ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - พรสัก ส่องแสง

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 ... 12
1
 Email Marketing

Email Marketing คือหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่ทรงพลังและคุ้มค่าในยุคปัจจุบัน แม้จะเป็นเครื่องมือที่มีมานาน แต่ Email Marketing ยังคงเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่สูง ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ผู้ประกอบการ E-Commerce หรือนักการตลาดในบริษัทใหญ่ การมีความเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก Email Marketing อย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพิ่มยอดขาย และพัฒนาธุรกิจของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Email Marketing คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร?
Email Marketing หมายถึง การใช้อีเมลเป็นเครื่องมือในการสื่อสารทางการตลาดกับกลุ่มเป้าหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์ ให้ข้อมูล และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ประโยชน์ของอีเมลในการทำธุรกิจนั้นมีมากมาย เริ่มจากการเป็นช่องทางการสื่อสารที่มีต้นทุนต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูง ช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ และสร้างความภักดีของลูกค้า นอกจากนี้ Email Marketing ยังช่วยในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้สามารถปรับ Email Marketing strategy ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการส่งโปรโมชั่น การแจ้งข่าวสาร หรือแม้แต่การทำ Email Marketing black friday ก็สามารถสร้างยอดขายได้อย่างมหาศาล ทำให้ Email Marketing กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำ Marketing Digital Email ที่ไม่ควรมองข้าม


Email Marketing ขั้นตอนการทำสำหรับมือใหม่

 Email Marketing คือ


การทำ Email Marketing ให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบ ยกตัวอย่างขั้นตอนสำคัญในการทำ E-mail Marketing ที่จะช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น
1. วางรากฐานแห่งความสำเร็จด้วยกลยุทธ์ Email Marketing ที่แข็งแกร่ง
การเริ่มต้นที่ดีคือการวางแผนที่รอบคอบ กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าคุณต้องการอะไรจาก Email Marketing ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มยอดขาย สร้างการรับรู้แบรนด์ หรือกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้า จากนั้นออกแบบ Email Marketing strategy ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายของคุณ
2. สร้างสายสัมพันธ์ผ่าน Mailing List คุณภาพ
Mailing List คือหัวใจสำคัญของ Email Marketing คุณต้องสร้างและรักษาฐานข้อมูลผู้รับที่มีคุณภาพ ใช้วิธีการที่ถูกต้องและได้รับอนุญาตในการเก็บรวบรวมอีเมลของกลุ่มเป้าหมาย เช่น การให้สมัครรับข่าวสารผ่านเว็บไซต์ หรือการแลกอีเมลกับคอนเทนต์ที่มีคุณค่า เพื่อให้ได้ Mailing List ที่มีประสิทธิภาพและไม่เสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็น Mail Drop
3. กระตุ้นการตอบสนองด้วย Call-To-Action ที่โดนใจ
ทุกอีเมลควรมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนและ Call-To-Action (CTA) ที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นการคลิกเพื่อดูสินค้า การดาวน์โหลดเอกสาร หรือการซื้อสินค้าโดยตรง ออกแบบ CTA ให้น่าสนใจและเห็นได้ชัดเจน เพื่อนำพาผู้อ่านไปสู่การกระทำที่คุณต้องการ
4. วิเคราะห์แผนการทำ Email Marketing ด้วยข้อมูล
การวัดผลและวิเคราะห์ข้อมูลเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนา Email Marketing ให้มีประสิทธิภาพ ติดตามตัวชี้วัดสำคัญ เช่น อัตราการเปิดอ่าน อัตราการคลิก และอัตราการแปลงเป็นลูกค้า ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้รับและประสิทธิภาพของแคมเปญ
5. ปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
Email Marketing คือศาสตร์ที่ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ใช้ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทดลองใช้เทคนิคใหม่ๆ เช่น การปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล หรือการใช้ระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ Email Marketing ให้ดียิ่งขึ้น

5 เคล็ดลับทำ Email Marketing ให้ปัง

การทำ Email Marketing ให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ ในส่วนนี้ เราจะมาดูเคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยให้แคมเปญ Email Marketing ของคุณโดดเด่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจ E-Commerce หรือทำ Email Marketing ให้กับโรงแรม เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยยกระดับกลยุทธ์ของคุณให้ประสบความสำเร็จ
1. การจัดเตรียม Mailing List และแบ่งกลุ่มลูกค้า
การจัดเตรียม Mailing List และแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างเหมาะสมเป็นรากฐานสำคัญของ Email Marketing ที่ประสบความสำเร็จ แบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการซื้อ ความสนใจ หรือข้อมูลประชากรศาสตร์ เพื่อส่งเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงและตรงใจผู้รับมากที่สุด วิธีนี้จะช่วยเพิ่มอัตราการเปิดอ่านและการมีส่วนร่วม ทำให้ ROI Email Marketing ของคุณสูงขึ้น
2. สร้างความน่าเชื่อถือด้วยชื่อผู้ส่งที่ชัดเจนและมีตัวตน
ชื่อผู้ส่งอีเมลที่ชัดเจนและมีที่มาที่ไปเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความไว้วางใจกับผู้รับ ใช้ชื่อบริษัทหรือชื่อบุคคลที่คุ้นเคย เช่น "John จาก XYZ Company" แทนที่จะใช้ชื่อทั่วไปอย่าง "Admin" หรือ "No-reply" การทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสที่อีเมลของคุณจะถูกเปิดอ่านและไม่ถูกมองว่าเป็นสแปม
3. ตั้งชื่อหัวข้อให้ดีเพื่อดึงดูดความสนใจ
ตั้งชื่อหัวข้อให้ดึงดูดความสนใจและสื่อถึงคุณค่าที่ผู้รับจะได้รับ หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ดูเหมือนสแปม และพยายามสร้างความรู้สึกเร่งด่วนหรือความอยากรู้อยากเห็น เช่น "เฉพาะคุณเท่านั้น: ข้อเสนอพิเศษหมดเขตวันนี้!" หรือ "5 เคล็ดลับเพิ่มยอดขายที่คุณต้องรู้" การตั้งชื่อหัวข้อที่ดีจะช่วยเพิ่มอัตราการเปิดอ่านอีเมลของคุณอย่างมีนัยสำคัญ
4. ออกแบบเนื้อหาที่เหมาะกับอุปกรณ์มือถือ
ในยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่เปิดอีเมลผ่านสมาร์ทโฟน การออกแบบเนื้อหาให้แสดงผลได้ดีบนอุปกรณ์มือถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ใช้การออกแบบที่ตอบสนอง (Responsive Design) เพื่อให้แน่ใจว่าอีเมลของคุณอ่านง่ายและสวยงามไม่ว่าจะเปิดบนอุปกรณ์ใด ใช้ฟอนต์ขนาดใหญ่พอที่จะอ่านได้สบายตา และปุ่ม CTA ที่กดง่ายด้วยนิ้วมือ
5. ทดสอบและวัดผลอย่างสม่ำเสมอ
การทำ A/B Testing และการวัดผลเป็นกุญแจสำคัญในการปรับปรุง Email Marketing strategy ของคุณ ทดลองใช้หัวข้อ เนื้อหา และเวลาส่งที่แตกต่างกัน แล้ววิเคราะห์ว่าอะไรที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อติดตามอัตราการเปิดอ่าน อัตราการคลิก และอัตราการแปลงเป็นลูกค้า จากนั้นนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับปรุงแคมเปญในอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สรุป Email Marketing กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย

Email Marketing เป็นเครื่องมือทรงพลังที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจของคุณในยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เพิ่มยอดขาย หรือสร้างการรับรู้แบรนด์ การใช้ Email Marketing อย่างมีกลยุทธ์จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการวางแผนที่รอบคอบ การสร้าง Mailing List ที่มีคุณภาพ ไปจนถึงการวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทุกขั้นตอนล้วนมีความสำคัญ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อยหรือเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ การนำเทคนิคและเคล็ดลับที่เราได้แบ่งปันไปประยุกต์ใช้ จะช่วยยกระดับ Email Marketing ของคุณให้โดดเด่นและสร้างผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ

2
 ติว TGAT


การติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ภาษาอังกฤษถือเป็นใบเบิกทางได้หลายด้านทั้งด้านการศึกษา โอกาสในที่ทำงาน ทำให้เรามีทางเลือกหลายทางในอนาคต การสอบวัดระดับพื้นฐานด้านภาษาก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เช่น ติว TGAT, ติวคอร์สออนไลน์, ติว A-Level จึงควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

ในบทความนี้จะพาทุกคนไปวางแผนพร้อมเตรียมความพร้อมล่วงหน้าก่อนการสอบจริง เรามาทำความรู้จักการสอบ Thai General Aptitude Test ว่าจะมีกี่พาร์ท ติวเข้ม TGAT ต่างจากคอร์สติวเข้ามหาลัยอย่างไร เพื่อช่วยไม่ให้ตื่นเต้นก่อนวันสอบ รู้ข้อบกพร่อง ก่อนลงสนามจริงไปดูกันเลย

การติว TGAT เกี่ยวกับอะไร?
ติว TGAT หรือ Thai General Aptitude Test เป็นการสอบเกี่ยวกับความรู้ ความถนัดทั่วไปรูปแบบใหม่ที่ถูกต่อยอดมาจากข้อสอบ GAT หรือ General Aptitude Test เนื่องจากต้องการลดความซ้ำซ้อนของการสอบแต่ละสนามและเน้นใช้ความรู้ในการสอบแบบไม่ต้องท่องจำ TGAT จึงเป็นข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ทาง ทปอ. (ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย) พัฒนาขึ้น

สำหรับคอร์ส TGAT จะเป็นคอร์สที่ออกแบบให้ผลคะแนนออกมาดี ซึ่งเป็นการติว TGAT 66 จากข้อสอบย้อนหลังปีล่าสุด เพราะการสอบนี้มีคะแนนเต็ม 300 คะแนน ผลคะแนนที่ใช้ในการยื่นเข้ามหาวิทยาลัย TCAS จะมีอายุเพียงหนึ่งปีเท่านั้น จึงต้องเน้นการพัฒนาตั้งแต่พื้นฐานทั้งการฟัง, พูด, อ่าน, เขียนและแกรมมาร์ เพื่อให้นำไปใช้งานในการสอบได้จริง


การติวสอบ TGAT มีกี่พาร์ท?
การติว TGAT จะเป็นการเน้นข้อสอบทั้ง 3 พาร์ท คะแนนเต็ม 300 คะแนน ได้แก่ Part 1 English Communication, Part 2 Critical and Logical Thinking, Part 3 Future Workforce Competencies เพื่อให้ได้ผลคะแนนออกมาเป็นที่น่าพอใจมากที่สุด ซึ่งจำนวนข้อของแต่ละพาร์ทและแนวข้อสอบที่ควรเน้นติวอังกฤษเข้ามหาลัยเป็นพิเศษ ได้แก่

การสื่อสารภาษาอังกฤษ
ข้อสอบการสื่อสารภาษาอังกฤษ English Communication จะเป็นข้อสอบปรนัยจำนวน 60 ข้อ ระยะเวลาในการสอบ 60 นาที โดยข้อสอบจะแบ่งเป็น 2 หมวด หมวดละ 30 ข้อ คะแนนรวม 100 คะแนน ได้แก่ ทักษะการพูด Question-Response, Short conversations. Long conversations และทักษะการอ่าน Text completion, Reading  comprehension โดยความยาก-ง่ายจะถูกแบ่งกันไปในแต่ละหมวด สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ในคอร์ส TGAT

การคิดอย่างมีเหตุผล
ข้อสอบการคิดอย่างมีเหตุผล Critical & Logical Thinking จะเป็นข้อสอบปรนัยจำนวน 80 ข้อ ระยะเวลาในการสอบ 60 นาที เป็นการติวอังกฤษ เข้ามหาลัยเพื่อวัดความสามารถด้านต่าง ๆ  โดยแบ่งออกเป็น 4 หมวดย่อย หมวดละ 20 ข้อ คะแนนรวม 100 คะแนน ได้แก่ ความสามารถทางภาษา, ความสามารถทางตัวเลข, ความสามารถทางมิติสัมพันธ์, ความสามารถทางเหตุผล

สมรรถนะการทำงาน
ข้อสอบสมรรถนะการทำงาน Future Workforce Competency จะเป็นข้อสอบปรนัยจำนวน 60 ข้อ ระยะเวลาในการสอบ 60 นาที การสอบนี้เป็นการติว TGAT เพื่อวัดทัศนคติ 4 หมวด หมวดละ 15 ข้อ คะแนนรวม 100 คะแนน ได้แก่ การสร้างคุณค่าและนวัตกรรม, การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน, การบริหารจัดการอารมณ์, การเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมของสังคม

ใครสามารถเข้ารับการติว TGAT ได้บ้าง?

 เรียนอังกฤษที่ไหนดี สอบเข้ามหาลัย


การติว TGAT เป็นการสอบในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งคะแนนที่ได้ในการสอบจะสำคัญในรอบ TCAS เพื่อติวเตอร์เข้ามหาลัยที่ใฝ่ฝัน มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะใช้คะแนน TGAT ในการคัดเลือกเพิ่มเติม ทำให้เราสามารถนำคะแนนในส่วนนี้ไปยื่นเข้าคณะต่าง ๆ ที่อยากเรียนได้ โดยตามแต่ละคณะจะใช้สัดส่วนคะแนนแตกต่างกันไปทั้งรอบ Portfolio โควตา และแอดมินชัน เราจึงควรเริ่มหาคอร์สเรียน TGAT หรืออ่านทบทวนบทเรียนจากในอินเทอร์เน็ตไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ


การติวสอบ TGAT ต่างจากการสอบแบบอื่นยังไง?
การติว TGAT, TPAT และ ติว A-Level คะแนนในการสอบเหล่านี้จำเป็นมากต่อการยื่นศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งแต่ละการสอบจะแตกต่างกันไป เช่น รายวิชาภาษาอังกฤษ, ความถนัดในสายอาชีพ, วิชาสามัญอื่น ๆ เราจึงต้องเลือกการสอบที่จำเป็นต้องใช้คะแนนต่อการเข้าคณะหรือสาขาที่ใฝ่ฝันอยากเรียนต่อในอนาคต โดยการสอบรูปแบบต่าง ๆ จะมีส่วนที่แตกต่างกันดังนี้

TGAT ถูกแบ่งออกเป็น 3 พาร์ท คือ English Communication, Critical and Logical Thinking, Future Workforce Competencies ผลการสอบติว TGAT ภาษาอังกฤษสามารถนำไปยื่นเรียนต่อมหาวิทยาลัยในสาขาที่จำเป็นต้องใช้คะแนนด้านภาษาอังกฤษและหลักสูตรนานาชาติได้

TPAT ถูกแบ่งออกเป็น 5 วิชา คือ ความถนัดแพทย์, ความถนัดวิศวกรรม, ความถนัดทางสถาปัตย์, ความถนัดวิชาชีพครู, ความถนัดทางศิลปกรรม ในกลุ่มการสอบ TPAT นี้สามารถเลือกสอบในรายวิชาที่จำเป็นต่อการยื่นผลสอบเข้าคณะในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ เป็นการวัดความถนัดทางด้านวิชาชีพ

A-Level ถูกแบ่งออกเป็น 8 วิชา คือ ภาษาไทย, สังคม, คณิตศาสตร์ (คณิตศาสตร์พื้นฐานและ
คณิตศาสตร์เพิ่มเติม) สามารถเลือกสอบเฉพาะพื้นฐานหรือทั้งสองวิชาก็ได้, วิทยาศาสตร์, ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยาและภาษาต่างประเทศ (มีให้เลือกหลายภาษา) ในการสอบนี้ จำเป็นต้องดูว่าผลคะแนนวิชาไหน ใช้ยื่นในคณะของมหาวิทยาลัยที่อยากเรียนต่อ โดยเฉพาะวิชาแยกย่อยอย่างคณิตศาสตร์ที่มี 2 ส่วนทั้งพื้นฐานและเพิ่มเติม หรือภาษาต่างประเทศอื่น ๆ

สรุป ติว TGAT สำคัญกับการติวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างไร
ด้วยรูปแบบการสอบในปัจจุบันเกิดการแข่งขันสูงขึ้นทุกปี ทำให้การติว TGAT สำคัญต่อการติวเข้ามหาลัยมาก เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่สามารถทบทวนบทเรียนได้ด้วยตนเองหรือหาคอร์สเรียน TGAT มาเป็นตัวช่วยก็ได้ เพื่อฝึกทักษะด้านภาษาอังกฤษ ที่นอกจากจะช่วยต่อผลการสอบเข้าคณะที่ใฝ่ฝันแล้ว ยังใช้เป็นพื้นฐานต่อยอดในการทำงานหรือประยุกต์ใช้เป็นภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้

3
บัตรเครดิตเติมน้ำมัน

บัตรเครดิตเติมน้ำมัน คือบัตรเครดิตที่นำไปใช้รูดจ่ายเพื่อเติมน้ำมันกับปั๊มน้ำมันที่ร่วมรายการ โดยคุณจะได้รับสิทธิประโยชน์จากการเติมน้ำมันที่มากกว่าการจ่ายด้วยเงินสดและบัตรประเภทอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครดิตเงินคืนหรือการเก็บสะสมคะแนน เพื่อใช้เป็นส่วนลดหรือสำหรับแลกของรางวัลตามแต่ที่บัตรกำหนดไว้ โดยเกิดจากความร่วมมือกันของธนาคารกับปั๊มน้ำมัน ทำให้ปัจจุบันบัตรเครดิตเติมน้ำมันมีมาให้เลือกอย่างหลากหลายนั่นเอง

เลือกสิทธิพิเศษประโยชน์ในการใช้บัตรเครดิตเติมน้ำมันอย่างไร
- เลือกบัตรเครดิตน้ำมันตามสิทธิประโยชน์การเติมน้ำมันคือสิ่งแรกที่ควรพิจารณา เพื่อตอบโจทย์กับการใช้งานมากที่สุด โดยธนาคารส่วนใหญ่จะให้เครดิตเงินคืน (Cash Back) และสะสมแต้มส่วนลดในครั้งถัดไป
- บัตรเครดิตเติมน้ำมันที่รองรับการใช้จ่ายในปั๊มที่ใช้บริการเป็นประจำ แนะนำให้เลือกบัตรเครดิตน้ำมันใบที่รองรับการใช้จ่ายในปั๊มที่ไปใช้บริการเป็นประจำ เพราะปั๊มน้ำมันแต่ละแห่งจะร่วมมือกับบัตรเครดิตที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งยังมีส่วนลดเติมน้ำมันและแต้มสะสมของรางวัลที่ต่างกันออกไปในแต่ละบัตร
- ตรวจสอบเรื่องค่าธรรมเนียมของบัตรเครดิตเติมน้ำมัน ค่าธรรมเนียมของบัตรเครดิตเติมน้ำมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสิทธิพิเศษมากมายที่ได้รับมักมาพร้อมกับค่าธรรมเนียมรายปีเสมอ
- เลือกบัตรเครดิตน้ำมันที่ไม่มีเงื่อนไขมาก และยุ่งยากในการรับข้อเสนอสิทธิพิเศษ หรือสะสมคะแนนต่าง ๆ ควรเลือกบัตรที่มีเงื่อนไขเข้าใจง่าย ทำความเข้าใจในการรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เพื่อความคุ้มค่าและรักษาสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับ

10 บัตรเครดิตเติมน้ำมัน 2567 ใบไหนใช้คุ้มค่าสุด ได้เงินคืน
บัตรเครดิตเติมน้ำมันของแต่ละธนาคารนั้นมีสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป จึงควรเลือกบัตรเครดิตน้ำมันใบที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด เพื่อความคุ้มค่าและสะดวกต่อการใช้งาน ถึงตรงนี้แล้วคงได้ทราบถึงวิธีการเลือกบัตรเครดิตเติมน้ำมันไปบ้างแล้ว ต่อไปมาดู 10 บัตรเครดิตเติมน้ำมันที่ได้รับความนิยม เพื่อเป็นตัวช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น จะมีบัตรไหนน่าสนใจบ้าง มาดูพร้อม ๆ กันดีกว่า

1. บัตรเครดิตเติมน้ำมัน ttb so smart
รับเครดิตเงินคืน 1% ทุกการใช้จ่าย ใช้ได้ทุกปั๊ม ไม่มีค่าธรรมเนียม หากคุณไม่ชอบบัตรเครดิตน้ำมันที่มีเงื่อนไขยุ่งยาก ขอแนะนำบัตรเครดิตเติมน้ำมันใบนี้เลย บัตรนี้มีจุดเด่นคือเงื่อนไขที่เข้าใจง่าย ไม่ต้องรอโปรโมชั่นหรือใช้คะแนนแลกสิทธิประโยชน์ โดยจะได้รับเครดิตเงินคืน 1% ทุกการใช้จ่าย สามารถนำไปใช้เติมน้ำมันกับปั๊มใดก็ได้ รวมไปถึงการซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังสิทธิพิเศษเพิ่มเติม เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป สามารถเลือกผ่อน 0% นาน 3 เดือน ที่สำคัญไม่มีค่าธรรมเนียมทั้งแรกเข้าและรายปีอีกด้วย

บัตร ttb เติมน้ำมัน
ขอบคุณรูปภาพจาก ttbbank.com

2. บัตรเครดิตเติมน้ำมัน ttb so fast

บัตรเครดิต ttb โซ ฟาสต์ บัตรเครดิตเติมน้ำมันที่ให้คะแนนเร็ว 10 บาท รับ 1 คะแนนพร้อมผ่อน 0% 3 เดือนใช้ได้กับทุกยอดการใช้จ่าย หมดกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมรายปีและค่าธรรมเนียมแรกเข้า  เพราะฉะนั้นถือไว้ใช้สบายใจได้  เป็นบัตรเครดิตน้ำมันที่มีจุดเด่น ในด้านของการให้คะแนน คะแนนที่สะสมสามารถแลกเป็นเครดิตเงินได้ โดยใช้คะแนนแลกเท่ายอดซื้อ ได้เงินคืน 12% กับร้านค้าที่ร่วมรายการ  บอกเลยว่ามีเยอะมากทำให้การเงินคืนง่ายกว่าเดิม ซึ่งจะเยอะกว่าหลายธนาคารที่มักให้แลกได้แค่ 10% เท่านั้น


บัตรเครดิตเติมน้ำมัน 2567
ขอบคุณรูปภาพจาก ttbbank.com


3. กรุงศรี นาว แพลทตินัม (Krungsri Now Platinum Credit Card)
บัตรเครดิตเติมน้ำมันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง รับแคชแบ็กเมื่อใช้จ่ายผ่านออนไลน์ ทุกแอป ทุกเว็บ ทุกวัน ไม่ต้องรอดีลพิเศษ พร้อมรับคะแนนสะสมและสิทธิพิเศษเมื่อใช้จ่ายร้านที่ร่วมรายการ
ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้า ปีต่อไป 4,000 บาท/บัตร/ปี (กรณีไม่มีการเคลื่อนไหวบัญชีติดต่อกัน 12 เดือน)


บัตรเครดิตสำหรับเติมน้ำมัน
ขอบคุณรูปภาพจาก krungsricard.com

4. Blue Credit Card
บัตรเครดิตเติมน้ำมันแบบฟรีค่าธรรมเนียมรายปี ปีถัดไปฟรีเมื่อมียอดใช้จ่าย 12 ครั้ง/ปี อัตราดอกเบี้ยที่ 16% ต่อปี สิทธิประโยชน์จากบัตรทุก ๆ 500 K Point แลกส่วนลดน้ำมัน PTT Station  100 บาท และทุกการใช้ 1,000 K Point แลกส่วนลดค่าน้ำมันบางจาก 100 บาท (ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566-31 ธันวาคม 2567) สิทธิ์เข้าใช้บริการที่ห้องรับรองพิเศษ Miracle Lounge 9 จุด ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ประกันการเดินทางต่างประเทศวงเงินสูงสุด 200,000 บาท


บัตรเครดิตส่วนลดน้ำมัน
ขอบคุณรูปภาพจาก checkraka.com

5. ICBC Horoscope
บัตรเครดิตเติมน้ำมันใบนี้ค่าธรรมเนียมรายปี 3,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 16% ต่อปี รับเครดิตเงินคืน 6% เมื่อเติมน้ำมันตั้งแต่ 800 บาท/เซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 4% เมื่อมียอดค่าใช้จ่ายร้านอาหาร ตั้งแต่ 1,000 บาท/เซลล์สลิป สูงสุดไม่เกิน 100 บาท รับสิทธิ์ซื้อ E-Voucher เพื่อใช้บริการ Dragon Pass Lounge ในราคาพิเศษสูงสุด 6 ครั้ง/ปี


บัตรเครดิตรูดน้ำมัน
ขอบคุณรูปภาพจาก icbc.com

6. KTC BANGCHAK PLATINUM MASTERCARD
ฟรีค่าธรรมเนียมรายปี เป็นบัตรเครดิตเติมน้ำมันที่เหมาะสำหรับผู้ที่เติมน้ำมันปั๊มบางจากเป็นประจำ ซึ่งทุกการเติมจะได้รับเครดิตเงินคืน 1% เมื่อยอดชำระไม่เกิน 3,000 บาท/เซลล์สลิป โดยจะได้รับเงินเข้าบัญชีเดือนถัดไป ประกันอุบัติเหตุการเดินทางและประกันกระเป๋าเดินทางสูญหาย ทั้งในและต่างประเทศ ประกันภัยซื้อสินค้าออนไลน์เมื่อใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิต KTC


โปรบัตรเครดิตเติมน้ำมัน
ขอบคุณรูปภาพจาก ktc.co.th

7. บัตรเครดิต Titanium กสิกรไทย
บัตรเครดิตน้ำมันที่ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้า ปีถัดไปก็ยังฟรีอยู่เพียงใช้บัตรเครดิตเติมน้ำมันนี้ปีละ 12 ครั้ง ก็ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมแล้ว และยังได้รับ Cash Back หรือได้รับเงินคืนเมื่อมีการใช้จ่าย เพื่อไม่ให้ทุกการใช้จ่ายสูญเปล่า เป็นอีกหนึ่งบัตรเครดิตเติมน้ำมันที่ตอบโจทย์เพราะโปรโมชั่นบัตรเครดิตเติมน้ำมัน โดยผู้ใช้สามารถรับเครดิตเงินคืน 1% เมื่อใช้จ่ายที่ปั๊มน้ำมันร้านที่ร่วมรายการ และได้รับเงินคืน 0.25% สำหรับการใช้จ่ายอื่นๆ 

บัตรเครดิตปั๊มน้ำมัน
ขอบคุณรูปภาพจาก checkraka.com

8. บัตรเครดิตโลตัส แพลทินัม Krungsri Lotus Platinum Beyond
บัตรเครดิตเติมน้ำมันที่ใช้เติมน้ำมันที่บางจากแล้วจะได้รับเงินคืน 3% รวมถึงเอสโซ่ (เดิม) ได้คืนตั้งแต่บาทแรก สิทธิประโยชน์ตลอดปี รับเงินคืนสูงสุด 5% เมื่อผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่โลตัส เติมน้ำมันที่ ESSO ได้รับเงินคืน 3% ใช้ผ่อน 0% ได้ 3 เดือน บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน เครดิตเงินคืนไม่สามารถโอน/แลก/เปลี่ยน/ทอนเป็นเงินสดได้ จำกัดรับเครดิตเงินคืนจากยอดการเติมน้ำมันสูงสุด 700 บาทต่อเซลล์สลิป


โปรโมชั่นบัตรเครดิตเติมน้ำมัน
ขอบคุณรูปภาพจาก checkraka.com

9. บัตรเครดิตเติมน้ำมัน Bangkok Bank Visa Platinum
จะดีกว่าไหมถ้ามีบัตรเครดิตเติมน้ำมันที่ครอบคลุมได้หลายปั๊ม เพียงคุณเติมน้ำมันที่ปั๊มบางจาก, Esso หรือ Caltex ครบ 800 บาท/เซลล์สลิป จะได้รับเครดิตเงินคืนสูงถึง 10% เลยทีเดียว ยอดใช้จ่ายการเติมน้ำมันจะต้องไม่เกิน 4,000 บาท/เดือน นอกจากนี้ทุก ๆ การใช้จ่าย 25 บาท ยังได้คะแนนสะสม เพื่อนำไปแลกไมล์จากสายการบินชั้นนำหรือแลกของรางวัลอื่น ๆ ได้อีกด้วย                                                                                                                                                                             


บัตรเครดิตเงินคืนน้ำมัน
ขอบคุณรูปภาพจาก checkraka.com

10. บัตร UOB PRVI MILES
บัตรเครดิตเติมน้ำมัน UOB รับเงินคืนสูงสุด 10% ที่ปั๊ม Caltex มอบสิทธิพิเศษทุกการเดินทาง บัตรเครดิตน้ำมันใบนี้มีจุดเด่นเรื่องการเก็บสะสมคะแนนเพื่อแลกไมล์ แต่บางคนอาจยังไม่ทราบว่า บัตรนี้ยังมีสิทธิประโยชน์สำหรับการเติมน้ำมันในปั๊ม Caltex ด้วย โดยจะได้รับเครดิตเงินคืนสูงสุดถึง 10% เมื่อเติมน้ำมันครบ 800 บาท/เซลล์สลิป ที่สำคัญ การใช้จ่ายทุก ๆ 15 บาท สามารถเป็นเป็นคะแนนสะสม UOB Rewards Plus  ได้อีกด้วย


วิธีใช้บัตรเครดิตเติมน้ำมัน
ขอบคุณรูปภาพจาก checkraka.com


บัตรเครดิตเติมน้ำมันสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนน
ถึงตรงนี้แล้วจะเห็นได้ว่าบัตรเครดิตเติมน้ำมันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้รถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายในการจ่ายค่าน้ำมัน รวมไปถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้คุณประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากแนะนำว่าให้คุณใช้บัตรเครดิตน้ำมันอย่างมีสติ โดยเลือกใช้บัตรให้เหมาะสมกับรายได้ ทำความเข้าใจเงื่อนไขการใช้งานอย่างรอบคอบและที่สำคัญคือไม่ควรใช้จ่ายอย่างเกินตัว เพื่อป้องกันปัญหาภาระหนี้สินจากบัตรเครดิตที่จะตามมาภายหลัง

ทำบัตรเครดิตเติมน้ำมัน

4
ท่อ PE หรือท่อ HDPE ตัวเลือกใหม่ของวัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพสูง

ท่อ PE

ท่อ HDPE หรือท่อพีอี เป็นท่อที่มีความแข็งแรง ทนทาน ติดตั้งง่าย มีขนาดท่อ HDPE หลากหลาย เหมาะกับทุกการใช้งาน โดยเฉพาะท่อ HDPE ประปาที่ใช้ในระบบระบายน้ำ

ท่อ PE หรือ ท่อ HDPE ไม่ได้เป็นเพียงแค่ท่อธรรมดา ๆ แต่เป็นนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่มีคุณสมบัติโดดเด่น ทั้งความแข็งแรง ทนทาน น้ำหนักเบา และความยืดหยุ่น ทำให้ท่อ PE กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับงานระบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่อ HDPE ประปาสำหรับระบบระบายน้ำ หรือระบบป้องกันอัคคีภัย

ท่อ HDPE คืออะไร

ท่อ HDPE

ท่อ PE หรือ ท่อ HDPE คือ ท่อที่ผลิตจากวัสดุพลาสติกชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน และมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้เป็นที่นิยมนำมาใช้ในงานก่อสร้างและอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย ซึ่งท่อ HDPE ย่อมาจาก High Density Polyethylene มีคุณสมบัติเด่น ๆ ได้แก่

  • ท่อ HDPE มีความแข็งแรงทนทานต่อแรงกระแทกและแรงดันได้ดี ทำให้สามารถใช้งานได้ในสภาวะที่หลากหลาย
  • มีน้ำหนักเบา ทำให้ขนย้ายและติดตั้งได้สะดวก
  • ไม่เกิดการผุกร่อนหรือเป็นสนิม จึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
  • ทนทานต่อสารเคมีหลายชนิด ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้กับสารเคมีต่าง ๆ ได้โดยไม่เกิดการกัดกร่อน
  • ผิวภายในของท่อเรียบลื่น ทำให้ลดการสะสมของตะกอนและสิ่งสกปรก
  • มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถดัดโค้งได้ง่ายและติดตั้งได้ตามรูปทรงที่ต้องการ
  • เป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดี ทำให้ปลอดภัยในการใช้งาน
  • ขนาดท่อ PE มีหลากหลาย เหมาะกับทุกการใช้งาน

ดังนั้น จึงมีการใช้งานท่อ PE หรือ ท่อ HDPE อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบประปา, ระบบระบายน้ำ, ระบบร้อยสายไฟ, อุตสาหกรรม และการเกษตรต่าง ๆ ด้วยข้อดีของท่อพีอีที่ติดตั้งง่าย เนื่องจากน้ำหนักเบาและสามารถเชื่อมต่อได้ง่าย มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาว และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้

ท่อ HDPE หรือท่อ PE ที่น่าสนใจในปัจจุบันมีท่ออะไรบ้าง

ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาท่อ PE อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำไปใช้ในงานเฉพาะอย่างระบบระบายน้ำหรือการป้องกันอัคคีภัย หรือเรียกว่าเป็นท่อ HDPE ประปาและท่อกันลามไฟ HDPE ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

1. ท่อ PROPIPE หรือ ท่อระบายน้ำ HDPE

ท่อ PROPIPE หรือ ท่อระบายน้ำ HDPE เป็นท่อ HDPE ประปาหรือท่อระบายน้ำชนิดหนึ่งที่ผลิตจากวัสดุพลาสติก HDPE (High-Density Polyethylene) ซึ่งเป็นพลาสติกชนิดความหนาแน่นสูง มีคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน และมีความยืดหยุ่นสูง โดยมีการเสริมแผ่นเหล็กระหว่างผนัง HDPE ชั้นในและชั้นนอกของท่อ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงในการรับน้ำหนักและแรงกดทับ ทำให้เหมาะสำหรับงานระบายน้ำขนาดใหญ่ เช่น ระบบระบายน้ำของอาคารสูง โรงงานอุตสาหกรรม หรือโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่

สาเหตุที่เลือกท่อ HDPE ประปามาใช้เป็นท่อระบายน้ำ HDPE เนื่องมาจากหลายสาเหตุ ได้แก่

  • ท่อ PROPIPE มีความแข็งแรงทนทานต่อแรงกดทับจากดินและน้ำหนักของสิ่งก่อสร้าง เนื่องจากมีการเสริมลอนเหล็กบริเวณผนังด้านในท่อ ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานยาวนานกว่าท่อชนิดอื่น ๆ
  • มีน้ำหนักเบากว่าท่อคอนกรีต ทำให้ขนย้ายและติดตั้งได้ง่าย ลดต้นทุนในการก่อสร้าง
  • ท่อผลิตจากวัสดุ HDPE รวมถึงสารยึดติดเกาะชนิดพิเศษที่ลอนเหล็ก ซึ่งไม่เป็นสนิม ทนต่อสารเคมี และไม่ผุกร่อน ทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาบ่อยครั้ง
  • ผิวภายในของท่อเรียบลื่น ทำให้ลดการสะสมของตะกอนและสิ่งสกปรก ช่วยให้การไหลของน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ติดตั้งง่าย สามารถเชื่อมต่อท่อได้ง่ายและรวดเร็ว ลดระยะเวลาในการก่อสร้าง

2. ท่อ HDPE ผนัง 2 ชั้น คุณสมบัติหน่วงไฟ หรือ ท่อกันลามไฟ HDPE
 
ท่อ HDPE ผนัง 2 ชั้น คุณสมบัติหน่วงไฟ หรือ ท่อกันลามไฟ HDPE เป็นท่อที่ผลิตจากวัสดุ HDPE (High-Density Polyethylene) เช่นเดียวกัน โดยมีการออกแบบให้มีผนังสองชั้น และมีการผสมสารหน่วงไฟเข้าไปในวัสดุ เพื่อเพิ่มความสามารถในการต้านทานการเผาไหม้และชะลอการแพร่กระจายของเปลวไฟในกรณีเกิดเพลิงไหม้ ทำให้ท่อ HDPE เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น งานระบบไฟฟ้าในอาคารสูง โรงงานอุตสาหกรรม หรือโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่

ท่อกันลามไฟ HDPE มีคุณสมบัติเด่น ๆ หลายประการ ที่แตกต่างจากท่อ HDPE ผนังชั้นเดียวทั่วไป คือ

  • มีการออกแบบให้มีผนังสองชั้น ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของท่อ และยังช่วยชะลอการแพร่กระจายของความร้อนในกรณีเกิดเพลิงไหม้
  • ผสมสารหน่วงไฟเข้าไปในวัสดุ HDPE ทำให้ท่อมีความสามารถในการต้านทานการเผาไหม้สูงขึ้น เมื่อเกิดความร้อนสูง สารหน่วงไฟจะทำปฏิกิริยา เพื่อยับยั้งการลุกไหม้และชะลอการแพร่กระจายของเปลวไฟ
  • ท่อ HDPE ผนัง 2 ชั้น สามารถทนต่ออุณหภูมิสูงได้เป็นเวลานาน ทำให้สามารถใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงได้

ดังนั้น หากต้องการความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย การเลือกใช้ท่อ HDPE ผนัง 2 ชั้น คุณสมบัติหน่วงไฟ ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ป้องกันการลุกลามของไฟในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานยาวนาน ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาบ่อยครั้ง

ท่อ PE มีส่วนประกอบอะไรบ้าง

ท่อ HDPE ประปา

ท่อ PE หรือ ท่อโพลีเอทิลีน เป็นท่อที่มีความยืดหยุ่นสูง ทนทาน และน้ำหนักเบา ซึ่งส่วนประกอบหลักและกระบวนการผลิตมีดังนี้

  • โพลีเอทิลีน (Polyethylene) เป็นส่วนประกอบหลักของท่อ PE เกิดจากการนำเอทิลีน (Ethylene) มาทำปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชัน ทำให้เกิดเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่ต่อกันเป็นสายยาว
  • สารเติมแต่งอื่นๆ เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของท่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ท่อ HDPE ประปา
  • สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยยับยั้งการเสื่อมสภาพของพลาสติก เมื่อสัมผัสกับอากาศและแสงแดด
  • สารกันรังสี UV ป้องกันไม่ให้พลาสติกเปลี่ยนสีและเปราะเมื่อโดนแสงแดด
  • สารเพิ่มความแข็งแรง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของท่อ PE
  • สารเพิ่มความยืดหยุ่น ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของท่อ

นอกจากนี้ ท่อ PE ยังมีกระบวนการผลิต ดังนี้

  • เริ่มจากการนำเอทิลีนมาทำปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันจนได้เป็นเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน
  • นำเม็ดพลาสติกมาผสมกับสารเติมแต่งต่าง ๆ ตามสัดส่วนที่ต้องการ
  • นำส่วนผสมที่ได้ไปหลอมละลาย แล้วขึ้นรูปเป็นท่อโดยใช้เครื่องจักรเฉพาะ เช่น เครื่องอัดรีด (Extruder)
  • ท่อที่ขึ้นรูปแล้วจะถูกนำไปทำความเย็นเพื่อให้แข็งตัว
  • ท่อที่ผลิตเสร็จจะถูกตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด เช่น ความหนาของผนัง ความตรงของท่อพีอี และความแข็งแรง

สรุป

ท่อ PE หรือ ท่อ HDPE เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติโดดเด่นหลายประการ ทำให้เป็นที่นิยมนำมาใช้ในงานก่อสร้างและอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะงานระบบระบายน้ำ หรือระบบป้องกันอัคคีภัย ท่อพีอีก็ถือว่า เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ทำให้ระบบงานสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น ติดตั้งง่าย ประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

5
ทำความรู้จักกับท่อ HDPE หรือ ท่อ PE ดีอย่างไร

ท่อพีอี

ท่อ hdpe มีความแข็งแรง ยืดหยุ่นสูง ไม่ผุพังง่าย ขนาดท่อ hdpe มีหลายขนาดเหมาะทั้งภายในและนอกอาคาร ท่อ hdpe ประปาลำเลียงน้ำได้สะดวกไม่ติดขัด

เคยสงสัยกันไหมครับว่าท่อที่เราเห็นมีหลายๆสีนี้ มีไว้เพื่ออะไรบางท่อสีฟ้า มีสีดำคาดฟ้าบ้าง สีดำคาดส้มบ้าง ซึ่งภายในบทความนี้พวกเราจะมานำเสนอให้ข้อมูลเกี่ยวกับท่อสีดำคาดฟ้ากันครับ หรือเรียกอีกอย่างว่า ท่อ HDPE เรียกง่ายๆว่า ท่อ PE มีไว้สำหรับใช้ในงานต่อท่อประปาครับ เนื้อด้านล่างต่อไปนี้จะทำให้คุณรู้จักกับท่อ PE มากขึ้น การใช้งานเป็นอย่างไร มีส่วนประกอบอะไรบ้าง มาติดตามกันครับ

ท่อ HDPE คืออะไร

ท่อ hdpe ประปา

ท่อ HDPE คือ ท่อที่มีการผลิตโดยใช้พลาสติกเชิงวิศวกรรม ที่มีคุณภาพสูง มีความแข็งแรง ทนทานต่อการกัดกร่อนของสารเคมี มีความยืดหยุ่นสูง มีน้ำหนักที่เบาขนย้ายได้อย่างสะดวกสบาย ไม่เป็นสนิม มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่า 50 ปี ผิวสัมผัสท่อด้านในมีความมัน ลื่น ทำให้อัตราไหลของน้ำดี เดินทางได้สะดวก สามารถติดตั้งในที่โล่งแจ้งได้เนื่องจากตัวท่อ PE มีความทนทานต่อแสงแดด ทนความร้อนได้ดีมีสารป้องกัน UV ตัวท่อจึงมีความทนทานไม่ละลายผิดรูป

ท่อ HDPE ที่น่าสนใจในปัจจุบันมีอะไรบ้าง

โดยในปัจจุบันนี้มีท่อ HDPE หรือ ท่อพีอี ที่น่าสนใจอยู่มาก ซึ่งในบทความนี้พวกเราขอยกตัวอย่างของชนิดท่อ HDPE ที่พวกเราสนใจกันครับ เรามาทำความรู้จักไปพร้อมกันกับชนิดของท่อ PE แต่ละชนิดมีความพิเศษอย่างไร เหมาะกับใช้งานแบบไหนบ้าง วัสดุโครงสร้างที่ผลิดทำจากอะไร

1. ท่อ PROPIPE หรือ ท่อระบายน้ำ HDPE

ชนิดของท่อระบายน้ำ HDPE หรือท่อ PROPIPE เป็นท่อลอนพอลิเอทิลีนเสริมเหล็ก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ตั้งแต่ 30ซม. ถึง 3ม. มีความยาวต่อท่อน 6-15 เมตร สามารถต่อท่อได้ด้วยวัสดุชนิด PE ทำให้ไม่มีรอยต่อ หรือมีการรั่วซึม ลดการอุดตันของน้ำ ตัวท่อ PROPIPE มีความยืดหยุ่นสูง สามารถโค้งงอได้ ภายในจะมีลักษณะผิวสัมผัสลื่นไม่เป็นสนิม ทนทานต่อการกัดกร่อนของสารเคมี อีกทั้งภายในยังมีการออกแบบให้น้ำแบบแรงโน้มถ่วง ไร้แรงดัน ทำให้ประสิทธิภาพของการไหลของน้ำ มีความแรงเดินทางได้ดี และตัวท่อพีอียังมีน้ำหนักที่เบา ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าท่อระบายน้ำแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก เพราะใช้โครงสร้างรัดท่อ PROPIPE ระยะห่างทุกๆ 6-15  เมตร ซึ่งจะประหยัดกว่าการเกราท์ปูนแบบท่อคอนกรีตเสริมเหล็ก และระยะเวลาในการก่อสร้างก็ใช้เวลาที่น้อยกว่าถึง 3 เท่าอีกด้วย อายุการใช้งานได้นานถึง 50 ปี เหมาะกับการใช้งานระบายน้ำขนาดใหญ่ เช่น ระบบระบายน้ำของอาคารที่มีความสูง ระบบระบายน้ำข้างถนน

2. ท่อ HDPE ผนัง 2 ชั้น คุณสมบัติหน่วงไฟ หรือ ท่อกันลามไฟ HDPE

ท่อกันลามไฟชนิด FR-HDPE  เป็นท่อที่ผลิตโดยใช้วัสดุพลาสติกพอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง มีผนัง 2 ชั้น โดยผนังชั้นในและชั้นนอกผลิตจากพลาสติกที่มีการรับรองจากมาตรฐาน มอก.2559-2554 : พอลิเอทิลีนคอมพาวด์สำหรับท่อน้ำผลิตดื่ม และยังมีการเติมแต่งสารหน่วงไฟ Flame Retardant Additive ไปยังผนังชั้นนอก เพื่อเสริมคุณสมบัติในการต้านทานการเผาไหม้ของไฟ และชะลอการแพร่กระจายของเปลวไฟได้ ในกรณีที่เกิดเพลิงไหม้ เหมาะกับการใช้งานสำหรับภายในอาคารที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น ระบบการเดินท่อน้ำภายในตึกอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม

ถึงอย่างไรก็ตามแม้มีการเติมแต่งสารที่ไว้ช่วยหน่วงกันไฟเอาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต้านทานไฟกับท่อ FR-HDPE ไม่ได้หมายถึงว่าวัสดุจะกันไฟได้อย่างสมบูรณ์ ต้องมีการติดตั้งที่เหมาะสม ปฏิบัติตามหลักด้านความปลอดภัย และปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงเพื่อให้ประสิทธิภาพของท่อ FR-HDPE มีประสิทธิภาพในการหน่วงไฟป้องกันไฟลามมากที่สุด

ส่วนประกอบของท่อ PE มีอะไรบ้าง

ท่อhdpe

ท่อ PE หรือ ท่อ HDPE ประปา มีคุณสมบัติที่มีความแข็งแรงทนทานซับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี มีควมยืดหยุ่นสูง ต่อความยาวได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการรั่วซึมของน้ำ มีน้ำหนักเบา โดยมีส่วนประกอบต่อไปนี้

  • ตัวท่อทำจากวัสดุพลาสติก พอลิเอทิลีน (Polyethylene) ซึ่งเป็นพลาติกที่มีความแข็งแรง ยืดหยุ่นสูง และยังมีน้ำหนักเบา
  • สารเติมแต่งเพื่อให้เหมาะสมของการใช้งาน เช่นท่อ FR-HDPE จะเติมสารหน่วงไฟช่วยชะลอการลามของไฟได้
  • สารกันรังสี UV เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในที่โล่งแจ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ท่อ PE เกิดการละลายจนผิดรูป

ส่วนคุณสมบัติของท่อพีอี คือ

  • ท่อพีอี มีความแข็งแรงเนื่องจากใช้วัสดุ พอลิเอทิลีน ทำไม่ไม่เปราะหัก แตกง่าย
  • มีความทนทานต่อแสงแดดสูง เพราะมีสารป้องกัน UV ทำให้ตัวท่อคงสภาพเดิมไม่เสียรูปทรง
  • ท่อ PE มีน้ำหนักที่เบา สามารถโค้งงอได้ และต่อท่อได้ด้วยลมร้อน
  • สามารถรับแรงดันน้ำได้ดีถึง 25 บาร์
  • เป็นท่อน้ำดื่มที่สะอาด ปราศจากสารก่อมะเร็งจากโลหะหนักต่างๆ

สรุป

ท่อ HDPE หรือ ท่อ PE เป็นท่อน้ำที่ลักษณะท่อจะเป็นท่อสีดำคาดฟ้า มีคุณสมบัติในการทนทานแข็งแรงสูง หยืดหยุ่นเป็นอย่างดี มีการป้องกันสาร UV ทนการกัดกร่อนของสารเคมีอื่นๆได้ เหมาะกับการใช้งานทั้งภายในตึกอาคาร และโรงงานอุตสาหกรรม อีกทั้งยังมีระบบป้องกันการลุกลามของไฟ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ มีความปลอดภัยสูง รวมกันเรื่องของระยะเวลาการใช้งานของท่อพีอีและราคาค่าใช้จ่ายแล้ว เป็นการใช้จ่ายที่คุ้มค่าอย่างมาก สามารถติดตั้งได้อย่างเป็นระบบ และยังได้รับมาตรฐานจาก มอก.

6
เครื่องซักผ้า ฟังก์ชันที่ควรมีและการเลือกซื้อเครื่องซักผ้าราคาถูก

เครื่องซักผ้าราคาถูก

เครื่องซักผ้า ฝาหน้า ฝาบน กับฟังก์ชันที่ใช้บ่อยมีอะไรบ้าง แต่ละฟังก์ชันทำงานอย่างไร และแนะนำการเลือกเครื่องซักผ้าราคาถูก ดี ใช้งานได้ตามความต้องการกัน

เครื่องซักผ้าเรียกได้ว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แทบต้องมีทุกบ้านกันแล้วเนื่องจากความสะดวกและทำให้การซักผ้าไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่จะเลือกซื้อเครื่องซักผ้าราคาถูกอย่างไรให้คุ้มค่ากับการใช้งาน เครื่องซักผ้าที่เราควรซื้อเป็นเครื่องซักผ้าฝาหน้า หรือเครื่องซักผ้าฝาบน เทคโนโลยีและฟังก์ชันที่มากมายในปัจจุบัน แต่ละฟังก์ชันทำงานอย่างไร ช่วยอะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ

เครื่องซักผ้า โปรแกรมซักด่วน เวลาน้อยก็ซักได้

กลับบ้านมามีเวลาน้อยในการทำงานบ้าน แดดใกล้หมดแล้ว เสื้อผ้าไม่สามารถใช้เครื่องซักอบผ้าได้ ผ้าที่ตากเลอะ หรือโดนฝนตก อยากซักใหม่แต่กลัวไม่ทัน ปัญหานี้จะหมดไปด้วยโปรแกรมซักด่วนของเครื่องซักผ้า โดยโปรแกรมซักด่วนจะใช้ระยะเวลาซักที่ไม่นาน โดยส่วนมากนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 15 - 30 นาทีขึ้นอยู่กับเครื่องซักผ้านั้น ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย ต้องการซักผ้าที่มีความสกปรกน้อยเล็กน้อย หรือซักผ้าในปริมาณน้อย เป็นฟังก์ชันที่หลายๆ คนชอบใช้กัน

เครื่องซักผ้า ทำความสะอาดตัวเอง สะอาดไม่มีฝุ่นและคราบต่างๆ

เครื่องซักผ้านั้นหากใช้เป็นระยะเวลายาวนาน คราบสิ่งสกปรกต่าง ๆ เศษผ้า คราบไขมัน คราบผงซักฟอกนั้นจะถูกกักเก็บสะสมไว้ โดยสิ่งเหล่านี้ที่เราไม่พึ่งประสงค์จะส่งผลต่อการซักผ้าของเครื่องซักผ้าอัตโนมัติได้ทำให้ผ้าดูไม่สะอาด มีฝุ่นหรือคราบเกาะเสื้อผ้า การมีโปรแกรม ทำความสะอาดตัวเอง หรือที่รู้จักกันคือ โปรแกรมล้างถังซัก จะช่วยลดปัญหาสิ่งสกปรกสะสม ยืดอายุการใช้งาน ลดปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ อับชื้น และทำให้การซักผ้ามีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น

เครื่องซักผ้าถนอมเนื้อผ้า เพื่อยืดอายุเสื้อผ้าอย่างยาวนาน

เครื่องซักผ้าฝาหน้า

เนื้อผ้าสำหรับเสื้อผ้าบางชนิดนั้นสามารถเสียหายหรือฉีกขาดได้ง่าย อยากซักก็กังวลว่าเครื่องซักผ้าจะทำให้ผ้าเสียหาย ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยโปรแกรมซักผ้าแบบ ถนอมเสื้อผ้า โดยโปรแกรมซักแบบถนอมผ้าของเครื่องซักผ้าจะมีความเร็วและจังหวะการหมุนที่ช้ากว่าโปรแกรมทั่วไป และความเร็วรอบการปั่นของเครื่องซักผ้าที่ต่ำกว่าโปรแกรมปกติเพื่อถนอมเนื้อผ้าของคุณ

เครื่องซักผ้า อบแห้งไม่ต้องง้อแดด ผ้าหอมน่าใส่

หลายคนที่ยังไม่อบผ้า อาจจะไม่รู้ว่าการอบผ้าช่วยอะไร การอบผ้านั้นจะช่วยให้ผ้าแห้ง หอมนุ่ม เป็นการฆ่าเชื้อทำให้ผ้าสะอาดลดอาการคันหรือแพ้ ลดปัญหาฝุ่นติดเสื้อผ้าจากการตาก ลดปัญหาไม่มีแดดแล้วกลัวผ้าอับชื้น ข้อดีขนาดนี้หลายๆคนที่ซื้อเครื่องซักผ้านั้น จึงเลือกเครื่องซักผ้าแบบเครื่องซักอบผ้าในตัวที่มีโปรแกรมฟังก์ชันอบผ้านั่นเอง

เครื่องซักผ้า  ฆ่าเชื้อ ให้เครื่องซักผ้าปลอดเชื้อโรค

ขนาดเครื่องซักผ้า

แน่นอนว่าการซักผ้านั้นหลังจากซักผ้าเสร็จเรียบร้อย จะมีความชื้นสิ่งสกปรกติดค้างอยู่บ้าง แม้เปิดฝาเครื่องซักผ้าไม่ว่าจะเป็นเครื่องซักผ้าฝาบน เครื่องซักผ้าฝาหน้า ก็อาจไม่เพียงพอต่อการจัดการกับความชื้น เนื่องจากความชื้นเป็นต้นกำเนิดของการเกิดเชื้อโรค เครื่องซักผ้าที่มีโหมดฟังก์ชันฆ่าเชื้อจะช่วยในปัญหาเรื่องนี้ โดยการทำงานของโหมดนี้คือ เครื่องซักผ้าจะปล่อยไอน้ำร้อน เพื่อเป็นการกำจัดเชื้อโรค ขจัดกลิ่นอับ เชื้อราอาจติดไปตามเสื้อผ้าได้ โหมดนี้จึงเหมาะสำหรับผ้าแทบทุกชนิดที่ต้องการฆ่าเชื้อและลดสิ่งที่ทำให้เกิดภูมิแพ้

นอกจากฟังก์ชันที่กล่าวมาในหัวข้อที่ผ่านมาแล้ว ยังมีฟังก์ชันอื่นๆมากมายในปัจจุบันของเครื่องซักผ้าที่มีให้เราเลือก ข้อสำคัญนั้นคือควรเลือกประเภทเครื่องซักผ้าที่เหมาะสม ขนาดเครื่องซักผ้าและเครื่องซักผ้าที่มีฟังก์ชัน ที่เราต้องการใช้งานจริงๆ  และควรตรวจสอบเนื้อผ้าว่าสามารถใช้ซักในฟังก์ชันที่เราต้องการหรือไม่

แนะนำการเลือกเครื่องซักผ้า ต้องพิจารณาอะไรบ้าง

เครื่องซักผ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยเรื่องการซักผ้าเป็นอย่างดี โดยเครื่องซักผ้านั้นมีหลายประเภท เครื่องซักผ้าราคาจะแตกต่างกันไปตาม ขนาดเครื่องซักผ้า เทคโนโลยี และประเภทของเครื่องซักผ้า แล้วจะซื้อเครื่องซักผ้าอย่างไรให้ตรงตามความต้องการของเรา โดยมีข้อแนะนำที่ควรพิจารณาก่อนซื้อดังนี้

  • ประเภทเครื่องซักผ้า - เครื่องซักผ้ามีทั้งแบบ เครื่องซักผ้าฝาบน เครื่องซักผ้าฝาหน้า เครื่องซักอบผ้า เครื่องซักผ้าอัตโนมัติ กึ่งอัตโนมัติ ในแต่ละประเภทจะมีข้อดีข้อ สังเกตที่แตกต่างกันไป การศึกษาข้อดีของเครื่องซักผ้าแต่ละประเภทจะช่วยให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
  • ขนาดเครื่องซักผ้า - ขนาดของเครื่องซักผ้าจะส่งผลต่อจำนวนผ้าที่ใช้ซักแต่ละครั้ง ควรพิจารณาว่าในแต่ละครั้งในการซักมีเสื้อผ้าเยอะน้อยแค่ไหนเพื่อเลือกซื้อขนาดเครื่องซักผ้าที่เหมาะสม
  • โปรแกรมและเทคโนโลยี - เทคโนโลยีที่ช่วยให้ซักผ้าได้สะอาดขึ้น ทำงานได้เงียบ โปรแกรมการซักผ้าอัจฉริยะจะช่วยให้การซักผ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น ในข้อนี้สามารถเลือกตามความต้องการของผู้ซื้อได้
  • บริการหลังการขาย - แน่นอนว่าเครื่องซักผ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีอายุการใช้งาน สามารถชำรุดได้ ควรเลือกเครื่องซักผ้าที่มีบริการหลังการขายที่รวดเร็ว ติดต่อได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก เพื่อให้การซ่อมแซมเครื่องซักผ้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว
  • ราคา - ราคาเครื่องซักผ้ามีหลายช่วงราคาขึ้นอยู่หลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นประเภทของเครื่องซักผ้า ยี่ห้อเครื่องซักผ้า เทคโนโลยีและฟังก์ชัน เป็นต้น ตัวอย่าง เครื่องซักผ้าอบผ้าฝาหน้ากับเครื่องซักผ้าทั่วไป เครื่องซักผ้าอบผ้าในตัวจะมีราคาที่สูงกว่า อีกทั้ง เครื่องซักผ้าขนาดเล็กหรือเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่กว่าก็มีราคาที่แตกต่างกันไปอีกด้วย

เครื่องซักผ้า เลือกซื้อที่เหมาะกับการใช้งาน เพื่อประโยชน์ที่ดีที่สุด

ในปัจจุบันเครื่องซักผ้ามีโปรแกรมการซักที่ช่วยเพิ่มตัวเลือกให้การซักผ้าของคุณเป็นเรื่องง่าย โดยในบทความนี้ได้ยกตัวอย่างโปรแกรมซักผ้าที่เป็นที่นิยม และยังมีโปรแกรมอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยเรื่องการซักผ้า หากสนใจเลือกซื้อเครื่องซักผ้า ควรเลือกประเภทเครื่องซักผ้าที่เหมาะสม อย่างเช่น เครื่องซักผ้าฝาบน ฝาหน้า หรือเครื่องซักอบผ้า เลือกเครื่องซักผ้าที่มีโปรแกรมที่เราต้องการ เพื่อให้การซักผ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป

7
 การใช้งานตู้เย็นอย่างถูกวิธี


ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปีทำให้ “ตู้เย็น” กลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้านที่ครอบครัวส่วนใหญ่ต้องมีไว้ใช้งานเพราะประโยชน์ที่ได้รับนั้นมีมากมาย เช่น รักษาอาหารสดให้อยู่ได้
นาน มีเครื่องดื่มเย็น ๆ ให้ดื่มตลอดเวลา ดังนั้นควรเลือกประเภทตู้เย็นให้ตรงกับไลฟ์สไตล์การใช้งาน เช่น ตู้เย็นขนาดใหญ่ หรือ ตู้เย็นเล็ก ในราคาตู้เย็นที่จับจ่ายไหว เรียนรู้การใช้งานที่ถูกต้องตามคู่มือที่ให้ในบทความนี้

ตู้เย็นกับการใช้งานที่ถูกต้อง
เป็นความจริงที่ว่าหากสามารถใช้งานตู้เย็นได้อย่างถูกวิธี ประสิทธิภาพของตู้เย็นก็ยังคงอยู่พร้อมใช้งานได้อย่างทนทาน และยาวนาน ดังนั้นเราจะมาเรียนรู้เคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของตู้เย็นให้คุ้มกับราคาตู้เย็นที่จ่ายไป

ทำความสะอาดตู้เย็นเป็นประจำ
ควรมีการทำความสะอาดตู้เย็นเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
- ให้ถอดปลั๊กตู้เย็น แล้วจึงนำของแช่ในตู้เย็นออกมาวางข้างนอกก่อนชั่วคราว
- นำชั้นวางของที่ถอดได้ออกมาทำความสะอาด เช็ดให้แห้ง
- ให้ใช้1ผ้าหรือฟองน้ำชุบน้ำสบู่บิดหมาด ๆ เช็ดให้ทั่วภายในตู้เย็นแล้วจึงใช้ผ้าชุบน้ำมาเช็ดให้หมดคราบสบู่ หลังจากนั้นให้ใช้ผ้าแห้งเช็ดให้แห้งอีกครั้ง
- นำชั้นวางของใส่เข้าที่เดิมพร้อมคืนของแช่เข้าที่เดิม
- หลังจากนั้นให้ใช้ผ้าหรือฟองน้ำชุบน้ำสบู่บิดหมาด ๆ เช็ดภายนอกตู้เย็นพร้อมเช็ดคราบสบู่ออกให้หมดก่อนเช็ดแห้งอีกครั้ง แล้วจึงเสียบปลั๊กคืนดังเดิม

ตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสม
ควรตั้งอุณหภูมิภายในตู้เย็นให้ถูกต้อง เช่น ภายในตู้เย็นอยู่ที่อุณหภูมิ 3 - 5 องศาเซลเซียส ขณะที่ช่องฟรีซแช่แข็งควรอยู่ต่ำกว่า -18 องศาเซลเซียส

ตู้เย็น กับข้อพึงระวัง
การยืดอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านนั้นต้องมี ไม่ควรใช้เป็นเพียงอย่างเดียวควรต้องคอยบำรุงรักษาร่วมด้วย เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กล่าวถึงในที่นี้ก็คือ “ตู้เย็น” ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น 1 ประตู, ตู้เย็น 2 ประตู, ตู้เย็น Multidoor, ตู้เย็น Side by Side เป็นต้น มีลิสต์เบสิคที่ไม่ควรทำที่คล้าย ๆ กันคือ

 ข้อควรระวังการใช้ตู้เย็น


แช่ของที่ไม่ควรแช่
ไม่ควรนำสิ่งเหล่านี้แช่ในตู้เย็น เช่น ของร้อน เพราะจะทำให้ไอของน้ำยาแอร์ร้อนก่อนเข้าคอมเพรสเซอร์ ทำให้หล่อเย็นทำงานได้ไม่ดี ทำงานได้สั้นลง ทั้งยังทำให้ภาชนะในตู้เย็นเสื่อมสภาพเร็ว

สำหรับขวดแก้ว ขวดน้ำอัดลมไม่ควรไว้ในช่องฟรีซเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระเบิดได้

ส่วนสารเคมีไวไฟ/ยา/สี ก็ไม่แนะนำให้เก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเจือปนกับอาหาร และอาจ
เกิดปฏิกิริยากับความเย็น ทำให้เป็นอันตรายได้ หรือ ระเบิดได้

ล้างตู้เย็นด้วยการราดน้ำลงตู้เย็นตรง ๆ
เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ไม่ถูกกับน้ำเพราะจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ถ้ามีน้ำขังอยู่เวลาที่เครื่องทำงาน เช่นเดียวกันกับตู้เย็นที่ควรใช้แค่น้ำสบู่และน้ำอุ่นแล้วเช็ดด้วยฟองน้ำเวลาทำความสะอาดทั้งภายนอกและภายในตู้เย็น เสร็จแล้วจึงค่อยเช็ดให้แห้งก่อนเสียบปลั๊กให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิม ช่วยลดกลิ่นอับและการก่อตัวของเชื้อโรคอีกด้วย

เสียบปลั๊กตู้เย็นร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น
เนื่องจากตู้เย็นใช้กำลังไฟเยอะ ดังนั้นไม่ควรเสียบปลั๊กร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่น เพราะจะทำให้ไฟตกจนอาจเกิดความเสียหายจากการแย่งใช้กำลังไฟ ควรเลือกใช้เต้าเสียบเฉพาะอันเดียว และควรเสียบให้มิด อย่าให้หลวมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดประกายไฟได้

ตั้งตู้เย็นใกล้แหล่งความร้อน / อับชื้น
ห้ามตั้งตู้เย็นไว้ใกล้แหล่งความร้อน เพราะจะทำให้ตู้เย็นต้องทำงานหนักจากสภาพอากาศที่ร้อนโดยรอบด้านนอกทำให้ระบายความร้อนไม่ดี ทั้งยังสิ้นเปลืองค่าไฟฟ้าอีกด้วย นอกจากนี้การตั้งตู้เย็นใกล้แหล่งอับชื้นจะทำให้การระบายอากาศของเครื่องทำงานหนักเกินไป อาจทำให้เกิดสนิมจนส่งผลให้เกิดกระแสไฟฟ้ารั่วได้

ตั้งตู้เย็นชิดผนังด้านใดด้านหนึ่ง
ไม่ควรติดตั้งตู้เย็นชิดผนังจนเกินไปเนื่องจากคอมเพรสเซอร์ที่ระบายความร้อนส่วนใหญ่จะอยู่ด้านหลังหรือด้านบนของเครื่อง ทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนได้ดีเป็นสาเหตุให้ตู้เย็นเสียง่าย ที่ถูกต้องควรตั้งห่างจากผนังอย่างน้อย 15 ซม.

เปิดประตูตู้เย็นทิ้งไว้นาน ๆ
การเปิดประตูตู้เย็นทิ้งไว้นาน ๆ หรือเปิดตู้เย็นบ่อย ๆ จะทำให้อายุการใช้งานของตู้เย็นสั้นลงเพราะคอมเพรสเซอร์ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อทำให้อากาศร้อนจากภายนอกที่เข้ามาให้เปลี่ยนกลับมาเย็นเหมือนเดิม ทำให้สิ้นเปลืองไฟมากขึ้น

ตู้เย็น พร้อมข้อเสนอแนะการแก้ปัญหาเบื้องต้น
หากพบว่าตู้เย็นมีปัญหาขัดข้อง เราควรลองตรวจสอบสภาพด้วยตนเองก่อนที่จะเรียกช่างมาให้บริการ ปัญหาเบื้องต้นที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้

ตู้เย็นไม่ทำงาน - เช็กที่เต้าเสียบปลั๊กว่ามีไฟเข้าหรือไม่, ปลั๊กไฟเสียบแน่นหรือไม่
ตู้เย็นเย็นน้อย - ให้ตรวจเช็กอุณหภูมิภายในตู้เย็นว่าอยู่ตำแหน่งต่ำเกินไปหรือไม่, ใส่ของในตู้เย็นมากเกินไปหรือเปล่า, เปิดตู้เย็นบ่อยเกินไปหรือเปิดทิ้งค้างไว้นานเกินไปหรือไม่, ขอบยางตู้เย็นหลวมหลุดหรือเปล่า เป็นต้น
ตู้เย็นมีเสียงดัง - พื้นที่ตั้งตู้เย็นแข็งแรงพอหรือไม่, พื้นที่ตั้งตู้เย็นได้ระดับไม่ลาดเทหรือเปล่า, ตู้เย็นตั้งชิดกำแพงเกินไปหรือไม่
ในตู้เย็นมีหยดน้ำเกาะ - เช็กท่อน้ำทิ้งว่าตันหรือไม่, ได้แช่ของที่ร้อนมาก ๆ เข้าไปในตู้เย็นทันทีหรือเปล่า

สรุป ตู้เย็นช่วยเอื้อชีวิตให้ดีขึ้น

 ตู้เย็น เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น


ตู้เย็นเป็นหนึ่งในตัวช่วยต่อการดำเนินชีวิตประจำวันให้เป็นไปตามรูปแบบไลฟ์สไตล์ของสมาชิกครอบครัว เพราะข้อดีอันหลากหลายที่ทำให้การใช้ชีวิตได้ตรงตามเป้าหมาย เช่น คนที่ชอบอยู่บ้านสามารถมีความสุขกับการทำอาหาร กินของว่างที่เตรียมไว้ในตู้เย็น

ดังนั้นการเรียนรู้การใช้งานตู้เย็นที่ถูกต้อง รู้จักดูแลรักษาให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน จะช่วยให้การใช้งานตู้เย็นนั้นคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายหลัก เช่น ค่าไฟฟ้าได้อีกด้วย

8
“ดอกเบี้ยบ้าน” เรื่องสำคัญที่คนซื้อบ้านต้องรู้!

ดอกเบี้ยบ้าน

เปรียบเทียบดอกเบี้ยบ้านจากทุกธนาคาร พร้อมคำแนะนำในการเลือกสินเชื่อบ้านที่เหมาะสมกับคุณ เพื่อการประหยัดค่าใช้จ่ายและลดภาระทางการเงินในระยะยาว

การมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน แต่การซื้อบ้านมักจะมาพร้อมกับเรื่องทางการเงินมากมายที่เราต้องทำความเข้าใจ หนึ่งในนั้นคือ “ดอกเบี้ยบ้าน” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่าคุณจะต้องผ่อนจ่ายเงินเท่าไหร่ในแต่ละเดือนและตลอดอายุสัญญา การทำความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยบ้านจึงเป็นความรู้ที่จำเป็นสำหรับทุกคนที่ฝันอยากมีบ้านสักหลัง

ในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจกับดอกเบี้ยกู้บ้านว่าคืออะไร คำนวณอย่างไรบ้าง พร้อมแนะนำธนาคารที่มีรายละเอียดข้อเสนออัตราดอกเบี้ยบ้านที่น่าสนใจ ว่าจะมีรายละเอียดแตกต่างกันอย่างไรบ้างให้ได้ศึกษาก่อนตัดสินใจ

ทำความเข้าใจดอกเบี้ยบ้านคืออะไร

ดอกเบี้ยบ้านคือค่าตอบแทนที่ผู้กู้ต้องจ่ายให้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อแลกกับการได้กู้ยืมเงินมาซื้อบ้าน โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดเงินกู้ที่เหลืออยู่ ซึ่งจะถูกรวมเข้าไปในค่างวดที่ผู้กู้ต้องชำระในแต่ละเดือน อัตราดอกเบี้ยนี้มีผลโดยตรงต่อภาระการผ่อนชำระของผู้กู้ ยิ่งอัตราดอกเบี้ยบ้านสูง ยอดเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนก็จะยิ่งมาก ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยบ้านแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลกระทบต่อภาระทางการเงินของผู้กู้ในระยะยาวได้

สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยบ้านในปี 2567 นั้น คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยบ้านอาจมีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับตัวลดลงเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยและสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตามเนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน แนะนำว่าให้ผู้ที่สนใจกู้ซื้อบ้านศึกษารายละเอียดที่เป็นปัจจุบันที่สุดก่อนตัดสินใจกู้ยืมเงินเพื่อซื้อบ้าน

โดยสูตรการคำนวณดอกเบี้ยบ้านจะมีดังนี้

ดอกเบี้ยบ้านที่ต้องจ่ายต่องวด = (เงินต้นคงเหลือ x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันในงวดนั้น) ÷ 365 (จำนวนวันใน 1 ปี)
ดังนั้นถ้าหากกู้เงินผ่อนบ้านจำนวน 2 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ย 3.5% ต่อปีในปีที่ 1-3 ใน 3 ปีแรก ดอกเบี้ยบ้านที่ต้องจ่ายต่องวด = (2,000,000 x 3.5% x 30) ÷ 365 = 5,753.42 บาท

แนะนำ 5 ธนาคาร ที่มีอัตราดอกเบี้ยบ้านน่าสนใจ

ดอกเบี้ยกู้บ้าน

การเลือกสินเชื่อบ้านที่เหมาะสมเป็นก้าวที่สำคัญในการเป็นเจ้าของบ้าน แต่ละธนาคารจะมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านที่แตกต่างกันไป ทั้งในแง่ของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน ระยะเวลาผ่อน และเงื่อนไขพิเศษต่าง ๆ โดยผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่น่าสนใจจากธนาคารชั้นนำของไทย รวมไปถึงรายละเอียดดอกเบี้ยบ้านของทุกธนาคารจะมีดังนี้

ธนาคารกสิกรไทย

นอกจากอัตราดอกเบี้ยบ้านเริ่มต้นที่ 2.99% ต่อปีในช่วงสองปีแรก ธนาคารกสิกรไทยยังมีโปรแกรม "บ้านกสิกรไทย" ที่ให้ความยืดหยุ่นในการเลือกแผนการผ่อนชำระเช่น แผนผ่อนน้อยในช่วงแรก หรือแผนผ่อนคงที่ตลอดสัญญา นอกจากนี้ยังมีบริการประกันคุ้มครองสินเชื่อที่ให้ความคุ้มครองหนี้คงค้างในกรณีผู้กู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรอีกด้วย

ธนาคารไทยพาณิชย์

ธนาคารไทยพาณิชย์ได้มีโปรแกรม "SCB Home Loan" ที่นอกจากจะเสนออัตราดอกเบี้ยบ้านแบบพิเศษแล้ว ยังมีตัวเลือก Top-up สำหรับการตกแต่งบ้านหรือซื้อเฟอร์นิเจอร์ โดยสามารถกู้เพิ่มได้สูงสุดถึง 10% ของวงเงินกู้หลัก นอกจากนี้ธนาคารยังเสนอโปรแกรมสะสมคะแนน SCB Rewards ที่สามารถนำไปแลกเป็นส่วนลดค่างวดเพิ่มเติมได้อีกด้วย

ธนาคารกรุงเทพ

สำหรับธนาคารกรุงเทพจะมี "สินเชื่อบ้านบัวหลวง" ที่เสนอทางเลือกการผ่อนชำระดอกเบี้ยบ้านแบบขั้นบันได โดยเริ่มจากการผ่อนน้อยในช่วงแรกและค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต ด้วยอัตราดอกเบี้ย 3.50% ต่อปีคงที่ 2 ปีแรก และหลังจาก 2 ปีแรกอัตราดอกเบี้ยจะปรับเป็นแบบลอยตัว โดยอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ย MRR (Minimum Retail Rate) ของธนาคาร ซึ่งมักจะเท่ากับ MRR-2% ถึง MRR-1% ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประวัติเครดิต รายได้ และวงเงินกู้ นอกจากนี้ยังมีบริการ "Home for Cash" ที่ให้สินเชื่อเพิ่มเติมโดยใช้บ้านเป็นหลักประกัน

ธนาคารกรุงไทย

นอกเหนือจากโปรแกรมพิเศษสำหรับบุคลากรภาครัฐ ธนาคารกรุงไทยยังมี "สินเชื่อกรุงไทยบ้านให้เงิน" ที่ให้วงเงินกู้เพิ่มเติมสำหรับใช้จ่ายส่วนตัว โดยใช้บ้านเป็นหลักประกัน ธนาคารยังเสนอโปรแกรมประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินกู้ที่มีเบี้ยประกันต่ำ ด้วยอัตราดอกเบี้ยบ้านพิเศษ 2.75% ต่อปีในปีแรก

ธนาคารออมสิน

ธนาคารออมสินได้เสนออัตราดอกเบี้ยบ้านเริ่มต้นที่ 3.15% ต่อปีคงที่ 3 ปีแรก หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยจะปรับเป็นแบบลอยตัว โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ MRR-1% ถึง MRR+0.5% ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ นอกจากนี้ธนาคารออมสินยังมีโครงการพิเศษอย่าง "บ้านประชารัฐ" ที่ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้มีรายได้น้อย โดยมีอัตราดอกเบี้ยบ้านพิเศษและระยะเวลาผ่อนชำระนานถึง 40 ปี นอกจากนี้ยังมีโครงการ "บ้านล้านหลัง" ที่สนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนทั่วไป โดยมีเงื่อนไขผ่อนปรนและอัตราดอกเบี้ยพิเศษ

สรุปดอกเบี้ยบ้าน

การเลือกสินเชื่อบ้านที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านหลังใหม่หรือต้องการปรับโครงสร้างหนี้ที่อยู่อาศัย คำถามที่มักพบบ่อยคือ อัตราดอกเบี้ยบ้านของธนาคารไหนดีกว่ากัน ซึ่งไม่มีคำตอบตายตัว เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น รายได้ ประวัติเครดิต และมูลค่าหลักประกัน การเปรียบเทียบดอกเบี้ยบ้านจากหลายธนาคารจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยควรพิจารณาทั้งอัตราดอกเบี้ยบ้านในช่วงโปรโมชันและหลังจากนั้น รวมถึงเงื่อนไขอื่น ๆ ประกอบกัน

สำหรับผู้ที่มีภาระดอกเบี้ยผ่อนบ้านสูง การพิจารณารีไฟแนนซ์บ้านอาจเป็นทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะหากพบว่า ดอกเบี้ยบ้านหลังรีไฟแนนซ์ต่ำกว่าปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ผู้กู้ควรติดตามข้อมูลอัตราดอกเบี้ยบ้านอย่างสม่ำเสมอและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ข้อเสนอที่เหมาะสมที่สุดกับสถานะทางการเงินของตน

9
วิธีรับเงินจากต่างประเทศ


บริการการรับเงินโอนจากต่างประเทศมีความสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องศึกษาในต่างประเทศและการทำงานในต่างประเทศ ในปัจจุบันนี้การโอนให้บุคคลจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการโอนเงินผ่านธนาคาร และการโอนเงินแผ่นแพลตฟอร์มบริการรับเงินโอนจากต่างประเทศในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งจะมีอัตราค่าธรรมเนียมในการโอนเงินและระยะเวลาที่ดำเนินการแตกต่างกันไป

การรับเงินโอนจากต่างประเทศในปัจจุบันมีความสะดวกและรวดเร็วมาก เพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ผู้ปกครองสามารถส่งเงินไปให้ลูกหลานในต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว มีความปลอดภัย สำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีรับเงินจากต่างประเทศ คอลัมน์นี้เราได้รวบรวมมาให้คุณแล้ว

เหตุผลที่ต้องใช้บริการส่งและรับเงินโอนจากต่างประเทศอย่างถูกต้อง
การรับเงินโอนจากต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมในการโอนเงินมาประเทศไทย มีกฎระเบียบ และภาษี ที่ต้องปฏิบัติเพื่อการดำเนินการอย่างถูกต้อง ซึ่งหน่วยงานภาครัฐจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้มีอำนาจในการดูแลแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และธนาคารผู้ได้รับอนุญาตจะดำเนินการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการที่มีความจำเป็นต้องรับเงินโอนจากต่างประเทศ อาทิเช่น

- นักเรียนนักศึกษาที่เรียนต่างประเทศ ต้องได้รับเงินสนับสนุนจากผู้ปกครอง หรือเงินทุนการศึกษาและการดำรงชีวิต
- เจ้าของธุรกิจหรือนักลงทุนที่ทำธุรกิจระหว่างประเทศ เช่น การลงทุน การซื้อหุ้น การขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์
- พนักงาน ผู้รับจ้างที่ต้องรับเงินเดือนหรือค่าจ้างจากบริษัทต่างประเทศ
- การรับเงินโอนจากครอบครัวหรือญาติที่ทำงานต่างประเทศโอนเงินจากต่างประเทศมาไทย
- การทำประกันภัย หรือเงินชดเชยมรดกที่ต้องส่งเงินให้ผู้รับเงินโอนจากต่างประเทศ
- การคืนเงินภาษี หรือเงินชดเชยจากต่างประเทศ

วิธีรับเงินโอนจากต่างประเทศทำอย่างไร?
 
รับเงินโอนจากต่างประเทศ ค่าธรรมเนียม


การรับเงินโอนจากต่างประเทศสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความต้องการของผู้รับเงิน ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมในการโอนเงินจากต่างประเทศมายังธนาคารในไทยที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่องทาง โดยขั้นตอนการโอนเงินจากต่างประเทศมาไทยมีดังนี้
วิธีการรับเงินผ่านตัวแทนรับชำระเงิน
คุณสามารถดำเนินการรับเงินโอนจากต่างประเทศผ่านตัวแทน โดยที่จะต้องมีข้อมูลหมายเลขบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง, รหัสสาขา, หมายเลขบัญชี, รหัส SWIFT, ชื่อนามสกุลเต็ม, ที่อยู่จำนวนเงิน และสกุลเงินที่คุณต้องรับ
วิธีการรับเงินผ่าน paypal
การรับเงินโอนจากต่างประเทศผ่าน PayPal เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมมาก โดยคุณสามารถสมัครที่เว็บไซต์ PayPal และยืนยันบัญชีผ่านอีเมล กรอกรายละเอียดในการโอนเงินต่างประเทศให้ถูกต้อง เพื่อเชื่อมโยงกับบัญชี PayPal ของคุณ 
วิธีการรับเงินผ่าน Western Union
ผู้ใช้บริการโอนเงินไปต่างประเทศสามารถสมัครผ่านสำนักงานของ Western Union ซึ่งจะได้รับหมายเลข MTCN (Money Transfer Control Number) เพื่อเป็นรหัสอ้างอิงในการรับเงินโอนจากต่างประเทศ ทั้งนี้จะต้องเตรียมข้อมูลตามที่ Western Uninon ระบุ

*สรุปบริการรับเงินโอนจากต่างประเทศ
การรับเงินโอนจากต่างประเทศเป็นวิธีการโอนเงินที่สะดวกและรวดเร็ว สามารถเข้าถึงการชำระเงินจากผู้คนทั่วโลกอย่างง่ายดาย และสามารถรับเงินได้ภายในระยะเวลาไม่นาน เหมาะสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ คนทำงาน และนักศึกษาที่ต้องไปอยู่ต่างประเทศ

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาผู้ให้บริการรับเงินโอนจากต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ สะดวกและปลอดภัย มีผู้ใช้บริการมาแล้วมากมาย เราขอแนะนำ PingPong Payments ซัพพลายเออร์ผู้ให้บริการรับเงินโอนจากต่างประเทศกว่าสองร้อยประเทศทั่วโลก ค่าธรรมเนียมราคาประหยัด ติดต่อสอบถามได้เลยที่ https://th.pingpongx.com

รายการอ้างอิง
Chang, Ellen. (2024, September 6). How to Send Money Internationally. US News & World Report.  https://www.usnews.com/banking/articles/how-to-send-money-internationally

(2021, December 9). How do I receive money from abroad?. Barclays. https://www.juslaws.com/articles/money-transfer-regulations-tax-and-fees

Money Transfer: Regulations, Tax and Fees. Juslaws & Consult International law firm. https://www.barclays.co.uk/help/international/payments/making-and-receiving-international-payments/receive-money-app-only/

10
การขนส่งนำเข้า ส่งออกสินค้า


ในยุคที่การค้าขายเป็นเรื่องง่ายจากอิทธิพลของโลกอินเทอร์เน็ต แน่นอนว่าต้องมีพ่อค้าแม่ขายมากมายที่อยากนำเข้าส่งออกและทำธุรกิจการค้าเป็นของตัวเอง สำหรับท่านที่อยากทำธุรกิจการค้าออนไลน์แต่ยังไม่รู้ว่าการรับของมาขายจากต่างประเทศทำอย่างไร ต้องติดต่อต้นทางยังไง ขั้นตอนการจัดส่งเป็นอย่างไร แล้วมีแนวทางการชำระเงินอย่างไรให้ถูกกฎหมาย

บทความนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักการนำเข้าส่งออกสินค้าจากต่างประเทศให้ดีขึ้น เพื่อให้เพื่อน ๆ ที่ต้องการทำการค้าผ่านการนำเข้าสินค้าสามารถนำเข้าสินค้าง่าย ๆ ได้ด้วยตนเอง ถ้าอยากรู้กันแล้วว่าขั้นตอนการนำเข้าส่งออกสินค้าทำอย่างไร แล้วมีแนวทางการชำระเงินอย่างไรให้ถูกกฎหมาย สามารถติดตามต่อได้ในเนื้อหาของบทความนี้ที่เรารับรองว่าถ้าอ่านจบทุกท่านจะสามารถนำเข้าขนส่งต่างประเทศได้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน!

นำเข้าส่งออกสินค้าจากต่างประเทศทำยังไง? วิธีการนำเข้าสินค้าง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเอง
Shipping คือ การนำเข้าสินค้าผ่านเรือขนส่งสินค้าซึ่งการนำเข้าสินค้าด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากนำเข้าส่งออกสินค้าทางเรือไปยังต่างประเทศ แต่ยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เราจะมาพูดถึงขั้นตอนการนำเข้าส่งออกสินค้าง่าย ๆ ทำได้ด้วยตนเองกันในหัวข้อนี้

ขั้นตอนที่ 1: มองหาสินค้าที่ต้องการสั่งซื้อเพื่อเลือกซื้อก่อนทำการนำเข้าส่งออกสินค้า
แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นการส่งของไปต่างประเทศหรือการนําเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย สิ่งที่คุณต้องมีก่อนก็คือสินค้า หากคุณต้องการที่จะนำเข้าส่งออกสินค้าคุณจำเป็นต้องมองหาก่อนว่าสินค้าที่คุณต้องการคืออะไร แล้วมีร้านค้าในต่างประเทศร้านไหนที่ขายบ้าง เพื่อติดต่อและสั่งซื้อเข้ามาในประเทศ

ขั้นตอนที่ 2: สั่งซื้อและมองหาตัวกลางเพื่อติดต่อและพูดคุยเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออกสินค้า
เมื่อสั่งซื้อสินค้ากับผู้ขายเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนการส่งออกสินค้าขั้นตอนต่อมาจะเป็นการพูดคุยกับตัวกลางเพื่อจองพื้นที่บนเรือจัดส่งสินค้า และพูดคุยเกี่ยวกับราคาค่าขนส่งกับบริษัท Freight Forwarder โดยบริษัท Freight Forwarder คือบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้คนส่งในการจองพื้นที่และจัดการเรื่องการขนส่ง

ขั้นตอนที่ 3: ขอใบนำเข้าขนส่งสินค้า
เมื่อจัดการเรื่องการขนส่งกับตัวแทนเรียบร้อย บริษัทนำเข้าส่งออกที่ทำหน้าที่ด้านศุลกากร (Custom Clearance) จะทำการจัดการขอเอกสารเกี่ยวกับศุลกากรเพื่อยื่นเรื่องขอใบขนสินค้าขาเข้า ซึ่งทุกท่านสามารถทำขั้นตอนการนำเข้าส่งออกขั้นตอนนี้ด้วยตนเองได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะยุ่งยากหลายขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 4: ลำเลียงสินค้านำเข้าขึ้นเรือเพื่อเตรียมส่งสินค้าไปต่างประเทศ
เมื่อจัดการเอกสารเรียบร้อยแล้วสินค้าที่ท่านต้องการจัดส่งจะถูกลำเลียงขึ้นเรือนำเข้าส่งออกสินค้า แล้วเมื่อสินค้าถูกลำเลียงเรียบร้อยบริษัทส่งออกสินค้าจะออกเอกสารใบรับสินค้าให้ เพื่อยืนยันว่าสินค้าของท่านอยู่ระหว่างการจัดส่ง

ขั้นตอนที่ 5: นำสินค้านำเข้าส่งออกเข้าสู่ประเทศ
เมื่อเรือจัดส่งสินค้านำเข้าส่งออกถึงฝั่งขั้นตอนการนำเข้าสินค้าขั้นตอนต่อไปผู้นำเข้าทางเรือจะทำการเรียกเก็บเงินค่าขนส่งระหว่างประเทศ และนำใบส่งสินค้าไปเปลี่ยนเป็นใบปล่อยสินค้าหรือใบ FOB โดย FOB คือใบเรียกเก็บค่าบริการหลังหน้าที่การจัดส่งเสร็จสิ้น เพื่อนำสินค้าที่นำเข้าส่งออกระหว่างประเทศลำเลียงไปยังขั้นตอนต่อไป

ขั้นตอนที่ 6: เข้าสู่พิธีการทางศุลกากร
หลังเสร็จสิ้นขั้นตอน Import Export ผู้นำเข้าจะนำสินค้านำเข้าส่งออกเข้าสู่อากรขาเข้าเพื่อเข้าสู่พิธีการทางศุลกากรเพื่อชำระภาษีนำเข้า เพื่อนำเอกสารไปออกสินค้าที่ท่าเรือนำเข้าส่งออก

ขั้นตอนที่ 7: คัดแยกสินค้าเพื่อนำส่งผู้ใช้บริการนำเข้า
หลังจัดการขั้นตอนทางศุลกากรเสร็จสิ้นผู้นำเข้าสินค้าจะทำการจัดแยกสินค้า เพื่อนำสินค้านำเข้าส่งออกเหล่านั้นจัดส่งไปยังผู้ใช้บริการนำเข้าในขั้นตอนต่อไป

ขั้นตอนที่ 8: ส่งมอบและตรวจสอบสินค้า
เมื่อขั้นตอนการนำเข้าส่งออกเสร็จสิ้นผู้ให้บริการนำเข้าสินค้าจะทำการส่งสินค้าไปยังผู้ว่าจ้าง แล้วเมื่อสินค้าถึงมือผู้ใช้บริการแล้ว ผู้ใช้บริการจะทำการตรวจสอบความเรียบร้อยของสินค้าเพื่อยืนยันการนำเข้าส่งออกสินค้ากับผู้ให้บริการ

ชำระเงินค่าสินค้านำเข้าส่งออกอย่างไรให้ถูกวิธีติดตามได้ที่นี่

freight forwarder คือ


หลังจากทราบขั้นตอนการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศแล้ว เราจะมาพูดถึงวิธีการชำระค่าบริการนำเข้าส่งออกสินค้าจากต่างประเทศกันบ้าง การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมีวิธีการชำระเงินแบบใดบ้างมาดูกัน

- ชำระเงินล่วงหน้า (Advance Payment): เป็นวิธีการชำระเงินระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยจะเป็นการที่ผู้ซื้อชำระเงินให้ผู้ขายก่อนการจัดส่งสินค้านำเข้าส่งออก
- เปิดบัญชี (Open Account): เป็นการชำระเงินค่าสินค้านำเข้าส่งออกหลังการจัดส่ง โดยจะเป็นการจ่ายแบบ Cradit Term ที่ผู้ซื้อได้สินค้าก่อนแต่จ่ายเงินทีหลัง
- ชำระผ่านตั๋วเงินที่มีเอกสารประกอบ (Documentary Bill for Collection):เป็นการชำระเงินหลังได้สินค้าโดยจะเป็นการชำระเงินที่ผู้ขายสินค้านำเข้าส่งออกยื่นเอกสารและส่งใบเรียกเก็บเงินผ่านธนาคาร
- Letter of Credit ที่มีเอกสารประกอบ (Documentary Letter of Credit): เป็นการชำระเงินผ่านธนาคารเป็นการชำระค่าสินค้านำเข้าส่งออกผ่านธนาคาร โดยที่ธนาคารจะทำการส่งมอบเงินให้ผู้ขายหลังผู้ขายส่งสินค้าถึงมือผู้ซื้อ
- ชำระเงินผ่านบัญชีเสมือน: เป็นการชำระเงินผ่านระบบ E-Commerce ที่ปลอดภัยและได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสะดวกสบาย น่าเชื่อถือ และทำได้ง่าย ๆ ผ่านการเปิดบัญชีออนไลน์และชำระหรือรับเงินค่าสินค้านำเข้าส่งออก

สรุปแนวทางการนำเข้าส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ
ชิปปิ้ง คือการนำเข้าส่งออกสินค้าจากต่างประเทศทางเรือ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีนำเข้าส่งออกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน หลังอ่านบทความนี้จนจบเพื่อน ๆ คงเห็นแล้วว่าการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศสามารถทำได้ด้วยตนเอง แต่สำหรับมือใหม่ที่ต้องการผู้ช่วยนำเข้าสินค้าปัจจุบันก็มีผู้ให้บริการ Shipping อยู่มากมายหลายเจ้าที่พร้อมมอบความสะดวกสบายให้กับทุกท่าน

11
โอนเงินต่างประเทศ

สมัยก่อนแค่ได้ยินว่าต่างประเทศ การโอนเงินระหว่างประเทศต้องมีขั้นตอนมากมาย วุ่นวายไปหมด แต่ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวไกล ความปลอดภัยสูง การโอนเงินต่างประเทศที่ใช้เวลานาน ปัจจุบันใช้สามารถโอนเงินได้ทันที หรือเพียงรอไม่กี่วันก็สามารถโอนเงินต่างประเทศไปยังปลายทางได้แล้ว ด้วยบริการโอนเงินต่างประเทศจากหลายเจ้าให้คุณเลือกโอนเงินได้ตามความต้องการ โดยในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับการโอนเงินต่างประเทศ ง่าย รวดเร็ว จริงหรือไม่ วิธีการโอนเงินมีอะไรบ้าง ใช้ระยะเวลาเท่าในการโอนเงินต่างประเทศ ไปดูกัน

ค่าธรรมเนียมในการโอนเงินไปต่างประเทศคำนวณอย่างไร
การโอนเงินไปต่างประเทศนั้นจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการบริการหรือค่าธรรมเนียมในการโอนเงินต่างประเทศ เป็นค่าบริการที่ทางธนาคารหรือผู้ให้บริการเก็บจากผู้โอนเงินเมื่อทำรายการโอนเงินต่างประเทศ โดยค่าธรรมเนียมเหล่านี้มักคิดจากบริการต่างๆเช่น ค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน ค่าธรรมเนียมตามเปอร์เซ็นต์จากจำนวนเงินที่โอนโดยเปอร์เซ็นต์นี้แต่ละผู้ให้บริการไม่เท่ากันจะขึ้นอยู่กับทางบริการอย่างเช่น 0.25% เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถมาจากบริการอื่นๆเช่น ค่าธรรมเนียมจากธนาคารปลายทาง หรือ ค่าบริการเร่งด่วนที่ต้องการโอนเงินไปถึงปลายทันให้เร็วที่สุด โดยควรตรวจสอบค่าธรรมเนียมการโอนเงินไปต่างประเทศก่อนใช้บริการ

ระยะเวลาที่ใช้ในการโอนเงินต่างประเทศ
 
การโอนเงินไปต่างประเทศกี่วันถึง

การโอนเงินต่างประเทศจะมีระยะเวลาการโอนเงิน โดยระยะเวลานั้นขึ้นอยู่กับธนาคารหรือผู้ให้บริการ ขั้นตอนต่าง ๆ ความพร้อมของเอกสารของผู้ต้องการโอนเงิน ช่องทางในการโอนเงิน โดยหากโอนเงินผ่านธนาคารโดยแบบปกติหรือที่คนทั่วไปรู้จักคือการโอนเงินต่างประเทศแบบ Switft code จะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-5 วันทำการโดนขึ้นอยู่กับธนาคารผู้โอนและธนาคารผู้รับ สำหรับบริการโอนเงินช่องทางออนไลน์ตัวอย่างเช่น Paypal ที่ทุกคนรู้จักกันดีใช้ระยะเวลา 1-3 วันหรือหากบริการโอนเงินทันทีก็สามารถโอนเงินไปต่างประเทศได้ภายในไม่กี่นาทีหากอยู่เครือข่ายเดียวกัน อีกทั้งยังมีผู้ให้บริการโอนเงินต่างประเทศออนไลน์ที่รวดเร็ว มั่นใจ เรทถูกอย่าง PingpongX และ Western Union นั่นเอง 

วิธีในการโอนเงินต่างประเทศออนไลน์มีที่ไหนบ้าง
สำหรับวิธีการโอนเงินต่างประเทศนั้นมีมากมาย ทั้งโอนเงินระหว่างประเทศกับธนาคารหรือผู้ให้บริการ ผ่านตู้ ATM โอนเงินไปต่างประเทศผ่านมือถือ บริการออนไลน์กับการโอนเงินต่างประเทศที่รวดเร็ว โดยในหัวข้อนี้เราจะมาพูดถึงวิธีโอนเงินต่างประเทศ ผ่านบริการออนไลน์ โดยมีตัวอย่างมาดังนี้คือ

PingpongX
บริการโอนเงินต่างประเทศจาก Pingpong Global Solutions หรือที่เรียกว่า Pingpong Payments ทำให้การโอนเงินต่างประเทศ รับเงิน หรือชำระเงินระหว่างประเทศเป็นเรื่องง่าย เป็นบริการรับ-โอนเงินต่างประเทศสำหรับบุคคลทั่วไป ผู้ประกอบการ หรือธุรกิจ E-commerce ระหว่างประเทศให้เป็นเรื่องง่าย รวดเร็ว โดย Pingpong นั้นมีอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าการโอนเงินต่างประเทศแบบปกติ มีค่าธรรมเนียมในการทำรายการต่างๆที่ต่ำ สนับสนุนสกุลเงินมากกว่า 15 สกุลเงินหลัก สามารถติดตามสถานะการทำธุรกรรมได้ตลอดเวลา สามารถโอนเงินไปต่างประเทศได้รวดเร็วเพียงไม่ถึงวัน ถึง หนึ่งวันทำการวันถัดไปจากวันที่ทำรายการ

Paypal
Paypal นั้นหากใครทำรายการ E-commerce บ่อยๆคงได้ใช้งานกันมาบ้าง โดย Paypal นั้นเป็นแพลตฟอร์มการชำระเงิน รับ-โอนเงินผ่านออนไลน์ที่มีเว็บไซต์และแอปมือถือ โดยจุดประสงค์ของ Paypal นั้นคือการชำระเงิน ทำรายการผ่านทางออนไลน์ ซึ่ง Paypal นั้นสามารถโอนเงินไปต่างประเทศได้อีกด้วย โดย Paypal นั้นรองรับหลายสกุลเงิน มีความปลอดภัยในการทำธุรกรรมสูง มีความรวดเร็วในการทำรายการสามารถโอนเงินได้ภายในไม่กี่นาที ค่าธรรมเนียมที่ไม่แพง จึงทำให้เหมาะสมสำหรับการซื้อขายในตลาดออนไลน์ และเหมาะกับการโอนเงินต่างประเทศ

Western Union
บริการโอนเงินต่างประเทศจากบริษัทที่มีก่อตั้งมาอย่างยาวนานจากอเมริกา โดน Western Union เปิดให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยการโอนเงินต่างประเทศที่รวดเร็ว สามารถทำรายการได้ทั้งผ่านออนไลน์ ผ่านมือถือในบางประเทศ และผ่านสาขาที่มีสาขาในปัจจุบันมากกว่า 500,000 แห่ง กว่า 200 ประเทศ การโอนผ่านบริการ Western Union สามารถโอนเงินได้รายการละ 250,000 บาท และจำกัดวันละไม่เกิน 800,000 บาทต่อวัน โดยการโอนเงินไปต่างประเทศของ Western Union นั้นมีความปลอดภัยสูง สะดวกสบายต่อผู้รับและผู้โอน มีการบริการต่างๆ และค่าธรรมเนียมในการทำรายการที่ถูก รอบรังหลายสกุลเงิน ทำให้ Western Union เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการโอนเงินต่างประเทศ

การโอนเงินต่างประเทศจำเป็นต้องเสียภาษีหรือไม่
สำหรับการโอนเงินต่างประเทศต้องเสียภาษีหรือไม่นั้น โดยหลักแล้วจะขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ที่ต้องการนำเงินนั้นไปใช้ โดยหากเป็นการโอนเงินโดยส่วนบุคคลเช่น ต้องการโอนเงินไปต่างประเทศ เพื่อให้ครอบครัว คนรู้จัก เพื่อน โดยในกรณีส่วนมากไม่ต้องเสียภาษีอย่างไรก็ตามควรตรวจสอบถึงข้อมูลธนาคารของฝ่ายต่างประเทศเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น

สรุป โอนเงินต่างประเทศ ง่าย รวดเร็ว ปลอดภัย
ในปัจจุบันนั้นการโอนเงินต่างประเทศ เป็นเรื่องที่ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน สามารถทำรายได้จากหลายช่องทางบริการที่เราเลือก ทั้งการโอนเงินไปต่างประเทศผ่านธนาคาร บริการโอนเงินออนไลน์ และแพลตฟอร์มการให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศ ทำให้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

หากสนใจหรือต้องการโอนเงินต่างประเทศด้วยบริการโอนเงินผ่านออนไลน์ ทางเราขำแนะนำบริการโอนเงิน PingpongX ที่มีการบริการที่รวดเร็ว ทันใจ ค่าธรรมเนียมต่ำ อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีเป็นอันดับต้นๆ โดยหากสนใจ PingpongX สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เว็บไซต์ Pingpongx ได้เลย

รายการอ้างอิง
Jenn Underwood (2024, Jun 7). International Money Transfer: Best Ways To Send Money Internationally
Best Ways To Send Money Internationally | International Money Transfer – Forbes Advisor – Forbes Advisor
Spencer Tierney  (2024, Apr 16). 5 Best Ways to Send Money Internationally
5 Best Ways to Send Money Internationally - NerdWallet
Brianna Blaney (2024, May 20) International money transfers in Thailand
International money transfers in Thailand | Expatica

12
รับเหมาก่อสร้างจากบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างมากฝีมือ ครบวงจร ช่วยให้โครงการเป็นไปอย่างราบรื่น

รับเหมาก่อสร้าง

ใช้บริการรับเหมาก่อสร้างจากบริษัทรับเหมาต่าง ๆ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ทั้งรูปแบบของงานรับเหมาก่อสร้างที่ตรงกับความต้องการ และมีทีมงานมากประสบการณ์

การมีบ้านเป็นของตัวเอง ถือว่าเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน แต่การสร้างบ้านให้เป็นรูปเป็นร่างนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การสร้างบ้านเป็นไปอย่างราบรื่น คือ การเลือก บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ดี มีประสบการณ์ เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ และผู้รับเหมางานก่อสร้างที่มีฝีมือ เพราะการสร้างบ้านไม่ใช่แค่การสร้างที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นการลงทุนในอนาคตอีกด้วย ดังนั้น จึงต้องตัดสินใจเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างอย่างรอบคอบและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ได้บ้านที่แข็งแรง ทนทาน และสวยงาม

รับเหมาก่อสร้าง คืออะไร

รับเหมาก่อสร้าง หมายถึง บริษัทหรือบุคคลที่ให้บริการก่อสร้างอาคาร สิ่งปลูกสร้าง โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยรับผิดชอบงานตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผน ออกแบบ จัดหาแรงงาน วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร และอุปกรณ์ที่จำเป็น ตลอดจนควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบแปลนและงบประมาณที่กำหนดไว้ ซึ่งหน้าที่ของผู้รับเหมางานก่อสร้าง ได้แก่

  • ร่วมวางแผนและออกแบบกับสถาปนิก วิศวกร และเจ้าของโครงการในโครงสร้างที่ต้องการก่อสร้าง
  • จัดหาทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน ช่างฝีมือ วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร และอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการก่อสร้าง
  • ควบคุมและกำกับดูแลให้การก่อสร้างเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ รวมถึงตรวจสอบคุณภาพของงานรับเหมาก่อสร้าง
  • บริหารจัดการงบประมาณให้เป็นไปตามที่ตกลงกับเจ้าของโครงการ
  • แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้าง เช่น ปัญหาด้านวัสดุ ปัญหาทางเทคนิค หรือปัญหาที่เกิดจากสภาพอากาศ

ประเภทของบริการรับเหมาก่อสร้าง

บริษัทรับเหมาก่อสร้าง

บริการรับเหมาก่อสร้างนั้นมีหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีความเชี่ยวชาญและขอบเขตงานที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้สามารถเลือกผู้รับเหมางานก่อสร้างที่เหมาะสมกับความต้องการได้มากที่สุด จึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับบริการงานรับเหมาก่อสร้างแต่ละประเภทเสียก่อน

รับเหมาก่อสร้างทั่วไป

รับเหมาก่อสร้างทั่วไป เป็นการรับงานก่อสร้างทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน โรงงาน โรงแรม หรือโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยมีขอบเขตงานที่ครอบคลุมงานก่อสร้างตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมพื้นที่ การวางโครงสร้าง การก่อผนัง การเทพื้น การติดตั้งระบบต่าง ๆ และงานตกแต่งภายใน ซึ่งข้อดีของรับเหมาก่อสร้างทั่วไป คือ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผู้รับเหมาทั่วไปที่สามารถดูแลงานก่อสร้างได้ทั้งหมดในที่เดียว แต่ควรจะต้องตรวจสอบประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้รับเหมาให้ดี เนื่องจากงานก่อสร้างมีหลายประเภท

รับเหมาก่อสร้างเฉพาะทาง

รับเหมาก่อสร้างเฉพาะทาง มีลักษณะงานที่เชี่ยวชาญเฉพาะงานก่อสร้างประเภทใดประเภทหนึ่ง (เช่น ผู้รับเหมาก่อฉาบ, ผู้รับเหมางานไม้) เช่น

  • งานโครงสร้าง เช่น งานก่อสร้างโครงสร้างเหล็ก โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก
  • งานระบบ เช่น งานระบบไฟฟ้า งานระบบประปา งานระบบปรับอากาศ
  • งานตกแต่งภายใน เช่น งานติดตั้งฝ้าเพดาน งานปูพื้น งานติดตั้งประตูหน้าต่าง
  • งานก่อสร้างทาง เช่น งานก่อสร้างถนน สะพาน
  • งานก่อสร้างอาคารสูง เช่น อาคารคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงานสูง

ข้อดีของรับเหมาก่อสร้างเฉพาะทาง คือ ผู้รับเหมางานก่อสร้างมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทำให้งานมีความละเอียดและมีคุณภาพสูง แต่มีข้อจำกัด คือ อาจจะต้องจ้างผู้รับเหมาหลายราย หากโครงการงานก่อสร้างครอบคลุมงานหลายประเภท

รับเหมาก่อสร้างแบบ Design and Build

รับเหมาก่อสร้างแบบ Design and Build มีลักษณะงานเป็นการรวมงานออกแบบและงานก่อสร้างเข้าด้วยกัน โดยผู้รับเหมางานก่อสร้างจะรับผิดชอบทั้งการออกแบบและการก่อสร้างโครงการ มีข้อดี คือ สะดวก รวดเร็ว และมีบริษัทรับเหมาก่อสร้างรับผิดชอบเพียงรายเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบความสามารถในการออกแบบของผู้รับเหมาให้ดี

รับเหมาก่อสร้างแบบ Turnkey

รับเหมาก่อสร้างแบบ Turnkey เป็นการมอบหมายให้ผู้รับเหมางานก่อสร้างดูแลโครงการตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นตอนสุดท้าย รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์ เครื่องจักร และการฝึกอบรมบุคลากร แบบครอบคลุมทุกขั้นตอนของโครงการ เป็นการอำนวยความสะดวกสบายให้แก่เจ้าของโครงการ แต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่างานรับเหมาอื่น ๆ

เทคนิคในการเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้าง

งานรับเหมาก่อสร้าง

การเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องใส่ใจ เพราะเกี่ยวข้องกับการลงทุนก้อนใหญ่และการสร้างอาคารตามที่ต้องการใช้งาน ดังนั้น เพื่อให้โครงการก่อสร้างเป็นไปอย่างราบรื่นและตรงตามงบประมาณ จึงควรใช้เทคนิคเหล่านี้ ในการเลือกบริษัทที่รับเหมาก่อสร้าง

ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น

ศึกษาข้อมูลโครงการและบริษัทรับเหมาก่อสร้างโดยเบื้องต้น ได้แก่

  • ประเภทของงานรับเหมาก่อสร้าง โดยกำหนดให้ชัดเจนว่า โครงการต้องการสร้างแบบไหน มีกี่ชั้น ขนาดเท่าไหร่ และมีรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมหรือไม่
  • กำหนดงบประมาณสำหรับการก่อสร้าง เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบราคารับเหมาก่อสร้างและเลือกบริษัทที่เหมาะสม
  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างหลาย ๆ แห่ง เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย และอ่านรีวิวจากลูกค้าคนอื่น ๆ

สอบถามข้อมูลจากบริษัท

สอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เช่น

  • ตรวจสอบว่า บริษัทรับเหมามีใบอนุญาตประกอบกิจการก่อสร้างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
  • สอบถามประสบการณ์ในการทำงานและผลงานที่ผ่านมาของบริษัท
  • ทีมงานที่ดูแลโครงการ ว่ามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านใดบ้าง
  • วัสดุที่บริษัทรับเหมาใช้ในการก่อสร้าง ว่ามีคุณภาพดีและได้มาตรฐานหรือไม่
  • ระยะเวลาที่คาดว่าจะใช้ในการก่อสร้างทั้งหมด
  • การรับประกันงานก่อสร้างว่ามีระยะเวลานานเท่าไหร่ และครอบคลุมส่วนใดบ้าง
  • ขอใบเสนอราคารับเหมาก่อสร้างที่ละเอียดและชัดเจน เพื่อเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ๆ

เยี่ยมชมสถานที่ทำงานจริง

อีกเทคนิคในการเลือกบริษัทผู้รับเหมา คือ การเข้าเยี่ยมชมสำนักงานของบริษัท เพื่อดูความเป็นมืออาชีพและความพร้อมในการทำงาน รวมถึงการขอให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างพาไปดูโครงการก่อสร้างที่กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อสังเกตวิธีการทำงานและคุณภาพของงานก่อสร้าง

อ่านรีวิวและสอบถามความคิดเห็น

นอกจากการเข้าชมสถานที่จริงแล้ว อีกข้อมูลหนึ่งในการเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้าง คือ การอ่านรีวิวออนไลน์จากลูกค้าคนอื่น ๆ ที่เคยใช้บริการของบริษัทนั้น ๆ รวมถึงการสอบถามความคิดเห็นจากคนรู้จักที่เคยสร้างบ้าน หรือใช้บริการบริษัทรับเหมาก่อสร้างมาก่อน

เปรียบเทียบข้อเสนอต่าง ๆ

ควรเลือกบริษัทผู้รับเหมาหลาย ๆ บริษัท เพื่อนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน โดยมีรายละเอียดในการเปรียบเทียบ ดังนี้

  • เปรียบเทียราคารับเหมาก่อสร้างจากหลาย ๆ บริษัท เพื่อเลือกราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณที่กำหนดไว้
  • เปรียบเทียบรายละเอียดในสัญญา เช่น วัสดุที่ใช้ ระยะเวลาในการก่อสร้าง การรับประกัน และเงื่อนไขการชำระเงิน
  • เลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ตรงกับความต้องการ มีความน่าเชื่อถือ มีประสบการณ์ และสามารถตอบสนองความต้องการได้ดีที่สุด

สรุปเกี่ยวกับรับเหมาก่อสร้าง

การรับเหมาก่อสร้าง หมายถึง บริษัทหรือบุคคลที่ให้บริการก่อสร้างอาคาร สิ่งปลูกสร้าง โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ รับเหมาก่อสร้างทั่วไป, แบบเฉพาะทาง, แบบ Design and Build และแบบ Turnkey ซึ่งก่อนที่จะตัดสินใจเลือกบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างรายใด ก็ควรศึกษาสอบถามข้อมูล เข้าเยี่ยมชมสถานที่ทำงานจริง พร้อมทั้งเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลาย ๆ บริษัทรับเหมาอย่างรอบด้าน เพราะการเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ดี ถือว่าเป็นการลงทุนในระยะยาวที่คุ้มค่า

13
บัตรเครดิตเงินคืน บัตรสุดคุ้มยิ่งใช้ยิ่งได้

บัตรเครดิตเงินคืน

บัตรเครดิตเงินคืน คืออะไร ทำไมหลายคนเลือกใช้ สมัครบัตรเครดิตเงินคืนคุ้มค่าไหม เหมาะกับใครบ้าง รวมทุกข้อเกี่ยวกับบัตรเครดิตเงินคืน

ประเภทบัตรเครดิตที่ยิ่งใช้ยิ่งได้ อย่างบัตรเครดิตเงินคืน ที่เหล่านักช้อปต้องถูกใจ เมื่อสมัครบัตรเครดิตเงินคืนใช้จ่าย จะได้รับเงินคืนทุกยอดในการใช้ และยิ่งใช้มากก็จะได้รับเครดิตเงินคืนมากเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นบัตรสุดคุ้มที่เหมาะอย่างมากกับเหล่านักช้อป ซึ่งในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ บัตรเครดิต cashback คืออะไร มีสิทธิประโยชน์อย่างไร เหมาะกับใครบ้าง และบัตรเครดิตเงินคืนคุ้มค่าหรือไหม จะน่าสนใจอย่างไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลย

ทำความรู้จัก บัตรเครดิตเงินคืน คืออะไร

บัตรเครดิตเงินคืน คือ บัตรที่เมื่อมีการซื้อสินค้า หรือใช้บริการต่าง ๆ ตามเงื่อนไขของแต่ละสถาบันทางการเงิน จะได้รับเงินคืนจากการใช้จ่ายนั้น ๆ โดยเงินจะถูกส่งเข้าระบบและคืนเข้าบัญชีในตอนสิ้นเดือน ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละสถาบันทางการเงินที่คุณได้สมัครบัตรเครดิตเงินคืนไว้ และหากมีการใช้จ่ายมากคุณก็จะได้รับเงินคืนมากเช่นกัน

ประโยชน์ บัตรเครดิตเงินคืนที่คุ้มค่ากับผู้ใช้งาน

ประโยชน์บัตรเครดิตเงินคืน

ประโยชน์จากการใช้งานบัตรเครดิตเงินคืน หรือ บัตร Cashback บอกเลยว่าใครที่ได้ใช้งานบัตรจะได้รับประโยชน์มากมายที่อาจจะมากกว่าการได้รับเงินคืนในแต่ละเดือน สำหรับสิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิตคืนเงินจะมีอะไรบ้างนั้น เราไปดูกันเลย

ได้รับเครดิตเงินคืนจากการใช้จ่ายผ่านบัตร

ประโยชน์ที่ได้จากการใช้บัตรเครดิตเงินคืน คือ ได้รับเครดิตเงินคืนจากการใช้จ่ายผ่าบัตร โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนยอด ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละสถาบันทางการเงิน เช่น รับเครดิตเงินคืน 1% ทุกการใช้จ่ายผ่านบัตร

ได้สิทธิพิเศษประกันฟรี

บัตรเครดิตเงินคืนยังมอบสิทธิพิเศษให้กับผู้ใช้งาน เช่น ประกันการเดินทางฟรี มีวงเงินคุ้มครองขึ้นอยู่กับโปรโมชันและเงื่อนไขของสถาบันการเงินที่คุณสมัครไว้

ให้คุณใช้จ่ายอย่างคุ้มค่ามากขึ้น

บัตรเครดิตเงินคืนเป็นบัตรที่เรียกได้ว่า ให้ผู้บริโภคอย่างเราได้ใช้จ่ายคุ้มค่ามากขึ้น การได้รับเงินคืนจากการจ่ายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ เปรียบเสมือนการได้ส่วนลดราคาสินค้า และยิ่งใช้จ่ายมากก็จะได้เงินคืนมากเช่นกัน

ได้รับเงินคืนสูงขึ้นหากซื้อสินค้าที่เข้าร่วมรายการ

แต่ละธนาคารหรือสถาบันทางการเงินที่เปิดให้สมัครบัตรเครดิตเงินคืน จะมีเงื่อนไขและโปรโมชันต่าง ๆ มอบให้กับลูกค้า รวมถึงแคมเปญต่าง ๆ อย่าง การซื้อสินค้าประเภทที่เข้าร่วมรายการจะได้รับเงินคืนสูงขึ้น ทำให้ทุกการใช้จ่ายของเราคุ้มค่ามากขึ้นกว่าเดิม

บัตรเครดิตเงินคืนสามารถใช้จ่ายได้หลากหลายประเภท

บัตรเครดิตเงินคืนสามารถนำมาใช้จ่ายได้จริงในชีวิตประจำวัน คุณสามารถใช้บัตรซื้อสินค้าหรือบริการได้หลากหลาย ทำให้ทุกค่าใช้จ่ายของคุณสามารถที่จะนำมาเป็นเงินคืนได้ ความคุ้มค่าของทั้งบัตรเครดิตเงินคืนอาจทำให้คุณต้องตกใจกับจำนวนเงินที่ได้คืนมาในแต่ละเดือน เนื่องจากคุณสามารถใช้บัตรเครดิตเงินคืนจ่ายค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ของใช้ในบ้าน และอื่น ๆ อีกมากมาย

บัตรเครดิตเงินคืน คุ้มค่าจริงไหม ทำไมหลายคนถึงเลือกใช้งาน

สำหรับความคุ้มค่าของบัตรเครดิตเงินคืนจากประโยชน์ในการใช้จ่ายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ที่เราได้กล่าวไปแล้วนั้น หากจะให้มองถึงเรื่องความคุ้มค่า ก็บอกเลยว่าบัตรเครดิตแคชแบ็คตัวนี้ตอบโจทย์อย่างมาก ด้วยความที่บัตรเครดิตประเภทนี้สามารถใช้จ่ายสินค้าและบริการได้หลากหลายมากขึ้น และยังเป็นสินค้าที่จำเป็นกับชีวิตประจำวันเราอีกด้วย ทั้งของใช้ ค่าอาหาร ค่าน้ำมัน และอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อชีวิต จึงทำให้ทุกการใช้จ่ายผ่านบัตร สามารถนำมารับเครดิตเงินคืนได้

ทั้งนี้การสมัครบัตรเครดิตไม่ว่าจะเป็น บัตรเครดิตเงินคืน หรือบัตรเครดิตเติมน้ำมัน คุณควรระมัดระวังการใช้งานให้ดี ไม่ควรใช้จ่ายบัตรจนเกินตัว หรือใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

บัตรเครดิตเงินคืน เหมาะกับใคร เพื่อการใช้จ่ายที่คุ้มค่า

ใครบ้างที่เหมาะกับการใช้งานบัตรเครดิตเงินคืน คำตอบก็คือ ทุกคนที่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากบัตรนี้สามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการแบบไม่เฉพาะเจาะจง คุณสามารถใช้ซื้อได้หลากหลายกับร้านค้าและบริการที่เข้าร่วมรายการ ยิ่งใช้จ่ายมากเท่าไหร่ก็จะได้รับเงินคืนสูงเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะมีไลฟ์สไตล์แบบไหน ก็สามารถเลือกใช้งานบัตรเครดิตเงินคืนได้อย่างคุ้มค่า

  • บัตรเครดิตเงินคืน เหมาะกับคนวัยทำงาน เช่น พนักงานงานบริษัท / ข้าราชการ / รัฐวิสาหกิจ ที่มีฐานเงินเดือนตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป
  • บัตรเครดิตเงินคืน เหมาะกับคนที่มีธุรกิจส่วนตัว รายได้ต่อเดือน 15,000 บาทขึ้นไป
  • บัตรเครดิตเงินคืน เหมาะกับคนที่ชอบซื้อสินค้าออนไลน์
  • บัตรเครดิตเงินคืน เหมาะกับคนที่ชอบเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
  • บัตรเครดิตเงินคืน เหมาะกับสายกินตามร้านอาหาร ร้านกาแฟ ต่าง ๆ
  • บัตรเครดิตเงินคืน เหมาะกับคนที่ชอบซื้อสินค้าตามซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์

สรุป บัตรเครดิตเงินคืน ที่คุณจะได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายผ่าบัตร

การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเงินคืน หรือ บัตร Cashback ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการก็สามารถรับเครดิตเงินคืนได้ตามเงื่อนไขและโปรโมชันของธนาคาร เป็นอีกบัตรที่คุ้มค่ากับผู้ใช้งาน ยิ่งใช้มากยิ่งได้รับเงินคืนมากเช่นกัน อีกทั้งบัตรนี้ยังเหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ไม่ว่าจะเป็นสายช้อปปิ้ง สายท่องเที่ยว สายกิน แต่ทั้งนี้การใช้บัตรเครดิตทุกประเภทควรที่จะใช้จ่ายอย่างมีวินัย หรือใช้เท่านี้จำเป็น และควรชำระคืนให้เต็มจำนวนตามกำหนด เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

14
ที่ส่งพัสดุใกล้ฉัน

ปัจจุบันการขนส่งพัสดุเป็นหนึ่งในบริการที่มีความสำคัญและมีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ด้วยการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ทำให้บริการขนส่งพัสดุกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ หนึ่งในบริการที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันคือการขนส่งพัสดุแบบ Drop Off คือบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ส่ง มาทำความรู้จักกับวิธีการส่งพัสดุแบบใหม่นี้กันเลย!

การส่งของแบบ Drop Off คืออะไร?
การส่งของแบบ Drop Off คือการที่ผู้ส่งนำพัสดุไปฝากไว้ที่จุดรับส่งพัสดุใกล้ฉัน เช่น ร้านค้า ห้างสรรพสินค้าที่ส่งของใกล้ฉัน หรือจุดบริการเฉพาะของบริษัทขนส่ง โดยไม่ต้องรอให้เจ้าหน้าที่มารับพัสดุถึงที่บ้านหรือที่ทำงาน หลังจากนั้น บริษัทขนส่งใกล้ฉันจะเข้ามารับพัสดุจากจุด Drop Off เพื่อนำไปจัดส่งถึงผู้รับปลายทาง ซึ่งวิธีการนี้มักจะสะดวกสำหรับผู้ส่งที่มีเวลาจำกัดและไม่ต้องการรอคิวในการให้เจ้าหน้าที่มารับพัสดุที่บ้าน นอกจากนี้ บริการ Drop Off ยังมักมีค่าบริการที่ถูกกว่าการให้เจ้าหน้าที่มารับพัสดุถึงที่อีกด้วย

บริการ Drop Off มีข้อดีอย่างไร?
บริการ Drop Off ใกล้ฉันนั้นได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะมีข้อดีหลายประการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการ ทั้งผู้ส่งและผู้รับพัสดุ ดังนี้
สะดวกสบาย: โดยที่ผู้ส่งไม่ต้องรอให้บริษัทขนส่งมารับพัสดุถึงบ้าน เพียงแค่แพ็คของเรียบร้อยแล้วนำไปฝากส่งที่จุดบริการได้เลย
รวดเร็ว: พัสดุจะถูกส่งต่อไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการจัดเก็บและจัดส่งพัสดุเป็นประจำ
มีจุดบริการให้เลือกมากมาย: จุดบริการ Drop Off กระจายอยู่ทั่วไป ทั้งสาขาของบริษัทขนส่งใกล้ฉัน เช่น ร้านสะดวกซื้อ ตู้รับส่งพัสดุอัตโนมัติ ทำให้เข้าถึงได้ง่าย
สามารถติดตามพัสดุได้: คุณจะได้รับเลขพัสดุเพื่อใช้ในการติดตามสถานะของพัสดุได้ตลอดเวลา
ประหยัดเวลา: ไม่ต้องเสียเวลาในการรอคิวนัดหมาย หรือติดต่อเจ้าหน้าที่
เหมาะสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจออนไลน์: ช่วยให้การจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
มีความยืดหยุ่น: สามารถเลือกเวลาในการนำพัสดุไปฝากส่งได้ตามความสะดวก
ลดความเสี่ยงในการสูญหาย: ผู้ส่งสามารถดูแลพัสดุได้จนถึงจุดส่ง และมั่นใจได้ว่าพัสดุถูกส่งเข้าสู่ระบบการขนส่งอย่างปลอดภัย

ใครเหมาะกับการใช้บริการขนส่ง Drop Off?
 
Drop Off คือ

วิธีขนส่งพัสดุใกล้ฉันหรือแบบ Drop Off คือบริการที่ลดระยะเวลาของขั้นตอนการ จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้บริการที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และความยืดหยุ่นในการจัดการพัสดุ มาดูกันว่าใครบ้างที่ควรเลือกใช้บริการนี้
1. ผู้ที่ต้องการส่งพัสดุบ่อยครั้ง ซึ่งการใช้บริการ Drop Off จะช่วยประหยัดเวลาและความยุ่งยากในการรอรับพัสดุที่บ้าน
2. ผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย เพราะไม่ต้องรอคิว ไม่ต้องนัดหมาย สามารถนำพัสดุไปฝากส่งได้เอง
3. ผู้ที่ทำธุรกิจออนไลน์ การใช้บริการ Drop Off จะช่วยให้การจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
4. ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายในการส่งพัสดุ บริการ Drop Off มักมีค่าบริการที่ถูกกว่าการให้เจ้าหน้าที่มารับพัสดุถึงที่ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ส่งที่ต้องการประหยัดเงิน
5. ผู้ที่อยู่ใกล้จุด Drop Off โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่จุดส่งพัสดุใกล้ฉัน การใช้บริการ Drop Off จะสะดวกมาก เพราะสามารถนำพัสดุไปฝากส่งได้ทันทีโดยไม่ต้องเดินทางไกล

ส่งของแบบ Drop Off กับส่งแบบ Pick Up แตกต่างกันอย่างไร?
บริการส่งพัสดุใกล้ฉัน (Drop Off) และ Pick Up เป็นบริการที่ได้รับความนิยม แต่ทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันหลักๆ อยู่ 3 ประการดังนี้

Drop Off
กระบวนการ: ผู้ส่งนำพัสดุไปฝากที่จุดรับพัสดุที่กำหนด เช่น ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า หรือจุดบริการเฉพาะของบริษัทขนส่ง หลังจากนั้น พัสดุจะถูกเก็บรวบรวมและนำไปจัดส่งยังปลายทาง
ความสะดวก: ผู้ส่งสามารถเลือกเวลาที่สะดวกเพื่อนำพัสดุไปฝากที่จุดรับเอง ไม่ต้องรอเจ้าหน้าที่มารับพัสดุที่บ้านหรือที่ทำงาน
ค่าใช้จ่าย: มักจะมีค่าบริการที่ต่ำกว่าบริการ Pick Up เพราะผู้ส่งเป็นผู้จัดการนำพัสดุไปที่จุด Drop Off เอง

Pick Up
กระบวนการ: เจ้าหน้าที่ของบริษัทขนส่งจะเข้ามารับพัสดุจากที่อยู่ที่ผู้ส่งระบุไว้ เช่น บ้าน ที่ทำงาน หรือสถานที่อื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้า พัสดุจะถูกนำไปจัดส่งถึงปลายทางหลังจากเจ้าหน้าที่มารับแล้ว
ความสะดวก: ผู้ส่งไม่ต้องออกจากบ้านหรือที่ทำงาน เพียงแค่เตรียมพัสดุรอให้เจ้าหน้าที่มารับตามเวลาที่กำหนด
ค่าใช้จ่าย: มักมีค่าบริการที่สูงกว่า เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการส่งเจ้าหน้าที่ไปรับพัสดุถึงที่

โดยสรุปง่ายๆ ดรอปออฟ คือ การขนส่งที่ผู้ส่งสามารถเลือกเวลาส่งพัสดุแล้วค่อยนำพัสดุไปฝากได้เอง  ส่วน Pick Up มีเจ้าหน้าที่มารับพัสดุถึงที่ และต้องรอเจ้าหน้าที่ตามเวลาที่กำหนด ส่วนค่าใช้จ่ายของการขนส่งแบบ Drop Off มักมีค่าบริการที่ถูกกว่า Pick Up เสมอ

Drop Off คือการขนส่งพัสดุในยุคดิจิทัลที่สะดวกและรวดเร็ว
การส่งแบบ Drop Off คือการนำพัสดุไปฝากจุดส่งของใกล้ฉัน ซึ่งอาจจะเป็นสาขาของบริษัทขนส่งพัสดุใกล้ฉัน ร้านสะดวกซื้อ หรือตู้รับส่งพัสดุอัตโนมัติ การใช้บริการ Drop Off นั้นสะดวกสบายมาก เพราะคุณไม่จำเป็นต้องรอให้บริษัทขนส่งมารับพัสดุถึงบ้าน เพียงแค่แพ็คของให้เรียบร้อย แล้วนำไปฝากส่งที่จุดบริการก็เป็นอันเสร็จสิ้น บริการ Drop Off เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการส่งพัสดุ ด้วยความสะดวก รวดเร็ว และมีจุดบริการให้เลือกมากมาย ทำให้บริการ Drop Off เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

15
วิธีซ่อมเครื่องซักผ้า

เครื่องซักผ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หลายคนใช้เป็นประจำทุกวัน เพื่อทำความสะอาดเสื้อผ้า แต่ถ้าหากอยู่ดี ๆ เครื่องซักผ้าเกิดเสียขึ้นมา ไม่ว่าจะปั่นไม่แห้ง เครื่องไม่ทำงาน หรือน้ำล้นออกจากถัง ก็จำเป็นต้องหาวิธีซ่อมเครื่องซักผ้าเบื้องต้นอย่างเหมาะสม หรืออาจจะติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญ เลือกใช้บริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้านแทน เพื่อความมั่นใจ

เครื่องซักผ้าเสียแบบนี้ จะมีวิธีซ่อมเครื่องซักผ้าอย่างไร

บริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้าน

เครื่องซักผ้าเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก เพราะช่วยอำนวยความสะดวกสบายและประหยัดเวลาในการซักผ้าได้เป็นอย่างดี แต่บางครั้ง เมื่อใช้งานเครื่องซักผ้าไปนาน ๆ ก็อาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้ จึงจำเป็นต้องซ่อมเครื่องซักผ้า แต่การซ่อมเครื่องซักผ้านั้น จำเป็นต้องพิจารณาสาเหตุให้ดี ว่า เครื่องซักผ้ามีปัญหาจากสาเหตุใด เพื่อหาวิธีซ่อมเครื่องซักผ้าได้อย่างตรงจุด

ซ่อมเครื่องซักผ้าสาเหตุจากอาการเครื่องไม่ปั่นแห้ง
เมื่อเครื่องซักผ้าไม่ปั่นแห้ง อาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ ตั้งแต่ปัญหาเล็กน้อยไปจนถึงปัญหาที่ซับซ้อนกว่า ซึ่งวิธีซ่อมเครื่องซักผ้าไม่ปั่นแห้งก็จะแตกต่างกันไปตามสาเหตุ ดังนี้
- ปริมาณผ้ามากเกินไป ควรจะลดปริมาณผ้าที่ใส่ลงในถังปั่นให้เหลือตามที่คู่มือแนะนำ
- ประตูเครื่องซักผ้าไม่ปิดสนิท ควรจะตรวจสอบและปิดประตูเครื่องซักผ้าให้แน่นสนิท
- ปั๊มน้ำหรือท่อน้ำทิ้งอุดตัน ควรจะตรวจสอบและทำความสะอาดปั๊มน้ำและท่อน้ำทิ้ง
- สายพานขาดหรือหลุด จะต้องถอดตัวเครื่องเพื่อตรวจสอบและเปลี่ยนสายพานใหม่ (ควรติดต่อบริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้าน ให้ช่างผู้ชำนาญทำ)
- มอเตอร์ปั่นเสียหาย จะต้องเช็กมอเตอร์เครื่องซักผ้า ก่อนเปลี่ยนมอเตอร์ปั่นใหม่
- ระบบควบคุมมีปัญหา จะต้องตรวจสอบวงจรไฟฟ้าและซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย (ควรติดต่อบริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้าน ให้ช่างผู้ชำนาญทำ)
- เซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำผิดปกติ จะต้องตรวจสอบและซ่อมแซมเซ็นเซอร์ (ควรติดต่อบริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้าน ให้ช่างผู้ชำนาญทำ)

ซ่อมเครื่องซักผ้าสาเหตุจากอาการเครื่องปั่นเสียงดัง
หากมีเสียงดังที่เกิดขึ้นขณะเครื่องซักผ้าปั่น จำเป็นต้องเข้าตรวจสอบและหาวิธีซ่อมเครื่องซักผ้า โดยอาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ดังนี้
การติดตั้ง
- เครื่องซักผ้าไม่ได้ตั้งบนพื้นเรียบ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน
- ขาน็อตที่ใช้ยึดเครื่องระหว่างขนส่งยังไม่ได้ถอดออก
ปัญหาภายในเครื่อง
- สายพาน ขาด หย่อน หรือหลุด
- มอเตอร์ เสียหาย หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปติด
- ถังซัก มีรอยแตก หรือมีวัตถุแปลกปลอมติดอยู่
- ตลับลูกปืน สึกหรอ
- ชิ้นส่วนอื่น ๆ สึกหรอ หรือเสียหาย

วิธีการซ่อมเครื่องซักผ้าเบื้องต้น สามารถแก้ไขตามแต่ละสาเหตุได้ ดังนี้
1. ตรวจสอบการติดตั้ง ว่า เครื่องซักผ้าตั้งอยู่บนพื้นเรียบหรือไม่ หากไม่เรียบ ให้ปรับขาเครื่องให้เท่ากัน พร้อมทั้งตรวจสอบและถอดน็อตล็อคที่ใช้ยึดเครื่องระหว่างขนส่งออกให้หมด
2. ตรวจสอบภายในเครื่องซักผ้า
- ปิดเครื่องและถอดปลั๊กก่อนทำการตรวจสอบ
- เปิดฝาเครื่องซักผ้าเพื่อตรวจสอบภายใน
- ตรวจสอบสายพาน ดูว่า สายพานขาด หย่อน หรือหลุดหรือไม่ หากพบปัญหา ควรเปลี่ยนสายพานใหม่
- เช็กมอเตอร์เครื่องซักผ้า ฟังเสียงมอเตอร์ขณะทำงาน หากมีเสียงผิดปกติ อาจต้องเปลี่ยนมอเตอร์
- ตรวจสอบถังซัก ส่องไฟฉายเข้าไปในถังซักเพื่อหาสิ่งแปลกปลอม หากพบให้ทำความสะอาด
- ตรวจสอบตลับลูกปืน การตรวจสอบตลับลูกปืนต้องอาศัยความชำนาญ หากสงสัยว่าตลับลูกปืนเสีย ควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ โดยอาจจะติดต่อบริษัทที่ให้บริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้าน

ซ่อมเครื่องซักผ้าสาเหตุจากอาการน้ำไม่เข้าเครื่องซักผ้า
การซ่อมเครื่องซักผ้าจากปัญหาเครื่องซักผ้าไม่รับน้ำเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อย โดยอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น
- ปัญหาท่อน้ำ เช่น ท่อน้ำอุดตัน, วาล์วน้ำเข้าเสียหาย, ท่อน้ำแตกหรือรั่ว
- ปัญหาภายในเครื่อง เช่น โซลินอยด์วาล์วเสียหาย, แผงวงจรควบคุมมีปัญหา หรือ เซ็นเซอร์ระดับน้ำเสียหาย

วิธีซ่อมเครื่องซักผ้าน้ำไม่เข้าโดยเบื้องต้น สามารถทำตามได้ ดังนี้
1. ตรวจสอบท่อน้ำ ว่า ท่อน้ำเข้าถูกบีบหรือพันกันหรือไม่ ลองเปิดก๊อกน้ำที่ต่อกับเครื่องซักผ้าดูว่าน้ำไหลออกมาหรือไม่รวมถึงการตรวจสอบและทำความสะอาดตัวกรองที่อยู่บริเวณท่อน้ำเข้า
2. ตรวจสอบวาล์วน้ำว่า ต่อกับเครื่องซักผ้าเปิดอยู่หรือไม่ หากวาล์วน้ำเสียหาย ต้องเปลี่ยนใหม่
3. ตรวจสอบโซลินอยด์วาล์ว ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมการเปิด-ปิดน้ำเข้าเครื่องซักผ้า หากเสียหาย น้ำจะไม่ไหลเข้าเครื่อง หากเกิดความเสียหาย จำเป็นต้องติดต่อใช้บริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้าน
4. ตรวจสอบแผงวงจรควบคุม ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการทำงานของเครื่องซักผ้า หากเสียหาย อาจทำให้เครื่องทำงานผิดปกติ การซ่อมแผงวงจรเครื่องซักผ้าจะต้องใช้ความรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ ควรปรึกษาช่างซ่อม
5. ตรวจสอบเซ็นเซอร์ระดับน้ำ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบระดับน้ำภายในถังซัก หากเสียหาย เครื่องอาจไม่รับน้ำ ต้องติดต่อใช้บริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้าน

ซ่อมเครื่องซักผ้าสาเหตุจากอาการเครื่องไม่ทำงาน
เมื่อเครื่องซักผ้าไม่ทำงาน จำเป็นต้องตรวจสอบหาสาเหตุและวิธีซ่อมเครื่องซักผ้าที่เหมาะสม ดังต่อไปนี้
- ตรวจสอบปลั๊กไฟว่าเสียบแน่นหรือไม่ หากปลั๊กหลวม ควรลองเปลี่ยนปลั๊กไฟดู
- ตรวจสอบสายไฟที่ต่อกับเครื่องซักผ้าว่าขาดหรือชำรุดหรือไม่
- ตรวจสอบเบรกเกอร์ที่ควบคุมเครื่องซักผ้าว่าตัดหรือไม่ หากตัดให้ลองรีเซ็ต
- ปิดฝาเครื่องซักผ้าไม่สนิท ด้วยเครื่องซักผ้าบางรุ่นมีเซ็นเซอร์ตรวจจับฝา หากฝาไม่ปิดสนิท เครื่องจะไม่ทำงาน
- แผงวงจรเป็นสมองของเครื่องซักผ้า หากเสียหาย เครื่องจะไม่ทำงาน ต้องซ่อมแผงวงจรเครื่องซักผ้า
- อุปกรณ์ภายในเครื่องเกิดชำรุด เช่น มอเตอร์, โซลินอยด์วาล์ว, ฟิวส์ เป็นต้น ส่งผลให้เครื่องไม่ทำงาน จำเป็นต้องติดต่อบริษัทรับบริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้าน

ซ่อมเครื่องซักผ้าสาเหตุจากอาการเครื่องปั่นไม่หยุด
สำหรับเครื่องซักผ้าที่ปั่นไม่หยุด ถือว่าเกิดจากปัญหาภายในเครื่อง จำเป็นต้องมีวิธีซ่อมเครื่องซักผ้าเฉพาะ รวมถึงอาจจะต้องใช้บริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้าน ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญมาดูแล โดยอาจจะมีสาเหตุมาจากสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้
- ปัญหาระบบควบคุม เช่น แผงวงจรเสียหาย, ไทเมอร์เสีย (ควบคุมเวลาในการทำงานของแต่ละขั้นตอน), เซ็นเซอร์ผิดพลาด เป็นต้น
- ปัญหาทางกล เช่น สายพานขาดหรือหลุด, มอเตอร์เสียหาย, เบรกเสียหาย เป็นต้น
- ปัญหาอื่น ๆ เช่น มีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่

วิธีการซ่อมเครื่องซักผ้าโดยเบื้องต้นสำหรับอาการเครื่องปั่นไม่หยุด คือ การตรวจสอบสภาพรอบนอกว่า มีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่หรือไม่ และตรวจสอบภายใน หากสามารถเข้าถึงส่วนภายในได้ ให้เช็กมอเตอร์เครื่องซักผ้า รวมถึงสายพานและชิ้นส่วนอื่น ๆ ว่ามีรอยเสียหายหรือไม่ ถ้าแก้ไขปัญหาเบื้องต้นแล้ว แต่เครื่องยังคงทำงานผิดปกติ ควรติดต่อช่างซ่อมที่ให้บริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้าน

ซ่อมเครื่องซักผ้าสาเหตุจากอาการเครื่องไม่ระบายน้ำซักออกจากถัง
ปัญหาเครื่องซักผ้าไม่ระบายน้ำออกจากถัง เป็นปัญหาที่พบเจอบ่อย โดยสาเหตุหลักมาจากการอุดตันของท่อน้ำหรือปัญหาของปั๊มน้ำ จึงมีวิธีซ่อมเครื่องซักผ้าเบื้องต้นแต่ละสาเหตุ ดังนี้
ท่อน้ำอุดตัน เนื่องจาก
- เศษผ้าหรือสิ่งสกปรก ให้ตรวจสอบและทำความสะอาดตัวกรองที่อยู่บริเวณท่อน้ำเข้าและท่อน้ำออก
- ท่อน้ำงอหรือบิดเบี้ยว ให้ตรวจสอบท่อน้ำว่ามีส่วนใดงอหรือบิดเบี้ยวหรือไม่ หากพบให้แก้ไข
- ท่อน้ำตัน ใช้ที่เจาะท่อหรือไม้แขวนเสื้อดัดตรงปลายเพื่อดันสิ่งอุดตันออกจากท่อ
ปั๊มน้ำเสีย เนื่องจาก
- ใบพัดปั๊มติดขัด เพราะสิ่งสกปรกอาจไปติดอยู่ที่ใบพัดปั๊ม ทำให้ปั๊มทำงานไม่เต็มที่
- มอเตอร์ปั๊มเสีย จะต้องเช็กมอเตอร์เครื่องซักผ้าและทำการเปลี่ยนใหม่
ระบบควบคุมมีปัญหา
- แผงวงจรเสียหาย ทำให้ปั๊มไม่ทำงาน
- เซ็นเซอร์ระดับน้ำผิดพลาด ทำให้เครื่องไม่ระบายน้ำ

บางสาเหตุสามารถซ่อมเครื่องซักผ้าได้ด้วยตนเอง โดยตรวจสอบสภาพและขจัดสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ หากแต่อุปกรณ์ภายในเกิดการชำรุด แตกหัก หรือเสียหาย ก็ควรติดต่อผู้เชี่ยวชาญให้เข้ามาดูแลและซ่อมแผงเครื่องซักผ้าอย่างถูกต้อง

ซ่อมเครื่องซักผ้าสาเหตุจากอาการน้ำล้นออกจากเครื่อง
อีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อย คือ ปัญหาเครื่องซักผ้าน้ำล้น ซึ่งอาจจะเกิดได้จากหลาย ๆ สาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากอุปกรณ์ภายใน เช่น
- เซ็นเซอร์ที่ควบคุมระดับน้ำทำงานผิดปกติ ทำให้น้ำไหลเข้ามาในถังซักมากเกินไป
- โซลินอยด์วาล์วเสีย ซึ่งเป็นวาล์วที่ควบคุมการเปิด-ปิดน้ำเข้าเครื่องทำงานผิดปกติ ทำให้น้ำไหลเข้ามาไม่หยุด
- ท่อน้ำทิ้งอุดตัน ทำให้น้ำระบายออกไม่ได้ จึงไหลย้อนกลับมา
- ปั๊มน้ำเสีย ไม่สามารถสูบน้ำออกได้ ทำให้น้ำท่วมในถังซัก
- แผงวงจรควบคุมมีปัญหา หากเสียหาย อาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ รวมถึงปัญหาน้ำล้น

สำหรับการซ่อมเครื่องซักผ้าเบื้องต้น ได้แก่ ทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง, ตรวจสอบว่าใบพัดปั๊มติดขัดหรือไม่, ทำความสะอาดเซ็นเซอร์ ทั้งนี้ จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากอุปกรณ์ภายใน หากไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจจะเกิดอันตรายในการใช้งานขึ้นได้ ดังนั้น หากแก้ไขปัญหาเบื้องต้นแล้ว เครื่องยังคงมีปัญหาน้ำล้น ควรติดต่อช่างซ่อมผู้เชี่ยวชาญ

แนะนำการใช้เครื่องซักผ้าอย่างถูกวิธี ช่วยลดปัญหาการซ่อมเครื่องซักผ้าบ่อย

วิธีซ่อมเครื่องซักผ้าไม่หมุน

หากไม่อยากซ่อมเครื่องซักผ้าบ่อย ก็จะต้องใช้งานเครื่องซักผ้าอย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อยืดอายุการใช้งาน ลดการเกิดปัญหาต่าง ๆ โดยสามารถใช้งานและดูแลเครื่องซักผ้าได้ง่าย ดังต่อไปนี้
- ติดตั้งเครื่องซักผ้าให้ถูกตำแหน่ง ควรเว้นระยะห่างระหว่างเครื่องซักผ้ากับผนังให้ห่างกันประมาณ 4 นิ้ว และควรวางไว้ในร่ม หลีกเลี่ยงการวางไว้กลางแจ้ง
- แยกประเภทเสื้อผ้าก่อนซัก รวมถึงนำสิ่งของต่าง ๆ ในเสื้อผ้าออกให้หมด ก่อนจะเลือกโปรแกรมซักที่ตรงกับชนิดของผ้าและระดับความสกปรก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและถนอมเนื้อผ้า
- ปรับระดับน้ำให้เหมาะสมกับปริมาณผ้าที่ซัก เพื่อประหยัดน้ำและพลังงาน
- ใช้น้ำยาซักผ้าและผงซักฟอกในปริมาณที่ระบุไว้บนฉลาก การใช้น้ำยาซักผ้ามากเกินไปอาจทำให้เกิดฟองมากเกินไปและทำความสะอาดได้ไม่ดีพอ
- ใส่ปริมาณเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับขนาดของเครื่องซักผ้า
- หมั่นทำความสะอาดถังซักอย่างสม่ำเสมอ เพื่อขจัดคราบสกปรกและกลิ่นอับ
- ตรวจสอบท่อน้ำเข้าและท่อน้ำทิ้งให้สะอาด ไม่มีสิ่งอุดตัน
- หมั่นสังเกตการทำงานของเครื่องซักผ้า หากเกิดความผิดปกติและไม่สามารถซ่อมเครื่องซักผ้าได้ด้วยตนเอง ควรจะติดต่อบริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้าน เพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญมาดูแลโดยเฉพาะ

ตรวจสอบสาเหตุ เพื่อจะได้ซ่อมเครื่องซักผ้าให้ตรงจุด
เครื่องซักผ้า ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หลายคนมีติดบ้าน เพราะช่วยทำความสะอาดเสื้อผ้าได้อย่างหมดจดและช่วยประหยัดเวลา แต่บางครั้ง ก็อาจจะเกิดปัญหาในการใช้งานได้ เช่น ปั่นไม่แห้ง, ปั่นเสียงดัง, ปั่นไม่หยุด, น้ำไม่เข้าเครื่อง, เครื่องไม่ทำงาน, น้ำไม่ระบายออก, น้ำล้น เป็นต้น ซึ่งแต่ละสาเหตุก็ย่อมต้องใช้วิธีซ่อมเครื่องซักผ้าที่แตกต่างกัน บางสาเหตุก็สามารถซ่อมเครื่องซักผ้าได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าเป็นปัญหาอุปกรณ์ภายใน ก็ควรจะติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญจากบริการซ่อมเครื่องซักผ้าถึงบ้านให็มาดูแลโดยเฉพาะ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานในอนาคต

16
10 คำถาม Outlet Mall ใครรักสินค้าแบรนด์เนมห้ามพลาด

Outlet Mall

Outlet Mall แหล่งรวบรวมร้านสินค้าแบรนด์เนมระดับโลกหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ในราคาจับต้องได้ และมีคุณภาพแน่นอน

คุณเคยสงสัยไหมว่า "Outlet คืออะไร"? Outlet Mall เป็นสวรรค์ของนักช้อปที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์เนมคุณภาพดีในราคาที่เอื้อมถึง เป็นแหล่งรวม Outlet Store จากแบรนด์ชั้นนำมากมาย ตั้งแต่เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ไปจนถึงเครื่องใช้ในบ้าน ที่นี่คุณจะได้พบกับสินค้า Outlet แบรนด์เนมแท้ 100% ในราคาที่ถูกกว่าร้านค้าปกติ บางครั้งอาจลดถึง 70% เลยทีเดียว! ไม่ว่าจะเป็น Adidas Outlet หรือแบรนด์ดังอื่น ๆ ล้วนมีให้เลือกช้อปกันอย่างจุใจ นอกจากนี้ Outlet Mall ยังเป็นสถานที่ที่คุณอาจได้พบกับสินค้าลิมิเต็ดเอดิชั่นบางรุ่นที่หาไม่ได้จากที่อื่น ทำให้การช้อปปิ้งที่นี่เป็นประสบการณ์ที่ทั้งคุ้มค่าและน่าตื่นเต้น

ไขข้อสงสัยยอดฮิตเกี่ยวกับ Outlet Mall

Outlet Store

สำหรับคนที่ไม่เคยใช้บริการห้างสรรพสินค้าในรูปแบบของ Outlet Mall อาจมีข้อสงสัยต่าง ๆ มากมาย ว่า Outlet Mall ต่างจากร้านค้าปกติอย่างไร? Outlet ของแท้ไหม? มาหาคำตอบกับคำถามยอดฮิดเหล่านี้กัน!

1. Outlet Mall คืออะไร?

Outlet Mall คือ ศูนย์การค้าที่รวบรวม Outlet Shop จากแบรนด์ต่าง ๆ เอาไว้ในที่เดียว โดยเน้นจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมในราคาที่ถูกกว่าร้านค้าปกติ นักช้อปสามารถเดินเลือกซื้อสินค้าได้อย่างสะดวกสบาย เสมือนการช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าทั่วไป แต่ได้รับส่วนลดที่มากกว่า Outlet Mall จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์เนมแต่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย

2. สินค้าจาก Outlet Mall ต่างกับสินค้าในร้านทั่วไปไหม?

สินค้าใน Outlet Mall ส่วนใหญ่มีคุณภาพเทียบเท่ากับสินค้าในร้านทั่วไป แต่อาจเป็นคอลเลคชั่นก่อนหน้าหรือสินค้าที่ผลิตมาเฉพาะสำหรับ Outlet โดยเฉพาะ บางครั้งอาจพบสินค้าที่มีตำหนิเล็กน้อยซึ่งไม่ส่งผลต่อการใช้งาน ทั้งนี้ แบรนด์ต่าง ๆ มักจะระบุข้อมูลเหล่านี้อย่างชัดเจนเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

3. ทำไมสินค้าจาก Outlet Mall ถูกกว่าราคาปกติ?

ราคาที่ถูกกว่าเกิดจากหลายปัจจัย เช่น เป็นสินค้าจากคอลเลคชั่นก่อนหน้า หรือเป็นสินค้าที่ผลิตมาเพื่อจำหน่ายใน Outlet แบรนด์เนม โดยเฉพาะ นอกจากนี้ ต้นทุนในการดำเนินการของ Outlet Mall มักจะต่ำกว่าร้านค้าในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ทำให้สามารถลดราคาสินค้าลงได้ โดยที่แบรนด์ยังคงได้กำไร

4. Outlet Mall จำหน่ายสินค้าที่เลิกผลิตแล้วจริงไหม?

Outlet Mall อาจจำหน่ายสินค้าจากคอลเลคชั่นก่อนหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นสินค้าที่เลิกผลิตแล้วเสมอไป บางครั้งอาจพบสินค้ารุ่นใหม่หรือสินค้าลิมิเต็ดเอดิชั่นที่ผลิตมาเฉพาะสำหรับ Outlet ด้วย ทำให้การช้อปปิ้งที่นี่มีความน่าสนใจและอาจได้พบกับสินค้าที่ไม่มีวางจำหน่ายในร้านทั่วไป

5. มั่นใจได้อย่างไรว่าสินค้าจาก Outlet Mall เป็นของแท้?

สินค้าที่จำหน่ายใน Outlet Mall เป็นสินค้าแท้ 100% เนื่องจากเป็นร้านค้าที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากแบรนด์นั้น ๆ นักช้อปสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้จากป้ายราคา ฉลาก และคุณภาพของสินค้า นอกจากนี้ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามพนักงานขายหรือติดต่อแบรนด์โดยตรงเพื่อความมั่นใจได้

6. หากซื้อสินค้าจาก Outlet Mall สามารถคืนสินค้าได้หรือไม่?

โดยทั่วไป Outlet Mall มีนโยบายการคืนสินค้าเช่นเดียวกับร้านค้าปกติ แต่อาจมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไปในแต่ละแบรนด์หรือช่วงเวลา ผู้ซื้อควรตรวจสอบนโยบายการคืนสินค้าก่อนการซื้อ โดยปกติสามารถคืนสินค้าได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น 7-30 วัน หากสินค้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์และมีใบเสร็จรับเงิน อย่างไรก็ตาม สินค้าบางประเภทอาจไม่สามารถคืนได้ เช่น ชุดชั้นใน หรือสินค้าลดราคาพิเศษ

7. Outlet Mall มีร้านค้าอะไรบ้าง?

Outlet Mall รวบรวมร้านค้าหลากหลายประเภท โดยเฉพาะแบรนด์เนมชั้นนำระดับโลก เช่น Adidas Outlet ที่เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับผู้ชื่นชอบรองเท้าและเสื้อผ้ากีฬา นอกจากนี้ยังมีแบรนด์อื่น ๆ อาทิเช่น Nike, Puma, Lacoste, Ralph Lauren, Coach, และ Michael Kors เป็นต้น

นอกเหนือจากร้านเสื้อผ้าและรองเท้า Outlet Mall ยังมีร้านค้าประเภทอื่น ๆ เช่น:

  • ร้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ความงาม
  • ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งแบบฟาสต์ฟู้ดและร้านอาหารทั่วไป
  • ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
  • ร้านขายของตกแต่งบ้านและเครื่องครัว

8. ทำไม Outlet Mall ได้รับความนิยมในปัจจุบัน?

Outlet Mall ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหลายเหตุผล เช่น:

  • ราคาที่คุ้มค่ากว่าร้านค้าปกติ ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าแบรนด์เนมได้ง่ายขึ้น
  • ความหลากหลายของสินค้าและแบรนด์ในที่เดียว
  • บรรยากาศการช้อปปิ้งที่ผ่อนคลายและสะดวกสบาย
  • โอกาสในการพบสินค้าลิมิเต็ดเอดิชั่นหรือสินค้าที่ไม่มีวางจำหน่ายในร้านทั่วไป
  • การเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการพักผ่อนและท่องเที่ยวในวันหยุด

9. สินค้า Outlet Mall มีโปรโมชั่นลดราคาเดือนไหน?

แม้ว่า Outlet Mall จะมีราคาที่ถูกกว่าปกติอยู่แล้ว แต่ยังมีช่วงโปรโมชั่นพิเศษเป็นระยะ โดยทั่วไปมักพบโปรโมชั่นใหญ่ในช่วง:

  • เทศกาลปีใหม่และตรุษจีน (ธันวาคม-กุมภาพันธ์)
  • ช่วงกลางปี (มิถุนายน-กรกฎาคม)
  • เทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ เช่น 11.11 หรือ 12.12
  • Black Friday (ปลายเดือนพฤศจิกายน)

อย่างไรก็ตาม แต่ละ Outlet Mall อาจมีโปรโมชั่นเฉพาะในช่วงเวลาอื่น ๆ ด้วย ใครสนใจควรติดตามข่าวสารจากช่องทางประชาสัมพันธ์ของแต่ละ Outlet Mall อย่างสม่ำเสมอ

10. Outlet Mall สาขากรุงเทพฯ มีที่ไหนบ้าง?

ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มี Outlet Mall ที่เป็นที่รู้จักหลายแห่ง เช่น:

  • Central Village ที่บางนา-ตราด กม.19.5
  • Siam Premium Outlets Bangkok ที่บางบ่อ สมุทรปราการ
  • The Outlet มหาชัย ที่พระราม 2

ข้อดีของการช้อปแบรนด์ดังที่ Outlet Mall

การเลือกซื้อสินค้าจาก Outlet Mall นั้นมีข้อดีหลายประการที่น่าสนใจ นอกจากจะได้สินค้าแบรนด์เนมคุณภาพดีในราคาที่ย่อมเยากว่าแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนการบริโภคอย่างชาญฉลาดและยั่งยืนอีกด้วย Outlet Mall ช่วยลดปัญหาอุปทานส่วนเกินในอุตสาหกรรมแฟชั่น โดยเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าจากคอลเลคชั่นก่อนหน้าหรือสินค้าที่ผลิตเกินความต้องการ ทำให้ลดการทิ้งสินค้าโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ

นอกจากนี้ การซื้อสินค้าจาก Outlet Mall ยังส่งเสริมแนวคิดการบริโภคอย่างยั่งยืน เพราะผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าคุณภาพดีที่ใช้งานได้ยาวนาน แทนที่จะซื้อสินค้าราคาถูกที่อาจต้องเปลี่ยนบ่อยครั้ง ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็ได้เรียนรู้ที่จะเลือกซื้อสินค้าอย่างชาญฉลาด โดยพิจารณาถึงคุณภาพและความคุ้มค่าในระยะยาว มากกว่าการตัดสินใจซื้อตามกระแสแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การช้อปปิ้งที่ Outlet Mall จึงไม่เพียงแต่ประหยัดเงินในกระเป๋าเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและการบริโภคที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

Outlet Mall แหล่งรวมร้านค้าแบรนด์ดัง เอาใจคนรักสินค้า Limited

Outlet กรุงเทพ

Outlet Mall เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์เนมคุณภาพสูง แต่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ที่นี่นำเสนอสินค้าแท้ 100% จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ในราคาที่ถูกกว่าร้านค้าปกติ นอกจากนี้ Outlet Mall ยังมีความหลากหลายทั้งในแง่ของสินค้าและบริการ ตั้งแต่เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ไปจนถึงเครื่องใช้ในบ้านและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พร้อมด้วยร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการอย่างครบครัน การเลือกซื้อสินค้าจาก Outlet Mall จึงไม่เพียงแต่เป็นการประหยัดเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการบริโภคอย่างชาญฉลาดและยั่งยืน ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าคุณภาพดี ใช้งานได้ยาวนาน ในราคาที่เอื้อมถึง

17
ฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา วิธีแก้ปัญหาร่องใต้ตาลึก จัดการกับถุงใต้ตา และดวงตาคล้ำดำ แนวทางที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้ผู้ฉีดได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยที่ไม่ต้องผ่าตัด

เมื่ออายุเข้าสู่วัยที่มีเลข 3 นำหน้า นอกจากเรื่องของสุขภาพที่ต้องดูแลแล้ว ผิวพรรณบนใบหน้าก็ต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน หลายคนเลือกใช้สกินแคร์บำรุงผิวที่เข้มข้นขึ้น หรือใช้วิธีฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ใต้ดวงตา แต่การฉีดใต้ตามีสิ่งที่ต้องรู้ก่อนฉีดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ใครที่อยากเริ่มต้นฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นครั้งแรก ลองมาทำความรู้จักกับเรื่องนี้กันให้มากขึ้นกัน

ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร ช่วยลดริ้วรอยได้จริงไหม

ฟิลเลอร์ใต้ตา คือ หัตถการด้วยวิธีฉีดสารที่ชื่อกรดไฮยาลูรอนิก เข้าไปใต้ชั้นผิวหนังบริเวณใต้ตา เพื่อให้ผิวหนังบริเวณนั้นได้รับการเติมเต็ม โดยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยลดริ้วรอยใต้ตาได้ เพราะ ฟิลเลอร์เข้าไปเติมเต็มผิว แก้ปัญหาร่องลึก ให้ดูเต็มขึ้น ทำให้ผิวใต้ตาเต่งตึงลดรอยเหี่ยวย่น ถุงใต้ตา ใต้ตาลึก รวมทั้งปัญหาใต้ตาคล้ำ และกรดไฮยาลูรอนิกยังเป็นสารที่มีอยู่ใต้ชั้นผิวหนังอยู่แล้ว ทำให้วิธีฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นการทำหัตถการที่มีความปลอดภัย และให้ผลลัพธ์ได้เป็นธรรมชาติ

เลือกคลินิกสำหรับฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายังไงดี?

เติมฟิลเลอร์ใต้ตา

แม้ว่าฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีความปลอดภัยสูงและไม่ต้องผ่าตัด แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์และเป็นการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ปลอดภัยมากที่สุด แนะนำให้เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ด้วยวิธีต่อไปนี้

  • เช็กมาตรฐานของคลินิกผ่านช่องทางสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
  • ตรวจสอบชื่อของคุณหมอ ต้องมีตัวตนจริง มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถให้คำปรึกษาก่อนรักษาได้ตรงจุด โดยเช็กได้จากฐานข้อมูลของแพทยสภา
  • ตรวจเช็กเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก โดยคลินิกที่มีการรับรองตามมาตรฐานจะต้องมีการแสดงใบอนุญาตที่มองเห็นได้ชัดเจน
  • ราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาต้องอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม แม้จัดโปรโมชันก็ต้องมีราคาไม่ถูกมากจนเกินจริง
  • คลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาต้องไม่อวดอ้างสรรพคุณ หรือระบุผลลัพธ์ที่เกินจริง
  • มีรีวิวหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่น่าเชื่อถือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เป็น Official Page ของคลินิก
  • มีการติดตามดูแลผลลัพธ์หลังฉีดพร้อมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังจากเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคาเท่าไหร่

ฟิลเลอร์ใต้ตามีช่วงราคาที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่แล้วฉีดใต้ตาราคาเริ่มต้นที่ 12,000 บาทขึ้นไปขึ้นอยู่กับคลินิกและโปรโมชัน ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ก่อนฉีดฟิลเลอร์ถุงใต้ตาควรศึกษาข้อมูลฟิลเลอร์ ข้อปฏิบัติ การดูแลก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้การฉีดฟิลเลอร์ราบรื่น เห็นผลชัดเจน

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้เห็นผล ต้องใช้กี่ cc

ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว ความต้องการของลูกค้า และการประเมินของแพทย์ โดยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ปริมาณ 1-2 cc ขึ้นไป หรือหากมีปัญหาใต้ตาหนัก ผิวทรุด ถุงใต้ตาใหญ่ มีริ้วรอยถาวร แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ในปริมาณที่มากขึ้นได้ หรือใช้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ผิว ควบคู่กับการฉีดฟิลเลอร์

ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ผู้มีประสบการณ์

การเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ที่มีประสบการณ์นอกจากจะช่วยให้คำแนะนำที่ตรงจุด เลือกรุ่นฟิลเลอร์ กำหนดจำนวน cc ฟิลเลอร์ที่ใช้ได้แม่นยำ และมีความปลอดภัยสูงแล้ว ให้คำแนะนำในการดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้ครบถ้วน ลดความเสี่ยงหรืออาการข้างเคียงที่อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ กลับกัน ถ้าฉีดฟิลเลอร์กับคนที่ไม่ใช่แพทย์ หมอปลอม หมอกระเป๋า อาจทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตา ร่างกาย อาการแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต หรือร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้ 

ฟิลเลอร์ใต้ตา เลือกให้ดี ปลอดภัย เห็นผลชัวร์

ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคา

วิธีฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้ดี เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ เห็นผลทันทีหลังฉีด ปลอดภัย และอยู่ได้นาน สิ่งสำคัญของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้มั่นใจและปลอดภัย คือการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรอง รวมทั้งเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ให้คำแนะนำได้ตรงจุดพร้อมดูแลติดตามผลหลังฉีด เพียงเท่านี้ก็ได้ผลลัพธ์ได้อย่างที่ตั้งใจคุ้มค่าราคาที่ต้องจ่ายแน่นอน

18
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ปัญหาแก้มหย่อนคล้อย ร่องแก้มชัด อาจทำให้ใบหน้าโดยรวมไม่สดใสและดูมีอายุเกินกว่าวัย ดังนั้นจึงมีวิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็ว ตรงจุด และเห็นผลไวอย่างการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มที่จะช่วยเติมเต็มร่องลึกบริเวณข้างแก้มให้ตื้นขึ้น ใบหน้าอิ่มฟู ดูสดใสเหมือนได้ลดอายุอีกด้วย

ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแนะนำฟิลเลอร์ร่องแก้มว่าสามารถแก้ปัญหาผิวอย่างไร ใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะเห็นผลได้สมบูรณ์ รวมถึงแนะนำวิธีการดูคลินิกให้ได้มาตรฐาน ปลอดภัย

ฟิลเลอร์ร่องแก้มแก้ปัญหาผิวส่วนไหนได้บ้าง?
ฟิลเลอร์ร่องแก้มจะเป็นการฉีดร่องแก้มจนไปถึงบริเวณมุมปากด้วยสารเติมเต็ม HA หรือฟิลเลอร์ โดยฟิลเลอร์จะไปเติมเต็มบริเวณร่องลึก ที่มีลักษณะเป็นเส้นบริเวณข้างจมูกลงไปจนถึงบริเวณปากให้ตื้นขึ้น ริ้วรอยดูจางลง ใบหน้าดูเต็มและอิ่มฟูมากยิ่งขึ้น อีกทั้งข้อดีของฟิลเลอร์ร่องแก้มนั้นยังทำให้ใบหน้าโดยรวมดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากฟิลเลอร์จะเป็นการเติมเต็มจากภายในนั่นเอง

ดังนั้นการเติมฟิลเลอร์ร่องแก้ม จึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาแก้มหย่อนคล้อยจนทำให้เกิดเป็นร่องข้างแก้ม ร่องแก้มที่มาจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือริ้วรอยที่เกิดจากการยิ้มบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มความสดใสให้กับใบหน้า ดูไม่โทรม ผิวบริเวณที่ฉีดมีความเรียบเนียน และลดเลือนริ้วรอยที่อาจทำให้หลายคนเกิดความไม่มั่นใจได้

ฟิลเลอร์ร่องแก้มปลอดภัยไหม ฉีดแล้วเป็นก้อนเกิดจากอะไร?

เติมฟิลเลอร์ร่องแก้ม

หลายคนอาจมีความสงสัยว่าฟิลเลอร์ร่องแก้มปลอดภัยไหม การแก้ปัญหาร่องแก้มลึกด้วยการฉีดฟิลเลอร์นั้นถือเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยเป็นอย่างมาก หากฉีดกับแพทย์ผู้มีประสบการณ์และใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น เนื่องจากฟิลเลอร์แท้จะสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หรือหากไม่พอใจในผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ ต้องการแก้หรือฉีดใหม่ ก็สามารถทำการฉีดสลายฟิลเลอร์ร่องแก้มได้

ในส่วนของการที่ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแล้วเป็นก้อนนั้นอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น แพทย์ที่ทำหัตถการไม่เชี่ยวชาญ ใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมกับบริเวณนั้น ๆ  หรือรุ่นฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับบริเวณที่ฉีด รวมถึงการใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือฟิลเลอร์ปลอมซึ่งเป็นซิลิโคนเหลว ทำให้เกิดการตกค้างใต้ชั้นผิวหนังจนทำให้ฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นก้อน โดยฟิลเลอร์ปลอมนั้นจะไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หากต้องการเอาออกจะต้องทำการผ่าตัดหรือขูดฟิลเลอร์ออกเท่านั้น

ฟิลเลอร์ร่องแก้มที่ไหนดี ปลอดภัย ได้มาตรฐาน
ก่อนที่จะตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เรามาดูกันว่านอกจากผลลัพธ์ที่เห็นในรีวิวฟิลเลอร์ร่องแก้มตามคลินิกต่าง ๆ แล้ว มีวิธีการดูอย่างไรให้มั่นใจว่าคลินิกมีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน ที่สำคัญต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรองจาก อ.ย. ไทย

โดยการเลือกคลินิกควรพิจารณาจากรายละเอียดดังนี้
- คลินิกมีใบรับรองอนุญาตประกอบอาชีพเวชกรรมเป็นตัวเลข 11 หลัก สามารถตรวจสอบได้จริงในเว็บไซต์ของสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
- แพทย์ได้รับรองจากแพทยสภา สามารถตรวจสอบและระบุตัวตนได้จริง
- คลินิกมีความน่าเชื่อถือ มีความสมเหตุสมผลและไม่อวดอ้างสรรพคุณหรือผลลัพธ์เกินจริง
- แพทย์มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ ผ่านการเทรนนิ่งจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ
- ตรวจสอบรีวิวฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจากผู้รับบริการท่านอื่น ๆ ในแพลตฟอร์มโซเชียลว่ามีผลลัพธ์เป็นอย่างไร
- สามารถเช็กฟิลเลอร์ก่อนฉีดว่าเป็นของแท้ได้หรือไม่ มีการแกะกล่องฟิลเลอร์ต่อหน้าผู้รับบริการหรือไม่อย่างไร
- คลินิกมีการติดตามอาการและผลลัพธ์กับผู้รับบริการสม่ำเสมอ
- คลินิกมียาสลายฟิลเลอร์ สามารถฉีดสลายให้กับผู้รับบริการได้ทันที

ฟิลเลอร์ร่องแก้มกี่วันเข้าที่ อยู่ได้นานกี่เดือน?
หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มประมาณ 1-2 สัปดาห์ ฟิลเลอร์จะเริ่มเซ็ทตัวกลืนไปกับผิว และจะอยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังฉีดและยี่ห้อของฟิลเลอร์


ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี?
การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ เพราะแต่ละคนมีปัญหาร่องแก้มไม่เหมือนกัน ผิวและโครงสร้างใบหน้าแตกต่างกัน ก่อนฉีดควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อที่นิยมใช้ส่วนใหญ่ มีดังนี้

Restylane
Restylane จะเป็นฟิลเลอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องแก้มระดับปานกลางจนถึงลึก มี 2 รุ่นเช่นกัน ได้แก่ Classic เนื้อแข็งปานกลาง และรุ่น Lyft เนื้อแข็ง คงรูปดี

Juvederm
ฟิลเลอร์ Juvederm จะมีรุ่นที่เนื้อมีความแข็งและฟูระดับปานกลาง คงรูป ไม่ไหลย้อย เหมาะสำหรับการเติมร่องแก้มอย่างรุ่น Voluma แต่สำหรับใครที่ผิวบาง หรือต้องการความเป็นธรรมชาติ ก็จะมีรุ่น Volift ที่เนื้อจะมีความละเอียดกว่า รวมถึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยเช่นกัน


สรุป ลดอายุใบหน้า ผิวเนียนสวยด้วยฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคา

หัตถการฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นการเติมเต็มร่องลึกบริเวณข้างแก้มลากยาวจนไปถึงบริเวณมุมปาก ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าดูไม่สดใส โทรมหรือดูมีอายุเกินวัย ส่งผลต่อความมั่นใจต่อใครหลาย ๆ คน ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจึงสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้

ในการเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ ก็ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ แพทย์มีความเชี่ยวชาญ สามารถตรวจสอบได้จริง เพื่อที่จะเสริมความมั่นใจว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี ปลอดภัย และสวยตรงใจ

19
ปัจจุบันการทำสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศโดยบริษัทต่าง ๆ หรือ ร้านค้าออนไลน์เพื่อส่งมอบสินค้านั้นได้ใช้ข้อตกลงมาตรฐานสากล Incoterm 2020 ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทั้งผู้นำเข้าและผู้ส่งออกทั่วโลก โดยข้อกำหนด Incoterm ที่ใช้นี้จะได้รับการแก้ไขปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกทุก 10 ปี

Incoterm ที่นำมาใช้ในการกำหนดเงื่อนไขส่งมอบสินค้าระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายนั้นก็เพื่อกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเราจะมาทำความรู้จักศัพท์ที่ใช้ในโลจิสติกส์ทั้งหมดที่มี 11 ประเภทด้วยกัน

Incoterm ข้อควรรู้ที่นักธุรกิจควรทราบ

รู้จักกับข้อตกลง Incoterm
Incoterm (International Commercial Term) คือ ข้อกำหนดที่ใช้ในการทำสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศเพื่อจะได้ทำข้อตกลงในการส่งมอบสินค้าที่ทำโดยผู้ซื้อและผู้ขาย โดยข้อกำหนดนี้ได้รับการดูแลและคุ้มครองโดยสภาหอการค้านานาชาติ (ICC: International Chamber of Commerce)

Incoterms นี้เป็นข้อตกลงมาตรฐานสากลฉบับล่าสุดปี 2020 ที่ผ่านการปรับปรุงมาตลอดประมาณ 8 ครั้ง
จนกระทั่งปัจจุบันก็ได้รับการยอมรับและนำมาใช้สำหรับการซื้อขายจากประเทศต่าง ๆ ทั้งที่เป็นผู้นำเข้า
และผู้ส่งออกทั่วโลกเพราะข้อดีต่าง ๆ เหล่านี้
- สามารถกำหนดความรับผิดชอบที่ชัดเจน
- อำนวยความสะดวกในการสื่อสาร
- เพื่อลดความเสี่ยง
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ
- ช่วยลดพิธีการซับซ้อน และความล่าช้าที่ด่านศุลกากร

ข้อตกลง Incoterm

ปัจจัยในการเลือกใช้ประเภทของ Incoterm ให้เหมาะสมกับธุรกิจ
การทำสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศควรทำความรู้จักเกี่ยวกับข้อกำหนดสากลที่ยอมรับและใช้กันทั่วโลกให้ดี จะได้เลือกใช้ Incoterm ได้ถูกต้องเหมาะสมกับธุรกิจที่ทำอยู่ ปัจจัยต่อไปนี้ควรได้รับการพิจารณามาแล้วอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเลือกเพื่อให้คุ้มค่า ลดความเสี่ยง พร้อมสร้างสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดีอีกด้วย

ลักษณะของสินค้า
- หากลักษณะของสินค้าเป็นประเภทเน่าเสียได้  ควรให้ฝ่ายที่มีความชำนาญและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการจัดการมาเป็นผู้รับผิดชอบ เช่น ถ้าผู้ขายมีพร้อม การใช้ Incoterm ประเภท DAP ก็ย่อมเหมาะสม เป็นต้น
- สินค้าที่อยู่ในสัญญาซื้อขายนั้นต้องมีตัวตน
วิธีการขนส่ง
- การขนส่งทางทะเล - สำหรับ Incoterms ที่ใช้ในปัจจุบันนั้น มีอยู่ 4 ประเภทด้วยกัน คือ FAS, FOB, CFR และ CIF
- การขนส่งประเภทอื่น ๆ ทุกรูปแบบรวมทั้งทางน้ำด้วย มีการ Incoterm อื่น ๆ อีก 7 ประเภท คือ EXW, FCA, CPT, CIP, DAP, DDP และ DPU
ปลายทางการรับสินค้า
- ต้องระบุอย่างชัดเจนถึงสถานที่ส่งมอบสินค้าว่าเป็นประเทศต้นทางหรือประเทศปลายทาง เช่น ประเทศต้นทาง ใช้ Incoterm ประเภท EXW, FOB, FAS, FCA  แต่ถ้าเป็นสถานที่ประเทศปลายทาง ก็ใช้ CIF, CIP, CPT, CFR, DAP, DDP, DPU เป็นต้น
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- ความรับผิดชอบในสินค้าที่ได้มีการจัดส่งจะอยู่กับผู้ซื้อหรือผู้ขายสินค้า
- การทำประกันภัยสินค้าเพื่อลดความเสี่ยง เข่น Incoterm ประเภท CIF, CIP เป็นต้น

หมวดหมู่และประเภทของข้อตกลง Incoterm
สำหรับข้อตกลง Incoterm นั้นสามารถจัดแบ่งออกได้เป็น 4 หมวดหมู่ที่ช่วยแยกแยะขอบเขตความรับผิด
ชอบเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงต่าง ๆ ของคู่ค้าที่เป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย นอกจากนี้ยังเป็นการช่วย
นำทั้งสองฝ่ายที่อยู่กันคนละประเทศให้มีความเข้าใจตรงกัน รายละเอียดของ incoterms มีดังนี้

หมวดหมู่ของ incoterm

E Terms มี 1 ประเภท
EXW Term (EX WORKS)
ผู้ซื้อรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมความเสี่ยงด้านเสียหาย/สูญเสียที่เกี่ยวกับสินค้านับจากรับส่งมอบแล้ว, ขั้นตอนผ่านด่านส่งออก และด่านนำเข้า
ผู้ขายเตรียมพร้อมสินค้า ณ สถานที่ของผู้ขายเอง เช่น โรงงาน โกดัง เพื่อรอผู้ซื้อจัดการขนสินค้าและดำเนินขั้นตอนการส่งออกเอง แต่เอกสารและข้อมูลส่งออกจะถูกเตรียมไว้ให้พร้อมโดยผู้ขาย

F Terms มี 3 ประเภท
- FAS (FREE ALONGSIDE SHIP)
ผู้ซื้อจะรับความเสี่ยงด้านสูญเสีย/เสียหายของสินค้าที่ได้รับส่งมอบ พร้อมทั้งรับทำพิธีการขาออก ขั้นตอนผ่านแดนและพิธีการขาเข้า
ผู้ขายส่งมอบสินค้าไว้ที่ข้างเรือของผู้ซื้อ บริเวณท่าเรือต้นทางที่ผู้ซื้อแจ้งไว้
- FCA Term (FREE CARRIER)
ความเสี่ยงที่เกิดจากสินค้าเสีย/สูญหายเป็นความรับผิดชอบของผู้ซื้อหลังรับส่งมอบสินค้าแล้ว พร้อมผ่านพิธีขาออกเอง อีกทั้งผู้ซื้อจะจัดการผ่านแดนและพิธีการขาเข้าด้วย
ขณะที่ผู้ขายจะทำการส่งมอบสินค้าบนพาหนะที่จัดเตรียมโดยผู้ซื้อ ณ สถานที่ระบุไว้ ส่วนพิธีการขาออกผู้ขายจะเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือด้านข้อมูลและเอกสารส่งออก
- FOB Term (FREE ON BOARD)
ผู้ซื้อชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดและรับความเสี่ยง/เสียหายของสินค้านับแต่ได้รับส่งมอบแล้ว และจะเป็นผู้จัดการขั้นตอนผ่านแดนและพิธีการขาเข้า
ผู้ขายจะขนส่งสินค้าเพื่อส่งมอบที่เรือผู้ซื้อจัดเตรียมไว้ที่ต้นทางพร้อมรับผิดชอบทำพิธีการส่งออกด้วย

C Terms มี 4 ประเภท
- CIP Term (CARRIAGE AND INSURANCE PAID TO)
ผู้ซื้อจะรับความเสี่ยง/เสียหายของสินค้าเมื่อได้รับส่งมอบจากผู้รับขน ณ สถานที่ปลายทางที่ระบุไว้ พร้อมเป็นผู้จัดการขั้นตอนผ่านแดนและพิธีการขาเข้า
ผู้ขายจะชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้าจนถึงสถานที่ปลายทางที่ระบุไว้ภายใต้สัญญารับขน นอกจากนี้ยังต้องทำสัญญาประกันภัยและชำระเบี้ยประกันสำหรับสินค้าจนกว่าจะถูกส่งมอบจากผู้รับขนไปยังผู้ซื้อที่ปลายทางแล้ว การจัดการผ่านพิธีการขาออกเป็นหน้าที่ของผู้ขาย
- CPT Term (CARRIAGE PAID TO)
ผู้ซื้อจะรับความเสี่ยง/เสียหายของสินค้าเมื่อผู้ขายได้ส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้รับขน ณ จุดที่กำหนดไว้ พร้อมเป็นผู้จัดการขั้นตอนผ่านแดนและพิธีการขาเข้า
ผู้ขายจะชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้าจนถึงสถานที่ระบุไว้ภายใต้สัญญารับขน การจัดการผ่านพิธีการขาออกเป็นหน้าที่ของผู้ขาย
- CFR (COST AND FREIGHT)
ผู้ซื้อจะรับความเสี่ยง/เสียหายของสินค้าเมื่อผู้ขายได้ส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้รับขน ณ ท่าเรือส่งออกเพื่อส่งต่อให้ ณ ท่าเรือปลายทางที่กำหนดไว้ พร้อมเป็นผู้จัดการขั้นตอนผ่านแดนและพิธีการขาเข้า
ผู้ขายจะชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้า ค่าขนส่งและค่าระวางสินค้าจากจุดส่งมอบจนถึงจุดหมายปลายทางที่ตกลงกันไว้ การจัดการผ่านพิธีการขาออกเป็นหน้าที่ของผู้ขาย
- CIF Term (COST INSURANCE AND FREIGHT)
ผู้ซื้อจะรับความเสี่ยง/เสียหายของสินค้าเมื่อผู้ขายได้ส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้รับขน ณ ท่าเรือส่งออกเพื่อส่งต่อให้ผู้ซื้อ ณ ท่าเรือปลายทางที่กำหนดไว้ พร้อมเป็นผู้จัดการขั้นตอนผ่านแดนและพิธีการขาเข้า
ผู้ขายจะชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้า ค่าขนส่งและค่าระวางสินค้าจากจุดส่งมอบจนถึงจุดหมายปลายทางที่ตกลงกันไว้ นอกจากนี้ผู้ขายยังต้องทำสัญญาประกันภัยและชำระค่าประกันจากท่าเรือต้นทาง พร้อมจัดการผ่านพิธีการขาออกเป็นหน้าที่ของผู้ขาย

D Terms มี 3 ประเภท
- DPU (DELIVERED AT PLACE UNLOADED)
ผู้ซื้อจะรับมอบและขนถ่ายสินค้าจากผู้ขาย ณ จุดที่กำหนดไว้ตรงสถานีปลายทาง และเป็นผู้จัดการขั้นตอนผ่านพิธีการขาเข้า
ผู้ขายจะชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้า ค่าขนถ่ายจนส่งมอบสินค้ายังสถานที่ระบุไว้ภายใต้สัญญารับขน การจัดการผ่านพิธีการขาออกและผ่านแดนเป็นหน้าที่ของผู้ขาย
- DAP (DELIVERED AT PLACE DDP)
ผู้ซื้อจะรับมอบสินค้าที่พร้อมขนถ่ายลงของผู้ขาย ณ จุดที่กำหนดไว้ตรงสถานีปลายทาง และเป็นผู้จัดการขั้นตอนผ่านพิธีการขาเข้า
ผู้ขายจะชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้า ค่าขนถ่ายจนส่งมอบสินค้ายังสถานที่ระบุไว้ภายใต้สัญญารับขน การจัดการผ่านพิธีการขาออกและผ่านแดนเป็นหน้าที่ของผู้ขาย
- DDP Term (DELIVERED DUTY PAID)
ผู้ซื้อจะรับมอบสินค้าที่พร้อมขนถ่ายลงของผู้ขาย ณ จุดที่กำหนดไว้ตรงสถานีปลายทาง
ผู้ขายจะชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้า ค่าขนถ่ายจนส่งมอบสินค้ายังสถานที่ระบุไว้ภายใต้สัญญารับขน และเป็นผู้จัดการขั้นตอนผ่านพิธีการขาออก ผ่านแดน และพิธีการขาเข้า

สรุป Incoterm ข้อกำหนดแห่งสัญญาซื้อขาย
Incoterm เป็นปัจจัยที่สำคัญมากเมื่อต้องมีการทำธุรกรรมสัญญาซื้อขายกับต่างประเทศเพื่อสั่งซื้อสินค้า โดยเฉพาะเวลาที่มีการซื้อขายสินค้าราคาสูง ๆ หรือในปริมาณมาก ๆ ดังนั้นการทำความรู้จักและเข้าใจอย่างถ่องแท้จะช่วยให้ในการควบคุมค่าใช้จ่าย กระจายความรับผิดชอบเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับสินค้า จนนำไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จในที่สุด

20
web application คืออะไร แตกต่างกับ website อย่างไร?

บริการ web application

web application คืออะไร ต่างจากเว็บไซต์อย่างไร และจุดเด่นที่น่าสนใจกว่าเว็บไซต์ รวมถึงการจ้างบริษัท web application ในประเทศไทย

web application หรือ เว็บแอปพลิเคชัน คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ (เช่น Google Chrome, Mozilla Firefox, Safari) โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติมบนเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่

web application มีข้อดีอย่างไร

web application หรือ เว็บแอปพลิเคชัน นั้นได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันอย่างมาก และเป็นเครื่องมือที่ธุรกิจหลากหลายประเภทนำไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า การที่บริการ web application ได้รับความนิยมทั้งในมุมมองของธุรกิจและผู้ใช้งานเนื่องจาก

มุมมองของธุรกิจ

  • เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น: web application คือบริการที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้ลูกค้าสามารถใช้งานบริการหรือผลิตภัณฑ์ของธุรกิจได้สะดวกสบายมากขึ้น
  • ลดต้นทุน: การพัฒนาและดูแลรักษา web application มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการพัฒนาแอปพลิเคชันบนมือถือ ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กและกลางสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ง่ายขึ้น
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: การจ้าง web application ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำงานบางอย่างโดยอัตโนมัติได้ เช่น การจัดการข้อมูลลูกค้า การประมวลผลคำสั่งซื้อ ทำให้พนักงานมีเวลาไปทำงานที่สำคัญอื่นๆ มากขึ้น
  • ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า: ด้วยอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและฟีเจอร์ที่หลากหลาย web application ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น ทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจและกลับมาใช้บริการซ้ำ
  • วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ: web application สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานของลูกค้าได้ ทำให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า และนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

มุมมองของผู้ใช้งาน

  • ใช้งานง่าย: web application ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติม เพียงแค่มีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและเว็บเบราว์เซอร์ก็สามารถใช้งานได้
  • เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา: ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตราบใดที่มีอินเทอร์เน็ต ก็สามารถเข้าถึง web application ได้
  • อัปเดตอยู่เสมอ: ผู้พัฒนาสามารถอัปเดตฟีเจอร์และแก้ไขข้อผิดพลาดของ web application ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น
  • รองรับหลากหลายอุปกรณ์: web application สามารถใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีเว็บเบราว์เซอร์
  • มีตัวเลือกให้เลือกมากมาย: มี web application ให้เลือกใช้งานมากมายหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย อีเมล การทำงานร่วมกัน หรือการช้อปปิ้งออนไลน์

สรุปแล้ว web application นั้นเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและมีประโยชน์ทั้งสำหรับธุรกิจและผู้ใช้งาน ด้วยข้อดีมากมายที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ web application กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปโดยปริยาย

web application กับ website ต่างกันอย่างไร

web application vs website

ขอขอบคุณรูปจาก https:// www . dailytech.in.th /web - application- เว็บ-แ อพพลิเคชั่น/

web application และ website อาจดูเหมือนคล้ายกันแต่จริง ๆ แล้วทั้งสองมีลักษณะและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ความแตกต่างกันอย่างละเอียดเช่น

Website (เว็บไซต์)

  • เน้นการนำเสนอข้อมูล: เว็บไซต์ถูกออกแบบมาเพื่อนำเสนอข้อมูลให้ผู้ใช้งานอ่านและทำความเข้าใจ เช่น บทความ ข่าวสาร ผลิตภัณฑ์ หรือบริการต่างๆ
  • ปฏิสัมพันธ์น้อย: ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะทำการอ่านหรือดูข้อมูลเป็นหลักการโต้ตอบมักจะจำกัดอยู่ที่การกรอกแบบฟอร์มหรือส่งอีเมล
  • ตัวอย่าง: เว็บไซต์ข่าวสาร เว็บไซต์บริษัท เว็บไซต์ส่วนตัว

Web Application (เว็บแอปพลิเคชัน)

  • เน้นการใช้งาน: web application ถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้งานได้ใช้งานจริง ๆ สามารถทำอะไรได้มากกว่าแค่การอ่าน เช่น การคำนวณ การจัดการข้อมูล การสร้างเนื้อหา หรือการโต้ตอบกับผู้ใช้งานอื่นๆ
  • ปฏิสัมพันธ์สูง: ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบกับระบบได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การโพสต์ข้อความ การอัปโหลดไฟล์ การแก้ไขข้อมูล
  • ตัวอย่าง: โซเชียลมีเดีย (Facebook, Twitter), Google Docs, ระบบจัดการฐานข้อมูลลูกค้า (CRM), แพลตฟอร์ม E-commerce

จ้างบริษัท web application ในประเทศไทยเจ้าไหนดีที่สุด

จ้างบริษัท web application

การพัฒนา web application นั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้การวางแผนและพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง เพื่อที่ให้บริษัท web application ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการและประสบความสำเร็จในการใช้งานจริง ดังนั้น ก่อนที่จะจ้างบริษัท web application เพื่อเริ่มต้นโครงการ ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญเหล่านี้

  • เป้าหมายและวัตถุประสงค์: กำหนดให้ชัดเจนว่าต้องการสร้าง web application เพื่ออะไร? เพื่อแก้ไขปัญหาอะไร? เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายใด?
  • กลุ่มเป้าหมาย: กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนว่าเป็นใคร มีพฤติกรรมอย่างไร และต้องการอะไรจาก web application
  • ฟังก์ชันการทำงาน: ระบุฟังก์ชันที่จำเป็นทั้งหมดที่ web application จะต้องมี เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน
  • เทคโนโลยี: เลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับโครงการ เช่น ภาษาโปรแกรม Framework ฐานข้อมูล
  • งบประมาณ: กำหนดงบประมาณที่จัดสรรสำหรับโครงการ
  • ระยะเวลา: กำหนดระยะเวลาในการพัฒนาและเปิดตัว
  • การออกแบบ: ออกแบบ User Interface (UI) และ User Experience (UX) ให้ใช้งานง่าย น่าสนใจ และสอดคล้องกับแบรนด์
  • การรักษาความปลอดภัย: ระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล
  • การบำรุงรักษา: วางแผนการบำรุงรักษาและอัปเดตระบบในระยะยาว

โดย Cubesoft เป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการพัฒนา web application โดยเฉพาะมาอย่างยาวนาน มีพนักงาน web application ที่มีความรู้ความสามารถและเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ให้บริการตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการ ออกแบบ พัฒนา ทดสอบ และบำรุงรักษา ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นที่นิยม รวมถึงให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง

สรุปเกี่ยวกับ web application

web application เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและมีประโยชน์อย่างมากในยุคดิจิทัลนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานส่วนบุคคลหรือในองค์กร web application ก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างหลากหลาย โดยในปัจจุบันมีบริษัท web application ราคาประหยัดในเลือกใช้บริการอยู่มากมาย ซึ่งต้องศึกษาข้อมูลรวมถึงปัจจัยและรายละเอียดต่าง ๆ ของแต่ละบริษัทให้รอบคอบ เพื่อประโยชน์สูงสุดในการใช้บริการ web application

21
คอนโดหรูคืออะไร รู้ก่อนซื้อคอนโดหรู เลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

คอนโดหรู

โครงการคอนโดหรูใจกลางเมือง ก่อนจะซื้อต้องดูอะไรบ้างรวบรวมคอนโดหรูเดินทางสะดวก ราคาต่างๆไว้ที่นี่แล้ว !

คอนโดหรูหรือสามารถเรียกได้ว่า "Luxury Condominium" เป็นคอนโดที่จะถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่มองหาที่อยู่ที่มีคุณภาพสูงกว่าทั่วไป ทั้งการออกแบบ วัสดุที่เลือกใช้ในการก่อสร้าง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่คอนโดหรูจะติดรถไฟฟ้า หรือไม่ก็อยู่ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทำให้การคมนาคมของผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดหรู ๆ ใช้ชีวิตได้สะดวกสบายและหรูหราได้มากกว่า

โครงการคอนโดหรูคืออะไร แตกต่างจากโครงการบ้านอย่างไร

โครงการคอนโดหรู คือ ที่พักอาศัยประเภทคอนโดมีเนียมซึ่งได้รับการพัฒนาและออกแบบมาให้เฉพาะเจาะจงกับผู้ที่มีความต้องการหาที่อยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยมเป็นหลัก ๆ ซึ่งจุดเด่นของโครงการคอนโดหรูคือการออกแบบภายในและภายนอก โดยโครงการคอนโดหรูมักจะตั้งอยู่ใจกลางเมือง เพราะเป็นแหล่งที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งจะมีความแตกต่างกับโครงการบ้านตรงที่คอนโดหรูจะเน้นการใช้ชีวิตในเมืองเป็นหลัก ตอบโจทย์ความสะดวกสบายในการเดินทางไปยังที่ทำงาน หรือโดยสารรถไฟฟ้าสาธารณะมากกว่าโครงการบ้าน

ส่วนโครงการบ้านเดี่ยว ส่วนใหญ่มักจะเหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่ หรือคนที่ต้องการความสงบ และคนที่อยากได้พื้นที่บ้านส่วนตัวที่กว้างขวางมากกว่า แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตัวคอนโดหรูเองเมื่อเทียบกับบ้านเดี่ยวจะมีการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกได้ง่ายกว่าเช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนลอยฟ้า ห้องประชุม หรือแม้แต่ห้องจัดปาร์ตี้ ส่วนใหญ่แล้วห้องอำนวยความสะดวกพวกนี้มักจะมีในคอนโดหรู ๆ  และไม่ต้องออกไปหาเช่าที่อื่นเพิ่มเติม

ข้อดีและข้อจำกัดของคอนโดหรู

สระว่ายน้ำคอนโดหรู

การเลือกซื้อห้องคอนโดหรูมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดต่างๆ ที่ควรพิจาณาให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ

ข้อดี

  • ทำเลที่ตั้ง คอนโดหรูส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง เช่นใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ทางด่วน หรือตั้งในย่านธุรกิจสำคัญๆ เช่น สาทร เอกมัย ทำให้ผู้อยู่อาศัยหรือผู้ที่จำเป็นต้องใช้รถไฟฟ้าในการเดินทางมักจะเลือกคอนโดหรู
  • สิ่งอำนวยความสะดวก คอนโดหรูก็จะมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบและทันสมัย เช่นสระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องซาวน่า สวนลอยฟ้า รถรับส่ง หรือบริการอื่น ๆ อีกมากมาย
  • การออกแบบคอนโดหรู แน่นนอนว่าภาพลักษณ์ทั้งภายในห้องคอนโด หรือการตกแต่งภายนอกจะถูกออกแบบมาอย่างดี และใช้วัสดุในการก่อสร้างตกแต่งภายในให้มีความทนทานสูง สำหรับการใช้งานนาน ๆ
  • ความปลอดภัย เองเป็นอีกข้อนึงที่หลายๆคนเป็นห่วงเมื่อจะต้องซื้อคอนโด แต่คอนโดหรูจะมาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัยที่ค่อนข้างเข้มงวด และพนักงานรักษาความสะอาดที่ใส่ใจมาก ๆ

ข้อจำกัด

  • ราคา เพราะคอนโดหรูมีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับคอนโดทั่วไปหรือบ้านเดี่ยว ยิ่งถ้าตั้งอยู่ใจกลางเมือง หรือพื้นที่ราคาแพงก็จะแพงขึ้นอีก
  • การมีพื้นที่ใช้สอยจำกัด ถึงคอนโดหรูจะมีการออกแบบภายในที่ลงตัวแล้ว แต่พื้นที่การใช้สอยในคอนโดมักจะจำกัดกว่าบ้านเดี่ยวอยู่ดี ซึ่งจะไม่เหมาะกับครอบครัวใหญ่มาก
  • ค่าบำรุงรักษา ด้วยตัวคอนโดหรูใช้วัสดุที่คุณภาพสูงและการตกแต่งที่แพง ทำให้ค่าบริการส่วนกลางและค่าบำรุงรักษาอาคารต่าง ๆ อาจสูงกว่าคอนโดทั่วไป
  • ความเป็นส่วนตัวที่น้อยกว่า ถึงคอนโดหรูจะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม แต่การอยู่ในอาคารเดียวกันกับผู้อื่นก็ยังมีความเป็นส่วนตัวน้อยกว่าการอยู่บ้านเดี่ยวอยู่ดี แต่คอนโดหรู ก็จะเป็นส่วนตัวกว่าคอนโดทั่วไป

แนะนำคอนโดหรูใจกลางเมืองย่านต่างๆ

คอนโดหรูใจกลางเมือง มีให้เลือกค่อนข้างเยอะ และเต็มค่อนข้างไวเช่นกัน ซึ่งย่านต่างๆเช่นเอกมัย หรือสาทร เป็นย่านที่มีคนมองหาคอนโดหรูค่อนข้างมาก บทความนี้จะขอแนะนำชื่อคอนโดหรู 3 แห่งใจกลางเมือง

1. คอนโดเดอะ เครสท์พาร์ค เรสซิเดนเซส

The Crest Park Residences เป็นคอนโดหรูที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพ โดยอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า MRT พหลโยธินและ BTS ห้าแยกลาดพร้าว ทำให้เดินทางสะดวก และมาพร้อมกับการออกแบบทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

2. คอนโดเรฟเฟอเรนซ์เอกมัย

Reference Ekama เป็นคอนโดหรูย่านเอกมัย เป็นทำเลที่เหมาะกับคนใช้ชีวิตในเมืองมากๆ สามารถเดินทางด้วย BTS ได้และอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวมากมาย รวมถึงการออกแบบที่หรูรา เน้นการใช้วัสดุคุณภาพสูงในการออกแบบ

3. คอนโดเรฟเฟอเรนซ์สาทร-วงเวียนใหญ่

Reference Sathorn - Wongwianyai ตั้งอยู่ในย่านสาทร - วงเวียนใหญ่เป็นย่านที่มีความสงบแต่ยังคงเชื่อมต่อกับส่วนต่างๆได้ดีเยี่ยม เพราะเดินทางง่ายด้วยรถไฟฟ้า BTS วงเวียนใหญ่ คอนโดนี้ออกแบบหรูหราและเงียบสงบ

ซื้อคอนโดหรูอย่างไรให้ตรงใจ กับปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อคอนโด

การเลือกซื้อคอนโดหรู เป็นการตัดสินใจที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าการซื้อคอนโดครั้งนี้จะตรงกับความต้องการและ ไลฟ์สไตล์ของคุณจริง ๆ เพราะด้วยราคาของคอนโดหรูที่ไม่ได้ราคาถูก เราขอยกตัวอย่างปัจจัยที่ควรนึกถึงเมื่อจะตัดสินใจซื้อ

  • ทำเลที่ตั้ง เป็นปัจจัยแรก และสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อคอนโดหรู ควรเลือกคอนโดที่ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการเดินทางและใกล้ห้าง หรือสถานที่สำคัญต่างๆ โรงเรียน ห้าง โรงพยาบาล และสถานีรถไฟฟ้าทำเลที่ดีทำให้อนาคตคอนโดจะราคาสูงขึ้นด้วย
  • ชื่อเจ้าของโครงการ อันนี้เป็นอีกข้อที่หลาย ๆ คนมองข้าม ชื่อบริษัทที่เป็นเจ้าของโครงการ เป็นอีกสิ่งที่คุณสามารถไปดูประวัติการสร้างคอนโดของเขาว่า ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร ดูแลลูกบ้านดีไหม เพื่อประกอบการตัดสินใจได้
  • การออกแบบ และวัสดุที่ใช้ เนื่องจากเป็นสถานที่ ที่ซื้อแล้วต้องอยู่ไปอีกนาน เลยต้องตรวจสอบในแน่ใจว่า ภายในและภายนอกของคอนโดตรงกับความต้องการหรือไม่ วัสดุที่ใช้ก่อสร้างและการตกแต่งภายในคงทนไหม
  • สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเสริม เนื่องจากแต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน อาจจะต้องดูว่าเราอยากได้อะไรในคอนโด เช่นบางคนอยากได้สระว่ายน้ำ บางคนชอบเล่นฟิตเนส บางคนชอบสวนลอยฟ้าชิล ๆ ทุกอย่างต้องดูให้เหมาะสมกับ Activity ของแต่ละคน
  • ค่าบำรุงรักษาและค่าใช้จ่าย เช็คให้ดีว่าคอนโดที่เราจะซื้อ จะต้องจ่ายค่าส่วนกลางเท่าไหร่ สมเหตุสมผลหรือไม่ และในระยะยาวจะเป็นยังไง
  • เปรียบเทียบราคา เนื่องจากตัวเลือกคอนโดมีให้เลือกค่อนข้างเยอะ แนะนำให้ดูหลาย ๆ ที่และเปรียบเทียบราคากับความต้องการของเรา จะได้รู้ว่าคอนโดคุณภาพประมาณนี้ ราคาประมาณนี้ คุ้มค่าหรือแพงไปไหม

22
ประเมินราคาที่ดิน

การลงทุนในที่ดินเป็นอีกหนึ่งทรัพย์สินที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่มีความมั่นคง ปลอดภัย มูลค่าสามารถเพิ่มขึ้นได้ทุกปี และมูลค่าไม่ตก แต่การที่จะทราบราคาที่แท้จริงของที่ดินแปลงนั้นก็ต้องมีการประเมินราคาที่ดินอย่างถูกต้อง ในบทความนี้จะมาแชร์วิธีดูราคาที่ดินด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการซื้อ - ขาย - ให้เช่าที่ดิน รวมถึงการวางแผนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอนาคต



การประเมินราคาที่ดินคืออะไร

โดยปกติแล้วเราอาจจะมีการคาดคะเนราคาที่ดินจากราคากลาง อาทิ ขนาด , ทำเล , ราคาตลาด หรือสภาพหน้าดิน แต่การประเมินราคาที่ดิน คือ การประเมินทุนทรัพย์ หรือการกำหนดราคาที่ดินแต่ละแปลงด้วยการใช้เกณฑ์ประเมินที่เป็นมาตรฐานโดยกรมธนารักษ์ ทำให้สามารถประกอบกิจกรรมได้ตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าจะเป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิ , นิติกรรม , และการซื้อขาย



ความสำคัญของการประเมินราคาที่ดิน

ประเมินราคาที่ดินพร้อมบ้าน

การประเมินราคาที่ดินเป็นการเช็คราคาที่ดินเบื้องต้นซึ่งจะทำให้ผู้ถือครองที่ดินสามารถทราบมูลค่าที่ดินดินที่ตนเองมีอยู่ได้ ซึ่งการประเมินราคาที่ดินที่จัดทำโดยกรมธนารักษ์ถือเป็น “ราคาประเมินราชการ” หรือ “ประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน” สำหรับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมสิทธิ และนิติกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่กฎหมายกำหนดสามารถเป็นประโยชน์ทั้งในการคำนวณค่าธรรมเนียมภาษีเงินได้ อากรแสตมป์ และภาษีธุรกิจเฉพาะ นอกจากนี้ยังใช้เป็นข้อมูลประกอบในการปล่อยเช่า - ขาย -ซื้อ หรือธุรกรรมอื่นใดกับที่ดินที่ต้องการได้ การเช็กราคาประเมินที่ดิน ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง และสามารถเพิ่มขึ้นได้ตลอด ยังช่วยให้ในการทำกิจการใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินของคุณไม่โดนเอารัดเอาเปรียบได้โดยง่าย สามารถเจรจาต่อรอง วางแผนโครงการธุรกิจในอนาคตได้สะดวก และรัดกุมมากขึ้น



วิธีประเมินราคาที่ดินด้วยตัวเอง

ในปัจจุบันทาง “กรมธนารักษ์”ผู้ควบคุมดูแลราคากลางของที่ดินแต่ละแปลง ก็ได้ประกาศราคาประเมินที่ดิน 2567 เป็นทางการผ่านระบบเผยแพร่ราคาประเมินทรัพย์สินทางเว็บไซต์กรมธนารักษ์แล้ว ผู้ที่สนใจประเมินราคาที่ดินออนไลน์สามารถทำได้ดังนี้

การประเมินราคาที่ดินจากเลขโฉนด

การประเมินราคาที่ดินที่มีเลขโฉนดสามารถทำได้ตามขั้นตอนนี้

1. คลิกเข้าเว็บไซต์ https://assessprice.treasury.go.th/ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทางการของกรมธนารักษ์
2. เลือกเมนูที่ต้องการค้นหา
3. กรอกข้อมูลเลขที่โฉนด หน้าสำรวจ และจังหวัดที่ตั้งที่ดินในช่องค้นหา
4. ตรวจสอบราคาประเมินที่ดินต่อตารางวาได้ตารางที่แสดงขึ้นมาหน้าจอ

ทั้งนี้ถ้าหากไม่มีข้อมูลเลขที่โฉนด สามารถกรอกข้อมูลกรอกเลขที่ดิน หรือเลขที่ น.ส.3ก. ระวาง และจังหวัดที่ตั้งทดแทนได้ นอกจากนี้ภายในเว็บไซต์ยังมีข้อมูลสรุปราคาประเมินที่ดิน 77 จังหวัดของประเทศไทย ข้อมูลราคาสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงอาคารชุดไว้สำหรับการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมไว้อีกด้วย

การประเมินราคาที่ดินแบบไม่มีเลขที่โฉนด
                 
การประเมินราคาที่ดินแบบไม่มีเลขที่โฉนดก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยมีขั้นตอนดังนี้

1. คลิกเข้าเว็บไซต์ https://landsmaps.dol.go.th/ จากทางกรมที่ดิน เพื่อใช้งานระบบค้นหารูปแปลงที่ดิน
2. เลือกพื้นที่ , ค้นหาตามรายชื่อจังหวัดที่ต้องการ, หรือเลือกตัวเลือกตำแหน่งปัจจุบันที่อยู่กรณีอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ (สามารถค้นหาสถานที่สำคัญที่ใกล้เคียงที่ดินเพื่อความรวดเร็วในการค้นหาแปลงพื้นที่ได้)
3. ค้นหาพื้นที่ภายในหน้าแผนที่โดยการกด Zoom เข้า จากนั้นจึงกดคลิกพื้นที่ที่ต้องการตรวจสอบราคา
4. คลิกกรอบเขตที่ดินที่ต้องการตรวจสอบจากหน้าจอแสดงขอบเขตที่ดิน ข้อมูลบนเว็บไซต์จะบอกทั้งขนาดที่ดิน รายละเอียดข้อมูลโฉนด และราคาประเมินที่ดิน



ราคาประเมินที่ดินคือราคาจริงที่ต้องจ่ายหรือไม่

เช็กราคาประเมินที่ดินจากกรมธนารักษ์

การประเมินราคาที่ดินถือเป็นการกำหนดราคากลางที่จัดทำขึ้นจากกรมธนารักษ์เพื่อประโยชน์ด้านการเก็บค่าธรรมเนียมนิติกรรม และค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิ ไม่รวมการเสียค่าธรรมเนียมภาษีที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และค่าใช้จ่ายในการโอนที่ดินจึงอาจทำให้ราคาต่ำกว่าราคาซื้อขายที่ตกลงประมาณร้อยละ 20 - 40 ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง ทั้งนี้ราคาการซื้อ - ขาย จริงขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อ - ผู้ขาย ที่ประเมินร่วมกับราคาตลาด ทำเล สภาพที่ดิน สิ่งปลูกสร้างบนผืนที่ดิน ปัจจัยอื่น ๆและการคำนวณค่าใช้จ่ายโดยรวมที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ดังนั้นราคาประเมินที่ดินจึงอาจไม่ตรงกับราคาจริงที่ทำการซื้อขายกัน ก่อนทำการซื้อขายจึงควรสืบหาข้อมูลราคาที่ดินจากหลายแหล่งให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจ



สรุปการประเมินราคาที่ดิน

การรู้ข้อมูลราคาประเมินที่ดินของตนเองนอกจากจะทำให้เราอนุมานทรัพย์สินที่มีเบื้องต้นได้แล้ว ยังเป็นประโยชน์ในการลงทุนในอนาคต ทั้งการประเมินค่าใช้จ่ายในการลงทุน การจัดทำภาษี ช่วยเพิ่มอำนาจในการเจรจาต่อรองในการซื้อขายที่ดิน และการลงทุนต่าง ๆ อีกด้วย อย่างไรก็ตามราคาประเมินที่ดินออนไลน์อาจมีการคลาดเคลื่อนจากราคาตลาดขายทั่วไป ก่อนจะทำการซื้อขายควรหาข้อมูลแวดล้อมให้ครบถ้วนและตรวจสอบราคาที่ดินผ่านผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประโยชน์สูงสุดในการซื้อขาย



23
เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาเราค้นหาอะไรใน Google แล้วเว็บไซต์บางอันถึงขึ้นมาอยู่หน้าแรกเสมอ? นั่นแหละคือพลังของการทำ SEO (Search Engine Optimization) ซึ่งเป็นการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาใน Google ผ่านการพิมพ์ Keyword ซึ่งแปลว่าคำหลักที่เป็นเสมือนกุญแจสำคัญในการทำ SEO ผ่านการใช้ Keyword ในการค้นหาข้อมูล เพื่อสื่อสารกับ Google ว่าเว็บไซต์ของเรานั้นเกี่ยวกับอะไรบ้าง และเมื่อมีคนค้นหาคำเหล่านี้ เว็บไซต์ของคุณก็มีโอกาสที่จะขึ้นไปอยู่บนหน้าแรกของผลการค้นหาได้นั่นเอง



Keyword คืออะไร?
Keyword คือคำหรือวลีที่คนอื่นใช้ในการค้นหาข้อมูลบนเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing หรือ Yahoo คำเหล่านี้เป็นคำที่เชื่อมโยงกับเนื้อหาหรือสินค้าบริการที่ผู้ใช้ต้องการค้นหา คีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของเราเป็นที่รู้จักและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น โดยการเลือกใช้ Keyword ที่เหมาะสมในการทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาของผู้ที่สนใจในสิ่งที่คุณนำเสนอ



ประเภทของ Keyword ในการทำ SEO มีอะไรบ้าง ?

Keyword มีกี่ประเภท? ประเภทของ Keyword มีความแตกต่างกันไปในแง่ของความกว้าง ความเฉพาะเจาะจง และปริมาณการค้นหา โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

Mass keyword หรือ Head Terms
Mass Keyword คือคำสั้น ๆ ที่มีความหมายกว้างและครอบคลุม คำเหล่านี้มักจะเป็นคำค้นหาที่มีปริมาณการค้นหาสูง (high search volume) แต่ก็มีการแข่งขันสูง (high competition) เช่นกัน เนื่องจากมีหลายธุรกิจพยายามใช้คำเหล่านี้ในการทำ SEO ตัวอย่างคำว่า “กล้อง” ซึ่งสามารถหมายถึงกล้องหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นกล้องถ่ายรูป กล้องวิดีโอ หรือกล้องวงจรปิด

Niche keyword หรือ Body Keywords
Niche Keyword คือคำที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นกว่าคำแบบ Mass Keywords แต่ยังคงกว้างพอที่จะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง คำเหล่านี้มักจะมีปริมาณการค้นหาปานกลางและมีการแข่งขันระดับปานกลางเช่นกัน ตัวอย่างคำว่า “กล้องถ่ายรูปกันน้ำ” ซึ่งเป็นคำที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายที่มองหากล้องที่มีคุณสมบัติกันน้ำได้

Long-tail keyword
Long-tail Keyword คือคำหรือวลีที่มีความยาวและเจาะจงมากที่สุด คำเหล่านี้มักจะมีปริมาณการค้นหาต่ำ (low search volume) แต่ก็มีการแข่งขันต่ำด้วย (low competition) และมักจะมี Conversion Rate สูง เพราะผู้ที่ค้นหาด้วยคำเหล่านี้มักจะมีความต้องการที่ชัดเจนและพร้อมที่จะทำการตัดสินใจซื้อ ตัวอย่างคำว่า “ร้านขายกล้องถ่ายรูปกันน้ำในกรุงเทพราคาถูก” ซึ่งจะดึงดูดผู้ที่ต้องการซื้อกล้องประเภทนี้โดยเฉพาะ

หมายเหตุ: การเลือกใช้คีย์เวิร์ดให้เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมายและลักษณะของธุรกิจของคุณ หากคุณต้องการดึงดูดลูกค้าจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น คุณอาจจะเลือกใช้ Mass Keyword หรือ Niche Keyword แต่หากคุณต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจงและมีโอกาสในการแปลงเป็นลูกค้าสูง คุณอาจจะเลือกใช้ Long-tail Keyword



Keyword มีความสำคัญต่อการทำ SEO อย่างไร

ทำไมการทำ SEO และ Keyword ถึงสำคัญขนาดนั้น?

- เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์: ยิ่งเว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงในผลการค้นหาเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นเท่านั้น
- สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์: เว็บไซต์ที่ติดอันดับต้น ๆ มักจะถูกมองว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ ผู้คนจึงมักจะเลือกเข้ามาใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากเว็บไซต์เหล่านี้
- เพิ่มยอดขายและผลกำไร: เมื่อมีผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น โอกาสในการขายสินค้าหรือบริการของคุณก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด: คุณสามารถเลือกใช้คำหลักที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ ทำให้คุณสามารถสื่อสารกับลูกค้าที่ต้องการสินค้าหรือบริการของคุณได้อย่างตรงจุด



แนะนำเครื่องมือสำหรับการค้นหา Keyword สำหรับการทำ SEO

ในการทำ SEO หนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญมากที่สุดคือการค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมหรือ Keyword Research  ปัจจุบันมีเครื่องมือ (Keyword Research tools) มากมายที่สามารถช่วยในการทำ Keyword Research ได้ โดยมีเว็บค้นหา Keyword ทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน แม้เครื่องมือที่มีค่าใช้จ่ายมักจะมีฟีเจอร์ที่ครอบคลุมมากกว่า แต่ก็ยังมีเครื่องมือฟรีหลายตัวที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถช่วยในการค้นหาคีย์เวิร์ดได้อย่างดีสำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำ SEO หรือมีงบประมาณจำกัด

Google Keyword Planner
Google Keyword Planner เป็นเครื่องมือหา Keyword ฟรีจาก Google ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยนักการตลาดในการวางแผนและปรับแต่งแคมเปญโฆษณา Google Ads อย่างไรก็ตาม มันยังเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการค้นหาคีย์เวิร์ดในการทำ SEO โดยที่คุณสามารถค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ โดยดูข้อมูลเชิงลึก เช่น ปริมาณการค้นหา (Search Volume) ระดับการแข่งขัน (Competition Level) และการเสนอราคาสำหรับการโฆษณา (Bid Estimates)

Ahrefs
Ahrefs เป็นหนึ่งในเครื่องมือ SEO ที่ทรงพลังที่สุดที่มีอยู่ มันเป็นเครื่องมือที่ครอบคลุมในการทำ SEO ทั้งในส่วนของการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด วิเคราะห์คู่แข่ง และตรวจสอบ Backlink แถมยังมีฟีเจอร์ Keyword Explorer ที่ช่วยให้คุณค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีศักยภาพสูง โดยมีข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียด เช่น ปริมาณการค้นหา ความยากในการติดอันดับ (Keyword Difficulty) และคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง โดยข้อมูลที่ได้นั้นมีความละเอียดแม่นยำสูง อย่างไรก็ตาม Ahrefs เป็นเครื่องมือที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่อาจมีช่วงทดลองให้ใช้งานฟรี

SEMRush
SEMrush เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือ SEO ที่มีความสามารถรอบด้าน เหมาะสำหรับการทำ Keyword Research, วิเคราะห์คู่แข่ง และวางแผนกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ โดยมีฟีเจอร์ Keyword Magic Tool ที่ช่วยในการค้นหาคีย์เวิร์ด พร้อมกับแสดงข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ เช่น ปริมาณการค้นหา ความยาก และแนวโน้มการค้นหาในช่วงเวลา (Search Trends) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำ SEO อย่างจริงจัง แม้ว่าจะเป็นเครื่องมือที่เสียค่าใช้จ่าย แต่ SEMrush เปิดให้ทดลองใช้งานฟรีเป็นเวลา 7 วัน



สรุป

SEO กับ Keyword เปรียบเสมือนแผนที่ที่นำทางเว็บไซต์ของคุณไปสู่ความสำเร็จ หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเติบโตและประสบความสำเร็จในโลกออนไลน์ สมมติว่าคุณมีร้านขายเสื้อผ้า คุณสามารถทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ โดยผ่านวิธีหา Keyword อย่างละเอียดมาแล้ว เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำว่า "เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง" หรือ "ร้านขายเสื้อผ้าราคาถูก" เมื่อผู้คนค้นหาคำเหล่านี้ เว็บไซต์ของคุณก็จะปรากฏขึ้นในผลการค้นหา และมีโอกาสที่ผู้คนจะคลิกเข้ามาดูสินค้าของคุณมากขึ้น

สรุปแล้ว SEO เป็นเครื่องมือที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ การทำ SEO และการเลือกใช้ Keyword ที่เหมาะสม จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตและประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น



24
iPhone 15 pro max

ขอบคุณรูปภาพจาก’studio7’

iPhone 15 Pro Max  สมาร์ตโฟนรุ่นเรือธงล่าสุดของ Apple โดยรวมทริกการซื้อ iPhone 15 Pro Max ที่นำไปใช้ได้จริง ชี้ช่องทางซื้อของถูกและถูกกฎหมาย

สำหรับคนที่ชื่นชอบการใช้ iPhone และชื่นชอบตัวเครื่องที่มี Performance รวมไปถึง Hardware ที่ดีที่สุด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า iPhone 15 Pro Max คือตัวเลือกที่ดี และมีราคาแรงที่สุด โดยในปัจจุบัน iPhone 15 Pro Max ได้ออกมาให้ใช้มาระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้ตัวเครื่อง ต่างมีโปรโมชัน และแนวทางการลดราคาในแบบที่เราสามารถเป็นเจ้าของได้ถูกลงจากราคา Official มากมาย ซึ่งราคา iPhone 15 ล่าสุดในตลาดสมาร์ตโฟน ถือว่าเป็นเวลาที่ดีมาก

iPhone 15 Pro Max เช็กสเปคแบบละเอียดก่อนซื้อ

สเปค iPhone 15 Pro Max จะเป็นรุ่นเรือธง มีรายละเอียดสเปคที่ ดึงศักยภาพของ iPhone มากที่สุดแล้วในปัจจุบัน โดยมีความแตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ ดังนี้

  • ขนาดของตัวเครื่องใหญ่กว่า iPhone 15 Pro ด้วยขนาด 6.7 นิ้ว
  • ชิปเซตตัวล่าสุดอย่าง A17 Pro
  • iPhone 15 Pro Max ใช้จอแสดงผลเป็น Super Retina XDR display
  • ระบบความปลอดภัยเครื่องคงทน, กันน้ำระดับ IP68, วัสดุผสมไทเทเนียม
  • กล้องคมชัด 48 ล้าน, เลนส์อัลตราไวด์ 12 ล้าน, เทเลโฟโต 12 ล้าน และกล้องหน้า 12 ล้าน
  • Dimensions W x D x H   7.67 x 0.82 x 15.99 cm.
  • หัวชาร์จ USB Type C
  • บรรจุซิมการ์ดได้แบบ Dual SIM (nano-SIM and eSIM)
  • Wireless ชาร์จ MagSafe and Qi wireless charging
  • iPhone 15 รองรับ 5G

แนะนำทริกซื้อ iPhone 15 Pro Max ราคาพิเศษกว่าใคร ทำได้จริง!

ซื้อ iPhone 15 pro max

ขอบคุณรูปภาพจาก’7studio’

แนวทางในการได้ iPhone 15 Pro Max ค่อนข้างง่ายดายต่อการเลือกใช้วิธีเหล่านี้ แน่นอนว่าหลากหลายวิธีที่นำเสนอ จะขึ้นอยู่กับความสะดวกของเรา เพราะบางข้อเสนอหรือทริกบางทริก จะมีเงื่อนไขผูกมัดกับเราบ้าง เรามาดูกันว่า iPhone 15 Pro Max มือถือเจ้าตลาดจาก Apple มีข้อเสนอ หรือเคล็ดลับอย่างไรในการได้มาใช้งานด้วยราคาที่ต่ำกว่าตลาดบ้าง

ใช้แต้มบัตรเครดิตที่เข้าร่วมรายการ

แต้มสำหรับบัตรเครดิต ผู้ใช้จะรู้ดีว่า สามารถนำไปใช้ในการ แลกสินค้า, รับบัตรกำนัล, บริการต่าง ๆ รวมไปถึงนำไปใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้า ซึ่ง iPhone 15 Pro Max ก็ถือเป็นสินค้าที่มีราคาสูง หลายคนที่มีบัตรเครดิต ก็มักจะหาส่วนลดที่ร้านค้า และบัตรเข้าร่วมโปรโมชันในการซื้อเช่นกัน แน่นอนว่า iPhone 15 Pro Max เป็นสินค้าที่มีบัตรเครดิตร่วมโครงการหลายแบรนด์ เพราะ iPhone 15 ปี 2024 เปิดตัวมาได้สักพักแล้ว

เลือกซื้อ iPhone 15 Pro Max แบบติดสัญญา

เราจะเห็นใน Shop ของผู้ให้บริการ สัญญาณโทรศัพท์จะมีราคา iPhone 15 Pro Max ที่ถูกลง เพราะเป็นส่วนลดเพื่อให้เราใช้บริการบนสัญญาณโทรศัพท์กับทางผู้ให้สัญญาณในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งจุดเด่นของการเลือกซื้อ iPhone 15 Pro Max รูปแบบนี้ เราจะได้ทั้งราคาโทรศัพท์ iPhone 15 ที่ถูกลงมาก และมีบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตพร้อมใช้งานได้เลยพร้อมราคาผ่อนรายเดือน แต่สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการข้อผูกมัด อาจจะยุ่งยากเกินไป

ใช้โค้ดส่วนลด หรือโปรโมชั่นจากหน้าร้านออนไลน์

อย่างที่เกริ่นไปว่า แต่ละร้านค้า ก็จะมีโปรโมชั่นสำหรับสมาร์ตโฟน ซึ่งเราสามารถเข้าไปตรวจสอบบนร้านค้าที่จัดจำหน่าย หรือสะดวกยิ่งกว่า ด้วยร้านค้าออนไลน์ แน่นอนว่าเราอาจจะต้องเสียเวลาค้นหาข้อเสนอหรือโปรโมชันที่คุ้มค่า ดังนั้น เราจึงแนะนำ Studio 7 ร้านค้าออนไลน์ที่มีโปรโมชันสำหรับ iPhone 15 Pro Max โดยเฉพาะ เพื่อเอาใจลูกค้าที่อยากได้ราคาดี เครื่องแรง มีประกันครบเหมือนมาจากศูนย์หลัก พร้อมสิทธิประโยชน์มากมายในร้าน

เทรดเครื่องเก่าแลกเครื่องใหม่

นอกจาก โปรโมชั่น iPhone 15 Pro Max แล้ว หลายคนมักจะนำมือถือ iPhone เครื่องเก่ามาเปลี่ยนเพื่อได้ราคา iPhone 15 Pro Max ที่ถูกมากขึ้นผ่าน Apple Trade In เช่นการนำไอโฟน 13 มาและ 15 โดยหากเราแลกเครื่องเก่าแล้วดูว่าจะเลือก iPhone 15 รุ่นไหนดี จะต้องรู้ความแตกต่างเบื้องต้นก่อน

ซึ่งความแตกต่างของตัวเครื่อง iPhone 15 Pro Max กับ iPhone 15 Pro เปรียบเทียบที่ราคาก็ไม่ได้ต่างกันจนเกินไป แต่ มีขนาดใหญ่กว่าถึง 6.7 นิ้ว ในขณะที่ iPhone 15 Pro มีขนาด 6.1 นิ้ว และตัว iPhone 15 Pro Max สามารถซูมได้ไกลกว่ารุ่นอื่น การเลือกตัวเรือธงที่สุด จึงถือว่าตอบโจทย์มาก

สรุป

iPhone 15 pro ปี 2024

ขอบคุณรูปภาพจาก ‘studio7’

iPhone 15 Pro Max เป็นมือถือที่เปิดตัวช่วงท้ายปี 2023 จนกลางปี 2024 การจะซื้อ iPhone 15 Pro Max ยังถือว่ายากอยู่ เพราะราคายังไม่ตกรุ่น และประสิทธิภาพเครื่องที่มีมากล้น ทำให้ยังขายดีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการจะซื้อ iPhone 15 Pro Max จึงจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคในการได้ตัวเครื่องในราคาที่ถูกลง ซึ่งเราได้ชี้แจงรายละเอียด และข้อจำกัดแล้ว แต่ง่ายที่สุดคือการหาร้านค้าที่มีโปรโมชันส่วนลดสำหรับ iPhone  และไม่เงื่อนไขจะดีที่สุด

25
iPhone

“ขอบคุณรูปภาพจาก Apple.com”

iPhone สมาร์ทโฟนที่นิยมขณะปัจจุบัน เนื่องจากมีฟีเจอร์ที่หลากหลายตอบโจทย์ของผู้ใช้งานได้ดี และมีการอัปเดตระบบ iOS สม่ำเสมอ ทำให้เป็นมือถือที่อยู่ในใจใครหลายคน

ในอดีต iPhone ได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลก ด้วยดีไซน์ที่สวยงาม ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม และระบบปฏิบัติการที่ใช้งานง่าย และสมาร์ทโฟนของ Apple อย่าง iPhone นั้นยังคงเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าใช้มากในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่หลากหลายอย่างคุ้มค่าคุ้มราคาที่จ่ายไป

จุดเด่นและความน่าสนใจของ iPhone

iPhone 13

“ขอบคุณรูปภาพจาก Studio7thailand.com”

จุดเด่นและความน่าสนใจของ iPhone ที่ทำให้หลายคนหลงใหล

1. ระบบปฏิบัติการ iOS ที่ใช้งานง่ายและปลอดภัย

iOS ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ใช้งานได้ลื่นไหล และมีอินเทอร์เฟซที่สวยงาม ผู้ใช้ใหม่สามารถเรียนรู้การใช้งานได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้ง Apple ยังอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ แก้ไขบั๊ก และปรับปรุงประสิทธิภาพ แถมยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ทำให้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ปลอดภัย

2. ประสิทธิภาพสูง

iPhone มาพร้อมกับชิป A-series ที่พัฒนาโดย Apple เอง ชิปเหล่านี้มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ไอโฟน ทำงานได้อย่างรวดเร็วและลื่นไหล สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม เล่นวิดีโอ หรือใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ทำให้ iPhone ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นและตอบสนองได้รวดเร็ว

3. กล้องคุณภาพสูง

กล้อง iPhone มีคุณภาพสูง สามารถถ่ายภาพได้สวยงามทั้งในสภาพแสงน้อยและแสงจ้า มาพร้อมกับฟีเจอร์การถ่ายภาพที่หลากหลาย เช่น โหมดถ่ายภาพบุคคล โหมดกลางคืน และโหมดถ่ายวิดีโอ 4K และการประมวลผลภาพที่ยอดเยี่ยมจากชิป A-series ที่ช่วยให้ไอโฟน สามารถประมวลผลภาพได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัดและสีสันสวยงาม

4. ดีไซน์ที่สวยงามและวัสดุคุณภาพสูง

iPhone มีดีไซน์ที่ทันสมัยและหรูหรา ตัวเครื่องทำจากวัสดุคุณภาพสูง ทำให้แข็งแรงทนทานและมีขนาดกับน้ำหนักที่พอดีจับถือได้ถนัดมือ

5. ระบบนิเวศการทำงานของ Apple

iPhone ทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ของ Apple ได้อย่างราบรื่น เช่น MacBook, iPad, Apple Watch และแอปพลิเคชันที่หลากหลายอย่าง App Store แถมยังมีบริการต่างๆ ที่น่าสนใจ เช่น Apple Music, Apple TV+, iCloud และอื่นๆ

6. การอัปเดตซอฟต์แวร์

iPhone มักจะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่สามารถใช้ได้ในระยะยาว ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งาน iPhone ได้นานหลายปี

แนะนำ iPhone รุ่นที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน

iPhone 13

สเปคโดยรวมของ iPhone 13

  • ชิป: A15 Bionic
  • จอแสดงผล: Super Retina XDR (สว่างขึ้น), OLED, 6.1 นิ้ว
  • กล้องหลัง: กล้องคู่ 12MP (Wide, Ultra Wide) เซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้น, โหมด Cinematic
  • กล้องหน้า: 12MP
  • ระบบปฏิบัติการ: iOS 17
  • แบตเตอรี่: 3227 mAh

จุดเด่นของ iPhone 13

  • กล้องคู่ที่เหนือกว่า: iPhone 13 มาพร้อมกับระบบกล้องคู่ที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยเซ็นเซอร์รับแสงมีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ภาพถ่ายมีความคมชัดและมีรายละเอียดมากขึ้นในสภาวะแสงน้อย นอกจากนี้ยังมีโหมด Cinematic ที่ช่วยให้คุณสร้างวิดีโอที่ดูเป็นมืออาชีพได้ง่ายๆ
  • ชิป A15 Bionic: iPhone 13 ใช้ชิป A15 Bionic ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟน ทำให้การทำงานต่างๆ ของเครื่องมีความเร็วและลื่นไหลมากขึ้น
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้น: แบตเตอรี่ของ iPhone 13 มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้คุณใช้งานได้ตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมด
  • จอภาพ Super Retina XDR: จอแสดงผลของ iPhone 13 สว่างและคมชัดมากขึ้น ทำให้การรับชมวิดีโอและเล่นเกมเป็นเรื่องที่เพลิดเพลิน
  • ดีไซน์ที่สวยงาม: iPhone 13 ยังคงมาพร้อมกับดีไซน์ที่สวยงามและทันสมัย ตัวเครื่องทำจากวัสดุคุณภาพสูง

iPhone 15

สเปคโดยรวมของ iPhone 15

  • ชิป: A16 Bionic
  • จอแสดงผล: Super Retina XDR, OLED ขนาด 6.1 นิ้ว
  • กล้องหลัง: กล้องคู่ 12MP และ 48MP
  • กล้องหน้า: 12MP
  • ระบบปฏิบัติการ: iOS 17
  • แบตเตอรี่: 3349 mAh

จุดเด่นของ iPhone 15

  • พอร์ต USB-C: หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของ iPhone 15 คือการเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C แทนพอร์ต Lightning ทำให้การถ่ายโอนข้อมูลและชาร์จแบตเตอรี่ทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
  • ชิป A16 Bionic: ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple ทำให้ iPhone 15 ทำงานได้อย่างรวดเร็วและลื่นไหลยิ่งขึ้น รองรับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างไม่มีสะดุด
  • กล้องที่ได้รับการปรับปรุง: กล้องของ iPhone 15 มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการถ่ายภาพในที่แสงน้อย และมีโหมดการถ่ายภาพใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา
  • หน้าจอ Dynamic Island: iPhone 15 มาพร้อมกับหน้าจอ Dynamic Island ที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้การแสดงผลการแจ้งเตือนและการควบคุมต่างๆ ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น: แบตเตอรี่ของ iPhone 15 มีความจุที่มากขึ้น ทำให้ใช้งานได้นานขึ้นตลอดทั้งวัน

iPhone 15 Pro Max

สเปคโดยรวมของ iPhone 15 Pro Max

  • ชิป: A17 Bionic
  • จอแสดงผล: Super Retina XDR, OLED, ขนาด 6.7 นิ้ว
  • กล้องหลัง: 12MP 24MP และ 48MP 3 เลนส์ (หลัก, Ultra Wide, Telephoto)
  • กล้องหน้า: 12MP
  • ระบบปฏิบัติการ: iOS 17
  • แบตเตอรี่: 4,433 mAh

จุดเด่นของ iPhone 15 Pro Max

  • ดีไซน์พรีเมียม: ตัวเครื่องทำจากไทเทเนียมที่แข็งแรงทนทานและน้ำหนักเบา พร้อมขอบที่โค้งมนจับกระชับมือ
  • จอ ProMotion XDR display: หน้าจอขนาดใหญ่ให้สีสันสดใสคมชัด รีเฟรชเรทสูง ทำให้การใช้งานลื่นไหล
  • ชิป A17 Bionic: ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple ทำให้ iPhone 15 Pro Max ทำงานได้รวดเร็วและทรงพลัง
  • กล้อง 3 เลนส์: กล้องหลักความละเอียดสูง พร้อมเลนส์ Ultra Wide และ Telephoto ที่ซูมได้ไกลขึ้น ให้ภาพถ่ายและวิดีโอคุณภาพระดับมืออาชีพ
  • แบตเตอรี่อึด: ใช้งานได้นานตลอดทั้งวัน แม้ใช้งานหนัก
  • USB-C: รองรับการชาร์จเร็วและการถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วขึ้น
  • ปุ่ม Action: ปุ่มใหม่ที่สามารถตั้งค่าให้ทำหน้าที่ต่างๆ ได้ตามต้องการ

สรุปเลือก iPhone ดีกว่าอย่างไร?

iPhone เป็นสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยจุดเด่นในด้านต่างๆ ทั้งระบบปฏิบัติการที่ใช้งานง่าย ประสิทธิภาพสูง กล้องคุณภาพดี ดีไซน์ที่สวยงาม และระบบนิเวศของ Apple ที่แข็งแกร่ง ทำให้ iPhone เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่ใช้งานได้ดีและครบครัน สามารถหาซื้อได้ที่ศูนย Apple ทุกสาขา หรือ Studio7 ใกล้ๆ คุณ พร้อมรับประกับคุณภาพสินค้าและบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม

26
iPhone 15 รู้จักก่อนตัดสินใจซื้อ!

iPhone 15

หากจะบอกว่าผู้นำเทรนด์มือถือแห่งยุคคงคือใคร ก็คงหนีไม่พ้นมือถือiphone โดยเฉพาะรุ่น iPhone 15 มือถือรุ่นล่าสุดจากค่ายผลไม้อย่างแอปเปิ้ล ที่ไม่ได้เป็นแค่เพียงมือถือสำหรับโทรเข้าโทรออกเท่านั้น แต่เป็นมือถือที่ทำได้ทั้งถ่ายภาพ ตัดต่อวิดีโอคุณภาพสูง หรือแม้กระทั่งการทำเดโม่เพลงผ่านสมาร์ทโฟนขนาดพกพา

โทรศัพท์ iPhone 15 จึงไม่ได้เป็นแค่โทรศัพท์เท่านั้นแต่เป็นเครื่องมือทำมาหากินสำหรับสายดิจิตัลทั้งหลายด้วย จึงไม่แปลกที่ราคาจะค่อนข้างสูงเพราะอัดแน่นไปด้วยความสามารถต่าง ๆ ที่นับได้ว่าจ่ายไปแล้วคุ้มค่า ใครที่กำลังชั่งใจระหว่างไอโฟน 13 หรือไอโฟน 15 บอกเลยว่าถามีกำลังซื้อเพิ่มเงินอีกนิดเลือกไอโฟน 15 รับรองไม่ผิดหวัง


iPhone 15 Series มีกี่รุ่น กี่ความจุ?
สำหรับ iPhone 15 Series ปัจจุบันมีทั้งหมด 4 รุ่นและมีความจุต่อไปนี้
iPhone 15 ความจุมีตั้งแต่ 128GB 256GB ไปจนถึง 512GB
iPhone 15 Plus ความจุมีตั้งแต่ 128GB 256GB ไปจนถึง 512GB
iPhone 15 Pro  ความจุมีตั้งแต่ 128GB 256GB 512GB ไปจนถึง 1TB
iPhone 15 Pro Max ความจุมีตั้งแต่ 128GB 256GB 512GB ไปจนถึง 1TB

จุดเด่นของ iPhone 15 แต่ละรุ่นมีอะไรบ้าง?

โทรศัพท์ iPhone 15

iPhone 15
สำหรับสเปค iPhone 15 มีจุดเด่นที่น่าสนใจดังนี้
  • Dynamic Island หมดปัญหากวนใจกับหน้าจอที่ไม่เต็มไม่มีขอบสีดำของกล้องหน้าและลำโพงให้หงุดหงิด
  • กล้องหลัก 48 MP อัลตร้าไวด์
  • โหมดโฟกัสภาพถ่ายบุคคล ซูม .5x 1x 2x
  • เล่นวิดีโอนานสูงสุด 20 ชม.
  • ชิป A16 Bionic GPU 5-Core
  • หน้าจอขนาด 6.1”
  • ความละเอียดภาพ 2556 x 1179 พิกเซล 460 ppi
  • วัสดุอะลูมืเนียมพร้อมกระจกแต่งสี

iPhone 15 Plus
สำหรับสเปค iPhone 15 Plus มีจุดเด่นที่น่าสนใจดังนี้
  • Dynamic Island หมดปัญหากวนใจกับหน้าจอที่ไม่เต็มไม่มีขอบสีดำของกล้องหน้าและลำโพงให้หงุดหงิด
  • กล้องหลัก 48 MP อัลตร้าไวด์
  • โหมดโฟกัสภาพถ่ายบุคคล ซูม .5x 1x 2x
  • เล่นวิดีโอนานสูงสุด 26 ชม.
  • ชิป A16 Bionic GPU 5-Core
  • หน้าจอขนาด 6.7”
  • ความละเอียดภาพ 2796 x 1290 พิกเซล 460 ppi
  • วัสดุอะลูมืเนียมพร้อมกระจกแต่งสี

iPhone 15 Pro
สำหรับสเปค iPhone 15 Pro มีจุดเด่นที่น่าสนใจดังนี้
  • Dynamic Island หมดปัญหากวนใจกับหน้าจอที่ไม่เต็มไม่มีขอบสีดำของกล้องหน้าและลำโพงให้หงุดหงิด
  • กล้องหลัก 48 MP อัลตร้าไวด์และเทเลโฟโต้
  • โหมดโฟกัสภาพถ่ายบุคคล ซูม .5x 1x 2x 3x
  • เล่นวิดีโอนานสูงสุด 23 ชม.
  • เทคโนโลยี ProMotion Display
  • ชิป A17 Pro GPU 6-Core
  • หน้าจอขนาด 6.1”
  • ความละเอียดภาพ 2556 x 1179 พิกเซล 460 ppi
  • วัสดุไทเทเนียมพร้อมกระจกผิวด้าน

iPhone 15 Pro Max
สำหรับสเปค iPhone 15 Pro Max  มีจุดเด่นที่น่าสนใจดังนี้
  • Dynamic Island หมดปัญหากวนใจกับหน้าจอที่ไม่เต็มไม่มีขอบสีดำของกล้องหน้าและลำโพงให้หงุดหงิด
  • กล้องหลัก 48 MP อัลตร้าไวด์และเทเลโฟโต้
  • โหมดโฟกัสภาพถ่ายบุคคล ซูม .5x 1x 2x 5x
  • เทคโนโลยี ProMotion Display
  • เล่นวิดีโอนานสูงสุด 29 ชม.
  • ชิป A17 Pro GPU 6-Core
  • หน้าจอขนาด 6.7”
  • ความละเอียดภาพ 2796 x 1290 พิกเซล 460 ppi
  • วัสดุไทเทเนียมพร้อมกระจกผิวด้าน


เช็กราคา iPhone 15 อัปเดตล่าสุด 2024
สำหรับราคา iPhone ปี 2024 รวมราคา iPhone 15 ล่าสุด แบ่งตามสเปคและเป็นiPhone 15 เครื่องเปล่า
  • iPhone 15
128 GB : 32,900 บาท
256 GB : 36,900 บาท
512 GB : 45,900 บาท

  • iPhone 15 Plus
128 GB : 37,900 บาท
256 GB : 41,900 บาท
512 GB : 50,900 บาท

  • iPhone 15 Pro
128 GB : 41,900 บาท
256 GB : 45,900 บาท
512 GB : 54,900 บาท
1 TB : 63,900 บาท
iPhone 15 Pro Max
128 GB : 48,900 บาท
512 GB : 57,900 บาท
1 TB : 66,900 บาท


สรุป iPhone 15

iPhone 15 pro

การซื้อมือถือใหม่ก็เหมือนกับการลงทุน โดยฉพาะการซื้อiPhone 15 เพราะเป็นมือถือที่ทำได้หลายอย่างครบจบในเครื่องเดียวยิ่งถ้าลงทุนรุ่นที่สเปคสูง ๆ อย่างการซื้อ iPhone 15 Pro Max ก็ยิ่งเพิ่มความสะดวกสบาย เพราะเครื่องนึงใช้ได้หลายปี ไม่ตกรุ่น หากไม่ใช่สายอาชีพพิเศษที่จำเป็นต้องจบงานในคอมพิวเตอร์ การมี iPhone 15 ดี ๆ ซักเครื่องก็ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการแล้ว

27
ส่องสเปคไอโฟน 13 แต่ละรุ่นเด่นอะไรบ้าง
ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นยุคของสมาร์ตโฟน ทุกคนต่างก็หันมาใช้สมาร์ตโฟน เพราะฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้มากมาย และยุค 4.0 ที่การทำธุรกรรมเริ่มมาทำบนช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้สมาร์ตโฟนเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งมีสมาร์ตโฟนจากผู้ผลิตหลายราย โดยไอโฟน 13 เป็นหนึ่งในสมาร์ตโฟนยอดนิยมจากผู้ผลิต Apple แบรนด์ชื่อดัง ที่ไม่ว่าใครต่างก็รู้จัก

สำหรับแบรนด์ Apple ที่มีผลิตภัณฑ์เด่น ๆ หลายตัว ไม่ว่าจะเป็น MacBook, iPad, IPod และที่สำคัญคือ สมาร์ตโฟนอย่าง iphone ซึ่งมีรุ่นใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากตัวเลข เช่น ไอโฟน 11, ไอโฟน 12, ไอโฟน 14 โดยเราจะมาเน้นไปไอโฟน 13 ซึ่งก็มีรุ่นที่แยกย่อยออกมาอีก โดยในบทความนี้เราจะมาดูกันว่า สเปคไอโฟน 13 แต่ละรุ่นมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง เพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจก่อนจะเลือกซื้อ

ไอโฟน 13
ขอบคุณรูปภาพจาก www.apple.com


เปิดจุดเด่นของ iPhone 13 แต่ละรุ่น
ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นไอโฟน 13 นั้นก็มีแยกออกมาเป็นรุ่นย่อย ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า โดยจะมีอยู่ด้วยกัน 4 รุ่น คือ iPhone 13, iPhone 13 Mini, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะมีจุดเด่น และราคาที่แตกต่างกันไป มีรายละเอียดทั้งหมด ดังนี้

จุดเด่นไอโฟน 13
ขอบคุณรูปภาพจาก www.apple.com

iPhone 13
ประสิทธิภาพ : ใช้เทคโนโลยีชิป A15 Bionic ในการประมวลผล ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง

คุณภาพกล้อง :

  • สามารถถ่ายภาพได้อย่างคมชัด มีความละเอียดถึง 12 ล้านพิกเซล
  • มีเทคโนโลยี Focus Pixel ที่ช่วยให้การโฟกัสตอนถ่ายรูป ทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
  • มีฟีเจอร์ Night Mode ที่ช่วยให้สามารถถ่ายรูปได้ชัดแม้จะมีแสงน้อย
  • Ultra Wide ที่มีมุมมองกว้าง 120 องศา
  • หน้าจอ : Super Retina XDR Display

iPhone 13 Mini
ประสิทธิภาพ : ใช้เทคโนโลยีชิป A15 Bionic ในการประมวลผล ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง เช่นเดียวกับ ไอโฟน 13

คุณภาพกล้อง : สเปคกล้องถ่ายรูปเหมือนกับ ไอโฟน 13

  • สามารถถ่ายภาพได้อย่างคมชัด มีความละเอียดถึง 12 ล้านพิกเซล
  • มีเทคโนโลยี Focus Pixel ที่ช่วยให้การโฟกัสตอนถ่ายรูป ทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
  • มีฟีเจอร์ Night Mode ที่ช่วยให้สามารถถ่ายรูปได้ชัดแม้จะมีแสงน้อย
  • Ultra Wide ที่มีมุมมองกว้าง 120 องศา
  • หน้าจอ : Super Retina XDR Display

สเปคไอโฟน 13 มินิ เรียกได้ว่าเหมือนกับไอโฟน 13 ความแตกต่าง คือ ขนาดที่เล็กลง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการพกพา

iPhone 13 Pro
ประสิทธิภาพ : ใช้เทคโนโลยีชิป A15 Bionic ในการประมวลผล เช่นเดียวกับไอโฟน 13 แต่มีการปรับปรุง อัปเกรดให้มี GPU และ Neural Engine ที่ทำให้ประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

คุณภาพกล้อง : เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างชัดเจน เราจะแจกแจงออกมาว่า ไอโฟน 13 Pro มีฟังก์ชันอะไรที่แตกต่างไปจาก ไอโฟน 13

  • สิ่งที่แตกต่างจาก ไอโฟน 13 รุ่นปกติ ก็คือ มีเลนส์แบบใหม่ที่มีความละเอียดสูงขึ้น
  • ไอโฟน 13 Pro มีเทคโนโลยี LiDAR Scanner เพื่อช่วยให้สามารถโฟกัสการถ่ายภาพในพื้นที่แสดงน้อยได้ดียิ่งขึ้น
  • มีฟังก์ชันกล้อง Telephoto ที่ช่วยสนับสนุนด้านการถ่ายแนว Portrait
  • เทคโนโลยี ProRAW และ Dolby Vision HDR ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับแต่งแก้ไขภาพ
  • หน้าจอ : Super Retina XDR Display ที่มี Promotion เพิ่มความลื่นไหลของขณะเลื่อนหน้าจอ และมีอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 120 Hz

นอกจากนี้ ไอโฟน 13 Pro มีความจุแบตเตอรี่ที่มากกว่าไอโฟน 13

iPhone 13 Pro Max
ประสิทธิภาพ : ใช้เทคโนโลยีชิป A15 Bionic ในการประมวลผล แต่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในบรรดา ไอโฟน 13 ทุกตัว

คุณภาพกล้อง : คุณภาพของกล้อง ไอโฟน 13 Pro มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับ ไอโฟน 13 Pro Max แต่ความแตกต่างของมัน คือ ขนาดที่ใหญ่กว่า ซึ่งช่วยให้มีหน้าจอที่แสดงผลของรูปภาพที่ดียิ่งกว่า

หน้าจอ : Super Retina XDR Display ที่มี Promotion เพิ่มความลื่นไหลของขณะเลื่อนหน้าจอ และมีอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 120 Hz

นอกจากนี้สิ่งที่ไอโฟน 13 Pro Max มีมากกว่า ไอโฟน 13 Pro มีอีกก็คือ ความจุแบตเตอรี่ที่มากกว่า มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า และแสดงผลภาพได้ละเอียดมากกว่า


ตัดสินใจเลือกซื้อ iPhone 13 ตอนนี้ยังดีอยู่ไหม ?
แม้ว่า Apple จะมีการออก iPhone รุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ไอโฟน 13 ก็ยังเป็นรุ่นที่สามารถใช้งานได้ดี เพราะระบบการทำงาน iOS ก็ยังคงอัปเดตอยู่สำหรับไอโฟน 13 ทำให้ไม่ตกหล่นการอัปเดตจาก Apple อย่างแน่นอน นอกจากนี้ราคาไอโฟน 13 ราคาจะถูกกว่ารุ่นใหม่ที่พึ่งวางจำหน่ายไป เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากมี iPhone แต่ยังมีงบจำกัด


สรุป
ไอโฟน 13 คุ้มค่า น่าซื้อ
ขอบคุณรูปภาพจาก Studio7

ในอนาคตแน่นอนว่า Apple จะยังคงออกผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างในปีนี้ตัวท็อปก็จะเป็น iPhone 15 และ iPhone 15 Pro Max ใครงบพร้อมก็อย่ารอช้าไปถอยกันได้เลย อย่างไรก็ตามด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงเนื่องจากเป็นสินค้าใหม่ แม้จะไม่ดีที่สุดแต่ไอโฟน 13 ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดี ที่สามารถใช้งานได้

สำหรับคนที่สนใจซื้อสินค้าจาก Apple การเลือกซื้อก็ควรเลือกร้านที่มีความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นช็อปของ Apple หรือ studio 7

28
PRK คือ

PRK คือ เทคโนโลยีในการใช้เลเซอร์ Lasik ผ่าตัดรักษาปัญหาสายตาผิดปกติต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง ซึ่งมีความปลอดภัยสูง มั่นใจได้

หากกำลังประสบปัญหาการใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ที่รบกวนกิจวัตรประจำวัน อยากมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจนด้วยตนเอง การผ่าตัดด้วยเลเซอร์ PRK จึงอาจจะเป็นคำตอบที่กำลังมองหา ด้วย PRK เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดเลเซอร์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ช่วยในการมองเห็นใด ๆ แล้ว PRK คืออะไร PRK กับ Lasik มีความแตกต่างกันอย่างไร ผู้มีกระจกตาบาง PRKสามารถรักษาได้หรือไม่ บทความนี้มีคำตอบ

PRK (Photorefractive Keratectomy) คืออะไร

PRK

Photorefractive Keratectomy หรือ PRK คือ หนึ่งในวิธีการรักษาสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง โดยใช้เลเซอร์ในการปรับรูปร่างของกระจกตา เพื่อให้แสงสามารถโฟกัสบนจอประสาทตาได้อย่างชัดเจน ทำให้ไม่ต้องพึ่งแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไป ทั้งนี้ PRK พักฟื้นใช้เวลานานกว่าวิธีเลสิก และอาจจะมีอาการระคายเคืองตาในช่วงแรก หากตัดสินใจทำ PRK ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสภาพตาและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล

การทำ PRK มีความแตกต่างจากเลสิกแบบอื่นอย่างไร ?

การผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์นั้น มีหลากหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือ PRK ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี รวมถึงแต่ Femto LASIK, ReLEx และ LASIK ซึ่งมีรายละเอียดและความเหมาะสมที่แตกต่างกันไป โดยมีความแตกต่างกัน ดังนี้

ความแตกต่างระหว่างการทำ PRK กับ Femto LASIK

PRK และ Femto LASIK เป็นเทคนิคการผ่าตัดแก้ไขสายตาที่ได้รับความนิยม โดยทั้งสองวิธีใช้เลเซอร์ในการปรับรูปร่างของกระจกตา แต่มีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • การทำ PRK ใช้เลเซอร์ในการกำจัดเนื้อเยื่อบางส่วนบนผิวหน้าของกระจกตา เพื่อปรับความโค้งของกระจกตาให้เหมาะสมกับค่าสายตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบาง มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนบางอย่างได้น้อยกว่าเลสิก และใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นค่อนข้างนาน
  • การทำ Femto LASIK ใช้เลเซอร์สองชนิดในการผ่าตัด โดยเลเซอร์ตัวแรกจะสร้างแผ่นกระจกตาบาง ๆ (flap) ขึ้นมา แล้วใช้เลเซอร์ตัวที่สองปรับรูปร่างกระจกตา ใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นสั้นกว่า PRK ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางมาก

ความแตกต่างระหว่างการทำ PRK กับ ReLEx

ทั้ง PRK และ ReLEx เป็นเทคนิคการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ แต่มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อระยะเวลาในการพักฟื้นและความเหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล โดยการทำ PRK จะมีรายละเอียดและผลลัพธ์ตามที่กล่าวไปแล้ว แต่ ReLEx จะเป็นการใช้เลเซอร์ Femtosecond สร้างเลนส์กระจกตาบาง ๆ (lenticule) ภายในกระจกตา จากนั้นจึงเจาะแผลเล็ก ๆ เพื่อนำเลนส์กระจกตาส่วนเกินออก โดยจะใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นสั้นกว่า PRK เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษากระจกตาให้แข็งแรง และอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าสายตาผิดปกติมาก หรือมีสายตาเอียงสูง

ความแตกต่างระหว่างการทำ PRK กับ LASIK

PRK กับ Lasik เป็นเทคนิคการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่ได้รับความนิยม โดยทั้งสองวิธีมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การปรับรูปร่างของกระจกตา เพื่อให้แสงสามารถโฟกัสบนจอประสาทตาได้อย่างชัดเจน แต่มีขั้นตอนในการผ่าตัดที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อระยะเวลาในการพักฟื้นและความเหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล ดังนี้

  • การทำ PRK แพทย์จะลอกเยื่อหุ้มกระจกตาชั้นนอกออกก่อน จากนั้นจึงใช้เลเซอร์ปรับรูปร่างกระจกตา รอให้เยื่อหุ้มกระจกตาชั้นนอกงอกใหม่
  • การทำ LASIK แพทย์จะใช้เลเซอร์ Femtosecond สร้างแผ่นกระจกตา พับแผ่นกระจกตาขึ้น ใช้เลเซอร์ Excimer ปรับรูปร่างกระจกตา แล้วจึงปิดแผ่นกระจกตากลับลงไป ทั้งนี้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางมาก ด้วยมีความเสี่ยงที่แผ่นกระจกตาจะเลื่อนหรือหลุดได้

การทำ PRK กับข้อดี/ข้อจำกัด

PRK เป็นหนึ่งในวิธีการผ่าตัดแก้ไขสายตาที่ได้รับความนิยม โดยใช้เลเซอร์ปรับรูปร่างกระจกตา เพื่อแก้ปัญหาสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง เช่นเดียวกับวิธีการอื่น ๆ การทำ PRK ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรทราบก่อนตัดสินใจ

ข้อดี

  • PRK ถือเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสายตา โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบาง หรือผู้ที่ไม่สามารถทำเลสิกได้ เนื่องจากไม่ต้องสร้างแผ่นกระจกตา
  • เนื่องจาก PRK จะช่วยเสริมความแข็งแรงของกระจกตา จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตาหลากหลาย เช่น กีฬาต่อสู้ หรือกีฬาที่มีความเสี่ยงต่อการกระทบกระแทก
  • ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง เมื่อเทียบกับวิธีการอื่น ๆ เช่น LASIK เนื่องจาก PRK มีความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง เช่น แผ่นกระจกตาลูกคลื่น หรือการหมุนของแผ่นกระจกตาน้อยกว่า
  • สำหรับผู้ที่มีค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อย PRK อาจเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากการปรับเปลี่ยนค่าสายตาสามารถทำซ้ำได้ในภายหลัง
  • ในขั้นตอนการทำ PRK ไม่จำเป็นต้องสร้างแผ่นกระจกตา ไม่ต้องสร้างแผ่นกระจกตา ทำให้ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับแผ่นกระจกตา

ข้อจำกัด

นอกจากข้อดีแล้ว PRK ก็ยังมีข้อเสียหรือข้อจำกัดบางประการ ได้แก่

  • หลังการทำ PRK ผู้ป่วยจะต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนานกว่าวิธีอื่น ๆ เช่น LASIK เนื่องจากกระจกตาต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
  • หลังการทำ PRK ผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน ตาแห้ง และมองเห็นไม่ชัดในช่วงแรก ๆ
  • แม้จะมีโอกาสเป็นน้อย แต่ก็มีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
  • ความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น การมองเห็นแสงจ้า หรือการเกิดรอยแผลเป็นบนกระจกตา
  • ค่าใช้จ่ายในการทำ PRK ราคาอาจสูงกว่าวิธีการอื่น ๆ

การทำ PRK เหมาะ/ไม่เหมาะกับใครบ้าง

PRK เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแก้ไขปัญหาสายตาให้กลับมามองเห็นได้ชัดเจน โดยไม่ต้องพึ่งแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ แต่การทำ PRK นั้น อาจจะไม่เหมาะกับทุกคน การตัดสินใจว่า ใครเหมาะกับการทำ PRK นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ประเมินและให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด

ผู้ที่เหมาะกับการเข้ารับทำ PRK

  • ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เนื่องจากดวงตาของวัยรุ่นยังคงเจริญเติบโต
  • ค่าสายตาคงที่ โดยค่าสายตาไม่เปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 1 ปี
  • สุขภาพตาแข็งแรง ไม่มีโรคเกี่ยวกับตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก หรือโรคกระจกตาอื่น ๆ
  • กระจกตาแข็งแรง ไม่มีประวัติการผ่าตัดตา หรือมีแผลที่กระจกตา
  • ผู้ที่ไม่สามารถทำเลสิกได้ เช่น ผู้ที่มีกระจกตาบางเกินไป หรือมีภาวะตาแห้งรุนแรง
  • ผู้ที่ต้องการความปลอดภัยสูง เพราะ PRK มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าวิธีการอื่น ๆ
  • ผู้ที่ต้องการลดการพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์

ผู้ที่ไม่เหมาะกับการเข้ารับทำ PRK

  • ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากดวงตากำลังเจริญเติบโต
  • ผู้มีค่าสายตาไม่คงที่ ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อย
  • มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอย เป็นต้น
  • ผู้มีภาวะตาแห้งรุนแรง
  • ผู้มีการติดเชื้อที่ดวงตา
  • สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาละลายลิ่มเลือด
  • ผู้ที่มีความคาดหวังสูงเกินจริง เนื่องจากการผ่าตัดทุกชนิดมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

ข้อควรปฏิบัติ เพื่อเตรียมตัวก่อนเข้ารับการทำ PRK

การทำ PRK เป็นการผ่าตัดที่สำคัญ จึงจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนี้

  • การเตรียมตัวในการตรวจวัดสายตา

    • ก่อนการตรวจวัดสายตาและทำ PRK ควรงดใส่คอนแทคเลนส์ เพื่อให้กระจกตาคืนสู่สภาพปกติ หากเป็นเลนส์นิ่ม งดใส่ประมาณ 3 วัน หากเป็นเลนส์แข็ง งดใส่ประมาณ 7 วัน
    • เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น บัตรประชาชน ใบรับรองแพทย์ (หากมี) ประวัติการแพ้ยา หรือโรคประจำตัว
    • สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเตรียมตัวและขั้นตอนการผ่าตัดจากแพทย์อย่างละเอียด

  • การเตรียมตัวในวันเข้ารับการทำ PRK

    • งดเครื่องสำอางทุกชนิด รวมถึงมาสคาร่า อายไลเนอร์ และครีมรอบดวงตา
    • เลือกใส่เสื้อผ้าที่สวมใส่และถอดออกง่าย เช่น เสื้อยืด กางเกงยีนส์
    • งดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด ยกเว้นน้ำเปล่า
    • แจ้งแพทย์หากมีอาการผิดปกติ เช่น ป่วย มีไข้ หรือมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสุขภาพ
    • เตรียมคนมาดูแลหลังการผ่าตัด เนื่องจากหลังการผ่าตัดอาจมีอาการพร่ามัวและไม่สามารถขับรถได้

ขั้นตอนในการทำ PRK

เลสิค PRK

PRK เป็นการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ชนิดหนึ่ง โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

  • การตรวจวัดสายตา เพื่อประเมินค่าสายตาและสภาพของดวงตา แพทย์จะอธิบายเกี่ยวกับขั้นตอนการผ่าตัด ข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด
  • แพทย์จะหยอดยาชาลงบนดวงตา เพื่อลดความรู้สึกเจ็บระหว่างการทำ PRK
  • แพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษในการลอกเยื่อบุผิวกระจกตาชั้นนอกออก ซึ่งเป็นชั้นที่ปกคลุมกระจกตา ขั้นตอนนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
  • แพทย์จะใช้เลเซอร์ Excimer ยิงไปยังกระจกตา เพื่อปรับรูปร่างของกระจกตาให้มีความโค้งที่เหมาะสมกับค่าสายตาที่ต้องการ
  • หลังจากการใช้เลเซอร์ แพทย์จะใส่คอนแทคเลนส์บังแผลเพื่อป้องกันแผลและช่วยให้เยื่อบุผิวกระจกตาชั้นนอกงอกใหม่ โดยจะต้องใส่คอนแทคเลนส์บังแผลประมาณ 3 - 5 วัน
  • หลังการทำ PRK จะต้องหยอดยาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ

ข้อควรปฏิบัติ เพื่อดูแลตัวเองหลังการทำ PRK
 
การทำ PRK เป็นการผ่าตัดที่ช่วยแก้ไขปัญหาสายตาให้ดีขึ้น แต่หลังการผ่าตัดก็ต้องมีการดูแลดวงตาอย่างใกล้ชิดเพื่อให้แผลหายและสายตาดีขึ้นตามที่คาดหวัง ด้วยแนวทางปฏิบัติตน ดังนี้

  • ช่วงสัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด

    • หยอดยาตามที่แพทย์สั่ง เนื่องจากยาหยอดตาแต่ละชนิดมีหน้าที่แตกต่างกัน จึงต้องหยอดยาให้ตรงตามเวลาและปริมาณที่แพทย์กำหนด
    • ใส่คอนแทคเลนส์ปิดแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ควรใส่คอนแทคเลนส์ตามที่แพทย์แนะนำ
    • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา เพราะการขยี้ตาอาจทำให้แผลเปิดและติดเชื้อได้
    • งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดแรงกระแทก เช่น การเล่นกีฬา การยกของหนัก หรือการทำกิจกรรมที่ต้องก้มหน้า
    • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้ารอบดวงตา เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
    • สวมแว่นกันแดดที่มีคุณภาพทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก เพื่อป้องกันแสงแดด
    • พักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากนิโคตินในบุหรี่อาจส่งผลต่อการหายของแผล
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำ ไม่ควรล้างหน้า อาบน้ำ หรือว่ายน้ำในช่วงแรก

  • หลังจากถอดคอนแทคเลนส์

    • หยอดยาตามปกติ ยังคงต้องหยอดยาตามที่แพทย์สั่ง
    • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ตาแห้ง เช่น การนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ การดูทีวีเป็นเวลานาน
    • ควรสวมแว่นกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
    • ควรไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของการรักษา

อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการทำ PRK

หลังจากการทำ PRK เพื่อแก้ปัญหาสายตาสั้นหรือปัญหาอื่น ๆ แม้ว่าจะเป็นการผ่าตัดที่ปลอดภัย แต่ก็อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้บ้าง ซึ่งอาการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเพียงอาการชั่วคราวและจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามระยะเวลา โดยทั่วไปอาการข้างเคียงที่อาจพบได้บ่อย ได้แก่

  • อาการระคายเคืองตา เช่น แสบตา คันตา ตาแห้ง น้ำตาไหล อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วง 1 - 3 วันแรกหลังการทำ PRK และจะค่อย ๆ ดีขึ้น
  • หลังการผ่าตัด อาจมองเห็นภาพเบลอ หรือมีภาพซ้อน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ดวงตาต้องใช้เวลาในการปรับตัว
  • อาจรู้สึกแสบตาเมื่อโดนแสงจ้า หรือแสงไฟ
  • อาจมีอาการปวดตาเล็กน้อย ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดที่แพทย์สั่ง
  • เห็นแสงจ้าเป็นวงกลม อาการนี้เรียกว่า halos หรือ starbursts อาจเกิดขึ้นเมื่อมองไปที่แสงไฟ
  • ตาแห้ง อาจเกิดจากการผลิตน้ำตาไม่เพียงพอ
  • การติดเชื้อ แม้จะเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้

สรุป เกี่ยวกับการทำ PRK

PRK คือ วิธีการรักษาสายตาผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง โดยการใช้เลเซอร์ในการปรับรูปร่างของกระจกตา เพื่อให้แสงสามารถโฟกัสบนจอประสาทตาได้อย่างชัดเจน โดยการทำ PRK มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพตาแข็งแรง รวมถึงช่วยแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่ไม่สามารถทำเลสิกได้ เช่น ผู้ที่มีกระจกตาบางเกินไป หรือมีภาวะตาแห้งรุนแรง แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจทำ PRK ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อประเมินสภาพตาและให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด

29
ReLEx

ReLEx เป็นการผ่าตัดเลสิคสายตาแบบใหม่ด้วยเลเซอร์ femtosecond ผ่านแผลขนาดเล็ก โดยสร้างและนำเนื้อเยื่อรูปเลนส์ออกจากกระจกตาเพื่อแก้ไขสายตาสั้นและเอียง

เทคโนโลยีการผ่าตัดสายตาได้มีพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากการผ่าตัดแบบใช้ใบมีดมาสู่การใช้เลเซอร์ที่มีแม่นยำ จนมีการค้นพบนวัตกรรมนั่นคือ ReLEx หรือ Refractive Lenticule Extraction เทคโนโลยีการผ่าตัดสายตาที่ใช้เลเซอร์แบบไร้ใบมีด ซึ่งเป็นการนำเสนอทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัยและฟื้นตัวได้เร็วกว่าสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาสายตา  ReLEx กำลังเปลี่ยนแปลงวงการจักษุวิทยาและสร้างความหวังใหม่ให้กับผู้ที่ต้องการมองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่พึ่งพาแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์

ReLEx คืออะไร?

ReLEx คืออะไร? ReLEx LASIK คือวิธีการผ่าตัดสายตาแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ขั้นสูง โดยไม่ต้องสร้าง​ FLAP ที่กระจกตาเหมือนการผ่าตัด LASIK ทั่วไป เทคโนโลยีหลักที่ใช้ใน ReLEx คือเลเซอร์ femtosecond ที่มีความแม่นยำสูง สามารถสร้างรอยตัดเล็ก ๆ และแยกเนื้อเยื่อกระจกตาส่วนที่ไม่ต้องการออกมาได้

เลสิค ReLEx คือวิธีการผ่าตัดที่พัฒนาต่อยอดมาจาก ReLEx ดั้งเดิม โดยใช้แผลผ่าตัดขนาดเล็กเพียง 2-3 มิลลิเมตร ทำให้แผลหายเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นและเอียงในระดับปานกลางถึงสูง โดยให้ผลลัพธ์ที่ดีและฟื้นตัวได้เร็วกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม

ReLEx VS. เลสิกธรรมดา มีความแตกต่างกันอย่างไร

การทำ ReLEx และการเลสิกธรรมดามีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ โดยเลสิกจะใช้เลเซอร์สองชนิดคือ femtosecond laser เพื่อสร้าง Flap และ excimer laser เพื่อปรับแต่งเนื้อกระจกตา ในขณะที่ ReLEx จะใช้เพียงเลเซอร์ femtosecond ชนิดเดียวตลอดกระบวนการ อีกทั้งเลสิกต้องเปิด Flap ขนาดใหญ่ แต่ ReLEx ใช้แผลขนาดเล็กเพียง 2-3 มิลลิเมตร ทำให้กระจกตาแข็งแรงกว่าและฟื้นตัวเร็วกว่า

นอกจากนี้ ReLEx ยังลดความเสี่ยงของอาการตาแห้งหลังผ่าตัด เนื่องจากรบกวนเส้นประสาทที่กระจกตาน้อยกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ReLEx จะเหมาะสำหรับการแก้ไขสายตาสั้นและเอียงเท่านั้น ในขณะที่เลสิกสามารถแก้ไขสายตายาวได้ด้วย

ReLEx มีข้อดีและข้อจำกัดอะไรบ้าง

การผ่าตัด ReLEx นั้นมีข้อดีหลายอย่างตั้งแต่ การใช้แผลผ่าตัดขนาดเล็ก ทำให้กระจกตาแข็งแรงขึ้นและฟื้นตัวเร็วกว่า ลดความเสี่ยงของภาวะตาแห้งหลังผ่าตัด และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือเล่นกีฬาที่มีการปะทะ อย่างไรก็ตาม ReLEx มีข้อจำกัดบางประการเช่น เหมาะสำหรับการแก้ไขสายตาสั้นและเอียงเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขสายตายาวได้ และอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการผ่าตัดแบบอื่น

นอกจากนี้เลสิก ReLEx ยังมีข้อเสีย ในเรื่องที่แพทย์ไม่สามารถปรับแต่งค่าสายตาระหว่างการผ่าตัดได้ทันที หากพบว่าผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และในบางกรณีอาจเกิดภาวะมองเห็นภาพซ้อนชั่วคราวหลังผ่าตัด แม้จะพบได้น้อยก็ตาม

ReLEx เหมาะหรือไม่เหมาะกับใครบ้าง

ReLEx ไม่สามารถทำได้ทุกคน จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยจากจักษุแพทย์ผู้มีประสบการณ์ โดยคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ที่สามารถรับการผ่าตัด ReLEx ได้จะมีดังนี้

การทำ ReLEx จะเหมาะกับ

  • ผู้ที่มีสายตาสั้นตั้งแต่ 100 ถึง 1000 หรือมีสายตาเอียงไม่เกิน 500
  • ผู้ที่มีกระจกตาบาง
  • ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคตาแห้ง
  • นักกีฬาหรือผู้ที่ทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนที่ตา

การทำ ReLEx จะไม่เหมาะกับ

  • ผู้ที่มีสายตายาว
  • ผู้ที่มีโรคตาบางชนิดอย่างเช่น ต้อหิน หรือจอประสาทตาผิดปกติ
  • ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือสายตาไม่คงที่
  • สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคที่ส่งผลต่อการฟื้นฟูบาดแผล

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการทำ ReLEx

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการทำ ReLEx มีความสำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จของการผ่าตัดและการฟื้นตัวหลังผ่าตัด

  • ก่อนอื่นควรงดใส่คอนแทคเลนส์อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด เพื่อให้กระจกตากลับสู่รูปร่างปกติ
  • งดใช้เครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตาและหน้าในวันผ่าตัด
  • ควรอาบน้ำให้สะอาดโดยไม่ใช้น้ำหอมหรือโลชั่นบริเวณใบหน้า
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด
  • วันผ่าตัดควรสวมเสื้อผ้าที่สบายและไม่ต้องดึงผ่านศีรษะ และเตรียมผู้ดูแลมารับกลับหลังการผ่าตัด เนื่องจากอาจมีอาการตาพร่ามัวชั่วคราว
  • ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมถึงการใช้ยาหยอดตาตามที่กำหนดก่อนการผ่าตัด

ขั้นตอนการทำ ReLEx


relex ข้อเสีย

  • การเตรียมตัวผู้ป่วย: ผู้ป่วยจะนอนบนเตียงผ่าตัด ทำการหยอดยาชาเฉพาะที่ที่ดวงตา และทำความสะอาดรอบดวงตาและใบหน้า
  • การวางตำแหน่ง: ใช้อุปกรณ์ถ่างเปลือกตาเพื่อให้ตาเปิดกว้าง และจัดตำแหน่งดวงตาให้ตรงกับเครื่องเลเซอร์ เพื่อเริ่มการทำ ReLEx
  • การสร้างเลนติคูล (Lenticule): ใช้เลเซอร์ femtosecond สร้างชั้นเนื้อเยื่อรูปเลนส์ (เลนติคูล) ภายในกระจกตา เลนติคูลนี้มีรูปร่างที่ออกแบบเฉพาะเพื่อแก้ไขสายตาของผู้ป่วย
  • การสร้างรอยตัด: สร้างรอยตัดขนาดเล็ก (2-3 มม.) ที่ผิวกระจกตา โดยรอยตัดนี้จะเป็นทางผ่านในการนำเลนติคูลออก
  • การแยกและนำเลนติคูลออก: แพทย์ใช้เครื่องมือพิเศษสอดผ่านรอยตัดเล็กแยกเลนติคูลออกจากเนื้อเยื่อโดยรอบ และค่อยๆ ดึงเลนติคูลออกมาทางรอยตัด
  • การปรับแต่งและทำความสะอาด: ตรวจสอบบริเวณที่นำเลนติคูลออกเพื่อให้แน่ใจว่าเรียบสม่ำเสมอและล้างตาด้วยน้ำเกลือ
  • การเสร็จสิ้นการผ่าตัด: เมื่อทำ ReLEx เรียบร้อยแล้ว ควรหยอดยาปฏิชีวนะและยาลดการอักเสบ ปิดตาด้วยที่ครอบตาเพื่อป้องกัน
ทั้งกระบวนการจะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีต่อข้าง โดยไม่ต้องเย็บแผล การฟื้นตัวมักเร็วกว่าการผ่าตัดแบบอื่น ๆ เนื่องจากแผลมีขนาดเล็ก

ข้อควรปฏิบัติหลังทำ ReLEx

หลังการทำ ReLEx ผู้ป่วยควรดูแลตนเองอย่างระมัดระวังเพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในวันแรกหลังผ่าตัดควรพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการใช้สายตามากเกินไป สวมแว่นกันแดดเมื่อออกนอกบ้านเพื่อป้องกันแสงจ้า และใช้ที่ครอบตาขณะนอนหลับเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนโดยไม่ตั้งใจ ควรใช้ยาหยอดตาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือสัมผัสตาโดยตรง

นอกจากนี้หลังการทำ ReLEx ควรงดการแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำหรือใช้สระว่ายน้ำเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ ควรดื่มน้ำมาก ๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยในการฟื้นฟู หากมีอาการผิดปกติเช่น ปวดตารุนแรง ตาแดงมาก หรือการมองเห็นแย่ลง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

สรุปการทำ ReLEx

ReLEx (Refractive Lenticule Extraction) เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดสายตาที่ใช้เลเซอร์ femtosecond เพียงชนิดเดียวในการแก้ไขสายตาสั้นและเอียง โดยไม่ต้องสร้าง Flap เหมือนการทำเลสิก วิธีนี้ใช้แผลผ่าตัดขนาดเล็กเพียง 2-3 มิลลิเมตร ทำให้กระจกตาแข็งแรงและฟื้นตัวเร็วกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นระดับปานกลางถึงสูง และสายตาเอียงไม่เกิน 500
ReLEx ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการผ่าตัดที่พัฒนาต่อยอดมาจาก ReLEx ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ดีและมีความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่ำ อย่างไรก็ตามวิธีนี้ไม่สามารถแก้ไขสายตายาวได้ และอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการผ่าตัดแบบอื่น การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดและการดูแลหลังผ่าตัดที่ถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของการรักษา

30
สิว

ปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัยอย่างปัญหาสิว เป็นปัญหาที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและการอักเสบของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งมักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า หน้าอก หลัง และไหล่ สิวไม่เพียงแต่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังส่งผลต่อความมั่นใจและสุขภาพจิตของผู้ที่เป็นอีกด้วย

สิวแต่ละประเภทเป็นอย่างไร

สิวแต่ละประเภท

สิวเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย และแต่ละคนก็อาจมีสิวในรูปแบบที่แตกต่างกันไป การทำความเข้าใจถึงชนิดของสิวจะช่วยให้เราสามารถเลือกวิธีการดูแลและรักษาได้อย่างเหมาะสม รายละเอียดของสิวแต่ละประเภท เช่น

สิวหัวดำ (Blackheads)
- ลักษณะ: เป็นสิวอุดตันชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีดำ มักพบตามบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น สิวขึ้นจมูก สิวขึ้นคาง
- สาเหตุ: เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เมื่อสัมผัสกับอากาศ ไขมันที่อุดตันจะเกิดปฏิกิริยาออกซิไดซ์ จึงทำให้มีสีดำ
- ความรุนแรง: ถือเป็นสิวในระดับที่ไม่รุนแรงมาก แต่หากปล่อยไว้ไม่ดูแลอาจลุกลามเป็นสิวอักเสบได้

สิวหัวขาว (Whiteheads)
- ลักษณะ: เป็นสิวอุดตันอีกชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ สีขาว มักอยู่ใต้ผิวหนัง
- สาเหตุ: เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนเช่นเดียวกับสิวหัวดำ แต่เนื่องจากสิวหัวขาวอยู่ใต้ผิวหนัง จึงไม่มีการสัมผัสกับอากาศ ทำให้ไม่มีการเปลี่ยนสี
- ความรุนแรง: มีความรุนแรงน้อยกว่าสิวอักเสบ แต่หากไม่ดูแลอาจลุกลามได้

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
- ลักษณะ: เป็นสิวที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน มีลักษณะเป็นตุ่มแดง บวม และอาจมีหนอง
- สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ในรูขุมขนที่อุดตัน
- ความรุนแรง: มีความรุนแรงมากกว่าสิวอุดตัน อาจทำให้เกิดรอยดำ รอยแผล หรือรอยแดงจากสิวเป็นได้

สิวหัวหนอง (Pustules)
- ลักษณะ: เป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นตุ่มแดง มีหัวหนองอยู่ตรงกลาง
- สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย P. acnes เช่นเดียวกับสิวอักเสบ
- ความรุนแรง: มีความรุนแรงมากกว่าสิวอักเสบชนิดอื่น ๆ

สิวหัวช้าง (Nodules)
- ลักษณะ: เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรง มีขนาดใหญ่ เกิดลึกลงไปในผิวหนัง อาจเจ็บเมื่อถูกสัมผัส
- สาเหตุ: เกิดจากการอักเสบรุนแรงของรูขุมขน
- ความรุนแรง: เป็นสิวที่มีความรุนแรงมากที่สุด อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่เห็นได้ชัด

บริเวณและปัจจัยที่มักก่อให้เกิดสิว

- สิวสามารถเกิดได้หลายบริเวณ ไม่ว่าจะเป็น
- ใบหน้า: เป็นโซนที่โดนสิวรุมล้อมบ่อยที่สุด อาจขึ้นสิวขึ้นหน้าผาก จมูก คาง แก้ม หรือบริเวณขมับ
- หลัง: โดยเฉพาะบริเวณสิวที่หลังและไหล่ มักเกิดจากการเสียดสีของเสื้อผ้าหรือเหงื่อออกมาก
- หน้าอก: บริเวณหน้าอกก็เป็นอีกจุดที่สิวชอบมาเยือน โดยเฉพาะในผู้ชาย

ปัจจัยที่ทำให้สิว
- ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สิวฮอร์โมน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น ช่วงมีประจำเดือน หรือในช่วงตั้งครรภ์
- พันธุกรรม: ถ้าในครอบครัวมีคนเป็นสิวเยอะ ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นสิวตามไปด้วย
- อาหาร: อาหารบางชนิด เช่น อาหารมัน อาหารทอด อาหารแปรรูป และอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาจกระตุ้นให้สิวได้
- ความเครียด: ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดสิว
- ยาบางชนิด: ยาคุมกำเนิด ยาที่มีคอร์ติโคสเตียรอยด์ หรือยาบางชนิดก็อาจทำให้สิวได้
- เครื่องสำอาง: เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสมหรือล้างไม่สะอาดอาจอุดตันรูขุมขน
- สภาพอากาศ: อากาศร้อนและชื้นทำให้เหงื่อออกมาก อาจทำให้สิวได้
- การสัมผัสใบหน้า: การใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ ทำให้เชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกเข้าสู่รูขุมขน
- การขัดถูผิวหน้าแรงเกินไป: การขัดถูผิวหน้าแรงเกินไปอาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดสิวได้

สิวประเภทใดที่ควรไปพบแพทย์
ในบางกรณี สิวอาจรุนแรงและส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิวและจิตใจได้มาก การรู้จักสังเกตสัญญาณเตือนและปรึกษาแพทย์ผิวหนังเมื่อจำเป็น จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยสิวที่ควรไปพบแพทย์ ได้แก่

- สิวอักเสบรุนแรง: สิวมีขนาดใหญ่ บวมแดง มีหนองจำนวนมาก หรือมีไข้ร่วมด้วย
- สิวไม่ตอบสนองต่อการรักษาเอง: หลังจากลองใช้ผลิตภัณฑ์ครีมลดรอยสิวดูแลผิวหรือครีมรักษาสิวตามท้องตลาดแล้ว สิวไม่ดีขึ้น หรือกลับมาเป็นซ้ำบ่อย
- สิวทิ้งรอยแผลเป็น: สิวหายแล้วแต่ทิ้งรอยสิว รอยแดง รอยดำ หรือหลุมสิว
- สิวร่วมกับอาการอื่น ๆ: เช่น ปวดหัว มีไข้ หรือประจำเดือนมาไม่ปกติ
- สิวเกิดขึ้นบริเวณที่ไม่เคยเป็นมาก่อน: เช่น บริเวณลำตัว หรืออวัยวะเพศ

การรักษาสิวทำได้อย่างไรบ้าง
สิวเป็นปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญ การรักษาสิวนั้นมีหลากหลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของสิว วิธีการรักษาสิวทำได้เช่น
- ยาทา: แพทย์อาจจ่ายยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ยาที่ช่วยลดการอักเสบ หรือยาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว
- ยารับประทาน: ในกรณีที่สิวรุนแรง แพทย์อาจจ่ายยาปฏิชีวนะ หรือยาที่ควบคุมฮอร์โมน
- การกดสิว: ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- การทำเลเซอร์: ช่วยลดการอักเสบ ลดรอยแดง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- การผลัดผิว: ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและเปิดรูขุมขน

เมื่อเป็นสิวมีวิธีดูแลผิวอย่างไร

ทำความสะอาดหน้าป้องกันสิว

การมีสิวเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ โดยวิธีดูแลผิวเมื่อมีปัญหาสิวมาฝากกันค่ะ
- ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่อ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผิว
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: การสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ จะทำให้เชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกเข้าสู่รูขุมขน
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน: เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมัน (oil-free) และไม่ก่อให้เกิดสิว (non-comedogenic)
- ปกป้องผิวจากแสงแดด: ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป เพื่อป้องกันรอยดำ รอยแดงจากสิว
- หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด: อาหารมัน อาหารทอด และอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาจทำให้สิวรุนแรงขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง

สรุปเกี่ยวกับสิว
สิวเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย เช่น ปัญหาสิวผด สิวไม่มีหัว หรือสิวอักเสบไม่มีหัว จึงต้องมีวิธีดูแลรักษาที่ถูกวิธี เช่น ใช้ครีมลดสิว เซรั่มลดสิว หรือทานวิตามินลดสิว เป็นต้น

31
ลดน้ำหนัก

อยากใส่ชุดที่ชอบได้อย่างมั่นใจ อยากมีสุขภาพดี แข็งแรง และมีพลังงานตลอดวัน? การลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หากรู้วิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้อง จะเปลี่ยนแปลงได้ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หลายคนมีคำถามในใจที่ต้องการคำตอบ เช่นวิธีลดน้ำหนักภายใน 1 เดือน ต้องทำอย่างไร ลดน้ำหนัก กินถั่วได้ไหม ลดน้ำหนัก ควรกินอาหารเวลาไหน หรืออยากรู้ว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้การลดน้ำหนักประสบความสำเร็จ? มาหาคำตอบไปพร้อมกัน

ทำไมลดน้ำหนักแล้วไม่เห็นผล เกิดจากอะไร?

ทำไมลดน้ำหนักแล้วไม่เห็นผล ? เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย ลดน้ำหนักไม่ได้ผล อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้


- กินเข้าไปมากกว่าที่เผาผลาญ: แม้จะออกกำลังกาย แต่ถ้ากินอาหารเกินความจำเป็น ร่างกายก็จะยังคงสะสมพลังงานเป็นไขมันอยู่ดี ทำให้ลดน้ำหนักไม่ลง
- ออกกำลังกายไม่เพียงพอ: การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญในการเผาผลาญพลังงาน แต่ถ้าออกกำลังกายน้อยเกินไป ผลลัพธ์ในการลดน้ำหนัก คนอ้วนก็จะช้าลง
- พักผ่อนไม่เพียงพอ: การนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวและความอิ่มทำงานผิดปกติ ทำให้อยากอาหารมากขึ้นหรือเผาผลาญน้อยลง
- เครียดมากเกินไป: ความเครียดจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งจะทำให้ร่างกายสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องมากขึ้น
- เลือกอาหารไม่ถูกต้อง: การกินอาหารมีไขมันสูง น้ำตาลสูง โซเดียมสูง จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานเกินความจำเป็น ทำให้อ้วนง่ายขึ้น
- ใช้ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านเศร้า อาจมีผลข้างเคียงทำให้ร่างกายอ้วนขึ้นได้
- มีโรคประจำตัว: โรคบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์ทำงานน้อย โรค polycystic ovary syndrome (PCOS) อาจทำให้ลดน้ำหนักได้ยาก
- พันธุกรรม: พันธุกรรมก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดรูปร่างและน้ำหนัก

8 วิธีลดน้ำหนักง่าย ๆ ได้ผลเร็ว

วิธีลดน้ำหนัก

การลดน้ำหนักเป็นเป้าหมายที่หลายคนตั้งใจ แต่การลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและยั่งยืนสำคัญกว่า หากลดความอ้วนแบบผิดวิธีอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ดังนั้นการเลือกวิธีลดน้ำหนักให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ หัวข้อนี้จะมาแนะนำวิธีลดน้ำหนักหลายรูปแบบที่เห็นผล เพื่อให้สามารถเลือกวิธีเหมาะกับตัวเองมากที่สุด ดังนี้
1.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
เลือกทานอาหารมีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่ว และนม จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน รู้สึกอิ่มนานขึ้น ควบคู่ไปกับลดน้ำหนัก คุมอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย นอกจากนี้หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป หรือเครื่องดื่มมีน้ำตาลสูงและลดน้ำหนัก งดแป้ง งดน้ำตาลก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น
2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญในการลดน้ำหนัก การเลือกประเภทวิธีออกกำลังกายให้หลากหลายจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี การทำคาร์ดิโอ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ช่วยเผาผลาญแคลอรีส่วนเกินได้หรือกระโดดเชือก ลดน้ำหนักก็ได้ผลดี ขณะที่ฝึกสร้างกล้ามเนื้อด้วยการยกน้ำหนักหรือเวทเทรนนิ่ง จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในระยะยาว หรือแอโรบิก ช่วยเสริมความแข็งแรงของหัวใจและปอด ทั้งหมดนี้ยังช่วยลดความเครียดและปรับอารมณ์ได้ด้วย
3.พักผ่อนให้เพียงพอ
ในคืนหนึ่งควรนอนหลับให้ครบ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน หากนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ฮอร์โมนที่ควบคุมความหิว ความอิ่มทำงานผิดปกติ ทำให้อยากอาหารมากขึ้นและรู้สึกหิวบ่อยขึ้น ส่งผลให้ทานอาหารมากเกินความจำเป็น และนอนหลับไม่เพียงพอ ยังส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลเกี่ยวกับความเครียดจะกระตุ้นให้ร่างกายสะสมไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องเพิ่มขึ้นได้ทำให้ลดความอ้วนยากขึ้น
4.จัดการความเครียด
ความเครียดเป็นศัตรูตัวร้ายทำให้การลดน้ำหนักยากขึ้น เพราะเมื่อเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นให้อยากอาหารและทำให้เผาผลาญช้าลง วิธีลดน้ำหนักแบบยั่งยืน จึงต้องจัดการกับความเครียดควบคู่ไปด้วย วิธีง่าย ๆ สามารถทำได้ เช่น การทำสมาธิ โยคะ ฟังเพลง หรือหาเวลาทำกิจกรรมที่ชอบเช่น อ่านหนังสือ เดินเล่น หรือพบปะเพื่อนฝูง

ลดน้ําหนัก if

5.ลดน้ำหนักแบบ IF
ลดน้ำหนักแบบ IF (Intermittent Fasting) หรืออดอาหารสลับกับกิน เป็นวิธีควบคุมน้ำหนักได้รับความนิยม หลักการสำคัญคือจำกัดเวลาในการรับประทานอาหาร โดยแบ่งเป็นช่วงเวลากินและช่วงเวลาอด เช่น อด 16 ชั่วโมง กินได้ 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือกินตามปกติ 5 วัน อดหรือกินน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ แต่อาหารที่ทานต้องมีสารอาหารครบถ้วน จะทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันสะสม เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานแทนน้ำตาลกลูโคส ซึ่งส่งผลให้ลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6.เคี้ยวอาหารช้า ๆ
เคี้ยวอาหารช้า ๆ เป็นวิธีลดน้ำหนักง่ายและปลอดภัยทำได้ทุกคน  เมื่อเคี้ยวอาหารช้า ๆ สมองจะส่งสัญญาณไปยังร่างกายว่าท้องกำลังอิ่ม ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง ก่อนจะรู้สึกอิ่มเกินไป และยังช่วยในระบบย่อยอาหารหรือดูดซึมสารอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้แล้ว ยังช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นอีกด้วย
7.ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นหนึ่งในเคล็ดลับวิธีลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดื่มน้ำช่วยเร่งกระบวนเผาผลาญ ทำให้อิ่มเร็วขึ้น ลดความอยากอาหาร ดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารประมาณ 1 แก้ว จะช่วยลดปริมาณอาหารที่ทานเข้าไปทำให้อิ่มเร็วขึ้น หากดื่มน้ำตลอดทั้งวันจะช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดี ช่วยให้ลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืน ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หรือ 2 ลิตร เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ ช่วยให้ลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น และมีสุขภาพดียิ่งขึ้น
8.ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นจริงได้
การตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้มีแรงบันดาลใจ มุ่งมั่นจะไปให้ถึงจุดหมายที่ตั้งไว้ การตั้งเป้าหมายชัดเจนและเป็นจริงจะทำให้สามารถติดตามความคืบหน้าหรือปรับเปลี่ยนแผนได้ตามความเหมาะสม เช่นลดน้ำหนักภายใน 1 เดือน หรือใช้สูตรลดน้ำหนัก 7 วันต้องเห็นผล หรืออาจตั้งเป้าหมายโดยใช้สูตรลดน้ำหนัก 7 วัน 10 กิโล เป็นต้น

สรุป การลดน้ำหนักไม่ว่าด้วยวิธีไหนต้องอาศัยวินัยในการควบคุมอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยเลือกวิธีให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตนเองและทำอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จอยู่ที่การเริ่มต้นและยึดมั่นในเป้าหมายของตน

สรุปวิธีลดน้ำหนักเห็นผลทันใจ!
การลดน้ำหนักเป็นเป้าหมายของหลาย ๆ คน ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธี แต่หลักสำคัญคือสร้างสมดุลระหว่างปริมาณแคลอรีที่รับประทานเข้าไปกับปริมาณแคลอรีที่ร่างกายใช้ไป เลือกทานอาหารมีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนหรือดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน จะช่วยให้ลดความอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลดน้ำหนักต้องใช้เวลาและความอดทน จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

32
PMS

เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมช่วงก่อนมีประจำเดือน ถึงรู้สึกหงุดหงิด โกรธง่าย ปวดท้อง หรือแม้แต่ร้องไห้ฟูมฟายโดยไม่รู้สาเหตุ โดยอาการเหล่านี้ อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากภาวะที่เรียกว่า "PMS" หรือ "กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน" นั่นเอง เป็นภาวะที่อาจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้หญิง แล้ว PMS คืออะไร สาเหตุของอาการ PMS เกิดจากอะไร PMS รักษาได้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบ



PMS อาการเป็นอย่างไร

PMS หรือ Premenstrual Syndrome คือ อาการทางร่างกายและอารมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือนประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ และมักจะหายไปหลังจากมีประจำเดือนมาแล้ว ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะเคยประสบกับอาการ PMS ในระดับหนึ่ง ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย

อาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) นั้น สามารถแสดงออกได้หลากหลายรูปแบบ และความรุนแรงก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาการ PMS สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ ได้แก่

1. อาการ PMS ทางร่างกาย
- ปวดท้องแบบปวดตุบ ๆ หรือปวดจี๊ด ๆ บริเวณท้องน้อย
- ปวดเมื่อยบริเวณหลังส่วนล่าง
- ปวดหัวแบบตื้อ ๆ หรือปวดไมเกรน
- เจ็บเต้านม เต้านมบวม คัดตึง และเจ็บ
- ท้องอืด รู้สึกอิ่มแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย
- มือ เท้า หรือใบหน้าบวม
- สิวอักเสบ หรือสิวผดขึ้น
- รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง อ่อนเพลีย
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รู้สึกปวดเมื่อยตามตัว
- ท้องผูกหรือท้องเสีย การขับถ่ายเปลี่ยนแปลงไป

2. อาการ PMS ทางอารมณ์
- หงุดหงิด โกรธง่าย อารมณ์แปรปรวนง่ายกว่าปกติ
- ซึมเศร้า รู้สึกหดหู่ เฉื่อยชา
- วิตกกังวล คิดมาก กังวลใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ
- ขาดสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดได้นาน
- นอนไม่หลับ นอนหลับยาก หรือตื่นกลางดึก
- มีความอยากอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารหวานและเค็ม



สาเหตุของ PMS เกิดจากอะไร

PMS คือ

PMS หรือ กลุ่มอาการก่อนเมนส์มา เป็นภาวะที่ผู้หญิงหลายคนประสบพบเจอ อาการก่อนเป็นประจําเดือน 1 อาทิตย์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายเป็นหลัก โดยสามารถอธิบายได้ ดังนี้

- เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ฮอร์โมนเพศหญิงทั้ง 2 ชนิดมีบทบาทสำคัญในการควบคุมรอบเดือน เมื่อระดับฮอร์โมนเหล่านี้เปลี่ยนแปลงก่อนมีประจำเดือน อาจส่งผลต่อสารเคมีในสมองและร่างกาย ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น อารมณ์แปรปรวน ปวดท้อง หรือบวม
- การเปลี่ยนแปลงของระดับสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมอารมณ์ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการ PMS

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อ PMS เช่น
 
- พันธุกรรม หากมีประวัติครอบครัวเป็น PMS ก็มีโอกาสที่จะเป็นได้สูงขึ้น
- อาการ PMS  มักจะรุนแรงขึ้นในช่วงอายุ 20 - 40 ปี
- ความเครียดสามารถทำให้อาการ PMS  รุนแรงขึ้นได้
- การรับประทานอาหารที่มีปริมาณโซเดียมและน้ำตาลสูงอาจทำให้อาการ PMS  แย่ลง
- การขาดวิตามินและแร่ธาตุ อย่างวิตามินดี แมกนีเซียม และวิตามินบี 6 อาจเกี่ยวข้องกับอาการ PMS
- โรคบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์ หรือโรคซึมเศร้า อาจทำให้ PMS รุนแรงขึ้นได้



แล้ว PMS กับ PMDD แตกต่างอย่างไร?

อธิบายถึงความแตกต่างของอาการทั้ง 2 ง่าย ๆ เลยก็คือ Premenstrual Dysphoric Disorder หรือ PMDD จะเป็นภาวะที่รุนแรงกว่า PMS โดยเป็นความผิดปกติทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือน อาการของ PMDD นั้นรุนแรงกว่า PMS มาก เช่น ซึมเศร้าอย่างรุนแรง อยากฆ่าตัวตาย โมโหร้าย ร้องไห้บ่อย ๆ นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิ อาการของ PMDD รุนแรงมากจนส่งผลกระทบต่อการทำงาน การเรียน และความสัมพันธ์ส่วนตัวนั่นเอง



PMS วินิจฉัยได้อย่างไร

อาการก่อนเมนส์มา

การวินิจฉัย PMS มักจะอาศัยการสังเกตอาการของผู้ป่วยเองเป็นหลัก เนื่องจากยังไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สามารถระบุสาเหตุได้โดยตรง โดยกระบวนการวินิจฉัย PMS สามารถทำได้ ดังนี้

1. บันทึกอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เช่น อารมณ์ ความรู้สึกทางกาย ปริมาณและชนิดของอาหารที่รับประทาน การออกกำลังกาย และปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง ติดต่อกันอย่างน้อย 2 รอบเดือน เพื่อให้แพทย์เห็นภาพรวมของอาการ
2. แพทย์จะทำการตรวจร่างกายทั่วไปเพื่อตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการคล้าย PMS เช่น การติดเชื้อ โรคไทรอยด์ หรือภาวะขาดฮอร์โมน
3. ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งตรวจเลือดเพื่อตรวจหาภาวะขาดเลือด ภาวะขาดวิตามิน หรือความผิดปกติของฮอร์โมนอื่น ๆ
4. แพทย์จะพิจารณาอาการของผู้ป่วยและผลการตรวจต่าง ๆ เพื่อแยกแยะ PMS ออกจากโรคอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

ผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น PMS ตามเกณฑ์ของสมาคมสูตินรีแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (ACOG) เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้

- มีอย่างน้อย 1 อาการทางกาย และ 1 อาการทางจิตใจ
- อาการเกิดขึ้นภายใน 5 วันก่อนมีประจำเดือน และหายไปภายใน 4 วันหลังจากมีประจำเดือน
- เกิดขึ้นอย่างน้อย 3 รอบเดือนติดต่อกัน
- อาการ PMS รบกวนการทำงาน การเรียน หรือความสัมพันธ์ส่วนตัว



PMS มีวิธีการรักษาโดยเบื้องต้นอย่างไร

อาการ PMS วิธีแก้โดยเบื้องต้น ถึงแม้จะยังไม่มีวิธีรักษาที่สามารถหายขาดได้ แต่ก็มีวิธีการต่าง ๆ ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการและทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ โดย PMS รักษาเบื้องต้น ดังนี้

1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- พยายามนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 7 - 8 ชั่วโมงต่อคืน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว วิ่งเบา ๆ หรือโยคะ ช่วยลดความเครียดและปรับปรุงอารมณ์ได้
- จัดตารางชีวิตให้เป็นระเบียบ ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือทำสมาธิ
- หาเทคนิคในการจัดการความเครียด เช่น การหายใจลึก ๆ การทำสมาธิ หรือการพูดคุยกับคนใกล้ชิด

2. การปรับเปลี่ยนอาหาร
- ลดการบริโภคอาหารแปรรูป อาหารที่มีโซเดียมสูง และอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะอาจทำให้อาการบวมและอารมณ์แปรปรวนรุนแรงขึ้น
- รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง ผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีน เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นและให้พลังงานที่เพียงพอ
- ดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยลดอาการท้องอืดและปวดท้องได้
- หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เพราะทำให้อาการนอนไม่หลับและวิตกกังวลรุนแรงขึ้น

3. การใช้สมุนไพร โดยสมุนไพรบางชนิด เช่น โหระพา มะขามป้อม และขมิ้นชัน อาจช่วยลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

4. การใช้ยาต่าง ๆ เช่น
- ยาแก้ปวดชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน หรือแอสไพริน อาจช่วยบรรเทาอาการปวดท้องและปวดหัวได้
- ยาคุมกำเนิดบางชนิดที่มีส่วนผสมของดรอสไพรีโนน (Drospirenone) อาจช่วยลดอาการบวมและอารมณ์แปรปรวนได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้



สรุป เกี่ยวกับ PMS

PMS คือ กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน โดยเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงก่อนมีประจำเดือน โดยอาการ PMS ได้แก่ ปวดหัว ปวดท้อง ปวดหลัง อารมณ์แปรปรวนง่ายกว่าปกติ เป็นต้น ทั้งนี้ หมั่นสังเกตอาการก่อนเมนส์มาให้ดี เพราะอาจจะเป็น PMS หรือ PMDD ได้ ซึ่งในปัจจุบัน PMS รักษาเบื้องต้นด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาหาร การใช้สมุนไพร และยาต่าง ๆ แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรงขึ้น ก็ควรเข้าปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง



33
นอนไม่หลับ

การนอนไม่หลับถือว่าเป็นพฤติกรรมความผิดของร่างกายอย่างหนึ่ง ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับสามารถพบได้ทุกเพศ ทุกช่วงอายุ โดยจะเกิดขึ้นบ่อยกับผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทำงานและผู้สูงอายุ ข้อมูลอ้างอิงมาจากกรมสุขภาพจิต ได้กล่าวไว้ว่า 3 ใน 4 ของประชากรในประเทศไทย หรือราว 19 ล้านคน กำลังเผชิญกับปัญหานอนไม่หลับแล้วมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่พบภาวะดังกล่าวมักจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นวัยทำงาน

นอนไม่หลับ เป็นหนึ่งโรคที่มีความผิดปกติในการนอนหลับ ซึ่งมักจะมีอาการนอนแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ หลับไม่ค่อยสนิท  นอนหลับยากอาจจะต้องใช้ระยะเวลากว่าจะนอนหลับได้นานกว่าคนปกติทั่วไป หากปล่อยให้มีอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายเป็นเวลานานและไม่ทำการรักษา อาจส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย อารมณ์ ความจำ พฤติกรรม และมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ถึงอย่างนั้นเรามาทำความเข้าใจถึงภาวะการนอนไม่หลับเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร มีปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดขึ้น และวิธีการรักษาการนอนไม่หลับภายในบทความนี้กัน



โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) คืออะไร

โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) หรือ นอนไม่หลับ คือภาวะที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการนอน คนที่มีภาวะนี้มักจะมีปัญหาในการนอนไม่หลับ นอนหลับได้ยาก นอนหลับไม่สนิท หรือหลับไม่ต่อเนื่องตลอดทั้งคืน ซึ่งนอนไม่หลับ เกิดจาก ความเครียด การรับประทานอาหาร การนอนไม่เป็นเวลาและอื่น ๆ ชั่วโมงในการนอนกหลับสำคัญอย่างมาก ถ้าจะให้ดีควรนอนให้ได้ 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน แต่ละช่วงวัยจะมีจำนวนเวลาการนอนที่จะไม่เท่ากัน

โดยลักษณะอาการนอนไม่หลับ เช่น นอนหลับไม่สนิท ตื่นกลางดึก งัวเงียระหว่างวัน อ่อนเพลีย หงุดหงิด วิตกกังวล รู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่าหลังตื่นนอน เป็นต้น หากผู้ป่วยมีอาการเหล่านี้เป็นระยะเวลานานหลายวัน หรือหลายเดือน มีโอกาสเสี่ยงสูงที่อาจจะมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจ สภาพร่างกาย และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป



อาการนอนไม่หลับแบบไหนที่ควรมาพบแพทย์

นอนหลับไม่สนิท

การนอนไม่หลับเป็นปัญหาที่พบเจอได้บ่อยในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับวัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุ ที่เกิดจากความเครียดในการทำงาน เมื่อไหร่ที่อาการนอนไม่หลับ นอนหลับยากมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันและไม่สามารถที่จะรักษา หรือหาวิธีแก้นอนไม่หลับด้วยตัวเอง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและเข้ารับรักษาอย่างถูกต้อง

อาการนอนไม่หลับที่ควรพบแพทย์
- มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งจะมีลักษณะอาการหายใจเฮือก หรือนอนกระสับกระส่าย
- นอนไม่หลับเรื้อรัง หากมีอาการนอนไม่หลับเป็นติดต่อกันนานหลายเดือน
- มีผลกระทบต่อการดำเนินในชีวิตประจำวัน รู้สึกอ่อนเพลีย งัวเงียตลอดทุกวัน หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล
- หาวิธีแก้ไขอาการนอนไม่หลับด้วยตัวเองแต่อาการไม่ดีขึ้น เช่น ปรับเปลี่ยนเวลานอน รับประทานวิตามินบำรุง กินยาสมุนไพรบำรุงร่างกาย เป็นต้น



นอนไม่หลับเกิดจากอะไร

อาการนอนไม่หลับ เกิดจากปัจจัยทางร่างกาย ปัจจัยทางจิตใจ ปัจจัยด้านพฤติกรรม รวมถึงอาการนอนไม่หลับสามารถเกิดขึ้นได้จากเหตุการณ์สะเทือนใจ แต่ถึงอย่างไรก็ตามภาวะนอนไม่หลับ สมองไม่หยุดคิดตอนเวลานอนหลับสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาการรักษาที่นานเป็นปี

สาเหตุหลัก ๆ ของอาการนอนไม่หลับ

ปัจจัยทางกาย
- อาการเจ็บปวด และโรคเรื้อรัง เช่น มีไข้ หายใจไม่สะดวก โรคหัวใจ โรคปวดเรื้อรัง โรคปอด โรคกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลย้อน
- รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้หวัด ยาลดน้ำหนัก ยาแก้หอบหืด

ปัจจัยทางจิตใจ
- ความเครียด ความวิตกกังวล ซึมเศร้า
- โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรคแพนิก โรควิตกกังวลทั่วไป

ปัจจัยด้านพฤติกรรม
- ใช้สารกระตุ้นจากเหล้า เบียร์ บุหรี่ กาแฟ เช่น แอลกอฮอล์ คาเฟอีน นิโคติน
- รับประทานอาหารมากเกินไปตอนก่อนจะนอน
- นอนไม่เป็นเวลา
- ออกกำลังกายใกล้กับเวลานอน

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
- ห้องนอนสว่างเกินไป
- มีเสียงดังรบกวนเวลานอน
- ห้องนอนคับแคบเกินไป
- อุณหภูมิภายในห้องนอนร้อน หรือเย็นเกินไป



การตรวจวินิจฉัยโรคนอนไม่หลับ

เมื่อผู้ป่วยที่มีภาวะนอนไม่หลับ เข้ารับการรักษากับแพทย์ ซึ่งทางแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโรคนอนไม่หลับ เพื่อหาสาเหตุของอาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นและวางแผนแนวทางการรักษาอย่างถูกต้อง

ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยโรคนอนไม่หลับ ได้แก่

1. สอบถามอาการที่เกิดขึ้น แพทย์จะสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาการนอนไม่หลับ หลับไม่สนิทกับผู้ป่วยอย่างละเอียด เช่น
- เริ่มมีอาการตอนไหน
- อาการที่เกิดมีอะไรบ้าง เช่น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ชอบตื่นตอนกลางคืนแล้วไม่สามารถกลับไปนอนหลับได้เหมือนปกติ
- ความรุนแรงของอาการนอนไม่หลับ
- สอบถามถึงปัจจัยที่มีความเสี่ยงทำให้อาการย่ำมากขึ้น
- สอบถามการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างไรบ้าง

2. ตรวจร่างกาย เป็นการตรวจร่างกายโดยทั่วไป และตรวจหาโรคอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นสาเหตุหลักในการทำให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับ เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคต่อมไทรอยด์ โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และโรคอื่น ๆ

3. วินิจฉัยโรคนอนไม่หลับ แพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อหาสาเหตุของอาการนอนไม่หลับ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับและตรวจสอบจังหวะการเต้นของหัวใจ คลื่นสมอง ร่างกาย เป็นต้น

4. แนวทางการรักษาโรคนอนไม่หลับ หลังจากที่แพทย์ทราบถึงสาเหตุหลักที่ของการนอนไม่หลับจากผู้ป่วย แพทย์จะแนะนำวิธีการรักษา
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น กำหนดเวลานอนที่ชัดเจน สร้างบรรยากาศภายในห้องนอนให้เงียบสงบไม่มีเสียงดังก่อกวน ปิดไฟให้มืดสนิท สร้างอุณหภูมิให้- - เย็นเหมาะสมกับการนอนหลับ
- ให้รับประทานยา เพื่อช่วยบรรเทาและช่วยให้นอนหลับในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
- บำบัดทางจิตวิทยา เป็นวิธีบำบัดทางความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วยที่จะช่วยขจัดความเครียด หรือความรู้สึกที่ทำให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับ



นอนไม่หลับส่งผลเสียกับร่างกายอย่างไรบ้าง

ผลเสียของโรคนอนไม่หลับ

ผลกระทบและผลเสียของการนอนไม่หลับที่จะเกิดขึ้นกับสุขร่างกายและภาวะทางอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ป่วย มีดังนี้

- รู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้เป็นโรคภัยได้ง่ายขึ้น
- ระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติ ส่งผลทำให้ผู้ป่วยอ้วนง่ายขึ้น หรือผอมลง
- ระบบประสาททำงานผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกมึนงง เวียนหัว
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่ายขึ้น เครียด วิตกกังวล
- ซึมเศร้าเรื้อรัง
- ความจำเสื่อม
- ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน



วิธีรักษาโรคนอนไม่หลับ

นอนไม่หลับแก้ยังไงได้บ้าง? โดยทางการแพทย์วิธีรักษาโรคนอนไม่หลับจะขึ้นกับความรุนแรงของอาการ ซึ่งวิธีรักษาโรคนอนไม่หลับ มีดังนี้

1. วิธีรักษาโรคนอนไม่หลับปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม
- ปรับอุณหภูมิในห้องนอนให้เหมาะสมกับการนอนหลับ
- สร้างบรรยากาศห้องนอนให้มืดสนิท และเงียบสงบ
- ใช้เตียงนอนและหมอนสำหรับการนอนเท่านั้น
- ใส่ที่ปิดตาตอนเวลานอนหลับ

2. วิธีรักษาโรคนอนไม่หลับปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน
- กำหนดเวลานอนหลับให้ชัดเจน
- งดนอนหลับระหว่างวัน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรออกกำลังกายก่อนนอน
- งดดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีนและงดสูบบุหรี่
- งดรับประทานอาหารมื้อใหญ่ก่อนนอน
- งดเล่นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และทีวีก่อนเข้านอน
- หากิจกรรมทำก่อนนอน เช่น อ่านหนังสือ เปิดเพลงกล่อมตอนนอน

3. วิธีรักษาโรคนอนไม่หลับด้วยการรับประทานยา
ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและรักษาด้วยวิธีอื่นแล้ว แต่อาการไม่ดีขึ้น แพทย์จะจ่ายยาในกลุ่มยาที่ฤทธิ์เป็นยานอนหลับ เช่น Benzodiazepines Nonbenzodiazepines เป็นต้น หากผู้ป่วยมีโรคทางจิตเวชร่วมด้วยยาที่ใช้รักษาจะเป็นกลุ่มยาจำพวก Antidepressants เป็นยากลุ่มยาต้านโรคซึมเศร้า ช่วยลดความวิตกกังวลและลดคลายเครียดได้ดี



สรุป โรคนอนไม่หลับ สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยตัวเอง

ถึงแม้โรคนอนไม่หลับเป็นหนึ่งในโรคที่พบเจอได้บ่อยกับคนในยุคปัจจุบัน เนื่องด้วยปัจจัยจากสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตประจำวันที่ก่อให้เกิดความเครียดสะสม ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับโรคที่เกิดขึ้นอย่างโรคนอนไม่หลับ และต้องหาวิธีรักษาทั้งแก้อาการนอนไม่หลับด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น กำหนดเวลาเข้านอนให้ชัดเจน หากิจกรรมทำก่อนนอนและปรับเปลี่ยนสภาพห้องนอนให้เหมาะกับการนอนหลับ หรืออาการไม่ดีขึ้นต้องเข้ารับการรักษากับทางแพทย์เฉพาะทางโดยตรง เพื่อให้แพทย์หาสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคนอนไม่หลับและหาแนวทางการรักษาอย่างเหมาะสม



34
โลกหมุนรอบเธอ

ขอบคุณรูปจาก VIU

โลกหมุนรอบเธอ แนะนำช่องทางดูโลกหมุนรอบเธอแบบออนแอร์และเรื่องย่อและรายชื่อนักแสดงนำและสมทบทั้งสามารถดูโลกหมุนรอบเธอย้อนหลังทุกตอนตามช่องทางต่าง ๆ

ละครที่บอกกล่าวเรื่องราวทั้งสุขและทุกข์ การฝ่าฟันอุปสรรคของเด็ก 3 คนที่เป็นเพื่อนกันจนเกิดเป็นความรักซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการอยู่ร่วมกับคนสังคมเมือง เรื่องโลกหมุนรอบเธอที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จกับสิ่งที่ตนเองตั้งเป้าหมายไว้ ยังมีอีกหลายปัจจัยและมีอีกหลายปมที่เป็นจุดเปลี่ยนให้ละครโลกหมุนรอบเธอเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนหลงรักที่ไม่หวานเกินและไม่ขมจนต้องร้องไห้

โลกหมุนรอบเธอ กับการรวมตัวกันของ 3 นักแสดง และเหตุผลอีกมากมายที่คุณห้ามพลาด!

โลกหมุนรอบเธอเป็นเรื่องราวของการดำเนินเรื่องของเพื่อนวัยเด็ก 3 คนจนกลายเป็นความผูกพันโดยได้สามนักแสดงหลักอย่างเจมส์จิ โบว์เมลดา และไอซ์ พาริศมาถ่ายทอดความแก่นเซี๊ยวในวัยเด็กมัธยมต้นจนกระทั่งเข้าสู่วัยทำงาน โดยคุณแอน ทองประสม ผู้จัดละครโลกหมุนรอบเธอนักแสดงทั้ง 3 คนจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความเป็นตัวตนของตัวละครออกมาได้อย่างน่าประทับใจและชวนให้น่าติดตาม

เรื่องย่อละครโลกหมุนรอบเธอ จุดเริ่มต้นและปลายทางจะเป็นอย่างไร

โลกหมุนรอบเธอ เรื่องย่อ : เรื่องเริ่มต้นจาก ตะวัน, มานะ, และชินเติบโตมาพร้อมกันภายใต้การดูแลของยายเฟือง ซึ่งทั้งสามคนสนิทสนมกันมาก ตะวันมีความฝันอยากเป็นผู้ประกาศข่าว ในขณะที่มานะและชินต่างต้องการเพียงเห็นตะวันมีความสุขเป็นเหมือนโลกหมุนรอบเธอ เพราะทั้งคู่รักตะวันมาก ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไปเมื่อได้รับทุนเรียนโรงเรียนอินเตอร์ฯ ชื่อดังที่ครอบครัวของพนิดาผู้ประกาศข่าวเป็นเจ้าของ

ที่โรงเรียนนี้ ตะวันพบกับแพท และเพนนี สองพี่น้องลูกของพนิดา แพทรู้สึกพอใจตะวันแต่เพนนีกลับไม่ชอบตะวันเพราะกลัวจะเสียความรักจากพี่ชายและครอบครัว ทำให้ชีวิตในโรงเรียนของตะวัน มานะ และชินเต็มไปด้วยการถูกแกล้ง แต่เขาทั้งสามคนต่างก็ให้กำลังใจกันและต้องฝ่าฟันไปให้ได้ จนกระทั่งแพทหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตของทั้งสามต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง

มานะและตะวันย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพ ส่วนชินกลับไปแก้ปัญหาของตนเอง มานะอาสาทำงานหาเงินส่งตะวันเรียนจนจบและได้งานเป็นนักข่าวฝึกหัดที่สถานีอำนาจอนันต์ ซึ่งทำให้เธอได้เจอกับพอลลูกชายของนาคินผู้อำนวยการสถานีและหัวหน้าฝ่ายข่าว พอลกับตะวันทำงานเข้าขากันได้ดี จนทำให้เพนนีเกิดความอิจฉา และในขณะนั้นชินได้ทำธุรกิจออนไลน์ร่วมกับเฮียไก่และเทพโดยใช้ชื่อว่าราเชนทร์

สำหรับมานะเริ่มธุรกิจใหม่ภายใต้ความช่วยเหลือจากนารินหม้ายสาวที่ได้รับมรดกจากสามี และฟอร์ดที่ร่วมเป็นหุ้นส่วนซึ่งก็กำลังไปได้ดี และโชคชะตาก็นำพาตะวัน มานะ และชินกลับมาพบกันอีกครั้ง เมื่อคดีการหายตัวไปของแพทถูกเปิดขึ้นมาใหม่ พวกเขาจะสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีตได้หรือไม่ เรื่องราวข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่และโลกหมุนรอบเธอกับความรักของทั้งสามจะลงเอยไปในทิศทางใด

รายละเอียดละครโลกหมุนรอบเธอกับทีมงานร่วมสร้างละคร

โลกหมุนรอบเธอ (Never Enough) เป็นละครน้ำดีที่จะเล่าเรื่องราวของการเริ่มต้นการเรียนรู้ชีวิต และพัฒนาการตั้งแต่วัยเด็กซึ่งจุดเริ่มต้นที่คน 3 คนจะต้องมาอยู่ร่วมกัน การให้กำลังใจกันกับโลกหมุนรอบเธอนางเอกและพระเอกรวมถึงนักแสดงท่านอื่นที่มากความสามารถพร้อมจะมาสร้างสีสันในมุมมองต่าง ๆ ทางสังคมทั้งในชนบทและสัมคมเมือง จนกว่าจะก้าวผ่านความยากลำบากไปได้จนถึงบทสรุปของเรื่อง

  • ละครเรื่อง : โลกหมุนรอบเธอ
  • แนวละคร : โรแมนติก ดราม่า
  • โลกหมุนรอบเธอตอนแรก : 22 กรกฎาคม 2567
  • ผลิตโดย : บริษัท ทอง สตูดิโอ จำกัด
  • ควบคุมการผลิต : แอน ทองประสม
  • กำกับการแสดง : อำไพพร จิตต์ไม่งง
  • บทประพันธ์ : ทอง สตูดิโอ
  • บทโทรทัศน์ : ณกุล

โลกหมุนรอบเธอ แนะนำนักแสดงชั้นนำร่วมสร้างสรรค์ผลงาน

โลกหมุนรอบเธอนักแสดง

ขอบคุณรูปจาก VIU

โลกหมุนรอบเธอนักแสดงชั้นนำที่เข้ามาร่วมสร้างสรรค์ผลงานกับภายใต้การดูแลของผู้จัดละครโลกหมุนรอบเธอ แอน ทองประสม โดยมีนักแสดงหลักดังนี้

  • โบว์ เมลดา สุศรี  นักแสดงนำเป็น  ตะวัน
  • เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข  นักแสดงนำเป็น  มานะ
  • ไอซ์ พาริส อินทรโกมาลย์สุต  นักแสดงนำเป็น  ชิน
  • เกรท วรินทร ปัญหกาญจน์  นักนักแสดงสมทบเป็น  พอล
  • นัท มีเรีย เบนเนเดดตี้  นักแสดงสมทบเป็น  นาริน
  • เอ๋ พรทิพย์ สกิดใจ  นักแสดงสมทบเป็น  พนิดา
  • เทศน์ ไมรอน  นักแสดงสมทบเป็น  แพท
  • ลีน่า ลลินา ชูเอ็ทท์  นักแสดงสมทบเป็น  เพนนี
  • มิ้นท์ นวินดา เบอร์ต๊อดตี้  นักแสดงสมทบเป็น  ฟ้าใส
  • โมสต์ วิศรุต หิมรัตน์ นักแสดงสมทบเป็น  เทพ
  • แจ๊บ เพ็ญเพ็ชร เพ็ญกุล  นักแสดงสมทบเป็น  นคร
  • เหมี่ยว ปวันรัตน์ นาคสุริยะ  นักแสดงสมทบเป็น  ยายเฟือง
  • กาย รัชชานนท์ สุประกอบ  นักแสดงสมทบเป็น  เฮียไก่
  • แดนนี่ ลูเซียโน่  นักแสดงสมทบเป็น  รอน
  • มะตูม เตชินท์ พลอยเพชร  นักแสดงสมทบเป็น  ฟอร์ด
  • วิทย์ ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล  นักแสดงสมทบเป็น  นาคิน
  • วิปครีม รุจิรดา ดิศกุล ณ อยุธยา  นักแสดงสมทบเป็น  ฟรังก์
  • ลิลลี่ สรินยา ออลสัน  นักแสดงสมทบเป็น  ตูน
  • โจอี้ ชัยยุทธ กิติชัยวัฒน์  นักแสดงสมทบเป็น  นพ
  • เปิ้ล ภารดี วงษ์สวัสดิ์  นักแสดงสมทบเป็น  วิไล
  • แพรว หัสสยา อิสริยะเสรีกุล  นักแสดงสมทบเป็น  ทราย

สรุป โลกหมุนรอบเธอเรื่องราวของเพื่อนที่ยังมีปมต้องแก้ไข ไปดูกันว่าจะจบลงอย่างไร

โลกหมุนรอบเธอเป็นบทละครน้ำดีที่สะท้อนสังคมตั้งแต่วัยเด็กในชนบทกับความเป็นอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีทั้งความรัก ความโลภ ความอิจฉาในสังคมที่วุ่นวาย ซึ่งความเป็นเพื่อนที่ยอมเสียสละเพื่อให้คนที่รักและหวังดีมีความสุขเปรียบเสมือนเป็นโลกหมุนรอบเธอนางเอกซึ่งสามารถหาดูโลกหมุนรอบเธอ ย้อนหลังได้แล้วตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ และไปรอรับชมโลกหมุนรอบเธอตอนจบว่าสรุปแล้วจะเป็นอย่างไร

35
Customs Clearance คือ

Custom Clearance คือการผ่านพิธีการศุลกากร ทำหน้าที่ในการตรวจสอบสินค้านำเข้า-ส่งออกระหว่างประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าเหล่านั้นถูกฎหมาย หรือระเบียบที่กำหนดไว้

ในปัจจุบัน ธุรกิจต่าง ๆ มักทำการค้าระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะนำเข้าหรือส่งออกสินค้า ซึ่งสินค้าเหล่านั้นจะต้องผ่าน Customs Clearance คือ กระบวนการผ่านพิธีการศุลกากร เป็นขั้นตอนรับรองว่าสินค้าทั้งเข้าและออกจากประเทศอย่างถูกกฎหมาย สำหรับนักธุรกิจหน้าใหม่อาจจะมีคำถามว่า พิธีการศุลกากรคืออะไร แล้วมีความสำคัญต่อธุรกิจอย่างไร

เพื่อให้ทุกคนเข้าใจเกี่ยวกับ Customs Clearance มากยิ่งขึ้น บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพิธีการศุลกากรไว้แล้ว ไม่ว่าเป็น Customs Clearance คืออะไร มีประเภทใดบ้าง เอกสารสำหรับ Custom Clearance มีอะไรบ้าง รวมถึงต้องใช้เวลาดำเนินงานเท่าไหร่ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้นักธุรกิจหน้าใหม่สามารถทำความเข้าใจกระบวนการพิธีการศุลกากรได้อย่างถูกต้อง

Custom Clearance คืออะไร มีกี่ประเภท

Customs Clearance คือการผ่านพิธีการศุลกากร หรือก็คือกระบวนการตรวจสอบสินค้านำเข้า หรือส่งออกผ่านด่านศุลกากร เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าเหล่านั้นเป็นไปตามกฎหมาย ถูกต้องตามระเบียบที่กำหนด เช่น กฎหมายภาษีสรรพสามิต กฎหมายควบคุมสินค้า กฎหมายสุขอนามัย ไปจนถึงกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดย Customs Clearance สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทดังนี้

Import Custom Clearance

Import Customs Clearance คือการผ่านพิธีการศุลกากรขาเข้า เป็นกระบวนการตรวจสอบสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย โดยศุลกากรจะตรวจให้แน่ใจว่าสินค้าเหล่านั้นเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

Export Custom Clearance

Export Customs Clearance คือการผ่านพิธีการศุลกากรส่งออก เป็นกระบวนการตรวจสอบสินค้าที่จะส่งออกไปยังต่างประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่ต้องการจะส่งไปนั้นถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงระเบียบที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับ Custom Clearance

Customs Clearance แปลว่า

การดำเนินการ Customs Clearance มีความซับซ้อน จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับเอกสาร ระยะเวลา รวมถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะนำเข้าหรือส่งออกสินค้า การเตรียมตัวให้พร้อมจะช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงความล่าช้า ซึ่งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามไปด้วย

เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับดำเนินการ Custom Clearance มีอะไรบ้าง

เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการดำเนินการ Customs Clearance หรือ พิธีการศุลกากรนั้น จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า ประเทศต้นทางและปลายทาง รวมถึงกฎระเบียบของแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีเอกสารสำคัญดังต่อไปนี้

สำหรับพิธีการศุลกากรนำเข้า

  • ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading หรือ Air Waybill): เป็นหลักฐานแสดงการรับสินค้าเพื่อขนส่ง
  • ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice): ระบุรายละเอียดของสินค้า เช่น ชนิด ปริมาณ ราคา
  • บัญชีรายละเอียดบรรจุภัณฑ์ (Packing List): แสดงรายละเอียดการบรรจุสินค้าในแต่ละหีบห่อ
  • ใบอนุญาตนำเข้า: สำหรับสินค้าที่ต้องขออนุญาต เช่น สินค้าควบคุม
  • หนังสือรับรองถิ่นกำเนิด: (Certificate of Origin) หากต้องการขออัตราภาษีพิเศษตามข้อตกลงการค้าเสรี
  • เอกสารอื่นๆ: อาจมีเอกสารเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เช่น ใบรับรองสุขอนามัย ใบรับรองคุณภาพ

สำหรับพิธีการศุลกากรส่งออก

  • ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading หรือ Air Waybill): เป็นหลักฐานแสดงการรับสินค้าเพื่อขนส่ง
  • ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice): ระบุรายละเอียดของสินค้า เช่น ชนิด ปริมาณ ราคา
  • บัญชีรายละเอียดบรรจุภัณฑ์ (Packing List): แสดงรายละเอียดการบรรจุสินค้าในแต่ละหีบห่อ
  • ใบอนุญาตส่งออก: สำหรับสินค้าที่ต้องขออนุญาต เช่น สินค้าควบคุม
  • หนังสือรับรองถิ่นกำเนิด: (Certificate of Origin) หากต้องการขออัตราภาษีพิเศษตามข้อตกลงการค้าเสรี
  • เอกสารอื่นๆ: อาจมีเอกสารเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เช่น ใบรับรองสุขอนามัย ใบรับรองคุณภาพ

ระยะเวลาในการ Customs Clearance

ระยะเวลาในการ Customs Clearance หรือ พิธีการศุลกากรนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่

  • ประเภทของสินค้า: สินค้าบางชนิด เช่น สินค้าควบคุม หรือสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง อาจต้องใช้เวลาในการตรวจสอบและอนุมัติที่นานกว่า
  • ปริมาณของสินค้า: สินค้าปริมาณมากจะใช้เวลานานในการตรวจสอบมากกว่าสินค้าปริมาณน้อย
  • ประเทศต้นทางและปลายทาง: กฎระเบียบและขั้นตอนการดำเนินงานของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน
  • เอกสารที่ยื่น: หากเอกสารครบถ้วนถูกต้องตามที่กำหนด ก็จะช่วยให้กระบวนการดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น
  • ความหนาแน่นของงาน: ในช่วงที่มีปริมาณสินค้าผ่านด่านศุลกากรจำนวนมาก อาจทำให้ระยะเวลาดำเนินการล่าช้า
  • การตรวจสอบเพิ่มเติม: หากเจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องการตรวจสอบสินค้าเพิ่มเติม ก็จะทำให้ระยะเวลาดำเนินการล่าช้าออกไปอีก

โดยทั่วไปแล้ว ระยะเวลาในการดำเนินการ Customs Clearance อาจใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมง จนถึงหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น

Customs Clearance มีความสำคัญอย่างไร

การ Customs Clearance คือสิ่งสำคัญต่อการค้าและเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากเป็นกระบวนการควบคุมการเคลื่อนย้ายสินค้าข้ามพรมแดนให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือระเบียบที่กำหนดไว้ การดำเนินการผ่านพิธีการศุลกากรจะช่วยในการจัดเก็บภาษีให้กับรัฐบาล ควบคุมการนำเข้า-ส่งออกสินค้าที่อาจเป็นอันตรายหรือผิดกฎหมาย รวมถึงปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ นอกจากนี้ยังช่วยรักษาความมั่นคงของประเทศ ป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี และคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอีกด้วย

Custom Clearance คือสิ่งที่จำเป็นต้องรู้

customs clearance fee คือ

Customs Clearance คือกระบวนการที่สำคัญในการค้าระหว่างประเทศ ทำหน้าที่ในการตรวจสอบรับรองสินค้าที่เข้าและส่งออกจากประเทศ เป็นไปตามกฎหมายหรือข้อบังคับหรือไม่ ไม่ว่าจะการนำเข้าวัตถุดิบหรือส่งออกผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป พิธีการศุลกากรที่มีประสิทธิภาพจะช่วยควบคุมปริมาณสินค้าไม่ให้ส่งออกหรือนำเข้ามากเกินไป  พร้อมทั้งยังช่วยจัดเก็บภาษีให้กับรัฐบาลนำไปพัฒนาประเทศต่อไป

36
ฝักบัวอาบน้ำ

เรามาดูวิธีการเลือกฝักบัวอาบน้ำอย่างเหมาะสมกับขนาดห้องน้ำและตอบโจทย์ชุดฝักบัวยืนอาบให้ร่างกายสะอาด สดชื่น พร้อมทำงานตลอดวัน

องค์ประกอบสำคัญของการอาบน้ำชุดฝักบัวอาบน้ำ ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบในปัจจุบัน แต่ละแบบจะมีฟังก์ชันการใช้งานและวัสดุแตกต่างกัน การเลือกฝักบัวอาบน้ำไม่เพียงแค่ใช้แบบไหนก็ได้ วิธีเลือกต้องใช้เทคนิคเพื่อได้อุปกรณ์ทำความสะอาดที่คงทน แข็งแรง ทนต่อแรงดันน้ำได้มาตรฐาน เรามาดูการเลือกฝักบัวห้องน้ำอย่างไร ให้เหมาะสมกับขนาดห้องน้ำและตอบโจทย์การชำระล้างร่างกายให้สะอาด

ความแตกต่างของฝักบัวอาบน้ำแต่ละประเภท

ฝักบัวห้องน้ำ

ฝักบัวอาบน้ำแต่ละแบบ มีจุดเด่นด้านการใช้งานที่ต่างกัน บางประเภทตอบโจทย์การทำงานที่หลากหลาย เพิ่มสีสันความสนุกในการอาบน้ำ เป็นที่นิยมและติดตั้งง่าย โดยมีชุดฝักบัวอาบน้ำ ดังนี้

  • Hand Shower ฝักบัวถืออาบ เป็นชุดฝักบัวยืนอาบมาตรฐานที่ได้รับความนิยมมากเพราะติดตั้งง่าย มีการใช้งานหลากหลาย นอกจากถือฝักบัวอาบน้ำทำความสะอาดเฉพาะจุดเดียว ยังสามารถแขวนไว้บนที่จับหรือราวแขวนแล้วเปิดน้ำอาบได้เลย มีสายให้เลือกแบบสายอ่อน ข้อต่อสแตนแขนเป็นต้น
  • Rain Shower ฝักบัวก้านโลหะแข็งสำหรับฝักบัวชนิดนี้จะเป็นติดตั้งไปกับผนังห้องน้ำ อยู่เหนือศีรษะ ตามการออกแบบของผู้ใช้งาน ไม่มีสายให้ถืออาบหรือเคลื่อนย้าย รูปล่อยน้ำมีข้อดีคือน้ำที่ปล่อยออกมาจะแรงกว่าชุดฝักบัวทั่วไป ให้ความรู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางสายฝน
  • Waterfall Shower ฝักบัวปล่อยน้ำแบบมีรูปล่อยด้านข้าง ติดตั้งบริเวณขนานกับแผงประมาณ 4-6 อัน ให้พอดีกับระดับตัวผู้ใช้งาน ชุดฝักบัวชนิดนี้มีการพัฒนาออกแบบใหม่ ตามลักษณะของรูปล่อยน้ำ ให้อารมณ์คล้ายกับน้ำตก เหมือนอยู่ท่ามกลางสายน้ำให้ความชุ่มฉ่ำออกมาทั้งสองข้าง
  • ฝักบัวเพดาน เป็นฝักบัวน้ำแรงขนาดใหญ่ ติดฝังไว้กับบริเวณเพดานเหนือศีรษะ บางรุ่นมีสี LED เพิ่มความสนุกสนานระหว่างอาบน้ำ เปลี่ยนความหนาแน่นตามหัวฝักบัวแรงดันสูงได้หลายรูปแบบ

การเลือกฝักบัวอาบน้ำสำคัญยังไง?

การเลือกฝักบัวอาบน้ำให้เข้ากับบ้านหรือเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์มีความสำคัญอย่างไร ฝักบัวอาบน้ำมีข้อดีกว่าการใช้อาบธรรมดา ยังสามารถใช้เปลี่ยนอารมณ์ให้รู้สึกเพลิดเพลินและมีรุ่นที่ประหยัดน้ำในการใช้งานได้อีกด้วย ดังนี้

  • ฝักบัวห้องน้ำและก๊อกผสมฝักบัวกรองเศษสิ่งสกปรก ฝุ่น ตะกอนที่มาจากน้ำได้ในระดับหนึ่ง ถ้าหากคุณอยู่ในพื้นที่น้ำสกปรกสามารถติดตั้งเครื่องกรองน้ำเข้าได้อีกด้วย
  • ฝักบัวมีข้อดีกว่าการใช้ขันตักอาบ นอกจากความสะดวกสบายแล้วยังสามารถเลือกฝักบัวแรงดันสูง เพื่อปรับแรงดันน้ำตามความชอบได้เลย
  • ประหยัดน้ำหากใช้ฝักบัวครบชุดที่ผ่านมาตรฐาน มอก. และยังมีบางรุ่นที่ผลิตออกมาเพื่อช่วยประหยัดน้ำกว่าเดิมอีก 50%
  • ติดตั้งพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่นเวลาหน้าหนาวได้
  • ทำความสะอาดร่างกายได้ทุกซอก ทุกมุม ถ้าเป็นจุดที่ทำความสะอาดได้ยาก ใช้ฝักบัวถืออาบปล่อยน้ำเฉพาะจุดได้เลย
  • สัมผัสของน้ำมีหลายระดับ ช่วยให้รู้สึกสบาย อาบน้ำสนุกขึ้น ตื่นตัวก่อนไปทำงาน

แนะนำวิธีเลือกซื้อฝักบัวอาบน้ำ

วิธีเลือกซื้อฝักบัวอาบน้ำ อันดับแรกควรดูที่ตัววัสดุฝักบัวว่าผลิตจากอะไรเช่น พลาสติก อะลูมิเนียม โครเมียม โดยแต่ละแบบมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกัน ถ้าเป็นพลาสติกจะมีน้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายง่าย ติดตั้งง่าย แต่อายุการใช้งานอาจไม่นานเท่าโครเมียมหรืออะลูมิเนียมที่มีดีไซน์สวย ดูเรียบหรูกว่า การเลือกซื้อชุดฝักบัวเข้าบ้าน ควรเลือกให้เหมาะกับความต้องการของผู้ใช้งาน เข้ากับสไตล์การแต่งบ้านให้เข้าไปในทิศทางเดียวกัน ขนาดห้องน้ำ โครงสร้างของบ้านและการติดตั้งปั๊มน้ำ โดยยังมีข้อควรพิจารณาอีกหลายข้อ ได้แก่

  • เลือกจากขนาดของพื้นที่ใช้สอย ให้การติดตั้งพอดีกับจุดที่ต้องการ เนื่องจากฝักบัวบางประเภทต้องฝังไปกับผนังหรือกำแพง ควรเลือกและตัดสินใจให้รอบคอบในขั้นตอนนี้
  • ตรวจสอบแรงดันน้ำประปาบ้าน ก่อนเลือกฝักบัวอาบน้ำแรงดันสูงว่ามีแรงดันน้ำเพียงพอตามความต้องการหรือไม่
  • เลือกหัวฝักบัวที่เข้ากับการแต่งบ้านหรือเลือกสีให้เข้ากับสไตล์บ้าน
  • วัสดุของชุดฝักบัวอาบน้ำไม่ควรมีตัวนำไฟฟ้า หากต้องใช้ร่วมกับเครื่องทำน้ำอุ่น
  • เลือกฝักบัวอาบน้ำมีมาตรฐาน ทนต่อแรงดันน้ำได้ ไม่รั่วซึมในอนาคต
  • การเลือกฟังก์ชันต่างๆ ของฝักบัวอาบน้ำ ให้ตรงกับความตรงการของผู้ใช้มากที่สุด เพื่อความสบายในการอาบน้ำ ไม่แรงเกินไป หรือการกระจายตัวของน้ำไม่ละเอียด ทิศทางน้ำไม่ตรงใจเป็นต้น

ฝักบัวอาบน้ำ ควรมีการดูแลให้ใช้งานไปได้ยาวๆ

การดูแลรักษาฝักบัวอาบน้ำเป็นอีกวิธี ทำให้ฝักบัวสามารถใช้งานไปได้ยาวนาน ซึ่งในการดูแลควรเริ่มจากการป้องกันและแก้ปัญหา เช่น คราบตะกรัน สนิม ฝักบัวแรงดันกลายเป็นน้ำไหลไม่แรง ฝักบัวรั่วซึมน้ำหยด โดยมีวิธีดูแลรักษาดังนี้

  • คราบตะกรัน เป็นปัญหาที่พบเจอได้ ส่งผลให้เกิดการอุดตันและน้ำไหลช้า จึงควรหมั่นใช้น้ำส้มสายชูมากำจัดคราบหรือใช้ยาสีฟันและเบกกิ้งโซดา ในการทำความสะอาดสิ่งสกปรก ช่วยให้ฝักบัวดูสะอาดขึ้นได้
  • สนิม เกิดจากการระเหยของไอน้ำทำให้ไปทำลายผิวเคลือบวัตถุที่เป็นโลหะ ผิวโครเมียม ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการ ทำความสะอาดอุปกรณ์ฝักบัวในห้องน้ำด้วยวิธีแรกคือ น้ำส้มสายชู, ยาสีฟัน,เบกกิ้งโซดา เป็นการช่วยเพิ่มความทนทาน ป้องกันการเกิดสนิม
  • น้ำไหลไม่แรง เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความรำคาญใจได้ อาบน้ำแล้วรู้สึกไม่สดชื่น ซึ่งอาจเกิดจากท่อประปาของบ้านแรงไม่พอ ติดตั้งปั๊มน้ำขนาดไม่พอกับการใช้งานและอาจเกิดขึ้นได้จากคราบสกปรกอุดตัน จึงควรตรวจหาต้นเหตุให้พบแล้วแก้ไขตามปัญหาที่แท้จริง
  • ฝักบัวน้ำซึม ดูแลได้ด้วยการเปลี่ยนสต๊อปวาล์วหรือตรวจสอบเทปพันเกลียว ข้อต่อของฝักบัวสายอ่อนให้ดี ถ้าหากใช้ไปนานๆ แล้วชำรุด อาจทำให้เกิดน้ำรั่วซึม จนเป็นปัญหาเรื่องค่าน้ำในอนาคต

ฝักบัวอาบน้ำ ตัวช่วยกรองน้ำ ชำระล้างร่างกายให้สะอาด

ฝักบัวอาบน้ำเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ชำระล้างร่างกายในชีวิตประจำวัน การใช้ฝักบัวอาบน้ำที่มีคุณภาพจะทำให้ ร่างกายรู้สึกสดชื่น พร้อมเริ่มวันใหม่และช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ หากเกิดปัญหาเรื่องการเลือกซื้อ การดูแลรักษา การทำความสะอาด อาจสร้างปัญหากวนใจในการใช้ชีวิต คราบสนิม คราบสกปรก เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค อาจเป็นสาเหตุที่อาบน้ำแล้วสิวขึ้น จึงควรตรวจสอบวัสดุในห้องน้ำและทำความสะอาดหลังใช้งานเสร็จอยู่เป็นประจำ

37
Line Ads Platform เครื่องมือการตลาดที่นักการตลาดไทยต้องรู้จัก
Line Ads Platform

Line Ads Platform เป็นเครื่องมือโฆษณาดิจิทัลที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน LINE จำนวนมาก แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ด้วยความสามารถในการกำหนดเป้าหมายที่มีความละเอียด และรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย Line Ads Platform จึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการโปรโมทสินค้าและบริการในยุคดิจิทัล ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างการรับรู้แบรนด์ เพิ่มยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำความเข้าใจ Line Ads Platform (LAP) คืออะไร
Line Ads Platform คือ

Line Ads Platform คือระบบโฆษณาออนไลน์ที่พัฒนาโดย LINE Corporation เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างและจัดการแคมเปญโฆษณาบนแอปพลิเคชัน LINE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาสามารถเข้าถึงผู้ใช้งาน LINE ผ่านรูปแบบโฆษณาที่หลากหลายเช่น แบนเนอร์ วิดีโอ และข้อความ โดยสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำตามข้อมูลประชากรศาสตร์ พฤติกรรม และความสนใจของผู้ใช้งาน

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือวิเคราะห์ผลการดำเนินงานที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ Line Ads Platform จึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำการตลาดดิจิทัลในปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีผู้ใช้งาน LINE เป็นจำนวนมาก

Line Ads Platform มีรูปแบบการแสดงผลโฆษณาอย่างไร
หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจกับ Line Ads Platform กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถัดไปเราจะมาดูกันว่าไลน์แอดมีรูปแบบการแสดงผลโฆษณาแบบไหนบ้าง โดยรูปแบบโฆษณา LINE Ads แพลตฟอร์มเมื่อซื้อโฆษณาผ่าน Line LAP จะมี 5 รูปแบบดังนี้

 • โฆษณาแบบ pop-up ที่จะปรากฏเหนือหน้า Chat
 • โพสต์โฆษณาที่แสดงในฟีด Timeline ของ LINE ที่มีระบุคำว่า "sponsored"
 • เนื้อหาโฆษณาที่ปรากฏในส่วนข่าวสาร LINE Today ที่มีการระบุว่าเป็น "Sponsored"
 • รายการแนะนำที่ได้รับการสนับสนุนในแพลตฟอร์ม LINE TV
 • โฆษณาแบบ pop-up ที่แสดงในหน้า LINE Wallet

จุดเด่นของ Line Ads Platform มีอะไรบ้าง
Line Ads

การโฆษณาผ่าน Line Ads Platform เป็นกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจในปัจจุบัน แพลตฟอร์มนี้ได้เปิดโอกาสที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยจุดเด่นและประโยชน์มากมายดังนี้

 • การเข้าถึงผู้ใช้งานจำนวนมาก: LINE มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมาก โดยเฉพาะในประเทศไทย ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวาง
 • การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ: สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายตามข้อมูลพฤติกรรม และความสนใจได้อย่างละเอียด
 • รูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย: Line Ads Platform มีตัวเลือกรูปแบบโฆษณาที่หลากหลายเช่น Display Ads, Sticker, Chat Ads ทำให้สามารถเลือกวิธีการนำเสนอที่เหมาะสมกับแต่ละแคมเปญ
 • การวัดผลและวิเคราะห์ที่แม่นยำ: มีเครื่องมือวิเคราะห์ผลการดำเนินงานที่ละเอียด ช่วยให้สามารถติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างต่อเนื่อง
 • การสร้างการมีส่วนร่วม: รูปแบบโฆษณาบางประเภทเช่น Sticker Ads ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมและความผูกพันกับแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 • ความคุ้มค่าในการลงทุน: Line Ads Platform สามารถกำหนดงบประมาณและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะสำหรับธุรกิจทุกขนาด
 • การเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มอื่น: สามารถเชื่อมโยงกับช่องทางการขายหรือเว็บไซต์ของธุรกิจได้โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสในการแปลงเป็นยอดขาย

วิธีลงโฆษณา Line Ads Platform ด้วยตนเอง
หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจกับรูปแบบของโฆษณาและจุดเด่นของ Line Ads Platform กันไปแล้ว สำหรับใครรู้สึกสนใจและอยากลองลงโฆษณา Line Ads เอง สามารถเริ่มต้นทำได้ตามขั้นตอนเหล่านี้

1. เริ่มต้นการสร้างแคมเปญสินค้า
ในขั้นตอนแรกของการลงโฆษณา Line Ads Platform ให้กำหนดวัตถุประสงค์ของแคมเปญให้ชัดเจนเช่น ต้องการเพิ่มยอดขาย สร้างการรับรู้แบรนด์ หรือเพิ่มการมีส่วนร่วม จากนั้นออกแบบเนื้อหาโฆษณาที่ตรงกับวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมาย โดยคำนึงถึงรูปแบบโฆษณาต่าง ๆ ที่ LINE รองรับเช่น Display Ads, Sticker Ads หรือ Chat Ads เลือกรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมายของคุณ

2. กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน
ใช้เครื่องมือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายของ Line Ads Platform เพื่อระบุกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการให้เห็นโฆษณา โดยสามารถกำหนดตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น
 • ข้อมูลประชากรอย่าง อายุ เพศ ที่อยู่
 • ความสนใจอย่าง งานอดิเรก กีฬา การท่องเที่ยว
 • พฤติกรรมการใช้งาน LINE เช่น ความถี่ในการใช้งาน สติกเกอร์ที่ใช้บ่อย
 • ข้อมูลอื่น ๆ อย่าง ระดับการศึกษา รายได้ (ถ้ามีข้อมูล)
การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญและประหยัดงบประมาณ

3. ลงโฆษณาผ่าน Line Ads Platform
หลังจากเตรียมเนื้อหาโฆษณาและกำหนดกลุ่มเป้าหมายเรียบร้อยแล้วให้ดำเนินการดังนี้
 1. อัปโหลดสื่อโฆษณา (รูปภาพ วิดีโอ หรือข้อความ) ลงบน Line Ads Platform
 2. กำหนดงบประมาณรวมและงบประมาณรายวัน
 3. ตั้งระยะเวลาการแสดงผลโฆษณา
 4. เลือกรูปแบบการเรียกเก็บเงินเช่น CPC (Cost Per Click) หรือ CPM (Cost Per Mille)
 5. ตรวจสอบและยืนยันการตั้งค่าทั้งหมด
 6. กดเริ่มแคมเปญ

4. วัดผลโฆษณาด้วยระบบ LAP
ใช้ระบบการวัดผลของ Line Ads Platform (LAP) เพื่อติดตามและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญ ซึ่งระบบนี้จะแสดงข้อมูลสำคัญต่าง ๆ เช่น
 • จำนวนการแสดงผล (Impressions)
 • อัตราการคลิก (Click-Through Rate)
 • จำนวนการแปลงเป็นยอดขาย (Conversions)
 • ค่าใช้จ่ายต่อการแปลงเป็นยอดขาย (Cost Per Conversion)
 • ROI (Return on Investment)
การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้เพื่อปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง โดยทดลองปรับเปลี่ยนเนื้อหา กลุ่มเป้าหมาย หรือการตั้งค่าอื่น ๆ เพื่อหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ

ค่าบริการโฆษณาผ่าน Line Ads Platform เท่าไหร่
line ads คือ

Line Ads Platform ได้นำเสนอระบบการกำหนดราคาที่ยืดหยุ่นสำหรับผู้ที่ต้องการลงโฆษณา ช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมงบประมาณและเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญได้ตามความต้องการ โดยระบบการตั้งราคาของ Line Ads Platform มีสองรูปแบบหลัก ๆ ดังนี้

การตั้งราคาเสนอด้วยตนเอง
รูปแบบแรกในการลงโฆษณา Line Ads Platform วิธีใช้จะเป็นการตั้งราคาเสนอด้วยตนเอง ผู้ลงโฆษณาสามารถกำหนดราคาเสนอสูงสุดที่ยินดีจะจ่ายสำหรับการแสดงผลโฆษณาหรือการคลิกโฆษณา ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเรียกเก็บเงินที่เลือก (เช่น CPC หรือ CPM) วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์และต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างละเอียด สามารถปรับราคาเสนอตามผลการดำเนินงานของแคมเปญและการแข่งขันในตลาด อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจต้องใช้เวลาและความเชี่ยวชาญในการจัดการและปรับแต่งอย่างต่อเนื่อง

การตั้งราคาเสนอด้วยระบบอัตโนมัติ
อีกรูปแบบหนึ่งของการลงโฆษณา Line Ads Platform จะเป็นการตั้งราคาเสนออัตโนมัติ ซึ่งะบบนี้จะใช้อัลกอริธึมของ LINE ในการปรับราคาเสนอโดยอัตโนมัติเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดภายในงบประมาณที่กำหนด ผู้ลงโฆษณาเพียงแค่กำหนดงบประมาณรวมและเป้าหมายของแคมเปญ (เช่น การเพิ่มยอดคลิก หรือการเพิ่มการแสดงผล) จากนั้นระบบจะปรับราคาเสนอโดยอัตโนมัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยวิธีนี้จะเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาจัดการแคมเปญอย่างใกล้ชิดหรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นใช้งานแพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตาม อาจมีข้อจำกัดในการควบคุมรายละเอียดบางอย่างของแคมเปญ

การลง Line Ads Platform ทั้งสองวิธีนี้มีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน ผู้ลงโฆษณาควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับประสบการณ์ เป้าหมาย และทรัพยากรที่มี

สรุปการใช้งาน Line Ads Platform
Line Ads Platform เป็นเครื่องมือโฆษณาดิจิทัลที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในตลาดที่ LINE มีฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่ แพลตฟอร์มนี้ได้นำเสนอรูปแบบโฆษณาที่หลากหลายเช่น Display Ads, Sticker Ads และ Chat Ads ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ โดยการลงโฆษณาบน Line Ads Platform จะเริ่มจากการสร้างแคมเปญ กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ลงโฆษณา และวัดผลด้วยระบบ LAP

นอกจากนี้ยังมีระบบการตั้งราคาที่ยืดหยุ่น ทั้งแบบตั้งราคาเสนอด้วยตนเองและแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมงบประมาณและเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญได้ตามต้องการ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ Line Ads Platform จึงเป็นช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตในยุคดิจิทัล

38
นำเข้าสินค้าจากจีน

สินค้านําเข้าจากจีน ราคาส่งกำลังได้รับความนิยมด้วยสินค้าที่มีความหลากหลายและมีความรวดเร็วในการเตรียมสินค้าเพื่อจัดส่ง ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางการสร้างอาชีพของนักขายที่อยากได้สินค้าราคาดีและแปลกใหม่ บริษัทรับนำเข้าสินค้าจากจีนจึงได้รับความสนใจและจะต้องเลือกพิจารณาใช้บริการจากแหล่งรับชิปปิ้งที่น่าเชื่อถือมีบริการรวดเร็วและพร้อมช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างทันที

เว็บไซต์สั่งสินค้าจากจีนยอดนิยม บริการรวดเร็วพร้อมให้คำแนะนำตลอดการขนส่ง
ปัจจุบันมีเว็บไซต์รับนำเข้าสินค้าจากจีนที่ได้รับความนิยมซึ่งมีหลายเว็บไซต์ที่จะนำมาแนะนำ โดยเว็บนำเข้าสินค้าจากจีนที่จะแนะนำนี้มีระบบการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว มีการประกันสินค้าจากผู้ขายทำให้เกิดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้าโดยบริษัทนำเข้าสินค้าจากจีนที่จะแนะนำมีดังนี้
- Siam China Cargo เป็นบริษัทนำสินค้าเข้าจากจีนแบบครบวงจรที่มีการจัดการเรื่องเอกสารต่าง ๆ ให้อย่างครบถ้วน โดยสินค้า นำเข้าจากจีนมีทั้งสินค้าแฟชั่นต่าง ๆ สินค้าเครื่องจักร อุตสหกรรมซึ่งสามารถติดตามสถานะของสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- Taobao อีกหนึ่งเว็บไซต์ที่พ่อค้าแม่ค้านิยมใช้บริการคือการนําเข้าสินค้าจากจีน taobao ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นสินค้าขายปลีกที่สามารถเข้าไปนำแบบสินค้าต่าง ๆ มาเปิดขายได้เลยโดยไม่มีค่าบริการและยิ่งมีการนำเข้าสินค้าจำนวนมากขึ้นก็มีราคาประโมชันเพิ่มให้อีก
- Alibaba เป็นเว็บรับเข้าสินค้าจากจีนที่หลายคนเคยรู้จักกันในชื่อ 1688 เป็นรูปแบบบริการที่สามารถติดต่อประสานงานกับเจ้าของร้านหรือเจ้าของสินค้าจีนได้โดยตรง โดยเฉพาะปัจจุบันนี้สามารถพูดคุยกันได้ง่ายขึ้นมากกว่าเดิม
- JD.com เป็นเว็บนําเข้าสินค้าจากจีน มาขายซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับพ่อค้าแม่ค้าหลายคนที่เข้าไปใช้บริการพรีออเดอร์ ซึ่งรับประกันว่าเป็นสินค้าของแท้และส่งจริงอย่างแน่นอน โดยมีศูนย์บริการอยู่หลายแห่งในประเทศ

นำเข้าสินค้าจากจีน กับการเตรียมเอกสารที่ต้องใช้มีอะไรบ้าง
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นในการหาสินค้าจากจีนมาขายนอกจากจะหาบริษัทรับนำเข้าสินค้าจากจีนที่มีรูปแบบครบวงจร และเชื่อถือได้แล้วในส่วนของเอกสารก็มีความจำเป็นจะต้องเตรียมให้พร้อมด้วย โดยเอกสารที่ต้องใช้มีดังนี้
- ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice) ออกโดยผู้ขาย
- ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin)
- ใบสั่งซื้อสินค้าจากจีน (Purchase Order)โดยผู้ซื้อ
- ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading หรือ Airway Bill) โดยผู้ขนส่ง
- ใบรายการบรรจุภัณฑ์ (Packing List)
- ใบรับรองคุณภาพ (Quality Certificate) สินค้าจีนประเภท อาหาร เครื่องสำอาง
- ใบอนุญาตนำเข้าสินค้าจีน (Import License) สินค้าควบคุมบางประเภทโดยกฎหมาย
- ใบรับรองสุขอนามัย (Health Certificate) สินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ
- เอกสารการชำระเงิน (Payment Documents)

นำเข้าสินค้าจากจีน มีขั้นตอนง่าย ๆ ได้สินค้าที่รวดเร็วทันใจ

สินค้า นำเข้าจากจีน

การนำเข้าสินค้าจากจีนไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าสินค้าจากจีนมาเพื่อขายต่อหรือให้ขนส่งสินค้าไปยังลูกค้าโดยตรงมีขั้นตอนที่สำคัญและต้องการการวางแผนอย่างรอบคอบทั้งยังต้องเลือก Shipping นําเข้าสินค้าจากจีนที่มีประสบการณ์เพื่อให้การนำเข้าสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็วสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี โดยขั้นตอนการนำเข้าสินค้าจากจีนมีดังนี้
1. เลือกสินค้าที่ต้องการนำเข้าและหาบริษัทนำเข้าสินค้าจากจีนที่เชื่อถือได้ โดยมีหลายเว็บไซต์ที่สามารถเช็คหรือตรวจการทำงานได้
2. เจรจาต่อรองเรื่องราคากับผู้นำเข้าสินค้าจากจีนและทำการสั่งซื้อสินค้า โดยต้องตรวจสอบเงื่อนไขการชำระเงินและการจัดส่งให้ชัดเจน
3. เตรียมเอกสารที่จำเป็นตามรายการนําเข้าของจากจีนและเรื่องภาษีให้ครบถ้วน เช่น ใบรายการสินค้า ใบรายงานหรือรับรองแหล่งที่มาสินค้า
4. เลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม ซึ่งอาจขอคำแนะนำจาก Shipping นำเข้าสินค้าจากจีนด้วยเพื่อสำหรับสินค้าบางประเภท เช่น การขนส่งทางเรือหรือทางอากาศ และทำการจองขนส่ง
5. ดำเนินการผ่านด่านศุลกากร ซึ่งรวมถึงการชำระภาษีและอากรนำเข้าโดยต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมเพื่อความรวดเร็วในการขนส่ง
6. ตรวจสอบสินค้าเมื่อมาถึงปลายทาง และจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น สินค้าเสียหายไม่ครบตามจำนวน หรือสินค้าที่ได้เกิดการชำรุด

นำเข้าสินค้าจากจีนกับชิปปิ้งที่มีประสบการณ์ รวดเร็ว พร้อมแก้ปัญหาได้อย่างดี
เหตุผลที่ควรใช้บริการ Shipping นำเข้าสินค้าจากจีนโดยหากเป็นบริษัทนำเข้าสินค้าจากจีนที่น่าเชื่อถือซึ่งช่วยเรื่องการดำเนินการที่ครอบคลุมรวดเร็วและมีความรู้เรื่องการจัดการเอกสารการนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งยังมีประสบการณ์หากเกิดปัญหาเฉพาะหน้าสามารถที่จะพูดคุยหรือแก้ปัญหาแทนได้ เพื่อที่ให้ได้รับสินค้าที่รวดเร็วตรงตามเวลาและยังคงไว้ด้วยสินค้าที่อยู่ในสภาพที่ดีและครบถ้วน

เลือกชิปปิ้งนำเข้าสินค้าจากจีนที่มีประสบการณ์มีชัยไปกว่าครึ่ง

นำเข้าสินค้าจากประเทศจีน

สำหรับวิธีการเลือกบริษัทนำเข้าสินค้าจากจีนที่คุ้มค่าราคาถูกในปัจจุบันนี้มีหลายแห่งที่มีความน่าเชื่อถือ และมีชื่อเสียงเป็นผู้นำเข้าสินค้าจากจีนที่ได้รับความไว้ใจจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าซึ่งสามารถเช็ครีวิว และตรวจสอบรูปแบบสินค้าและการขนส่งที่ให้บริการได้ก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการ ซึ่งในแต่ละเว็บไซต์หรือบริษัทจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสินค้าที่ต้องการนำเข้าด้วยเช่นกัน

นำเข้าสินค้าจากจีน ดีสำหรับการเริ่มต้นเป็นแม่ค้าและต้องการสินค้าราคาถูกมีคุณภาพ
หากต้องการนำเข้าสินค้าจากจีนไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้วเพียงแค่เลือกใช้บริการบริษัทนำเข้าสินค้าจากจีนที่มีความชำนาญและพร้อมที่จะช่วยแก้ปัญหาหรือให้คำแนะนำที่ดีก็จะได้รับสินค้า นำเข้าจากจีนตรงตามเวลาและช่วยให้การเริ่มต้นเป็นนักขายการเลือกสินค้าเพื่อการทำกำไรได้อย่างมืออาชีพ

39
บัญชีเงินฝาก

การวางแผนการเงินอาจดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วมันคือสิ่งที่ช่วยให้คุณได้ใกล้ชิดกับความฝันและเป้าหมายที่คุณตั้งใจไว้ การเลือกเปิดบัญชีเงินฝาก เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทำให้ความฝันเหล่านั้นเป็นจริงได้ ด้วยความปลอดภัยในการเก็บเงินและดอกเบี้ยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มันเหมือนกับการปลูกต้นไม้ที่มีความหวัง รอคอยให้ผลิบาน และช่วยให้คุณมีความมั่นใจในทุกก้าวของชีวิต การทำความรู้จักกับบัญชีเงินฝากประจำจึงเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญในการเดินทางสู่อนาคตที่สดใสและมั่นคง



บัญชีเงินฝาก มีกี่ประเภท และรายละเอียดเป็นอย่างไร ?

การเลือกเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่เหมาะกับความต้องการของคุณเริ่มต้นจากการเข้าใจประเภทของบัญชีที่มีอยู่ เพื่อให้คุณสามารถเลือกบัญชีที่ดีที่สุดสำหรับการออมเงินของคุณได้อย่างมั่นใจ เราจะอธิบายประเภทต่าง ๆ ของบัญชีเงินฝาก เพื่อช่วยให้คุณเลือกทางที่ดีที่สุดในการสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงในอนาคต ได้เแก่

บัญชีเงินฝากออมทรัพย์
บัญชีเงินฝากออมทรัพย์เปรียบเสมือนที่พักพิงสำหรับเงินของคุณที่มอบทั้งความปลอดภัยและความอบอุ่นใจ เป็นที่ที่คุณสามารถเก็บออมเพื่ออนาคตได้อย่างสบายใจ ทุกครั้งที่คุณฝากเงินเข้าไป มันเหมือนการวางแผนเพื่อความฝันและความหวังในวันข้างหน้า การเห็นยอดเงินที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นก็เหมือนกับการได้เห็นความสำเร็จที่ใกล้เข้ามาทุกที บัญชีนี้อาจไม่ได้ให้ดอกเบี้ยบัญชีออมทรัพย์ แต่ความสบายใจที่ได้จากการรู้ว่าเงินของคุณอยู่ในที่ที่ปลอดภัยก็คุ้มค่าเกินกว่าจะประเมินเป็นตัวเลขได้

บัญชีเงินฝากประจำ
บัญชีเงินฝากประจำเป็นเหมือนพันธะสัญญาระหว่างคุณกับอนาคตของคุณเอง มันบอกว่าคุณพร้อมที่จะทุ่มเทและรอคอยเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ด้วยการฝากเงินเข้าบัญชีเป็นประจำอย่างมีวินัย คุณสร้างความมั่นคงทางการเงินและเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับวันข้างหน้า แม้ว่าเงินของคุณจะถูกล็อคไว้ชั่วคราว แต่ผลตอบแทนที่สูงขึ้นก็เป็นรางวัลสำหรับความมุ่งมั่นของคุณ บัญชีนี้ไม่ใช่แค่การออมเงิน แต่มันคือการลงทุนในความฝันและอนาคตของคุณเอง

บัญชีเงินฝากกระแสรายวัน
บัญชีเงินฝากกระแสรายวัน คือ บัญชีที่พร้อมให้คุณเข้าถึงเงินสดได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายบิล การซื้อของ หรือธุรกิจต่าง ๆ แม้ดอกเบี้ยอาจจะไม่สูง แต่ความยืดหยุ่นและความสะดวกสบายที่คุณได้รับกลับมีค่ามากยิ่งกว่า บัญชีนี้เหมือนกับการมีเพื่อนที่อยู่เคียงข้างตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะต้องการความช่วยเหลือทางการเงินเมื่อใด มันก็พร้อมจะตอบสนองทุกความต้องการของคุณอย่างทันท่วงที




แนะนำบัญชีเงินฝากประจำที่น่าสนใจ และสามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

แนะนำบัญชีฝากดอกเบี้ยสูง

การเลือกบัญชีเงินฝากที่เหมาะสมคือการเริ่มต้นการออมที่มั่นคงและคุ้มค่า โดยเราจะพาคุณไปพบกับบัญชีธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูงที่น่าสนใจ เพื่อให้การออมเงินของคุณเป็นเรื่องง่ายและเต็มไปด้วยประโยชน์ ซึ่งมีดังนี้

บัญชี ttb me save
บัญชี ttb มีเซฟ เป็นบัญชีฝากประจำดอกเบี้ยสูงที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการในการเก็บออมของคุณได้อย่างลงตัว บัญชีนี้ให้คุณฝากเงินได้อย่างอิสระโดยไม่มีข้อจำกัดในจำนวนเงินฝากหรือระยะเวลา ทำให้คุณสามารถจัดการเงินของคุณได้ตามความสะดวก นอกจากนี้ บัญชีนี้ยังมีดอกเบี้ยที่ช่วยให้เงินของคุณเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเงินสำรอง หรือสะสมเงินเพื่อเป้าหมายในอนาคต โดยมีความยืดหยุ่นในการถอนเงินเมื่อต้องการ

บัญชี ttb no fix
บัญชีโนฟิกซ์คือ เสมือนทางเลือกที่เปิดกว้างสำหรับคนที่ต้องการความยืดหยุ่นในการออมเงิน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดใด ๆ คุณสามารถฝากหรือถอนเงินได้อย่างอิสระตามความต้องการของคุณ โดยไม่ต้องล็อกเงินไว้หรือกำหนดระยะเวลา บัญชีเงินเก็บนี้ให้คุณได้สัมผัสกับความสบายใจและคล่องตัวในการจัดการการเงินของคุณ พร้อมรับดอกเบี้ยที่ดีขึ้นกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป บัญชี ttb no fix จึงเป็นเพื่อนคู่ใจที่ช่วยคุณออมเงินอย่างมั่นใจในทุก ๆ วัน

บัญชี ttb all free
บัญชี ttb all free เป็นบัญชีเงินฝากที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของคุณอย่างเต็มที่ โดยคุณสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งการโอนเงิน จ่ายบิล หรือถอนเงินจากตู้ ATM โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียม นอกจากนี้ การเปิดบัญชีเงินฝากนี้ยังมีบริการพิเศษ เช่น การรับดอกเบี้ยอัตราพิเศษ และการทำธุรกรรมต่างประเทศฟรีค่าธรรมเนียม ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ต้องการความยืดหยุ่นและความคุ้มค่าในบัญชีธนาคารที่ใช้ทุกวัน

บัญชี Krungsri Smart Save
บัญชี Krungsri Smart Save เป็นบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสะสมเงินอย่างปลอดภัยพร้อมกับรับดอกเบี้ยที่มีความยืดหยุ่น บัญชีนี้ให้คุณฝากเงินได้ตลอดเวลาโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องจำนวนเงินขั้นต่ำ และยังได้รับดอกเบี้ยที่สามารถปรับตามสภาวะตลาดได้ ทำให้คุณสามารถจัดการเงินฝากประจำธนาคารของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการเก็บออมเงินในระยะยาวโดยยังคงมีความสะดวกในการถอนเงินเมื่อจำเป็น

บัญชี KBank Save Plus
บัญชี KBank Save Plus เป็นบัญชีฝากประจำดอกเบี้ยที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการการเก็บออมอย่างมีระเบียบและยืดหยุ่น คุณสามารถฝากเงินได้ตามต้องการโดยไม่จำกัดจำนวนครั้งและยังได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีเงินฝากทั่วไป นอกจากนี้ การเปิดบัญชีออมเงินนี้ยังมีความสะดวกในการถอนเงินเมื่อจำเป็น ทำให้เหมาะสำหรับการเก็บออมเพื่อเป้าหมายทางการเงินระยะยาว หรือการจัดการเงินสำรองในชีวิตประจำวัน ด้วยความยืดหยุ่นนี้ คุณสามารถมั่นใจได้ว่าการออมเงินของคุณจะเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ



สรุปบัญชีเงินฝากให้เหมาะสมอย่างไร ?

การเลือกบัญชีเงินฝากที่เหมาะสมจะช่วยให้การออมเงินของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยบัญชีเงินฝากทั่วไปมักแบ่งเป็นประเภทหลัก ๆ เช่น บัญชีออมทรัพย์ บัญชีเงินฝากประจำ และบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน แต่ถ้าคุณต้องการความครบครัน



40
รวม 5 บัตรเครดิต เช็กสิทธิประโยชน์ แต่ละบัตรต่างอย่างไร

บัตรเครดิต

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่หันมาใช้จ่ายในรูปแบบไร้เงินสดกันมากขึ้น ทั้งการสแกนจ่าย และใช้บัตรเครดิต เพื่อความสะดวกสบายเมื่อต้องใช้จ่าย เลือกใช้จ่ายสิ่งจำเป็นได้ก่อน และมีสิทธิประโยชน์มากมาย นอกจากนี้ บัตรเครดิตสามารถใช้จ่ายแทนเงินสดได้ ไม่ต้องพกเงินสดทุกครั้งที่ไปไหนมาไหน และยังมีสิทธิ์ประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมายขึ้นอยู่แต่ละประเภทของบัตรเครดิต การใช้บัตรเครดิตควรเลือกบัตรเครดิตให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของคุณ

การสมัครบัตรเครดิต ทำบัตรเครดิตไม่ใช่เรื่องที่ยาก สามารถสมัครบัตรเครดิตออนไลน์อนุมัติเร็วได้ หรือสมัครบัตรเครดิตผ่านทางธนาคาร และสถาบันเงินต่าง ๆ โดยตรงได้เหมือนกัน วันนี้เราจะมาบอกถึงข้อดีของบัตรเครดิต พร้อมแนะนำบัตรเครดิตที่น่าทำน่าสนใจของธนาคาร ttb กัน

ข้อดีของการมีบัตรเครดิต มีอะไรบ้าง

บัตรเครดิตเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถใช้แทนเงินสดเพื่อจ่ายค่าสินค้าและบริการ การขอบัตรเครดิต หรือการสมัครจะต้องทำกับทางธนาคาร และสถาบันการเงิน หลักการทำงานของบัตรเครดิตเป็นการยืมเงินจากธนาคารเพื่อเอามาใช้จ่ายก่อนแล้วค่อยจ่ายคืนตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา หากเกินระยะสัญญาที่กำหนดจะถูกคิดดอกเบี้ย ผู้ที่สมัครบัตรเครดิต ttb จะได้รับสิทธิประโยชน์อย่าง เช่น คะแนนสะสมเพื่อแลกของรางวัล, ส่วนลดจากร้านค้าที่ร่วมรายการกับธนาคาร ttb, สามารถเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าได้, การผ่อนชำระสินค้าดอกเบี้ย 0%, Cash Back, ที่จอดรถ เป็นต้น

นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิต ยังมีข้อดีของการมีบัตรเครดิต ดังนี้

  • สะดวกสบายโดยไม่ต้องพกเงินสด การมีบัตรเครดิตจะทำให้คุณไม่ต้องพกเงินสด หรือต้องการตู้ ATM กดเงินสดใช้ เพียงแค่คุณมีบัตรเครดิตก็สามารถใช้จ่ายได้อย่างที่คุณต้องการ
  • สร้างประวัติทางการเงิน การใช้บัตรเครดิต และมีการชำระหนี้ตรงเวลาจะเป็นการสามารถสร้างประวัติทางการเงินที่ดีให้กับคุณ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขอสินเชื่อในอนาคต เช่น การขอสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ
  • สะสมคะแนนและโปรโมชั่น บัตรเครดิต ttb หลายประเภทมีโปรแกรมการสะสมคะแนน สามารถนำเอาคะแนนที่สะสมไปแลกรางวัล หรือส่วนลดตามร้านค้าได้
  • มีความปลอดภัยสูงและป้องกันการถูกโจรกรรม การใช้บัตรเครดิตช่วยป้องกันความเสี่ยงในการถูกขโมยเงิน และบัตรเครดิตมีระบบความปลอดภัย เช่น ระบบตรวจสอบประวัติการใช้งาน ระบบการยืนยันตัวตน และการอายัดบัตรในกรณีที่บัตรเครดิตหาย

แนะนำบัตรเครดิต 5 ประเภทที่น่าสนใจ

แนะนำบัตรเครดิต

บัตรเครดิตของ ttb สามารถสมัครบัตรเครดิต ttb ออนไลน์ สะดวกสบาย ขั้นตอนง่ายไม่ยุ่งยาก และอนุมัติไว สมัครบัตร ttb หากใครที่สนใจอยากมีบัตรเครดิตของ ttb แต่ไม่รู้จะสมัครบัตรเครดิตอะไรดี ขอแนะนำ 5 บัตรเครดิต ttb ดังนี้

บัตรเครดิต ttb absolute

บัตรเครดิต ttb absolute เหมาะสำหรับนักเดินทางโดยเฉพาะ สามารถสมัครบัตรเครดิต ttb ผ่านแอป หรือออนไลน์ได้เลย

จุดเด่นบัตรเครดิต ttb absolute

  • อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศถูก เพียง 1% (ปกติ 2.5%)
  • รับคะแนน X2 เมื่อใช้จ่ายออนไลน์
  • ฟรี Airport Lounge 2 ครั้งต่อปี เข้าใช้เลานจ์สนามบินฟรี สะดวกสบายก่อนการเดินทาง
  • ฟรีประกันอุบัติเหตุจากการเดินทาง วงเงินคุ้มครองสูงสุด 16 ล้านบาท เมื่อชำระค่าโดยสารยานพาหนะสาธารณะผ่านบัตรเครดิต ttb absolute
  • ผ่อน 0% นาน 3 เดือน ทุกรายการใช้จ่ายตั้งแต่ 1000 บาทขึ้นไป ต่อเซลล์สลิป

บัตรเครดิต ttb so fast

บัตรเครดิต ttb so fast เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมัครบัตรเครดิตใบแรก และนักสะสมแต้ม สามารถสมัครบัตรเครดิตออนไลน์ เป็นบัตรเครดิตสมัครง่าย มีฐานเงินเดือนตั้งแต่ 15,000 บาท ขึ้นไป หรือ ประกอบธุรกิจส่วนตัวมีรายได้ต่อเดือน 15,000 บาทขึ้นไปก็สมัครได้เหมือนกัน

จุดเด่นของบัตรเครดิต ttb so fast

  • ได้คะแนนสะสมเร็ว เพียงใช้จ่ายทุก 10 บาท รับ 1 คะแนน
  • ใช้คะแนนสะสมของยอดซื้อ แลกเป็น Cashback สูงสุด 12% ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ
  • ฟรีประกันอุบัติเหตุจากการเดินทาง วงเงินคุ้มครอง 6 ล้านบาท
  • ผ่อน 0% นาน 3 เดือน ทุกรายการใช้จ่ายตั้งแต่ 1000 บาทขึ้นไป ต่อเซลล์สลิป
  • ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้า และรายปี

บัตรเครดิต ttb so smart

บัตรเครดิต ttb so smart เหมาะสำหรับช้อปปิง รับ cashback เงินคืน 1% ทุกการใช้จ่าย ผู้ที่สนใจสามารถสมัครบัตรออนไลน์ ช่องทางของ ttb

จุดเด่นของบัตรเครดิต ttb so smart

  • รับเงินคืน 1% ทุกยอดใช้จ่าย
  • ฟรีประกันอุบัติเหตุจากการเดินทาง วงเงินคุ้มครอง 6 ล้านบาท
  • ผ่อน 0% นาน 3 เดือน ทุกรายการใช้จ่ายตั้งแต่ 1000 บาทขึ้นไป ต่อเซลล์สลิป
  • ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้า และรายปี

บัตรเครดิต ttb so chill

บัตรเครดิต ttb so chill เหมาะกับผู้ที่ต้องการเงินสดแบบทันใจ และใช้สำหรับรูดซื้อของที่จำเป็น ผู้ที่สนใจสมัครบัตรเครดิต อนุมัติทันทีผ่านแอป ttb หรือออนไลน์

จุดเด่นของบัตรเครดิต ttb so chill

  • ฟรีค่าธรรมเนียมกดเงินสด 3%
  • ได้คะแนนสะสมเร็ว เพียงใช้จ่ายทุก 25 บาท รับ 1 คะแนน
  • รับเงินคืน 5% จากดอกเบี้ยที่เรียกเก็บเมื่อจ่ายตรงเวลา
  • ผ่อน 0% นาน 3 เดือน ทุกรายการใช้จ่ายตั้งแต่ 1000 บาทขึ้นไป ต่อเซลล์สลิป
  • ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้า และรายปี

บัตรเครดิต ttb Global House

บัตรเครดิต ttb Global House เหมาะสำหรับผู้ที่รักบ้าน ชื่นชอบการตกแต่งบ้าน ซื้อเฟอร์นิเจอร์ และสินค้าเครื่องใช้ในบ้าน เป็นบัตรเครดิตที่สมัครง่ายผ่านแอป ttb หรือออนไลน์

จุดเด่นของบัตรเครดิต ttb Global House

  • รับเครดิตเงินคืน 5% เมื่อใช้จ่ายที่โกลบอลเฮ้าส์
  • ลด 3% ทันที ตั้งแต่บาทแรก เมื่อใช้บัตรเครดิต ttb Global House
  • ในการชอปที่โกลบอลเฮ้าส์ทุกสาขา
  • แบ่งจ่าย 0% สูงสุด 10 เดือน ที่โกลบอลเฮ้าส์ และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ
  • ได้คะแนนสะสมเร็ว เพียงใช้จ่ายทุก 25 บาท รับ 1 คะแนน
  • ผ่อน 0% นาน 3 เดือน ทุกรายการใช้จ่ายตั้งแต่ 1000 บาทขึ้นไป ต่อเซลล์สลิป
  • ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้า และรายปี

บัตรเครดิต ปลอดภัย สะดวกในการใช้จ่าย

สมัครเครดิต

บัตรเครดิตแต่ละประเภทที่แนะนำกันไปในข้างต้นนั้น มีเงื่อนไขรายละเอียด และสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการสมัครไปเพื่อจุดประสงค์ใดไว้สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั่วไป ซื้อสินค้าราคาสูง หรืออยากสะสมแต้มเพื่อรับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ฉะนั้นควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจสมัคร

41
หากกำลังมองหา Rack ประเภทต่าง ๆ แร็ควางสินค้าหรือชั้นแร็ควางของเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานชั้นวางสินค้าในระบบงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีแร็ควางของหลายประเภทให้เลือกนำไปใช้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ไม่ว่าจะเป็นชั้นวางสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม ชั้นวางคลังสินค้า รวมถึงแร็คใส่ของให้เลือกตามการใช้งาน



แร็ควางของ (Rack) คืออะไร?

แร็ควางของ

แร็ควางของหรือแร็คชั้นวางของ สำหรับการจัดวางของหรือวางสินค้าต่าง ๆ ทำจากวัสดุที่มีความแข็งแรงนำมาใช้เพื่อเป็นระเบียบและเป็นไปตามมาตรฐานการจัดวางสินค้า ยิ่งชั้นวางของ Rack ในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยิ่งเลือกใช้งานได้อย่างเหมาะสมยิ่งแสดงถึงความใส่ใจที่จะพัฒนาระบบคลังสินค้าที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในคลังสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน ISO โดยชั้นวางของมีกี่ประเภท

- แร็ควางของแบบคงที่ (Static Pallet Storage)
- แร็ควางของแบบไดนามิก (Dynamic Pallet Storage)
- ชั้นเก็บชิ้นส่วนขนาดเล็กแบบไดนามิก (ZSmall Parts Storage Dynamic)
- ระบบชั้นวางสินค้า (Storage of long loads)



ชั้นวางสินค้า (Shelf) คืออะไร?

แร็คชั้นวางของ

แร็ควางของอีกแบบที่มีความเรียบง่ายเหมาะกับพื้นที่จำกัด โดยนำไปใช้งานในระบบร้านค้าสำหรับโชว์สินค้าขายประเภทต่าง ๆ หรือใช้ในร้านสะดวกซื้อที่เป็นชั้นวางสินค้า (Shelf) ซึ่งก็มีหลายประเภทให้เลือกใช้อย่างเหมาะสมทั้งการช่วยจัดวางสินค้าได้อย่างมีระเบียบและยังช่วยตกแต่งร้านค้าได้

- แร็ควางสินค้าแบบตั้ง นิยมใช้ในระบบร้านค้าทั่วไป เคลื่อนย้ายได้ ติดตั้งง่าย
- แร็ควางสินค้าแบบแขวนผนัง เป็นแร็คชั้นวางของที่มีน้ำหนักเบา ยังช่วยตกแต่งร้านได้อีกด้วย
- แร็ควางสินค้ามีล้อเลื่อน เป็นชั้นวางสินค้ามีล้อเลื่อนที่ทำให้เคลื่อนย้ายง่าย



แร็ควางของ และ Shelf ชั้นวางสินค้ามีวิธีการเลือกซื้ออย่างไร

สำหรับแร็ควางของหรือ Rack วางพาเลทและ Shelf หรือชั้นวางสินค้าเหมาะกับการใช้งานต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทขององค์กรเป็นระบบร้านค้าขนาดเล็กหรือต้องการให้เป็นชั้นวางของ Rack ที่แข็งแรงในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเห็นความแตกต่างในการเลือกนำไปใช้ได้อย่างชัดเจน

ประเภทของการนำไปใช้งาน
สำหรับการเลือกแร็ควางของหรือจะเป็นแร็ควางสินค้า หากเป็นชั้นวางของ ในโรงงานหรือคลังสินค้าขนาดใหญ่ก็ต้องเลือกเป็น Rack ที่ทำมาจากวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทาน และมีหลากหลายขนาดซึ่งต่างจากระบบร้านค้าหรือร้านสะดวกซื้อเลือกใช้เป็น Shelf หรือชั้นวางสินค้าที่ประกอบง่าย เคลื่อนย้ายได้สะดวกหรือเป็นแบบมีล้อเลื่อน รวมถึงแบบแขวนติดผนังก็ได้

ประเภทที่เหมาะกับสินค้าต่าง ๆ
แน่นอนหากเป็นสินค้าระบบอุตสาหกรรมโรงงานก็จะต้องเลือกใช้ชั้นวางพาเลทขนาดใหญ่ที่ต้องมีความแข็งแรงการติดตั้งที่มีความมั่งคงเพื่อความปลอดภัยทั้งตัวสินค้าและพนักงาน ซึ่งหากเป็นสินค้าในร้านสะดวกซื้อเป็นชั้นวางสินค้าที่เคลื่อนย้ายได้และมีหลายขนาด แต่หากเป็นสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้างก็จะต้องเลือกแร็ควางของที่มีความแข็งแรงให้มากขึ้น

ประเภทโครงสร้างวัสดุของ Rack วางของ
เลือกใช้วัสดุโครงสร้างในการผลิตแร็ควางของประเภทต่าง ๆ เช่น เหล็ก พลาสติกหรือไม้ให้เหมาะกับร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ เหมาะกับประเภทสินค้าขนาดเล็กขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักแตกต่างกันไป ซึ่งสามารถสอบถามข้อมูลหรือขอคำแนะนำจากแหล่งบริการ Rack ชั้นวางของที่พร้อมบริการและติดตั้งให้อีกด้วย



แร็ควางของหรือ Shelf ชั้นวางสินค้ามีข้อดีอย่างไรบ้าง

เหตุผลที่ควรเลือกใช้แร็ควางของไม่ว่าจะเป็นระบบร้านค้าขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ รวมไปถึงชั้น Rack ในระบบโรงงานก็ตามมีทั้งประโยชน์และข้อดีมากมายทั้งกับระบบการทำงานขององค์กรและเป็นข้อดีสำหรับกลุ่มลูกค้าที่จะได้รับสินค้าไปอย่างมีคุณภาพไม่หมดอายุ ไม่แตกหักหรือชำรุด

ข้อดีของการใช้แร็ควางของ
- หากเป็นชั้น Rack จะเหมาะกับสินค้าหรือของที่มีน้ำหนักมาก ใช้ได้กับสินค้าหลากหลายประเภท
- แร็ควางของมีหลากหลายขนาดหลายชั้นที่เลือกให้เหมาะกับประเภทสินค้าได้
- เป็นการจัดเก็บสินค้าที่ช่วยให้เป็นระบบ ง่ายในการจัดการ และปลอดภัยทั้งสินค้าและทีมปรฎิบัติงาน

ข้อดีของการใช้แร็ควางสินค้า
- เป็น Shelf ที่หลายแบบยังช่วยตกแต่งร้านค้าหรือร้านสะดวกซื้อให้สวยงามได้
- เป็นระบบชั้นวางที่ช่วยให้การจัดวางสินค้าได้ง่าย และหยิบจับได้สะดวก
- หากเป็นชั้นวางสินค้าที่มีราวกั้นยังช่วยให้สินค้าปลอดภัยไม่ตกแตกหรือชำรุด



แร็ควางของเลือกซื้ออย่างไรให้ถูกใจ เหมาะกับสินค้าและการบริการ

การเลือกแร็ควางของเพื่อนำไปใช้งาน ซึ่งแร็ควางของมีหลายประเภทและมีราคาที่แตกต่างกัน โดยไปดูวิธีเลือก Rack ให้เหมาะสมกับการใช้งานที่จะมีประโยชน์ต่อองค์กร ทีมงานและยังส่งผลต่อลูกค้าหรือผู้บริโภคได้อีกด้วย

- ขนาดของแร็ควางของหรือ Rack วางพาเลทที่สามารถรับน้ำหนักของสินค้าได้ เป็นสินค้าประเภทใดจำนวนการจัดวางควรจะเป็นแบบใด
- ประเภทของสินค้าซึ่งมีหลายหมวดหมู่ จึงต้องเลือกประเภทและวัสดุที่เป็นโครงสร้างของแร็คชั้นวางของให้เหมาะสมรวมถึงขนาดและน้ำหนัก
- พื้นที่ในการวางชั้นแร็ควางของ ซึ่งแน่นอนว่าหากเป็นร้านค้าทั่วไปอาจใช้เป็น Shelf ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า แต่ถ้าเป็นอุตสาหกรรมโรงงานก็ต้องเลือกชั้นวางของสำหรับในโรงงานโดยเฉพาะ
- หากเป็นอุตสาหกรรมโรงงานต้องเลือกแร็ควางของที่เข้ากันได้ดีกับระบบคลังสินค้า สามารถนับตรวจเช็ตสินค้าได้ง่ายหรือสามารถใช้รถโฟล์คลิฟท์ช่วยได้



แร็ควางของกับการเลือกซื้อจากแหล่งที่มีคุณภาพ ใส่ใจทุกโครงสร้างของชั้นวางทุกประเภท

มาตรฐานชั้นวางสินค้า

การเลือกซื้อแร็ควางของที่ไหนดี สิ่งแรกที่ต้องคำนึงก็คือประเภทของ Rack ที่จะต้องมีมาตรฐานชั้นวางสินค้าที่เหมาะกับทุกการทำอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งระบบโรงงาน ร้านค้า ร้านสินค้าเกษตรซึ่งมองหาได้ที่ Jungheinrich เพราะที่นี่ให้ความสำคัญของโครงสร้างแร็ควางสินค้าที่ต้องปลอดภัย ใช้งานได้หลากหลายกับประเภทสินค้าต่าง ๆ และมั่นใจได้ด้วยคุณภาพ ทั้งการบริการที่มีมากกว่า 60 ปีแล้ว



42
วางแผนมีบุตร

เชื่อว่าการมีลูกเป็นหนึ่งในความฝันของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลาย ๆ คน สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่กำลังวางแผนมีบุตร แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มวางแผนจากตรงไหน หรือยังไม่มั่นใจว่าแผนการมีบุตรที่วางออกมาสามารถทำได้จริงหรือไม่ บทความนี้เราจะพาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทุกท่านมาทำความรู้จักกันเคล็ดลับการวางแผนมีบุตร ต้องวางอย่างไรให้แผนการมีบุตรสามารถใช้ได้จริง พร้อมแนะนำเทคโนโลยีทางการแพทย์สำหรับผู้ที่มีบุตรยาก เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านได้มีบุตรสมใจ ถ้าอยากรู้กันแล้วว่าการเตรียมตัวมีลูกควรเริ่มต้นจากอะไร มีเทคโนโลยีทางการแพทย์แบบไหนที่น่าสนใจ แล้วต้องเตรียมความพร้อมก่อนมีลูกในด้านใดบ้าง สามารถหาคำตอบของทุกคำถามได้ในบทความนี้



การวางแผนมีบุตรตั้งแต่อายุก่อน 35 สำคัญยังไง

อยากท้อง

สำหรับคู่รักที่กำลังวางแผนมีบุตรคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่าการมีลูกยิ่งอายุน้อยมากเท่าไหร่ โอกาสในการตั้งครรภ์ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะในช่วงอายุ 20-30 ปี ที่เป็นช่วงอายุที่มีโอกาสตั้งครรภ์มากที่สุด เด็กมีโอกาสออกมาแข็งแรงและสมบูรณ์มากที่สุด แตกต่างจากช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไปที่โอกาสในการตั้งครรภ์จะน้อยลงเรื่อย ๆ จากช่วงอายุที่เลยวัยเจริญพันธุ์ และยังมีโอกาสเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะมีบุตรยากเพิ่มขึ้น

เพราะฉะนั้นหากคุณกำลังวางแผนมีบุตรเราขอแนะนำให้รีบวางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ และเพิ่มโอกาสที่ทารกจะออกมาสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ แต่สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตรแต่ช่วงอายุเลยวัยเจริญพันธุ์ ในปัจจุบันก็ยังมีเทคโนโลยีทางการแพทย์มากมาย ที่สามารถเพิ่มโอกาสการมีบุตรให้คุณได้



แนะนำวิธีการดูแลตัวเองสำหรับผู้ที่อยากวางแผนมีบุตร

หลังจากทราบกันแล้วว่าการวางแผนมีลูกกับช่วงอายุมีความสำคัญอย่างไร หัวข้อนี้เราจะมาพูดถึงแนวทางการดูแลตัวเองสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตรกันบ้าง จะมีวิธีดูแลตัวเองวิธีใดที่น่าสนใจบ้างมาดูกัน

ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการมีบุตร
แน่นอนว่าร่างกายของคนเรามีความแตกต่างกันคู่ที่กำลังวางแผนมีบุตรจึงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจเช็คสรรถภาพของร่างกายว่ามีความพร้อมสำหรับการมีบุตรมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้แพทย์แนะนำแนวทางการดูแลตัวเอง และแนะนำการวางแผนมีบุตรที่เหมาะกับร่างกายและช่วงอายุของคุณ

นับวันตกไข่ให้พร้อม
วันตกไข่วันสำคัญสำหรับผู้ที่วางแผนการมีลูก เนื่องจากวันตกไข่เป็นวันที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงที่สุด แถมในแต่ละเดือนวันตกไข่จะมีเพียง 1-2 วันเท่านั้น สำหรับผู้ที่วางแผนมีบุตรวันตกไข่จึงเป็นวันสำคัญที่ไม่ควรพลาด

เตรียมร่างกายให้พร้อม
แน่นอนว่าร่างกายเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการตั้งครรภ์ ผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตรจึงควรเตรียมร่างกายให้เพร้อมด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ และทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์

งดการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์
อย่างที่เราทราบกันดีว่าการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตรการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ปริมาณอสุจิลดลง ความแข็งแรงต่ำ ฮอร์โมนหลั่งผิดปกติ และอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบกับการวางแผนการมีบุตร



เพิ่มวิธีการมีบุตรด้วยวิธีรักษาทางการแพทย์

หลังจากทราบแนวทางการเตรียมตัวสำหรับการวางแผนครอบครัวกันไปแล้ว เราจะมาพูดถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์สำหรับผู้ที่มีบุตรยากกันบ้าง จะมีเทคโนโลยีใดที่น่าสนใจบ้างมาดูกัน

การฝากไข่
สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีครอบครัวที่อยากมีลูกแต่ยังไม่อยากมีลูกในตอนนี้ เราบอกเลยว่าการฝากไข่เป็นวิธีการวางแผนมีบุตรที่เหมาะกับคุณเป็นอย่างมาก เพราะการฝากไข่เป็นการเก็บรักษาเซลล์ไข่ในการอายุที่ตัดสินใจฝาก เพื่อการวางแผนมีบุตรในช่วงเวลาที่เหมาะสม วิธีนี้จึงเป็นวิธีการวางแผนครอบครัวมีลูกที่เหมาะกับคนที่ยังไม่มีความพร้อมในช่วงเวลาปัจจุบันเป็นอย่างมาก

การฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูก
การฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูกหรือ IUI เป็นวิธีการวางแผนมีบุตรวิธีหนึ่งที่เหมาะกับคนที่ปรึกษาวางแผนการมีบุตรแล้วพบว่าตนเองมีบุตรยาก โดยวิธีนี้จะเป็นการฉีดอสุจิที่คัดกรองแล้วเข้าสู่โพรงมดลูกเพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์

การทำเด็กหลอดแก้ว
การทำเด็กหลอดแก้วเป็นการวางแผนมีบุตรที่เหมาะกับคนที่วางแผนมีครอบครัวแต่มีภาวะมีบุตรยาก โดยการทำเด็กหลอดแก้วจะมีด้วยกัน 2 วิธี คือ IVF ที่เป็นการคัดแยกอสุจิเพื่อนำมาผสมกับไข่เพื่อให้เกิดตัวอ่อนภายนอกร่างกายจากนั้นจึงนำไปฝังในโพรงมดลูกและ ICSI ที่เป็นการคัดแยกอสุจิที่แข็งแรงที่สุดเพื่อผสมกับไข่เพื่อให้เกิดตัวอ่อนภายในร่างกาย



เทคโนโลยีทางการแพทย์เทคโนโลยีสำคัญสำหรับการวางแผนมีบุตร

อยากมีบุตร

การวางแผนมีบุตรเป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับผู้ที่อยากมีลูก ทั้งในผู้ที่มีบุตรง่ายและมีบุตรยาก เพราะการวางแผนมีบุตรจะช่วยให้เราทราบว่าร่างกายของเรามีสภาวะที่พร้อมต่อการมีบุตรหรือไม่ เพื่อให้เราสามารถวางขั้นตอนได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในผู้ที่มีบุตรยากการปรึกษาวางแผนมีบุตรถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะขั้นตอนนี้จะทำให้เราสามารถทราบได้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์แบบใดที่จะเข้ามาช่วยให้เราวางแผนการมีบุตรได้อย่างเหมาะสม



43
ผมร่วง

ปัญหาผมร่วงเป็นเรื่องที่หลายคนเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ ฮอร์โมน ความเครียด หรือสุขภาพของหนังศีรษะ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุของผมร่วงและอาการที่เกิดขึ้น แนวทางการป้องกัน และวิธีลดผมร่วง เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพเส้นผมได้อย่างถูกวิธี



ผมร่วงเกิดจากอะไรได้บ้าง

ผมร่วงเกิดจากอะไร

ผมร่วงเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย และมีปัจจัยที่หลากหลาย ซึ่งอาจแบ่งสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงเกิดจากอะไร ได้ดังนี้ค่ะ

- พันธุกรรม: เป็นสาเหตุหลักที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในผู้ชาย มักมีประวัติครอบครัวที่มีปัญหาผมร่วง
- ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์ การหมดประจำเดือน หรือการใช้ยาคุมกำเนิด สามารถทำให้ผมร่วงได้ชั่วคราว
- ความเครียด: ความเครียดทางกายหรือจิตใจสามารถกระตุ้นให้ผมเข้าสู่ช่วงพักตัว ทำให้ผมร่วงหนักมากขึ้น
- ภาวะเจ็บป่วย: โรคบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์ผิดปกติ โรคโลหิตจาง โรคผิวหนังบางชนิด หรือการติดเชื้อ สามารถทำให้ผมร่วงได้
- การขาดสารอาหาร: การขาดโปรตีน ธาตุเหล็ก หรือวิตามินบางชนิด อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม
- ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัด ยาลดไขมัน หรือยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบ อาจมีผลข้างเคียงทำให้ผมร่วง
- การดูแลเส้นผมไม่ถูกวิธี: การใช้ความร้อนสูงในการจัดแต่งทรงผม การยืดผม หรือการทำสีผมบ่อยๆ อาจทำลายเส้นผมและหนังศีรษะ
- อายุ: การเข้าสู่วัยสูงอายุ ทำให้เส้นผมมีวงจรชีวิตสั้นลงและร่วงง่ายขึ้น



รีบเช็ค! อาการผมร่วงมีลักษณะอย่างไร

อาการผมร่วง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในทั้งผู้ชายและผู้หญิง อาการที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ การพบเส้นผมหลุดร่วงจำนวนมากในอ่างอาบน้ำ หรือบนแปรงหวีผม หรืออาจสังเกตเห็นว่าเส้นผมบางลง หรือมีรอยโหว่บนหนังศีรษะ

ประเภทของผมร่วงมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีลักษณะอาการที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. ผมร่วงแบบไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
- ผมร่วงแบบ เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด มักเกิดจากพันธุกรรมและฮอร์โมน ทำให้ผมร่วงเป็นแบบปรกติ เช่น ผมร่วงตรงกลางศีรษะ หรือไรผมบางลง
- ผมร่วงเป็นหย่อม ผมร่วงเป็นวงกลมหรือวงรี โดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด อาจเกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายรากผม
- ผมร่วงแบบเฉียบพลัน เกิดจากความเครียด การผ่าตัด การเจ็บป่วย หรือการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน
- ผมร่วงจากการดึง เกิดจากการดึงผมซ้ำๆ จนผมขาด
- ผมร่วงจากยา เกิดจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัด ยาลดไขมัน

2. ผมร่วงแบบทิ้งรอยแผลเป็น อาจเกิดจากโรคผิวหนัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคไลเคนแพลนัส หรือเกิดจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย บางรายอาจถึงขั้นอักเสบเรื้อรังได้



ขั้นตอนวินิจฉัยอาการผมร่วงเบื้องต้น

การตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตัวเอง
- สังเกตปริมาณผมที่ร่วง นับจำนวนเส้นผมที่ร่วงในแต่ละวัน โดยเก็บเส้นผมที่ร่วงลงมาในที่ต่างๆ เช่น อ่างอาบน้ำ แปรงหวี หรือหมอน นำมาเปรียบเทียบกับปริมาณปกติ
- สังเกตลักษณะเส้นผม สังเกตว่าเส้นผมที่ร่วงมีลักษณะเป็นอย่างไร มีปลายผมแตกปลาย หรือมีรากผมติดมาด้วยหรือไม่
- สังเกตหนังศีรษะ สังเกตว่าหนังศีรษะมีรอยแดง คัน หรือมีสะเก็ดหรือไม่

การตรวจโดยแพทย์ผิวหนังอย่างละเอียด
- การตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจสอบหนังศีรษะและเส้นผมโดยละเอียด เพื่อหาสัญญาณของการอักเสบ การติดเชื้อ หรือความผิดปกติอื่นๆ
- การดึงเส้นผม แพทย์จะดึงเส้นผมออกมาเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบว่ามีเส้นผมหลุดร่วงง่ายผิดปกติหรือไม่
- การตรวจชิ้นเนื้อ ในบางกรณี แพทย์อาจนำชิ้นเนื้อจากหนังศีรษะไปตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อหาสาเหตุของผมร่วง
- การส่องกล้อง แพทย์อาจใช้กล้องส่องเพื่อขยายหนังศีรษะและตรวจสอบเซลล์รากผม
- การตรวจเลือด เพื่อตรวจหาภาวะขาดสารอาหาร โรคโลหิตจาง หรือโรคอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคผมร่วง

การตรวจสอบอาการผมร่วงเบื้องต้นสามารถทำได้เองที่บ้าน แต่เพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่ถูกต้องและแม่นยำที่สุด ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง ผู้เชี่ยวชาญจะทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดและครอบคลุมจะดีที่สุด



วิธีดูแลรักษาอาการผมร่วง

รักษาผมร่วง

- การรักษาผมบางทางการแพทย์ ซึ่งจะทำการตรวจวินิจฉัยและหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาผมร่วงของคุณได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
- การใช้ยา แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อรักษาสาเหตุของผมร่วง เช่น ยาต้านภูมิแพ้ ยาฮอร์โมน
- การปลูกผม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วงรุนแรง แพทย์อาจแนะนำวิธีการปลูกผมบางผมร่วง เพื่อทดแทนผมที่ร่วงไป
- การรักษาด้วยเลเซอร์ อาจช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม

อย่างไรก็ตาม มีการดูแลเส้นผมเบื้องต้นที่สามารถทำได้เองที่บ้าน เพื่อแก้ผมร่วงด้วยวิธีธรรมชาติ ดังนี้
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อหนังศีรษะ ใช้แชมพูและครีมนวดที่เหมาะกับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรง
- สระผมเบาๆ ไม่ควรสระผมบ่อยเพราะจะทำให้ผมร่วง และควรสระผมเบาๆ หลีกเลี่ยงการขยี้หนังศีรษะแรงๆ
- หวีผมเบาๆ ใช้หวีซี่ห่างและหวีผมเบาๆ โดยเฉพาะเมื่อผมเปียก
- หลีกเลี่ยงความร้อน ลดการใช้เครื่องเป่าผม ไดร์ และเครื่องดัดผม
- ปกป้องเส้นผมจากแสงแดด สวมหมวกปีกกว้างเมื่อออกไปกลางแจ้ง
- นวดหนังศีรษะเบาๆ การนวดหนังศีรษะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
- กินอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานอาหารที่มีโปรตีน ธาตุเหล็ก และวิตามินต่างๆ เพียงพอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
- ลดความเครียด หาเวลาทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ การออกกำลังกาย



สังเกต! ผู้หญิงผมร่วงเยอะกว่าผู้ชายจริงหรือไม่

ผมร่วงผู้หญิง

ผมร่วงเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แต่ว่าลักษณะและสาเหตุของผมร่วงอาจแตกต่างกันระหว่างเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกว่าผู้หญิงอาจมีปัญหาผมร่วงเยอะมากกว่าผู้ชายในบางกรณี สาเหตุผมร่วงของผู้หญิงที่มากกว่าผู้ชาย คือ

1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ผู้หญิงมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแอนโดรเจนที่มากกว่าผู้ชาย เช่น ช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หลังคลอด หรือช่วงวัยทอง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อวงจรชีวิตของเส้นผม ทำให้ผมร่วงได้ง่ายขึ้น

2. การดูแลเส้นผม: ผู้หญิงมักดูแลเส้นผมมากกว่าผู้ชาย เช่น ยืดผม ดัดผม ทำสีผม ซึ่งการทำเคมีกับเส้นผมบ่อยครั้งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเสียและร่วงได้

3. ความเครียด: ผู้หญิงมักเผชิญกับความเครียดจากหลายปัจจัย เช่น การทำงาน การเลี้ยงลูก ความสัมพันธ์ ซึ่งความเครียดก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมร่วง

4. โรคประจำตัว: โรคบางชนิดที่มักพบในเพศหญิงมากกว่า เช่น โรคไทรอยด์ผิดปกติ โรคโลหิตจาง โรคภูมิต้านทานตัวเอง



ผมร่วงปัญหาที่สร้างความเครียดให้ใครหลายคน

ปัญหาผมร่วงเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนกังวลใจ แต่การเกิดผมร่วงไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลมากเกินจนเกิดเหตุ เพราะผมร่วงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน การดูแลรักษาผมร่วงนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดและได้รับการรักษาที่เหมาะสม



44
Design Thinking คือ

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้อง คิดต่าง ทำต่าง และสร้างสรรค์ โดย Design Thinking หรือ กระบวนการคิดเชิงออกแบบ กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ธุรกิจต่าง ๆ นำมาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ และสร้างนวัตกรรม ดังนั้น Design Thinking จึงไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ แต่เป็นวิธีคิดที่ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน แล้ว Design Thinking คืออะไร Design Thinking มีกี่ขั้นตอน บทความนี้ มีคำตอบ



Design Thinking คืออะไร?

กระบวนการคิดเชิงออกแบบ หรือ Design Thinking คือ กระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายหลัก คือ การหาแนวทางการแก้ปัญหาที่เน้นมุมมองของผู้ใช้ และมีสร้างผลลัพธ์ในอนาคตที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้ได้แนวทางหรือนวัตกรรมหรือเครื่องมือที่ตอบโจทย์กับผู้ใช้ในแต่ละสถานการณ์

กระบวนการ Design Thinking ต่างจากวิธีการคิดแบบเดิม ๆ เป็นการพัฒนาให้เกิด Growth Mindset ตรงที่เน้นการเข้าใจผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง มุ่งเน้นไปที่ความต้องการและปัญหาของผู้ใช้จริง ๆ โดยอาศัยความคิดสร้างสรรค์ การระดมสมอง และการทดลอง ทั้งนี้ Design Thinking ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว แต่เป็นกระบวนการคิดที่ยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับปัญหาที่หลากหลาย ไม่จำกัดแค่การออกแบบผลิตภัณฑ์


Design Thinking Process (ขั้นตอนกระบวนการของการคิดเชิงออกแบบ)

Design Thinking Process

การทำความเข้าใจในขั้นตอนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking Process) จะช่วยให้สามารถลำดับวิธีคิดและกระบวนการในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ เริ่มตั้งแต่การเข้าใจปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย (Human Centered) นำมาผ่านกระบวนการคิดและแก้ไขปัญหา (Ideation & Brainstorming) ก่อนจะลงมือทำและทดสอบ (Prototype and Implement) ตามโมเดล D.School, Stanford university โดยกระบวนการของ Design Thinking คือ

1. Empathize
ขั้นตอนแรกของ Design Thinking คือ Empathize หรือ การเข้าใจ เป็นการสร้างมุมมองที่ชัดเจน เกี่ยวกับ ผู้ใช้ ปัญหา และบริบทที่พวกเขาใช้งาน โดยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น สัมภาษณ์, สังเกต, สำรวจ, วิเคราะห์ข้อมูล, ทดสอบการใช้งาน เป็นต้น โดยผลลัพธ์ของ Empathize คือ Persona หรือ ตัวแทนผู้ใช้ ซึ่งเป็นข้อมูลสรุปเกี่ยวกับผู้ใช้กลุ่มเป้าหมาย

Empathize ของ Design Thinking ตัวอย่างเช่น นักพัฒนาแอปพลิเคชันสังเกตพฤติกรรมของผู้ใช้ในขณะที่ใช้งานแอปพลิเคชัน, นักออกแบบผลิตภัณฑ์ทำการสำรวจเพื่อหาความต้องการของลูกค้า เป็นต้น ทั้งนี้ Empathize เป็นขั้นตอนสำคัญใน Design Thinking Process ที่ช่วยให้เข้าใจผู้ใช้และปัญหาได้อย่างแท้จริง นำไปสู่แนวทางแก้ไขที่ดีที่สุด เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้และสร้างผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จ

2. Define

Design Thinking Process ขั้นที่ 2 คือ Define หรือ การนิยาม เป็นการหาคำตอบ สำหรับคำถามต่อไปนี้

- ปัญหาคืออะไร?
- สาเหตุของปัญหาคืออะไร?
- ใครคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหา?
- ผลกระทบของปัญหาคืออะไร?
- ขอบเขตของปัญหาคืออะไร?

โดยอาจจะใช้เทคนิคระดมความคิดด้วยทีมเวิร์ค, วิเคราะห์ข้อมูล, สร้างแผนที่ความคิด หรือเขียนคำถามที่ชัดเจน เพื่อนำไปสู่แนวทางแก้ไข โดยคำนิยามปัญหาที่ดีของ Design Thinking คือ ต้องชัดเจน เจาะจง วัดผลได้ เกี่ยวข้อง และเป็นไปได้ เพื่อให้เกิดกระบวนการ Digital Transformation ที่แท้จริง

3. Ideate
ขั้นตอนที่ 3 ของ Design Thinking คือ Ideate หรือ การคิดสร้างสรรค์ เป็นการสร้างแนวทางแก้ไข ให้ได้มากที่สุด โดยไม่ต้องกังวลว่าแนวทางนั้น ๆ จะเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งในขั้นตอนนี้ จำเป็นต้องใช้ทักษะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Digital Disruption, Team Building, lean หรือ Kanban ที่ดี เพื่ออบรมพนักงาน ให้มีความคิดนอกกรอบ สามารถสร้างสรรค์ความคิดใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น

เพราะสิ่งสำคัญใน Ideate ของ Design Thinking คือ การเปิดกว้าง และ การคิดนอกกรอบ เพราะฉะนั้น พนักงานในทีมจึงต้องได้รับการปลูกฝัง และได้รับอิสระในการคิดสิ่งใหม่ ๆ โดยที่หัวหน้าจะต้องมีภาวะผู้นำ รับฟังทุกความคิดเห็นของคนในทีม มีทักษะการสื่อสารที่ดี เพื่อให้ทุกคนกล้าแสดงความคิดเห็น และได้แนวทางแก้ไขปัญหาที่หลากหลาย

4. Prototype
Prototype หรือ การสร้างต้นแบบ ของ Design Thinking คือ ขั้นตอนที่ 4 เป็นการทดสอบแนวคิดกับผู้ใช้จริง เพื่อดูว่าแนวคิดนั้น ๆ สามารถเป็นไปได้หรือไม่ ทั้งนี้ Prototype ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่มุ่งเน้นไปที่การทดสอบฟังก์ชันการใช้งาน ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น วาดภาพแนวคิดของผลิตภัณฑ์ บริการ หรือระบบ, สร้างโมเดล, เขียนโค้ด หรือใช้เครื่องมือสร้างต้นแบบ

โดยสิ่งสำคัญใน Prototype ของ Design Thinking Process คือ การทดสอบกับผู้ใช้จริง และการรับฟังข้อเสนอแนะ เพื่อต้องการข้อมูล เกี่ยวกับประสิทธิภาพของแนวทางแก้ไขนั้น นำมาปรับปรุงแนวทางแก้ไขใหม่ให้ดีขึ้น

5. Test

ขั้นตอนสุดท้ายของ Design Thinking คือ Test หรือ การทดสอบ เป็นการหาข้อผิดพลาด ปัญหา และจุดอ่อนของแนวทางแก้ไข เพื่อนำข้อมูลที่ได้จาก Test ไปใช้ปรับปรุงแนวทางแก้ไขให้ดีขึ้น โดยทำได้หลายวิธี เช่น

- การทดสอบการใช้งาน โดยให้ผู้ใช้ทดสอบต้นแบบ และสังเกตพฤติกรรมของผู้ใช้
- การสัมภาษณ์ผู้ใช้หลังจากทดสอบ ต้นแบบ เพื่อรับฟัง ข้อเสนอแนะ
- การเก็บข้อมูลการใช้งาน ต้นแบบ เช่น เวลาที่ใช้ในการทำงานผิดพลาด ฯลฯ
- การวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมเพื่อหา ข้อผิดพลาด ปัญหา และ จุดอ่อน



ประโยชน์ของ Design Thinking คือ ?

กระบวนการของการคิดเชิงออกแบบ

กระบวนการของการคิดเชิงออกแบบนั้น มีประโยชน์ในการทำงานหรือในแง่ของธุรกิจหลายประการ โดยสามารถสรุปข้อดีของ Design Thinking คือ

- ช่วยให้เข้าใจผู้ใช้ ปัญหา และบริบทต่าง ๆ ได้อย่างลึกซึ้ง เพราะ Design Thinking มุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจผู้ใช้เป็นอันดับแรก เพื่อนำไปสู่แนวทางแก้ไขที่ตรงจุด ตอบโจทย์ผู้ใช้ และสร้าง นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และนำไปสู่แนวทางแก้ไขที่หลากหลาย โดยไม่ต้องกังวลว่าแนวทางนั้น ๆ จะเป็นไปได้หรือไม่ Design Thinking Process จะช่วยให้ปล่อยความคิดสร้างสรรค์ และมองหาโอกาสใหม่ ๆ
- แนวคิดเชิงออกแบบช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ว่าแนวทางแก้ไขไหนสามารถทำได้ และแนวทางแก้ไขไหนต้องปรับปรุง
- Design Thinking เป็นกระบวนการที่ทุกคนมีส่วนร่วม ช่วยให้สมาชิกในทีมทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งปันไอเดีย และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
- ช่วยให้นำไปประยุกต์ใช้ได้กับงานหลากหลายประเภท เพราะ Design Thinking ไม่ได้จำกัดแค่การออกแบบผลิตภัณฑ์ แต่สามารถนำไปพัฒนาบริการ แก้ปัญหา คิดกลยุทธ์ต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย



บทสรุป Design Thinking คือ บันไดสู่ความสำเร็จ

Design Thinking คือ กระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆ ถือว่าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการแก้ปัญหา การพัฒนา และการสร้างสรรค์ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกสาขาอาชีพ และทุกสถานการณ์



45
แอปรายรับรายจ่าย

แอปรายรับรายจ่าย หนึ่งในตัวช่วยที่ดีที่สุดในการจัดการเงินของคุณ ด้วยฟีเจอร์ที่ใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก และสะดวกสบาย ช่วยให้คุณควบคุมการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในชีวิตประจำวันของเรา การรู้จักการใช้จ่ายและการบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้เรามีความมั่นคงทางการเงินและบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างที่หวัง หนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดการเงินคือ แอปรายรับรายจ่าย พาไปดูข้อดีของแอปทำรายรับรายจ่ายตัวช่วยเก็บเงินนี้กัน!

ประโยชน์ของ แอปรายรับรายจ่าย ตัวช่วยบริหารการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

แอปบัญชีรายรับรายจ่าย ฟรี

แอปรายรับรายจ่ายเป็นตัวช่วยที่ยอดเยี่ยมในการบริหารจัดการเงินของคุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีข้อดีและประโยชน์มากมาย ดังนี้

1. ช่วยวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แอปรายรับรายจ่าย ช่วยกำหนดงบประมาณสำหรับแต่ละหมวดหมู่ เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้เกินงบประมาณที่ตั้งไว้ รวมถึงคาดการณ์รายรับรายจ่ายในอนาคต เพื่อวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการใช้จ่ายเกินตัว โดยบางแอปจะแจ้งเตือนเมื่อค่าใช้จ่ายใกล้ถึงวงเงินที่กำหนดไว้ ทำให้คุณสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างมีสติ

2. บันทึกข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและสะดวก

ตัวแอปสามารถบันทึกข้อมูลต่างๆ ได้ทันที รวมถึงสามารถจัดหมวดหมู่ได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากงานประจำ, ธุรกิจส่วนตัว หรือรายได้อื่นๆ รวมถึงรายจ่ายทุกประเภท เช่น ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, ค่าใช้จ่ายส่วนตัว

3. เพิ่มวินัยในการออมเงิน

ช่วยกำหนดเป้าหมายในการออมเงิน และติดตามความคืบหน้าได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงช่วยวางแผนการชำระหนี้ได้อย่างมีระบบ และลดภาระหนี้สินได้อย่างรวดเร็ว

4. วิเคราะห์ข้อมูลการเงินได้อย่างง่ายดาย

แอปทำบัญชีรายรับรายจ่ายจะแสดงข้อมูลการเงินในรูปแบบกราฟหรือแผนภูมิ ทำให้คุณเห็นภาพรวมของรายรับรายจ่ายในแต่ละเดือนหรือแต่ละปีได้อย่างชัดเจน และสามารถเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในแต่ละหมวดหมู่ เพื่อหาจุดที่ช่วยลดค่าใช้จ่าย หรือควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละหมวดหมู่ และติดตามความคืบหน้าได้อย่างง่ายดาย

5. ฟังก์ชั่นเสริมอื่นๆ

มีฟังก์ชันที่สามารถเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคารอัตโนมัติ เพื่อบันทึกข้อมูลรายรับรายจ่ายจากบัญชีธนาคาร และแจ้งเตือนเมื่อมีรายการเคลื่อนไหวในบัญชี หรือเมื่อใกล้ถึงวันครบกำหนดชำระบิล หรือมีฟีเจอร์แชร์ข้อมูลการเงินกับคู่สมรส หรือสมาชิกในครอบครัว เพื่อวางแผนการเงินร่วมกัน เป็นต้น

เลือกแอปรายรับรายจ่ายยังไงดี คู่มือฉบับละเอียด

แอปทำรายรับรายจ่าย

การเลือกแอปจดรายรับรายจ่ายที่เหมาะสมกับคุณสามารถทำให้การจัดการการเงินเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจัยสำคัญในการเลือกแอปรายรับรายจ่าย ได้แก่

1. มีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งาน

แอปรายรับรายจ่ายที่ดีควรมีฟังก์ชันการบันทึกที่ง่าย รวดเร็ว และสามารถจัดหมวดหมู่ได้หลากหลาย สามารถแสดงข้อมูลในรูปแบบกราฟหรือแผนภูมิ เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ สามารถตั้งงบประมาณสำหรับแต่ละหมวดหมู่ได้ มีระบบแจ้งเตือนเมื่อค่าใช้จ่ายใกล้ถึงวงเงินที่กำหนด หรือเมื่อมีรายการเคลื่อนไหวในบัญชี รวมถึงมีฟีเจอร์พิเศษ เช่น การสแกนใบเสร็จ, การเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคาร, การตั้งเป้าหมายการออม

2. ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน

แอปบันทึกรายรับรายจ่าย ควรมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและเข้าใจได้ง่าย โดยมีการออกแบบที่สวยงาม น่าใช้ เป็นมิตรกับผู้ใช้ ซึ่งจะช่วยให้การบันทึกและติดตามการเงินไม่ยุ่งยาก

3. ความปลอดภัย

ตรวจสอบว่าแอปรายรับรายจ่ายมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอ เช่น การเข้ารหัสข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทางการเงินของคุณต้องได้รับการปกป้องอย่างดี และการป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต

4. ค่าใช้จ่าย

พิจารณาว่าแอปมีค่าใช้จ่ายในการใช้งานหรือไม่ และเปรียบเทียบกับคุณสมบัติที่ให้มา บางแอปรายรับรายจ่าย ใช้งานฟรี โดยจะมีฟังก์ชันจำกัด หรือบางรุ่นเป็นแบบพรีเมียมที่มีฟีเจอร์มากขึ้น ก็จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

5. รีวิว และความคิดเห็นของผู้ใช้งาน

อ่านรีวิวและดูคะแนนจากผู้ใช้คนอื่นเพื่อประกอบการตัดสินใจ และรับข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้งาน ข้อดีข้อเสียของแอปพลิเคชัน

6. การเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคารและการทำธุรกรรม

เลือกแอปรายรับรายจ่ายที่สามารถเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคารหรือเครดิตการ์ด จะช่วยให้การติดตามรายรับและรายจ่ายเป็นไปโดยอัตโนมัติและแม่นยำมากยิ่งขึ้น

แอปรายรับรายจ่าย ทางเลือกหนึ่งสำหรับคนอยากเก็บเงิน

“แอปรายรับรายจ่าย” ตัวช่วยที่ออกแบบมาเพื่อให้การติดตามและวางแผนการเงินของคุณเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย แอปบัญชีรายรับรายจ่ายเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณบันทึกการใช้จ่ายแต่ละรายการ ติดตามรายรับและรายจ่าย และวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินของคุณได้อย่างแม่นยำ

46
ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ คืออะไร อันตรายไหม อยู่ได้นานแค่ไหน สามารถทำตรงไหนได้บ้าง สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเริ่มฉีดฟิลเลอร์ พร้อมวิธีการดูแลตัวเองทั้งก่อน และหลังการฉีด

หัตถการที่เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย อย่างการฉีดฟิลเลอร์ ที่ความเสี่ยงต่ำที่สุด ไม่ต้องนอนพักฟื้น ไม่ต้องทำการผ่าตัด สามารถใช้แก้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ฟิลเลอร์ปาก, ฟิลเลอร์คาง, ฟิลเลอร์ใต้ตา, ฟิลเลอร์ร่องแก้ม, ฟิลเลอร์ปากกระจับ, ฟิลเลอร์ยกมุมปาก และปัญหาอื่น ๆ สำหรับวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับฟิลเลอร์ พร้อมวิธีการดูแลตัวเองทั้งก่อน และหลังการรักษาเพื่อให้การฉีดฟิลเลอร์มีประสิทธิภาพมากที่สุด

การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่เห็นผลได้รวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องผ่านการพักฟื้น แต่เพื่อความสวยที่ไม่เสี่ยง การพิจารณาข้อควรระวังเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรรู้เอาไว้ จะมีอะไรบ้างนั้นเราไปหาคำตอบกันในบทความนี้กันเลย

ชี้จุดฉีดฟิลเลอร์ยอดนิยม

ฟิลเลอร์ (Filler)  หัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุมไม่ว่าจะเป็นปาก คาง ร่องแก้ม หรือขมับ ซึ่งบริเวณที่หลายคนนิยมทำฟิลเลอร์มากที่สุด มีดังนี้

ฟิลเลอร์ปาก

จุดยอดฮิตที่หลาย ๆ คนเลือกทำก็คือ ฉีดฟิลเลอร์ปากที่จะช่วยเพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก สามารถปรับแต่งทรงปากให้สวยขึ้น หรือทรงปากที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็นทรงปากกระจับ ทรงสายฝอ หรือฉีดเพื่อยกมุมปาก แก้ไขปัญหามุมปากตกได้ การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นหัตถการที่หลังฉีดแล้วปากของคุณจะมีทรงที่สวยขึ้นทันทีหลังฉีด

ฟิลเลอร์คาง

ฟิลเลอร์คางช่วยแก้ปัญหาคนที่มีปัญหาคางตัด คางสั้น การฉีดฟิลเลอร์ที่คางจะช่วยให้คางยาวอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยให้หน้าเรียววีเชฟมากขึ้น โดยที่คุณไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผลเหมือนการผ่าตัด ฟิลเลอร์ไม่ตกค้างเนื่องจากสามารถสลายไปเองได้ตามธรรมชาติ ด้วยความเสี่ยงที่น้อยและเห็นผลได้ชัดเจน การฉีดฟิลเลอร์คางจึงเป็นหัตถการที่หลายคนนิยมทำมากในปัจจุบัน

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

การฉีดฟิลเลอร์เติมร่องแก้ม ช่วยแก้ปัญหาคนที่มีปัญหาผิวร่องแก้มลึกโดยเฉพาะในผู้หญิง ที่อายุ 25 ปีขึ้นไป ซึ่งการรักษาด้วยการทาครีมอาจไม่เพียงพอ หลายคนจึงเลือกฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมร่องแก้มให้ดูตื้นขึ้น หน้าดูเด็กลง

ฟิลเลอร์ขมับ

ฟิลเลอร์ขมับ เป็นหัตถการที่ฉีดเพื่อเติมเต็มขมับที่ตอบและลึกให้ดูเต็มขึ้น ช่วยให้หน้าดูมีมิติมากขึ้น หน้าดูละมุน ดูเป็นสัดส่วน อีกทั้งการฉีดฟิลเลอร์โหนกแก้มยังช่วยยกหางตาและหางคิ้วได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่คุณไม่ต้องเจ็บตัวไปศัลยกรรมโหนกแก้ม

วิธีการดูแลตัวเองก่อนฉีดฟิลเลอร์ที่แพทย์แนะนำ

เติมฟิลเลอร์

เพื่อให้การฉีดฟิลเลอร์นั้นประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือ การดูแลตัวเองก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งก่อนที่คุณจะเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ควรปฏิบัติตัวดังนี้

  • ก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์หากคุณมีประวัติมีโรคประจำตัว แพ้ยา รับประทานยาตัวไหนอยู่เป็นประจำ หรือกำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตรอยู่ ควรแจ้งแพทย์ที่จะทำการฉีดฟิลเลอร์ให้คุณก่อนทุกครั้ง
  • ก่อนการฉีดฟิลเลอร์หากคุณรับประทานยาหรืออาหารเสริมที่ทำให้เลือดออกง่าย อย่างกลุ่มยาประเภท แอสไพริน เป็นต้น ให้คุณแจ้งกับแพทย์ก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์
  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ให้คุณศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทั้งยี่ห้อของฟิลเลอร์ คลินิกที่จะเข้าไปใช้บริการ ความน่าเชื่อถือ การรีวิวจากลูกค้าที่ใช้บริการจริง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลังกับตัวคุณเองได้

วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ที่แพทย์แนะนำ

สำหรับวิธีการดูแลตัวเอง หลังการฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วนั้น ก็เป็นสิ่งที่คุณต้องควรรู้ และปฏิบัติตาม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น โดยสิ่งที่คุณควรทำหลังจากการฉีดฟิลเลอร์นั้น มีดังนี้

  • หลังจากที่คุณฉีดฟิลเลอร์แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการบีบ นวด หรือสัมผัสแรง ๆ บริเวณที่ทำการฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์ไหลไปยังบริเวณอื่น
  • หลังจากที่คุณฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่ควรอยู่ในพื้นที่ร้อน ๆ อย่างเช่น หน้าเตา การทำซาวน่า เป็นต้น
  • หลังจากที่คุณฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้เลือดสูบฉีดมากขึ้น และอาจเกิดรอยเชียวช้ำบริเวณที่ฉีดได้
  • หลังจากที่คุณฉีดฟิลเลอร์ ในช่วง 2 วันแรกให้คุณหลีกเลี่ยงการทาครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA หรือวิตามิน A ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้
  • หลังจากที่คุณฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว แนะนำให้คุณดื่มน้ำให้มาก ๆ เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นสารที่อุ้มน้ำ จะทำให้การทำงานของฟิลเลอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ส่องข้อควรระวังก่อนฉีดฟิลเลอร์ สวยแบบไม่ต้องเสี่ยง!

หัตถการอย่างฟิลเลอร์ อาจไม่ได้มีความเสี่ยงเท่ากับการผ่าตัด แต่เพื่อให้คุณสวยแบบไม่ต้องเสี่ยง การพิจารณา และศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ว่าจะเป็นการเช็กอย. ตรวจสอบคลินิก แพทย์ที่จะทำการฉีดฟิลเลอร์ให้กับคุณ พร้อมดูรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง

สรุป การฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ ราคา

หัตถการที่กำลังนิยมอย่างมากในปัจจุบันอย่างการฉีดฟิลเลอร์ ที่เห็นผลได้ชัดเจนหลังจากการฉีดทันที ไม่ต้องพักฟื้น หรือไม่มีแผลจากการผ่าตัด อีกทั้งยังสามารถแก้ปัญหาผิวหน้าได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นปาก คาง ขมับ ร่องแก้ม ใต้ตา และอื่น ๆ อีกมากมาย และเพื่อลดอาการข้างเคียง รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการฉีดฟิลเลอร์ให้มากขึ้น การปฏิบัติตัวก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์ให้ถูกต้อง ก็เป็นสิ่งที่คุณควรรู้เช่นกัน

47
ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ปากช่วยเพิ่มความอิ่มเอิบ ชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก ปรับรูปทรงและลดริ้วรอยเพื่อให้ดูอ่อนเยาว์ ขั้นตอนการฉีด ฉีดแล้วเป็นอันตรายหรือไม่ ถ้าเป็นก้อนแก้ไขได้อย่างไร

ในยุคปัจจุบัน การเสริมความงามได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย  ฟิลเลอร์ปาก ก็เป็นหนึ่งในเทรนด์ที่ได้รับความสนใจ ด้วยความสามารถในการเติมฟิลเลอร์ปากทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม แก้ไขปัญหาปากบาง หรือปรับรูปทรงให้สวยงามตามต้องการ  ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้หญิงยุคใหม่ 

บทความนี้จะพาไปรู้จักกับฟิลเลอร์ปากคืออะไร ขั้นตอนการฉีด ฉีดแล้วเป็นอันตรายหรือไม่ ราคาฟิลเลอร์ปากแพงไหม ไปจนถึงวิธีเลือกคลินิกฟิลเลอร์ปากและแพทย์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อช่วยในการตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ 

ฟิลเลอร์ปากคืออะไร ปรับรูปปากให้ดีขึ้นได้จริงไหม?

ฟิลเลอร์ปาก คือการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) เข้าไปบริเวณ
ริมฝีปาก เพื่อเพิ่มวอลลุ่มให้ปาก ปรับรูปปาก ให้ปากอวบอิ่มขึ้น แก้ปัญหาปากบาง ปากแห้งลอก ร่องปาก ฉีดปากกระจับ ปากไม่เป็นรูปให้สมดุล เป็นรูปทรงสวยงาม

ไฮยาลูรอนิก แอซิด เป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติ แต่จะลดน้อยลงตามกาลเวลา ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยเติมเต็มไฮยาลูรอนิก แอซิด ที่สูญเสียไปทำให้ริมฝีปากดูชุ่มชื้น อวบอิ่ม และเต่งตึงขึ้น

ฟิลเลอร์ปากช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?

  • เพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก: เหมาะสำหรับผู้มีริมฝีปากบาง ริมฝีปากแห้ง หรือต้องการเพิ่ม volume ให้กับริมฝีปาก
  • แก้ไขรูปทรงปาก: ฟิลเลอร์ปากสามารถปรับรูปทรงปากให้สมมาตร แก้ไขร่องปาก ฟิลเลอร์ปากยกมุมปาก หรือการสร้างปากกระจับ
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก: ไฮยาลูรอนิก แอซิด ดูดซับน้ำได้ดี ฟิลเลอร์ปากอิ่มช่วยให้ริมฝีปากดูชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และไม่แห้งแตก

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปากจากแพทย์ผู้มีประสบการณ์

เติมฟิลเลอร์

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปาก มีขั้นตอนดังนี้

  • ปรึกษาแพทย์: แจ้งปัญหา ความต้องการให้แพทย์ทราบ โดยแพทย์จะประเมินรูปหน้าและแนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์ปากที่เหมาะสมให้กับคนไข้ อธิบายรายละเอียดขั้นตอนการฉีด ผลข้างเคียง วิธีดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก รวมถึงตอบคำถามและข้อสงสัยของคนไข้
  • เตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก: คนไข้ควรงดยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบ งดดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ 1 สัปดาห์ก่อนฉีด และแจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัว หรือทานยาต่อเนื่อง
  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก: แพทย์ทำความสะอาดบริเวณริมฝีปาก ทายาชาหรือฉีดยาชา เพื่อลดอาการปวด แพทย์ฉีดฟิลเลอร์เข้าไปบริเวณริมฝีปากตามจุดที่ต้องการ เพื่อปรับรูปทรงปากให้สมดุล
  • ดูแลหลังการฉีด: ประคบเย็นบริเวณริมฝีปาก เพื่อลดอาการบวม หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือ กด บีบ ปั้นริมฝีปาก งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์หลังฉีด หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารร้อน หรืออาหารสุกๆ ดิบๆ ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ และกลับมาพบแพทย์ เพื่อติดตามผลตามนัด

ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วจะเป็นก้อนไหม อันตรายหรือเปล่า?

ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วเป็นก้อน อาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ดังนี้

  • ใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสม: ฟิลเลอร์บางชนิดมีความแข็ง ไม่เหมาะฉีดบริเวณริมฝีปากที่มีการขยับบ่อย ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง
  • ปริมาณฟิลเลอร์มากเกินไป: ฉีดฟิลเลอร์ปากในปริมาณมากเกินไป ทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน ดูไม่เป็นธรรมชาติ
  • เทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง: แพทย์ไม่มีประสบการณ์ หรือเทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง ฉีดตื้นเกินไป อาจทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวไม่สม่ำเสมอ เกิดเป็นก้อนได้
  • วิธีดูแลหลังฉีดไม่เหมาะสม: การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ สัมผัส กดหรือบีบ ริมฝีปาก อาจทำให้ฟิลเลอร์คลาดเคลื่อน เกิดเป็นก้อน
  • แพ้ฟิลเลอร์: กรณีแพ้ฟิลเลอร์ อาจมีอาการบวมแดง คัน และเกิดเป็นก้อนบริเวณที่ฉีดได้

วิธีป้องกันการฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วเป็นก้อน

  • เลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์ปาก
  • ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด: แจ้งประวัติแพ้ยา โรคประจำตัว หรือยาที่ทานอยู่ให้แพทย์ทราบ
  • เลือกชนิดฟิลเลอร์ให้เหมาะสม: แพทย์จะพิจารณาเลือกชนิดฟิลเลอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวและความต้องการของคนไข้
  • ฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่พอเหมาะ: ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ปากในปริมาณมากเกินไป
  • ดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ปากอย่างเคร่งครัด: ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่

ฉีดฟิลเลอร์ปากกับผ่าตัดริมฝีปากต่างกันอย่างไร?

ฉีดฟิลเลอร์ปากและผ่าตัดปาก ต่างเป็นวิธีปรับรูปทรง เพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก แต่มีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ  ดังนี้

1. วิธีรักษา

  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก: แพทย์จะฉีดสารไฮยาลูรอนิก แอซิด เข้าไปบริเวณริมฝีปาก โดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ผ่าตัดปาก: แพทย์จะทำการผ่าตัดแก้ไขรูปทรงริมฝีปากเช่น ตัดเนื้อเยื่อออก เย็บริมฝีปากให้เข้ารูป
2. ระยะเวลาการเห็นผล

  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก: เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการฉีด
  • ผ่าตัดปาก: เห็นผลลัพธ์หลังผ่าตัดประมาณ 1-2 เดือน
3. ระยะเวลาในการอยู่ตัว

  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก: ทรงปากหลังจากฉีดฟิลเลอร์จะอยู่ทรงสวยประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และการดูแลรักษา
  • ผ่าตัดปาก: ผลลัพธ์ถาวร
4. ความเจ็บปวด

  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก: อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะฉีด แพทย์อาจทายาชาหรือฉีดยาชา เพื่อลดอาการเจ็บระหว่างฉีด
  • ผ่าตัดปาก: รู้สึกเจ็บ ปวด ระบมหลังการผ่าตัด แพทย์จะให้ยารักษาอาการปวด
5. ดูแลหลังการรักษา

  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก: ดูแลง่าย หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูกริมฝีปาก งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
  • ผ่าตัดปาก: ต้องดูแลแผลอย่างเคร่งครัด งดอาหารรสจัด อาหารร้อน หรืออาหารแสลง เช่นอาหารหมักดอง อาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารทะเล
6. ผลข้างเคียง

  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก: อาจมีอาการบวม แดง ช้ำ หรือเจ็บหลังการฉีด ซึ่งจะค่อยๆหายไปภายใน 1-2 อาทิตย์ กรณีแพ้ฟิลเลอร์ อาจมีอาการบวมแดง คัน หรือเกิดเป็นก้อน แต่ถ้าหากเกิดเป็นก้อนแพทย์สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้
  • ผ่าตัดปาก: อาจมีอาการบวม แดง ช้ำ หรือติดเชื้อ เนื้อตาย ปากผิดรูป กรณีผ่าตัดผิดพลาด อาจแก้ไขได้ยาก
7. ค่าใช้จ่าย

  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก: ฟิลเลอร์ปาก ราคาขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ ปริมาณที่ฉีด และคลินิก
  • ผ่าตัดปาก: ราคาขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัด หรือโรงพยาบาล
สรุป

  • ฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับผู้ต้องการปรับรูปทรงริมฝีปากแบบชั่วคราว ไม่ต้องผ่าตัด มีเวลาพักฟื้นน้อย ดูแลหลังการรักษาง่าย เห็นผลลัพธ์ทันที แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่ถาวร
  • ผ่าตัดปากเหมาะกับผู้ต้องการปรับรูปทรงริมฝีปากแบบถาวร เห็นผลลัพธ์หลังผ่าตัดประมาณ 1-2 เดือน ต้องดูแลแผลหลังผ่าตัด และมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงมากกว่าฉีดฟิลเลอร์ปาก

สรุปเกี่ยวกับฟิลเลอร์ปาก

ฟิลเลอร์ ราคา

ฟิลเลอร์ปากคือการฉีดสารไฮยาลูรอนิก เพื่อเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม แก้ปัญหาปากบาง ปากแห้ง ร่องปากลึก ปรับรูปทรงให้สมดุล หรือยกมุมปาก เห็นผลลัพธ์ทันที อยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิด ปริมาณของฟิลเลอร์ที่ใช้ เทคนิคการฉีดของแพทย์ และวิธีดูแลหลังการฉีด ดังนั้นควรเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ปากสวยและแพทย์มีประสบการณ์เชื่อถือได้ โดยปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ เพื่อความปลอดภัย

48
ReLEx-คือ

ReLEx เป็นวิธีการรักษาสายตาแบบเลสิกแบบใหม่ไร้ใบมีด ใช้เลเซอร์ในการผ่าตัด ที่ปลอดภัย ช่วยแก้ปัญหาสายตาสั้น สายตาเอียงให้คนไข้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

หลายคนต้องประสบกับปัญหาค่าสายตาผิดปกติ ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาจจะเกิดจากใช้สายตามากจนเกินไปในการเรียนหนัก ทำงาน หรือเพ่งมองโทรศัพท์เป็นเวลานาน จนทำให้สายตามีค่าผิดปกติ เช่น สายสั้น สายเอียง ซึ่งการรักษาค่าสายตาผิดปกตินั้นจะมีวิธีรักษาทำเลสิก และ ReLEx

ReLEx เป็นวิธีรักษาค่าสายตาผิดปกติ โดย ReLEx คือการใช้เทคโนโลยีล่าสุดทำการรักษาภาวะสายตาสั้น สายตาเอียง โดยใช้แสงเลเซอร์ ร่วมกับเทคนิคการผ่าตัดแบบไร้ใบมีด ซึ่งจะแตกต่างกับการรักษาด้วยวิธีเลสิก ที่จะใช้เทคนิคการรักษาแบบใช้มีด และทำให้มีแผลขนาดใหญ่กว่า วิธีรักษาแบบ ReLEx  ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจกับ ReLEx คืออะไร  ReLEx มีความแตกต่างกับเลสิกเป็นอย่างไร และข้อดีข้อเสียของ  ReLEx มีอะไรกันบ้าง

ReLEx คืออะไร

ReLEx คืออะไร? ReLEx ย่อมาจากคำว่า ReLEx (Refractive Lenticule Extraction)  คือ การรักษาภาวะสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้น และสายตาเอียง โดยไม่ใช้ใบมีดในการรักษา แต่จะใช้ Femtosecond Laser ที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง ในการแยกชั้นกระจกตาผ่านแผลเล็ก ๆ  และตัดนำเอากระจกตาส่วนเกินออกมาผ่านแผลเปิดเล็กที่บริเวณกระจกตา ในลักษณะ Lenticule แผลจะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 2 - 4 มิลลิเมตรเท่านั้น เพื่อที่จะปรับรูปร่าง หรือความโค้งของกระจกตาให้เหมาะสม

ReLEx แตกต่างจากการทำเลสิกแบบทั่วไปอย่างไร

ReLEx หรือ ReLEx lasik คือ วิธีการผ่าตัดที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากการผ่าตัดวิธี LASIK และ FemtoLASIK แบบดั้งเดิม วิธีรักษาค่าสายตาผิดปกติด้วยวิธี ReLEx จะมีความแตกต่างจากการทำเลสิกแบบทั่วไป ตรงที่ ReLEx จะผ่าตัดแบบไร้ใบมีด และใช้เลเซอร์ (Femtosecond Laser) ในการรักษาจะไม่มีการแยกชั้นกระจกตา ส่วนการทำเลสิกทั่วไป จะผ่าตัดแบบใช้ใบมีด หรือ ใช้เลเซอร์ (Femtosecond Laser) แยกชั้นกระจกตาออก เปิดกระจกตาทิ้งไว้ และใช้ Excimer Laser ปรับความโค้งของกระจกตา หลังจากนั้นจึงนำชั้นกระจกตาปิดลงกลับสู่ตำแหน่งเดิม

โดยประโยชน์ของการทำ ReLEx เป็นการผ่าตัดปรับค่าสายตาที่รบกวนกระจกตาน้อย ช่วยทำให้กระจกตายังคงความแข็งแรงอยู่เหมือนเดิม และลดภาวะความเสี่ยงของฝากระจกตาเคลื่อนได้ อีกทั้งยังช่วยทำให้มีอาการระคายเคืองตาลดน้อยลงหลังจากการผ่าตัด

ReLEx มีข้อดี และข้อจำกัดอะไรบ้าง

เลสิก-ReLEx

การทำ ReLEx เป็นการผ่าตัดรักษาค่าสายตาผิดปกติด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีความปลอดภัย และความแม่นยำสูง มีทั้งข้อดีและมีข้อจำกัดบางประการ ดังนี้

ข้อดีของการทำ ReLEx

  • เป็นการผ่าตัดรักษาค่าสายตาผิดปกติ โดยไม่มีการแยกชั้นกระจกตาทำให้กระจกตายังคงความแข็งแรงอยู่เหมือนเดิม
  • มีความปลอดภัย และแม่นยำสูงกว่าการทำเลสิกแบบทั่วไป
  • เหมาะกับการรักษาผู้ที่มีค่าสายตาสูง หรือกระจกตาบาง
  • ช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดได้ดีกว่าการทำเลสิกแบบทั่วไป เช่น อาการตาแห้ง อาการระคายเคืองตา และตาพร่ามัว
  • แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ทำให้ระยะพักฟื้นสั้น และทำให้แผลหายเร็วขึ้นจึงกลับมาใช้สายตาได้ปกติ
  • เป็นการผ่าตัดโดยใช้เลเซอร์ทุกขั้นตอน จึงเหมาะกับผู้ที่กลัวการผ่าตัดด้วยใบมีด

ข้อจำกัดของการทำ ReLEx

ReLEx  ข้อจำกัด คือไม่สามารถรักษาผู้ที่มีปัญหาค่าสายตายาวโดยกำเนิด และสายตายาวตามวัยได้

ReLEx เหมาะกับใครบ้าง

การทำ ReLEx เหมาะกับผู้ที่มีคุณสมบัติ ดังนี้

  • ผู้ที่เข้ารับการรักษาต้องมีปัญหาสายตาสั้น สายตายเอียง หรือเป็นทั้งคู่
  • ผู้ที่เข้ารับการรักษาต้องมีอายุ 18 ปี ขึ้นไป และมีสายตาคงที่อย่างน้อย 1 ปี
  • หากอายุต่ำกว่า 20 ปี ต้องมีผู้ปกครองมาด้วย
  • ต้องไม่เป็นโรคของกระจกตา เช่นโรคกระจกตาย้วย ตาแห้งอย่างรุนแรง ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม
  • ต้องไม่เป็นโรคที่ส่งผลต่อการหายของแผล เช่น โรค SLE  โรค Sjogren's syndrome โรคสะเก็ดเงิน โรคภูมิคุ้มกันเกินอื่น ๆ และโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาล
  • เหมาะกับคนที่ไม่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
  • เหมาะกับคนที่ไม่อยู่ระหว่างการใช้ยารักษาอาการทางจิตเวช
  • เมื่อตรวจวิเคราะห์สภาพตาโดยจักษุแพทย์ พบว่าสุขภาพตาสมบูรณ์แข็งแรง สามารถเข้ารับการรักษาด้วย ReLEx

การเตรียมตัวก่อนเข้าตรวจดวงตา ก่อนเข้ารับการทำ ReLEx มีขั้นตอนอะไรบ้าง

การเตรียมตัวก่อนเข้าตรวจดวงตา ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญอย่างหนึ่งของการรักษาทำ ReLEx  ซึ่งมีข้อควรปฏิบัติ มีดังนี้

  • งดใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิด แต่สามารถใส่แว่นสายตา ซึ่งคอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม ควรงดใส่อย่างน้อย 3 วัน ก่อนตรวจดวงตา และคอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง ควรงดใส่อย่างน้อย 14 วัน
  • งดรับประทานยาในกลุ่มจำพวก ยารักษาสิว และยารักษาโรคบางประเภท เช่น Roaccutane Acnotin Isotret ยาเบาหวาน ยาลดความดัน ยาลดไขมัน ยาไทรอยด์ เป็นต้น
  • งดดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด
  • ไม่ควรใช้สายตามากเกินไป เนื่องจากจะทำให้เกิดภาวะตาแห้ง
  • งดแต่งหน้า ฉีดน้ำหอม ใส่น้ำมัน หรือเจลที่ผม
  • การเข้าตรวจสภาพดวงตาจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ชม.กว่า

ขั้นตอนการผ่าตัด ReLEx ที่ควรรู้

ในขั้นตอนการผ่าตัด แพทย์จะเริ่มให้เตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดโดยให้ยาชาหยอดตาเพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บปวดในระหว่างผ่าตัด และนี่คือขั้นตอนการผ่าตัด ReLEx สามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้

  • แยกชั้นกระจกตา ตัดชิ้นกระจกตาส่วนเกิน ใช้เลเซอร์ Femtosecond Laser สร้างรอยแยกภายในกระจกตา แยกชั้นกระจกตาออกเป็น 2 ชั้น และตัดชิ้นกระจกตาส่วนเกินในลักษณะ Lenticule และขนาดของ Lenticule จะขึ้นอยู่กับค่าสายตาของคนไข้
  • เปิดแผล แพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษเปิดแผลขนาดเล็ก บริเวณขอบกระจกตา ประมาณ 2 – 4 มิลลิเมตร
  • นำ Lenticule ออก แพทย์จะใช้ปากคีบพิเศษนำ Lenticule ที่ตัดไว้แล้ว ออกจากดวงตาผ่านแผลขนาดเล็ก
หลังจากผ่าตัดเสร็จ แผลจะหายเองภายในไม่กี่วันและคนไข้จะสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังผ่าตัด

ReLEx การดูแลตนเองหลังผ่าตัด ทำอย่างไรบ้าง

เพื่อให้ผลลัพธ์การรักษา ReLEx เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ผู้เข้ารับการรักษาควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้

  • สวมที่ครอบตา สวมที่ครอบตาอย่างน้อย 3 วัน (ทั้งกลางวันและกลางคืน) เปลี่ยนที่ครอบตาใหม่ทุกวัน และล้างมือให้สะอาดก่อนสวมใส่และถอดที่ครอบตา
  • หยอดยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ควรล้างมือให้สะอาดก่อนหยอดยา โดยห้ามสัมผัสปลายหลอดหยอดกับดวงตา และมีเก็บยาในอุณหภูมิห้อง
  • หยอดน้ำตาเทียม หลังผ่าตัดเลสิก ReLEx เมื่อรู้สึกตาแห้งให้หยอดยาและหยอดน้ำตาเทียมห่างกันอย่างน้อย 5 นาที
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อดวงตา เช่น การว่ายน้ำ แช่น้ำ หรือเล่นกีฬาที่อาจทำให้สิ่งแปลกปลอมเข้าตา 1 เดือน และใส่แว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง

อาการข้างเคียงทั่วไปหลังทำ ReLEx

  • อาการตาแห้ง: เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดหลังการผ่าตัด ReLEx มักเกิดขึ้นชั่วคราวและมักหายไปเองภายในไม่กี่เดือน อาจบรรเทาอาการได้ด้วยการใช้น้ำตาเทียม
  • การมองเห็นแสงกระจายรอบดวงไฟ: อาการนี้มักเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด มักจะค่อยๆ จางลงและหายไปเอง
  • ระคายเคืองตา: อาจมีอาการคันตา แสบตา หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ในตา อาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน
  • ภาวะตาแพ้แสง: อาจมีความไวต่อแสงแดดหรือแสงจ้ามากขึ้น ควรใส่แว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง
ก่อนตัดสินใจเลือกการทำ ReLEx แนะนำให้ท่านลองหาอ่านรีวิว ReLEx จากคนอื่น ๆ เพิ่มเติมก่อน เพื่อดูอาการข้างเคียงและข้อควรระวังอื่น ๆ หลังผ่าตัด

สรุป ReLEx  วิธีการรักษาสายตาผิดปกติชนิดหนึ่งโดยใช้เลเซอร์

ReLEx เป็นวิธีการรักษาสายตาที่รบกวนกระจกตาน้อยที่สุด มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพการรักษาที่แม่นยำ เหมาะกับคนที่มีปัญหาสายตาสั้นหรือสายตาเอียง ต้องการแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และมีความเสี่ยงต่อภาวะตาแห้งน้อย อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุเพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนการผ่าตัด

49
เครื่องซักผ้าฝาหน้า

ใครที่อาศัยอยู่ในบ้านหรือคอนโดที่มีพื้นที่กำจัด และกำลังมองหาเครื่องซักผ้าที่ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ตัวเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันนั่งก็คือ “เครื่องซักผ้าฝาหน้า” เนื่องจากมีขนาดเล็กเหมาะกับที่พักที่ไม่ค่อยมีพื้นที่และคุณสมบัติเด่นที่หลากหลาย เช่น ประหยัดค่าน้ำและไฟ  ฟังก์ชั่นการทำงานหลากหลาย ดีไซน์สวยงาม ทันสมัย เครื่องซักผ้าฝาหน้าจึงตอบโจทย์ในกับกลุ่มคนเหล่านี้้

เครื่องซักผ้าฝาหน้า มีข้อดี-ข้อจำกัดอะไรบ้าง?

ข้อดีของเครื่องซักผ้าฝาหน้า
เครื่องซักผ้าฝาหน้ามีข้อดีหลายประการที่ทำให้เป็นที่นิยมและได้รับความนิยมในการใช้งานมากขึ้น
ประหยัดน้ำและไฟฟ้า: เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้ามักมีความจุใหญ่กว่าเครื่องซักผ้าฝาบน ทำให้สามารถซักผ้าได้มากพอสมควรในรอบเวลาเดียว นอกจากนี้ยังใช้น้ำน้อยกว่าและใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าเครื่องซักผ้าฝาบนด้วย
ซักผ้าให้สะอาดมากยิ่งขึ้น: เนื่องจากมีการหมุนตัวเครื่องในทิศทางต่างๆ ทำให้ผ้าได้รับการล้างสะอาดทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
การออกแรงเสียดทานต่ำ: เนื่องจากเครื่องซักผ้าฝาหน้ามักมีการหมุนด้วยแรงที่น้อยกว่าเครื่องซักผ้าฝาบน ทำให้ผ้าสวมใส่จะได้รับการดูแลที่ดีกว่าและนานนับเป็นปี
ข้อจำกัดของเครื่องซักผ้าฝาหน้า
เครื่องซักผ้าฝาหน้ามีข้อจำกัดบางประการที่ผู้ใช้งานควรทราบ
ราคาสูง: เครื่องซักผ้าฝาหน้ามักมีราคาที่สูงกว่าเครื่องซักผ้าฝาบน ซึ่งอาจทำให้เป็นต้นทุนเริ่มต้นที่สูงขึ้นสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการซื้อใหม่
เวลาในการซักผ้า: ในบางกรณี เครื่องซักผ้าฝาหน้าอาจใช้เวลาซักผ้านานกว่าเครื่องซักผ้าฝาบน เนื่องจากมีรอยต่อการเคลื่อนไหวที่น้อยลง

เครื่องซักผ้าฝาหน้ากับฟังก์ชันที่ควรมี
เครื่องซักผ้าฝาหน้ามาพร้อมฟังก์ชันการทำงานหลากหลาย ตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน ฟังก์ชันยอดนิยมบางประการ ได้แก่:
โปรแกรมซักผ้า:
ผ้าฝ้าย: เหมาะสำหรับผ้าฝ้ายทั่วไป เช่น เสื้อยืด กางเกงขายาว
ผ้าขนสัตว์: โปรแกรมนี้จะซักผ้าขนสัตว์อย่างอ่อนโยน ช่วยป้องกันผ้าเสียทรง
ผ้าขนหนู: โปรแกรมนี้จะซักผ้าขนหนูด้วยน้ำร้อน ช่วยขจัดคราบสกปรกและแบคทีเรีย
ผ้าสี: โปรแกรมนี้จะซักผ้าสีด้วยน้ำเย็น ช่วยป้องกันสีซีดจาง
ผ้าใยสังเคราะห์: โปรแกรมนี้จะซักผ้าใยสังเคราะห์ด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม ช่วยป้องกันผ้าเสียทรง
ผ้าลูกไม้: โปรแกรมนี้จะซักผ้าลูกไม้ด้วยความอ่อนโยน ช่วยป้องกันผ้าเสียหาย
ผ้าปูที่นอน: โปรแกรมนี้จะซักผ้าปูที่นอนด้วยน้ำปริมาณมาก ช่วยขจัดคราบสกปรก
ผ้านวม: เครื่องซักผ้าฝาหน้าซักผ้านวมได้ในบางรุ่น ขนาดไม่เกิน 10 kg
ผ้าม่าน: โปรแกรมนี้จะซักผ้าม่านด้วยความอ่อนโยน ช่วยป้องกันผ้าเสียหาย
ซักด่วน: โปรแกรมนี้จะซักผ้าเสร็จภายในเวลาสั้นๆ เหมาะสำหรับผ้าที่ไม่สกปรกมาก
ซักไอน้ำ: โปรแกรมนี้จะใช้ไอน้ำช่วยขจัดคราบสกปรก โดยไม่ต้องใช้น้ำยาซักผ้ามาก เหมาะสำหรับผ้าที่แพ้ง่าย
ฟังก์ชั่นอื่นๆ:
ล้างถังซัก: ฟังก์ชั่นนี้จะช่วยทำความสะอาดถังซักผ้า ช่วยป้องกันกลิ่นอับและแบคทีเรีย
ปั่นแห้ง: ฟังก์ชั่นนี้จะช่วยปั่นผ้าให้แห้งหลังการซัก ช่วยประหยัดเวลาตากผ้า
ตั้งเวลาล่วงหน้า: ฟังก์ชั่นนี้ช่วยให้คุณตั้งเวลาซักผ้าล่วงหน้า เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาซักผ้าตอนกลางวัน
ล็อคประตูเด็ก: ฟังก์ชั่นนี้ช่วยป้องกันเด็กเล็กเปิดประตูเครื่องซักผ้า ช่วยป้องกันอันตราย
เชื่อมต่อ Wi-Fi: ฟังก์ชั่นนี้ช่วยให้คุณควบคุมเครื่องซักผ้าผ่านสมาร์ทโฟน

เครื่องซักผ้าฝาหน้า เลือกอย่างไรดี

เครื่องซักผ้าฝาหน้า ราคา

วิธีเลือกดูเครื่องซักผ้าฝาหน้า เพื่อให้คึณได้เครื่องซักผ้าที่ถูกใจมากที่สุด
1. กำหนดงบประมาณ: เครื่องซักผ้าฝาหน้ามีราคาหลากหลาย ขึ้นอยู่กับแบรนด์ ขนาดเครื่องซักผ้าฝาหน้า ฟังก์ชันการทำงาน กำหนดงบประมาณของคุณก่อน เพื่อช่วยให้คุณเลือกเครื่องซักผ้าฝาหน้าที่เหมาะสม
2. เลือกเครื่องซักผ้าฝาหน้าขนาดที่เหมาะสม: เลือกเครื่องซักผ้าฝาหน้าที่มีความจุเหมาะสมกับจำนวนสมาชิกในบ้าน โดยทั่วไปแล้ว ครอบครัวขนาด 2-3 คน ควรเลือกเครื่องซักผ้าฝาหน้าที่มีความจุ 8-10 กิโลกรัม ครอบครัวขนาด 4-5 คน ควรเลือกเครื่องซักผ้าฝาหน้าที่มีความจุ 11-13 กิโลกรัม และครอบครัวขนาด 6 คนขึ้นไป ควรเลือกเครื่องซักผ้าฝาหน้าที่มีความจุ 15 กิโลกรัมขึ้นไป
3. เลือกฟังก์ชันการทำงาน: เลือกเครื่องซักผ้าฝาหน้าที่มีฟังก์ชันการทำงานที่ตรงกับความต้องการของคุณ ฟังก์ชันยอดนิยมบางประการ เช่น โปรแกรมซักผ้าสำหรับผ้าชนิดต่างๆ ฟังก์ชั่นล้างถังซัก ฟังก์ชั่นปั่นแห้ง ฟังก์ชั่นตั้งเวลาล่วงหน้า ฟังก์ชั่นล็อคประตูเด็ก ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อ Wi-Fi เครื่องซักผ้าฝาหน้าพร้อมอบแห้ง เป็นต้น
4. เลือกแบรนด์: เลือกเครื่องซักผ้าฝาหน้าจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ มีบริการหลังการขายที่ดี
5. เปรียบเทียบราคาและโปรโมชั่น: เปรียบเทียบราคาและโปรโมชั่นจากร้านค้าต่างๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ
6. อ่านรีวิว: อ่านรีวิวจากผู้ใช้จริง ก่อนตัดสินใจซื้อ
7. เลือกซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ: เลือกซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ มีใบรับประกันสินค้า

เครื่องซักผ้าฝาหน้า ดีไซน์ดีๆ สำหรับคนมีพื้นที่จำกัด
เครื่องซักผ้าฝาหน้า (Front-loading washing machine) เป็นเครื่องซักผ้าที่มีฝาด้านหน้าของตัวเครื่อง ซึ่งใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ และมีความสามารถในการล้างผ้าที่ดีเนื่องจากมีการหมุนตัวเครื่องในทิศทางต่างๆ เพื่อให้ผ้าสะอาดทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ความสามารถของเครื่องซักผ้าฝาหน้ามีหลายประการ เช่น ประหยัดน้ำและไฟฟ้า เนื่องจากเป็นถังซักล้างขนาดกลาง ระบบหมุนผ้าล้างทั้งสองทิศทาง ซึ่งช่วยให้ผ้าล้างสะอาดขึ้น

50
โรงเรียนนานาชาติมัธยม

ในยุคที่โลกไร้พรมแดน การศึกษาเป็นกุญแจสำคัญที่เปิดประตูสู่โอกาสอันไร้ขีดจำกัด โดยเฉพาะการส่งลูกหลานเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติระดับมัธยมนับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะเป็นการมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่แตกต่างและรอบด้าน ซึ่งจะช่วยให้เด็ก ๆ เติบโตเป็นพลเมืองโลกที่มีความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จำเป็นในการแข่งขันในศตวรรษที่ 21 โดยขอแนะนำ 6 โรงเรียนนานาชาติมัธยม ที่น่าสนใจในประเทศไทย ซึ่งมีหลักสูตรดี ครูมีคุณภาพ ค่าเทอม โรงเรียนนานาชาติมัธยมจะเท่าไหร่กันบ้างไปดูกัน

รู้จักหลักสูตรโรงเรียนนานาชาติมัธยมที่ได้รับความนิยม
โรงเรียนนานาชาติ มัธยม เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนหลักสูตรในระดับมัธยมศึกษา โดยมีจุดเด่นที่การเรียนการสอนเป็นแบบสากล หรือที่เรียกว่า International Curriculum ซึ่งแตกต่างจากโรงเรียนในระบบการศึกษาของประเทศไทยทั่วไป ทั้งนี้ หลักสูตรของโรงเรียนนานาชาติระดับมัธยมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มี 3 หลักสูตร ได้แก่

1. หลักสูตรอเมริกัน
หลักสูตรอเมริกัน (American Curriculum) เน้นการเรียนรู้แบบค้นคว้า และการมีส่วนร่วมของนักเรียนในการเรียนการสอน มีความหลากหลายในด้านวิชาเลือก และมักมีกิจกรรมนอกหลักสูตรที่หลากหลาย เหมาะสำหรับนักเรียนในโรงเรียนนานาชาติมัธยมที่ต้องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศที่ใช้หลักสูตรอเมริกัน

2. หลักสูตรอังกฤษ
หลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum) เน้นการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การเขียน และการนำเสนอ มีโครงสร้างหลักสูตรที่ชัดเจน โดยแบ่งเป็นระดับชั้นและวิชาต่าง ๆ ตามมาตรฐานของประเทศอังกฤษ ซึ่งเหมาะสำหรับนักเรียนในโรงเรียนนานาชาติ ม.ปลายที่ต้องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ หรือประเทศที่ใช้หลักสูตรอังกฤษ

3. หลักสูตร International Baccalaureate (IB)
หลักสูตร International Baccalaureate (IB) เป็นหลักสูตรนานาชาติที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เน้นการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีโครงสร้างหลักสูตรที่ครอบคลุมทั้งด้านวิชาการและทักษะชีวิต เหมาะสำหรับนักเรียนในโรงเรียนมัธยมนานาชาติที่ต้องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก และมีความสนใจในหลากหลายสาขาวิชา

แนะนำ 6 โรงเรียนนานาชาติมัธยมที่น่าสนใจ

โรงเรียนนานาชาติ มัธยมปลาย


ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีโรงเรียนนานาชาติ มัธยม จำนวนมาก สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ปกครองนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติระดับมัธยมกันมากขึ้น จึงขอแนะนำโรงเรียนนานาชาติ มัธยมปลายที่น่าสนใจ ดังนี้

โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ (Regent's International School Bangkok)
โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ (Regent's International School Bangkok) เป็นโรงเรียนนานาชาติ มัธยมที่เน้นหลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum) โดยสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย (Year 13) โดดเด่นด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียนทันสมัย, ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์, ห้องสมุด, สนามกีฬา, สระว่ายน้ำ, หอพักนักเรียน (สำหรับสาขาบางแห่ง)

ที่สำคัญ โรงเรียนนานาชาติ ม.ปลายแห่งนี้มีผลการสอบ IGCSE และ IB Diploma ที่ยอดเยี่ยม ทำให้นักเรียนมีโอกาสเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมนอกหลักสูตรที่หลากหลาย เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ และเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ครูส่วนใหญ่มีคุณวุฒิและประสบการณ์ในการสอนตามหลักสูตรอังกฤษ โดยโรงเรียนเน้นสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่อบอุ่นและเป็นกันเอง ซึ่งค่าเทอม โรงเรียนนานาชาติมัธยมจะเริ่มต้นที่ 390,300 บาทต่อปี

โรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ กรุงเทพ (Harrow International School Bangkok)
โรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ กรุงเทพ (Harrow International School Bangkok) เป็นโรงเรียนนานาชาติ ม.ปลายที่มีหลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum) โรงเรียนมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีชื่อเสียงระดับโลก เน้นการพัฒนานักเรียนอย่างรอบด้าน ทั้งด้านวิชาการและพัฒนาทักษะการใช้ชีวิต ซึ่งค่าเทอม โรงเรียนนานาชาติมัธยมจะเริ่มต้นประมาณ 459,000 บาทต่อปี

โรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน (Concordian International School)
โรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน (Concordian International School) จะอิงหลักสูตรสากล ผสมผสานกับปรัชญาการศึกษาแบบ Montessori มีจุดเด่นตรงที่เป็นรร. มัธยม นานาชาติขนาดเล็ก มีบรรยากาศอบอุ่น เน้นการเรียนรู้แบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีกิจกรรมกลางแจ้ง, เน้นศิลปะ และการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ซึ่งค่าเทอม โรงเรียนนานาชาติมัธยมจะเริ่มต้นประมาณ 749,200 บาทต่อปี

โรงเรียนนานาชาตินิสท์ (NIST International School)
โรงเรียนนานาชาตินิสท์ (NIST International School) เป็นโรงเรียนนานาชาติ มัธยมที่ใช้หลักสูตรอเมริกัน (American Curriculum) เน้นการพัฒนานักเรียนให้เป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต มีโปรแกรมแลกเปลี่ยนนักเรียน และโครงการวิจัยที่น่าสนใจจำนวนมาก ซึ่งค่าเทอม โรงเรียนนานาชาติมัธยมเริ่มต้นที่ประมาณ 541,800 บาท

โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส (St. Andrews International School)
โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส (St. Andrews International School) ใช้หลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum) ถือว่าเป็นโรงเรียนมัธยมนานาชาติขนาดกลาง ที่มีบรรยากาศอบอุ่น เน้นการเรียนรู้แบบส่วนตัว และให้การดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด พร้อมพัฒนาทักษะนักเรียนอย่างรอบด้าน ทั้งกีฬา, ดนตรี, ศิลปะ, และโครงการบริการชุมชน ซึ่งค่าเทอม โรงเรียนนานาชาติมัธยมเริ่มต้นที่ประมาณ 346,000 บาทต่อปี

โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ (Shrewsbury International School Bangkok)
โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ (Shrewsbury International School Bangkok) เป็นโรงเรียนนานาชาติมัธยม ในกรุงเทพที่ใช้หลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum) ถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านวิชาการ เน้นการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาให้แก่นักเรียน ด้วยกิจกรรมเสริมทักษะต่าง ๆ ซึ่งค่าเทอม โรงเรียนนานาชาติมัธยมเริ่มต้นที่ประมาณ 591,000 บาท

สรุปเกี่ยวกับโรงเรียนนานาชาติมัธยม
โรงเรียนนานาชาติมัธยม เป็นสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนหลักสูตร International ด้วยหลักสูตรรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรอเมริกัน, หลักสูตรอังกฤษ และหลักสูตร International Baccalaureate (IB) โดยในประเทศไทยเองก็มีโรงเรียนมัธยมนานาชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงเรียนนานาชาติมัธยม ในกรุงเทพอย่างเช่น โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ ที่มีหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล พร้อมด้วยครูที่มีคุณภาพ บรรยากาศน่าเรียนอีกด้วย

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 ... 12