ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารแบบปิ้งย่างในประเทศไทย มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 30% ของตลาดรวมร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า โดยเป็นธุรกิจที่เติบโตมาก ทั้งในฝั่งของปิ้งย่างริมทางไปจนถึงร้านปิ้งย่างในห้างหรู เนื่องจากพฤติกรรมของคนไทย ซึ่งชื่นชอบกิจกรรม รับประทานอาหารปิ้งย่างและเป็นกิจกรรมสังสรรค์ที่เหมาะกับกลุ่มเพื่อนฝูงหรือครอบครัว 

 

สำหรับธุรกิจอาหารปิ้งย่างจะแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่

 

ความเคลื่อนไหวในตลาดปิ้งย่าง ยังคงเต็มไปด้วยความคึกคัก โดยเฉพาะการบุกตลาดแบรนด์หลักในตลาด อาทิ "บาร์บีคิวพลาซ่า" จาก บริษัท เดอะบาร์บีคิวพลาซ่า จำกัด ซึ่งประกาศบุกหนักทั้งการตลาดภายใต้งบประมาณ 250 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลต่อโปรโมชั่นที่เข้มข้นขึ้น พร้อมการปรับโฉมแบรนด์ในรอบ 25 ปีและ 250 ล้านบาทสำหรับ การขยายและปรับโฉมสาขาเดิมเพื่อให้ทันสมัยยิ่งขึ้น 

 

ปัจจุบันบาร์บีคิวพลาซ่าในประเทศไทยมีอยู่ 95 สาขา ปีนี้จะเปิดอีก 5 สาขา คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีสาขาครบ 120 สาขาในประเทศไทย 

 

มูลค่าตลาดอาหารปิ้งย่างอยู่ที่ประมาณ 30% จากตลาดอาหารรวมทั้งหมด หรือประมาณ 3,600 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และคาดว่าในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตที่มากขึ้นกว่าเดิม 20% หรืออยู่ที่ประมาณ 4,300-4,400 บาท เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันที่รุนแรงมาก สำหรับยอดรายได้ตั้งเป้าโตประมาณ 22% จากปีที่แล้ว 1,900 ล้านบาท เป็น 2,400 ล้านบาทในปีนี้ 

 

ส่วนตลาดร้านอาหารปิ้งย่างแบบเกาหลี มีแบรนด์ "ซูกิชิ" เป็นผู้นำตลาด โดยก่อนหน้านี้ได้ประกาศขยายสาขาถึง 25 แห่งในไทย รวมทั้งการขยายสาขาในอาเซียน เพื่อความเป็นผู้นำร้านอาหารเกาหลีในอาเซียน ภายใต้งบลงทุนในปีนี้กว่า 800 ล้านบาท และจะใช้งบตลาด 200 ล้านบาทในปีนี้ 
 

 
 

 

นายเตชิต หร่มระฤก กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิยาบิ กริลล์ จำกัด กล่าวว่า ด้วยธุรกิจอาหารปิ้งย่าง หรือ ยากินิคุ กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก และมองว่ายังเติบโตได้ดี โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเติบโตเป็นเลข 2 หลักมาโดยตลอด และยังไปได้อีกไกล แต่จะเปลี่ยนจากแฟชั่น เป็นวัฒนธรรมการกินได้เมื่อไหร่เท่านั้น ส่งผลให้ธุรกิจอาหารปิ้งย่างในปีนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 4 พันล้านบาท เติบโตกว่า 10% 

 

"หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน ก็คงไม่มีใครคิดว่าสุกี้จะกลายมาเป็นวัฒนธรรมการกินของคนไทย ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเทรนด์ของฟาสต์ ฟู้ด โดยขณะนี้เป็นเทรนด์ของซูชิบาร์ และจะมีให้เห็นทั่วโลก โดยในทุกเมืองทั่วโลกจะต้องมีซูชิ ซึ่งเริ่มมาจากอเมริกา" 

 

ทั้งนี้ ธุรกิจอาหารปิ้งย่างในปีนี้ยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรง โดยจะเห็นความเคลื่อนไหวทางการ ตลาดอย่างต่อเนื่องจากผู้เล่นรายเดิมที่เริ่มให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาคุณภาพของสินค้า รวมถึงมีการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว 

 

 

ทั้งนี้ ด้วยกลุ่มเป้าหมายของมิยาบิจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งมองว่าอีก 5 ปีข้างหน้าก็จะกลายเป็น ผู้ใหญ่ จึงกลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมการกินให้กับพวกเขา เนื่องจากมองว่าอาหารเกาหลียังเป็นแค่กระแส ขณะที่อาหารญี่ปุ่นจะซึมซับไปโดยไม่รู้ตัว นั่นทำให้ตลาดอาหารญี่ปุ่นถึงมีมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท 

 

ในส่วนของมิยาบินั้น จะมีแบรนด์ในเครือทั้งหมดด้วยกัน 4 แบรนด์ คือ โจเซ็น เป็นคอนเซปต์ ยากินิคุ แอนด์ บาร์ ที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ด้วย มี 5 สาขา มิยาบิ เป็นยากินิคุบุฟเฟ่ต์สไตล์ญี่ปุ่นแบบสมัยใหม่ จะอยู่ในห้างสรรพสินค้า เป็นบุฟ- เฟ่ต์ในรูปแบบที่พนักงานจะมาเสิร์ฟอาหารให้ที่โต๊ะ 19 สาขา เน้นห้างในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองใหญ่ ส่วนมิยาบิ ไคเต็น ถือเป็นไฟติ้ง แบรนด์ เป็นยากินิคุบุฟเฟ่ต์ในรูปแบบสายพาน 18 สาขา เน้นเปิดตามห้าง หรือต่างจังหวัด และกำลังจะเปิดตัวแบรนด์ใหม่ นั่นคือ วาบิ- ซาบิ ซึ่งจะเป็นแบรนด์ พรีเมี่ยม 95% เป็นอาหารนำเข้า และเป็นแบบ A La Carte ทั้งหมด ซึ่งจะมีเพียง 1 สาขาเท่านั้น เพื่อตอบโจทย์ให้ครบทุกเซ็กเมนต์ 
 

 
 

 

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะรุกตลาดอย่างจริงจังในปีนี้ หลังจากที่ทำตลาดมา 5 ปี ทำให้ต้องใช้งบลงทุนเยอะ ประมาณ 400 ล้านบาท ทั้งการขยายสาขา ลงทุนด้านโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมบางชัน ซึ่งจะเป็นครัวกลาง ป้อนให้ทั้ง 4 แบรนด์ จะเปิดใช้เต็มกำลังการผลิตในเดือนพฤศจิกายนนี้ และงบการตลาด เพราะไม่ต้องการเป็นแค่เทรนด์แฟชั่น หากต้องการเป็นแบรนด์ชั้นนำ ทำให้ปีนี้เปิดสาขาใหม่ไป 32 สาขา ส่วนปีที่แล้ว 11 สาขา โดยมิยาบิ กับมิยาบิ ไคเต็น ใช้งบลงทุนในการขยายสาขา 8-9 ล้านบาทต่อสาขา โจเซ็น 10 ล้านบาทต่อสาขา และวาบิ ซาบิ 15-17 ล้านบาทต่อสาขา 

 

นอกจากนี้ มีแผนจะเปิดขายแฟรน ไชส์ประมาณปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า โดยแบรนด์ที่จะเปิดขายแฟรนไชส์ คือ มิยาบิ ไคเต็น เบื้องต้นวางไว้ 5 สาขาก่อน โดยจะใช้งบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาทต่อสาขา รวมทุกอย่างแล้ว พื้นที่ประมาณ 200 ตารางเมตร รวมทั้งมีแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คาดว่าประมาณอีก 5 ปีข้างหน้า 

 

ดังนั้น ในปีหน้าจะเร่งขยายสาขา โดยตั้งไว้ที่ 30 สาขา ใช้งบลงทุนราว 300 ล้านบาท ซึ่งต่อไปอีก 3 ปีจะเหลือประมาณ 10 สาขาต่อปี เนื่องจากตอนนั้นฐานจะกว้างขึ้น โดยปีหน้าตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 1,300 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้ 600 ล้านบาท ปีที่แล้ว 180 ล้านบาท และคาดว่าภายใน 5 ปีจะมีทั้งสิ้น 120 สาขา มียอดขาย 3,000 ล้านบาท 

 

สำหรับทุกแบรนด์จะเป็นบุฟเฟ่ต์ทั้งหมด โดยมิยาบิ ไคเต็นจะอยู่ที่ 300 บาทต่อหัว เน้นบัตรสมาชิก เพื่อสร้างฐานสมาชิกก่อน จำกัดเวลาในการกิน 1.15 ชม., มิยาบิ 400 บาทต่อหัว 1.30 ชม., โจเซ็น 500 บาท 2 ชม. และวาบิ ซาบิ 800-1,000 บาท ไม่จำกัดเวลา 

 

นอกจากนี้ จะทำการตลาดแบบครบวงจร เพื่อสร้างการรับรู้ จดจำ ตอกย้ำ และสร้างความผูกพัน ระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย และได้นำ "เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ" มาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของมิยาบิ เนื่องจากมีคาแร็กเตอร์ตรงกับแบรนด์ คือ มีความน่ารัก สดใส ทันสมัย และมีสไตล์เป็นของตัวเองที่ชัดเจน ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่คือ คิดลึก ที่บริษัทต้องการสร้างคาแรกเตอร์ให้กับร้านอาหารปิ้งย่าง เพื่อให้แบรนด์มีความโดดเด่น และฉายภาพไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เบื้องต้นจะเน้นการสื่อสารแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมายในกรุงเทพฯก่อนที่จะขยายแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักทั่วประเทศในช่วงปลายปีนี้ 

 

ด้วยการบุกตลาดของแบรนด์ใหม่และการปกป้องส่วนแบ่งจากแบรนด์เดิมที่มีความแข็งแกร่ง จะส่งผลให้ตลาดอาหารปิ้งย่างในปีนี้จึงมีความคึก คักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และคาดว่าจะเติบโตได้มากถึง 20%