ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ณัฐพล ชือไพเวสน์

หน้า: [1]
1
Cohesity ก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลก ในฐานะผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ในการปกป้องและสำรองรายใหญ่ที่สุดในโลก
หลังประกาศควบรวมกิจการกับ Veritas สำเร็จ



•   Cohesity ขึ้นแท่นอันดับ 1 ในตลาดซอฟต์แวร์ปกป้องและสำรองข้อมูล โดยให้บริการลูกค้าองค์กรมากกว่า 12,000 ราย พร้อมข้อมูลภายใต้การคุ้มครองหลายร้อยเอ็กซาไบต์ทั่วโลก
•   Cohesity นำเสนอชุดเทคโนโลยีด้านการปกป้องและสำรองข้อมูลที่ครอบคลุมอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งที่สุดในอุตสาหกรรม รวมถึงหลัก ความปลอดภัยข้อมูลแบบ Zero-Trust และ ความสามารถในการให้ข้อมูลเชิงลึกของข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI
•   Cohesity ย้ำคำมั่นสัญญา “ไม่ทิ้งลูกค้าไว้ข้างหลัง” สำหรับทั้งลูกค้าของ Veritas และ Cohesity พร้อมเดินหน้าขยายขีดความสามารถด้านคลาวด์ การรักษาความปลอดภัย และ AI
•   Cohesity กลายเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในธุรกิจการปกป้องและสำรองข้อมูล โดยมีรายได้ต่อปีกว่ามากกว่า  1.5 พันล้านดอลลาร์
•   การควบรวมกิจการครั้งนี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากการระดมทุนรอบ Series H นำโดย Haveli Investments และ Term Loan B ดำเนินการโดย JP Morgan


โคฮีซิตี้ (Cohesity) ผู้นำด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลด้วย AI ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทฯ ได้ควบรวมกิจการกับส่วนธุรกิจการปกป้องและสำรองข้อมูลระดับองค์กรของเวอริทัส (Veritas) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนับเป็นการเปิดศักราชใหม่สำหรับธุรกิจการปกป้องและสำรองข้อมูลระดับโลก        การควบรวมกิจการครั้งนี้ส่งผลให้ Cohesity กลายเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการปกป้องและสำรองข้อมูลรายใหญ่ที่สุดในโลกตามส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งบริการลูกค้ากว่า 12,000 ราย รวมถึงบริษัทชั้นนำระดับโลกกว่า 85 บริษัทที่ติดอันดับ Fortune 100 และเกือบ 70% ของบริษัทที่ติดอันดับ Global 500 และปกป้องและสำรองข้อมูลหลายร้อยเอ็กซาไบต์ทั่วโลก หลังจากที่การควบรวมกิจการครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ Cohesity จะสามารถนำเสนอบริการรองรับเวิร์กโหลดที่ครอบคลุมกว้างขวางที่สุด พร้อมด้วยเครือข่ายพาร์ทเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอุตสาหกรรมการปกป้องและสำรองข้อมูล

Cohesity กลายเป็นบริษัทด้านการปกป้องและสำรองข้อมูลที่มีรายได้กว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรมการปกป้องและสำรองข้อมูล โดยทำรายได้ทะลุหลัก 1.5 พันล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 11 ปี   เมื่อปรับตามเกณฑ์สำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนกรกฎาคม 2567 บริษัทใหม่ ที่เกิดขึ้นภายหลังการควบรวมกิจการมีรายได้มากกว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ โดยเป็นรายได้ประจำรายปี (ARR) อยู่ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์ และมีอัตรากำไร EBITDA ปรับปรุงแล้ว ที่เป็นเงินสดอยู่ที่ 28 เปอร์เซ็นต์

ซันเจย์ พูเนน ประธานและซีอีโอของ Cohesity  กล่าวว่า “นี่คือก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Cohesity ในรอบ 11 ปี ซึ่งมีภารกิจในการปกป้องและสำรองข้อมูล ให้มีความปลอดภัย และนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการผสานรวมสถาปัตยกรรมแบบ Scale-out และความสามารถด้าน Generative AI และ ความสามารถในด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่งของ Cohesity ผนวกเข้ากับ การรองรับเวิร์กโหลดที่หลากหลาย และผู้ใช้ที่กระจายอยู่ทั่วโลกที่ครอบคลุมของ Veritas ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ของเราจะได้รับ ประโยชน์เพิ่มมากขึ้นจากข้อมูลที่มีอยู่ และตามที่เราได้ให้สัญญาไว้ เราจะ “ไม่ทิ้งลูกค้าไว้ข้างหลัง” โดยเราจะยังคงซัพพอร์ตผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ของทั้งสองบริษัทไปอีกเป็นเวลาหลายปี ด้วยการเริ่มต้นหน้าประวัติศาสตร์ใหม่นี้ เรามุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านการรับมือต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Resilience) เพื่อให้แน่ใจว่าเราคือทางเลือกอันดับหนึ่งของโลกในด้านความปลอดภัยข้อมูล พร้อมด้วยความสามารถด้าน AI ที่โดดเด่น"

“เราขอแสดงความยินดีกับ Cohesity สำหรับความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการของ Veritas นอกจากนี้ NVIDIA รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมงานกับ Cohesity ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ GenAI บนแพลตฟอร์ม NVIDIA AI Enterprise”  เจนเซ่น หวง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ NVIDIA กล่าว  “Cohesity คือ ผู้ให้บริการสำรอง และปกป้องข้อมูลทั่วโลก ซึ่งเปรียบเสมือนขุมทรัพย์แห่งคุณค่าทางธุรกิจที่ลูกค้าสามารถปลดล็อกได้ด้วย GenAI “การรวมธุรกิจของ Cohesity และ Veritasในส่วนธุรกิจด้านการปกป้องและสำรองข้อมูล เข้าด้วยกัน  นับเป็นดีลที่มีมูลค่าสูงสุดใน     แวดวงธุรกิจการปกป้องและสำรองข้อมูล ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดสำหรับการสำรองและกู้คืนข้อมูล ด้วยการยกระดับในการรับมือปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของข้อมูล    รวมไปถึงการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้สามารถรับมือต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

 แดเนียล นิวแมน ซีอีโอของ The Futurum Group กล่าว  “ปัจจุบัน Cohesity สามารถรองรับเวิร์กโหลด ได้มากที่สุดด้วยความสามารถระดับโลกในด้านความปลอดภัยและ การให้ข้อมูลเชิงลึกทั้งยังมี และสาขามากที่สุด มีระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วย ผู้ให้บริการ, VAR, พาร์ทเนอร์ด้าน SI และผู้ผลิต OEM จำนวนมาก  โคฮีซิตี้ อยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นในจุดที่มีการบรรจบกันระหว่างมัลติคลาวด์ ระบบความปลอดภัย และ AI ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงอยู่ในเส้นทางการเติบโตที่สดใส ภายใต้การกำกับดูแลของซันเจย์ ผู้บริหารที่มากด้วยประสบการณ์  เราเชื่อว่าบริษัทฯ จะเป็นผู้เล่นรายสำคัญในตลาด โดยจะมีการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมขอบเขตมากเกินกว่าการปกป้องข้อมูล ช่วยให้ผู้บริหารฝ่ายสารสนเทศทั่วโลกสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ AI และเปลี่ยนข้อมูลขององค์กรให้กลายเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน”

ยุคใหม่ของการปกป้องโลกของข้อมูล: การควบรวมกิจการครั้งนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไรต่อลูกค้าและพาร์ทเนอร์
การผนวกรวม Coheity เข้ากับส่วนธุรกิจการปกป้องและสำรองข้อมูลของ Veritas จะนำไปสู่:

•   การสร้างสรรค์นวัตกรรมและความสามารถระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม: บริษัทที่ควบรวมกันนี้จะนำเสนอเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยและการจัดการข้อมูลในระดับคลาวด์          ที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมไปถึงข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วย Generative AI อินเทอร์เฟซการจัดการที่ใช้งานง่าย และกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านการปกป้องข้อมูลแบบมัลติคลาวด์ที่ครอบคลุม ปัจจุบัน Cohesity รองรับเวิร์กโหลดที่หลากหลายที่สุดภายในสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ปรับขนาดได้อย่างยืดหยุ่น
•   ความมั่นใจสำหรับการลงทุนของลูกค้าปัจจุบัน: ในช่วงหลายปีข้างหน้า Cohesity จะยังคงลงทุนและพัฒนาแผนงานและกลยุทธ์สำหรับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่มาจากทั้งสองบริษัทซึ่งถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันในพอร์ตโฟลิโอใหม่ โดยครอบคลุมผลิตภัณฑ์และบริการที่มีอยู่ทั้งหมดของ Cohesity และโซลูชั่นทั้งหมดของ Veritas ที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงการควบรวมกิจการ รวมไปถึง Veritas NetBackup, อุปกรณ์ Veritas NetBackup และโซลูชั่นการปกป้องข้อมูล Veritas Alta
•   การขยายขนาดและการสนับสนุนระดับโลก: ด้วยคะแนน Net Promoter Score ในระดับผู้นำ   ในอุตสาหกรรม และการดำเนินงานด้านการตลาดทั่วโลก ปัจจุบัน โคฮีซิตี้  ให้การสนับสนุนองค์กร   ที่ประสบความสำเร็จด้านการให้บริการลูกค้า “ตลอด 24 ชั่วโมง” ทั่วโลก Cohesity มุ่งมั่นที่จะช่วยให้องค์กรต่างๆ ประสบความสำเร็จด้วยการมอบประสบการณ์ที่ดีและการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในส่วนของงานบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
•   ความสามารถด้าน AI ที่ก้าวล้ำ: ความสามารถด้าน AI รายแรกในตลาด ที่กำลังรอการจดสิทธิบัตรช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์มากมาย ทั้งในส่วนของการจัดการข้อมูล การปกป้องข้อมูล และความยืดหยุ่น และช่วยให้ลูกค้ารับทราบข้อมูลเชิงลึกที่มีนัยสำคัญมากขึ้น และสร้างมูลค่าให้กับทุกหน่วยงานของบริษัทโดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่
•   ระบบนิเวศของพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง: บริษัทที่ควบรวมกันนี้จะรวบรวมระบบนิเวศพาร์ทเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอุตสาหกรรม ครอบคลุมถึงผู้ให้บริการระบบคลาวด์, บริษัทด้านระบบรักษาความปลอดภัย, VAR, ผู้ติดตั้งระบบ, MSP, พาร์ทเนอร์ในระบบนิเวศด้านเทคโนโลยี, พาร์ทเนอร์ด้านการจัดจำหน่าย และผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ OEM

2
ยูโอบี ฟินแล็บ เปิด 6 โครงการนำร่องกรีนเทคของไทย
เตรียมพร้อมรับมือปัญหาท้าทายด้านความยั่งยืนในไทย
15 โครงการนำร่องกรีนเทคทั่วอาเซียนได้รับทุนสนับสนุนกว่า 2.7 ล้านบาท



ยูโอบี ฟินแล็บ (UOB FinLab) หน่วยงานส่งเสริมนวัตกรรมของ  ธนาคารยูโอบี ได้มอบเงินทุนสนับสนุนมูลค่ารวมกว่า 2.7 ล้านบาท (100,000 ดอลลาร์สิงคโปร์) ให้แก่ บริษัทด้านเทคโนโลยีสีเขียว หรือกรีนเทค (GreenTech) ที่ได้รับการคัดเลือก เพื่อนำร่องโซลูชันด้านความยั่งยืน 15 โครงการร่วมกับยูโอบีและองค์กรพันธมิตรต่างๆ ทั่วภูมิภาคอาเซียน  โดยมีบริษัทกรีนเทคของไทย 5 บริษัทได้รับคัดเลือกและรับเงินทุนสนับสนุนเพื่อนำร่อง 6 โซลูชันสำหรับยูโอบี ประเทศไทย และหน่วยงานพันธมิตร โดยบริษัทและโครงการที่ได้รับคัดเลือกทั้งหมดได้รับการเปิดตัวที่งาน GreenTech Accelerator 2024 Showcase Day ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Insights Forum ของ Singapore FinTech Festival

โครงการ GreenTech Accelerator 2024 เป็นโครงการระดับภูมิภาคครั้งที่ 2 ของยูโอบี ฟินแล็บ จัดขึ้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้บริษัทกรีนเทคในอาเซียนสามารถขยายกิจการให้เติบโตและดำเนินการปรับเปลี่ยนองค์กร สร้างความร่วมมือกับพันธมิตร และสร้างโครงการนำร่องเพื่อรับมือกับปัญหา   ท้าทายด้านความยั่งยืนทั่วทั้งภูมิภาค โครงการนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเร่งการพัฒนาโซลูชันเทคโนโลยีที่ยั่งยืนในสิงคโปร์และประเทศต่างๆ ในอาเซียน สำหรับปีนี้บริษัทกรีนเทคจำนวน 33 แห่งผ่านการคัดเลือกจากผู้สมัครกว่า 350 รายเพื่อเข้าร่วมโครงการ โดย 12 บริษัทมาจากสิงคโปร์, 9 บริษัทมาจากมาเลเซีย และ 12 บริษัทมาจากประเทศไทย

นายบัลลังก์ ว่องธวัชชัย Head of Digital Engagement and FinTech Innovation ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการ GreenTech Accelerator 2024 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของธนาคารในการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน โดยอาศัยการดำเนินงาน เครือข่ายบุคลากรที่ทำงานร่วมกันเพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนากรีนเทคที่สร้างผลกระทบเชิงบวกมากขึ้น และยูโอบี ฟินแล็บ จะยังคงทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่ส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมกรีนเทค โดยประสานงานให้บุคลากร องค์กรธุรกิจ หน่วยงานภาครัฐและบริษัท กรีนเทคมารวมตัวกันเพื่อแก้ไขปัญหาท้าทายด้านความยั่งยืนที่เกิดขึ้นจริง เราเชื่อว่าด้วยการสนับสนุนที่เหมาะสมจากเครือข่ายที่แข็งแกร่งและทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง บริษัทกรีนเทคจะสามารถสร้างความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของอาเซียน”

ปัญหาท้าทายที่แท้จริง โซลูชันที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม

จากผลสำรวจ Business Outlook Study 2024 (เอสเอ็มอี & องค์กรขนาดใหญ่) ของยูโอบี พบว่าองค์กรธุรกิจในอาเซียนร้อยละ 87 มองว่าความยั่งยืนมีความสำคัญต่อธุรกิจของตน แต่มีเพียงร้อยละ 44 เท่านั้นที่ปรับใช้แนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ในการปรับใช้แนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืน ประมาณ 1 ใน 3 ระบุว่า จำเป็นต้องมีการสนับสนุนเพื่อเชื่อมโยงกับพันธมิตรด้านโซลูชันที่เหมาะสม

เพื่อตอบสนองต่อความต้องการนี้ โครงการ GreenTech Accelerator 2024 จึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาท้าทายด้านความยั่งยืนจากธุรกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงทั่วอาเซียน สำหรับในปีนี้ยูโอบีและองค์กรพันธมิตร 26 ราย รวมถึงศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี, สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ภิวัฒน์ และคิงด้อม ออร์แกนิค เนทเวิร์ค (Kingdom Organic Network) จากประเทศไทยจากประเทศไทย, DKSH Healthcare และ Ngee Ann Polytechnic จากสิงคโปร์ และ Great Cosmo จากมาเลเซียได้จัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาท้าทายมากกว่า 50 รายการ โดยครอบคลุม 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการขยะ การประหยัดพลังงาน อาหารและเกษตรกรรม เมืองที่ยั่งยืนและการวางผังเมือง การรายงานเกี่ยวกับความยั่งยืนและการจัดการคาร์บอน

ในระหว่างการดำเนินโครงการ บริษัทกรีนเทค 33 แห่งที่เข้าร่วมโครงการได้เสนอโซลูชันโดยอ้างอิงจากข้อมูลเรื่องปัญหาท้าทาย และมีโครงการนำร่อง 15 โครงการได้รับเลือกให้รับทุนสนับสนุนจากยูโอบี ฟินแล็บ ทั้งนี้ 6 โครงการนำร่องจากทั้งหมดจะถูกดำเนินการร่วมกับองค์กรพันธมิตรในประเทศไทย ส่วนที่เหลือ 3 โครงการจะดำเนินการในมาเลเซีย และอีก 6 โครงการในสิงคโปร์

นอกจากนี้ ยูโอบีจะดำเนินโครงการนำร่อง 5 โครงการภายในธนาคารยูโอบีในประเทศไทยและสิงคโปร์ โดยหนึ่งในโครงการนำร่องที่จะดำเนินการที่อาคารยูโอบี พลาซา กรุงเทพ (UOB Plaza Bangkok) คือ เทคโนโลยีของ AltoTech Global สำหรับการวิเคราะห์รูปแบบการใช้พลังงาน ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารฯ สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จะร่วมมือกับ บริษัท GEPP Sa-Ard ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีสีเขียว เพื่อนำร่องโครงการลดปริมาณขยะแบบบูรณาการสำหรับอีเวนต์ต่างๆ ที่จัดขึ้นในศูนย์การแสดงสินค้า  โครงการนำร่องนี้จะช่วยให้อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้จัดงาน และผู้เข้าร่วมงานสามารถลดปริมาณขยะ เพิ่มอัตราการรีไซเคิล และลดค่าใช้จ่ายโดยรวมในการจัดการขยะ นอกจากนั้น ร่วมมือกับ  CERO ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริษัทกรีนเทคที่ได้รับการคัดเลือก นำเสนอ Immersive Sustainability Solution ในการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการจัดงานอีเว้นท์และการเข้าร่วมอีเว้นท์แบบ Realtime นอกจากนั้น CERO จะร่วมมือกับสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ จัดการแข่งขัน Carbon League ครั้งแรกของประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการทำกิจกรรมด้านความยั่งยืนต่าง ๆ เช่น การรีไซเคิล การลดขยะ การเลือกอาหารที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ และการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนสนุกกับการตรวจสอบติดตามและลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของตนเองได้ด้วยพฤติกรรมง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ส่งเสริมค่านิยมคาร์บอนต่ำในกลุ่มคนรุ่นใหม่

ยูโอบี ฟินแล็บ ภายใต้ความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร ได้คัดเลือกบริษัทกรีนเทคและโซลูชันนำร่องที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ด้วยเหตุผลที่ว่าโซลูชันเหล่านี้มีศักยภาพเพียงพอที่จะกำหนดมาตรฐานใหม่เกี่ยวกับแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรม พร้อมทั้งผลักดันการปรับใช้เทคโนโลยีสีเขียวอย่างแพร่หลายทั่วภูมิภาคอาเซียน

โครงการเพิ่มเติมสำหรับการขับเคลื่อนความยั่งยืนในอาเซียน

โครงการ GreenTech Accelerator 2024 ต่อยอดความสำเร็จจากโครงการแรกในปี 2022 ที่สิงคโปร์ ซึ่งมีผู้สมัครเข้าร่วมมากกว่า 150 ราย และนำไปสู่การจัดตั้งโซลูชันนำร่องและโครงการความร่วมมือ 8 รายการ สำหรับโครงการในปีนี้ มีการขยายขอบเขตของโครงการให้กว้างไกลออกไปนอกสิงคโปร์ โดยครอบคลุมตลาดหลักของยูโอบีในอาเซียนอย่างเช่นมาเลเซียและไทย

โครงการนี้เปิดโอกาสให้บริษัทกรีนเทคได้เข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรมาสเตอร์คลาสภายใต้การดูแลของผู้ฝึกสอนระดับภูมิภาคกว่า 30 คน รวมไปถึงโอกาสในการสร้างเครือข่าย และโครงการดังกล่าวยังช่วยให้บริษัทกรีนเทคกระชับความสัมพันธ์ทางธุรกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นผ่านเครือข่ายที่กว้างขวางของยูโอบี ฟินแล็บ ซึ่งประกอบด้วยผู้นำด้านอุตสาหกรรมกว่า 27,000 ราย รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ผู้ให้บริการโซลูชัน ธุรกิจเอกชนและรัฐวิสาหกิจ

ยูโอบี ฟินแล็บ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านความยั่งยืนในอาเซียน โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งมุ่งเน้นการผลักดันการประยุกต์ใช้งานและการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านความยั่งยืนในปี 2025

3
แอสเทลลัส (ประเทศไทย) ส่งมอบความช่วยเหลือ
สถานการณ์น้ำท่วมผ่านมูลนิธิกระจกเงา


บริษัท แอสเทลลัส ฟาร์มา (ประเทศไทย) ได้ร่วมมือกับมูลนิธิกระจกเงาในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ด้วยการมอบถุงบรรเทาทุกข์จำนวน 100 ชุด ซึ่งบรรจุสิ่งของจำเป็นสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม กิจกรรมดังกล่าวนำโดยเภสัชกรเสฏฐพร กำเนิดศุภผล ผู้จัดการทั่วไปของบริษัท พร้อมด้วยทีมอาสาสมัครจากแอสเทลลัส ฟาร์มา เพื่อส่งมอบถุงบรรเทาทุกข์ไปยังชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยจัดกิจกรรม ณ มูลนิธิกระจกเงา เมื่อเร็วๆ นี้
กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองการดำเนินงานครบรอบ 25 ปีในประเทศไทย โดยแอสเทลลัส ฟาร์มา มุ่งเน้นการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทางการแพทย์ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่นในการเป็นพันธมิตรที่ช่วยสนับสนุนชุมชนอย่างต่อเนื่องผ่านการทำงานร่วมกับองค์กรการกุศลหลากหลายแห่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมการบรรเทาทุกข์และการพัฒนาที่ยั่งยืนในสังคม

ในอนาคต แอสเทลลัส ฟาร์มา จะยังคงมุ่งเน้นในการพัฒนายานวัตกรรมสำหรับการรักษาโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคระบบทางเดินปัสสาวะ และการปลูกถ่ายอวัยวะ รวมถึงยารักษาโรคตา ที่กำลังจะนำเสนอให้แก่ผู้ป่วยในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการดูแลสุขภาพอย่างเต็มที่



4
หมอข้อขอไข…ชี้รู้ทันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์!! วายร้ายเสี่ยงพิการ รีบรักษาก่อน เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคที่พบบ่อยเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองแบบอักเสบชนิดหนึ่ง อาการเริ่มแรกมีอาการปวดข้อ มีข้ออักเสบชนิดเรื้อรัง โดยเฉพาะข้อมือ และข้อนิ้วมือ ข้อเข่า ข้อเท้า และข้อนิ้วเท้า ถ้ารู้สึกปวดข้อไม่หายนานเกิน 6 สัปดาห์ขึ้นไปให้รีบมาพบแพทย์ทันที!! ก่อนกระดูกผิดรูปเสี่ยงพิการ!! โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นโรคเรื้อรัง การใช้ยารักษาพุ่งเป้าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการ หากสงสัยอยากรู้แนวทางการรักษา…คลิปนี้มีคำตอบ!! โดย รศ.พญ. ประภาพร พิสิษฐ์กุล อายุรแพทย์เฉพาะทางโรคข้อ และรูมาติซั่ม
https://youtu.be/R_-ra_CLfrY
#หมอข้อขอไข #โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ #รูมาตอยด์ #rheumatoid #rheumatoidarthritis
#รู้ไว้จะได้ไม่ป่วย #รู้ไวหายเร็ว

5
“SVOA” Appointed as Gold Distribution Partner for “HUAWEI eKit”
Specifically Targeting Thai SMEs




SVOA Public Company Limited (SVOA), a leading IT service provider and distributor of IT products from world-class brands, has been officially appointed by “HUAWEI” as its Gold Distribution Partner with Potential Partner for distributing “HUAWEI eKit”. Through this partnership, HUAWEI will leverage SVOA's strong market presence and nationwide distribution channels. Recently at Dusit Thani Hotel, Bangkok Mr. William Zhang, President of Huawei Technologies (Thailand) Co., Ltd., presented the partner certificate to SVOA, represented by Ms.Kulapa Intanate Chief Executive Officer of SVOA Public Company Limited. This collaboration will help strengthen Thai SMEs and enable them to successfully pursue digital transformation with the innovative HUAWEI eKit.






The person in the photo: (from left to right)

1. Mr.Pathom Indarodom Chief Operating Officer IT Digital Solution Business Unit of SVOA Public Company Limited
2. Mr.Jeerawut  Wongpimonporn Chief Operating Officer IT Distribution Strategic Business Unit of SVOA Public Company Limited
3. Ms.Kulapa Intanate Chief Executive Officer of SVOA Public Company Limited,
4. Mr. William Zhang, President of Huawei Technologies (Thailand) Co., Ltd.
5. Mr. Sheldon Wang, Vice President, Enterprise Business, Huawei Technologies (Thailand) Co., Ltd.
6. Mr. Qiuzhijun , Vice President, Enterprise Business, Huawei Technologies (Thailand) Co., Ltd.

6
“เอสวีโอเอ” เปิดตัวในฐานะผู้จัดจำหน่าย "HUAWEI eKit"
ระดับ Gold Distribution Partner ขับเคลื่อนเอสเอ็มอีไทย



บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVOA บริษัทชั้นนำในธุรกิจการให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และผู้จัดจำหน่ายสินค้าและบริการไอทีครบวงจรจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ร่วมมือกับ "HUAWEI"  เป็นผู้จัดจำหน่าย "HUAWEI eKit"  ระดับ Gold Distribution Partner with Potential Partner อย่างเป็นทางการ    ในงาน Digitalization for Success To Official Announcement SVOA as Gold Distribution Partner with Potential Partner ด้วยศักยภาพและความพร้อมของ SVOA ที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าไอทีชั้นนำที่มีอยู่ทั่วทุกภูมิภาค โดยมี นายวิลเลี่ยม จาง ประธานธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้มอบ Certificate ให้กับ SVOA โดยมี นางสาวกุลภา อิงค์ธเนศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) ผู้รับมอบ ซึ่งการร่วมมือกันครั้งนี้จะช่วยกันเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขับเคลื่อนธุรกิจ SME ไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลด้วยนวัตกรรม Huawei eKit เมื่อเร็วๆนี้ ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ



บุคคลในภาพ : (จากซ้ายไปขวา)

1. นายปฐม อินทโรดม ผู้อำนวยการบริหาร กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโซลูชัน บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน)
2. นายจีรวุฒิ วงศ์พิมลพร ผู้อำนวยการบริหาร กลุ่มธุรกิจช่องทางการจัดจำหน่าย บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน)
3. นางสาวกุลภา อิงค์ธเนศ กรรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน)
4. นายวิลเลี่ยม จาง ประธานธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่  (ประเทศไทย) จำกัด
5. นายเชลดอน หวัง รองประธาน เอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด
6. นายวิล ชิว รองประธานธุรกิจ  เอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด


หน้า: [1]