษา
3. Q :Pico Plus ช่วยรักษาฝ้าและกระได้ไหม?
     A : Pico Plus Laser มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาฝ้าและกระ โดยพลังงานเลเซอร์จะสลายเม็ดสีเมลานินที่เป็นสาเหตุของฝ้าและกระ ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น แต่ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความลึกของเม็ดสี
4. Q :Pico Plus เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวหรือไม่?
     A : Pico Plus สามารถใช้ได้กับสภาพผิวทุกประเภท รวมถึงผิวที่บอบบาง อย่างไรก็ตาม แพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าสภาพผิวของคุณเหมาะสมกับการรักษาด้วย Pico Plus หรือไม่ โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาเรื่องผิวหนังที่ซับซ้อน
5. Q :หลังทำ Pico Plus ต้องพักฟื้นกี่วัน?
     A : โดยปกติแล้ว หลังการรักษาด้วย Pico Plus Laser จะไม่ต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน อาจมีรอยแดงหรือการระคายเคืองเล็กน้อยในช่วง 1-3 วันแรก และจะค่อย ๆ หายไปเอง และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังการรักษา
6. Q :การทำ Pico Plus ต้องทำซ้ำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
     A : การทำเลเซอร์ Pico Plus โดยทั่วไปต้องทำซ้ำประมาณ 3-5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว เช่น หลุมสิวหรือการลบลอยสัก หากเป็นปัญหาผิวที่ลึกหรือเรื้อรัง อาจต้องทำมากกว่านี้ และแพทย์จะเป็นผู้แนะนำการรักษาที่เหมาะสม
7. Q :ราคา Pico Laser ส่วนใหญ่ราคาเท่าไหร่?
     A :  [urlชhttps://vincent.clinic/th/promotion/detail/37]Pico Laser ราคา[/url] ของการทำโดยใช้เครื่องระดับมาตรฐานอเมริกา อย่าง Discovery Pico หรือ Pico Plus จะอยู่ประมาณครั้งละ 7,500 - 10,000 บาท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการจัดราคาโปรโมชั่นของแต่ละคลินิกด้วย
8. Q :ราคา Discovery Pico ที่ วินเซนต์คลินิก ยิงทั่วหน้า ไม่จำกัดช็อต
     A : โดยปกติแล้วราคาทำ Discovery Pico ที่วินเซนต์คลินิก ทั่วหน้าไม่จำกัดช็อต จะอยู่ที่ราคา 6,999.- แต่ตอนนี้วินเซนต์จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับสาวกชาววินเซนต์โดยเฉพาะ Discovery Pico ยิงทั่วหน้าไม่จำกัดช็อต เหลือเพียง 1,499.- เท่านั้น.









Discovery Pico  ราคา 1,499.-

รีวิว Discovery Pico

รีวิว Discovery Pico

รีวิว Discovery Pico


สรุป
Pico Plus Laser เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาผิวพรรณและฟื้นฟูสภาพผิวอย่างล้ำลึก ด้วยเทคโนโลยี Picosecond ที่สามารถสลายเม็ดสีในผิวหนังได้อย่างแม่นยำ รักษาหลุมสิว ฝ้า กระ และลบลอยสักได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยการฟื้นฟูผิวโดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยและใช้เวลาในการพักฟื้นน้อย อย่างไรก็ตาม การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการทำตามคำแนะนำในการปฏิบัติก่อนและหลังการทำเลเซอร์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น
หากคุณกำลังมองหาวิธีการรักษาปัญหาผิวที่ครอบคลุมทุกปัญหาทั้งในเรื่องความกระจ่างใส กำจัดริ้วรอย จุดด่างดำ รอยแดงจากสิว ฝ้า กระตื้น กระลึก หลุมสิวที่รักษายาก รวมถึงการลบรอยสักทุกเฉดสี และเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนกว่า Discovery Pico ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณในการฟื้นฟูและรักษาผิวพรรณในระดับลึกหากคุณสนใจในการทำ Pico Plus Laser สามารถทักเข้ามาปรึกษาได้ที่ VincentClinic นะคะ




19
Pico Laser นวัตกรรมกู้ผิวสวย คืนผิวใส เลือก Pico แบบไหนดี ?



Pico Laser เป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีความสามารถในการรักษาปัญหาผิวที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการลบรอยสัก การลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึงการรักษาหลุมสิวและริ้วรอย Pico มีความโดดเด่นและแตกต่างจากเลเซอร์อื่น ๆ อย่างไร และการรักษาด้วย Pico Laser นั้นมีประสิทธิภาพแค่ไหน บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเทคโนโลยีนี้ในทุกแง่มุม
Pico laser กู้ผิวสวย คืนผิวใส ไร้ริ้วรอย

Picosecond laser หรือ Pico Laser คืออะไร ?
Picosecond laser หรือที่นิยมเรียกกันในชื่อ พิโค่เลเซอร์ (Pico Laser) เป็นเทคโนโลยีเครื่องเลเซอร์ที่สามารถปล่อยพลังงานที่สูง ออกมาในช่วงระยะการปล่อยแสงเลเซอร์ (Pulse Duration) ที่สั้นมากอยู่ในระดับ picosecond หรือ 1 ในล้านล้านวินาที ทำให้เลเซอร์นี้สามารถเข้าถึงชั้นผิวหนังลึก ๆ ได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ ความเร็วในการปล่อยแสงนี้ยังช่วยลดความร้อนที่ส่งผลต่อผิวหนัง จะใช้ในทางการแพทย์ผิวหนังและความงาม และมี การศึกษาวิจัย มาแล้ว โดยการรักษาจะมีตั้งแต่ การลบรอยสัก รักษารอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำ และการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิวหนัง นอกจากนี้ยังเป็นเลเซอร์ที่สามารถทำให้ผลการรักษาเกิดขึ้นได้รวดเร็วกว่าเลเซอร์ชนิดอื่น ๆ และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า

Pico Laser ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ?

Pico Laser มีความสามารถในการรักษาปัญหาผิวได้หลายอย่าง ทั้งปัญหาผิวที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น เช่น ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง ปัญหาผิวที่เกิดจากการสัมผัสแสงแดด เช่น ฝ้า กระ หรือปัญหาผิวที่เกิดจากฮอร์โมน เช่น หลุมสิว รอยสิว การรักษาด้วย Pico สามารถทำได้ดังนี้:
• ปัญหาผิวไม่เรียบเนียน : ช่วยรักษาหลุ่มสิว รูขุมขนกว้าง รอยแตกPico Laser มีความสามารถในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น และผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง
• กลุ่มปัญหาเม็ดสี : ไม่ว่าจะเป็นฝ้า กระ หรือจุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอจากการถูกแดดเผา Pico สามารถลดเลือนปัญหาผิวเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำให้เม็ดสีที่เกิดขึ้นผิดปกติถูกทำลายและกำจัดออกจากผิวหนัง
• ลบรอยสัก : Pico Laser เป็นเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการลบรอยสัก ไม่ว่าจะเป็นรอยสักสีเข้มหรือสีอ่อน การทำงานของเลเซอร์จะช่วยทำลายเม็ดสีที่อยู่ใต้ผิวหนังอย่างละเอียด ซึ่งทำให้รอยสักค่อย ๆ จางลงจนหายไป
• ปรับสีผิว : ทำให้สีผิวสม่ำเสมอและกระจ่างใสมากขึ้น โดยการกำจัดเม็ดสีที่ผิดปกติออกไป และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
ประเภทของ Pico Laser ที่ได้รับความนิยม

Pico Laser เป็นกลุ่มของเลเซอร์ที่พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์การรักษาผิวโดยเฉพาะ มีหลายยี่ห้อที่ได้รับความนิยมในวงการความงาม เช่น:
1. PicoSure Laser : PicoSure เป็นเลเซอร์ Picosecond เจ้าแรกที่ได้รับการพัฒนาขึ้น โดดเด่นในเรื่องของการลบรอยสักและการรักษาริ้วรอย และยังเป็นที่รู้จักในวงกว้างสำหรับความสามารถในการรักษาฝ้าและกระได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เจาะลึกเครื่อง PicoSure :
2. Enlighten หรือ Picogenesis: เลเซอร์รุ่นนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อการลบรอยสักโดยเฉพาะ รวมถึงการปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ Enlighten ยังมีความสามารถในการลบรอยสักหลายสีพร้อมกัน ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในกลุ่มคนที่ต้องการลบรอยสักขนาดใหญ่หรือที่มีหลายสี
เจาะลึกเครื่อง Pico Enlighten :
3. PicoWay  เป็นอีกหนึ่งเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมสูง ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถรักษาหลุมสิวและริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการลบรอยสักที่เข้มข้นได้ดีกว่าเลเซอร์รุ่นอื่น
เจาะลึกเครื่อง PicoWay :
4. Discovery Pico: เลเซอร์ที่มีพลังงานสูงและสามารถทำงานได้เร็วขึ้น ทำให้การรักษาผิวดูรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ทันที
เจาะลึกเครื่อง Discovery Pico : Discovery Pico Laser  นวัตกรรมเลเซอร์ เพื่อผิวสวย เรียบเนียน
5. PicoPlus: เลเซอร์รุ่นนี้เหมาะสำหรับการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ และหลุมสิว นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการลบรอยสักได้ด้วย
เจาะลึกเครื่อง PicoPlus :

การเปรียบเทียบ Pico Laser กับ Q-switch
Q-switch เป็นเลเซอร์ที่ใช้ในวงการความงามมานาน และมีความแตกต่างจาก Pico Laser อย่างชัดเจน Q-switch ทำงานด้วยคลื่นแสงในระดับนาโนวินาที (Nanosecond) ทำให้การทำงานของเลเซอร์ช้ากว่า Pico Laser ซึ่งทำให้มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงมากกว่า เช่น การระคายเคืองผิว หรือรอยแผลเป็น
ในทางกลับกัน Pico Laser ทำงานในระดับพิโควินาที ซึ่งเร็วกว่ามาก ทำให้ผลการรักษาดูรวดเร็วและแม่นยำกว่า โดยมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยลง เนื่องจากไม่ทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ การเลือกใช้ระหว่างสองประเภทนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละคนและคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ต้องทำ Pico Laser กี่ครั้งถึงเห็นผล ?
จำนวนครั้งที่ต้องทำ Pico Laser ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการรักษาและสภาพผิวของแต่ละคน โดยทั่วไปแล้วผลลัพธ์อาจเริ่มเห็นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่การทำหลายครั้งจะช่วยให้ผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนานขึ้น เช่น

✅ รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ: อาจเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก แต่ควรทำต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
✅ รักษาหลุมสิวและริ้วรอย: ควรทำประมาณ 3-6 ครั้ง เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียน
 ✅ลบรอยสัก: อาจต้องทำ 5-10 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสีและความเข้มของรอยสัก
เลือก Pico Laser ที่ไหนดี ?
การเลือกคลินิกที่ให้บริการ Pico Laser เป็นสิ่งสำคัญ ควรเลือกสถานที่ที่แพทย์มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการใช้เลเซอร์ประเภทนี้ สถานพยาบาลควรมีการให้คำปรึกษาอย่างละเอียด และมีการตรวจสอบสภาพผิวก่อนทำการรักษาเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

ทำไมต้องทำ Pico laser ที่ Vincent Clinic
 ✅ที่ Vincent Clinic ใช้เครื่อง Discovery Pico แท้ 100% ที่ผ่านรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US-FDA)
 ✅Vincent Clinic ให้การรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์การรักษาด้วย Discovery Pico
 ✅Vincent Clinic มีมาตรฐานการบริการระดับสูง ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล AACI พร้อมด้วยสถานที่ที่สะอาดและทันสมัย อุปกรณ์ที่ใช้มีการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เข้ารับบริการจะได้รับการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
 ✅Vincent Clinic การันตีคุณภาพจากผู้ใช้จริงที่มารับบริการ Discovery Pico ได้รับรีวิวและความพึงพอใจจากผู้ใช้บริการจริงเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพในการรักษา



10 เหตุผลที่ต้องเลือก Discovery Pico
Q&A คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับ Pico Laser
1. Q : Pico Laser เหมาะกับทุกสภาพผิวหรือไม่?
     A : Pico Laser สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ หรือมีรอยสัก แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อประเมินความเหมาะสมของการรักษา
รีวิวการใช้งานเครื่อง Discovery Pico





รีวิวการใช้งานเครื่อง Discovery Pico

2. Q : Pico Laser ทำแล้วเจ็บไหม?
     A : ในการทำ Pico Laser มีความเจ็บน้อยกว่าการทำเลเซอร์แบบอื่น ๆ และมีการใช้เจลหรือยาชาช่วยลดความเจ็บในระหว่างการรักษา อาจจะรู้สึกเจ็บบ้างเล็กน้อยระหว่างที่ทำแต่อยู่ในระดับที่ทนได้
3. Q : หลังทำ Pico Laser สามารถแต่งหน้าได้หรือไม่?
     A : หลังทำเลเซอร์ควรรอให้ผิวฟื้นตัวก่อนประมาณ 1-2 วัน แล้วจึงเริ่มแต่งหน้าได้ แต่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
4. Q : Pico Laser ช่วยรักษารอยแผลเป็นจากสิวได้หรือไม่?
     A : การทำ Pico Laser สามารถช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิวได้ โดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
5. Q : การทำ Pico Laser แพงมั้ย?
     A : ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับแต่ละคลินิกที่ให้บริการ และประเภทของเลเซอร์ที่เลือกทำ โดยทั่วไปแล้วอยู่ที่ประมาณ 5,000-15,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการรักษา และขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์


สรุป
Pico Laser เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการลบรอยสัก ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือหลุมสิว การเลือกใช้ Pico Laser รุ่นต่าง ๆ เช่น PicoSure, PicoWay หรือ Discovery Pico ขึ้นอยู่กับความต้องการและปัญหาผิวของคุณ รวมถึงการประเมินของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ควรดูแลผิวหลังการทำเลเซอร์ตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่เป็นอัตรายต่อผิว สิ่งที่สำคัญที่สุดควรเลือกรักษากับคลินิกที่มีมาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการรักษาด้วย Pico Laser สำหรับใครที่สนใจการเลเซอร์แบบ Pico Laser สามารถทักเข้ามาสอบถามได้ที่ Vincent Clinic เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชายพร้อมดูแลทุกขั้นตอน พร้อมเครื่องมือที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน ให้คุณไว้ใจได้เลยค่ะว่า ความสวยของคุณจะมาคู่กับความปลอดภัยแน่นอน


20
โบท็อกซ์รักแร้คืออะไร ลดเหงื่อได้จริงไหม?
ผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) หรือรู้สึกไม่สบายใจกับเหงื่อที่มักทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยโบท็อกซ์จะทำงานโดยยับยั้งการส่งสัญญาณจากเส้นประสาทไปยังต่อมเหงื่อ ทำให้ลดการหลั่งเหงื่อได้จริงและมีประสิทธิภาพ




โบท็อกซ์รักแร้คืออะไร
โบท็อกซ์ โบท็อกซ์ (Botox) เป็นสารที่ได้จากแบคทีเรียชื่อ Clostridium botulinum ซึ่งมีการใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาหลายปัญหา รวมถึงการลดเหงื่อออกมากที่รักแร้ โดยโบท็อกซ์ จะทำงานโดยการบล็อกสัญญาณประสาทที่ส่งไปยังต่อมเหงื่อ ซึ่งจะช่วยลดการผลิตเหงื่อในบริเวณนั้น ๆ

โบท็อกรักแร้ ช่วยลดเหงื่อได้อย่างไร?
การฉีดโบท็อกซ์ที่รักแร้โบท็อกซ์ที่รักแร้จะทำให้ต่อมเหงื่อได้รับสัญญาณที่ลดลงจากระบบประสาท ยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อ จึงทำให้ลดการผลิตเหงื่อได้ โดยผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ภายใน 1-2 สัปดาห์หลังจากการฉีด และสามารถลดเหงื่อได้มากถึง 80% โดยทั่วไปจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล



ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ช่วยลดเหงื่อ

ปัญหาเหงื่อออกรักแร้ รักแร้เปียก มีกลิ่นตัว เกิดจากอะไร
หลายคนอาจเคยประสบปัญหาเหงื่อออกมากที่รักแร้ (Axillary hyperhidrosis) และมีกลิ่นตัว ซึ่งอาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจและอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สาเหตุของเหงื่อออกมากและมีกลิ่นตัวมักเกิดจากหลายปัจจัย ดังนี้

พันธุกรรม: บางคนอาจมีประวัติครอบครัวที่มีปัญหาเหงื่อออกมาก ซึ่งสามารถส่งต่อกันในทางพันธุกรรม
อุณหภูมิและสภาพอากาศ: อากาศร้อนและชื้นสามารถกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเหงื่อมากขึ้น เพื่อช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
อาหาร: การบริโภคอาหารเผ็ดหรือมีรสเค็มมากเกินไปสามารถทำให้ร่างกายผลิตเหงื่อมากขึ้น นอกจากนี้อาหารบางประเภท เช่น กระเทียมและหัวหอม อาจทำให้มีกลิ่นตัวที่ชัดเจนขึ้น
ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ในช่วงประจำเดือนหรือวัยรุ่น อาจส่งผลให้เกิดเหงื่อออกมากขึ้น
ความเครียด: ความเครียดและความวิตกกังวลสามารถกระตุ้นให้ร่างกายมีการตอบสนองต่อความเครียด โดยการเพิ่มการผลิตเหงื่อ
โรคบางชนิด: เช่น โรคเบาหวานหรือโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ สามารถทำให้เกิดเหงื่อออกมากผิดปกติได้
การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายที่เข้มข้นทำให้ร่างกายต้องการขับเหงื่อออกเพื่อรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสม

ใครบ้างที่เหมาะสำหรับฉีดโบท็อกลดเหงื่อ



การฉีดโบท็อกซ์รักแร้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมากบริเวณรักแร้จนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความไม่สบายใจ ความอับชื้น กลิ่นตัวที่เกิดจากการสะสมของเหงื่อ หรือผู้ที่รู้สึกไม่มั่นใจเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมากกว่าปกติ (Hyperhidrosis) ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายหรือโรลออนทั่วไปไม่สามารถช่วยได้มากนัก ผู้ที่เหมาะกับฉีดโบรักแร้ มีดังนี้

คนที่มีเหงื่อออกมากเกินไปและมีกลิ่นตัว: สำหรับคนที่เหงื่อออกมากกว่าปกติจนเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ การฉีดโบท็อกซ์สามารถลดการผลิตเหงื่อได้มาก ช่วยให้รู้สึกสบายใจและไม่ต้องกังวลกับกลิ่นตัว
คนที่ไม่ต้องการให้มีคราบเปียกบริเวณรักแร้: หากคุณเคยมีปัญหาเหงื่อชุ่มที่ทำให้เห็นเป็นวงใต้แขนเสื้อ การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยลดปริมาณเหงื่อบริเวณนี้ได้ ทำให้เสื้อผ้าแห้งสบายและไม่เกิดคราบเปียกที่อาจสร้างความไม่มั่นใจได้
ผู้ที่ไม่มีความมั่นใจเนื่องจากมีกลิ่ตัวแรง และต้องออกงานสังคมบ่อยๆ: การฉีดโบท็อกซ์เป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับคนที่ต้องการความมั่นใจ โดยเฉพาะในโอกาสที่ต้องพบปะผู้คนบ่อยๆ หรือสวมใส่เสื้อผ้าที่เน้นการโชว์วงแขน การลดเหงื่อจะช่วยให้คุณรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น
คนที่แพ้ผลิตภัณฑ์ลดเหงื่อและกลิ่นตัว: สำหรับคนที่แพ้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น โรลออน สเปรย์ หรือครีมลดเหงื่อ โบท็อกซ์เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดเหงื่อได้โดยไม่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้
คนที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เร็ว:หลังการฉีดโบท็อกซ์ลดเหงื่อ คุณจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในเวลาเพียง 3-7 วัน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ทันใจ โดยไม่ต้องรอนาน
ผู้ที่กลัวการผ่าตัดต่อมเหงื่อ:สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่านการผ่าตัด การฉีดโบท็อกซ์ลดเหงื่อเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและเจ็บน้อยกว่ามาก อีกทั้งยังไม่ต้องพักฟื้น
คนที่ไม่ต้องการมีรอยแผลเป็นบริเวณรักแร้:การฉีดโบท็อกซ์ไม่ทำให้เกิดแผลเป็นเหมือนกับการผ่าตัดต่อมเหงื่อ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวิธีลดเหงื่อแบบไม่มีรอยแผล
การฉีดโบท็อกซ์ลดเหงื่อจึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องเหงื่อหรือกลิ่นตัว และต้องการทางออกที่ปลอดภัย รวดเร็ว และไม่ต้องพักฟื้น

ใครบ้างที่ฉีดโบท็อกลดเหงื่อได้ข้อดี – ข้อเสียของการ ฉีดโบท็อกรักแร้

ข้อดีของการฉีดโบรักแร้

ลดเหงื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ: ช่วยลดเหงื่อได้มากถึง 80%
ช่วยสร้างความมั่นใจ: ช่วยให้รู้สึกมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น
ไม่ต้องพักฟื้น: เป็นกระบวนการที่ไม่ต้องใช้เวลานาน และไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ
ข้อเสียของการฉีดโบรักแร้
อาการข้างเคียง: อาจเกิดอาการบวม, ฟกช้ำ หรือปวดบริเวณที่ฉีด
ผลลัพธ์ไม่ถาวร: จำเป็นต้องทำการฉีดซ้ำตามระยะเวลาที่กำหนด
ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคระบบทางเดินหายใจ
วิธีการดูแลหลังฉีดโบท็อกลดเหงื่อ



หลังจากการฉีดโบท็อกซ์ลดเหงื่อ ร่างกายต้องการการดูแลเป็นพิเศษเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ได้แก่:
หลังฉีดโบท็อกซ์เสร็จแล้ว ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง
หลีกเลี่ยงการนอนราบหรือก้มหน้าประมาณ 4 ชั่วโมงหลังฉีด
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากหลังฉีด 24 ชั่วโมง
หลีกเลี่ยงความร้อน 48 ชั่วโมงแรกหลังทำ
ไม่ควรนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดเพื่อป้องกันการกระจายตัวยาไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการ
งดดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารรสจัด อาหารหมักดอง หลังฉีด อย่างน้อย 14 วัน
งดทำหัตถการเลเซอร์ หรือหัตถการที่ใช้ความร้อนหลังฉีดอย่างน้อย 14 วัน
วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกรักแร้

โบท็อกรักแร้อยู่ได้นานแค่ไหน?
โบท็อกซ์รักแร้จะเริ่มเห็นผลภายใน 3 – 7 วันหลังฉีด และผลลัพธ์ในการลดเหงื่อจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นในช่วง 2 – 4 สัปดาห์ โดยปกติแล้วผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกซ์รักแร้จะคงอยู่ประมาณ 3 – 6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ยี่ห้อของโบท็อกซ์ การเผาผลาญของร่างกาย วิธีการดูแลหลังการฉีด และความรุนแรงของปัญหาเหงื่อออกมาก การฉีดซ้ำอาจจำเป็นต้องทำเมื่อผลลัพธ์เริ่มลดลง

???? จำนวนยูนิตที่ใช้ในการฉีดโบท็อกซ์ลดเหงื่อที่รักแร้จะแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของปัญหาเหงื่อออกมาก โดยทั่วไปจะใช้ประมาณ 50-100 ยูนิตต่อรักแร้หนึ่งข้าง การประเมินจำนวนยูนิตที่จำเป็นควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

โบท็อกซ์รักแร้ ราคาเท่าไหร่


ราคาในการฉีดโบท็อกซ์ที่รักแร้มักแตกต่างกันไปตามคลินิกและพื้นที่ที่ให้บริการ โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วงประมาณ 10,000 - 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนยูนิตที่ใช้และความนิยมของคลินิก ควรสอบถามราคาให้ชัดเจนก่อนทำการฉีด

ฉีดโบท็อกรักแร้ที่ไหนดี?
การเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่เหมาะสมในการฉีดโบท็อกซ์ลดเหงื่อเป็นสิ่งสำคัญ ควรพิจารณาจาก

ใบอนุญาต: ควรตรวจสอบว่าคลินิกมีใบอนุญาตในการทำหัตถการ
ความเชี่ยวชาญของแพทย์: ควรเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการฉีดโบท็อกซ์
รีวิวจากผู้ใช้บริการ: อ่านความคิดเห็นและรีวิวจากผู้ใช้บริการที่เคยไปฉีดที่คลินิกนั้น ๆ
ความสะอาดและมาตรฐาน: ตรวจสอบว่าคลินิกมีมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย
ใช้โบท็อกซ์แท้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ไม่ใช้โบหิ้ว โบปลอม
สรุป
การฉีดโบท็อกซ์ที่รักแร้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมากและมีกลิ่นตัว เพราะมีราคาไม่แพงและมีความปลอดภัยสูง เห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 1 สัปดาห์ โดยไม่ต้องพักฟื้น หลังจากการฉีด คุณสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาเหงื่อใต้รักแร้ผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกซ์จะอยู่ได้ประมาณ 3-5 เดือน และคุณสามารถฉีดซ้ำได้เพื่อคงผลลัพธ์ไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์นี้สามารถช่วยลดเหงื่อใต้รักแร้ได้มากถึง 80% พร้อมทั้งลดกลิ่นตัว ทำให้ผิวบริเวณรักแร้กระชับขึ้น

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมากที่รักแร้และมีกลิ่นตัว จนทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง การเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อทำการฉีดโบท็อกซ์จะเป็นทางเลือกที่ดี คุณจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจและสามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างมั่นใจได้อีกครั้ง โดยทั่วไปแล้วคุณจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ 3-7 วันหลังการฉีด และจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังการฉีด

หากคุณกำลังมองหาวิธีลดเหงื่อและกลิ่นตัวอย่างมีประสิทธิภาพ การฉีดโบท็อกซ์รักแร้ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม!สามารถทักเข้ามาสอบถามกับ Vincent Cline Vincent Cline ได้นะคะ เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ และผลิตภัณฑ์โบท็อกที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าความสวย และความมั่นใจของคุณ จะมาพร้อมกับความปลอดภัยแน่นอนค่ะ

21
โบท็อกซ์ลดริ้วรอย เคล็ดลับใบหน้าอ่อนเยาว์ ฉีดจุดไหนได้บ้าง ?
ริ้วรอยบนใบหน้าเป็นสัญญาณที่เห็นได้ชัดของวัยและการเปลี่ยนแปลงของผิว แต่ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้า ทำให้โบท็อกซ์กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมในการลดริ้วรอย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับโบท็อกซ์ลดริ้วรอย ตั้งแต่สาเหตุการเกิดริ้วรอย ไปจนถึงผลลัพธ์และการดูแลหลังการฉีดค่ะ



สาเหตุของริ้วรอยบนใบหน้า เกิดจากอะไรบ้าง?
ริ้วรอยบนใบหน้าเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่



อายุ : เมื่ออายุมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนในผิวจะลดลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น
การหดเกร็งของกล้ามเนื้อ : การแสดงอารมณ์ เช่น การยิ้ม หัวเราะ หรือขมวดคิ้ว ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าหดตัวซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นรอยย่น
แสงแดด : รังสียูวีทำลายโครงสร้างผิว ทำให้ผิวบางลงและเกิดริ้วรอยได้ง่าย
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม : มลภาวะ ฝุ่นควัน และความเครียดทำให้ผิวเสียหายและเกิดริ้วรอยเร็วขึ้น
โบท็อกซ์ริ้วรอย คืออะไร

โบท็อกซ์ริ้วรอย คืออะไร?
โบท็อกซ์ โบท็อกซ์ (Botulinum Toxin) เป็นสารโปรตีนที่ผลิตจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง เมื่อฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อจะช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ทำให้รอยย่นและริ้วรอยบนใบหน้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยโบท็อกซ์มีผลชั่วคราวและปลอดภัย เมื่อฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้โบท็อกซ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย

โบท็อกลดริ้วรอย มีกระบวนการทำงานอย่างไร?
เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าสู่กล้ามเนื้อ สารโบทูลินัมจะไปยับยั้งการสั่งงานของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งอยู่ผ่อนคลายลง ริ้วรอยที่เกิดจากการหดตัวจึงดูจางลง โดยจะเห็นผลได้ชัดเจนหลังฉีดประมาณ 3-7 วัน

โบท็อกโบท็อกซ์(Botox) ลดริ้วรอย ฉีดจุดไหนได้บ้าง?
โบท็อกซ์เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยสามารถฉีดได้ในหลายจุดที่มักเกิดริ้วรอยได้ง่าย ดังนี้




บริเวณใต้ตาและรอบดวงตา ริ้มักเป็นจุดที่เกิดริ้วรอยได้เร็วที่สุด ซึ่งทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้าและไม่มีชีวิตชีวา การฉีดโบท็อกซ์ในบริเวณนี้จะช่วยคลายกล้ามเนื้อ ทำให้รอยตีนกาและริ้วรอยหางตามีความจางลง อย่างไรก็ตาม ควรระวังการฉีดมากเกินไป เพราะอาจทำให้ตาดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ จึงควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการทำการฉีดนี้
บริเวณหน้าผาก เกิดจากการแสดงอารมณ์และสีหน้า เมื่อเวลาผ่านไป ริ้วรอยเหล่านี้จะลึกขึ้น การฉีดโบท็อกซ์บริเวณนี้จะช่วยลดริ้วรอยและทำให้หน้าผากดูเรียบเนียนขึ้น
บริเวณหว่างคิ้ว การขมวดคิ้วบ่อย ๆ ซึ่งทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย การฉีดโบท็อกซ์ในจุดนี้ช่วยยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวบริเวณนั้นเรียบขึ้น อย่างไรก็ตาม บริเวณระหว่างคิ้วมีเส้นประสาทมาก จึงต้องทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
บริเวณตีนกา บริเวณตีนกาเป็นจุดที่เกิดริ้วรอยได้ง่ายเนื่องจากมีการเคลื่อนไหวบ่อยครั้ง การฉีดโบท็อกซ์ในบริเวณนี้จะช่วยลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวบริเวณนั้นดูเรียบเนียน
บริเวณรอยย่นตรงจมูก ทำให้เกิดรอยย่นที่ชัดเจน การฉีดโบท็อกซ์บริเวณนี้ช่วยให้รอยย่นดูตึงขึ้นและลดการเกิดริ้วรอย
โบท็อกซ์สามารถฉีดได้ในหลายจุดที่แสดงถึงริ้วรอย การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจะช่วยให้การฉีดโบท็อกซ์เป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ หากคุณสนใจหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินและให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับคุณ

โบท็อกซ์ริ้วรอยหน้าผาก

โปรแกรมโบท็อกซ์ริ้วรอยหน้าผาก

ก่อนฉีดโบท็อก (Botox) ริ้วรอย ต้องเตรียมตัวอย่างไร
หากมีโรคประจำตัวควรแจ้งแพทย์ก่อนฉีดโบท็อกซ์
ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เป็นเวลา 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
ควรหยุดยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแก้อักเสบ แอสไพริน น้ำมันตับปลา วิตามินอี เป็นต้น เป็นเวลา 7-14 วัน
งดสครับหน้า 2-3 วันก่อนฉีดโบท็อกซ์
หากทำหัตถการอื่น ๆ มาก่อน ควรเว้น 2 สัปดาห์ก่อนฉีดโบท็อกซ์
ศึกษาข้อมูลการตรวจสอบโบท็อกซ์แท้
ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญสูง
หลังฉีดโบท็อก (Botox) ริ้วรอย ควรดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง?
หลังฉีดโบท็อกซ์เสร็จแล้ว ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง
หลีกเลี่ยงการนอนราบหรือก้มหน้าประมาณ 4 ชั่วโมงหลังฉีด
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากหลังฉีด 24 ชั่วโมง
หลีกเลี่ยงความร้อน 48 ชั่วโมงแรกหลังทำ
ไม่ควรนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดเพื่อป้องกันการกระจายตัวยาไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการ
งดดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารรสจัด อาหารหมักดอง หลังฉีด อย่างน้อย 14 วัน
งดทำหัตถการเลเซอร์ หรือหัตถการที่ใช้ความร้อนหลังฉีดอย่างน้อย 14 วัน
ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อก (Botox) ลดริ้วรอย
ไม่เหมาะกับบุคคลที่มีภาวะตั้งครรภ์
หลีกเลี่ยงการฉีดกับคนที่มีโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ฉีดโบท็อกริ้วรอย กี่วันเห็นผล?
โดยทั่วไปหลังฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยจะเริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วัน และจะเห็นผลชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์ ผลลัพธ์ของโบท็อกซ์สามารถคงอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการดูแลตัวเองของแต่ละคน
จำนวนยูนิตที่ใช้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีดและความลึกของริ้วรอย โดยทั่วไปจะใช้ปริมาณในการฉีด ดังนี้

หน้าผาก ปริมาณที่เหมาะสม คือ 15-20 ยูนิต
ระหว่างคิ้ว ปริมาณที่เหมาะสม คือ 10 - 15 ยูนิต
หางตา ปริมาณที่เหมาะสม คือ 15-25 ยูนิต
ฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยดีไหม?
การฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและไม่ต้องผ่าตัด ริ้วรอยบนใบหน้าดูลดลง ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น การตัดสินใจฉีดขึ้นอยู่กับความต้องการและความสะดวกของแต่ละคน หากต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและไม่มีการพักฟื้นนาน การฉีดโบท็อกซ์ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจค่ะ

ฉีดโบท็อกลดริ้วรอยยี่ห้อไหนดี ?
การเลือกยี่ห้อโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยบนใบหน้าเป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาตามความต้องการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ปัจจุบันมีโบท็อกซ์หลายยี่ห้อที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทย ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติและข้อดีที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. Allergan botox
จากประเทศอเมริกา เป็นแบรนด์แรกที่ได้รับการรับรองจากอย. อเมริกา (US FDA) มีความบริสุทธิ์มากที่สุด ถึง 99.5% ทำให้มีโอกาสเกิดการดื้อยาได้น้อยลงเมื่อมีการฉีดซ้ำหลาย ๆ ครั้งจุดเด่นคือออกฤทธิ์ได้แม่นยำ อยู่ได้นานที่สุดรักษาเฉพาะกล้ามเนื้อมัดที่เราต้องการ  เหมาะสำหรับฉีดแก้ปัญหาริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า โบท็อกซ์ลดกราม ปรับรูปหน้าเรียวเมื่อฉีดแล้วผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
เช็ค Allergan botox แท้



2. Aestox botox
เป็นโบท็อกซ์จากประเทศเกาหลี  ความบริสุทธิ์มากกว่า 99.5% ได้การรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศเกาหลีใต้ และ องค์การอาหารและยาประเทศไทย จุดเด่นของยี่ห้อนี้ คือ ตัวยามีความเสถียร และควบคุมคุณภาพอย่างเข้มข้นทุกขวด ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ตัวยาออกฤทธิ์เร็ว และเห็นผลไว  ให้ผลลัพธ์ความสวยแบบธรรมชาติ
เช็ค Aestox botox แท้



3. Xeomin
เป็นผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์จากเยอรมัน ผลิตด้วยเทคโนโลยี XTRACT Technology  ที่มีความบริสุทธิ์สูง เพราะมีกระบวนการกำจัดโปรตีนที่ไม่จำเป็นออกจากโมเลกุล จุดเด่นของโบท็อกยี่ห้อนี้คือ โอกาสที่ร่างกายจะเกิดสารต้านโบท็อก (Antibody) ต่ำ แม้จะต้องฉีดโบท็อกหลาย ๆ ครั้ง ปราศจากสิ่งเจือปนที่ไม่จำเป็น มีประสิทธิภาพสูงและทันสมัย ไม่มีสิ่งแปลกปลอม และโปรตีนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายเมื่อฉีดแล้วผลลัพธ์แม่นยำ อยู่ได้นานประมาณ 4-5 เดือน และเนื่องจากขนาดโมเลกุลที่เล็กและบริสุทธิ์ จึงมีการกระจายตัวที่แม่นยำ และปลอดภัยสูงเช็ค Xeomin botox แท้



4. Dysport
เป็นโบท็อกซ์จากประเทศอังกฤษ ความบริสุทธิ์ 99% ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยยูนิตที่แตกต่างกัน จุดเด่นของ Dysport คือการกระจายตัวของยาอย่างกว้างขวาง ซึ่งช่วยให้การรักษาไม่กระจุกอยู่ที่จุดเดียว เหมาะสำหรับการฉีดเพื่อลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว รวมถึงลดกรามและยกกระชับผิว โดยทั่วไปจะเห็นผลได้รวดเร็วและมีความเป็นธรรมชาติ​



เช็ค Dysport botox แท้
ฉีดโบลดริ้วรอย อันตรายไหม?
หากฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้โบท็อกซ์คุณภาพสูง ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย การฉีดโบท็อกซ์ถือว่ามีความปลอดภัยสูง แต่หากฉีดโดยผู้ไม่มีความชำนาญหรือใช้สารโบท็อกซ์ปลอม อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น รอยบวมแดง ชา หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้



ผลข้างเคียงของการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยที่อาจเกิดขึ้นได้
ผลข้างเคียงหลังฉีดโบท็อกซ์มักจะเกิดขึ้นในช่วงแรก เช่น
???? อาการบวมแดงหรือช้ำบริเวณที่ฉีด
???? อาจมีอาการปวดหรือระคายเคืองเล็กน้อย
???? อาการตาตก จากการฉีดโบท็อกในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมหรือมากเกินไป อาจทำให้สารโบท็อกกระจายไปยังกล้ามเนื้อบริเวณอื่นที่ไม่ต้องการ

สรุป
การฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยบนใบหน้าเป็นทางเลือกที่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดและรวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้วิธีการผ่าตัด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น สามารถเลือกดูหรือเช็ค โปรโมชั่นโบท็อกซ์ริ้วรอยราคาสุดคุ้ม ได้หรือสอบถามเพิ่มเติมบนหน้าเว็บไซต์ได้ทันที

คำแนะนำเพิ่มเติม
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ : ก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวหน้าและรับคำแนะนำที่เหมาะสม
ติดตามผลหลังฉีด : ควรมีการติดตามผลหลังการฉีดเพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์เป็นไปตามที่ต้องการ และไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น
เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ : ควรใช้โบท็อกซ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
การเลือกวิธีการดูแลผิวพรรณและลดริ้วรอยมีหลายวิธี และการฉีดโบท็อกซ์เป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือกที่ช่วยให้ผิวหน้าดูดีขึ้น การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพผิวในระยะยาวควรเป็นสิ่งที่ทุกคนใส่ใจ เพื่อความงามที่ยั่งยืนในทุกช่วงวัย ทั้งนี้สำหรับใครสนใจการฉีดโบท็อกซ์สามารถทักเข้ามาสอบถามทาง Vincent Clinic Vincent Clinic ได้นะคะ

22
โบท็อกซ์กรามคืออะไร ? ช่วยให้หน้าเรียวจริงไหม ? ใช้กี่ยูนิต ?

การฉีดโบท็อกซ์กราม โบท็อกซ์กราม เป็นหนึ่งในวิธีการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะช่วยให้หน้าเรียวเล็กและดูได้สัดส่วนตามที่ต้องการ ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างละเอียดกับการฉีดโบท็อกกราม ทั้งการทำงานของโบท็อก รวมถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกกรามด้วย



โบท็อกกราม คืออะไร?
โบท็อกกราม โบท็อกกราม คือ การฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) เข้าไปในกล้ามเนื้อกรามเพื่อลดขนาดและความแข็งของกล้ามเนื้อที่ทำให้กรามดูกว้าง การฉีดโบท็อก จะทำให้กล้ามเนื้อกรามคลายตัวและหดลง ซึ่งส่งผลให้รูปหน้าดูเรียวและสมส่วนมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีกรามใหญ่หรือใบหน้ากว้างจากกล้ามเนื้อ

โบท็อกกราม คืออะไร?
โบท็อกกราม คือ การฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) เข้าไปในกล้ามเนื้อกรามเพื่อลดขนาดและความแข็งของกล้ามเนื้อที่ทำให้กรามดูกว้าง การฉีดโบท็อก จะทำให้กล้ามเนื้อกรามคลายตัวและหดลง ซึ่งส่งผลให้รูปหน้าดูเรียวและสมส่วนมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีกรามใหญ่หรือใบหน้ากว้างจากกล้ามเนื้อ



โบท็อกกราม เหมาะกับใคร?
การฉีดโบท็อกลดกรามเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย โดยเฉพาะคนที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่หรือหนาและต้องการลดขนาดกรามให้ดูเล็กลง ซึ่งจะทำให้ใบหน้าได้สัดส่วนและเรียวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยกลุ่มที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกลดกราม ได้แก่
ผู้ที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อและต้องการหน้าเรียว โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม : คนที่มีกล้ามเนื้อบริเวณกราม (Masseter) ใหญ่จนใบหน้าดูเหลี่ยมหรือกว้าง การฉีดโบท็อกจะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลง ทำให้หน้าดูเรียวสวยขึ้น โบท็อกลดกรามเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ในระยะสั้น โดยไม่ต้องพักฟื้นหรือต้องผ่าตัด
ผู้ที่มีใบหน้ากว้าง หรือกรามสองข้างไม่เท่ากัน : ต้องการให้รูปหน้าดูเล็กลง และต้องการปรับรูปหน้าให้ดูสมดุลขึ้น
ผู้ที่มีปัญหากัดฟันหรือฟันบด (Bruxism) : การฉีดโบท็อกช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อกรามที่ใช้ในการกัดฟัน ทำให้อาการกัดฟันตอนกลางคืนลดลง และช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดกับข้อต่อขากรรไกร
ผู้ที่มีอาการปวดกรามจากการใช้กล้ามเนื้อกรามมากเกินไป : สำหรับคนที่มีปัญหาปวดกรามบ่อยครั้ง การฉีดโบท็อกจะช่วยลดแรงตึงในกล้ามเนื้อและลดความรู้สึกไม่สบายที่เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อบริเวณกรามเกินความจำเป็น

โบท็อกกราม ไม่เหมาะกับใคร?
ผู้ที่ไม่เหมาะสมกับการฉีดโบท็อก ได้แก่ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนผสมของโบท็อกหรือมีโรคประจำตัวบางประการ ซึ่งการฉีดอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายได้ โดยกลุ่มบุคคลที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อกประกอบไปด้วย:
ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ : เช่น โรคหอบหืดและโรคถุงลมโป่งพอง เนื่องจากการฉีดโบท็อกอาจมีความเสี่ยงต่อระบบทางเดินหายใจและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตในบางกรณี
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อการกลืน : โบท็อกอาจเพิ่มความเสี่ยงให้กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการกลืนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงอาจไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีปัญหานี้
ผู้ที่มีโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง : เช่น โรค ALS (amyotrophic lateral sclerosis), Lou Gehrig’s disease, myasthenia gravis หรือ Lambert-Eaton syndrome ซึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้อที่มีความเสี่ยงหากได้รับการฉีดโบท็อก เนื่องจากยาจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลงได้อีก
ผู้ที่มีอาการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะฉีด : การฉีดโบท็อกในบริเวณที่มีการติดเชื้ออาจทำให้อาการแย่ลง ดังนั้นควรรอให้ผิวหนังหายดีก่อนรับการฉีด
ผู้ที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โบท็อกอาจทำให้กล้ามเนื้อระบบต่าง ๆ ในร่างกายอ่อนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับระบบปัสสาวะสำหรับผู้ที่มีปัญหาดังกล่าว
นอกจากนี้ ก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อก ควรแจ้งข้อมูลที่สำคัญต่อแพทย์ เช่น เคยมีผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกครั้งก่อน ๆ หรือไม่ มีภาวะเลือดหยุดยาก เขียวช้ำง่าย เคยทำหัตถการอื่น ๆ หรือผ่าตัดบริเวณใบหน้ามาก่อน รวมถึงแจ้งสถานะการตั้งครรภ์หรือการให้นมบุตร ทั้งนี้เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินความปลอดภัยและให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด




การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์กราม
หากมีโรคประจำตัว แพ้ยา แพ้อาหารควรแจ้งแพทย์ก่อนฉีดโบท็อกซ์
ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เป็นเวลา 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
ควรหยุดยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแก้อักเสบ แอสไพริน น้ำมันตับปลา วิตามินอี เป็นต้น เป็นเวลา 7-14 วัน
งดสครับหน้า 2-3 วันก่อนฉีดโบท็อกซ์
หากทำหัตถการอื่น ๆ มาก่อน ควรเว้น 2 สัปดาห์ก่อนฉีดโบท็อกซ์
ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญสูง
ศึกษาข้อมูลการตรวจสอบโบท็อกซ์แท้

การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์กราม
หลังฉีดโบท็อกซ์เสร็จแล้ว ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง (การเคี้ยวหมากฝรั่งภายใน 30 นาทีแรกหลังฉีดโบท็อก จะช่วยกระจายตัวยาและส่งเสริมการดูดซึมของโบท็อกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น)
หลีกเลี่ยงการนอนราบหรือก้มหน้าประมาณ 4 ชั่วโมงหลังฉีด
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากหลังฉีด 24 ชั่วโมง
หลีกเลี่ยงความร้อน 48 ชั่วโมงแรกหลังทำ
ไม่ควรนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดเพื่อป้องกันการกระจายตัวยาไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการ
งดดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารรสจัด อาหารหมักดอง หลังฉีด อย่างน้อย 14 วัน
งดทำหัตถการเลเซอร์ หรือหัตถการที่ใช้ความร้อนหลังฉีดอย่างน้อย 14 วัน
โบท็อกลดกราม ยี่ห้อไหนดี
การเลือกยี่ห้อโบท็อกสำหรับฉีดลดกรามควรพิจารณาจากคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยทั่วไป ยี่ห้อโบท็อกที่ได้รับความนิยมและถือว่ามีมาตรฐานสูง ได้แก่
โบท็อกลดกราม ยี่ห้อไหนดี
การเลือกยี่ห้อโบท็อกสำหรับฉีดลดกรามควรพิจารณาจากคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยทั่วไป ยี่ห้อโบท็อกที่ได้รับความนิยมและถือว่ามีมาตรฐานสูง ได้แก่

โบท็อกลดกราม ยี่ห้อไหนดี
การเลือกยี่ห้อโบท็อกสำหรับฉีดลดกรามควรพิจารณาจากคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยทั่วไป ยี่ห้อโบท็อกที่ได้รับความนิยมและถือว่ามีมาตรฐานสูง ได้แก่

1. Allergan botox
จากประเทศอเมริกา เป็นแบรนด์แรกที่ได้รับการรับรองจากอย. อเมริกา (US FDA) มีความบริสุทธิ์มากที่สุด ถึง 99.5% ทำให้มีโอกาสเกิดการดื้อยาได้น้อยลงเมื่อมีการฉีดซ้ำหลาย ๆ ครั้งจุดเด่นคือออกฤทธิ์ได้แม่นยำ อยู่ได้นานที่สุดรักษาเฉพาะกล้ามเนื้อมัดที่เราต้องการ  เหมาะสำหรับฉีดก้ปัญหาริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า ลดกรามปรับรูปหน้าเรียวเมื่อฉีดแล้วผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน



2. Aestox botox
เป็นโบท็อกซ์จากประเทศเกาหลี  ความบริสุทธิ์มากกว่า 99.5% ได้การรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศเกาหลีใต้ และ องค์การอาหารและยาประเทศไทย จุดเด่นของยี่ห้อนี้ คือ ตัวยามีความเสถียร และควบคุมคุณภาพอย่างเข้มข้นทุกขวด ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ตัวยาออกฤทธิ์เร็ว และเห็นผลไว  ให้ผลลัพธ์ความสวยแบบธรรมชาติ



3. Xeomin
เป็นผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์จากเยอรมัน ผลิตด้วยเทคโนโลยี XTRACT Technology  ที่มีความบริสุทธิ์สูง เพราะมีกระบวนการกำจัดโปรตีนที่ไม่จำเป็นออกจากโมเลกุล จุดเด่นของโบท็อกยี่ห้อนี้คือ โอกาสที่ร่างกายจะเกิดสารต้านโบท็อก (Antibody) ต่ำ แม้จะต้องฉีดโบท็อกหลาย ๆ ครั้ง ปราศจากสิ่งเจือปนที่ไม่จำเป็น มีประสิทธิภาพสูงและทันสมัย ไม่มีสิ่งแปลกปลอม และโปรตีนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายเมื่อฉีดแล้วผลลัพธ์แม่นยำ อยู่ได้นานประมาณ 4-5 เดือน และเนื่องจากขนาดโมเลกุลที่เล็กและบริสุทธิ์ จึงมีการกระจายตัวที่แม่นยำ และปลอดภัยสูง



4. Dysport
โบท็อกซ์จากประเทศอังกฤษ ความบริสุทธิ์ 99% ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยยูนิตที่แตกต่างกัน จุดเด่นของ Dysport คือการกระจายตัวของยาอย่างกว้างขวาง ซึ่งช่วยให้การรักษาไม่กระจุกอยู่ที่จุดเดียว เหมาะสำหรับการฉีดเพื่อลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว รวมถึงลดกรามและยกกระชับผิว โดยทั่วไปจะเห็นผลได้รวดเร็วและมีความเป็นธรรมชาติ​



ฉีดโบท็อกกราม อันตรายไหม?
การฉีดโบท็อกกรามถือว่าค่อนข้างปลอดภัยหากทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาตและใช้โบท็อกที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม หากฉีดโดยบุคคลที่ไม่มีประสบการณ์ เช่น หมอกระเป๋า หรือใช้โบท็อกที่ไม่ได้คุณภาพ ใช้โบหิ้ว ก็อาจมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น กล้ามเนื้อหน้าผิดปกติ หรือผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น อาการบวมแดง การชาหรือเจ็บในบริเวณที่ฉีดได้
ฉีดโบลดกราม กี่วันเห็นผล
ผลของการฉีดโบท็อกกรามจะเริ่มเห็นได้ประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังการฉีด และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 2 เดือนหลังการฉีด การดูแลตนเองหลังฉีดก็มีผลต่อความเร็วในการเห็นผลเช่นกัน ควรหลีกเลี่ยงการกดนวดบริเวณที่ฉีดและไม่ให้หน้าสัมผัสความร้อนสูง
Botox กรามต้องฉีดกี่ยูนิต
ปริมาณยูนิตของโบท็อกที่ใช้สำหรับการฉีดลดกรามจะขึ้นอยู่กับขนาดกล้ามเนื้อและสภาพใบหน้าของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะใช้ 50-100 ยูนิต ต่อข้าง สำหรับผู้ที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อหนาอาจต้องใช้ยูนิตมากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโบท็อก
Q : ฉีดโบท็อกซ์กราม หน้าเรียวจริงไหม?
 A : การฉีดโบท็อกกรามจะทำให้กล้ามเนื้อกรามคลายตัวและหดลง ซึ่งจะทำให้ใบหน้าเรียวขึ้นจริงหลังฉีด โดยเฉพาะในผู้ที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อ ในกรณีที่กรามใหญ่จากกระดูกโครงหน้า โบท็อกอาจไม่ได้ผลในการลดขนาดกราม แต่ยังสามารถช่วยปรับความสมดุลและทำให้ใบหน้าดูเข้ารูปได้มากขึ้น
Q : ทำไมโบท็อกลดกรามแล้ว เหนียงเยอะขึ้น
A : หลังฉีดโบท็อกลดกราม บางคนอาจรู้สึกว่าเหนียงหรือคางสองชั้นดูลดลงหรือเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากการที่กล้ามเนื้อกรามหดตัวและทำให้บริเวณเหนียงหรือคางดูเด่นขึ้น การแก้ไขปัญหานี้สามารถทำได้โดยการทำทรีตเมนต์เสริมอื่นๆ เช่น โบท็อกลิฟต์กรอบหน้า, การใช้ HIFU, Ulthera หรือ Thermage เพื่อยกกระชับผิวหน้าและคอ เพื่อให้บริเวณคางดูเข้ารูปมากขึ้น
Q : ฉีดโบท็อกลดกรามแล้วปากเบี้ยว เกิดจากอะไร?
A : การฉีดโบท็อกกรามแล้วปากเบี้ยวเกิดจากการที่โบท็อกกระจายตัวไปสู่กล้ามเนื้อที่ควบคุมการยิ้มและการพูดหรือฉีดผิดตำแหน่ง ทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณปากทำงานผิดปกติ เพราะฉะนั้นควรเลือกฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญในการฉีดโบท็อกซ์ เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสการเกิดปัญหานี้

Q : ฉีด Botox ลดกรามแล้วหน้าจะตอบ จริงหรือไม่?
A : การฉีดโบท็อกกรามจะทำให้กล้ามเนื้อกรามหดตัวและหน้าดูเรียวลง ซึ่งในบางกรณีอาจทำให้หน้าดูตอบหากเนื้อไขมันในบริเวณแก้มหรือกรามน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่มีโครงหน้าเล็กอยู่แล้ว หากกังวลเรื่องนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดเพื่อตรวจสอบและวางแผนการฉีดอย่างเหมาะสม
Q : ฉีดโบท็อกกรามเจ็บไหม?
A : การฉีดโบท็อกกรามจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในขณะที่เข็มเข้าสู่กล้ามเนื้อ แต่เจ็บน้อยกว่าการฉีดที่บริเวณอื่นเพราะเข็มที่ใช้ฉีดโบท็อกมีขนาดเล็กและส่วนใหญ่มีการใช้ยาชาหรือประคบน้ำแข็ง ใช้ความเย็นเข้าช่วยเพื่อลดความเจ็บ บางคนอาจรู้สึกเพียงแค่ตึงเล็กน้อยในบริเวณกรามหลังฉีด ไม่ถึงกับรู้สึกปวดเจ็บจนทนไม่ได้

Q : ฉีดโบลดกราม ทำให้ยิ้มแข็งๆ ยิ้มไม่สุด จริงไหม?
A : หลังฉีดโบท็อกกราม บางครั้งอาจมีอาการยิ้มไม่สุด การแสดงอารมณ์ของใบหน้าอาจดูแข็งขึ้น เช่น ยิ้มไม่สุด หรือรู้สึกว่าหน้าดูตึงๆ ส่งผลให้การยิ้มดูไม่เป็นธรรมชาติหรือยิ้มได้ไม่เต็มที่ สาเหตุหลักของปัญหานี้มักมาจาก
การฉีดโบท็อกในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม: หากฉีดในตำแหน่งที่ใกล้กับกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยิ้ม (Risorius)มากเกินไป หรือฉีดในจุดที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้สารโบท็อกกระจายไปยังกล้ามเนื้อบริเวณอื่นที่ไม่ต้องการ
ปริมาณโบท็อกที่ใช้มากเกินไป: การใช้ปริมาณโบท็อกมากเกินไปในการฉีด อาจทำให้เกิดการกระจายตัวที่ควบคุมได้ยาก ทำให้กล้ามเนื้ออื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบ
ลักษณะการกระจายตัวของสารโบท็อก: สารโบท็อกบางครั้งอาจกระจายตัวออกไปนอกพื้นที่ที่ฉีดตามธรรมชาติ ซึ่งขึ้นอยู่กับเทคนิคการฉีด ความลึกในการฉีด และสภาพกล้ามเนื้อของผู้ที่รับการฉีด
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจโครงสร้างของใบหน้าเป็นอย่างดี รวมถึงมีประสบการณ์ในการฉีดโบท็อกในจุดต่าง ๆ เพื่อให้สามารถควบคุมตำแหน่งและปริมาณของสารโบท็อกได้อย่างแม่นยำ หากเกิดอาการยิ้มไม่สุดขึ้น อาการมักจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามการสลายตัวของสารโบท็อก โดยทั่วไปอาการจะค่อย ๆ หายภายใน 3-4 เดือน

Q : อยากหน้าเรียว ต้องทำแค่โบท็อกลดกรามจริงไหม?
A : การปรับรูปหน้าให้เรียวสวย ไม่จำเป็นต้องใช้การฉีดโบท็อกลดกรามเพียงอย่างเดียว ยังมีหัตถการอื่น ๆ ที่ช่วยแก้ไขและปรับสัดส่วนใบหน้าได้ตามปัญหาของแต่ละคน ดังนี้
โบท็อกซ์ลดกราม: เหมาะสำหรับผู้ที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่หรือหนา โดยเฉพาะเมื่อกัดกรามแล้วรู้สึกว่ามีกล้ามเนื้อเด้งขึ้นชัดเจน การฉีดโบท็อกจะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อและทำให้ใบหน้าดูเรียวลง
ฟิลเลอร์คาง:สำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้นหรือคางตัด ซึ่งทำให้ใบหน้าดูสั้นเกินไป การฉีดฟิลเลอร์คางจะช่วยเสริมให้คางดูยาวขึ้น ปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนดีขึ้น และเห็นผลได้ทันทีหลังฉีด
ร้อยไหมยกกระชับ:หากมีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม โดยเฉพาะรอบ ๆ มุมปาก การร้อยไหมจะช่วยดึงและยกกระชับผิวบริเวณนี้ให้ดูตึงขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยมากขึ้น แต่หากมีการหย่อนเพียงเล็กน้อย การทำ HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ก็อาจเพียงพอที่จะช่วยยกกระชับผิวได้
ฟิลเลอร์ใต้ตาและร่องแก้ม: ในกรณีที่มีปัญหาร่องลึกบริเวณใต้ตาหรือร่องแก้ม ทำให้หน้าดูโทรมหรือโครงหน้าดูไม่กระชับ การฉีดฟิลเลอร์ในจุดเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มร่องลึก ทำให้หน้าดูสดใสและดูสมส่วนขึ้น ทั้งยังช่วยให้แก้มดูกระชับและโหนกแก้มดูเด่นชัดน้อยลง
การปรับรูปหน้าให้เรียวนั้นขึ้นอยู่กับปัญหาเฉพาะจุดของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้คำแนะนำและเลือกหัตถการที่เหมาะสมตามปัญหา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัย

สรุป
การฉีดโบท็อกกรามสามารถช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวลงและลดขนาดกรามได้ในระยะสั้น ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการหน้าเรียวโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ควรเลือกทำกับคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย หากใครที่สนใจในการฉีดโบท็อกให้ได้ผลที่ดีและมั่นใจได้ว่า เป็นสินค้าที่ได้มาตรฐานและของแท้ ทาง  Vincent Clinic ฉีดฟิลเลอร์[Vincent Clinic] ยินดีให้คำปรึกษากับทุกคนที่สนใจในการฉีดโบท็อกเพื่อเสริมสร้างความสวยและความมั่นใจให้กับทุกคนค่ะ

หน้า: [1]