ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - คุณเพรียว

หน้า: [1]
1
ประสบการณ์การ เป็นโรคอีสุกอีใสในวันสงกรานต์



วันนี้จะมาขอเล่าประสบการณ์การเป็นอีสุกอีใสในช่วงเวลาสงกรานต์ให้ฟังกัน แม้ตอนนี้จะหายเป็นปกติแล้ว จะเหลือก็เพียงร่อยรอยของตุ่มที่แห้งและกำลังตกสะเก็ด เลยจะมารวบรวมข้อมูลไว้เผื่อจะมีประโยชน์ต่อคนอื่น ๆ ในอนาคตบ้างนะครับ

โรคอีสุกอีใส หรือในภาษาอังกฤษว่า Chickenpox นั้นเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสวาริเซลลา มีอาการเป็นผื่นแดงราบ ตุ่มใส ตุ่มหนอง กระจายตามลำตัว แผ่นหลัง ใบหน้า และมีไข้ร่วมด้วย

ต้นเหตของโรคเกิดจาก ไวรัสวาริเซลลา หรือ Human herpes virus type3 เป็นไว้รัสชนิดเดียวที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด สามารถติดต่อได้ด้วยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง หรือสัมผัสถูกของใช้ที่ผู้ที่ป่วยเป็นอีสุกอีใสหรืองูสวัดใช้อยู่ รวมทั้งการสูดหายใจเอาละลองของตุ่มน้ำ ผ่านทางเยื่อเมือกมีระยะฟักตัวประมาณ 10-20 วัน สำหรับในรายที่เป็นงูสวัด สามารถติดต่อในรูปแบบของอีสุกอีใสได้ โดยเฉพาะมารดาที่ให้นมบุตร หากมารดางูสวัด ลูกก็อาจเป็นอีสุกอีใสได้

อาการของโรคนั้น
หากเป็นเด็กจะมีไข้ต่ำ ๆ มีอาการอ่อนเพลียและเบื่ออาหาร ส่วนในผู้ใหญ่จะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวคล้ายไข้หวัด แต่ก็จะมีผื่นขึ้นไปด้วยตั้งแต่วันที่เริ่มมีไข้ หรือหลังจากมีไข้แล้วหนึ่งวัน ซึ่งในช่วงแรกผื่นจะเป็นผื่นแดงราบก่อน แล้วจึงกลายมาเป็นตุ่มนูน มีน้ำใส ๆ และคัน ต่อมาอีก 2-3 วันจะตกสะเก็ด โดยจะเกิดขึ้นไล่จากไรผมก่อนแล้วกระจายไปตามใบหน้าและลำตัว แผ่นหลัง บางคนมีตุ่มขึ้นในช่องปากทำให้ปากและลิ้นเปื่อยเจ็บคอได้ และผื่นจะขึ้นมากที่สุดบริเวณใบหน้าและลำตัว สำหรับเด็กวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่มักจะมีอาการรุนแรงและมีตุ่มมากกว่าเด็ก ผื่นเหล่านี้จะไม่มีแผลเป็นและสามารถหายได้เอง ยกเว้นมีเชื้อแบคทีเรียมาแทรกซ้อน โรคนี้แล้วเมื่อหายจะมีเชื้อหลบอยู่ที่ปมประสาทซึ่งอาจจะออกมาเป็นงูสวัด ในภายหลังได้ ผื่นนี้จะขึ้นตามลำตัวทีละระลอก ไม่พร้อมกัน บางทีจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบก่อน บางทีก็ขึ้นเป็นตุ่มน้ำใส ๆ ก่อน บางทีก็ขึ้นเป็นตุ่มกลัดหนอง และบางทีก็เริ่มตกสะเก็ด จึงทำให้คนสมัยก่อนเรียกโรคนี้ว่าอีสุกอีใส

อาการแทรกซ้อนของโรคอีสุกอีใส
มักจะพบการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนบนผิวหนัง ทำให้กลายเป็นหนองและแผลเป็นตามมา บางรายอาจแทรกซ้อนกระจายเข้าสู่กระแสเลือดทำให้โลหิตเป็นพิษและปอดบวม สำหรับผู้ใหญ่ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ได้รับยารักษามะเร็ง หรือสเตอรอยด์ เชื้ออาจจะกระจายไปอวัยวะภายในอื่น ๆ เช่น ปอด ตับ สมองได้

โรคอีสุกอีใสนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อแต่เป็นโรคที่ติดตัวทุกคนมาแต่กำเนิด จะเป็นหรือไม่เป็นก็ขึ้นอยู่กับเวลาของบุคคลนั้น ๆ

การรักษา
เป็นโรคที่หายได้เอง โดยอาจมีไข้อยู่ไม่กี่วัน ตุ่มจะตกสะเก็ดและค่อย ๆ หายไปภายใน 1-3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงควรพักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ สามารถทานยาลดไข้ได้แต่ไม่ค่อยใช้แอสไพริน จะทำให้การอาการทางสมองและตับ ทำให้ถึงตายได้ ควรอาบน้ำและใช้สบู่ฟอกผิวหนังให้สะอาด ควรตัดเล็บให้สั้นและอย่างเกา เพราะอาจติดเชื้อได้ หากคันมากจนทนไม่ไหว ให้ใช้ยาคลอเฟนิรามีนช่วยลดอาการคันได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้มียาที่ยับยั้งการเติบโตของไวรัส แต่มีราคาแพง นอกจากนี้ต้องใช้ภายในวันแรก มิเช่นนั้นอาจไม่ได้ผล

การดูแลผู้ป่วยที่เป็นอีสุกอีใส
1. หากรู้สึกคันอย่าแกะหรือเกาปุ่มหนองเพราะอาจติดเชื้อได้
2. โรคนี้สามารถเป็นเองและหายเองได้ ยกเว้นในผู้ใหญ่บางรายที่อาจมีอาการรุนแรงเพราะการติดเชื้อ หรือมีโรคแทรกซ้อน การให้ยาบางชนิดเช่น ยาบรรเทาคัน หรือการใช้น้ำสะอาดหรือน้ำเกลือประคบจะช่วยทำให้สบายตัวขึ้น หลีกเลี่ยงการให้ยาลดไข้จำพวกแอสไพรินเพราะอาจมีโรคแทรกซ้อนชนิดอื่นๆ ตามมาได้
3. การใช้ยาต้านเชื้อไวรัสอีสุกอีใส ซึ่งจำเป็นต้องให้ในระยะเวลา 24-48 ชั่วโมงจึงจะทำให้ระยะเวลาของการเป็นโรคสั้นลง แผลตกสะเก็ดได้เร็วขึ้น แต่ยากลุ่มนี้จะมีราคาแพงมาก
4. ส่วนของการดูแลผิวที่เป็นผื่น ให้ทำความสะอาดแผลให้สะอาดแล้วป้องกันการแทรกซ้อนของเชื้อแบคทีเรีย หรือรับประทานยาเขียววันละ 3-10 เม็ดต่อวัน

วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
ในสหรัฐอเมริกานั้น วัคซีนนี้อยู่ในตารางการให้วัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคในเด็กอยู่แล้วตั้งแต่ช่วงอายุ 12-18 เดือน และกำหนดให้ฉีดให้เด็กอายุ 11-12 ปี ที่ยังไม่เคยรับวัคซีนและยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนด้วย สำหรับในประเทศไทย เนื่องจากวัคซีนอีสุกอีใสมีราคาค่อนข้างสูง และพบว่ากว่าครึ่งของเด็กที่เป็นอีสุกอีใสและมีอายุต่ำกว่า 10 ขวบ ยังมีอาการที่ไม่รุนแรง จึงไม่มีกำหนดให้เป็นวัคซีนบังคับฉีดแต่อย่างไร

สำหรับอาการป่วยเป็นอีสุกอีใสของตัวผมเอง จะเหมือนกับข้อมูลข้างต้น โดยเริ่มติดต่อจากเด็ก ๆ ในหมู่บ้านก่อนแล้วมาติดลูกชายผมเข้า ลูกชายเป็นอยู่สองอาทิตย์แล้วก็หาย ลูกสาวก็มาเป็นต่อ พอลูกสาวหาย ราว ๆ วันที่ 10 ผมทำงานวันสุดท้ายก็มีอาการตะครั่นตะครอตัวปวดหัวบ้าง แต่ก็เหมือนไข้ทั่วไป ตอนนั้นก็ทานพาราแก้ไข้ไว้ กินซาร่าไปสองเม็ด ก็ค่อยยังชั่วขึ้นทำงานได้จนเย็น

พอวันรุ่งขึ้นก็มีอาการปวดหัว แล้วก็คันที่พุงจนเกาถลอกหมด เห็นตุ่มอยู่สองสามเม็ดก็ไม่ได้คิดอะไร กินพาราลงไปอีกก็ทุเลาลง พอบ่าย ๆ ผมไปล้างแอร์ในบ้านพอล้างเสร็จก็มาดูตัวเอง ตุ่มขึ้นเต็มไปหมด ที่หน้าก็ขึ้นด้วย ก็สรุปได้ว่าเป็นอีสุกอีใสแล้ว

วันนั้นพออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็นอนซมเลย ไข้ขึ้นตลอดแล้วก็มีตุ่มเต็มตัวไปทั่วทั้งหน้าตา ไปหมด หาหมอกินยาแก้ไข แก้อักเสบ มากิน 2-3 วันไข้ก็ลด วันที่ 4-5 ตุ่มก็ยุบและตกสะเก็ดแล้ว ทรมานมากจะเกาก็ไม่ได้ ได้แต่ลูบ ๆ เอา ผ่านไปไม่เกินอาทิตย์ก็ดีขึ้นเองครับ ใครที่กำลังจะเป็นอีสุกอีใส ลองเอาความรู้ในบทความนี้ไปใช้กันได้นะครับ

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ โรคงูสวัด

2
สุขภาพ | Health / ประโยชน์สุด ๆ ของโยเกิร์ต
« เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2014, 10:34:10 AM »
ประโยชน์สุด ๆ ของโยเกิร์ต



โยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์นมที่หาซื้อมาทานได้ง่าย มีหลายรสชาติให้เลือกนะคะ  แล้วยังมีประโยชน์ต่อร่างกายแบบอเนกอนันต์เลยทีเดียว  ในโยเกิร์ตหนึ่งด้วยนั้นประกอบไปด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงและรักษาร่างกายกว่า 11 ชนิด  ซึ่งแต่ละชนิดมีประโยชน์อย่างยิ่งยวดต่อร่างกาย ได้แก่  แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไอโอดีน วิตามินบี 2 วิตามินบี 5 วิตามินบี 12 โปรตีน โพแทสเซียม สังกะสี ทริปโทฟาน และโมลิปเดนัม  การทานโยเกิร์ตเพียงถ้วยเดียว ช่วยเติมเต็มสารอาหารหลาย ๆ ชนิดได้ในคราวเดียว

นอกเหนือจากสารอาหารข้างต้นแล้ว ในโยเกิร์ตยังมีเชื้อจุลินทรีย์ ที่มีประโยชน์ต่อการย่อยอาหารและมีประโยชน์ต่อลำไส้ ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ตัวเลวในลำไส้ได้ จึงช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้อย่างรวดเร็วเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีไขมันที่สำคัญชื่อว่า  คอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันทั้งโรคหัวใจ และลดความเสี่ยงการเกิดโรคเหงือกได้ด้วย ฯลฯ

การทานโยเกิร์ตจึงเป็นการสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย เปรียบดั่งเป็นยาอายุวัฒนาที่ดีต่อสุขภาพ  โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เพราะทานได้ง่าย  ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ มีแคลเซียมสูง ช่วยลดความเครียด ป้องกันมะเร็งลำไส้ โรคความดันโลหิตสูง และป้องกันอาการกระดูกพรุนได้  จุลินทรีย์โยเกิร์ตยังช่วยลดกลิ่นปาก ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียแย่ ๆ ในช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมหาโยเกิร์ตมาทานกันนะคะ

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ กระดูกพรุน :)

หน้า: [1]