เนื่องด้วยคุณภาพทางการศึกษาทั้งยังมีมหาวิทยาลัยชั้นนำได้รับการยอมรับหลายแห่ง อาทิเช่น University of Oxford, University of Cambridge, University of St Andrews และ Imperial College London ทำให้ประเทศอังกฤษถือเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมที่มีผู้สนใจเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรี ซึ่งการเรียนต่อปริญญาตรีประเทศอังกฤษยังมีข้อดีมากมายอย่างการต่อปริญญาโทง่าย ได้ภาษาแน่น และโอกาสในการได้งานที่สูงขึ้น
การ
เรียนต่อปริญญาตรีอังกฤษมีอยู่หลายหลักสูตรด้วยกัน โดยผู้ที่สนใจสามารถเลือกเรียนให้ตรงกับความพร้อมและความต้องการของแต่ละบุคคลได้ ไม่ว่าจะเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมในไทยหลักสูตรทั่วไปหรืออินเตอร์ จบจากต่างประเทศ หรือแม้แต่เรียนชั้นปีที่หนึ่งในมหาวิทยาลัยแล้วก็สามารถสมัครเรียนได้ทั้งสิ้น แต่จะเริ่มต้นสมัครอย่างไรรวมทั้งต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างนั้น เราไปดูพร้อมๆ กัน
หลักสูตรปริญญาตรีอังกฤษปริญญาตรีอังกฤษ หลักสูตร 3 ปีการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ที่ 3 ปี โดยแต่ละหลักสูตรสาขาวิชาจะประกอบไปด้วยการสัมมนา การฟังบรรยาย รวมทั้งเวิร์คชอปต่างๆ ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกลงได้ตามความถนัดและสนใจ
ปริญญาตรีอังกฤษ หลักสูตร 4 ปีนอกจากหลักสูตรทั่วไปที่ใช้ระยะเวลาเรียน 3 ปีแล้ว การเรียนต่อปริญญาตรีในด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษนั้นจะใช้เวลาเรียนด้วยกันทั้งหมด 4 ปีจนจบหลักสูตร
หลักสูตร Fast Trackเป็นหลักสูตรแบบเต็มเวลาโดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ถือเป็นหลักสูตรที่ช่วยให้เรียนจบได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับผู้ที่ต้องการย่นระยะเวลาในการเรียนเพื่อทำงานต่อ
หลักสูตรการฝึกงานระหว่างเรียนหรือ sandwich courseหลักสูตรการฝึกงานระหว่างเรียนระยะเวลา 4 ปี โดยผู้เรียนจะได้ใช้เวลาหนึ่งปีในการฝึกงานที่เหมาะสมตามสาขาวิชาที่เลือกเรียน
หลักสูตรปริญญาตรีระยะสั้น Certificate of Higher Education (CertHE)เป็นหลักสูตรระยะสั้นที่ผู้เรียนจะเรียนเต็มเวลา 1 ปี และทำงานพาร์ทไทม์ควบคู่ไปด้วย 2 ปี โดยหลังจากจบหลักสูตรนี้แล้วผู้เรียนจะไม่สามารถไปต่อในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรีได้ นอกจากลงเรียนเพิ่มเติมในหลักสูตรแบบ 3 ปี
หลักสูตรปริญญาตรีระยะสั้น Diploma of Higher Education (DipHE)หลักสูตรเรียนลัดโดยการเรียนเต็มเวลา 2 ปี เหมาะกับผู้เรียนที่ต้องการลดค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าครองชีพ เรียกได้ว่าประหยัดทั้งเงินและเวลา แต่หลักสูตรนี้หลังจากเรียนจบแล้วจะเหมือนกับ Certificate of Higher Education ที่ไม่สามารถไปต่อในระดับชั้นสูงกว่าได้ทันที แต่ต้องย้ายไปเรียนเพิ่มเติมในหลักสูตร 3 ปี
เอกสารในการสมัครเรียนสำเนาพาสปอร์ต แนะนำว่าให้มีอายุเหลือมากกว่าระยะเวลาหลักสูตรจะได้ไม่วุ่นวายทำเรื่องต่ออายุในภายหลัง
ใบสมัครเรียนของทางมหาวิทยาลัย
ใบแสดงผลการเรียนฉบับภาษาอังกฤษ
- Certificate of Graduation
ใบปริญญาบัตรรับรองการจบการศึกษาล่าสุดฉบับภาษาอังกฤษ
ผลสอบวัดระดับทางภาษาอังกฤษ IELTS โดยเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 6.0 ขึ้นไป โดยแต่ละพาร์ทจะต้องไม่ต่ำกว่า 5.5 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทางมหาวิทยาลัยที่เลือกเรียนกำหนดไว้ด้วย
- Statement of Purpose (SOP)
จดหมายแนะนำตัว เนื้อหาเกี่ยวกับเป้าหมายในชีวิตพร้อมอธิบายว่าหลักสูตรที่ต้องการเรียนนั้นมีส่วนมาช่วยหรือพัฒนาอย่างไรบ้าง
จดหมายรับรองที่เขียนโดยละเอียดจากอาจารย์หรือหัวหน้างาน ระบุถึงตัวผู้สมัครในด้านวิชาการ รวมถึงบุคลิกและลักษณะนิสัย จำนวน 2 ฉบับเป็นอย่างน้อย
ในกรณีที่ผู้สมัครเรียนมีประสบการณ์ทำงานแล้วควรแนบเรซูเม่มาด้วย
แนะนำเรียนต่อปริญญาตรีอังกฤษมหาลัยไหนดีมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษมีจำนวนมากกว่าร้อยแห่งโดยมีจุดเด่นและข้อดีที่แตกต่างกันออกไป แน่นอนว่าผู้สมัครย่อมมีสาขาที่ต้องการอยู่แล้วในใจ แต่ควรเลือกมหาวิทยาลัยไหนดีให้เหมาะหากอยากเรียนต่อด้านนี้ ซึ่งประเทศอังกฤษมีการแบ่งมหาวิทยาลัยออกเป็นสองกลุ่มด้วยกันคือ Top Rank และ New Universities
กลุ่มมหาวิทยาลัย Top Rank มักเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยที่มีประวัติศาสตร์รวมทั้งชื่อเสียงอย่างยาวนาน เป็นที่รู้จักกว้างขวางและมีจุดเด่นในด้านงานวิจัยต่างๆ แต่ด้วยเกณฑ์การรับที่สูงทำให้นักเรียนต่อคลาสนั้นมีจำนวนมากอาจทำให้ผู้สอนดูแลได้ไม่ทั่วถึง ตัวอย่างมหาวิทยาลัยกลุ่มนี้ ได้แก่ University of Cambridge, University of Durham, University of Oxford และ University of Nottingham
กลุ่มมหาวิทยาลัย New Universities เป็นกลุ่มสถาบันที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน มีเวิร์คชอปเครื่องมือที่ทันสมัยเน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติและได้ประสบการณ์จริง จำนวนนักเรียนต่อห้องน้อยทำให้เข้าถึงผู้สอนได้ง่าย ตัวอย่างมหาวิทยาลัยกลุ่มนี้ ได้แก่ University of Portsmouth, University of Middlesex, University of Brighton และ University of Central Lancashire
สรุปการเรียนต่อปริญญาตรีอังกฤษประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นค่าเล่าเรียนตลอดหลักสูตรรวมถึงค่าครองชีพที่ต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ผู้ที่กำลังมองหาที่เรียนจึงควรเลือกมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรการสอนตรงกับความต้องการตนเองและควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนการตัดสินใจ
นอกจากนี้การสอบถามข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ที่พร้อมให้คำแนะนำในเรื่องหลักสูตรและมหาวิทยาลัยจึงถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะช่วยให้การดำเนินการต่างๆ ตั้งแต่เริ่มเตรียมเอกสาร การประสานงานกับทางมหาวิทยาลัย ตลอดจนเรื่องที่พักและการเดินทางนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น และไม่พลาดในทุกขั้นตอนเรียนต่อ