ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ไอแอม บอฟอ

หน้า: [1]
1
โบท็อก (Botox) เป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวพรรณต่าง ๆ เช่น ริ้วรอยบนใบหน้า รอยยับ รอยพับ หรือแม้กระทั่งการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด โบท็อกยังมีคุณสมบัติในการแก้ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น ลดเหงื่อ ลดน่อง และช่วยยกกระชับกรอบหน้า ในบทความนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับโบท็อกว่าแท้จริงแล้วคืออะไร มีอันตรายหรือไม่ และการฉีดโบท็อกในตำแหน่งต่าง ๆ รวมถึงคำแนะนำในการเลือกยี่ห้อที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและปลอดภัย



โบท็อก คืออะไร?
โบท็อก (Botox) คือชื่อทางการค้าของสารที่มีชื่อว่า โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) ซึ่งเป็นสารพิษที่ผลิตจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) โดยสารนี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดมีการทำงานลดลง ส่งผลให้ริ้วรอยบนใบหน้าดูจางลงและผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น เมื่อฉีดโบท็อกเข้าสู่กล้ามเนื้อ โบท็อกจะทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถขยับได้หรือขยับน้อยลง ส่งผลให้ริ้วรอยต่าง ๆ ลดลง เช่น ริ้วรอยตีนกา รอยย่นหน้าผาก และรอยระหว่างคิ้ว

โบท็อก ทำงานอย่างไร?
การฉีดโบท็อกจะทำให้เกิดการทำงานของสารโบทูลินัม ท็อกซิน ซึ่งจะเข้าไปยับยั้งการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทและกล้ามเนื้อ ส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ ทำให้ริ้วรอยต่าง ๆ ลดลง เมื่อฉีดโบท็อกเข้าสู่ร่างกาย สารโบทูลินัม ท็อกซินจะมีการแยกออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่
ส่วนที่ถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์ประสาท สารนี้จะทำให้กล้ามเนื้อที่ถูกฉีดโบท็อกอัมพาตหรือทำงานน้อยลงชั่วคราว
ส่วนที่ไม่ถูกดูดซึม ส่วนนี้จะถูกกระจายไปตามกระแสเลือดและถูกขับออกจากร่างกายโดยไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนอื่น ๆ

โบท็อก ช่วยอะไรได้บ้าง?
โบท็อกสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวพรรณและปรับรูปหน้าได้อย่างเห็นผล โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ลดเลือนริ้วรอย โบท็อกช่วยให้ริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากฉีดไปประมาณ 3-7 วัน ริ้วรอยเช่น ตีนกา หรือรอยยับที่หน้าผากจะเริ่มจางลง
ปรับรูปหน้า โบท็อกสามารถใช้ในการลดขนาดกรามและปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น โดยการฉีดโบท็อกที่กรามจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณกรามหดตัว
ฟื้นฟูผิว โบท็อกยังช่วยลดขนาดของรูขุมขนและต่อมไขมัน ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
ลดเหงื่อ โบท็อกยังใช้ในกรณีของการลดเหงื่อ เช่น การฉีดที่รักแร้หรือน่อง เพื่อช่วยควบคุมการหลั่งของเหงื่อ

โบท็อก อันตรายไหม?
หลายคนอาจกังวลว่าโบท็อกมีอันตรายหรือไม่ หากฉีดผิดวิธีหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น หน้าแข็งหรือยิ้มไม่เป็นธรรมชาติ แต่หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้โบท็อกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน จะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวได้
การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญ การฉีดโบท็อกในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือใช้โบท็อกปลอมอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น หนังตาตก ปากเบี้ยว หรือใบหน้าผิดรูป

โบท็อกปลอมอันตรายไหม?
โบท็อกปลอมคือโบท็อกที่ไม่ได้มาจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ หรืออาจเป็นโบท็อกที่ไม่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน เมื่อใช้โบท็อกปลอม อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ อาการแพ้ หรือผลข้างเคียงอื่น ๆ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายถาวรต่อร่างกาย



ฉีดโบท็อกตำแหน่งไหนได้บ้าง? และฉีดกี่ยูนิต?
การฉีดโบท็อกสามารถฉีดได้ในหลายตำแหน่ง ขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไข โดยจำนวนยูนิตที่ใช้ก็จะขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวณที่ฉีดและปัญหาที่ต้องการรักษา เช่น
โบท็อกหน้าผาก ฉีดเพื่อปรับลดริ้วรอยหน้าผาก ใช้ประมาณ 15-20 ยูนิต
โบท็อกหางตา ใช้ลดริ้วรอยรอบดวงตา ใช้ประมาณ 15-20 ยูนิต
โบท็อกระหว่างคิ้ว ลดรอยยับจากการขมวดคิ้ว ใช้ประมาณ 6-15 ยูนิต
โบท็อกกราม ช่วยลดขนาดกรามและปรับกรอบหน้าให้เรียว ใช้ประมาณ 25-30 ยูนิต



ฉีดโบท็อก ยี่ห้อไหนดี?
การเลือกยี่ห้อโบท็อกเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจฉีดโบท็อก โดยแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป เช่น
โบท็อกซ์ Allergan ผลิตจากอเมริกา มีคุณสมบัติในการกระจายตัวได้ดีและออกฤทธิ์ได้นาน
โบท็อกซ์ Aestox ผลิตจากเกาหลี มีการออกฤทธิ์เร็วและผลลัพธ์ที่ชัดเจน
โบท็อกซ์ Xeomin จากเยอรมัน มีความบริสุทธิ์สูงและไม่มีโปรตีนเจือปน
โบท็อกซ์ Dysport จากอังกฤษ เหมาะสำหรับการลดเหงื่อและยกกระชับผิว

ฉีดโบท็อกที่ไหนดี?
เมื่อเลือกทำการฉีดโบท็อก ควรเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ และแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดโบท็อกอย่างมืออาชีพ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย



การดูแลหลังฉีดโบท็อก
หลังจากการฉีดโบท็อก ควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น งดการนอนราบ ก้มหน้า หรือออกกำลังกายหนัก ๆ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ดีที่สุด

โบท็อกซ์เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมในการลดเลือนริ้วรอย รอยยับ และรอยพับบนใบหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยลดกราม ยกกรอบหน้า รวมถึงลดเหงื่อและขนาดน่องได้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เฉพาะทาง หากคุณสนใจฉีดโบท็อกซ์แต่ยังคงลังเลไม่แน่ใจในยี่ห้อหรือปริมาณที่ควรฉีด แนะนำให้ปรึกษากับทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและเชี่ยวชาญด้านการฉีดโบท็อกซ์ที่ Vincent Clinic ที่นี่ไม่เพียงแต่มีแพทย์ที่มีฝีมือ แต่ยังใช้ผลิตภัณฑ์ที่แท้จริงและสามารถตรวจสอบได้ทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้จะปลอดภัยและตรงตามที่คาดหวังทุกครั้งที่มาใช้บริการ

2
ฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นหัตถการยอดนิยมที่ช่วยปรับรูปทรงริมฝีปากให้สวยงาม เติมเต็มริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มและช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น ปากแห้งแตก มีร่องลึก หรือสีปากหมองคล้ำ อีกทั้งยังสามารถปรับมุมปากให้ดูยกขึ้น เพิ่มความสดใสให้กับใบหน้าได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่าตัด สำหรับใครที่ยังสงสัยว่าฉีดปากแล้วช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง อันตรายไหม เลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ทรงปากแบบไหนเหมาะกับใคร สามารถอ่านเพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้ในบทความนี้



ฉีดฟิลเลอร์ปาก คืออะไร?
ฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นการใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) ฉีดเข้าไปเพื่อเติมเต็มริมฝีปาก ซึ่งสารนี้เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย จึงมีความปลอดภัยสูงและสามารถสลายได้เอง ไม่ทิ้งสารตกค้าง

ประโยชน์ของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
  • เพิ่มความอวบอิ่มและชุ่มชื้นให้ริมฝีปาก
  • ปรับรูปทรงปากให้สวยงามมากขึ้น
  • ลดร่องลึก ปรับเนื้อปากให้เรียบเนียน
  • แก้ปัญหาปากคว่ำ ทำให้ดูเป็นมิตรและสดใสขึ้น
  • ช่วยให้ทาลิปสติกได้ง่ายและติดทนขึ้น

ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับใครบ้าง?
ฉีดฟิลเลอร์ปากไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของริมฝีปากได้อีกด้วย โดยมีคนที่เหมาะกับการฉีดริมฝีปาก ดังนี้
  • คนที่มีริมฝีปากบาง ต้องการให้ปากดูอวบอิ่มขึ้น
  • คนที่มีริมฝีปากแห้ง แตก ลอกง่าย และขาดความชุ่มชื้น
  • คนที่มีร่องปากลึก ปากเป็นริ้ว ไม่เรียบเนียน
  • คนที่ปากคว่ำ ดูเหมือนอารมณ์ไม่ดีตลอดเวลา
  • คนที่อยากได้รูปทรงปากที่สวยงามและเข้ากับใบหน้ามากขึ้น



ฉีดฟิลเลอร์ปาก เลือกทรงไหนดี?
ก่อน ฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรแจ้งความต้องการกับแพทย์ให้ชัดเจนเพื่อที่แพทย์จะได้สามารถช่วยออกแบบการรักษาและเลือกทรงปากที่เหมาะกับใบหน้าของไข้แต่ละคนมากที่สุด โดยมีทรงปากที่ได้รับความนิยม ดังนี้
1. ปากกระจับทรงธรรมชาติ
เหมาะกับคนที่ต้องการให้ปากดูอิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงดูเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากบนจะมีรอยหยักนิด ๆ และริมฝีปากล่างจะอวบกว่าด้านบนเล็กน้อย
2. ปากกระจับชัดเจน
เป็นทรงปากที่มีรอยหยักตรงกลางริมฝีปากบนเป็นรูปตัว M ส่วนริมฝีปากล่างจะมีความโค้งมน เหมาะกับคนที่ต้องการลุคหวานละมุน
3. ปากทรงเกาหลี
เป็นทรงปากที่มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ให้ลุคสดใส ริมฝีปากดูชุ่มฉ่ำเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนที่ต้องการลุคใส ๆ น่ารัก
4. ปากสายฝอ (ทรงอวบอิ่ม)
เป็นทรงปากที่เน้นความอวบอิ่ม เต็มฟู ขอบปากชัดเจน ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ดูเซ็กซี่ขึ้น
5. ปากทรงมาสด้า
เป็นทรงปากที่คล้ายปากกระจับแต่มีความโค้งยาวขึ้น เหมาะกับคนที่ต้องการให้ริมฝีปากดูมีมิติและคมชัด

ฉีดฟิลเลอร์ปาก กี่วันหายบวม?
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก อาการบวมเป็นเรื่องปกติ โดยทั่วไปจะใช้เวลา ประมาณ 3-5 วัน ในการลดบวม และผลลัพธ์ที่เข้าที่สมบูรณ์จะเห็นได้ชัดใน 1-2 สัปดาห์
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการยุบบวม
  • ปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีด
  • เทคนิคของแพทย์
  • การดูแลตัวเองหลังทำ

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
สิ่งที่ควรทำหลังฉีดปาก
  • ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวและคงอยู่ได้นาน
  • ประคบเย็นในช่วง 24 ชั่วโมงแรกเพื่อลดอาการบวม
  • นอนหมอนสูง เพื่อลดอาการบวมและช่วยให้ฟิลเลอร์คงรูป

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหลังฉีดปาก
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารร้อนจัดในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
  • งดนวด หรือกดแรง ๆ บริเวณริมฝีปาก
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ ในช่วง 1-2 วันแรก

ฉีดฟิลเลอร์ปากยี่ห้อไหนดี?
ฉีดฟิลเลอร์ปาก มีให้เลือกใช้หลายยี่ห้อซึ่งแนะนำให้เลือกเป็นเนื้อเจลที่มีความยืดหยุ่นและอุ้มน้ำได้ดี ยี่ห้อยอดนิยม ได้แก่
  • Restylane Kysse – ให้ขอบปากคมชัด ดูเป็นธรรมชาติ
  • Juvederm Volift – เนื้อนิ่ม ยืดหยุ่น ไม่เป็นก้อน
  • Juvederm Ultra Plus – เหมาะกับคนที่ต้องการปากอวบอิ่ม
  • Restylane Vital Light – เนื้อเจลละเอียด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

ฉีดฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานแค่ไหน?
ฟิลเลอร์ปากสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้และการดูแลตัวเอง



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก
ฉีดฟิลเลอร์ปาก เจ็บไหม?
ระหว่างฉีดปากอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยได้บ้าง แต่มีการใช้ยาชาช่วยบรรเทาความรู้สึก จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บมากนัก

ฉีดฟิลเลอร์ปาก ราคาเท่าไหร่?
ราคาฟิลเลอร์ปากขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ ปริมาณที่ฉีด เทคนิคที่ใช้ และประสบการณ์ของแพทย์ผู้ฉีด ซึ่งทำให้มีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละรายบุคคล แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์โดยตรงเพื่อให้ได้รับรายละเอียดที่ครบถ้วนมากที่สุด

ฉีดฟิลเลอร์ปากกับผ่าตัดปาก ต่างกันอย่างไร?
การฉีดฟิลเลอร์เป็นการเติมเต็มริมฝีปากที่สามารถสลายได้เอง ในขณะที่การผ่าตัดปากเป็นการตกแต่งริมฝีปากแบบถาวร

การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปทรงริมฝีปากให้สวยงามโดยไม่ต้องผ่าตัด นอกจากช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม ยังช่วยแก้ปัญหาปากแห้งแตก ร่องลึก หรือมุมปากคว่ำได้อีกด้วย หากใครที่ต้องการฉีดริมฝีปากให้อวบอิ่มหรือต้องการจัดทรงปากให้ได้ตามต้องการ แนะนำให้เข้ามาปรึกษาทีมแพทย์ของ Vincent Clinic เพื่อให้แพทย์มากประสบการณ์ด้านหัตถการสกินช่วยออกแบบการรักษาและฉีดด้วยฟิลเลอร์แท้ สามารถมั่นใจในผลลัพธ์ที่ดีขึ้นหลังทำและมีความปลอดภัย

3
Juvelook เป็นตัวช่วยแก้ปัญหาผิวที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถฟื้นฟูผิวจากความหมองคล้ำ เติมความอิ่มฟู และให้ผิวเด้งฉ่ำวาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเสริมความแข็งแรงให้ผิวสามารถเผชิญกับมลภาวะได้ดีขึ้น สำหรับคำถามต่าง ๆ เช่น ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล หรือผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากบทความนี้



Juvelook คืออะไร?
โปรแกรม Juvelook เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่ม Hybrid Biostimulator ซึ่งประกอบไปด้วย Poly D,L-Lactic Acid (PDLLA) และ Hyaluronic Acid แบบ Non-crosslinked โดยมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการเติมเต็มผิวให้ดูอิ่มฟู และช่วยทำให้ผิวดูชุ่มชื้น ริ้วรอยตื้นขึ้น รูขุมขนกระชับ และช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น

Juvelook ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
Juvelook มีคุณสมบัติที่ช่วยฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผิวหลายประการ ได้แก่
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว - ช่วยให้ผิวดูอิ่มฟูและชุ่มชื้นมากขึ้น ด้วยคุณสมบัติของ Hyaluronic Acid ที่มีอยู่ใน Juvelook ซึ่งสามารถเก็บน้ำในผิวให้ผิวมีความชุ่มชื้น
  • ช่วยกระชับรูขุมขน - การกระตุ้นคอลลาเจนช่วยให้รูขุมขนดูเล็กลง ผิวเรียบเนียน
  • ลดเลือนริ้วรอย - การกระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสตินช่วยให้ริ้วรอยต่าง ๆ จางลง และผิวดูเต่งตึง
  • ฟื้นฟูหลุมสิวและรอยแผลเป็น - ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นและรอยแผลเป็นดูจางลง
  • ลดเลือนจุดด่างดำและรอยแตกลาย - ช่วยให้รอยแตกลายดูจางลง



Juvelook ฉีดที่ไหนได้บ้าง?
การฉีด Juvelook สามารถทำได้ในหลายตำแหน่งบนใบหน้าและผิวกาย ซึ่งตำแหน่งที่นิยมมากที่สุดได้แก่
  • ใบหน้าโดยรวม - ช่วยให้ผิวหน้าดูอิ่มฟู ชุ่มชื้น และกระจ่างใส
  • หน้าผาก - ช่วยลดริ้วรอยและรอยยับที่บริเวณหน้าผาก
  • แก้ม - กระชับรูขุมขนและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในบริเวณนี้
  • ใต้ตา - ช่วยลดรอยหมองคล้ำใต้ตา และริ้วรอยรอบดวงตา
  • หลุมสิว - ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
  • รอบปากและริ้วรอยอื่นๆ - สามารถฉีดเพื่อฟื้นฟูและลดริ้วรอย

Juvelook เหมาะกับใครบ้าง?
Juvelook เป็นหัตถการที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหลายประเภท โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวพรรณจากภายในและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาผิวแบบต่าง ๆ ดังนี้
  • ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้างและผิวหยาบ
  • ผู้ที่มีหลุมสิวหรือรอยแผลเป็นจากสิว
  • ผู้ที่ต้องการผิวเด้ง ฉ่ำวาว และดูอิ่มฟู
  • ผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา
  • ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย เช่น รอยตีนกาและรอยยับบริเวณลำคอ
  • ผู้ที่มีผิวแห้งหรือแต่งหน้าไม่ค่อยติด

Juvelook ราคาเท่าไหร่?
ราคาของการฉีด Juvelook ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาที่แต่ละคนต้องการแก้ไข โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละรายบุคคล จึงแนะนำให้เข้ามาปรึกษากับแพทย์เพื่อรับข้อมูลที่ชัดเจนและรายละเอียดเกี่ยวกับราคาและการรักษาที่เหมาะสม



Juvelook ฉีดกี่ครั้งเห็นผล? ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
หลังจากการฉีด Juvelook ครั้งแรกจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ เช่น ริ้วรอยที่จางลงและผิวที่เริ่มฟื้นฟู หากมีปัญหาผิวหลายประการ อาจจะต้องทำการฉีดเพิ่มเติมในระยะเวลา 1 เดือนประมาณ 3 ครั้ง เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและยั่งยืน โดยหลังจากนั้นสามารถฉีดย้ำได้ทุก 6–12 เดือน และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ประมาณ 1 ปี

Juvelook กับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น Sculptra, Rejuran, และ Filler มีความแตกต่างกันอย่างไร?
  • Juvelook vs Sculptra: Juvelook ใช้ส่วนผสมหลักคือ PDLLA และ Non-crosslinked Hyaluronic Acid ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นคอลลาเจน ขณะที่ Sculptra ใช้ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเน้นการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อการยกกระชับผิว
  • Juvelook vs Rejuran: Juvelook ช่วยเพิ่มคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิว ขณะที่ Rejuran จะช่วยในการฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรงและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่
  • Juvelook vs Filler: Juvelook เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนและการเติมเต็มผิวให้ดูสุขภาพดี ส่วน Filler เป็นการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป เช่น การยกกระชับหรือเติมเต็มบริเวณที่มีการสูญเสียเนื้อเยื่อ

การดูแลตัวเองหลังการฉีด Juvelook
หลังจากการฉีด Juvelook ผู้ที่ทำหัตถการควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์หรือน้ำหอม
  • งดการขัดผิวหรือการนวดในบริเวณที่ฉีด
  • ห้ามแต่งหน้าในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
  • ใช้ครีมกันแดดและมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อปกป้องผิว
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

สรุป
Juvelook เป็นหัตถการที่สามารถฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และเติมเต็มผิวให้ดูอิ่มฟู ชุ่มชื้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการการดูแลผิวที่รวดเร็วและไม่ต้องพักฟื้น.

4
ในโลกของการดูแลผิวพรรณและความงาม เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการรักษาผิวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น หนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมและเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในปัจจุบันคือ Pico Laser ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการรักษาผิวที่มีความทันสมัย แต่ยังสามารถให้ผลลัพธ์ที่เกินคาด จนทำให้หลายคนที่เคยพยายามรักษาปัญหาผิวด้วยวิธีการอื่นๆ เปลี่ยนมาลองใช้ Pico Laser กันมากขึ้นเรื่อยๆ



Pico Laser คืออะไร?
Pico Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ชนิดหนึ่งที่ใช้พลังงานในระดับ Picosecond (หนึ่งพันล้านล้านวินาที) ซึ่งเป็นหน่วยเวลาที่สั้นมาก ทำให้การปล่อยพลังงานของเลเซอร์ในแต่ละครั้งมีความรวดเร็วและมีความแม่นยำสูง สิ่งนี้ทำให้ Pico Laser มีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวต่างๆ โดยไม่ทำให้ผิวบริเวณใกล้เคียงเกิดการเสียหายหรือระคายเคือง การใช้พลังงานในช่วงเวลาสั้นๆ ช่วยให้การทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติ เช่น รอยสิว ฝ้า กระ หรือรอยดำจากแสงแดด สามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำลายเซลล์ผิวที่ดี ปลอดภัย และไม่เจ็บปวด

Pico Laser ทำงานอย่างไร?
หลักการทำงานของ Pico Laser คือการปล่อยแสงเลเซอร์ที่มีพลังงานสูงออกมาในช่วงเวลาสั้นมาก ซึ่งช่วยทำลายเม็ดสีที่สะสมในชั้นผิวหนัง เช่น เม็ดสีที่เกิดจากรอยสิว ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำ จากนั้นเม็ดสีที่แตกออกจากการกระทบของเลเซอร์จะถูกขับออกจากร่างกายผ่านกระบวนการธรรมชาติ นอกจากการทำลายเม็ดสีแล้ว Pico Laser ยังช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ กระชับ และเรียบเนียนขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวและลดเลือนริ้วรอย



Pico Laser ใช้รักษาปัญหาผิวใดได้บ้าง?
  • รอยสิวและแผลเป็นจากสิว รอยสิวและแผลเป็นจากสิวเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนที่มีผิวมันหรือเป็นสิวง่าย Pico Laser สามารถช่วยลดรอยสิวและแผลเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการทำลายเม็ดสีที่ทำให้เกิดรอยดำและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่เรียบเนียน
  • ฝ้าและกระ ฝ้าและกระเกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในผิวหนังที่มากเกินไป ซึ่งทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำและไม่สม่ำเสมอ Pico Laser สามารถช่วยลดปัญหาผิวเหล่านี้ได้ โดยการทำลายเม็ดสีที่สะสม และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ที่กระจ่างใสและเรียบเนียน
  • จุดด่างดำจากแสงแดด การโดนแสงแดดในระยะเวลานานสามารถทำให้เกิดจุดด่างดำและความหมองคล้ำบนผิวหน้า Pico Laser ช่วยลดการสะสมของเม็ดสีและทำให้ผิวกลับมามีความกระจ่างใสได้อย่างรวดเร็ว
  • ริ้วรอยและความหย่อนคล้อย การทำ Pico Laser ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนัง ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับ ช่วยลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • การปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ผู้ที่มีผิวหน้าหรือผิวกายที่มีการเปลี่ยนแปลงสีผิว หรือมีผิวที่ดูไม่สม่ำเสมอ Pico Laser สามารถช่วยปรับสีผิวให้มีความสม่ำเสมอ และคืนความกระจ่างใสให้กับผิวได้อย่างน่าทึ่ง

กระบวนการทำ Pico Laser
การทำ Pico Laser เริ่มต้นจากการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินปัญหาผิวของคุณ จากนั้นจะทำความสะอาดผิวหน้าและทายาชาในบริเวณที่จะทำการรักษาเพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างสะดวกและไม่เจ็บปวด ขั้นตอนการรักษาจะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ที่ต้องการรักษา
หลังจากการรักษาผ่านไป ผู้เข้ารับการรักษาจะสามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ทันที โดยไม่มีความจำเป็นต้องพักฟื้นหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมต่างๆ หากมีอาการแดงหรือบวมเล็กน้อยในช่วงแรกจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง

ข้อดีของการทำ Pico Laser
  • ผลลัพธ์ที่เร็วและเห็นผลชัดเจน Pico Laser เป็นการรักษาที่สามารถเห็นผลได้รวดเร็วและชัดเจน เพียงแค่ทำการรักษาครั้งแรกก็สามารถเห็นความแตกต่างได้
  • ไม่ต้องพักฟื้น การทำ Pico Laser ไม่จำเป็นต้องพักฟื้นนาน คุณสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังการรักษา
  • ปลอดภัยและไม่เจ็บปวด ด้วยการใช้พลังงานในช่วงเวลาที่สั้นมาก การทำ Pico Laser จึงไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดและไม่ทำลายผิวหนังรอบๆ
  • สามารถรักษาได้หลายปัญหาผิว Pico Laser เหมาะสำหรับการรักษาผิวหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว ฝ้า กระ หรือริ้วรอยต่างๆ ทำให้มันเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมในการฟื้นฟูผิว

Pico Laser ราคาเท่าไหร่
ราคาของ Pico Laser สามารถแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น คลินิกที่ทำการรักษา, พื้นที่ที่คุณอยู่อาศัย, ขนาดของบริเวณที่ทำการรักษา, และจำนวนครั้งที่ต้องทำการรักษา ซึ่งราคาโดยประมาณจะอยู่ในช่วงประมาณ
  • ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 2,000 - 5,000 บาท ต่อครั้ง (ขึ้นอยู่กับบริเวณที่รักษาและประเภทของปัญหาผิวที่ทำการรักษา)
  • ราคาโดยเฉลี่ย: ประมาณ 4,000 - 8,000 บาท ต่อครั้ง (บางคลินิกอาจมีโปรโมชันหรือแพ็กเกจราคาพิเศษสำหรับการรักษาหลายครั้ง)
  • แพ็กเกจหรือคอร์ส: หากทำการรักษาหลายครั้งอาจมีราคาที่ลดลง เช่น 10,000 - 20,000 บาท สำหรับการทำ Pico Laser จำนวน 3-5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับคลินิกและโปรโมชัน
การคำนวณราคาขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาผิวของแต่ละคน หากคุณต้องการคำแนะนำหรือราคาที่ชัดเจนที่สุด ควรติดต่อคลินิกที่ให้บริการ Pico Laser เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับราคาตามลักษณะปัญหาผิวของคุณโดยตรงค่ะ

สรุป
Pico Laser เป็นการฟื้นฟูผิวที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาปัญหาผิวที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือริ้วรอยต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัยและพลังงานที่ปล่อยออกมาในช่วงเวลาสั้นมาก จึงสามารถให้ผลลัพธ์ที่คุณคาดไม่ถึง โดยไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมต่างๆ หากคุณกำลังมองหาวิธีการฟื้นฟูผิวที่ทั้งปลอดภัยและเห็นผลเร็ว Pico Laser เป็นทางเลือกที่คุณไม่ควรพลาด

5
ปัจจุบัน การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า เติมเต็มร่องลึก และเสริมความอ่อนเยาว์ให้กับผิว อย่างไรก็ตาม การ ฉีดฟิลเลอร์ ให้ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้น จำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน หากเผลอใช้ฟิลเลอร์ปลอม อาจเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงตามมา ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฉีด ควรทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างฟิลเลอร์แท้และฟิลเลอร์ปลอม รวมถึงวิธีการสังเกตเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

ฟิลเลอร์แท้คืออะไร
ฟิลเลอร์แท้ คือสารเติมเต็มที่ได้รับการรับรองจากองค์กรทางการแพทย์ เช่น อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ของไทย หรือ FDA (Food and Drug Administration) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ ไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำ เติมเต็มร่องลึก และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยฟิลเลอร์แท้จะสามารถสลายได้ 100% ตามระยะเวลาที่กำหนด และสามารถฉีดสลายด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ได้ในกรณีที่ต้องการปรับแก้ไข

คุณสมบัติของฟิลเลอร์แท้
  • ได้รับการรับรองจากองค์กรทางการแพทย์
  • มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid ที่สามารถสลายได้เอง
  • มีอายุการใช้งานตามระยะเวลาที่กำหนด (6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์)
  • สามารถฉีดสลายได้หากเกิดปัญหา
  • มีบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิท พร้อมระบุรายละเอียดชัดเจน เช่น เลขทะเบียน อย. และวันหมดอายุ

ฟิลเลอร์ปลอมคืออะไร
ฟิลเลอร์ปลอม คือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นสารเติมเต็มที่ไม่มีการรับรองทางการแพทย์ อาจเป็นสารจำพวกซิลิโคนเหลว พาราฟิน หรือสารที่ไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ การฉีดฟิลเลอร์ปลอมเข้าไปในร่างกาย อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรง เช่น การอักเสบ ติดเชื้อ ไหลไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการ หรือแม้แต่เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น เส้นเลือดอุดตันจนเกิดเนื้อตาย



ลักษณะของฟิลเลอร์ปลอม
  • ไม่ได้รับการรับรองจาก อย. หรือ FDA
  • มีส่วนผสมของสารที่ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ เช่น ซิลิโคนเหลว หรือพอลิเมอร์บางชนิด
  • มักไม่มีฉลากชัดเจน หรือมีฉลากปลอมแปลง
  • ราคาถูกผิดปกติ
  • ไม่สามารถฉีดสลายได้ ต้องผ่าตัดขูดออกในกรณีเกิดปัญหา

วิธีสังเกตฟิลเลอร์แท้ vs ฟิลเลอร์ปลอม
  • ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ ฟิลเลอร์แท้จะมีบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิท พร้อมระบุชื่อแบรนด์ รุ่น และหมายเลขล็อตที่สามารถตรวจสอบได้ ฟิลเลอร์ปลอมมักมีบรรจุภัณฑ์ที่ดูไม่เรียบร้อย หรืออาจไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน
  • ดูราคาที่สมเหตุสมผล ฟิลเลอร์แท้มีต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการวิจัยและรับรองมาตรฐาน ราคาจึงค่อนข้างสูง หากพบว่าคลินิกใดเสนอราคาถูกมากเกินไป ควรตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม
  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน คลินิกที่ให้บริการฉีดฟิลเลอร์ควรมีใบอนุญาตดำเนินการทางการแพทย์ ถูกต้องตามกฎหมาย และดำเนินการโดยแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพ ควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ตามบ้าน หรือคลินิกเถื่อนที่ไม่มีใบอนุญาต
  • สอบถามแพทย์ก่อนฉีด ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรสอบถามแพทย์เกี่ยวกับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้ พร้อมขอดูบรรจุภัณฑ์จริง แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญจะสามารถอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับฟิลเลอร์แต่ละชนิดได้อย่างชัดเจน
  • สังเกตผลลัพธ์หลังฉีด ฟิลเลอร์แท้จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ผิวเรียบเนียน และสามารถสลายไปเองตามระยะเวลา หากเป็นฟิลเลอร์ปลอม อาจทำให้เกิดก้อนแข็ง ผิวเป็นคลื่น หรือเกิดอาการบวมอักเสบผิดปกติ

อันตรายของการใช้ฟิลเลอร์ปลอม
การฉีดฟิลเลอร์ปลอมอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะสั้นและระยะยาว ได้แก่
  • การอักเสบและติดเชื้อ
  • ฟิลเลอร์แข็งตัวเป็นก้อนผิดรูป
  • เส้นเลือดอุดตัน ส่งผลให้เนื้อตายหรือเกิดภาวะตาบอด
  • ฟิลเลอร์ไหลไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการ
  • ต้องทำการผ่าตัดเอาสารแปลกปลอมออก ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลเป็นถาวร

ฟิลเลอร์ปลอมกับฟิลเลอร์หิ้วต่างกันอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่
ฟิลเลอร์ปลอม คือ ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้รับการรับรองจากอย. หรือไม่ได้มาตรฐานการผลิต อาจมีสารที่อันตรายต่อร่างกาย เช่น ซิลิโคนเหลวหรือสารสังเคราะห์ที่ไม่ได้คุณภาพ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น การติดเชื้อ บวมแดง หรือการอุดตันเส้นเลือดและเนื้อตายได้
ฟิลเลอร์หิ้ว คือ ฟิลเลอร์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศโดยไม่ผ่านกระบวนการควบคุมของประเทศไทย อาจไม่ได้รับการตรวจสอบมาตรฐานหรืออย. อย่างเป็นทางการ ทำให้ความปลอดภัยไม่สามารถรับประกันได้ ถึงแม้ว่าฟิลเลอร์หิ้วบางชนิดอาจเป็นของแท้จากบริษัทที่มีชื่อเสียง แต่การขนส่งหรือการเก็บรักษาไม่ถูกต้องก็อาจส่งผลต่อคุณภาพของฟิลเลอร์

ความแตกต่างระหว่างฟิลเลอร์ปลอมและฟิลเลอร์หิ้ว
  ·  ฟิลเลอร์ปลอม มักมีสารอันตรายและไม่ได้รับการรับรอง
  ·  ฟิลเลอร์หิ้ว อาจเป็นของแท้แต่ไม่ผ่านการควบคุมมาตรฐานการนำเข้า
  ·  ฟิลเลอร์หิ้ว อาจไม่ได้รับการเก็บรักษาอย่างเหมาะสมทำให้เสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพ

วิธีรักษาเมื่อฉีดฟิลเลอร์ปลอม ต้องทำอย่างไรให้ปลอดภัย
  • พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที หากสงสัยว่าฉีดฟิลเลอร์ปลอม ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังหรือศัลยกรรมตกแต่งเพื่อตรวจเช็กและวางแผนการรักษา
  • ใช้ยาต้านอักเสบหรือยาปฏิชีวนะ หากมีอาการบวมแดง อักเสบ หรือเป็นก้อน แพทย์อาจให้ยาลดอักเสบหรือยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการติดเชื้อ
  • ผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออก ในกรณีที่ฟิลเลอร์ปลอมจับตัวเป็นก้อนแข็งหรือกระจายไปยังส่วนอื่นของใบหน้า อาจต้องใช้การผ่าตัดเพื่อเอาสารแปลกปลอมออก
  • หลีกเลี่ยงการกดนวดหรือพยายามบีบออกเอง การพยายามนวดหรือกดอาจทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวไปยังบริเวณอื่นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบหรือติดเชื้อ



ฟิลเลอร์ สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง
ฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายจุดทั่วใบหน้า เพื่อเติมเต็ม ปรับรูปหน้า และลดริ้วรอย จุดที่นิยมฉีด ได้แก่
  • ใต้ตา ลดรอยคล้ำและความลึกใต้ตา
  • ร่องแก้ม เติมเต็มร่องลึก ให้หน้าดูสดใสขึ้น
  • แก้มส้ม เพิ่มมิติให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
  • ขมับ เติมเต็มขมับตอบให้หน้าดูสมส่วน
  • คาง ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวยาวขึ้น
  • กรอบหน้า  เสริมมิติให้ใบหน้าดูคมชัด
  • ริมฝีปาก  เติมเต็มให้ดูอวบอิ่มและได้รูป
  • จมูก  ใช้เสริมดั้งให้ดูโด่งขึ้น (แต่มีข้อจำกัดเรื่องความปลอดภัย)
ฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายตำแหน่งขึ้นอยู่กับความต้องการ แต่ควรฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัย

สรุป
การเลือกฉีดฟิลเลอร์ ควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นหลัก โดยเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน อย่าหลงเชื่อราคาถูกหรือโปรโมชั่นที่น่าสงสัย เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่แก้ไขได้ยาก หากไม่แน่ใจ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและปลอดภัยในระยะยาว

6
Volnewmer เป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ในยุคที่การดูแลผิวพรรณเป็นสิ่งสำคัญ การรักษาผิวหน้าให้กระชับและกระจ่างใสปราศจากริ้วรอยเป็นเป้าหมายที่หลายคนปรารถนา แต่ความท้าทายของผิวที่ต้องเผชิญกับมลภาวะ แสงแดด ความเครียด และอายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้น และการผลิตคอลลาเจนลดลง



Volnewmer คืออะไร?
Volnewmer เป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยอาศัยเทคนิคการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวกระชับและยืดหยุ่น Volnewmer ไม่ได้เพียงเติมเต็มชั้นผิวที่ตื้นเท่านั้น แต่ยังทำงานในระดับลึกของผิวหนังเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและสุขภาพผิวในระยะยาว

Volnewmer มีการทำงานอย่างไร ?
Volnewmer ทำงานด้วยการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวผ่านสารบำรุงเฉพาะที่มีคุณสมบัติช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิว กระบวนการนี้ช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังสามารถซ่อมแซมตัวเองและเพิ่มความยืดหยุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์คือผิวที่ดูแน่นกระชับ ริ้วรอยลดเลือน และสีผิวที่สม่ำเสมอ



Volnewmer มีข้อดีอย่างไรบ้าง
1. ฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก Volnewmer ไม่ได้เพียงช่วยให้ผิวดูดีในระดับพื้นผิว แต่ยังฟื้นฟูผิวจากภายในโดยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวลึก
2. ลดเลือนริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ริ้วรอยบนใบหน้าที่มักเกิดจากการแสดงอารมณ์ เช่น บริเวณรอบดวงตา หน้าผาก และร่องแก้ม จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ด้วยการกระตุ้นให้ผิวเต่งตึงและลดความลึกของร่องริ้วรอย
3. ผิวกระจ่างใสและเรียบเนียน การฟื้นฟูผิวด้วย Volnewmer ยังช่วยปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอ พร้อมลดจุดด่างดำและความหมองคล้ำ
4. ปลอดภัยและไม่ต้องพักฟื้น Volnewmer เป็นวิธีการดูแลผิวที่ไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือกระบวนการที่มีความเสี่ยงสูง ผู้รับบริการสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที



Volnewmer เหมาะกับใคร?
Volnewmer เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับริ้วรอย จุดด่างดำ ความหย่อนคล้อย หรือผิวที่ดูหมองคล้ำ รวมถึงผู้ที่ต้องการเพิ่มความกระจ่างใสและฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
บริเวณที่ Volnewmer สามารถดูแลได้
  - รอบดวงตา ลดเลือนริ้วรอยใต้ตาและถุงใต้ตา
  - หน้าผาก ช่วยลดรอยย่นและริ้วรอยจากการขยับกล้ามเนื้อ
  - ร่องแก้ม ฟื้นฟูความตึงกระชับบริเวณร่องแก้มที่หย่อนคล้อย
  - รอบปาก ลดริ้วรอยเล็กๆ บริเวณข้างปากและมุมปาก
  - คางและลำคอ ช่วยกระชับผิวที่หย่อนคล้อยและปรับรูปร่างให้ดูเรียบเนียน
หมายเหตุ : ค่าใช้จ่ายในการทำ Volnewmer ราคา ในแต่ละจุดมีความแตกต่างขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคุณ

Volnewmer เจ็บไหม?
Volnewmer เป็นนวัตกรรมใหม่ในการฟื้นฟูผิว ลดเลือนริ้วรอย และช่วยให้ผิวกระชับและกระจ่างใส ด้วยเทคโนโลยีที่เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิว การทำ Volnewmer นั้นไม่จำเป็นต้องใช้การผ่าตัดหรือกระบวนการที่ซับซ้อน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บปวดหรือการพักฟื้นเป็นเวลานาน

ความรู้สึกระหว่างทำ Volnewmer
การทำ Volnewmer อาจให้ความรู้สึกเล็กน้อยในบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความไวของผิวหนังและตำแหน่งที่ทำการรักษา อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกที่พบส่วนใหญ่มักอยู่ในระดับที่สามารถทนได้ เช่น
  - ความรู้สึกอุ่นหรือร้อนเล็กน้อย
  - ความรู้สึกเหมือนผิวถูกกระตุ้นเบาๆ
เพื่อให้ผู้รับบริการรู้สึกสบายและลดความไม่สบายตัว คลินิกส่วนใหญ่มักใช้เทคนิคในการเตรียมผิว เช่น การทายาชาหรือการประคบเย็นก่อนเริ่มทำ Volnewmer

Volnewmer หลังทำเจ็บหรือไม่?
Volnewmer หลังทำมักไม่รู้สึกเจ็บหรืออาจรู้สึกระคายเคืองเล็กน้อยในบริเวณที่ทำ เช่น ผิวแดงเล็กน้อยหรือความรู้สึกตึงผิว ซึ่งเป็นอาการชั่วคราวและมักหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงถึง 1-2 วัน

Volnewmer วิธีการดูแลผิวหลังการทำ
Volnewmer หลังทำควรดูแลผิวเพื่อเสริมผลลัพธ์ที่ยาวนาน โดยการทาครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้น ใช้ครีมกันแดดทุกวัน และหลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคือง

Volnewmer และ Thermage ต่างกันอย่างไร
Volnewmer และ Thermage เป็นเทคโนโลยีความงามที่ใช้ในการยกกระชับผิวและปรับปรุงสภาพผิว แต่ทั้งสองมีจุดเด่นและวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน ดังนี้

  - Volnewmer ใช้คลื่นไมโครเวฟ (Microwave) ที่สามารถส่งพลังงานลงไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง คลื่นไมโครเวฟจะกระตุ้นให้ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเกิดการย่อยสลาย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นลึกผลลัพธ์ที่ได้คือผิวเรียบเนียนขึ้น รูปหน้ากระชับ และลดไขมันบริเวณที่ทำการรักษา เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมใต้ผิวหนัง ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวและกระชับขึ้น สามารถลดไขมันและยกกระชับในขั้นตอนเดียว ผลลัพธ์ชัดเจนใน 2-3 สัปดาห์ และดีขึ้นต่อเนื่องใน 3 เดือน
  - Thermage ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency : RF) จะส่งพลังงานความร้อนไปที่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวตึงกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และปรับผิวให้เรียบเนียน เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือริ้วรอยตื้นและลึก ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด
การเลือกวิธีการรักษาควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและสภาพผิวของคุณโดยตรงจุดมากยิ่งขึ้น

สรุป
Volnewmer เป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ต้องการดูแลผิวหน้าให้กระชับ กระจ่างใส และปราศจากริ้วรอย ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวลึก ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่ดูอ่อนเยาว์ สุขภาพดี และมีความยืดหยุ่นในระยะยาว หากคุณกำลังมองหาวิธีฟื้นฟูผิวที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย Volnewmer คือคำตอบที่คุณไม่ควรพลาด โดยการทำ Volnewmer ราคา จะแตกต่างกันไปตามปัญหาผิวของแต่ละบุคคล สามารถปรึกษาและรับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ Vincent Clinic ให้เราเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในการคืนความกระจ่างใสและความกระชับให้ผิวของคุณ

7
การทำตาสองชั้นเป็นหัตถการยอดนิยมที่ช่วยแก้ปัญหาดวงตาเล็ก ตาชั้นเดียว หรือแม้แต่หนังตาตก เพื่อลับรูปทรงดวงตาให้ดูโดดเด่นและมีมิติ เทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำตาสองชั้นมีความหลากหลาย โดยการเลือกเทคนิคที่เหมาะสมสามารถช่วยแก้ไขปัญหาของแต่ละบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ



ตาสองชั้นคืออะไร?

ตาสองชั้นคือการสร้างชั้นตาที่ชัดเจน ทำให้ดวงตาดูกลมโตและมีมิติ เป็นที่นิยมทั้งในหมู่ผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะในกลุ่มคนเอเชียที่มักมีตาชั้นเดียว หรือชั้นตาไม่ชัดเจน การมีชั้นตาช่วยไม่เพียงแต่เพิ่มความสวยงามให้กับดวงตา แต่ยังช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก หรือไขมันส่วนเกินบริเวณเปลือกตาที่อาจรบกวนการมองเห็น

ประโยชน์ของการทำตาสองชั้น

การทำ ตาสองชั้น ไม่ได้มีแค่การเสริมความงามเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ที่สำคัญ ดังนี้:

1. มิติให้ดวงตา: ช่วยทำให้ดวงตาดูกลมโตและมีมิติ ดูสดใสและอ่อนเยาว์

2. แก้ปัญหาหนังตาตก: สำหรับผู้ที่มีหนังตาตกจนรบกวนการมองเห็น หรือทำให้ดวงตาดูเศร้า การทำตาสองชั้นสามารถช่วยยกหนังตาให้ตึงและดูเปิดกว้างขึ้น

3. ปรับรูปตาให้สมมาตร: แก้ไขปัญหาชั้นตาไม่เท่ากัน หรือชั้นตาที่เบลอ

4. เพิ่มความมั่นใจ: ดวงตาที่สดใสและกลมโตสามารถเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจให้กับบุคคล

5. ช่วยให้การแต่งหน้าเป็นเรื่องง่าย: ผู้ที่มีชั้นตาชัดเจนสามารถแต่งตาได้ง่ายขึ้น อายแชโดว์หรืออายไลเนอร์จะดูสวยและติดทน

6. แก้ปัญหาหนังตาเกินในผู้สูงอายุ: ลดปัญหาหนังตาเกินที่อาจทำให้การมองเห็นลดลง

ใครควรทำตาสองชั้น?

การทำตาสองชั้นเหมาะกับผู้ที่มีตาชั้นเดียว ชั้นตาไม่ชัด หรือมีปัญหาชั้นตาที่ไม่เท่ากัน รวมถึงผู้ที่มีหนังตาตกหรือเปลือกตาหย่อนคล้อยจากอายุหรือพันธุกรรม นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาดวงตาที่บวม หรือมองไม่ชัดเจน

เทคนิคการทำตาสองชั้น

การทำตาสองชั้นมีหลายเทคนิคที่สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมของผู้เข้ารับการรักษา:

1. เทคนิคเย็บ 3 จุด: เหมาะกับคนที่มีเปลือกตาบาง ไม่มีไขมันส่วนเกิน สามารถทำได้โดยไม่ต้องกรีดผิวหนัง ข้อดีคือแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว

2. เทคนิคกรีดสั้น: ใช้การกรีดสั้นบริเวณเปลือกตา เพื่อสร้างชั้นตาที่ชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาชั้นตาไม่ชัดเจน

3. เทคนิคกรีดยาว: ใช้การกรีดผิวหนังตลอดแนวชั้นตา เหมาะกับคนที่มีปัญหาหนังตาตกมาก หรือไขมันส่วนเกิน



4. เทคนิค Sakura Eyes ที่ Vincent Clinic

ที่ Vincent Clinic เรามีการใช้เทคนิค Sakura Eyes ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อสร้างชั้นตาที่ดูเป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับโครงหน้าโดยเฉพาะ เทคนิคนี้ได้รับการพัฒนาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ข้อดีของเทคนิค Sakura Eyes

 - ชั้นตาที่ดูเป็นธรรมชาติ: สร้างชั้นตาที่ดูสวยงาม เข้ากับโครงหน้าของผู้รับการรักษา

 - เทคนิคเฉพาะที่แม่นยำ: การผสมผสานระหว่างศิลปะและวิทยาศาสตร์ เพื่อผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ

 - ฟื้นตัวเร็ว: การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดการบวมช้ำและการบาดเจ็บ ทำให้ฟื้นตัวเร็ว

 - แก้ปัญหาตาเฉพาะบุคคล: สามารถแก้ปัญหาตาได้หลายแบบ เช่น หนังตาตก หรือชั้นตาไม่เท่ากัน

การเตรียมตัวก่อนและหลังทำตาสองชั้น

ก่อนการทำตาสองชั้น:

 - งดอาหารเสริม เช่น วิตามิน C, E และสมุนไพร

 - ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว

 - พักผ่อนให้เพียงพอ

 - หลังการทำตาสองชั้น:

 - ประคบเย็นใน 48 ชั่วโมงแรกเพื่อลดการบวม

 - หลีกเลี่ยงการให้แผลโดนน้ำ

 - รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์

ระยะเวลาการพักฟื้น

โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วันในการฟื้นตัว โดยใน 3-5 วันแรกจะมีอาการบวมและช้ำ แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ และชั้นตาจะค่อย ๆ เข้าที่ภายใน 1-2 เดือน
 

คำถามที่พบบ่อย

1. หลังทำตาสองชั้นสามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้หรือไม่? สามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้หลังจากที่ความบวมเริ่มยุบลงประมาณ 3 สัปดาห์

2. ทำตาสองชั้นแล้วจะเกิดแผลเป็นหรือไม่? ด้วยเทคนิค Sakura Eyes แผลจะเล็กมากและลดโอกาสการเกิดแผลเป็น

4. ทำตาสองชั้นแล้วจะหน้าแก่ขึ้นไหม? ไม่จริง การทำตาสองชั้นจะช่วยให้ดวงตาดูกลมโตและสดใสยิ่งขึ้น

การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมและการดูแลหลังการทำตาสองชั้นจะช่วยให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและมีดวงตาที่สวยงามตามที่ต้องการ

สรุป

    การทำตาสองชั้นเป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาดวงตาเล็ก ตาชั้นเดียว หรือหนังตาตก โดยการสร้างชั้นตาที่ชัดเจนเพื่อให้ดวงตาดูกลมโตและมีมิติ ซึ่งเป็นที่นิยมทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะในกลุ่มคนเอเชีย เทคนิคการทำตาสองชั้นมีหลายแบบ เช่น เทคนิคเย็บ 3 จุด, กรีดสั้น, และกรีดยาว โดยการเลือกเทคนิคที่เหมาะสมจะช่วยแก้ปัญหาของแต่ละบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     ที่ Vincent Clinic ใช้เทคนิค Sakura Eyes ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อสร้างชั้นตาที่ดูเป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับโครงหน้า ฟื้นตัวเร็วและช่วยแก้ปัญหาตาเฉพาะบุคคล เทคนิคนี้ช่วยลดการบวมช้ำและการบาดเจ็บ ทำให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำและเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ การ ทำตาสองชั้น ราคา จะแตกต่างกันไปตามเทคนิคที่เลือกและปัญหาเฉพาะบุคคล ผู้สนใจสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินราคาและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้ค่ะ

8
    การร้อยไหมเป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันสำหรับการยกกระชับใบหน้าและปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นวิธีที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาใบหน้าเหี่ยวหย่อนคล้อยหรือหน้าไม่เรียวตามที่ต้องการ โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังการทำ (ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล) การ ร้อยไหม จึงตอบโจทย์คนที่ต้องการให้ใบหน้าเรียวและกระชับขึ้น แต่หลายคนยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเทคนิคนี้ ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับการร้อยไหม การทำงานของมัน ผลลัพธ์ที่ได้ ความเสี่ยง และข้อควรรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการร้อยไหม



ร้อยไหม คืออะไร?
การร้อยไหมเป็นการใช้เส้นไหมละลายที่มีคุณสมบัติพิเศษเพื่อช่วยยกกระชับผิวหน้า โดยการใช้เข็มที่มีเส้นไหมสอดเข้าไปใต้ผิวหนังในชั้นต่างๆ ของผิวหน้า เทคนิคนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทำให้ผิวกระชับและเต่งตึงขึ้น การร้อยไหมมีผลคล้ายกับการดึงหน้าหรือการยกกระชับผิว แต่ไม่ต้องผ่าตัดและมีระยะเวลาพักฟื้นที่สั้นกว่า
เมื่อทำการร้อยไหม เส้นไหมที่ใช้จะกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนัง ซึ่งจะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยยกกระชับผิวหน้าให้ดูเต่งตึงและมีความเรียบเนียนขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตทำให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้นด้วย

ร้อยไหม ใช้วัสดุอะไรในการผลิตเส้นไหม?
ร้อยไหม มีเส้นไหมที่ใช้ในแก้ปัยหาหลายประเภท และแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทำให้ผลลัพธ์จากการ ร้อยไหม ราคา แต่ละประเภทอาจไม่เหมือนกัน โดยไหมที่นิยมใช้ในปัจจุบันจะเป็นไหมละลาย ซึ่งวัสดุที่ใช้ในการผลิตไหมละลายมี 3 ชนิดหลักที่ใช้กันแพร่หลาย ได้แก่
    - Polydioxanone (PDO) เป็นไหมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูงและความแข็งแรงดี อีกทั้งไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เส้นไหมชนิดนี้ใช้ในการผ่าตัดเย็บหลอดเลือดหัวใจ
    - Polylactic Acid (PLLA) มีความแข็งแรงและคงทนสูง แต่ไม่ยืดหยุ่น มีความเปราะและแตกหักง่าย
    - Polycaprolactone (PCL) เป็นไหมที่มีความเหนียวและยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถขยับตามการเคลื่อนไหวของใบหน้าได้ดี ลดโอกาสที่เส้นไหมจะขาด

ร้อยไหม ใช้เส้นไหมแบบไหนบ้าง?
การร้อยไหมใช้เส้นไหมหลายรูปแบบ โดยการเลือกใช้ประเภทของเส้นไหมจะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวหน้าและผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น
   - Mono Thread ไหมเรียบที่มีทั้งแบบตรงและเกลียว ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน แต่ไม่สามารถยกกระชับได้
   - Barb Thread ไหมที่มีเงี่ยง ช่วยยกกระชับผิวได้ดีขึ้น สามารถแก้ปัญหาร่องแก้มและทำให้ผิวดูตึง
   - Mint Lift เป็นไหมที่ผลิตจาก PDO ซึ่งมีเทคโนโลยีพิเศษในการผลิตเงี่ยงแบบหล่อ 360 องศา ทำให้มีแรงยึดติดกับผิวได้ดีเยี่ยม ช่วยให้ผลลัพธ์การยกกระชับใบหน้าดีขึ้น

ร้อยไหม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
การร้อยไหมสามารถช่วยแก้ปัญหาได้หลากหลาย เช่น
   - ช่วยให้หน้าเรียวขึ้น ใบหน้าดูได้รูปมากขึ้น
   - แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย เช่น แก้มย้อย คางสองชั้น
   - ยกกระชับผิวหน้า ทำให้ผิวดูเต่งตึง
   - แก้ปัญหาหนังตาตก ช่วยยกหางตาให้ดูเฉี่ยวขึ้น
   - กระตุ้นคอลลาเจน ช่วยลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น

การร้อยไหมเหมาะกับใครบ้าง?
การร้อยไหมเหมาะกับคนที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าและปรับรูปหน้าให้ดูเรียวสวย โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย หรือผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีโดยไม่ต้องผ่าตัด การร้อยไหมยังเหมาะกับคนที่ไม่ต้องการใช้เวลาพักฟื้นนานเกินไป

ร้อยไหม อันตรายไหม?
การร้อยไหมนั้นถือว่าเป็นหัตถการที่ปลอดภัยหากทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและใช้วัสดุที่ได้รับการรับรองจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. หรือ FDA แต่หากทำโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์หรือใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดปัญหาต่างๆ เช่น ไหมทะลุ, ไหมหลุด, หรือเกิดการติดเชื้อได้

ร้อยไหม มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
หลังจากการร้อยไหมอาจเกิดอาการบวม ช้ำ หรือรอยเขียวได้ ซึ่งจะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ การรู้สึกถึงเส้นไหมที่ร้อยเข้าไปใต้ผิวหนังอาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างทำหัตถการ และบางคนอาจมีเลือดออกจากจุดที่เข็มเจาะลงไป ซึ่งจะหายไปภายในไม่กี่วัน

ร้อยไหม ผลลัพธ์อยู่ได้นานกี่เดือน?
ผลลัพธ์จากการร้อยไหมจะคงอยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมและการสร้างคอลลาเจนของแต่ละบุคคล หลังจากนั้นผลลัพธ์อาจลดลง แต่ผิวหน้าจะยังคงกระชับและดูเรียบเนียนอยู่ต่อไปอีกประมาณ 12-18 เดือน

ข้อดีและข้อเสียของการร้อยไหม
ข้อดี
   - ช่วยยกกระชับผิวหน้าได้ทันที
   - ไม่มีการผ่าตัดหรือแผลเป็น
   - ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติ
   - ไม่มีเวลาพักฟื้นนาน
ข้อเสีย
   - หากทำโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่สวยงามและเกิดผลข้างเคียง
   - การร้อยไหมอาจไม่เหมาะกับบางคนที่มีปัญหาผิวหนังหรือประวัติแพ้วัสดุต่างๆ
   - ผลลัพธ์อาจไม่ถาวรและต้องทำซ้ำตามระยะเวลาที่กำหนด



ร้อยไหม เตรียมตัวก่อนและหลังทำอย่างไร?
ก่อนทำการร้อยไหม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวหน้าและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการกินยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด และงดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนทำ หลังการร้อยไหม ควรงดการนวดหรือสัมผัสบริเวณที่ทำหัตถการ และหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนหรือทำหัตถการอื่นๆ ในช่วงแรก

     การร้อยไหมเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าและปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด แม้จะมีความเสี่ยงบางประการ แต่หากทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและเลือกวัสดุที่ได้มาตรฐาน ผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้ใบหน้าดูเรียวและกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับใครที่ใบหน้ามีปัยหาความหย่อนคล้อยหนัก ๆ อยากแก้ปัญหาให้ใบหน้ากลับมายกกระชับ ผิวเรียบตึง โดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถทักเข้ามาปรึกษาทีมแพทย์มากประสบการณ์ของ Vincent Clinic ได้เลย เพื่อให้แพทย์ช่วยเลือกวิธีและออกแบบการรักษาที่เหมาะกับสภาพผิว ปัญหา และตอบโจทย์ความต้องการของคนไข้ได้อย่างครอบคลุม

หน้า: [1]