ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - พรสัก ส่องแสง

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 ... 9
1
เก็บเงินเที่ยว

หลังจากที่ได้ผ่านการเรียนหรือทำงานมาอย่างหนักจนร่างกายและจิตใจอ่อนล้า การได้พักผ่อนอย่างการไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ที่อยากไปจะสามารถช่วยให้สภาพร่างกายและจิตใจได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ โดยในบทความนี้จะมาแนะนำ 6 วิธีเก็บเงินเที่ยวที่สามารถทำตามได้จริงง่าย ๆ โดยเริ่มตั้งแต่เปิดบัญชีสำหรับเก็บเงินโดยเฉพาะ การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราจะไปที่ไหนต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไรบ้าง รวมไปถึงการใช้ตัวช่วยในการเก็บเงินที่จะทำให้การเก็บเงินเที่ยวไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

1. เปิดบัญชีเก็บเงินสำหรับการเที่ยวโดยเฉพาะ

วิธีเก็บเงินเที่ยว

ถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่มักโอนไว โอนเร็ว เก็บเงินไม่ค่อยอยู่แล้วละก็ การเปิดบัญชีสำรองที่ไว้ใช้สำหรับเก็บเงินเที่ยวโดยเฉพาะน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเราจะเห็นจำนวนเงินที่เราสามารถใช้งานได้ในบัญชีหลักอย่างชัดเจน อีกทั้งการเก็บเงินแยกไว้อีกบัญชีนึงจะทำให้เราสามารถคำนวณได้ง่ายขึ้นว่าจะต้องแบ่งเงินเก็บสำหรับไปเที่ยวเดือนละเท่าไร

นอกจากนี้การเปิดบัญชีสำหรับเก็บเงินเที่ยวโดยเฉพาะ จะทำให้เราสามารถประเมินได้ว่าต้องเก็บเงินเพิ่มเติมอีกเท่าไร สำหรับลิสรายการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ได้มีการวางแผนเอาไว้และสามารถปรับเปลี่ยนแผนการเก็บเงินเที่ยวให้เหมาะสมกับการเที่ยวของเราได้

2. เก็บเงินให้มากพอก่อนใช้จ่าย
ถ้าหากยังเลือกสถานที่เที่ยวหรือเป้าหมายของการเก็บเงินเที่ยวไม่ได้ การเก็บเงินไปเรื่อย ๆ ให้มียอดที่มากพอสำหรับการใช้จ่ายต่าง ๆ โดยไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายรายเดือนก็เป็นทางเลือกง่ายและไม่ต้องวางแผนอะไรมาก โดยมีข้อแนะนำว่าหากเป็นบัญชีแบบออมทรัพย์ ไม่ควรทำบัตร ATM เพื่อให้การนำเงินออกมาใช้จ่ายแต่ละครั้งมีความยุ่งยากมากยิ่งขึ้นจนทำให้ไม่อยากถอนเงินออกมาใช้ หรือจะใช้บัญชีฝากประจำในการเก็บเงินไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะได้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีออมทรัพย์และยังมั่นใจได้ว่าจะสะสมเงินก้อนได้อย่างแน่นอน

3. กำหนดเป้าหมายในการเที่ยวให้ชัดเจน

วิธีเก็บเงินไปเที่ยว

วิธีเก็บเงินไปเที่ยวที่สำคัญที่สุดคือการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าเราอยากไปที่ไหน มีค่าใช้จ่ายอะไร เท่าไรบ้าง เพื่อจะได้สามารถวางแผนการเก็บเงินเที่ยวได้อย่างเหมาะสมกับเป้าหมายอย่างเช่น

หากเป็นการเที่ยวในประเทศอย่าง การเที่ยวเกาะล้าน ก็อาจจะมีการวางแผนเก็บเงินสัก 5,000 บาท สำหรับค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เป็นต้น อาจจะใช้ระยะเวลาในการเก็บเงินเที่ยวสัก 1-2 เดือน

แต่ถ้าหากว่าเรามีเป้าหมายที่ใหญ่มากขึ้นอย่างการเก็บเงินไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็จะสูงขึ้นจากหลักพันกลายเป็นหลักหมื่น ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายทั่วไป ทำให้ต้องเก็บเงินมากขึ้นหรือใช้ระยะเวลาในการเก็บเงินที่มากขึ้นด้วย

ซึ่งการไปเที่ยวแต่ละครั้งโดยเฉพาะการเที่ยวต่างประเทศเราคงไม่ได้อยากไปเที่ยวอย่างประหยัดจนลำบากในการไปท่องเที่ยว ดังนั้นการกำหนดการเป้าหมายที่ชัดเจนในการเก็บเงินเที่ยวแต่ละครั้งจะทำให้เราสามารถวางแผนในการเก็บเงินได้อย่างเหมาะสม

4. จำกัดวงเงินในการใช้จ่ายแต่ละครั้ง
สำหรับบางคนที่พอจะมีการวางแผนการเงินสำหรับค่าใช้จ่ายรายเดือนบ้างแล้ว ก็อาจจะมีการแบ่งเงินไว้สำหรับสิ่งของที่ตนเองอยากได้หรือแบ่งไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันในแต่ละเดือน ซึ่งหากเรามีเป้าหมายที่จะเก็บเงินเที่ยวแล้วนั้น

การจำกัดวงเงินใช้จ่ายในแต่ละวันหรือรายสัปดาห์ก็จะช่วยให้เราไม่ใช้เงินเกินที่เราได้วางแผนไว้อย่างเช่นหากเราใช้เงินวันละ 300 บาท * 30 วัน ก็จะเป็นเงินจำนวน 9,000 บาทต่อเดือน ซึ่งถ้าเรามีการแบ่งเงินเป็นสัดส่วนและมีการจำกัดวงเงินที่ชัดเจนก็จะช่วยให้เราสามารถเก็บเงินเที่ยวได้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้

5. การตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก

ออมเงินไปเที่ยว

อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้การออมเงินไปเที่ยวเป็นเรื่องที่ง่ายมากยิ่งขึ้น คือการจำแนกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในแต่ละเดือนหรือการทำบัญชีรายรับรายจ่าย และตัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นออก

ซึ่งการทำบัญชีรายรับรายจ่ายจะช่วยให้เราสามารถรู้ได้ว่าในแต่ละเดือนเรามีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอะไรไปบ้างและการใช้จ่ายเหล่านั้นเหมาะสมหรือมีความจำเป็นหรือไม่ ถ้าหากว่าตัดออกหรือเลือกใช้จ่ายอย่างอื่นที่มีราคาถูกลงจะสามารถเพิ่มเงินเก็บต่อเดือนได้มากยิ่งขึ้น ทำให้การเก็บเงินเที่ยวสามารถเป็นไปตามเป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

6. ตั้งใจเก็บเงินให้ได้ตามเป้าหมาย
หลังจากที่ได้มีการกำหนดเป้าหมายที่เที่ยวที่ต้องการไปและมีการวางแผนการเก็บเงินเที่ยวเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะส่งผลให้เราสามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้คือ การปฏิบัติตามแผนที่ทำไว้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดวงเงินในแต่ละวัน การแบ่งเงินเป็นสัดส่วน หรือการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก สิ่งเหล่านี้ต่าง ๆ เป็นแนวทางที่ถ้าได้มีการปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอจะสามารถช่วยให้แผนการเก็บเงินเที่ยวแต่ละครั้งสามารถทำได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน

MAKE by KBank ตัวช่วยสำคัญในการเก็บเงิน
หลังจากที่ได้รู้จักกับวิธีเก็บเงินเที่ยวทั้ง 6 แบบกันไปแล้วรู้สึกว่าการทำตามวิธีต่าง ๆ ดูยากจังเลย เราได้มีแอปพลิเคชันที่ช่วยให้การเก็บเงินเที่ยวเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้นมาแนะนำอย่าง “MAKE by KBank” ผู้ช่วยเก็บเงินพร้อมแบ่งเงินเก็บเป็นส่วน ๆ ได้อย่างอิสระพร้อมฟีเจอร์สำคัญอย่าง “Cloud Pocket” และ “Expense Summary”

1. Cloud Pocket
Cloud Pocket เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้การแบ่งเงินเก็บเป็นสัดส่วนง่ายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนเก็บเงินเที่ยว ส่วนของค่าใช้จ่ายรายเดือน หรือส่วนของค่าเดินทาง ซึ่งเราสามารถสร้าง Cloud Pocket เพิ่มขึ้นมาได้เรื่อย ๆ พร้อมทั้งนำเอา 6 วิธีเก็บเงินเที่ยวมาประยุกต์ใช้งานได้อย่างการจำกัดวงเงินในการใช้จ่ายแต่ละครั้ง Cloud Pocket ก็สามารถกำหนดลิมิตในการเก็บเงินแต่ละ Clound ได้เพื่อให้เห็นลิมิตในการใช้เงินของแต่ละ Cloud

นอกจากนี้ Cloud Pocket ยังสามารถล็อกกระเป๋าเงินเพื่อป้องกันมาถอนหรือโอนเงินออกได้อีกด้วย เพื่อให้เราไม่เผลอใช้จ่ายเกินวงเงินที่ได้วางแผนเอาไว้ ซึ่งรับรองได้ว่าฟีเจอร์นี้จะช่วยให้สามารถเก็บเงินเที่ยวได้ตามเป้าหมายง่ายขึ้นอย่างแน่นอน

2. Expense Summary
Expense Summary คือฟีเจอร์ที่จะช่วยสรุปค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แบบอัตโนมัติแทนการทำรายรับรายจ่ายที่ช่วยให้เราสามารถรู้ได้ว่าในแต่ละเดือนเรามีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอะไรไปบ้าง ส่งผลให้เราสามารถตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกเพื่อจะได้สามารถเก็บเงินเที่ยวตามเป้าหมายของเราได้มากยิ่งขึ้น

สรุปการเก็บเงินเที่ยว
สำหรับการทำงานหรือการเรียนที่สร้างความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ การได้ออกไปเที่ยวพักผ่อนตามสถานที่ต่าง ๆ จะช่วยสร้างความผ่อนคลายและช่วยเยียวยาจิตใจได้เป็นอย่างมาก ดังนั้นวิธีการเก็บเงินเที่ยวทั้ง 6 วิธีที่เราได้แนะนำไปพร้อมกับตัวช่วยเก็บเงินอย่างแอปพลิเคชัน “MAKE by KBank” จะช่วยให้ทุกการเก็บเงินของคุณเป็นไปได้และสามารถดำเนินตามแผนได้อย่างสม่ำเสมอ


2
ปิดโพรงใต้บ้าน แก้ปัญหาโพรงบ้าน

ปัญหาโพรงใต้บ้าน เป็นปัญหายอดนิยมของบ้านในปัจจุบัน มีสาเหตุจากปัจจัยหลายประการ ทำให้เกิดการทรุดตัวจนเกิดโพรงใต้บ้านและบริเวณรอบบ้าน ส่งผลให้บ้านดูไม่สวยงาม แล้วยังเสี่ยงต่อสัตว์ที่เข้าไปหลบซ่อนหรืออาศัยในโพรงใต้บ้าน ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย ควรใช้บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน แก้ปัญหาสภาพแวดล้อมบริเวณบ้าน รวมทั้งป้องกันความหายที่อาจจะเกิดตามมาอีกด้วย มาดูรายละเอียดว่าปิดโพรงใต้บ้าน มีวิธีการปิดโพรงด้วยวัสดุอะไรบ้าง มีข้อดีจากการปิดโพรงรอบบ้านอย่างไร มาดูไปพร้อมกัน

แนะนำวัสดุสำหรับปิดโพรงใต้บ้าน

รับปิดโพรงใต้บ้าน ส่วนใหญ่วัสดุที่ใช้สำหรับปิดโพรงใต้บ้านหรือปิดโพรงรอบบ้าน ขึ้นอยู่กับลักษณะของโพรง รวมทั้งจุดเด่นของวัสดุนั้น ๆ จึงควรเลือกใช้วัสดุปิดโพรงใต้บ้านราคาเหมาะสม มีความคุ้มค่าระยะยาว โดยวัสดุยอดนิยมที่ใช้รับปิดโพรงใต้บ้าน มีดังนี้

พื้นขอบคันหิน

การเลือกใช้พื้นขอบคันหิน สามารถแก้ปัญหาปิดโพรงใต้บ้านได้รวดเร็ว มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก โดยการเลือกวัสดุขอบคันหิน นิยมใช้รับปิดโพรงใต้บ้านขนาดไม่เกิน 20 ซม. อีกทั้งยังเพิ่มความสวยงามให้กับบ้าน เพราะสามารถออกแบบสร้างสรรค์ได้หลากหลาย เช่น การวางขอบคันหินพร้อมทั้งกับการปลูกต้นไม้ขนาดเล็กเพิ่มความน่ารัก หรือการทาสีตามความต้องการให้บ้านน่าอยู่มากขึ้น

พื้นคอนกรีต

อีกหนึ่งวัสดุที่นิยมเลือกใช้กันก็คือพื้นคอนกรีต ถือได้ว่าได้รับการพัฒนาออกแบบ เพื่อนำมาใช้งานกับการปิดโพรงได้อย่างเหมาะสม โดยใช้วัสดุคอนกรีตที่มีคุณสมบัติเหมาะกับงานก่อสร้าง มีความแข็งแรง อีกทั้งมีความไหลลื่น จึงสามารถปิดโพรงใต้บ้านได้ดี ไม่มีการทรุดตัวจากดินเดิม ทั้งนี้ การเลือกใช้พื้นคอนกรีต จำเป็นต้องปรึกษาช่างมืออาชีพ ช่วยตรวจสอบความลึกของโพรง วิเคราะห์ปัญหา พร้อมทั้งประเมินวัสดุที่ใช้รับปิดโพรงใต้บ้านในปริมาณที่เหมาะสม

เสาเข็มไมโครไพล์

วิธีการแก้ปัญหาบ้านทรุดจนเกิดโพรงใต้บ้านด้วยการใช้เสาเข็มไมโครไพล์ นำมาตอกเสริมให้โครงสร้างบ้านมีประสิทธิภาพในการรับน้ำหนัก รับน้ำหนักได้ดีจนไม่เกิดการทรุดตัวตามมา โดยเสาเข็มไมโครไพล์ มีลักษณะเป็นเสาที่มีขนาดเล็กเพียง 1.50 เมตร ใช้งานสำหรับการก่อสร้างต่อเติมโครงสร้าง เพื่อสร้างความแข็งแรงมากขึ้น จะเห็นได้ว่า การรับปิดโพรงใต้บ้านโดยใช้เสาเข็มไมโครไพล์ เหมาะกับการนำมาใช้แก้ปัญหาบ้านทรุดตัว แล้วยังสร้างฐานโครงสร้างบ้านให้แข็งแรงมั่นคง

แผ่นสมาร์ทบอร์ด

การรับปิดโพรงใต้บ้าน ควรเลือกใช้แผ่นสมาร์ทบอร์ดที่มีความหนาเป็นพิเศษ เพิ่มความแข็งแรง ความทนทานต่อการใช้งานระยะยาว โดยการใช้สมาร์ทบอร์ดปิดโพรงใต้บ้านนี้ จะใช้สำหรับโพรงที่มีขนาดเล็ก มีขนาดประมาณไม่เกิน 20 ซม. โดยส่วนใหญ่นิยมใช้สมาร์ทบอร์ดขนาด 40 ซม. หรือ 60 ซม. ใช้ตามความเหมาะสม อีกทั้งยังช่วยป้องกันดินสไลด์ได้ด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถทาสีเพิ่มสีสันให้กับบ้านให้มีชีวิตชีวาอีกทางหนึ่ง

แผ่นพีวีซี (PVC)

วิธีแก้ปัญหารับปิดโพรงใต้บ้านด้วยแผ่นพีวีซี ใช้เป็นวัสดุสำหรับปิดโพรงใต้บ้านที่มีความแข็งแรง มีความทนทาน ไม่ว่าจะเป็นทนน้ำ ทนความชื้น ทนสารเคมี แล้วก็ทนความร้อนได้ดี โดยแผ่นพีวีซีปิดโพรงด้วยการยึดติดกับคานดินของบ้านได้ ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างบ้านหรือการรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น รวมทั้งสามารถรับแรงดันดินได้ การใช้แผ่นพีวีซี ควรจัดวางให้แผ่นมีระยะห่างเท่ากัน เพื่อความสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย

ทำไมควรใช้บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน บริการปิดโพรงใต้บ้านดีอย่างไร

บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน

การปิดโพรงใต้บ้านมีส่วนช่วยในการป้องกันด้านใดบ้าง มีข้อดีอย่างไร ทำไมจึงควรเลือกใช้บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน มาดูข้อดีที่สำคัญหลัก ๆ มีดังนี้

1.พื้นแน่นหนา ปลอดภัย

การปิดโพรงใต้บ้าน ช่วยให้บ้านมีพื้นที่แน่นหนา มีความปลอดภัยทั้งจากตัวโครงสร้าง ลดการเสื่อมสภาพไม่เกิดการทรุดตัว บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน มีขั้นตอนการบริการประเมินพื้นที่ ให้คำปรึกษาแนวทางแก้ปัญหาการทรุดตัว เลือกวิธีการที่เหมาะสมมากที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการสภาพพื้นที่โพรงใต้บ้านของแต่ละที่ด้วย

2.ทนทานทุกสภาวะอากาศ

บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน เป็นวิธีการที่ช่วยให้บ้านมีความมั่นคง คงสภาพ มีโครงสร้างที่ดี ทนทานมากขึ้น โดยการเลือกใช้วัสดุปิดโพรงใต้บ้าน ควรใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติที่แข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้นาน รวมไปถึงทนทานทุกสภาวะอากาศด้วย

3.ป้องกันสัตว์ร้ายใต้โพรงบ้าน

เมื่อเกิดการทรุดตัวจนเกิดโพรงใต้บ้าน อาจมีสัตว์ร้ายที่เป็นอันตรายเข้าไปอยู่ภายใน ทำให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยได้ เพราะไม่ทราบว่ามีสัตว์ประเภทใดบ้างที่เข้าไปอยู่ในโพรงบ้าน เพื่อป้องกันความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต ควรใช้บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน ป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายตามมา

4.ป้องกันดินทรุดรอบบ้าน

การใช้บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดของการทรุดตัว เพราะถ้าหากแก้ปัญหาการทรุดตัวได้เร็ว ก็จะทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการซ่อมแซม อีกทั้งยังทำให้ดินไม่ทรุดตัว โครงสร้างไม่ได้รับความเสียหาย แล้วช่วยป้องกันไม่ให้ดินทรุดตัวรอบบ้านได้อีก โครงสร้างบ้านก็จะไม่เสื่อมสภาพด้วย

5.ป้องกันบ้านทรุด

หากใช้บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน ก็จะมีการตรวจสอบ ประเมินปัญหาว่าบ้านทรุดตัวจนเกิดโพรงใต้บ้านมาจากปัญหาใด ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโครงสร้างและการรับน้ำหนักได้ เพราะหากโครงสร้างไม่สามารถรับน้ำหนักได้ จึงทำให้เกิดการทรุดตัวของบ้านได้ ดังนั้น จึงควรให้ช่างรับปิดโพรงใต้บ้านมาประเมินโครงสร้าง ป้องกันบ้านทรุดตัวไม่ให้เสื่อมสภาพ

สรุป รับปิดโพรงใต้บ้านดีอย่างไร

การเลือกใช้บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน มีส่วนช่วยให้โครงสร้างบ้านแน่นหนา มีความมั่นคง ปลอดภัย ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ป้องกันดินทรุดรอบตัวบ้าน ป้องกันความเสี่ยงบ้านทรุด รวมไปถึงป้องกันสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษใต้โพรงบ้าน ดังนั้น การแก้ปัญหารับปิดโพรงใต้บ้าน ราคาเหมาะสม คุ้มค่า เลือกใช้วัสดุที่ตอบโจทย์มากที่สุด แก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วยังช่วยให้บ้านน่าอยู่มากยิ่งขึ้น เมื่อเกิดปัญหาโพรงใต้บ้าน อย่าให้เป็นปัญหาเรื้อรัง จะส่งผลเสียต่อโครงสร้างบ้าน ต้องเสียงบประมาณซ่อมแซมเยอะ ควรให้ทีมงานรับปิดโพรงใต้บ้าน ช่วยตรวจสอบปัญหา แนะนำแนวทางแก้ปัญหาโดยเร็ว


3
ผนังเบา

พื้นที่ภายในบ้าน หากต้องการจัดสรรให้สัดส่วนเป็นไปตามความต้องการ มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพื่อจัดสรรให้เป็นห้องนอน ห้องน้ำ ห้องทำงาน ห้องรับแขก และห้องนั่งเล่น ทำง่าย ๆ ได้ด้วยการติดตั้งผนังเบา ซึ่งผู้รับเหมา หรือช่างทำบ้านในปัจจุบันนิยมใช้ผนังเบาในการกั้นห้องต่าง ๆ ภายในบ้านให้เป็นสัดส่วนที่เหมาะสม

ผนังเบาเป็นอีกหนึ่งวิธีมักจะนิยมใช้ในการเป็นแผ่นผนังเบากั้นห้องของภายในบ้าน เนื่องจากโครงผนังเบาเป็นวัสดุที่เบากว่าอิฐ มีความแข็งแรง ทนทาน และติดตั้งได้ง่ายกว่าวัสดุอื่น ๆ ซึ่งตอบโจทย์บ้านในยุคใหม่ แถมสามารถออกแบบ ตกแต่งทาสีได้ตามไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้านอีกด้วย

วัสดุผนังเบาคืออะไร?

ผนังเบา คือ แผ่นผนังที่มีน้ำหนักเบากว่าผนังก่ออิฐหรือผนังคอนกรีต ผนังเบาจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้รับเหมาที่ใช้ผนังเบากั้นห้องตกแต่งภายในบ้าน หรือที่พักอยู่อาศัย สามารถติดตั้งได้สะดวกรวดเร็ว ช่วยประหยัดเวลาติดตั้ง ประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งค่าวัสดุและค่าก่อสร้าง อีกทั้งยังเลือกใช้งานได้หลากหลายขึ้นอยู่กับการใช้งานต่าง ๆ

ผนังเบาเป็นผนังที่มีวัสดุนำมาใช้เป็นผนังเบากั้นห้องมีให้เลือกหลายประเภทได้แก่ โครงสร้างเหล็ก  ไม้ อะลูมิเนียม ปิดทับด้วยวัสดุแผ่นผนัง เช่น แผ่นยิปซัม แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ด หรือแผ่นไม้อัดซีเมนต์ การติดตั้งของโครงคร่าวผนังเบาติดตั้งด้วยการใช้ตะปู ตะปูเกลียวเป็นตัวยึด โดยน้ำหนักของผนังเบาหนักเพียง 20 – 50 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

บ้านแบบไหนเหมาะกับการใช้ผนังเบา

ผนังเบาเป็นแผ่นกั้นห้องที่มีน้ำหนักเบา ติดตั้งได้ง่าย ติดตั้งได้รวดเร็ว และราคาผนังเบาถูกกว่าผนังแบบอื่น ๆ บ้านที่เหมาะกับการใช้ผนังเบาหรือกั้นห้องผนังเบา มีดังนี้

• มีโครงสร้างไม่แข็งแรง ถ้าหากโครงสร้างภายในบ้านไม่มีแข็งแรง เพราะผ่านอายุการใช้งานมานาน โครงสร้างบ้านทำด้วยไม้ หรือโครงสร้างบ้านทำด้วยเหล็ก การใช้ผนังมวลเบาจะไม่สร้างภาระให้กับโครงสร้างบ้าน และไม่ทำให้โครงสร้างการความเสียหายแต่อย่างใด เพราะผนังเบามีน้ำหนักเบา
• มีพื้นที่จำกัด หากจะจัดสรรภายในบ้านที่มีพื้นที่จำกัด อยากให้มีห้องเป็นสัดส่วนเพิ่มพื้นที่ใช้สอยผนังเบาจึงเหมาะสม เพราะว่าแผ่นผนังเบาใช้พื้นที่น้อยกว่าผนังก่ออิฐหรือผนังคอนกรีต
• มีความต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และประหยัดเวลาในการต่อเติมบ้าน แผ่นกั้นผนังเบาติดตั้งได้ง่าย ใช้เวลาในการติดตั้งที่รวดเร็ว ผนังเบาราคาอยู่ประมาณ 180 -190 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งมีราคาถูกกว่าผนังก่ออิฐหรือผนังคอนกรีต
• ต่อเติมอยู่บ่อย ๆ การใช้ผนังเบาสามารถรื้อถอน เคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลงได้ง่ายไม่ยุ่งยาก ถ้าหากใช้ผนังก่ออิฐหรือผนังคอนกรีต การรื้อถอน อาจจะต้องทำร้ายหรือทุบทิ้ง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความสร้างหายให้กับโครงบ้านได้
• เน้นความสวยงาม ผนังเบามีลวดลายและสีสันให้เลือกหลากหลาย เช่นผนังเบาลายไม้ และสามารถทาสีตกแต่งตามความต้องการได้ จึงเหมาะกับบ้านที่ต้องการตกแต่งสไตล์โมเดิร์น

ข้อดี - ข้อเสียของผนังเบาแต่ละประเภท

ผนังเบาที่ใช้ในการกั้นห้อง และต่อเติมภายในบ้าน ซึ่งผนังเบาจะมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท เช่น ผนังเบาไม้อัด กั้นห้องแบบ ไม้อัดยาง ไม้อัดซีเมนต์ ไม้สังเคราะห์ หรือแบบยิปซั่ม และแบบไฟเบอร์ซีเมนต์ มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่รูปแบบความต้องการของเจ้าของบ้าน

1. ประเภทไม้อัดยาง

ผนังเบาไม้อัดยาง

แผ่นไม้อัดยางทำจากไม้แผ่นบางที่นำมาอัดกันเป็นชั้น ๆ หลังจากนั้นใช้กาวเป็นตัวเชื่อมระหว่างไม้แต่ละแผ่น ซึ่งทำให้แผ่นไม้อัดยางสามารถเลือกความหนาของแผ่นได้ตั้งแต่ 3 - 20 มิลลิเมตร แผ่นไม้อัดยางจะมีลวดลายที่ธรรมชาติ โทนอบอุ่น และสามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ

ข้อดี: ลวดลายสวยงามเป็นธรรมชาติ มีความแข็งแรงสูง ทนทาน ซ่อมแซมได้  ติดตั้งผนังเบาไม้อัดยางได้ง่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้
ข้อเสีย:
ผนังเบาแผ่นไม้อัดยาง มีโอกาสที่จะเกิดความชื้น ทำให้เกิดเป็นเชื้อรา และบวมขึ้นที่แผ่นไม้อัดยางได้เพราะผนังเบาแผ่นไม้อัดยางทำมาจากธรรมชาติ

2. ประเภทไม้อัดซีเมนต์

ผนังเบาไม้อัดซีเมนต์

ผนังเบาแผ่นไม้อัดซีเมนต์เป็นวัสดุก่อสร้างที่ผลิตจาก ไม้ที่ถูกนำไปสับให้เป็นเศษไม้ หรือใช้เส้นใยเซลลูโลส หลังจากนนั้นนำเอามาผสมกับปูนซีเมนต์ เพื่อให้เนื้อของปูนซีเมนต์แทรกซึมเข้าถึงเศษไม้ และอัดขึ้นรูปด้วยความร้อนและแรงดันสูง จึงทำให้เหมาะกับทำผนังเบาในการกั้นห้องต่าง ๆ

ข้อดี: มีความแข็งแรง ทนทาน ทนต่อทุกสภาพอากาศ อายุการใช้งานนาน ไม่เกิดอาการบวม ไม้เกิดเชื้อรา สามารถตกแต่งด้วยการทาสีทับลงที่แผ่นผนังเบาแผ่นไม้อัดซีเมนต์ตามความต้องการ และสามารถใช้เป็นผนังเบาภายนอกหรือภายในก็ได้
ข้อเสีย: ผนังเบาแผ่นไม้อัดซีเมนต์เป็นวัสดุที่ไม่สามารถดัดง้อให้ทำให้โค้งตามโครงสร้างของบ้านได้ แผ่นไม้อัดซีเมนต์มีน้ำหนักอาจจะไม่เหมาะกับบ้านที่มีโครงสร้างไม่แข็งแรง และถ้าหากแผ่นเกิดการแตกหัก หรือชำรุดจนเศษไม้หลุดออกมาอาจจะทำให้เกิดปัญหาปลวกตามมาได้

3. ประเภทยิปซั่ม

ผนังเบายิปซั่ม

ผนังเบาแผ่นยิปซั่มผลิตจากการผงยิปซั่มเผา ปิดพื้นผิวด้วยกระดาษเหนียว หลังจากนั้นนำมาขึ้นรูปเป็นแผ่น ผนังเบาแผ่นยิปซั่มจึงมีน้ำหนักเบา สามารถตัดต่อได้ตามความต้องการ

ข้อดี: ราคาผนังเบายิปซั่มมีราคาถูก น้ำหนักเบา แข็งแรง ทนทาน ติดตั้งง่าย สามารถดัดโค้งง้อได้ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และผนังเบาแผ่นยิปซั่มมีหลากหลายประเภท เช่น แบบกันน้ำ แบบทนความร้อน แบบดูดซับเสียง เป็นต้น
ข้อเสีย: ผนังเบาแผ่นยิปซั่มทำมาจากกระดาษอาจจะทำให้ปลวกกินได้ หากเกิดติดตั้งตามที่ไม่เหมาะสม เช่นติดตั้งภายนอกของบ้าน

4. ประเภทไฟเบอร์ซีเมนต์

ผนังเบาไฟเบอร์ซีเมนต์

ผนังเบาแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ หรือที่เรียกกันว่า สมาร์ทบอร์ด ทำมาจากผงซีเมนต์ ผสมใยไฟเบอร์ และซิลิก้า นำไปอบด้วยเครื่องอบไอน้ำแรงดันสูง ผนังเบาแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์จะไม่มีส่วนผสมไม้เหมือนกันผนังเบาอื่น ๆ 

ข้อดี: เนื้อเหนียว ยืดหยุ่นได้สามารถดัดโค้งโครงผนังได้ตามโครงสร้างบ้านได้ มีความแข็งแรง ทนทานสูง ไม่แตกหักง่าย กันน้ำ กันปลวก ทนความร้อนช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน สามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รีไซเคิลง่าย กั้นห้องด้วยผนังเบาแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ได้ และใช้เป็นฝ้า พื้นได้เหมือนกัน
ข้อเสีย: ผนังเบาแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์จะมีน้ำหนักที่ค่อนข้างเยอะ และราคากั้นห้องผนังเบาแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์มีราคาสูง และการโป๊วรอยต่อให้ดูเรียบเนียนทำได้ยาก

5. ประเภทไม้สังเคราะห์

ผนังเบาไม้สังเคราะห์

ผนังเบาแผ่นไม้สังเคราะห์ผลิตมาจากเส้นใยไม้ ขี้เลื่อย ผงไม้ ผสมกับพลาสติก หรือพอลิเมอร์ หลังจากนนั้นนำไปเข้ากระบวนการอัดให้เป็นแผ่นทำให้แผ่นมีความแข็งแรง  ซึ่งผนังเบาแผ่นไม้สังเคราะห์จะมีความคล้ายกับผนังเบาแผ่นไม้อัดซีเมนต์ แผ่นไม้สังเคราะห์เหมาะกับกั้นห้องผนังเบาห้องนอน และห้องอื่น ๆ ที่อยู่ภายในบ้าน

ข้อดี: ผิวสัมผัสเหมือนไม้จริง มีลวดลายที่ดูเป็นธรรมชาติ มีความแข็งแรง ทนทานสูง กันความชื้นได้ดี ไม่เกิดอาการบวม พอง
ข้อเสีย: ผนังเบาแผ่นไม้สังเคราะห์ไม่เหมาะสมกับการติดตั้งภายนอกบ้านถ้าหากโดดแสงแดด หรือโดดน้ำเป็นเวลานานอาจจะทำให้แผ่นเกิดการแตกหักได้

ผนังเบาสามารถใช้ทดแทนวัสดุอะไรได้บ้าง

ผนังเบาสามารถใช้ทดแทนวัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิมได้หลายอย่าง อาทิเช่น

1. ผนังก่ออิฐ ผนังเบาสามารถใช้ทดแทนผนังก่ออิฐได้ โดยเฉพาะผนังกั้นห้องภายใน ช่วยในการยึดวัสดุและสร้างความแข็งแรงให้กับผนัง และจากนั้นทาสี ติดวอลเปเปอร์ตกแต่งได้
2. ไม้กั้นห้อง ผนังเบามีความแข็งแรง ทนทาน ยืดหยุ่นดีกว่าไม้กั้นห้อง เหมาะกับการใช้งานระยะยาว
3. ฉากกั้นห้อง ผนังเบาติดตั้งง่าย รวดเร็ว และดูสวยงามกว่าฉากกั้นห้อง ผนังเบาบางประเภทมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น กันความร้อน กันความร้อน
กั้นห้องด้วยผนังเบาราคาอาจถูกลงกว่าการใช้วัสดุเดิม ๆ ที่คุณเคยใช้

สรุปผนังเบา ประหยัดเวลาและค่าแรงช่าง

ที่พักอาศัย หรืออาคารหลังเก่าที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ ไม่ได้ใช้งาน หากคุณสนใจที่จะรีโนเวทปรับปรุงให้กลับมาดูมีชีวิตชีวา น่าเข้าไปพักอยู่อาศัย หรือเพื่อต่อยอดเป็นรายได้ให้กับตนเองสามารถทำได้ และ “ผนังเบา” จะเป็นอีกหนึ่ง วัสดุก่อสร้างที่ติดตั้งได้รวดเร็วกว่าผนังก่ออิฐแบบดั้งเดิม ช่วยให้ประหยัดเวลาและค่าแรงช่าง ให้การรีโนเวทอาคารเก่าของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและสำเร็จ


4
นอนไม่หลับ

อาการนอนไม่หลับ เป็นภาวะร่างกายที่แบ่งออกไปหลายปัจจัย ทั้งการทำงาน, พฤติกรรมการกิน, การนอน, และความรู้สึก ในขณะที่โรคนอนไม่หลับ เป็นอาการแทรกซ้อนจากหลายโรค เห็นได้ชัดว่า นอนไม่หลับไม่ใช่เราจะแก้ไข หรือรักษาไม่ได้ หากแต่ต้องการความเข้าใจ และสาเหตุของมันให้มาก แล้วเราจะทราบถึงทางแก้ที่ช่วยให้สุขภาพและสุขภาพจิตสามารถฟื้นฟู เรามาเริ่มต้นรู้จักโรคนอนไม่หลับ กันว่าเป็นอย่างไร

นอนไม่หลับ คืออะไร มีอาการอย่างไร
โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) คือโรคที่มีอาการของคนที่มีปัญหาในการนอนหลับ ไม่ว่าจะเป็นอาการหลับยาก มีอาการหลับ ๆ ตื่น ๆ หรือหลับไม่สนิท ตื่นเป็นครั้งคราว สะดุ้งตื่นกลางดึก บางคนมีอาการฝันร้ายแทรกซ้อน รู้สึกง่วงแต่นอนไม่หลับ แน่นอนว่าเมื่อคุณภาพการนอนลดลง ส่งผลให้สภาพกายและสภาพจิตทำสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่ดีพอ หากเรานอนไม่หลับ ก็ไม่ควรเพิกเฉยกับสิ่งเหล่านี้ เพราะอาการนอนไม่หลับส่งผลกระทบ หากรักษาไม่ถูกต้อง

ซึ่งร่างกายโดยปกติของมนุษย์ ต้องการ การพักผ่อนประมาณ 6-8 ชั่วโมง และในแต่ละคนจะมีช่วงเวลาในการพักผ่อนแตกต่างกัน การที่เรานอนไม่หลับเป็นเวลานาน จะส่งผลให้การดำเนินชีวิตประจำวันยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาวะทางอารมณ์ ที่อาจมีการหงุดหงิดง่าย สมองทำงานผิดปกติ ทำอะไรช้า หรือหลง ๆ ลืม ๆ ด้านกายภาพจากการนอนไม่หลับ ก็ส่งผลให้ไม่มีเรี่ยวแรง การสื่อสารหรือติดต่อกับคนอื่นไม่มีประสิทธิภาพ และถึงขั้นเป็นโรคง่าย

สาเหตุของอาการนอนไม่หลับ ทั้งผู้เริ่มเป็น  และอาการเรื้อรัง

อาการนอนไม่หลับ

  • เบื้องต้น อาการนอนไม่หลับสมองไม่หยุดคิด มักเกิดจากความไม่พึงพอใจในตัวเอง เช่นความเครียด ความเศร้า ความผิดหวัง
  • นอนไม่หลับ มีสาเหตุจากโรคทางจิต ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า หรือโรควิตกกังวล
  • สาเหตุของโรคนอนไม่หลับด้านอาการเจ็บป่วย เช่นโรคที่เจ็บป่วยเรื้อรัง จนส่งผลทำให้นอนไม่หลับ ไม่ว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ, โรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ หรือโรคไอเรื้อรัง
  • อาการนอนไม่หลับที่เกิดจากกายภาพ เช่นอาการบาดเจ็บในส่วนต่าง ๆ ส่งผลให้วิถีการนอนเปลี่ยนไป หรือความเจ็บป่วยจากร่างกาย
  • สาเหตุจากการถูกกระตุ้นด้วยการดื่มหรือรับประทานบางสิ่ง เช่นกาแฟ, เครื่องดื่มชูกำลัง, แอลกอฮอล์
  • นอนไม่หลับด้วยสาเหตุจากปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ส่งผลต่อการนอนหลับยาก  ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิภายในห้อง การนอนแปลกที่แปลกทาง, การเกิดเสียงดัง, การเดินทางต่างประเทศจนเกิดช่องว่างของเวลาพักผ่อน และการนอนดึกเนื่องจากต้องทำงานไม่เป็นเวลา

อาการนอนไม่หลับรูปแบบไหน ที่ควรพบแพทย์
หากเรามีอาการนอนไม่หลับจนถึงขั้นเรื้อรัง หรือหาสาเหตุของอาการไม่ได้ และส่งผลให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพออาการก็จะหนักขึ้น จำเป็นต้องพบแพทย์โดยด่วน สามารถไปที่แผนกเวชศาสตร์โรคการนอนหลับ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการ หรือภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ส่งผลให้คุณภาพการนอนลดลง มีอาการง่วงนอนตลอดเวลาไม่สดชื่น และอันตรายมาก หากไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งภาวะการนอนไม่หลับรักษาได้

นอนไม่หลับส่งผลเสียกับเราอย่างไร

โรคนอนไม่หลับ ผลเสีย

สิ่งที่เกิดผลเสียหลังอาการนอนไม่หลับที่สุด คือร่างกายที่เสี่ยงต่อการถูกโรคแทรกซ้อน อันเนื่องมาจากร่างกายอ่อนแอ ทำให้มีโอกาสในการเกิดโรคได้ง่าย ทั้งโรคติดต่อ และภูมิแพ้ ในขณะเดียวกัน การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันก็มีปัญหาเพราะการนอนไม่หลับ ทำอะไรช้าลง การทำงานของสมองมีปัญหา อาจหลงลืม หรือคิดอะไรนานกว่าปกติ ทั้งยังเสี่ยงต่ออันตราย หากขับรถด้วยตัวเอง หรือเดินอยู่ในจุดที่เสี่ยงอันตรายเมื่อหมดสติ เช่นตึกสูง

นอนไม่หลับ จำแนกตามอาการและวิธีรักษาอย่างไร
รักษาโรคนอนไม่หลับโดยไม่ใช้ยา
เบื้องต้น หากเราทราบสาเหตุของอาการนอนไม่หลับแล้ว การจัดลำดับความสำคัญในการรักษาก็จะง่ายขึ้น เช่นเรานอนไม่หลับเพราะสภาพแวดล้อม ก็สามารถแก้ไขด้วยการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม พร้อมกับการหาอาหารบำรุง พร้อมศึกษาเทคนิคการผ่อนคลายทำให้นอนหลับ สำคัญคือหากต้องการวิธีทำให้นอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องงดการงีบหลับระหว่างวัน หรือการนอนหลับกลางวันเป็นเวลานาน เพราะยิ่งทำให้การนอนให้หลับยากขึ้น

รักษาโรคนอนไม่หลับโดยใช้ยา
การให้ยาเกี่ยวกับการนอนหลับ ต้องผ่านการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนเสมอ เพราะยานอนหลับส่งผลข้างเคียงได้ โดยการรักษานอนไม่หลับเบื้องต้นจะขึ้นอยู่กับอาการ เช่นนอนไม่หลับจากโรควิตกกังวล หรือซึมเศร้า ก็จะมีการจ่ายยาที่แตกต่างกัน แต่ในเบื้องต้น หากเราเป็นโรคนอนไม่หลับจะมีการจ่ายยานอนหลับในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากใช้มากเกินไป อาจจะทำให้ร่างกายชินและทำให้ยานอนหลับไม่ได้ผลอีกเลย

สรุปนอนไม่หลับ รักษาได้ เพียงเข้าใจตัวเอง
หากเรามีอาการนอนไม่หลับกระสับกระส่าย หรือรู้สึกง่วงนอนตลอดเวลาไม่สดชื่น นั่นคือสัญญาณของภาวะนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นอาการที่ค่อนข้างซับซ้อน เพราะมีหลายปัจจัย แต่ทุกคนชอบมองข้ามเพราะไม่ได้ร้ายแรง แท้จริงโรคนอนไม่หลับ แต่ง่วงนอนตลอดเวลา เป็นสัญญาณของโรคต่าง ๆ ที่จะตามมา หรือเราได้เป็นโรคนั้นแล้ว ดังนั้นการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้รักษาอาการได้ทันท่วงที ก่อนจะเจอโรคแทรกซ้อนที่หนักกว่า


5
Sculptra

หนึ่งในหัตถการที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันต้องหนีไม่พ้น “Sculptra” แม้หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อการเสริมความงามด้วยหัตถการตัวนี้มาบ้างแต่อาจจะยังไม่รู้ว่า Sculptra คืออะไร? และมีหลักการทำงานอย่างไร เป็นคอลลาเจนที่ช่วยกระตุ้นผิวบนใบหน้าใช่หรือไม่? แล้ว Sculptra ดีไหม? ในบทความนี้จะพาทุกคนไปหาคำตอบเพื่อไขข้อสงสัยนี้ รวมไปถึงบอกถึงแนวทางในการดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังทำ

Sculptra คืออะไร? ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้จริงหรือไม่?

Sculptra คือ

แน่นอนว่า Sculptra คือหนึ่งในวิธีกระตุ้นคอลลาเจนให้กับผิวซึ่งต่างจากการฉีดคอลลาเจนเข้าไปยังผิวหน้าตรง ๆ โดย Sculptra นั้นประกอบไปด้วย Poly-L-Lactic Acid ซึ่งมีลักษณะเป็นเนื้อเจล เมื่อฉีดเข้าไปยังผิวหน้าจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนบนใบหน้าทำให้ริ้วรอยลดลงและผิวหนังกระชับขึ้น

จุดเด่นของการกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Sculptra ที่แตกต่างจากหัตถการอื่น
การฉีด Sculptra นั้นมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าการฉีดสารเติมเต็มบนใบหน้าประเภทอื่น ๆ เช่นฟิลเลอร์ ทำให้หลายคนนั้นเกิดข้อสงสัยและกังวลว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นจะดีกว่าการทำหัตถการประเภทอื่น ๆ จริงหรือเปล่า เช่นนั้นในหัวข้อนี้เราจะพาไปดูจุดเด่นของ Sculptra กัน

  • Sculptra กับฟิลเลอร์มีข้อแตกต่างกันตรงจุดที่การฉีด Sculptra นั้นเป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิวหน้า ซึ่งผลลัพธ์นั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 1 เดือนถึงเริ่มเห็นผลชัดเจน ส่วนการฉีดฟิลเลอร์นั้นเป็นการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic acid (HA) เพื่อทำให้ผิวหน้าในบริเวณนั้นกระชับ เปล่งปลั่ง มีผลลัพธ์ด้านการลดริ้วรอยและปรับรูปหน้า
  • การเติมคอลลาเจนให้กับผิวหน้ามีผลลัพธ์ที่คงอยู่ยาวนานมากที่สุดคือประมาณ 2 ปี
  • Sculptra เป็นสาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA-SCA) เพียงตัวเดียวที่ได้รับการรองรับจาก Food and Drug Administration (FDA) หรือองค์กรอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา

ใครบ้านที่เหมาะกับการกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Sculptra
การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนให้กับผิวหน้านั้นเหมาะสมกับผู้ที่มีปัญหาดังนี้กวนใจ

  • ผู้ที่มีใบหน้าหย่อนคล้าย โดยเฉพาะในบริเวณแก้ม, ขมับ ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย
  • ผู้ที่มีรอยตีนกาและริ้วรอยบนใบหน้าอันเนื่องมาจากผลลัพธ์ของการสูญเสียคอลลาเจนบนใบหน้า
  • ผู้ที่มีผิวหน้าไม่กระชับเต่งตึง Sculptra สามารถช่วยเพิ่มความเต่งตึงให้กับใบหน้าได้
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เนื่องจากนั้นการฉีด Sculptra ไม่ใช้การทำหัตถการที่เป็นการเปลี่ยนรูปหน้า เป็นเพียงการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเท่านั้น ดังนั้นรูปหน้าของท่านที่ทำการฉีดย่อมเหมือนเดิม แค่ดูกระชับสดใสขึ้นเท่านั้น
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ในระยะยาว อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่าผลลัพธ์ของ Sculptra นั้นอยู่ได้นานที่สุดถึง 2 ปีเพราะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวจากภายใน

การกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Sculptra อันตรายหรือไม่ เสี่ยงต่อการแพ้หรือไม่
การฉีด Sculptra เข้าไปยังผิวโดยแพทย์ผู้มากประสบการณ์นั้นเรียกได้ว่าเป็นการทำหัตถการที่ปลอดภัย แต่การเข้าใจถึงจุดเสี่ยงและผลข้างเคียงก็นับเป็นสิ่งสำคัญก่อนที่ทุกคนจะเลือกฉีด ดังนั้นการเลือกปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและเงื่อนไขทางร่างกายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด นอกจากนี้เพื่อให้มั่นใจว่าเป็น Sculptra ของแท้ ควรเลือกใช้บริการกับคลินิกหรือสถานพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือ สะอาด ปลอดภัย รวมไปถึงอาจจะหารีวิวที่น่าเชื่อถือจากช่องทางต่าง ๆ จาก Social Media ก่อนใช้บริการ

ราคาโดยเฉลี่ยของการทำการกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Sculptra
ในปัจจุบัน Sculptra 1 ขวดมีปริมาณทั้งหมด 10 CC จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 25,000-30,000 บาท ซึ่งปริมาณที่ใช้ในการฉีดแต่ละครั้งนั้นขึ้นอยู่กับแพทย์ในการพิจารณา

ขั้นตอนและแนวทางการทำการกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Sculptra

ขั้นตอนการฉีด Schulptra

ขั้นตอนการฉีด Sculptra โดยแพทย์นั้นมีลำดับขั้นตอนดังนี้

1.ผู้ใช้บริการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ รวมไปถึงคำนวณปริมาณ Sculptra ที่ต้องใช้และจุดที่ต้องการฉีดให้เหมาะสม
2.แพทย์จะทำการทำความสะอาดบริเวณที่จะทำการฉีด Sculptra และเช็ดให้แห้ง ในบางคลินิกอาจจะมีการทายาชาร่วมด้วย
3.แพทย์จะทำการฉีด Sculptra ไปยังบริเวณต่าง ๆ ที่ได้เลือกและตกลงเอาไว้กับคนไข้ โดยการใช้เข็มขนาดเล็กค่อย ๆ ฉีดลงไปบริเวณใต้ผิวหนังระหว่างชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นไขมัน
4.หลังจากฉีดเสร็จแพทย์จะตรวจสอบสภาพผิวหน้าเช็ดทำความสะอาดอีกครั้งพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังฉีด

วิธีการดูแลตัวเองก่อนและหลังการทำ Sculptra
หลายคนอาจจะเริ่มตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกทำ Sculptra ดีหรือไม่ แต่อาจจะยังไม่รู้ว่าสามารถทำได้เลยหรือเปล่า? ต้องเตรียมตัวอย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหลังจากฉีดเสร็จต้องออกไปทำงานตากลมแดดทั้งวันจะยังสามารถฉีดได้หรือเปล่า? ในหัวข้อนี้จะพาไปหาคำตอบกัน

วิธีการเตรียมตัวก่อนทำ Sculptra
  • ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์อย่างน้อย 4 วันก่อนวันนัดหมายกับแพทย์
  • ผู้เข้ารับการฉีดไม่ควรอยู่ในภาวะการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • งดการรับประทานยาหรืออาหารที่มีส่วนประกอบจำพวก น้ำมันตับปลา, ขมิ้น, วิตามิน E,ยาไอบูโพรเฟน เนื่องจากบางตัวยานั้นมีผลทำให้เลือดหยุดไหลยาก

แนวทางการดูแลตัวเองหลังทำ Sculptra
  • ระวังการระคายเคืองในบริเวณที่ฉีด Sculptra โดยการไม่จับหรือถูในบริเวณนั้น ๆ
  • เพื่อลดการอักเสบแนะนำให้ใช้นำแข็งประคบบริเวณที่อักเสบ
  • รักษาความสะอาดโดยการทำความสะอาดใบหน้าตามปกติ
  • งดออกกำลังกายหักโหมประมาณ 3 วัน

ผลข้างเคียงหลังการกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Sculptra
หลังจากฉีด Sculptra อาจเกิดผลค้างเคียงขึ้นได้ตั้งแต่ขั้นเล็กน้อยไปจนถึงขั้นรุนแรง (โอกาสน้อย) ทางทีดีที่สุดคือการสังเกตอาการที่เกิดขึ้นในบริเวณที่ทำการฉีด Sculptra ว่ามีโอกาสที่จะเกิดอาการอะไรรุนแรงหรือไม่ ดังนี้

ผลข้างเคียงตามปกติ
  • Sculptra มีผลข้างเคียงโดยทั่วไปคืออาการ บวมแดง ปวดและอาการคันเล็กน้อย
  • อาการปวดแสบร้อนและเจ็บปวดบริเวณที่ฉีดสามารถเกิดขึ้นได้หลังฉีด Sculptra
**อาการเหล่านี้ควรหายไปได้เองในช่วงเวลาประมาณ 3 - 17 วันโดยเฉลี่ย

ผลข้างเคียงที่ควรไปพบแพทย์
  • อาการอักเสบบวมแดงเป็นเวลานานตั้งแต่ 1 สัปดาห์ขึ้นไป ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาอาการติดเชื้อของบริเวณที่ฉีด Sculptra
  • ควรพบแพทย์ในทันทีถ้าเริ่มมีอาการแพ้ เช่นปวดแสบร้อน
  • มีตุ่มบวมแดงเกิดขึ้นหลังฉีด Sculptra แล้วไม่ยุบตัวลงเป็นเวลานาน

การกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Sculptra สามารถอยู่ได้นานแค่ไหน ต้องทำบ่อยหรือไม่
โดยทั่วไปแล้วผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีด Sculptra เห็นผลได้ในช่วงระยะเวลาประมาณ 1 เดือนขึ้นไป หลังจากนั้นแพทย์จะทำการประเมินอีกครั้งว่าต้องทำการฉีดเพิ่มเติมหรือไม่ซึ่งหลังจากนั้นผลลัพธ์ที่ได้จะมีระยะเวลาอยู่ที่ประมาณ 1ปี - 2ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

สรุป Sculptra หน้าอ่อนวัยด้วยผลลัพธ์ที่ยืนยาว
ในปัจจุบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการช่วยแก้ไขปัญหาใบหน้านั้นมีมากมายหลายวิธี การศึกษาหาข้อมูลให้ดีว่าการทำหัตถการประเภทนั้น ๆ เหมาะสมกับเราหรือไม่เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับ Sculptra นั้น เนื่องจากเป็นการฉีดสาระกระตุ้นเท่านั้นไม่ได้ไม่การผ่าตัดหรือฉีดสารเติมเต็มเข้าไปอยู่ในผิวหน้าเป็นเวลานาน จึงนับได้ว่าเป็นการทำหัตถการที่ปลอดภัยและยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของอเมริกา


6
ฟิลเลอร์คาง

ปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม เป็นเรื่องที่ไม่ว่าคุณผู้หญิงหรือคุณผู้ชายหลายคนรู้สึกไม่มั่นใจ อยากจะให้คางเป็นทรงตามที่ตนเองต้องการ แต่ก็ไม่อยากผ่าตัดเพราะกลัวเจ็บ คุณสามารถเลือกวิธีที่ง่าย ปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนคือ “ฟิลเลอร์คาง” ที่ตอบโจทย์ แก้ปัญหาคางทั้งหลายได้ทันที

ฟิลเลอร์คาง หลังฉีดเข้าไปจะเห็นผลลัพธ์แบบไม่ต้องรอเวลา เพราะเป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) ซึ่งจะเติมเต็มบริเวณคางให้ดูโดดเด่นขึ้นทันทีหลังการฉีด โดยไม่ต้องรอให้ร่างกายฟื้นฟู

ฟิลเลอร์คาง (Filler) คืออะไร?

fillerคาง

ฟิลเลอร์คาง คือ การฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิคแอซิด หรือที่รู้จักกันว่า HA เป็นการฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อแก้ไขรูปทรงของคาง เช่น คางสั้น คางตัด คางบุ๋ม ฟิลเลอร์คางจะทำให้คางยาวมากขึ้น มีรูปทรงคางแบบเรียวเล็ก หรือ ทำให้คางเป็นสัดส่วนเข้ารูปทรงของใบหน้า ฉีดคางด้วยฟิลเลอร์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์คาง และไม่มีผลข้างเคียงข้างที่จะเกิดขึ้นตรงบริเวณคาง เช่น อาการบวมซ้ำ เนื่องจาก HA เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมาเลียนแบบตามธรรมชาติของร่างกายเรา จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย มีความปลอดภัยสูง และเนื้อสารฟิลเลอร์จะสลายหายไปตามธรรมชาติภายใน

ฟิลเลอร์ทำงานอย่างไร ช่วยให้คางเป็นอย่างไรหลังการฉีด
ฟิลเลอร์คางมีหลักการทำงานโดยการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปบริเวณคาง สารนี้จะทำหน้าที่เติมเต็มเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิวหนัง ช่วยให้คางดูโดดเด่นขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยให้ผิวบริเวณคางมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และดูอ่อนเยาว์ การเติมฟิลเลอร์คางยังช่วยให้บริเวณคางชุ่มชื้น อิ่มฟู เต่งตึง โดยฟิลเลอร์คางยังช่วยแก้ไขปัญหาคางต่าง ๆ เช่น

  • แก้ไขปัญหาคางตัด คางสั้น จนทำให้รูปทรงหน้าดูกลม หลังฉีดฟีลเลอร์คางช่วยให้คางยาวเหมาะกับใบหน้า
  • แก้ไขปัญหาคางถอย หรือคางงุ้มไปด้านหลัง หากฉีดฟิลเลอร์คาง1cc หรือ 2cc จะช่วยทำให้คางยาวออกมาและสามารถปรับแต่งให้เข้าดูยื่นไปด้านหน้าได้
  • แก้ไขปัญหาคางไม่เท่ากัน คางบุ๋ม ฟิลเลอร์คางจะช่วยไปเติมเต็มให้บริเวณคาง
  • ช่วยปรับทรงคางให้ปรับเข้ากับโหงวเฮ้ง

คางแบบไหนเหมาะกับการทำหัตถการด้วยฟิลเลอร์
ปัญหาคางของแต่ละคนมักจะไม่เหมือนกัน บางคนคางสั้น คางถอย คางบุ๋ม คางยื่นไปข้างหน้ามากเกินไป และปัญหาอื่น ๆ ฟิลเลอร์คางจึงเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาของคางโดยเฉพาะ ไม่ต้องผ่าตัด และไม่จำเป็นต้องพักฟื้นแต่อย่างใด การฉีดฟิลเลอร์คางสามารถเห็นผมลัพธ์ในทันทีหลังจากฉีด

แต่ในกรณีของคนที่มีปัญหาคางสั้น และคางถอยมากเกินไปฟิลเลอร์คางอาจจะไม่เหมาะสม เพราะว่าฟิลเลอร์คางไม่สามารถอยู่ได้ถาวร หากใช้ฟิลเลอร์คางมากจนเกินไปอาจะส่งผลทำให้ฟิลเลอร์คางเป็นก้อน และจำเป็นจะต้องฉีดสลายฟิลเลอร์คาง สุดท้ายปัญหาคางก็ยังคงเป็นอยู่เหมือนเดิม ซึ่งวิธีเหมาะสมในการปรับทรงคางควรเป็นการเสริมซิลิโคนที่คางจะเห็นผลได้ชัดมากกว่า เนื่องจากเสริมซิลิโคนที่คางจะทำให้คางยาวได้ตามความต้องการ และทำให้คางดูเหมาะสมกับใบหน้า

ข้อดี - ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์คาง

ข้อเสียของฟิลเลอร์คาง


ข้อดี - ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์คาง มีดังนี้

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คาง

  • เห็นผลลัพธ์ทันที การใช้ฟิลเลอร์ไม่ว่าจะฉีดคาง1cc หรือฉีดคาง2cc สามารถช่วยแก้ปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม คางเบี้ยว คางไม่เท่ากัน ได้อย่างชัดเจน ซึ่งขนาดของ cc ขึ้นอยู่ปัญหาอาการของแต่ละบุคคล ควรขอคำแนะนำจากแพทย์ก่อน
  • ช่วยปรับรูปหน้าได้หลากหลายแบบ ฟิลเลอร์คางสามารถปรับรูปทรงคางให้ได้ตามต้องการ เช่น ปลายคางแหลม คางมน คางยาว คางสั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคลเพื่อให้เป็นสัดเป็นส่วนเข้าไปใบหน้า
  • ไม่ต้องพักฟื้น การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาคางที่รวดเร็วและไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติหลังทำ
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ฟิลเลอร์คางสามารถอยู่ได้นาน 6 - 18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ปริมาณที่ฉีด และการดูแลฟิลเลอร์คาง
  • ความปลอดภัย ฟิลเลอร์คางเป็นสารที่สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ โดยจะไม่ทิ้งสารตกค้างที่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย ถ้าหากไม่ชอบผลลัพธ์สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์คาง

  • ค่าใช้จ่ายอาจสูง ฉีดฟิลเลอร์คางราคาขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ และปริมาณที่ฉีด
  • ผลลัพธ์อยู่ไม่ถาวร เนื่องจากฟิลเลอร์คางมีสาร HA ที่สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ จำเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์คางซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ยังคงอยู่
  • หากฉีดฟิลเลอร์คางกับผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญ อาจจะทำให้การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นก้อน และไม่ได้ตามรูปทรงที่ต้องการ

ฟิลเลอร์คางต่างจากการศัลยกรรมคางอย่างไร?
ฉีดฟิลเลอร์คางกับเสริมคาง เป็นวิธีการแก้ปัญหาคางที่ได้รับความนิยมทั้งสองวิธีการ แต่มีความแตกต่างกัน ดังนี้

ฟิลเลอร์คาง
  • เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid เข้าไปบริเวณคาง โดยจะฉีดลงลึกชั้นใต้เยื่อหุ้มกระดูก เพื่อให้ฟิลเลอร์คางอักเสบ หรือเป็นก้อน
  • สารไฮยาลูรอนิคแอซิดในฟิลเลอร์คางไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สามารถสลายได้ด้วยตนเอง และไม่ทิ้งสิ่งตกค้างไว้ในร่างกาย
  • ระยะเวลาในการทำจะอยู่ที่ประมาณ 30 นาที ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา หรือแปะยาชา เพราะฟิลเลอร์คางจะมีส่วนผสมของยาชาอยู่
  • ฟิลเลอร์คางสามารถเสริมให้คางยาวขึ้นได้ไม่เกิน 1 เซนติเมตร จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปทรงคางเล็กน้อย
  • การฉีดฟิลเลอร์คางไม่ต้องผ่าตัด ไม่เป็นรอบแผลเป็น และไม่ต้องพักฟื้น
  • หลังฉีดฟิลเลอร์คางสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที
  • ฟิลเลอร์คางสามารถปรับแต่งทรงคางได้ตามความต้องการ และยังสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์คางได้หากเกิดไม่ชอบ หรือไม่ถูกใจทรงของคาง
  • ฟิลเลอร์คางมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าศัลยกรรมคาง

ศัลยกรรมคาง
  • ศัลยกรรมคางเป็นการผ่าตัดเสริมคางด้วยซิลิโคน
  • คนที่มีปัญหาคางถอย คางสั้น คางบุ๋ม หรือมีรูปทรงที่ฟิลเลอร์คางไม่สามารถแก้ไขได้ การศัลยกรรมคางจึงเหมาะสมมากกว่า
  • ศัลยกรรมเป็นการผ่าตัด จำเป็นต้องมีระยะเวลาในการพักฟื้น และอาจจะเกิดอาการปวด หลังจากศัลยกรรมคาง
  • หลังศัลยกรรมจะเกิดอาการปวด บวม ซึ่งจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังจากอาการบวมหาย
  • ผลลัพธ์ของการศัลยกรรมที่คางจะอยู่อย่างถาวร
  • ศัลยกรรมบริเวณคางมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าฟิลเลอร์คาง

ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้หลังการฉีดฟิลเลอร์คาง

ข้อเสียฟิลเลอร์คาง

ผลข้างเคียงของฟิลเลอร์คางที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังฉีดฟิลเลอร์คาง โดยส่วนใหญ่จะไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรง แต่จะมีอาการเพียงเล็กน้อยซึ่งไม่เป็นอันตราย ผลข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้ มีดังนี้

  • มีอาการบวมแดง ระบม และช้ำเพียงเล็กน้อยตรงบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์อาการมักเกิดขึ้นใน 2 - 3 วันแรก และจะหายไปเองภายใน 1 - 2 สัปดาห์
  • รู้สึกตึง ๆ บริเวณคาง หากจับที่คางอาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย

ฟิลเลอร์คางอยู่ได้กี่เดือน
ฟิลเลอร์คางเป็นสาร Hyaluronic Acid เป็นสารที่สามารถสลายตัวเองได้ ไม่ว่าผู้ฟิลเลอร์คาง2cc หรือ 1cc ก็ตามฟิลเลอร์คางจะอยู่ได้ตั้งแต่ 6 เดือนเป็นต้นไปจนถึงระยะเวลา 2 ปี ซึ่งระยะของฟิลเลอร์จะขึ้นอยู่ประเภทของฟิลเลอร์คาง การดูแล และอาหารการกินด้วยเช่นกัน

ฟิลเลอร์คางแก้ไขปัญหาคางได้อย่างตรงจุด
ฟิลเลอร์คางถือว่าเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอย่างมากในปัจจุบัน เพราะฟิลเลอร์คางสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที่หลังจากฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ต้องผ่าตัดให้เกิดรอยแผลเป็น ฟิลเลอร์คางผู้ชายก็สามารถทำได้ ไม่จำเป็นต้องผู้หญิงเสมอไป หรือผู้ที่มีปัญหาคาง

หากต้องการอยากจะทำหัตถการด้วยฟิลเลอร์คาง ควรเลือกทำกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ เลือกประเภทฟิลเลอร์คางที่มีมาตรฐาน และก่อนตัดสินใจทำควรดูรีวิวฉีดฟิลเลอร์คางตามคลินิกเสริมความงามก่อนตัดสินใจ

7
รับสกรีนบรรจุภัณฑ์

เมื่อเริ่มทำแบรนด์ผลิตภัณฑ์ออกมา แน่นอนว่าเจ้าของแบรนด์ทุกคนต้องการสร้างผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจและน่าดึงดูด ซึ่งมีหลายวิธีที่สามารถทำได้ ทางเลือกที่ดีที่สุดอาจจะเริ่มต้นด้วยการให้ความสำคัญกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ อย่างการสกรีนบรรจุภัณฑ์ให้ดูโดดเด่น ไม่เหมือนใคร ดังนั้นโรงงานรับสกรีนบรรจุภัณฑ์ หลายที่จึงต้องแข่งขันกันด้วยฝีมือการออกแบบ คุณภาพงาน และความรวดเร็วในการผลิต

ในบทความนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักเกี่ยวกับบริการรับสกรีนบรรจุภัณฑ์ให้มากขึ้นว่ามีข้อดีอย่างไร ขั้นตอนกระบวนการรับสกรีนบรรจุภัณฑ์มีอะไรบ้าง

บริการรับสกรีนบรรจุภัณฑ์ มีข้อดีอย่างไร
ข้อดีของบริการรับสกรีนบรรจุภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นสกรีนกระปุกครีม เครื่องสำอาง อาหารเสริม โลโก้ผลิตภัณฑ์ มีข้อดีอยู่หลายประการ เช่น

1. สร้างเอกลักษณ์ของตนเอง และความโดดเด่นให้กับสินค้า
การสร้างเอกลักษณ์ของสินค้าให้มีความโดดเด่นด้วยการสกรีนโลโก้ ข้อความ รูปภาพลงบนบรรจุภัณฑ์จะช่วยให้สินค้าดูมีเอกลักษณ์เป็นตนเอง สร้างความแตกต่างจากสินค้าประเภทเดียวกัน ดึงดูดความน่าสนใจให้กับลูกค้า และสร้างความจดจำของตัวสินค้าที่สามารถสื่อถึงตัวตนของแบรนด์ให้กับลูกค้าได้

2. เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า
สินค้าที่ถูกออกแบบสกรีนที่ดูสวยงาม น่ารัก หรูหรา ทันสมัย สามารถแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของสินค้านั้น ๆ ได้ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้เพิ่มมากขึ้น กระตุ้นยอดขายให้เพิ่มมากขึ้น

3.กระตุ้นยอดขาย
บรรจุภัณฑ์ที่ถูกออกแบบให้มีความน่าดึงดูด ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น และการสกรีนลงบนบรรจุภัณฑ์เป็นการโฆษณาสินค้าโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

4.ประหยัดเวลาและประหยัดต้นทุน
หากคุณกำลังประกอบธุรกิจด้วยการสร้างแบรนด์ และสินค้าออกมาขายให้กับกลุ่มลูกค้ากำลังมองหาอยู่ บริการรับสกรีนบรรจุภัณฑ์จะช่วยทำให้คุณประหยัดเวลาและประหยัดต้นทุน โดยที่คุณไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องสกรีนเอง ไม่ต้องเสียเวลาหาซื้อวัสดุอุปกรณ์ เพราะบริการรับสกรีนบรรจุภัณฑ์จะช่วยดูแลธุรกิจของคุณได้แบบครบวงจร

5.สินค้ามีมาตรฐาน มีคุณภาพ
โรงงานที่รับสกรีนบรรจุภัณฑ์ หรือรับสกรีนขวด จะเป็นโรงงานที่มีเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ทันสมัยสินค้าที่จะได้รับมั่นใจได้ว่างานสกรีนจะออกมาสวยงาม และตรงตามความต้องการ

6.มีบริการครอบคลุมแบบครบวงจร
โรงงานที่รับสกรีนบรรจุภัณฑ์ส่วนใหญ่จะมีการบริการให้กับผู้ประกอบธุรกิจแบบครบวงจร เริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบ การผลิต และจนไปถึงการจัดส่งสินค้า เป็นขั้นเป็นตอนมีความปลอดภัยสูง

กระบวนการรับสกรีนบรรจุภัณฑ์ มีอะไรบ้าง
1. ชี้แจงรายละเอียด
ขั้นตอนแรกของกระบวนการรับสกรีนบรรจุภัณฑ์ ลูกค้าต้องแจ้งรายละเอียดงานที่ต้องการ เช่น ประเภทบรรจุภัณฑ์ วัสดุ ขนาด สี จำนวน ลายที่จะสกรีน ฯลฯ รวมถึงต้องการเคลือบผิวแบบใด หรือลักษณะเฉพาะเจาะจงอื่น ๆ เมื่อได้รายละเอยดครบแล้วทางโรงงานจะประเมินราคาและแจ้งระยะเวลาในการผลิต

2. ตกลงราคา
ขั้นตอนต่อไปคือ ทางลูกค้าและทางโรงงานตกลงราคาและรายละเอียดงานทั้งหมดให้เรียบร้อย เช่น ระยะเวลาการผลิต การชำระเงิน การจัดส่ง และลูกค้าวางเงินมัดจำ นอกจากนี้ราคาสกรีนบรรจุภัณฑ์ จะราคาถูกหรือแพงอาจขึ้นอยู่กับจำนวน ความยากง่าย และลักษณะของผลิตภัณฑ์

3. ออกแบบงานสกรีน
มาต่อกันที่ขั้นตอนต่อไปของรับสกรีนบรรจุภัณฑ์ หลังจากตกลงราคา มัดจำเงินกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางโรงงานจะเริ่มให้ทีมออกแบบทำการออกแบบงานสกรีน ตามบรีฟรายละเอียดที่ลูกค้าระบุไว้ ในส่วนนี้ลูกค้าสามารถแก้ไขงานออกแบบได้จนกว่าจะพอใจได้

4. ผลิตบล็อกสกรีนและงานจริง
เมื่อได้งานสกรีนที่ถูกใจแล้ว จากนั้นเริ่มโรงงานรับสกรีนจะผลิตบล็อกสกรีนตามงานออกแบบ ทดสอบงานสกรีนบนแผ่นตัวอย่าง ลูกค้าสามารถตรวจสอบและแจ้งแก้ไขได้หากยังไม่ถูกใจ เมื่อเรียบร้อยแล้วโรงงานจะเริ่มผลิตงานจริง และจัดส่งตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ต่อไป

บริการรับสกรีนบรรจุภัณฑ์ราคาเท่าไร? 

รับสกรีนบรรจุภัณฑ์ ราคาถูก

การรับสกรีนบรรจุภัณฑ์โดยทั่วไป จะมีอัตราค่าบริการเริ่มต้น

  • การผลิตสินค้าขั้นต่ำอยู่ที่ 500 ชิ้น
  • รับสกรีนบรรจุภัณฑ์ใน 1 งานจะมีค่าบล็อกอยู่ที่ 1500 บาทต่อชิ้น
  • เพนต์สีใน 1 งานสกรีน ราคาอยู่ที่  1500 บาทต่อชิ้น และต่อสี (ทุกครั้งในงานสกรีนจำเป็นต้องใช้สินค้าจริงในการทาสีจำนวน 5 ชิ้น เพื่อทดสอบสีก่อนลงสินค้าจริงทั้งหมด)
  • หากตกลงในการใช้บล็อกสกรีนบรรจุภัณฑ์ไปแล้ว แต่อยากเปลี่ยนแปลงบล็อกใหม่ภายหลัง จำเป็นจะต้องเสียค่าบล็อกเพิ่มใหม่อยู่ที่ 1500 บาทต่อชิ้น

อัตราค่าบริการรับสกรีนบรรจุภัณฑ์ ยกตัวอย่าง เช่น

พิมพ์สกรีนกระปุกครีม  1 สี 1 ด้าน

  • 500 ชิ้น ราคา 3 - 8 บาทต่อชิ้น
  • 1,000 ชิ้น ราคา  2 - 5 บาทต่อชิ้น

พิมพ์สกรีนกระปุกครีม 2 สี 2 ด้าน

  • 500 ชิ้น ราคา 5 - 10 บาทต่อชิ้น
  • 1,000 ชิ้น ราคา 4 - 8 บาทต่อชิ้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับรับสกรีนบรรจุภัณฑ์
สามารถขอแก้ไขงานออกแบบลายสกรีนบรรจุภัณฑ์ได้กี่ครั้ง?
โดยทั่วไปแล้ว ลูกค้าสามารถขอแก้ไขงานออกแบบลายสกรีนบรรจุภัณฑ์ได้ 2-3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของแต่ละโรงงานรับสกรีนบรรจุภัณฑ์ เนื่องจากบางที่การแก้ไขงานออกแบบอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

สกรีนบรรจุภัณฑ์ขั้นต่ำกี่ชิ้น?
จำนวนขั้นต่ำในการสกรีน แต่ละโรงงานแตกต่างกันไป โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 500 - 1000 ชิ้น บางโรงงานรับสกรีนบรรจุภัณฑ์นั้นมีบริการสกรีนบรรจุภัณฑ์ ไม่มีขั้นต่ำ หรือไม่จำกัดจำนวน

สรุปรับสกรีนบรรจุภัณฑ์ สร้างบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจ
เพราะบรรจุภัณฑ์เปรียบเสมือนด่านแรกในการดึงดูดความสนใจของลูกค้า บรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม โดดเด่น สะท้อนตัวตนแบรนด์จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าอยากหยิบสินค้าของคุณขึ้นมา ดังนั้นแล้วการเลือกโรงงานรับสกรีนบรรจุภัณฑ์ เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ควรเลือกโรงงานที่มีทีมออกแบบผลงานมืออาชีพ พร้อมเครื่องจักรที่ทันสมัยเพื่อให้ผลลัพธ์งานสกรีนคุณภาพสูง สร้างบรรจุภัณฑ์ที่ใช่ ดึงดูดลูกค้า เพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของคุณ


8
Customer Lifetime Value

ในภาคธุรกิจหลายบริษัทมักจะตั้งมูลค่าหรือสถิติที่คาดว่าจะได้รับจากลูกค้า หรือที่เรียกว่า Customer Lifetime Value ซึ่งก็คือรายได้รวมที่บริษัทได้รับจากลูกค้าในหนึ่งคนที่ใช้สินค้าหรือบริการตลอดระยะเวลาที่ลูกค้าคนนั้นอยู่กับแบรนด์ของเรานั่นเอง โดยการคำนวณ Customer Lifetime Value  (CLV) นั้นทำได้อย่างไรบ้าง ไปดูตัวอย่างการคำนวณได้ที่บทความนี้

Customer Lifetime value คืออะไร สำคัญอย่างไรในการทำธุรกิจ

Lifetime Value คือ

Customer Lifetime value คือมูลค่าที่ลูกค้าหนึ่งคนใช้บริการหรือซื้อสินค้ากับธุรกิจของเราตามระยะเวลาที่ใช้จริง โดย Lifetime value จะเป็นตัวชี้วัดมูลค่าทางธุรกิจของคุณว่ามีมาก-น้อยแค่ไหน และข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาวิเคราะห์ผลว่าควรลงทุนเพิ่มขึ้นแค่ไหนที่สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพื่อให้สามารถดึงดูดใจลูกค้าเพิ่มมากขึ้นได้ และเพิ่มโอกาสในการสร้าง Brand loyalty อีกด้วย โดยสามารถคำนวณได้จากการนำเข้าข้อมูลสถิติทางการเงิน เพื่อนำไปวิเคราะห์  Lifetime value of a customer ต่อลูกค้าแต่ละคน และจะนำไปสู่การวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด และบริหารธุรกิจอย่างไรให้มีประสิทธิในระยะยาวมากขึ้นด้วย

ประโยชน์ของการทำ Customer Lifetime value คืออะไร
ประโยชน์ของการทำ Customer Lifetime Value (CLV) ในธุรกิจ มีดังนี้

- สามารถนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ เพื่อวางกลยุทธ์และสร้างแคมเปญหรือกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดปฏิสัมพันธ์กับทางแบรนด์มากขึ้น เพิ่มโอกาสของการเป็นลูกค้าประจำ (Brand loyalty) เน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีค่า CLV สูงๆ
- สามารถรักษาความสัมพันธ์กับฐานลูกค้าเก่า
- ช่วยให้องค์กรเติบโตมากขึ้น ลดโอกาสการสูญเสียลูกค้าได้
- สามารถคำนวณรายได้ที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปวางแผนงบประมาณในปีถัดไปได้
- ทราบ Insight ของลูกค้าแต่ละคนว่ามีความคิดเห็นอย่างไร และมีการซื้อสินค้าและบริการตลอดชีพเท่าไหร่บ้าง เพื่อที่องค์กรจะนำฟีคแบคไปปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น
- สามารถเจาะจงกลุ่มเป้าหมายที่ให้ค่า Customer Lifetime value ที่สูงๆ แก่ธุรกิจได้ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายพวกนี้ให้มากขึ้น
- ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ ในกรณีที่ธุรกิจของคุณไม่ทราบว่ากลุ่มลูกค้าของคุณคือใครกันแน่ การทราบค่า Lifetime value จะช่วยคิดคำนวณต้นทุนที่ควรใช้เท่าไหร่ และใช้กับใครถึงจะคุ้มค่าที่สุด
- สามารถกำหนดราคาสินค้าหรือบริการได้อย่างเหมาะสม
- สร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กรและในสายตาผู้บริโภค

สูตรการคำนวนเพื่อหา Customer Lifetime value
สูตร
การคำนวณ Customer Lifetime Value (CLV) มีสูตรแตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละธุรกิจ ซึ่งสูตรที่นิยมใช้กันทั่วไป ได้แก่

Customer Lifetime Value = (รายได้รวม / จำนวนลูกค้าทั้งหมด) * ระยะเวลา

ตัวอย่าง
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจของคุณมีรายได้รวมทั้งหมด 500,000 บาท ในระยะเวลา 1 ปีและมีจำนวนลูกค้าทั้งหมด 100 คน การคำนวณ CLV คือ

Customer Lifetime Value = (500,000 / 100) x 1 = 5,000 บาท

อย่าลืมว่าการคำนวณ Customer Lifetime Value ของแต่ละภาคธุรกิจไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจ และตัวแปรอื่นๆ เช่น อัตรากำไรหรือค่าใช้จ่ายต่อลูกค้า เป็นต้น

วิธีการและเคล็ดลับสำหรับการเพิ่ม Customer Lifetime Value

Customer Lifetime Value คืออะไร

พัฒนาการบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ
รับฟังฟีคแบคจากลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาสินค้าหรือบริการ โดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค ก่อนนำมาร่างแผนงานที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
การนำ Customer Lifetime Value มาวิเคราะห์ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า โดยอาจมีการสร้างประสบการณ์การซื้อขายที่ดีและน่าจดจำ ทั้งบริการก่อนไปจนถึงหลังปิดการขายได้แล้ว เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจ และอาจส่งผลให้เกิดการบอกต่อเป็นวงกว้างได้

สร้าง Value ให้กับแบรนด์
ค่าที่องค์กรได้นั่นก็คือ Customer Lifetime Value ยังช่วยกำหนดสิ่งที่แบรนด์เล็งเห็นหรือโอกาสการสร้างมูลค่าให้แก่แบรนด์ได้ จวบจนไปถึงการนำไปสู่ Loyalty Program ที่สามารถสร้างเป็นแคมเปญต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น Gift Voucher การสะสมแต้ม รางวัลพิเศษ การมอบของขวัญในวันสำคัญ เป็นต้น เป็นการรักษาฐานลูกค้าให้อยู่กับแบรนด์ไปนานๆ และช่วยเพิ่ม CLV ในระยะยาวอีกด้วย

เสนอสิทธิพิเศษให้กับกลุ่มเป้าหมาย
เมื่อทราบว่าลูกค้าต้องการอะไรเป็นพิเศษ หรือมีแนวโน้มในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้ การนำเอาข้อมูลมาช่วยในการคิดค้นและออกแบบแคมเปญหรือสิทธิพิเศษ โปรโมชัน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับลูกค้า และเป็นวิธีการเพิ่ม Lifetime Value อย่างมีประสิทธิภาพที่ดี

Upsell / Cross-Sell
การใช้ Upsell ในธุรกิจนอกจากจะทำให้มูลค่าของแบรนด์เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้สินค้าและบริการดูมีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจจากการเช็คประวัติการใช้บริการของลูกค้ามาแล้ว ยิ่งทำให้สิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์กับผู้บริโภคมากที่สุด ส่วน Cross-Sell จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้าหรือบริการเสริมนั้นมีประโยชน์ไม่ต่างจากสินค้าหลัก โดยอาจทำเป็นการให้ของแถม ส่วนลด ข้อเสนอพิเศษที่น่าสนใจอื่นๆ

สรุป Customer Lifetime Value เพิ่มโอกาสการขาย
Customer Lifetime Value คือ มูลค่าที่ลูกค้าให้กับแบรนด์กลับมาตลอดระยะเวลาการใช้สินค้าหรือบริการ การเพิ่มค่า CLV เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาธุรกิจของคุณให้ไปได้ไกลกว่าเดิม โดยส่วนใหญ่แล้วจะวิเคราะห์ได้จากพฤติกรรมการซื้อ หรือฟีคแบคที่ได้รับจากลูกค้า เพื่อนำมาปรับปรุงและวางแผนให้กับองค์กรของคุณได้อย่างชาญฉลาด

9
งบการเงิน

เชื่อหรือไม่ว่า ปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจคือเรื่องของ "งบการเงิน" เป็นเพราะว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักเชี่ยวชาญทางด้านการตลาด จุดอ่อน-จุดแข็งของธุรกิจ แต่กลับละเลยเรื่องของการเงินเพราะคิดว่าไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงกับการทำธุรกิจ ซึ่งในความจริงแล้วการบริหารงบการเงินก็สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ

ในบทความนี้จะพามาทำความเข้าใจกับเรื่องของงบการเงินว่า งบการเงินคืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง พร้อมอธิบายความสำคัญของการบริหารงบการเงินที่มีประสิทธิภาพเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจ

งบการเงินคืออะไร?
 
งบการเงิน คือ รายละเอียดข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานะทางการเงินและผลการดำเนินการของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนพนักงาน, ค่าวัตถุดิบ, ค่าเช่า, รายได้ หรือกำไรสะสม ส่งผลให้การจัดทำรายงานงบการเงินเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจเข้าใจสถานะทางการเงิน  ติดตามรายรับ-รายจ่าย นำไปสู่การวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยงบการเงินสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ซึ่งจะมีรายละเอียดดังนี้

1.งบที่แสดงการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของผู้ถือหุ้น

ประเภทแรกของงบการเงินคืองบที่แสดงการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของผู้ถือหุ้น จะเป็นงบที่จะแสดงยอดเงินทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นในช่วงปีว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจากกำไรสะสม หรือจะเป็นทุนลดลงเพราะปันผลให้ผู้ถือหุ้นมากเกินไป ซึ่งด้วยการแบ่งงบการเงินในส่วนนี้ออกมาจะทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถประเมินความเสี่ยงทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดยสูตรการคำนวณจะมีดังนี้

ส่วนของผู้ถือหุ้นปลายปี = ส่วนของผู้ถือหุ้นต้นปี + กำไรสุทธิ - เงินปันผล + การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ
ถ้าหากลองสมมติตัวอย่างส่วนของผู้ถือหุ้นต้นปี 1,000,000 บาท กำไรสุทธิ 200,000 บาท เงินปันผล 100,000 บาท และไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ จะได้ส่วนของผู้ถือหุ้นปลายปีเป็น 1,000,000 + 200,000 - 100,000 + 0 = 1,100,000 บาท

2.งบที่แสดงฐานะทางการเงิน

ประเภทถัดมาของงบการเงินคืองบที่แสดงฐานะทางการเงินหรือที่เรียกกันว่า งบฐานะการเงิน โดยจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือ

1. สินทรัพย์ คือ สิ่งที่กิจการเป็นเจ้าของ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้

• สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เป็นสินทรัพย์ที่คาดว่าสามารถใช้งานได้มากกว่า 1 ปี
• สินทรัพย์หมุนเวียน เป็นสินทรัพย์ที่คาดว่าสามารถเปลี่ยนสภาพเป็นเงินสดได้ภายใน 1 ปี
• สินทรัพย์อื่น ๆ เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้จัดอยู่ในสินทรัพย์ทั้ง 2 ประเภทที่กล่าวมา

2. หนี้สิน คือ สิ่งที่กิจการติดค้างชำระ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้

• หนี้สินระยะยาว เป็นหนี้สินที่คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการชำระมากกว่า 1 ปี
• หนี้สินหมุนเวียน เป็นหนี้สินที่คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการชำระภายใน 1 ปี
• หนี้สินอื่น ๆ เป็นหนี้สินที่ไม่ได้จัดอยู่ในหนี้สินทั้ง 2 ประเภทที่กล่าวมา

3. ส่วนของเจ้าของ คือ เงินลงทุนของเจ้าของเอง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้

• ทุนจดทะเบียน เป็นเงินที่เจ้าของธุรกิจลงทุนเอง
• ทุนสำรอง เป็นกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จ่ายปันผล
• เงินทุนสำรองพิเศษ เป็นเงินทุนสำรองที่แยกจากทุนสำรองอีกที

โดยจะมีสมการในการคำนวณดังนี้: สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ

ซึ่งงบการเงินประเภทนี้จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจทราบสถานะทางการเงินเบื้องต้นของกิจการ ถ้าหากพบว่ามีส่วนของเจ้าของมากกว่าส่วนหนี้สินนั่นแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีความมั่นคง สามารถจัดการชำระหนี้ได้ตามกำหนด แต่ถ้าหากมีส่วนของหนี้สินมากกว่านั่นแสดงให้เห็นว่ามีโอกาสที่ธุรกิจจะผิดชำระหนี้สูง

3.งบที่เกี่ยวกับกระแสเงินสด

อีกหนึ่งประเภทของงบการเงินคืองบที่เกี่ยวกับกระแสเงินสด จะเป็นงบที่แสดงให้เห็นที่มาที่ไปของกระแสเงินสดที่เข้า-ออกในธุรกิจ เปรียบเสมือนเป็นบัญชีรายรับ-รายจ่ายเพื่อแสดงให้เห็นสภาพคล่องของธุรกิจอยู่ตลอดเวลา

โดยกระแสเงินสดสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กิจกรรมหลัก ๆ คือ

1. กิจกรรมจากการลงทุน (Cash Flow form investing activities - CFI) อย่างเงินสดที่ใช้ซื้อสินทรัพย์หรือเงินสดที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์
2. กิจกรรมจากการระดมทุน (Cash Flow form Financing Activites - CFF) จะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับเงินสดที่ได้รับจากการออกหุ้น เงินสดที่ได้รับจากการกู้ยืม และเงินสดที่จ่ายเพื่อชำระหนี้
3. กิจกรรมจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operating activities - CFO) อย่างรายได้จากการซื้อขาย ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมไปถึงกำไรสุทธิ

โดยจะมีสมการในการคำนวณงบกระแสเงินสดดังนี้:
เงินสดต้นงวด = กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (CFI) + กระแสเงินสดจากกิจกรรมระดมทุน (CFF) + กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (CFO)

ซึ่งการดูงบการเงินกระแสเงินสดที่ดีควรมีกระแสเงินจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมระดมทุน และกิจกรรมลงทุนที่เป็นบวก มีความสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจให้เคลื่อนต่อได้อย่างไม่มีสะดุด

4.งบกำไรขาดทุนของธุรกิจ

งบการเงินประเภทสุดท้ายคืองบกำไรขาดทุนของธุรกิจ เป็นงบที่เจ้าของธุรกิจทุกคนสามารถคำนวณได้ง่าย ๆ ซึ่งมีสูตรการคำนวณดังนี้: กำไร(ขาดทุน) = รายได้รวม - ค่าใช้จ่ายรวม
โดยที่รายได้รวม (Total Revenue) คือ ผลรวมของรายได้ ดอกเบี้ยรับ เงินปันผล หรือรายได้อื่น ๆ เป็นต้น
และค่าใช้จ่ายรวม (Total Expenses) คือ ผลรวมของต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนทางการเงิน หรือภาษี เป็นต้น

งบกำไรขาดทุนของธุรกิจเป็นงบการเงินที่จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจติดตามผลการดำเนินธุรกิจได้แบบคร่าว ๆ และรวดเร็วที่สุด ด้วยการประเมินรายได้และรายจ่ายของธุรกิจแบบคร่าว ๆ ที่ทำให้สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และเร่งหาวิธีการปรับกลยุทธ์แก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ในกรณีที่ธุรกิจกำลังประสบกับปัญหาขาดทุน (รายจ่ายรวมมากกว่ารายรับรวม)

งบการเงินสำคัญอย่างไรต่อการทำธุรกิจ

งบการเงินหรืองบการเงินรวม คือ ภาพรวมทางการเงินของธุรกิจ ที่จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจหรือผู้ร่วมลงทุนสามารถเข้าใจสถานะทางการเงินของทั้งกิจการ ซึ่งงบการเงินจะมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจดังนี้

• สะท้อนภาพรวมทางการเงิน: ช่วยแสดงฐานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน รวมไปถึงกระแสเงินสดของทั้งธุรกิจ
• วิเคราะห์ประสิทธิภาพและผลการดำเนินงาน: ช่วยประเมินความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ รวมไปถึงติดตามผลลัพธ์จากกิจกรรมต่าง ๆ
• ประเมินความเสี่ยงในการลงทุน: นอกจากติดตามกระแสรายรับ-รายจ่ายของธุรกิจ งบการเงินยังมีส่วนช่วยในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจ และประเมินความมั่นคงของกิจการอีกด้วย
• เป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุน การให้สินเชื่อ รวมไปถึงการบริหารงาน
• เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน: ใช้เปรียบเทียบผลลัพธ์ทางการเงินกับในช่วงอดีต หรือใช้เปรียบเทียบกับคู่แข่ง
• เป็นแหล่งข้อมูลให้แก่ผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น นักลงทุน เจ้าหนี้ ลูกค้า ผู้บริหาร หรือหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล

สรุปเกี่ยวกับงบการเงิน

งบการเงินกลายเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการดำเนินธุรกิจ เพราะแม้ว่าจะวางแผนในการพัฒนาองค์กรหรือธุรกิจดีแค่ไหน แต่ถ้าหากไม่บริหารงบการเงินของบริษัทให้ดีก็มีโอกาสที่แผนจะล้มเหลวหรือเกิดปัญหาหนี้สินบานปลายได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่างบการเงินแต่ละประเภทก็จะให้ข้อมูลทางการเงินในมุมมองที่แตกต่างกัน การนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการประกอบการตัดสินใจและวางแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจ จะช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและบริหารธุรกิจได้อย่างยั่งยืน


10
สินเชื่อคืออะไร

การดำรงชีวิตในปัจจุบัน นอกเหนือจากปัจจัยสี่แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากนั่นคือเงินทุนที่เรานำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย อาหารและยา หรือข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทุนทั้งสิ้น สินเชื่อจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน หรือค่าใช้จ่ายที่เราไม่สามารถชำระเงินได้หมดภายในครั้งเดียว

บทความนี้จะมาตอบทุกข้อสงสัยว่า สินเชื่อ คืออะไร? สินเชื่อมีกี่ประเภท? พร้อมทั้งบอกข้อดีและข้อเสียของสินเชื่อ

สินเชื่อ คืออะไร? วงเงินสินเชื่อคืออะไร?
หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่าสินเขื่อ แต่ไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าสินเชื่อ คืออะไร เนื่องจากไม่เคยกู้สินเชื่อมาก่อน โดยสินเชื่อหมายถึง การกู้ยืมเงินจากธนาคาร สถาบันทางการเงิน หรือผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อ เพื่อจุดประสงค์ต่าง ๆ โดยจะมีระยะเวลาการชำระหนี้ และมีการคิดอัตราดอกเบี้ยตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของผู้ให้บริการสินเชื่อ

นอกจากนี้หลายคนอาจยังสงสัยว่า วงเงินสินเชื่อคืออะไร? วงเงินสินเชื่อ คือ จำนวนเงินสูงสุดที่ผู้ให้กู้มีการพิจารณาอนุมัติให้กู้ยืม โดยอาจมีการคำนวณจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น รายได้, ประวัติการชำระหนี้, หลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นต้น การกำหนดวงเงินสินเชื่อเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยควบคุมความเสี่ยงให้กับผู้ให้กู้ และเป็นการป้องกันปัญหาการผิดนัดชำระหนี้อีกด้วย

ประเภทสินเชื่อในแต่ละรูปแบบมีอะไรบ้าง

ประเภทของสินเชื่อ

หลังจากที่ได้ทราบความรู้เกี่ยวกับสินเชื่อเบื้องต้นกันแล้ว รวมถึงความหมายของสินเชื่อว่าสินเชื่อคืออะไร เราจะมาดูกันว่าในปัจจุบันมีสินเชื่ออะไรบ้าง

โดยประเภทของสินเชื่อสามารถจัดแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่ออเนกประสงค์ และสินเชื่อบ้าน ทั้งนี้สินเชื่อแต่ละประเภทมีรายละเอียดและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เพื่อตอบโจทย์จุดประสงค์ของผู้ขอกู้ในรูปแบบต่าง ๆ

1. สินเชื่อส่วนบุคคล
สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan) คือ สินเชื่อที่สามารถนำไปใช้สำหรับจุดประสงค์ต่าง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ขอกู้ โดยเฉพาะเมื่อมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินสดก้อนใหญ่ สินเชื่อส่วนบุคคลเป็นประเภทสินเชื่อที่มีการปล่อยกู้ให้กับบุคคลทั่วไป โดยธนาคารจะมีการประเมินวงเงินสูงสุดที่สามารถให้กู้ได้ตามรายได้ต่อเดือนของผู้ขอกู้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ขอกู้จะสามารถชำระเงินได้ครบตามกำหนด นอกจากนี้ผู้ให้บริการสินเชื่อจะมีการคิดค่าอัตราดอกเบี้ย (รายละเอียดและเงื่อนไขขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง)

ตัวอย่างของสินเชื่อส่วนบุคคล เช่น บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลแบบอื่น ๆ เป็นต้น

2. สินเชื่ออเนกประสงค์
สินเชื่ออเนกประสงค์ คือ ประเภทสินเชื่อที่มีระยะเวลาการชำระเงินที่ยาวนาน และมีวงเงินที่สูงกว่าสินเชื่อทั่ว ๆ ไป โดยเป็นสินเชื่อที่ผู้ขอกู้สามารถนำไปใช้จ่ายอย่างอเนกประสงค์ โดยไม่จำเป็นต้องระบุวัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ สินเชื่ออเนกประสงค์อาจมีหรือไม่มีหลักประกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับสินเชื่อนั้น ๆ หากเป็นสินเชื่ออเนกประสงค์ที่ต้องใช้หลักประกัน ผู้ขอกู้จะต้องใช้ทรัพย์สินที่มีมาเป็นหลักประกัน ไม่ว่าจะเป็นประเภทอสังหาริมทรัพย์ หรือ สังหาริมทรัพย์

3. สินเชื่อบ้าน
สำหรับผู้ที่กำลังหาซื้อบ้านหรือคอนโด สินเชื่อบ้าน ถือเป็นสินเชื่อที่จะช่วยตอบโจทย์ให้กับคุณ โดยสินเชื่อบ้านเป็นสินเชื่อที่สถาบันการเงินปล่อยเงินกู้เพื่อจุดประสงค์ของการซื้อบ้าน หรือสร้างบ้านโดยเฉพาะ โดยจะมีหลักประกันเป็นบ้านหรือคอนโดที่ขอยื่นกู้ หากผู้ขอกู้ไม่สามารถชำระเงินได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด ธนาคารจะทำการยึดหลักประกันนั้น

ข้อดีของสินเชื่อ คืออะไรบ้าง
หลังจากได้ทราบแล้วว่าสินเชื่อคืออะไร และรูปแบบของสินเชื่อมีอะไรบ้างกันแล้ว มาดูกันว่าสินเชื่อมีข้อดีอย่างไรบ้าง คุ้มค่ากับการขอหรือไม่ สามารถช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินได้อย่างไรบ้าง เพื่อช่วยให้เพื่อน ๆ ที่กำลังลังเลใจอยู่ว่าจะขอสินเชื่อดีไหม สามารถตัดสินใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

1.สินเชื่อ เป็นตัวช่วยในการบรรเทาสภาพคล่องทางการเงินสำหรับผู้ที่กำลังประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน สินเชื่อเปรียบเสมือนเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง ที่จะช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่จำเป็นให้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น และรับมือกับสถานการณ์ที่ทำให้ต้องใช้เงินก้อนในยามฉุกเฉินได้อย่างเป็นระบบ

2.สินเชื่อ เป็นแหล่งเงินด่วนที่สามารถเข้าถึงได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้นกว่าสมัยก่อน
สำหรับผู้ที่ต้องการใช้เงินก้อน แต่ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระเงินได้ภายในครั้งเดียว สินเชื่อสามารถช่วยให้คุณเข้าถึงเงินก้อนได้ในยามฉุกเฉิน โดยสินเชื่อบางประเภทอาจได้รับการอนุมัติไวภายในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถาบันการเงินนั้นๆ พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ต้องใช้เงินด่วน

3.สินเชื่อ สามารถแบ่งชำระเงินได้ตามความเหมาะสม
ถือเป็นข้อดีของสินเชื่อที่เชื่อว่าหลายคนถูกใจ เนื่องจากสินเชื่อเป็นเงินกู้ที่สามารถผ่อนชำระได้โดยที่ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อน นอกจากนี้สถาบันทางการเงินต่าง ๆ ยังมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจน ทำให้สามารถวางแผนค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้ดียิ่งขึ้น

ข้อควรระวังของสินเชื่อ คือ

นอกจากได้เข้าใจแล้วว่าข้อดีของสินเชื่อคืออะไร ผู้ขอกู้ควรศึกษาข้อควรระวังของสินเชื่อก่อนการตัดสินใจกู้ทุกครั้ง เนื่องจากสินเชื่อคือภาระผูกพันธ์ทางการเงินในระยะยาว

1.ควรศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขผลิตภัณฑ์สินเชื่ออย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจ[/size]
สินเชื่อแต่ละแหล่งอาจมีเงื่อนไขและรายละเอียดการชำระเงินที่แตกต่างกัน ผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อควรศึกษาข้อมูลของสินเชื่อให้ดี เพื่อหลีกเลี่ยงสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง จนอาจเป็นการเพิ่มภาระหนี้สินที่มากเกินความจำเป็น

2.ควรกู้ยืมเท่าที่จำเป็น และสามารถชำระเงินคืนไหว
สินเชื่อถือเป็นหนี้สินประเภทหนึ่ง ที่เป็นภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว ดังนั้นหากไม่มั่นใจว่าจะสามารถชำระเงินคืนได้ไหวตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดตามเงื่อนไขของสินเชื่อนั้น ๆ แนะนำว่ายังไม่ควรขอสินเชื่อเพราะอาจเกิดปัญหาตามมาได้ และควรกู้สินเชื่อเฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น

3.หากผิดนัดชำระ อาจทำให้เกิดปัญหาได้
ผู้ขอกู้สินเชื่อควรวางแผนการชำระเงิน และรายรับรายจ่ายในแต่ละเดือนอย่างรอบคอบ เพราะหากไม่สามารถชำระเงินได้ตามงวด อาจทำให้ต้องเสียค่าปรับที่สูง ซึ่งอาจเป็นการสร้างหนี้ที่ไม่พึงประสงค์เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะโดนฟ้องร้องและดำเนินคดีได้อีกด้วย

สรุป
สินเชื่อคือตัวช่วยทางการเงินรูปแบบหนึ่งที่สามารถทำให้คุณเข้าถึงแหล่งเงินก้อนในเวลาอันสั้น เพื่อนำมาใช้จ่ายในยามฉุกเฉินได้ อย่างไรก็ดี ผู้ที่กำลังต้องการขอสินเชื่อควรศึกษาข้อมูลรายละเอียดและเงื่อนไขของสินเชื่อให้ดีก่อนการตัดสินใจ ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระหนี้สินเกินตัวในภายหลัง


11
เจลทาแผลเป็น

บางคนอาจจะเคยเกิดอุบัติเหตุ หรือผ่านการผ่าตัด ศัลยกรรม ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ทำให้มีรอยแผลเป็นบนร่างกาย การใช้ซิลิโคนเจลก็เป็นตัวช่วยหนึ่งในการดูแลรอยแผลเป็นหลังจากที่แผลแห้งสนิทและหายดีแล้ว เพราะเมื่อทาซิลิโคนเจลหลังจากแผลหายดีแล้วจะช่วยลดรอยแผลเป็น หากใช้ครีมรักษาแผลเป็นอย่างต่อเนื่องจะทำให้รอยแผลเป็นค่อยๆ จางลงไป

ซิลิโคนเจลจะช่วยให้ผิวกักเก็บน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดการคันและระคายเคืองแผล ซิลิโคนเจลเป็นครีมลดรอยแผลเป็นที่สามารถใช้ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าได้รอยแผลเป็นจากการเกิดอุบัติเหตุ แผลที่มาจากการผ่าตัด เช่น แผลคีลอยด์ แผลนูน รอยแผลเป็นบนหน้า รอยมีดบาด รอยขีดข่วน รอยน้ำร้อนลวก หรือรอยไหม้ หากอยากรู้ว่าซิลิโคนเจลมีประโยชน์อย่างไรและควรใช้อย่างไรสามารถติดตามได้จากบทความข้างล่างนี้เลย

ซิลิโคนเจล คืออะไร

ครีมทาแผลเป็น

ซิลิโคนเจล หรือ scar gel คือผลิตภัณฑ์หรือยาที่ใช้ในการรักษาแผลเป็นภายนอก โดยสรรพคุณของเจลทาแผลเป็นจะเข้าไปรักษารอยแผลเป็นและเก็บกักความชุ่มชื้นให้กับผิวลดการเสียน้ำ ช่วยในการกระตุ้นและช่วยสร้างคอลลาเจนทำให้แผลหายไวขึ้น การใช้ซิลิโคนเจลสามารถใช้ได้กับแผลเป็นที่นูนบวม แผลเป็นคีลอยด์ที่หายยาก

ในปัจจุบันซิลิโคนเจลที่วางขายในท้องตลาดจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบที่เป็นแผ่นซิลิโคนเจลและซิลิโคนเจลชนิดทาแบบครีมทาแผลเป็น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้ใช้งาน หากมีแผลเป็นที่ใหญ่และอยู่ในบริเวณยากต่อการใช้ครีมทาแผลเป็นก็สามารถใช้แผ่นแปะซิลิโคนเจลได้ แต่ถ้าเกิดรอยแผลเป็นบนใบหน้า หรือในจุดที่ต้องมีการขยับร่างกายบ่อยๆ ควรเลือกทาซิลิโคนเจลแบบทาภายนอกเพราะจะสะดวก และง่ายต่อการรักษามากกว่า

บอกลารอยแผลเป็นด้วยซิลิโคนเจล
เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้หลายคนอาจจะเลือกใช้ซิลิโคนเจลเข้ามาช่วยในการรักษาและลบรอยแผลเป็น ก็เป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้รอยแผลเป็นนั้นค่อยๆหายไป วันนี้จะมาบอกถึงประโยชน์ของซิลิโคนเจลว่ามีอะไรบ้าง และมีส่วนผสมอะไรที่ช่วยในการลดรอยแผลเป็นผ่าตัด รอยนูน รอยไฟไหม้ น้ำร้อนลวก จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย

ส่วนผสมของซิลิโคนเจล
1.Silicone Gel ส่วนผสมหลักๆของครีมทาลดรอยแผลเป็น คือซิลิโคนเจลเป็นชนิดที่ใช้เฉพาะทางการแพทย์ มีสรรพคุณคุณในการเก็บกักน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยคงสภาพและลดการสูญเสียน้ำในบริเวณผิวที่เกิดรอยแผลเป็น ตัวเจลลดรอยแผลเป็นจะช่วยลดการอักเสบ และยับหยั้งการทำงานของเส้นเลือดฝอยทำให้แผลหายไวขึ้น และซิลิโคนเจลจะช่วยลดโอกาสการเกิดแผลเป็นนูน หรือแผลเป็นคีลอยด์

2.Film Former คือส่วนผสมหนึ่งของสารที่มีชื่อว่า Baycusan ซึ่งช่วยในการสร้างฟิล์มเพื่อเคลือบรอยแผลเป็น หากทาซิลิโคนเจลลงบนผิวแล้ว ครีมทาแผลเป็นจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นฟิล์มบางๆ เคลือบผิวในจุดที่ทา ตัว Film Former ในครีมรักษาแผลเป็นจะเป็นเกราะกำบัง และปกป้องผิวจากน้ำ ฝุ่น สิ่งสกปรก และ PM2.5 ทำให้แผลหายเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อและอักเสบ

3.Natural Extract เป็นซิลิโคนเจลที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ 2 อย่างคือ Centella Asiatica เป็นสารสกัดที่ได้จากจากใบบัวบกและ Allium Cepa สารสกัดที่มาจากหัวหอม ซึ่งยาทารอยแผลเป็นมีสรรพคุณที่จะช่วยในการรักษาแผลเป็น และจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว ทำให้สามารถผลัดเซลล์ผิวใหม่ ลดรอยแผลเป็น และลดการอักเสบ บวม แดง

ประโยชน์ของซิลิโคนเจล
1.ซิลิโคนเจลช่วยในการลดรอยแผลเป็น ทำให้ขนาด ความนูนของแผลเป็นให้เล็กลง อีกทั้งยังช่วยทำให้รอยแผลเป็นดูเรียบขึ้น
2.การใช้ครีมทาแผลเป็นจะช่วยลดรอยดำ รอยแดงที่เกิดหลังแผลแห้งให้ดีขึ้น ช่วยลดความคล้ำของแผลเป็นให้ดูจางลง
3.ซิลิโคนเจลมีคุณสมบัติที่จะช่วยในการกักเก็บน้ำ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
4.ครีมลดรอยแผลเป็นนูนจะช่วยเคลือบผิวป้องกันสิ่งสกปรก และลดการเกิดการอักเสบของแผล
5.ซิลิโคนเจลจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว ช่วยลดความนูนของรอยแผล
6.การทาครีมทาแผลหลังผ่าตัด จะช่วยลดอาการคันหรือเจ็บแสบในบริเวณแผลเป็นที่เกิดจากการแห้งของผิว
7.ซิลิโคนเจลหากใช้อย่างต่อเนื่องจะช่วยป้องกันการเกิดเป็นแผลแบบนูนขนาดใหญ่หรือคีลอยด์
8.ครีมลดรอยแผลเป็นผ่าตัดจะช่วยปรับให้ผิวบริเวณที่ทาอ่อนนุ่ม เรียบเนียนไม่แข็งกระด้าง

วิธีใช้ซิลิโคนเจล

ครีมทาแผลเป็น น้ําร้อนลวก

ครีมทาแผลเป็นควรทาตอนไหน และมีวิธีใช้ซิลิโคนเจลอย่างไร ควรใช้ครีมทาแผลเป็นตอนไหนให้ได้ผลที่ดีที่สุด หัวนี้จะมาไขคำตอบกัน

  • ก่อนใช้ซิลิโคนเจลควรอ่านคำแนะนำข้างกล่องก่อนให้ละเอียด
  • ควรทำความสะอาดผิวที่เป็นรอยแผลจากนั้นใช้กระดาศทิษชู่หรือผ้าสะอาดเช็ดให้แห้งก่อนลงครีมทาแผลผ่าตัด
  • ควรใช้ซิลิโคนเจลขนาดที่พอดีกับรอยแผลเป็น หากมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ควรทาให้ทั่วๆ บริเวณ เช่น ทาครีมลดรอยแผลเป็นที่ขาเฉพาะจุดที่เกิดรอยแผลเป็นเท่านั้น
  • ค่อยๆ ทาซิลิโคนเจลให้รอบๆ รอยแผลเป็นแบบบาง ๆ ไม่ต้องถูวน หรือนวดลงน้ำหนักด้วยความแรง เพราะอาจจะเกิดการอักเสบของแผลได้
  • หากโดนน้ำร้อนลวกควรใช้ครีมทาแผลเป็น หลังจากที่แผลแห้งสนิทดีแล้วก่อน
  • หลังจากทาซิลิโคนเจลแล้ว ไม่ควรโดนน้ำ หรือทาครีมอย่างอื่นทับลงไป ควรรอให้ครีมลดรอยแผลเป็นแห้งสนิทดีก่อนสัก 1-2 นาที จากนั้นจึงสามารถแต่งหน้า หรือทาครีมทับได้ตามปกติ
  • ครีมทาแผลเป็นหรือแผลผ่าตัด ควรใช้วันละประมาณ 2 ครั้ง คือ เช้าและเย็นหลังอาบน้ำ ควรใช้อย่างสม่ำเสมอประมาณ 2-4 อาทิตย์ หรือจนกว่าแผลเป็นจะหายดีเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการลดรอยแผลเป็น

ข้อควรระวังในการใช้ซิลิโคนเจล
คำเตือนสำรับการใช้ซิลิโคนเจล คือ ควรใช้กับแผลภายนอกที่แห้งสนิทแล้วเท่านั้น ห้ามใช้กับแผล เช่น แผลเปิด เนื้อเยื่ออ่อน แผลที่เป็นเยื่อเมือก จุดที่เป็นรอยแผลรอบๆ ดวงตา และไม่ควรใช้ร่วมกับยาภายนอกชนิดอื่นๆ หลังจากใช้ครีมทาแผลเป็นแล้วเกิดอาการผิดปกติ เช่น แพ้ เกิดผื่น คัน บวม แดง ปวดแสบปวดร้อน ให้หยุดและรีบไปพบแพทย์ทัน

สรุป ซิลิโคนเจล
ซิลิโคนเจล เป็นยาสำหรับรักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัด อุบัติเหตุ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก โดยลักษณะของแผลจะนูนบวม การใช้ครีมทาแผลเป็นจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้รอยแผลเป็นจางและยุบลง ทั้งนี้การใช้ซิลิโคนเจลควรใช้กับแผลเป็นที่แห้งสนิทแล้วเท่านั้น และหากเกิดอาการแพ้ให้รีบไปพบแพทย์ทันที


12
อาหารเสริมผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพ

มนุษย์ เมื่อมีอายุที่มากขึ้น สภาพร่างกาย ระบบต่างเริ่มเสื่อมถอยลงไปตามอายุ ทำให้ผู้สูงอายุนั้นต้องดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมออย่างการออกกำลังกาย และ เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่ารสชาติ ซึ่งอาหารที่มีประโยชน์นั้นไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำได้จึงเป็นที่มาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมผู้สูงอายุ
เนื่องจากเมื่ออายุที่สูงขึ้นทำให้ผู้สูงอายุเริ่มมีอาการเบื่ออาหารจากการที่การลิ้มรสชาติที่น้อยลง ความอยากอาหารที่น้อยลงทำให้นำไปสู่สภาวะการขาดสารอาหารได้ และจากภาวะขาดสารอาหารนั้นทำให้ร่างกายอ่อนแอและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ และ ป่วยได้

ดังนั้นหากผู้สูงอายุไม่ต้องมีอาการเบื่ออาหารตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพนั่นคือ อาหารเสริมผู้สูงอายุที่ช่วยเติมสารอาหาร วิตามินต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการได้ ซึ่งอาหารเสริมผู้สูงอายุนั้นมีมากมายหลายชนิดเพื่อให้ตรงกับความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น อาหารเสริมบำรุงสมองผู้สูงอายุ บำรุงสายตา กล้ามเนื้อ และ วิตามินเสริมบำรุงกระดูกผู้สูงอายุ กล้ามเนื้อ รวมไปถึงวิตามินช่วยนอนหลับผู้สูงอายุ แล้วเราควรเลือกอาหารเสริมผู้สูงอายุให้เหมาะสมอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ

วิธีเลือกวิตามินและอาหารเสริมผู้สูงอายุ
การพิจารณาเลือกวิตามินและอาหารเสริมผู้สูงอายุนั้นมีหลายข้อที่ควรพิจารณาโดยขึ้นอยู่กับผู้สูงอายุว่ามีสภาพร่างกายเป็นอย่างไร ป่วยหรือไม่ โดยวิธีเลือกอาหารเสริมผู้สูงอายุมีดังนี้คือ

  • เลือกอาหารเสริมให้เหมาะกับภาวะร่างกายและอาการ เช่น หากมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ต้องการเสริมร่างกายให้มีความแข็งแรง ดังนั้นควรเลือกอาหารเสริมผู้สูงอายุที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่เสริมภูมิคุ้มกันและมีสารช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยวิตามินที่เหมาะสมนั่นคือ วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี ฟลาโวนอยด์ เบต้าแคโรทีน สังกะสี เป็นต้น เลือกอาหารเสริมผู้สูงอายุที่มีโปรตีนสูงเพื่อแก้ปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อ สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องกระดูก เข่า ส่วนข้อต่าง ๆ ควรเลือกอาหารเสริมที่มีคอลลาเจน หรือ แคลเซียมเพื่อช่วยเสริมกระดูก สำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการเบื่ออาหารควรเลือกอาหารเสริมผู้สูงอายุที่มีคาร์โบไฮเดรต ไขมันดี โปรตีน วิตามินต่าง ๆ และ เกลือแร่หลายชนิด เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน
  • พิจารณาถึงส่วนผสมที่ได้รับว่ามีวิตามิน แร่ธาตุ สารอาหารอะไรบ้าง แต่ละอย่างมีประโยชน์อย่างไร
  • ตรวจสอบส่วนผสมว่ามีส่วนผสมที่ผู้สูงอายุแพ้หรือไม่เช่น แพ้แล็กโทส แพ้กลูเตน แพ้โปรตีนจากสัตว์บางชนิด แพ้ถั่ว แพ้น้ำมันปลา ควรไม่รับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ผู้สูงอายุแพ้
  • รูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ผู้สูงอายุสามารถรับประทานได้ เช่น แคปซูล แบบผงสำหรับชง แบบเม็ด โดยแต่ละแบบจะมีวิธีการรับประทานที่แตกต่างกันไป
  • ตรวจสอบข้อมูลบนฉลาก โดยสิ่งที่ต้องดูบนบรรจุภัณฑ์นั่นคือ ชื่ออาหาร ปริมาณของสารอาหาร เลขที่ผลิตภัณฑ์ เครื่องหมาย อย. และ สถานที่ผลิต โดยต้องมีแสดงไว้ชัดเจน
  • ตรวจสอบวันเดือนปีที่ผลิตของผลิตภัณฑ์ว่าหมดอายุหรือใกล้หมดหรือไม่

แนะนำวิตามิน อาหารเสริมผู้สูงอายุ ยี่ห้อไหนดี

รับผลิตครีมสร้างแบรนด์

อาหารเสริมผู้สูงอายุนั้นมีหลายประเภทหลายชนิดเพื่อการบำรุงที่แตกต่างกันไปโดยเราจะมีแนะนำอาหารเสริมผู้สูงอายุที่บำรุงร่างกายในส่วนต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพดังนี้คือ

Blackmores Fish Oil

อาหารเสริมผู้สูงอายุ Fish oil

แบลคมอร์ส ฟิช ออยล์ อาหารเสริมผู้สูงอายุ น้ำมันปลาชนิดแคปซูล เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่เหมาะกับผู้สูงอายุและผู้ที่ต้องการน้ำมันปลา โดยแบลคมอร์ส ฟิช ออยล์นั้น เป็นน้ำมันปลาที่มีกระบวนการสกัดออกมาจากส่วนต่าง ๆ ของปลาที่อยู่ในทะเลน้ำลึก ซึ่งมีทำให้มีกรดไขมันกลุ่ม Omega-3 สูงได้แก่  EPA และ DHA โดยมีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 300 มิลลิกรัมต่อแคปซูล ให้ประโยชน์บำรุงหัวใจ ผิว ตาและ สมอง ช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้นทำให้ความดันลดลง จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารเสริมผู้สูงอายุ โดยผลิตภัณฑ์ผ่านการตรวจสอบปริมาณสารปรอทและตะกั่ว

ห้ามผู้ที่มีผู้ที่แพ้ปลาทะเล หรือ น้ำมันปลา รับประทาน ควรระวังในผู้ที่เลือดแข็งตัวช้า หรือผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือแอสไพริน

วิธีรับประทาน : รับประทานวันละ  1-2 เม็ด พร้อมรับประทานอาหาร
ราคาปกติ : 799 บาท (80 แคปซูล)

Zinc Plus

อาหารเสริมผู้สูงอายุ Zinc Plus

ขอบคุณภาพจาก Entrasol

ซิงก์พลัสจาก Biopharm ผู้นำด้านจำหน่ายเวชภัณฑ์มากกว่า 45 ปี อาหารเสริมผู้สูงอายุ Zinc Plus มีส่วนผสมครบถ้วนด้วย ซิงก์ แมกนีเซียม แมงกานิส วินตามินเอ ไพริต๊อกซิน ดี-ไบโอติน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเส้นผมและเล็บ ให้เส้นผมคุณไม่ร่วง ไม่ขาดง่าย อีกทั้ง ซิงก์นั้นเป็นแร่ธาตุที่สำคัญอย่างมากต่อการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย

วิธีรับประทาน : ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1-2 ครั้ง หลังรับประทานอาหาร
เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน

Entrasol Platinum

อาหารเสริมผู้สูงอายุ Entrasol Platinium

ขอบคุณภาพจาก Entrasol

อาหารเสริมผู้สูงอายุไบโอฟาร์ม เอนทราซอล เครื่องดื่มโปรตีนสูง อาหารเสริมรูปแบบผงชงดื่ม พลังงาน 250 กิโลแคลอรี/แก้ว รสวานิลา สูตรครบถ้วน ผสมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด  รสชาติอร่อย โปรตีนสูง ซึ่งโปรตีนสำคัญอย่างมากสำหรับร่างกายช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินซี มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื้อคอลลาเจน วิตามินดี ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส แคลเซียมสูง มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง พร้อมวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย

วิธีรับประทาน : น้ำอุ่น หรือ น้ำเย็น 200 มล. ต่อเอนทราซอล 4 ช้อน คนให้เข้ากัน ดื่มได้ทันที
อาหารเสริมมีส่วนผสมของกลูเตน นม ผลิตภัณฑ์จากปลา และ ถั่วเหลือง
ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการรับประทาน

สามารถสั่งซื้อได้ทาง Lazada และ Shopee

Zenji เห็ดหลินจือสกัด LINGZHI ROSEHIP

อาหารเสริมผู้สูงอายุเห็ดหลินจือสกัด LINGZHI ROSEHIP

ขอบคุณภาพจาก Zenji

อาหารเสริมผู้สูงอายุหลิงจือ โรสฮิป ด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์มากมายด้วยสารสกัดจากเห็ดหลินจือ เช่น วิตามิน แคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี อีกทั้งยังมีสารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญอย่าง ไตรเทอร์พีน ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ ลดไขมันเลือด นิวคลีโอไทด์ ป้องกันลิ่มเลือดแข็งตัวในเส้นเลือด ลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ เป็นต้น และสารสกัดจากโรสฮิป ที่มีวิตามินซี วิตามินเอ สูง อีกทั้งยังมีสารไลโคปิน สารต้านมะเร็ง และช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด

วิธีรับประทาน : วันละ 1-2 แคปซูล หลังตื่นนอน หรือ ก่อนนอน

หากไม่ใช่ผู้สูงอายุ สามารถทานอาหารเสริมผู้สูงอายุได้มั้ย
จุดประสงค์ของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่าง ๆ รวมไปถึงอาหารเสริมผู้สูงอายุนั้นเพื่อการดูแลสุขภาพด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินต่าง ๆ แร่ธาตุ สารอาหารอื่น ๆ  ที่อาหารโดยทั่วไปหากเราไม่สรรหาก็อาจไม่ได้รับสารอาหารนั้น ทำให้แม้ไม่ใช่ผู้สูงอายุสามารถทานอาหารเสริมผู้สูงอายุได้หากเราต้องการสารอาหารประเภทนั้นจากการไม่ได้รับประทานอาหารที่ได้สารอาหารที่ครบถ้วน ตัวอย่างเช่น มีผู้ที่ไม่ใช่ทานผักใบเขียว หรือ ผลไม้ ทำให้ขาดวิตามินรวมไปถึงแร่ธาตุต่าง ๆ อาจเลือกทานอาหารเสริมที่สกัดจากผักใบเขียวหรือผลไม้ได้ แม้ในเชิงวิเคราะห์อาหารเสริมไม่สามารถทดแทนคุณค่าที่ได้รับจากอาหารจริงได้ แต่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นดูแลสุขภาพร่างกายให้สารอาหารจากอาหารเสริมผู้สูงอายุเข้าไปทดแทนเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น ทั้งนี้ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เพื่อได้รับสารอาหารต่าง ๆ อย่างครบถ้วน

สรุป อาหารเสริมผู้สูงอายุ เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน
อาหารเสริมผู้สูงอายุจุดประสงค์เพื่อการดูแลสุขภาพรูปแบบหนึ่งเนื่องจากการเสื่อมถอยของสภาพร่างกายตามอายุ และผู้สูงอายุมักมีอาการเบื่ออาหารจากการที่เริ่มเสียการรับรสชาติทำให้ไม่อยากกินอาหารและขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ทั้งนี้ควรตรวจสอบส่วนผสมของอาหารเสริมว่ามีส่วนผสมใดที่ผู้สูงอายุไม่สามารถรับประทานได้ และตรวจสอบความถูกต้องของผลิตภัณฑ์และวันหมดอายุเพื่อความปลอดภัย

13
ปัญหาการเงิน

ปัญหาการเงินปัญหาน่าหนักใจที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเจอ ปัญหาการเงินปัญหา หรือปัญหาค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นหนึ่งในปัญหายอดฮิตที่คนในวัยทำงานไม่อยากพบเจอปัญหาการเงินสามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย ซึ่งการหมุนเงินไม่ทัน หรือการมีเงินใช้ไม่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต ก็ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดหนี้ภายในครัวเรือน และการกู้หนี้นอกระบบ

บทความนี้จะมาพูดถึงปัญหาการเงินยอดนิยมที่มักจะเกิดขึ้นในครัวเรือนของคนไทย และสัญญาณเตือนปัญหาทางการเงินในอนาคต เพื่อให้เพื่อน ๆ ที่ยังไม่มีปัญหาการเงินสังเกต และระวังไม่ให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น พร้อมแนวทางการลดปัญหาทางการเงินที่ทำง่าย ๆ แต่ได้ผลจริง ถ้าอยากรู้กันแล้วว่าปัญหาการเงินที่คนส่วนใหญ่กำลังเผชิญมีอะไรบ้าง แล้วจะมีแนวทางการแก้ปัญหาอย่างไร เรามาต่อกันในเนื้อหาของบทความนี้

1. ใช้รายได้มากกว่า 45% ของเงินเดือนสำหรับการจ่ายชำระหนี้

ปัญหาการเงินหมุนเงินไม่ทัน

การชำระหนี้ตามกำหนดชำระนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่การที่ต้องชำระหนี้มากกว่า 45% ของเงินเดือนนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยง การชำระหนี้ในลักษณะนี้ก็มักจะนำมาซึ่งปัญหาการเงินในอนาคต อย่างที่เรากล่าวไปข้างต้นว่าปัญหาการเงินมักจะเริ่มจากหนี้ภายในครัวเรือน หากคุณเป็นคนที่ต้องใช้เงินเดือนกว่า 45% ในการชำระหนี้ในแต่ละเดือน คุณอาจต้องระวังปัญหาการเงินที่จะตามมาในอนาคต

วินัยทางการเงินที่ดีต้องมีรายรับ รายจ่าย รายการผ่อนชำระ และเงินเก็บออมสำหรับยามฉุกเฉินในอัตราที่สมดุลกัน ไม่มีสิ่งใดมากหรือน้อยจนเกินไป การที่เราต้องนำเงินเดือนกว่าครึ่งมาผ่อนชำระหนี้ในทุกเดือน ถือว่าเป็นสัญญาณปัญหาการเงินที่ต้องระวัง เพราะสิ่งนี้อาจนำมาซึ่งปัญหาการใช้เงินแบบเดือนชนเดือน หรือปัญหาหนี้สินทับถมในอนาคต

2. มีรายได้แต่ไม่มีเงินเก็บติดบัญชี

หากคุณเป็นผู้ที่หมดเงินกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทุกเดือน จนไม่มีเงินเก็บติดบัญชี ระวังให้ดี เพราะสิ่งนี้เป็นหนึ่งในสัญญาณที่จะนำมาซึ่งปัญหาการเงิน อย่างที่เราได้กล่าวไปข้างต้นว่า การใช้เงินแบบเดือนชนเดือน เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งปัญหาการเงินในอนาคต หากคุณเป็นคนที่กำลังประสบปัญหาการมีเงินใช้แต่ไม่มีเงินเก็บ ระวังให้ดี เพราะเมื่อไหร่ที่คุณจำเป็นต้องใช้เงินกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมแซมบ้าน หรือค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ เมื่อไหร่คุณก็จะมีหนี้สินติดตัวเมื่อนั้น

สิ่งนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการวางแผนทางการเงิน โดยคุณอาจทำการแยกย่อยออกมาว่าในหนึ่งเดือน คุณมีค่าใช้จ่ายจำเป็นอะไรบ้าง สิ่งใดที่เป็นค่าใช้จ่ายที่ตัดได้ และตัดไม่ได้ เมื่อคุณทราบตัวเลขค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในแต่ละเดือนแล้ว การวางแผนทางการเงินของคุณก็จะง่ายขึ้น ลดปัญหาการเงินที่จะตามมาในอนาคต

3. ต้องกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายหรือใช้หนี้บ่อย ๆ มีภาวะหมุนเงินไม่ทัน

ปัญหาด้านการเงิน

ทุกคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า การไม่มีหนี้สินเป็นลาภอันประเสริฐ หากคุณเป็นคนที่จำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสินมาใช้สำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันบ่อย ๆ หรือจำเป็นต้องกู้หนี้ผู้อื่นเพื่อมาปิดหนี้เก่าที่กำลังจะครบกำหนดชำระ นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของการมีปัญหาการเงิน

หนี้ใคร ๆ ก็ไม่อยากเป็น แต่จะหลีกหนีจากปัญหาการเงินด้านหนี้สินได้อย่างไร หากคุณเป็นผู้ที่ประสบปัญหาการเงินด้านหนี้สิน การบริหารจัดการด้านการเงินอย่างเป็นระบบสามารถช่วยคุณได้ อย่างแรกที่คุณต้องทำคือการแยกรายจ่ายที่จำเป็น และรายรับคงที่ในแต่ละเดือน เงินที่เหลือจากรายรับและรายจ่าย ควรแบ่งออกมาเป็นเงินเก็บยามฉุกเฉินไม่น้อยกว่า 10% ของเงินเดือน และเงินส่วนที่เหลือให้ใช้สำหรับการชำระหนี้

การชำระหนี้ควรชำระมากกว่าขั้นต่ำ เพราะยิ่งเราเหลือเงินต้นน้อยเท่าไหร่ ดอกเบี้ยที่ต้องเสียในแต่ละเดือนก็จะน้อยลงเท่านั้น แถมยังทำให้คุณสามารถปลดหนี้ได้เร็วกว่ากำหนดอีกด้วย เพียงเท่านี้ปัญหาการเงินของคุณก็จะหมดไป

4. ชอบใช้เงินผ่อนมากกว่าเงินสด ผ่อนเล็กผ่อนน้อยตลอดเวลา

ปัญหาหนี้บัตรเครดิตปัญหาบานปลายไม่จบไม่สิ้นของคนวัยทำงาน ในบางครั้งปัญหานี้อาจมาจากการผ่อนเล็กผ่อนน้อยหลายครั้งต่อเดือน หรือการใช้เงินในปัจจุบันจนหมดจนต้องนำเงินในอนาคตมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สิ่งนี้เป็นหนึ่งในนิสัยที่ทำให้เกิดปัญหาการเงิน

หากคุณกำลังประสบปัญหามีเงินเท่าไหร่ก็ใช้ไม่พอ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายสามารถช่วยคุณได้ การวางแผนการใช้เงินผ่านการแยกรายรับ รายจ่าย และเงินเก็บอย่างเป็นสัดส่วน เป็นหนึ่งในตัวช่วยสำคัญที่ทำให้คุณบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น ช่วยลดปัญหาการเงินที่จะตามมาในอนาคต และยังทำให้คุณสามารถประมาณการรายจ่ายได้อย่างสมเหตุสมผล ลดอัตราการเกิดปัญหาการเงินในอนาคต

5. ไม่มีเงินสำรองในการใช้จ่ายยามฉุกเฉิน

ปัญหาการเงินหนี้ในครัวเรือน

นิสัยการใช้เงินแบบเดือนชนเดือนจนไม่มีเงินเก็บที่จะมานำใช้ในยามฉุกเฉิน เป็นหนึ่งในปัญหาการเงินที่นำมาซึ่งปัญหาหนี้สินในอนาคต แม้คุณจะไม่มีหนี้สินติดตัวในปัจจุบัน แต่การไม่มีเงินสำรองที่จะนำมาใช้ยามฉุกเฉิน ก็เป็นหนึ่งในปัญหาการเงินที่จะนำมาซึ่งปัญหาหนี้สินภายในครัวเรือน

โดยเฉพาะการไม่มีเงินใช้จ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันอย่างอุบัติเหตุ ค่าใช้จ่ายยามเจ็บไข้ได้ป่วย หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เป็นเงินก้อนใหญ่ เมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเหล่านี้ คุณก็จะมีหนี้ติดตัวในทันที การแบ่งสัดส่วนเงินเดือนจึงจำเป็นต้องแบ่งส่วนสำหรับค่าใช้จ่ายยามฉุกเฉิน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งปัญหาการเงินในอนาคต

6. เมื่อเกิดสถานการณ์หมุนเงินไม่ทันก็มักจะใช้บัตรเครดิตอีกใบในการหมุนเงินแทน

การหมุนเงินใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตสองใบ เป็นนิสัยทางการเงินที่จะนำมาซึ่งหนี้สินในอนาคต หากคุณเป็นคนที่ชอบหมุนเงินด้วยบัตรเครดิตสองใบ หรือโปะหนี้ด้วยบัตรเครดิตสองใบ เราต้องบอกว่านิสัยดังกล่าวเป็นนิสัยการเงินที่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดปัญหาการเงินอันดับต้น ๆ

การใช้บัตรเครดิตในการหมุนเงิน เป็นการเพิ่มพูนหนี้สินให้หนักกว่าเดิม เป็นนิสัยที่นอกจากจะทำให้ปัญหาการเงินเพิ่มพูนกว่าเดิมแล้ว นิสัยนี้ยังอาจทำให้คุณเสียเครดิตทางการเงินไปตลอดชีวิต

7. ชอบชำระหนี้บัตรเครดิตแค่ขั้นต่ำของยอดชำระหนี้

ปัญหาด้านการเงินมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ

การชำระเงินขั้นต่ำสำหรับหนี้บัตรเครดิต เป็นหนึ่งในปัญหาการเงินยอดฮิต ที่จะมาซึ่งปัญหาความยากจน การจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตเป็นเหมือนการหลีกหนีหนี้ ที่ไม่ได้มีผลให้หนี้สินที่อยู่ในมือลดลงเลย อีกทั้งการจ่ายเงินขั้นต่ำยังเป็นการพอกพูนหนี้ที่จะนำมาซึ่งปัญหาการเงินอย่างการชำระหนี้ไม่ไหวจนต้องกู้หนี้นอกระบบ หรือการใช้เงินแบบเดือนชนเดือนอีกด้วย

การชำระหนี้บัตรเครดิตที่ดี จึงควรชำระมากกว่าจำนวนขั้นต่ำที่ธนาคารกำหนด เพื่อไม่ให้หนี้สินพอกพูนจนกลายเป็นปัญหาการเงินในอนาคต

สรุปปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหาการเงิน พร้อมแนวทางการแก้ไขปัญหา

หลังจากอ่านบทความนี้จนจบ เพื่อน ๆ คงเห็นกันแล้วว่าปัญหาการเงินสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งสาเหตุบางอย่างก็เป็นสิ่งใกล้ตัวที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา จนเราแทบจะมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ หากคุณเป็นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาการเงินในอนาคต คุณควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้ติดเป็นนิสัย และหันมาวางแผนการเงินใหม่ เพื่อให้ปัญหาหนี้สิน หรือปัญหาการเงินอื่น ๆ ไม่เกิดขึ้นกับคุณและคนรอบข้าง

14
หนังรับรองเงินเดือน

หนังสือรับรองเงินเดือนคือ หลักฐานการทำงานและรายได้ ใบหนังสือรับรองเงินเดือนเปรียบเสมือนบัตรประชาชนทางการเงินของพนักงานซึ่งออกให้โดยฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัท เอกสารนี้มีหน้าที่ยืนยันสถานะการจ้างงาน ตำแหน่งงาน และเงินเดือนของพนักงาน บทความนี้จะมาแนะนำเกี่ยวกับความสำคัญและประโยชน์ของหนังรับรองเงินเดือนในด้านต่าง ๆ มาดูกัน

ความสำคัญของหนังสือรับรองเงินเดือนมีอะไรบ้าง

ความสำคัญหนังสือรับรองเงินเดือน

หนังสือรับรองเงินเดือนเป็นเอกสารสำคัญที่ออกโดยฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัท เพื่อยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับการจ้างงานและรายได้ของพนักงาน การขอหนังสือรับรองเงินเดือนsalary certificate จากฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัทแต่ละแห่งอาจมีวิธีเขียนใบรับรองเงินเดือน และแบบฟอร์มขอใบรับรองเงินเดือน รวมถึงมีขั้นตอนการยื่นคำขอที่แตกต่างกันไปซึ่งฝ่ายทรัพยากรบุคคลของแต่ละบริษัทจะมีแบบฟอร์มใบรับรองเงินเดือนword หนังสือรับรองเงินเดือนภาษาอังกฤษword และรูปแบบหนังสือรับรองเงินเดือนของบริษัทอยู่แล้ว เพียงแต่อาจออกให้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น หนังสือรับรองเงินเดือนdoc หนังสือรับรองเงินเดือนออนไลน์ หรือใบรับรองเงินเดือนpdf ซึ่งหนังสือรับรองเงินเดือนบริษัทมีบทบาทสำคัญในหลายแง่มุม ดังนี้

• ใบรับรองเงินเดือนบริษัทเป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาขอสินเชื่อของธนาคาร และสถาบันการเงินต่า ๆ เพื่อไปใช้ในการพิจารณาวงเงินสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ การขอมีบัตรเครดิต ซึ่งธนาคารหรือสถาบันทางการเงินจะต้องใช้ข้อมูลเงินเดือนเพื่อประเมินความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของผู้กู้
• หนังสือรับเงินเดือนเป็นหลักฐานประกอบการสมัครงานเพื่อตรวจสอบข้อมูลเงินเดือนและประวัติการทำงานของผู้สมัคร
• ใบรับรองเงินเดือนบริษัทเพื่อพิจารณาขอเช่าอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเจ้าของบ้านหรือคอนโดมิเนียมอาจขอหนังสือรับรองเงินเดือนเพื่อพิจารณาว่าผู้เช่ามีรายได้เพียงพอต่อการจ่ายค่าเช่า
• หนังสือรับรองเงินเดือนอาจใช้ประกอบการทำธุรกรรมอื่น ๆ เช่น การขอเช่าซื้อรถยนต์ การสมัครสมาชิกคลับ และอื่น ๆ
• แบบใบรับรองเงินเดือนสามารถใช้ยืนยันสถานะการทำงานกับบริษัทได้ กรณีต้องการใช้ในการติดต่อธุรกิจ หรืออื่น ๆ

ใบรับรองเงินเดือนตัวอย่างการใช้งานที่สำคัญมีกรณีตัวอย่างดังต่อไปนี้

• ธนาคารแห่งหนึ่งให้ดูตัวอย่างแบบฟอร์มหนังสือรับรองเงินเดือนdoc เพื่อให้ผู้ประสงค์ยื่นขอสินเชื่อบ้านไปติดต่อขอรับรองเงินเดือนจากฝ่ายบุคคลของบริษัทที่ตนเองทำงาน
• ผู้สมัครงานกับบริษัทเอกชนต่างชาติแห่งหนึ่งได้แนบใบรับรองเงินเดือนภาษาอังกฤษเพื่อเสนอการพิจารณาสมัครงานไปพร้อมกับใบสมัครงานภาษาอังกฤษ
• ผู้เช่าแนบหนังสือรับรองการทํางานบริษัทเอกชนกับสัญญาเช่า
• สมาชิกคลับฟิตเนสใช้หนังสือรับรองเงินเดือนสมัครสมาชิก

ในบางบริษัทหรือองค์กรอาจให้ผู้ยื่นคำขอได้ตรวจสอบตัวอย่างหนังสือรับรองเงินเดือนจากแบบฟอร์มใบรับรองเงินเดือนword ของบริษัทก่อนที่จะออกเอกสารใบรับรองเงินเดือนฉบับจริงให้ เนื่องจากหนังสือรับรองเงินเดือนเหล่านี้ เป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ประกอบการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ จึงควรเก็บรักษาไว้เป็นความลับและตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนนำไปใช้งาน

ประโยชน์ของหนังสือรับรองเงินเดือน
 
ประโยชน์หนังสือรับรองเงินเดือน

จะเห็นว่า หนังสือใบรับรองเงินเดือนเป็นเอกสารสำคัญเกี่ยวกับการรับรองเงินเดือน ที่จะระบุข้อมูลสำคัญด้านต่าง ๆ เช่น ข้อมูลพนักงาน ประกอบด้วย ชื่อ - นามสกุล ตำแหน่งงาน แผนก รหัสพนักงาน วันเริ่มทำงาน วันออกจากงาน เงินเดือน เงินเพิ่มอื่น ๆ ค่าตอบแทนอื่น ๆ และรายได้รับสุทธิ และด้านข้อมูลของบริษัท ประกอบด้วย ชื่อบริษัท ที่อยู่บริษัท เบอร์โทรศัพท์ และตราสัญลักษณ์ของบริษัท เป็นต้น  ดังนั้นจึงต้องเก็บรักษาไว้เป็นความลับ แต่ด้วยรูปแบบใบรับรองเงินเดือนสามารถนำไปติดต่อธุระสำคัญต่าง ๆ ได้ในหลายเรื่องมีดังนี้

• หนังสือรองรับเงินเดือนใช้ประกอบการพิจารณาขอสินเชื่อ เช่น  โดยธนาคารจะใช้ข้อมูลเงินเดือนเพื่อประเมินความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของผู้กู้ ช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ ช่วยให้ได้รับวงเงินสินเชื่อที่สูงขึ้น ช่วยให้ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง
• แบบฟอร์มหนังสือรับรองเงินเดือนใช้สมัครงาน โดยเฉพาะหากสมัครงานกับบริษัทเอกชนมักจะพิจารณาหนังสือรับรองเงินเดือนบริษัทเอกชน เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาการจ้างและให้เงินเดือนแรกเข้า และช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้สมัคร ช่วยให้บริษัทพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครได้แม่นยำ จากฟอร์มใบรับรองเงินเดือนซึ่งทำให้เพิ่มโอกาสในการได้รับเลือกเข้าทำงาน
• แบบฟอร์มรับรองเงินเดือนใช้ยื่นประกอบการพิจารณาการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของบ้านหรือคอนโดมิเนียมว่าผู้เช่ามีรายได้เพียงพอต่อการจ่ายค่าเช่า เพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติเช่า
• แบบหนังสือรับรองเงินเดือนสามารถยื่นทำธุรกรรมทางการเงินอื่น ๆ ใช้ประกอบการขอเช่าซื้อรถยนต์ ใช้สมัครสมาชิกคลับ ใช้ยืนยันสถานะการทำงาน
ยืนยันสถานะการทำงาน ใช้ยืนยันสถานะการทำงานกับบริษัทได้ ใช้ในการติดต่อธุรกิจ หนังสือรับรองเงินเดือนภาษาอังกฤษใช้ในการขอวีซ่า

หนังสือรับรองเงินเดือนและอายุการใช้งาน

การออกหนังสือรับรองเงินเดือนแต่ละบริษัทจะกำหนดอายุการใช้งานไว้ด้วยซึ่งอายุการใช้งานของหนังสือรับรองเงินเดือนจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ประเภทของการให้รับรองเงินเดือนด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้

• หนังสือรับรองเงินเดือนเพื่อนำไปใช้กับหน่วยงานราชการ หรือใช้สำหรับติดต่อหน่วยงานราชการต่าง ๆ โดยทั่วไปมีตัวอย่างใบรับรองเงินเดือน กำหนดอายุการใช้งานไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ออกหนังสือ
• หนังสือรับรองเงินเดือนเพื่อใช้ในการติดต่อกับทางธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ มีอายุการใช้งานไม่เกิน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ออกหนังสือ
• หนังสือรับรองเงินเดือนภาษาอังกฤษเพื่อใช้ยื่นขอวีซ่าไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ออกหนังสือ
• หนังสือรับรองเงินเดือนเพื่อใช้สมัครงาน ไม่ว่าจะหนังสือใบรับรองเงินเดือนภาษาไทย หรือใบรับรองเงินเดือนภาษาอังกฤษ โดยทั่วไปไม่มีการกำหนดอายุการใช้งาน แต่แนะนำให้ใช้หนังสือที่ออกไม่เกิน 6 เดือน
• หนังสือรับรองเงินเดือนเพื่อใช้เช่าอสังหาริมทรัพย์ โดยทั่วไปไม่มีการกำหนดอายุการใช้งาน แต่แนะนำจากตัวอย่างหนังสือรับรองเงินเดือนwordที่พบบ่อย ให้รับรองอายุไม่เกิน 3 เดือน

นอกจากบริษัทที่เป็นผู้ออกหนังสือรับรองเงินเดือนให้พนักงานเป็นผู้กำหนดอายุการใช้งานแล้ว อายุการใช้งานของการรับรองเงินเดือนจะขึ้นอยู่กับนโยบายของหน่วยงานที่ขอหนังสือด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงควรตรวจสอบ รูปแบบใบรับรองเงินเดือนจากตัวอย่างเอกสารรับรองเงินเดือนกับหน่วยงานที่ต้องการใช้หนังสือรับรองเงินเดือนก่อน เพื่อความแน่ใจ เช่น ธนาคาร A อาจกำหนดตัวอย่างหนังสือรับรองเงินเดือนออกรถ ไม่เกิน 45 วัน หรือ บริษัท B อาจกำหนดให้ยื่นใบรับรองเงินเดือนภาษาอังกฤษแต่ไม่กำหนดอายุการใช้งานของหนังสือรับรองเงินเดือน เป็นต้น

สรุปประโยชน์และความสำคัญของหนังสือรับรองเงินเดือน

หนังสือรับรองเงินเดือนเป็นเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบด้วย อัตราเงินเดือน ตำแหน่งงาน เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ของบริษัทที่ออกโดยฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัท เพื่อยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับการจ้างงานและรายได้ของพนักงาน เอกสารนี้มีประโยชน์หลายประการ เช่น ใช้ประกอบการขอสินเชื่อ สมัครงาน เช่าอสังหาริมทรัพย์ ทำธุรกรรมทางการเงินอื่น ๆ และมีอายุการใช้งานตามข้อกำหนดและนโยบายของแต่ละบริษัท หรือตามแต่วัตถุประสงค์ของการออกหนังสือแต่ละครั้ง ดังนั้น จึงควรเก็บรักษาหนังสือรับรองเงินเดือนpdf ไว้เป็นความลับไม่ให้ตกอยู่ในมือมิจฉาชีพเป็นอันขาด


15
ผนังเบา

ผนังเบา เป็นการกั้นห้องด้วยแผ่นผนังเบา โดยใช้วัสดุที่ทำมาจากวัสดุต่างๆ เช่น แผ่นยิปซัม แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ แผ่นไม้อัดซีเมนต์ แผ่นไม้อัดยาง แผ่นไม้สังเคราะห์ เป็นต้น แทนการใช้อิฐ หรือการก่ออิฐมวลเบา การใช้ในการก่อสร้างเพื่อกั้นทำเป็นห้องใหม่ ในพื้นที่เดิมที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งง่ายต่อการติดตั้งกับโครงผนัง การกั้นห้องด้วยผนังเบาจะทำให้สะดวกในการติดตั้งเพราะวัสดุมีน้ำหนักเบา สามารถยึดติดกับโครงคร่าวผนังเบาแล้วค่อยตกแต่ง ฉาบปูน ทาสีทับเพื่อความสวยงาม ถือว่าราคาถูก ประหยัดเวลาการทำงาน และสามารถใช้งานได้ดี ซึ่งการใช้ผนังเบากั้นห้องมีข้อดีอะไรบ้างมาดูกันเลย

ผนังเบามีข้อดีอย่างไร?

โดยปกติการทำห้องมักจะสร้างด้วยอิฐ หรือทำจากผนังอิฐมวลเบา แต่ถ้าต้องการต่อเติมปรับปรุง เพิ่มห้อง หรือเพิ่มพื้นที่ใช้งานภายในบ้าน การกั้นห้องสามารถทำได้เพียงแค่ติดตั้งผนังเบา ซึ่งไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไปในการทำห้องขึ้นมาใหม่ การกั้นห้องด้วยผนังเบานั้นมีข้อดีดังนี้

  • ติดตั้งและรื้อถอนออกง่าย สะดวกและประหยัดเวลา เนื่องจากผนังเบาทำจากวัสดุที่มีน้ำหนักเบาทำให้สะดวกและง่ายต่อการติดตั้งเข้ากับโครงผนังเบา สามารถลดเวลาการทำงานของช่างได้ เพราะการติดตั้งผนังเบานั้นทำได้ง่าย ผนังมวลเบาใช้เวลาในการติดตั้งไม่นานถ้าเทียบกับการก่อด้วยอิฐ
  • น้ำหนักเบา วัสดุที่นำมาใช้ทำผนังเบาส่วนใหญ่จะเป็นแผ่นยิปซัม แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ แผ่นไม้อัดซีเมนต์ แผ่นไม้อัดยาง แผ่นไม้สังเคราะห์ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบา ทำให้การกั้นห้องด้วยผนังเบาสามารถขนย้ายได้ง่าย
  • มีวัสดุให้เลือกใช้ที่หลากหลาย การกั้นห้องด้วยผนังเบาสามารถเลือกวัสดุให้เหมาะสมกับห้องที่ต้องการจะทำได้ เช่น การเลือกใช้แผ่นไม้สังเคราะห์ในการกั้นห้องนอนด้วยผนังเบา การใช้แผ่นไม้อัดซีเมนต์ในการยึดติดกับโครงเหล็กกั้นห้องผนังเบา เป็นต้น
  • การติดตั้งระบบน้ำและระบบไฟทำได้ง่าย การกั้นห้องด้วยผนังเบาจะไม่มีคานข้างบนทำให้ง่ายต่อการวางระบบไฟและน้ำ เนื่องจากผนังเบาจะเป็นผนังที่กลวงสามารถเดินสายไฟและวางระบบน้ำได้ง่าย
  • ราคาไม่แพง วัสดุที่ใช้ทำผนังเบามีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับการก่อผนังที่ก่อจากอิฐมวลเบา
  • ผนังเบามีความทนทานสูง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานเสมือนการก่อผนังอิฐมวลเบา แต่คุณภาพของวัสดุที่นำมาใช้อาจะต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทการใช้งาน

ข้อควรรู้ก่อนติดตั้งผนังเบา

ในการกั้นห้องด้วยผนังเบา มีข้อดีหลายอย่างซึ่งเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ในการตัดสินใจเลือกใช้วัสดุกั้นผนังเบา มีอะไรที่ควรรู้อีกบ้าง วันนี้จะมาบอกในหัวนี้

  • ผนังเบาอาจจะไม่ต้องใช้คานมารองรับ ก่อนการติดตั้งผนังเบาจะต้องมีโครงผนังเบา เช่นอะลูมิเนียม โครงซีลายผนังเบา โครงคร่าวไม้ ในการทำเป็นโครงขึ้นรูปก่อนการติดตั้งแผ่นผนังเบา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีคานข้างบนเพราะวัสดุที่ใช้ทำแผ่นผนังเบามีน้ำหนักน้อยกว่าการฉาบปูน ซึ่งปกติการทำผนังจะก่อด้วยอิฐแล้วจึงฉาบปูน จึงต้องมีแนวคานเพื่อความแข็งแรง แต่การกั้นห้องด้วยผนังเบาไม่จำเป็นต้องมีคานรองรับ
  • ผนังเบาควรจะมีโครงสร้างที่แข็งแรง ในการทำห้อง โครงสร้างเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากในการการทำห้อง การกั้นห้องด้วยผนังเบาจะมีความแข็งแรงน้อยกว่าการก่ออิฐ หรือการฉาบด้วยปูน ดังนั้นจึงควรศึกษา และเลือกใช้วัสดุที่แข็งแรง ทนทาน เหมาะสมกับการใช้งาน
  • การใช้อิฐมวลเบาในการทำผนังเบา อิฐมวลเบาเป็นผนังเบาสําเร็จรูปภายนอก เป็นการก่อเพื่อทำเป็นผนังกั้นห้อง เหมาะกับการทำเป็นผนังเบาภายนอก เพราะมีน้ำหนักที่ค่อนข้างหนักเหมือนอิฐ และมีคุณสมบัติในการกันเสียง ระบายความร้อนได้ดี แข็งแรง หากนำมาใช้ภายในจำเป็นต้องมีคานและมียุ่งยากในการทำ
  • ผนังเบาไม่ควรแขวนของหนัก เนื่องจากวัสดุที่ทำผนังเบามีน้ำหนักเบาจึงไม่เหมาะกับการทำชั้นวางของติดผนัง หรือแขวนกรอบรูป เพราะจะทำโครงผนังเบาไม่สามารถรับน้ำหนักได้ หากต้องการแขวนของหนัก เช่น โทรทัศน์ กรอบรูปขนาดใหญ่ หรือทำชั้นวางของ ควรเสริมโครงเหล็กให้ดีเพื่อสามารถรองรับน้ำหนัก
  • ควรเลือกใช้ผนังเบาให้เหมาะสม ในการกั้นห้องหรือทำห้อง ควรเลือกใช้แผ่นผนังเบาให้เหมาะสมกับการใช้งาน หรือเหมาะกับห้องนั้นๆ ซึ่งในปัจจุบันมีผนังเบาที่ใช้วัสดุที่หลากหลายในการทำ เช่น ซีลายผนังเบา ผนังเบายิปซั่ม ผนังเบาลายไม้ ผนังเบาไฟเบอร์ซีเมนต์ ผนังเบาไม้อัดกั้นห้อง เป็นต้น
  • การทำห้องด้วยผนังเบาไม่ได้เหมาะกับทุกห้อง การกั้นห้องด้วยผนังเบาเป็นการทำห้องเพื่อแบ่งสัดส่วนพื้นที่ ซึ่งไม่เหมาะกับบางห้อง เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว เพราะน้ำอาจจะไหลซึมเข้าไปภายในโครงคร่าวผนังเบาจากรอยต่อระหว่างแผ่น ทำให้โครงคร่าวเกิดความเสียหายได้

ผนังเบาสามารถใช้แทนผนังอิฐได้หรือไม่?

ในการเลือกใช้วัสดุที่จะทำผนังอันดับแรกจะต้องดูความเหมาะสมและวางแผนก่อน ว่าห้องที่จะทำนั้นเป็นห้องอะไร ควรใช้ผนังเบาหรือการก่อด้วยอิฐ ซึ่งวัตถุประสงค์ในการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกใช้วัสดุที่จะทำผนัง เพราะจะต้องดูความแข็งแรง ทนทาน เหมาะกับประโยชน์ใช้สอย และต้องใช้โครงสร้างให้เหมาะสม โดยโครงสร้างของผนังเบาจะมีหลายวัสดุให้เลือกใช้ เช่น โครงผนังเบาตัวu โครงผนังเบาอะลูมิเนียม โครงผนังเบาตัวc เป็นต้น

ประเภทของผนังเบาที่ควรทำความรู้จัก

ผนังเบากั้นห้อง

หลังจากที่ทราบความหมาย ข้อดี ของผนังเบาไปแล้ว ในหัวข้อนี้จะพูดถึงประเภทของผนังเบาในปัจจุบันที่นิยมนำมาทำเป็นผนังเบากั้นห้อง มีอะไรบ้างมาดูกันเลย

ผนังเบาประเภทไม้อัดยาง

จุดเด่น : สวยงามให้ความรู้สึกอบอุ่น โดยมีลวดลายไม้ที่เหมือนจริงเป็นธรรมชาติ แผ่นผนังเบามีความหนาแน่น แข็งแรงทนทาน สามารถซ่อมแซมง่าย รีไซเคิลได้ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังสามารถเข้าได้กับทุกสไตล์ของบ้าน

เหมาะกับการนำไปใช้งานประเภท : การทำผนังเบาห้องนอน หรือแบ่งพื้นที่เล็กๆ เพราะแผ่นไม้อัดยางมีความบางมาก จึงไม่เหมาะกับการใช้งานในการแขวน หรือทำห้องครัว ห้องน้ำ เพราะอาจจะทำให้แตกหัก หรือบวมน้ำได้ในอนาคต

ผนังเบาประเภทแผ่นซีเมนต์

จุดเด่น : เป็นแผ่นผนังเบาที่มีความแข็งแรง ทนทาน ไม่แตกหักง่าย มีความยืดหยุ่นสูงค่อนข้างเหนียว สามารถดัดตามโครงได้ หมดปัญหาเรื่องปลวกกินไม้เพราะทำจากไฟเบอร์ซีเมนต์ วัสดุที่นำมาทำผนังเบาไม่มีส่วนประกอบของไม้หรือกระดาษมา เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปรีไซเคิลได้ แผ่นผนังเบาสามารถระบายความร้อนได้ดี ทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่ร้อน

เหมาะกับการนำไปใช้งานประเภท : การนำไปทำฝ้า ผนังห้อง หรือพื้นห้องก็ได้ เพราะตัวแผ่นซีเมนต์สามารถยืดหยุ่นระบายความร้อนได้ดี ไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ด (Fiber Cement Board) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสมาร์ทบอร์ด (Smartboard) เป็นปูนซีเมนต์ผสมกับซิลิกา เซลลูโลส และน้ำ แผ่นผนังเบาซีเมนต์จึงสามารถนำไปใช้ได้หลากหลายเพราะมีความแข็งแรงทนทานเหมาะกับทุกสภาพผิว

ผนังเบาประเภทแผ่นยิปซั่ม

จุดเด่น : เป็นแผ่นผนังเบาที่มีน้ำหนักเบา ทนทาน ผิวเรียบ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สามารถติดตั้งง่าย ประหยัดเวลา อีกทั้งราคาผนังเบายิปซั่มยังมีราคาถูกเมื่อเทียบกับวัสดุผนังเบาประเภทอื่นๆ จึงทำให้แผ่นผนังเบากั้นห้องประเภทนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากเพราะมีหลายประเภท เช่น แผ่นยิปซัมสตรองบอร์ด แผ่นยิปซัมกันร้อนพิเศษ แผ่นยิปซัมลดเสียงสะท้อน แผ่นยิปซัมกันเชื้อรา แผ่นยิปซัมทนชื้น แผ่นยิปซัมทนไฟ แผ่นยิปซัมดัดโค้ง เป็นต้น

เหมาะกับการนำไปใช้งานประเภท : แผ่นผนังเบาแผ่นยิปซั่มสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย การเลือกใช้งานแผ่นผนังเบายิปซัมต้องดูว่าต้องการใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร เพราะมีให้เลือกหลากหลายประเภท เช่น แผ่นยิปซัมสตรองบอร์ด ใช้กับผนังที่ต้องการความแข็งแรงมากเป็นพิเศษ แผ่นยิปซัมกันร้อน เหมาะสำหรับการลดความร้อน ระบายอากาศ ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า แผ่นยิปซัมลดเสียงสะท้อน ใช้ลดเสียงสะท้อน ลดการเกิดเสียงก้อง เหมาะกับสถานที่ปิด เป็นต้น 

สรุปผนังเบาวัสดุสำหรับกั้นห้อง

ผนังเบา คือ วัสดุที่ใช้ทำผนังแทนการก่อด้วยอิฐ ซึ่งมีหลายประเภท เช่น ผนังเบาประเภทไม้อัดยาง ผนังเบาประเภทแผ่นซีเมนต์ ผนังเบาประเภทแผ่นยิปซั่ม ซึ่งการนำไปใช้งานนั้นต้องคำนึงถึงประโยชน์และความเหมาะสมในการเลือกวัสดุ เพราะแต่ละประเภทมีเอกลักษณ์ และคุณสมบัติที่ต่างกัน หากเลือกใช้ผิดอาจจะทำให้เกิดความเสียหาย และต้องซ่อมแซมอยู่เป็นประจำ โดยโครงผนัง ก็มีความสำคัญเพราะเป็นตัวทำให้แผ่นผนังเบาสามารถคงตัว การวางโครงสร้างที่แข็งแรงจะทำให้การติดตั้งแผ่นผนังเบามีความแข็งแรง ทนทานตามไปด้วย ดังนั้นหากต้องการกั้นห้องด้วยผนังเบาควรศึกษาหาข้อมูลให้ดีก่อน เช็คราคา และเลือกใช้แผ่นผนังเบาให้เหมาะสมกับประเภทห้อง จะได้มีความแข็งแรงทนทานสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน

16
ฉีดโบลดริ้วรอย

เป็นที่รู้กันว่า โบท็อกคือตัวแทนของความสวยงาม ที่ทั้งรวดเร็ว และปลอดภัย ใครอยากสวยโดยไม่ต้องเข้ากระบวนการผ่าตัด หรือพักฟื้นที่ยาวนาน รวมไปถึงปัญหาของโรคประจำตัวและสุขภาพอื่น ๆ ที่กวนใจ ฉีดโบลดริ้วรอย ก็คืออีกเหตุผลหนึ่งที่สาว ๆ และหนุ่ม ๆ ที่มีริ้วรอยก่อนวัย ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรม หรือปัจจัยภายนอก โบท็อกริ้วรอยก็สามารถช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้ หากเข้าใจข้อมูลและรายละเอียดเชิงลึก

ริ้วรอยบนหน้า เกิดจากสาเหตุใดบ้าง

โบท็อกหางตา

โดยหลัก ๆ แล้ว ริ้วรอยจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ทั้งปัญหาริ้วรอยจากปัจจัยภายนอก และปัจจัยจากพันธุกรรม แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยแบบไหน การฉีดโบลดริ้วรอยสามารถช่วยได้หมด ซึ่งตำแหน่งของริ้วรอยที่นิยมเกิดจากปัจจัยเหล่านี้ ทั้งโบท็อกหางตา, โบท็อกตีนการอบดวงตา, หน้าผาก หรือใต้ตา แต่หากแบ่งสาเหตุของริ้วรอยบนใบหน้าเพื่อการฉีดโบท็อก จะแบ่งเป็นริ้วรอยถาวร และริ้วรอยจากแสดงสีหน้า ที่มีรายละเอียดดังนี้

ริ้วรอยถาวร
Static Wrinkles หรือเรียกว่าริ้วรอยถาวร ที่มีผลกระทบจากอายุที่มากขึ้น และมีสาเหตุจากปัจจัยภายนอกอย่างผิวที่เจอกับแสงแดดเป็นเวลานาน หรือเจอกับฝุ่นควันและขาดการดูแล จนทำให้เกิดริ้วรอย แน่นอนว่าเราสามารถฉีดโบลดริ้วรอยได้ เนื่องจากสาเหตุของริ้วรอยถาวร คือการที่ชั้นผิวสูญเสียอีลาสติน และคอลลาเจน ทำให้ผิวเสียและเกิดริ้วรอยถาวรที่แก้ได้ยาก ทางเลือกของโบท็อกลดริ้วรอย จึงถือเป็นวิธีที่แก้ได้ง่าย และรวดเร็วที่สุด

ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า
Dynamics wrinkles คือริ้วรอยที่เกิดจากการขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า หรือแสดงสีหน้า ไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม การขมวดคิ้ว หรือการหัวเราะ ซึ่งร่องริ้วรอยที่พบจากการแสดงสีหน้าที่บ่อยที่สุด คือบริเวณหน้าผาก และบริเวณตีนกา โดยเราสามารถโบท็อกหน้าผาก รวมไปถึงตีนกาได้ การฉีดโบลดริ้วรอย ถือเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด มีประสิทธิภาพ เพราะริ้วรอยเหล่านี้เกิดได้ทั้งบุคคลอายุน้อย เมื่ออายุเพิ่มขึ้นรอยก็ชัดขึ้น ทำให้ความมั่นใจลดลง

ฉีดโบลดริ้วรอย  คืออะไร มีประสิทธิภาพแค่ไหน
การฉีดโบลดริ้วรอย Botox for facial wrinkles คือการฉีดโบท็อกด้วยยี่ห้อ และปริมาณที่เหมาะสม ในการยกกระชับส่วนที่เป็นริ้วรอย ให้ชั้นผิวมีการเติมเต็มและตึงขึ้น ด้วยสาร Botulinum toxin A ที่ทำปฏิกิริยากับผิว ออกฤทธิ์ทางระบบประสาท ทำให้ผิวเกิดการคลายกล้ามเนื้อ และสามารถเสริมความงามได้ ฉีดโบลดริ้วรอย ก็เป็นหัตถการโบท็อกที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ใบหน้าไม่เกิดการพับบนชั้นผิว ทำให้สามารถลดริ้วรอยได้จริงและปลอดภัย

โดยสาเหตุเบื้องต้นที่โบท็อกมีความปลอดภัยเพราะทาง USFDA หรือองค์การอาหารและยาในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติและยอมรับแล้วว่า Botoxริ้วรอย สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยได้ และมีความปลอดภัยทั้งผู้ชาย และผู้หญิง ในอายุ 65 ปีลงมาได้อย่างมีประสิทธิภาพจากสาร Botulinum toxin A ทำให้การฉีดโบลดริ้วรอย จึงได้รับความนิยม และสืบเนื่องมาจนถึงไทย แน่นอนว่า โบท็อกลดริ้วรอย ก็ได้รับการอนุมัติจากอย.ไทยเช่นกัน

หลักการทำงานของโบท็อกลดริ้วรอย มีกระบวนการอย่างไร
การฉีดโบลดริ้วรอย มีหลักการทำงานที่เข้าใจง่าย โดย Neurotoxin เป็นระบบประสาท ที่ส่งผลตรงเมื่อได้รับ Botulinum toxin A หรือโบท็อก ซึ่งออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อบนชั้นผิวคลายตัว หากเราได้เข้าสู่กระบวนการหลังฉีดโบลดริ้วรอย กล้ามเนื้อจะคลายตัวทันที 48 - 72 ชั่วโมง หลังจากนั้นภายใน 2 สัปดาห์ กล้ามเนื้อผิวหน้าจะอ่อนตัวและเข้าที่ และจะคงอยู่บนผิวหน้านาน 4 - 6 เดือน ผิวจะไม่เกิดการพับตัว ทำให้รอยย่นบนใบหน้าจางลง

กรณีที่การฉีดโบลดริ้วรอย ไม่ได้ผล อาจจะเกิดจากกระดูกทรุดตัวจนเกิดริ้วรอยร่องลึก ที่จำเป็นต้องใช้หัตถการวิธีอื่นในการแก้ไข แต่ส่วนใหญ่ในกลุ่มวัยรุ่นและวัยกลางคน ปัญหาทั่วไปมักจะเกิดจากการแสดงสีหน้า จนทำให้เกิดริ้วรอยย่นตรงสันจมูก, รอบดวงตา, รอยหน้าผาก การฉีดโบลดริ้วรอยไม่ว่าจะตำแหน่งไหน จะฉีดตีนกา, ฉีดโบหน้าผาก และรอบดวงตาก็แสดงผลตามหลักการทำงานเช่นเดียวกันทุกตำแหน่ง หากทำกับคลินิกที่มีมาตรฐาน

แก้ไขริ้วรอย นอกจากฉีดโบท็อก มีวิธีอื่นอีกที่ใกล้เคียงกันอีกหรือไหม

ฉีดโบลดริ้วรอย ราคา

ริ้วรอยบนใบหน้า สามารถแก้ไขได้หลากหลายวิธี แต่วิธีการฉีดโบท็อก ถือเป็นวิธีที่รวดเร็ว ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องการ การผ่าตัดหรือพักฟื้น การดูแลหลังฉีดโบลดริ้วรอย ก็ไม่ยุ่งยาก และฉีดโบลดริ้วรอยราคาไม่ได้สูงเกินงบประมาณการเสริมความงามในปัจจุบัน แต่หากการฉีดโบลดริ้วรอย มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น การเกิดริ้วรอยร่องลึก อาจจะจำเป็นต้องเพิ่มหัตถการเสริมความงาม ที่เน้นการเติมเต็ม ยกกระชับ โดยแบ่งวิธีแก้ไขริ้วรอยเพิ่มเติมดังนี้

Filler - ฟิลเลอร์คือการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid ที่สามารถเติมเต็มและกระชับริ้วรอย ให้ผลเหมือนกับหัตถการฉีดโบลดริ้วรอย แต่จะเพิ่มมวลให้กับผิวหน้าในกรณีที่ผู้ที่มีร่องลึกของริ้วรอยบนใบหน้า แน่นอนว่ามีความสะดวกและปลอดภัยเช่นกัน

Thermage - เป็นหัตถการยกกระชับ ด้วยเทคโนโลยีคลื่นไฟฟ้าความถี่สูงไปยังชั้นหนังแท้ และไขมันใต้ผิวหนัง ยกกระชับริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้ผิวกระชับด้วยการเพิ่มอัตราการสร้างคอลลาเจนให้กับชั้นผิว โดยเครื่อง Thermage จะเป็นกระบวนการที่แตกต่างจากการฉีดโบลดริ้วรอย ที่เป็นการใช้โบท็อกแต่ก็ยังปลอดภัยและรวดเร็ว

Ulthera - เป็นการยกกระชับผิวด้วยคลื่นความถี่สูงลงบนผิวหนังชั้นลึก ด้วยความถี่ที่กำหนดจะสามารถยกกระชับผิวโดยเฉพาะส่วนของริ้วรอยก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฉีดโบลดริ้วรอยเหมาะกับใคร กรณีไหนบ้าง
หลายคนยังสงสัยว่าตัวเองฉีดโบลดริ้วรอยดีไหม? แล้วสามารถฉีดได้หรือเปล่า? แน่นอนว่าเงื่อนไขการฉีดโบลดริ้วรอยค่อนข้างน้อย เพราะเป็นหัตถการเสริมความงามที่สะดวก ไม่ต้องผ่าตัด สำหรับผู้ชายและผู้หญิงที่มีปัญหาริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า สามารถเข้ารับการฉีดโบลดริ้วรอยได้เลย เพราะโบท็อกจะช่วยให้ริ้วรอยในการแสดงสีหน้าตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเราสามารถฉีดเฉพาะจุดที่มีริ้วรอยได้ ด้วยการเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์

นอกจากนี้ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากพันธุกรรมและช่วงอายุที่มากขึ้น ก็สามารถเข้ารับการฉีดโบลดริ้วรอยได้ แน่นอนว่า ปัญหาริ้วรอยร่องลึก อาจจะต้องเข้ารับการให้คำปรึกษา เพื่อหาวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดกับแพทย์ เพราะริ้วรอยช่วงวัย มักจะเป็นปัญหาริ้วรอยที่ต้องมีการแก้ไขทั้งใบหน้า สำคัญคือการจะดูว่าเราเหมาะกับวิธีการไหนในการลดริ้วรอย คือการเริ่มต้นเข้ารับคำปรึกษากับคลินิกก่อนเสมอ เพื่อดูว่าฉีดโบลดริ้วรอยอันตรายไหมกับเรา

ฉีดโบลดริ้วรอยปลอดภัยหรือไม่ มีอะไรรับรองมาตรฐาน
ฉีดโบลดริ้วรอยมีความปลอดภัย เพราะเป็นหัตถการที่ได้รับการยอมรับในมาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็น USFDA หรือ US Food and Drug Administration ที่รับรองมาตรฐานอาหารและยา และเมื่อโบท็อกมาถึงประเทศไทย หลายคนอาจสงสัยว่า ฉีดโบลดริ้วรอยอันตรายไหมกับคนไทย แน่นอนว่าไม่อันตรายเลย เพราะ อย.ไทยก็มีการอนุมัติว่าโบท็อกปลอดภัย และตัวโบท็อกก็เป็นสารที่สามารถสลายออกจากร่างกายเองได้ โดยไม่เหลือสารตกค้างเลย

สรุปการฉีดโบลดริ้วรอย ทำได้จริง และปลอดภัย
หัตถการเสริมความงามลดริ้วรอยอย่างโบท็อก ถือเป็นการเสริมความอ่อนเยาว์ที่ลดความเสี่ยงต่ออันตรายในการเสริมความงาม เพราะการฉีดโบลดริ้วรอย สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้หลากหลาย ไม่ว่าจะจากพันธุกรรม, อายุ  หรือจากสภาพแวดล้อมภายนอกก็เข้ารับการเสริมใบหน้าให้อ่อนเยาว์ได้ สำคัญที่สุด คือการหาคลินิกฉีดโบลดริ้วรอยที่ไหนดี ที่ตอบคำถามและแนะนำปัญหาด้านริ้วรอยได้อย่างตรงจุด และมีมาตรฐานการันตีความปลอดภัย


17
 ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแก้ไขใต้ตาลึก

ในปัจจุบันนี้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหัตถการที่สามารถช่วยลดปัญหาของคนที่มีปัญหาใต้ตาลึก เมื่อได้ทำการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปนั้นจากหน้าที่ดูโทรมๆ ทำให้กลับมาดูสดใสขึ้นอีกครั้ง เพราะฉะนั้นการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถึงมีการได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ชอบการฉีดfillerใต้ตาควบคู่ไปกับหน้าแก้มเพื่อทำให้ใบหน้าดูอิ่ม และดูเด็กลงอีกด้วย

เพราะเหตุนี้ก่อนจะทำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาหรือการเติมไขมันใต้ตาควรทำการศึกษาก่อนว่า ฟิลเลอร์อันตรายไหม ฟิลเลอร์ช่วยอะไร มีผลข้างเคียงมากน้อยแค่ไหน และมีวิธีการดูแลอย่างไรที่จะทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นาน จากบทความข้างล่างนี้มีคำตอบให้คุณค่ะ

ปัญหาของคนที่มีร่องใต้ตาลึกเกิดจากอะไร
ปัญหาของร่องใต้ตาลึก ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากส่วน Tear Through ที่อยู่ใกล้กับบริเวณใกล้ร่องน้ำตากับ Hollow Under Eye ตรงบริเวณเบ้าตา ที่เกิดการยุบตัวลงเมื่อมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น อาจจะเป็นส่วนเดียวหรือทั้งสองส่วนเลยก็ได้ แต่ถ้าหากได้ทำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแพทย์จะต้องทำการประเมินปัญหาก่อนว่ามีข้อบกพร่องที่จุดไหนบ้าง เพื่อให้แก้ไขอย่างตรงจุด

นอกจากนี้ปัญหาเรื่องของอายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือคนที่ยังมีอายุน้อยๆ ก็ยังมีปัญหาใต้ตาได้เช่นกัน เนื่องจากว่าอาจจะมาจากพันธุกรรม ภูมิแพ้ หรือการเจริญเติบโตของกระดูกช่วงบริเวณเบ้าตาและใต้ตาไม่ดี จึงทำให้เกิดถุงใต้ตา ร่องใต้ตา และยังมีปัญหาจากการใช้สายตาที่ไม่ถูกต้องอีกด้วย จึงทำให้กล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตามีความหย่อนยานและมีริ้วรอยก่อนวัยอันควร

ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร
ฟิลเลอร์ใต้ตา (Filler) คือการทำหัตถกรรมที่ใช้สารเติมเต็มฉีดเข้าสู่บริเวณรอบดวงตา และนอกจากนี้การเติมฟิลเลอร์ใต้ตายังสามารถฉีดในบริเวณอื่นๆ ของใบหน้าได้อีกด้วย เช่น หน้าผาก ร่องแก้ม ขมับ ปากและคาง เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของใบหน้าช่วยทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าดูตื้นขึ้นถ้าได้นำมาฉีดบริเวณใต้ตาจะสามารถแก้ไขปัญหาคนมีที่ใต้ตาคล้ำ ใต้ตาลึกได้อีกด้วย

ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร

ฟิลเลอร์ใต้ตาแก้ปัญหาและช่วยเรื่องอะไรบ้าง
ทำไมถึงต้องทำการฉีดfillerใต้ตา เพราะคนที่มีปัญหาบริเวณใต้ดวงตาจะสามารถเกิดได้กับทุกคน ตั้งแต่อายุน้อยไปจนถึงอายุที่มากขึ้นตามวัย โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาติดต่อมาจากพันธุกรรมที่เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ กระดูกเบ้าตาไม่ดีตั้งแต่เกิด แต่หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามาจะสามารถแก้ไขปัญหารอยเหี่ยวย่น รอยคล้ำ เบ้าตาลึก ใต้ตาโทรมได้ จึงทำให้ฟิลเลอร์เป็นที่นิยมในปัจจุบันโดยจะช่วยแก้ปัญหาใต้ตาต่าง ๆ ดังนี้

  • ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยลดปัญหาใต้ตาคล้ำ โดยการฉีดใต้ตายกกระชับผิวให้หลอดเลือดขยาย
  • สามารถทำการปรับรูปหน้าจากการฉีดไฮยาใต้ตา และยังช่วยให้ผิวบริเวณนั้นยกขึ้นเสริมโชคตามความเชื่อต่าง ๆ
  • สามารถแก้ไขเรื่องถุงใต้ตาโดยการใช้ฟิลเลอร์เข้ามาเติมเต็มผิวแทนไขมันที่หายไปตามอายุขัย
  • ฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยด้วยการฉีดฟิลเลอร์ให้ผิวบริเวณนั้นเต่งตึงขึ้น
  • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาหรือการเติมใต้ตาช่วยแก้เรื่องตาลึก เบ้าตาโหล โดยแพทย์จะฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในบริเวณบนตาเพื่อเป็นการทดแทนไขมันที่ตกลงมาจากปัจจัยหลายๆอย่าง

การทำฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับคนที่มีปัญหาแบบใด
ฟิลเลอร์ใต้ตาใช้ว่าใครก็สามารถมาฉีดได้เพราะการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับคนที่มีปัญหาในเรื่องของใต้ตาแต่ไม่อยากผ่าตัด แต่ก็ต้องการที่ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ซึ่งการฉีดใต้ตาเหมาะกับคน ดังนี้

  • คนที่มีปัญหาในเรื่องของดวงตาที่มีร่องใต้ตา มีถุงใต้ตา ใต้ตาคล้ำขอบตาดำ
  • คนที่ไม่มีเวลาในการพักผ่อน หรือพักฟื้นแต่ไม่อยากที่จะลางาน
  • คนที่ต้องการยกกระชับหน้าแค่บางจุดบนใบหน้า อยากดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ

การทำฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับคนที่มีปัญหาแบบใด

ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากทำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ใครหลายๆ คนอาจจะมีการเข้าใจผิดคิดว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาผลข้างเคียงนั้นมีโอกาสเลี่ยงที่จะตาบอดได้ แต่แท้จริงแล้วนั้นส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน และยังใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานมาใช้ในการฉีดตามบริเวณต่างๆ เช่น ฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์จมูกและไหลเข้าสู่ดวงตาเนื่องจากเป็นเส้นเลือดบริเวณเดียวกัน

แต่ในปัจจุบันนี้ถือว่าพบได้น้อยมากๆแล้ว และยังมีโอกาสเกิดเพียงแค่หนึ่งในล้านเท่านั้น แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามใครที่คิดจะทำการฉีดฟิลเลอร์ก็ควรศึกษาให้ดีก่อน และต้องระวังในการเลือกคลินิกอย่างมาก โดยทั่วไปแล้วผลข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีดังนี้

1. เติมฟิลเลอร์ใต้ตามาแต่ทำไมใต้ตาถึงมีความคล้ำมากกว่าเดิม อาจจะเกิดจากเส้นเลือดบริเวณใต้ผิวหนังมีการฉีดขาด จึงทำให้ผิวบริเวณนั้นมีความคล้ำหรือมีสีเขียวเป็นรอยช้ำ แต่จะสามารถหายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์

2. รอยช้ำบริเวณรอบดวงตา ซึ่งสาเหตุนี้จะเป็นผลข้างเคียงที่มักจะพบได้บ่อยที่สุด แต่สามารถหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากที่ได้ทำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

3. อาการบวมบริเวณรอบๆ  ดวงตา ระหว่างนั้นห้ามทำการนวด กดหรือขยี้ตาเป็นเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาเคลื่อนจากจุดที่ได้ทำการฉีด แต่ควรทำการประคบเย็นบ่อยๆ แทน จากนั้นอาการจะดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์

4. มีการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณรอบดวงตา แต่สิ่งนี้เป็นผลข้างเคียงที่พบได้น้อยจะมีอาการแสบๆร้อนๆ เจ็บปวดมากผิดปกติ หากมีอาการเหล่านี้ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการปรึกษาและหาวิธีการรักษาอย่างถูกวิธีในขั้นตอนต่อไป

5. มีความรู้สึกว่าบริเวณที่ได้ทำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน อาจจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากฟิลเลอร์ยังไม่มีการเข้าที่ ควรที่จะทำการรอดูผลลัพธ์ต่อไปในอีก 2 สัปดาห์ บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์จะค่อยๆ เรียบขึ้น แต่ถ้าหากว่าฟิลเลอร์ยังมีความเป็นก้อนๆ อยู่ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์หาสาเหตุว่าอาการดังกล่าวเกิดจากอะไร

ผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้กี่เดือน และฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานไหมโดยปกติหากได้ทำการฉีดมาแล้วจะอยู่ได้อย่างน้อย 6 เดือนหรืออาจจะนานกว่านั้น แต่จะขึ้นอยู่กับเนื้อของฟิลเลอร์ว่าคนไข้ใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหน รุ่นอะไร และยังรวมไปถึงพฤติกรรมในการใช้ชีวิตอีกด้วย หากคนไข้มีการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรืออยู่ในที่ที่มีความร้อนเป็นประจำ การฉีดฟิลเลอร์มานั้นก็จะอยู่ไม่นานเท่าที่ควร เพราะฟิลเลอร์จะมีการสลายตัวเร็วมากกว่าเดิม

สรุปการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาดีจริงไหม
โดยรวมแล้วฟิลเลอร์ใต้ตาถือว่าเป็นหัตถการที่เมื่อได้รับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะมีความปลอดภัย และยังสามารถแก้ไขปัญหาผิวรอบดวงตาได้อย่างหลากหลาย คนที่สนใจควรทำการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางในด้านความสวยงามก่อนว่าปัญหารอบดวงตาที่เกิดขึ้นนั้นควรทำการรักษาแบบใด เพราะนอกจากfillerใต้ตาแล้ว ก็ยังมีการฉีดโบท็อก เลเซอร์ใต้ตา และการปลูกถ่ายเซลล์ไขมันอีกด้วย

สำหรับใครที่กำลังสนใจฟิลเลอร์ใต้ตาควรเลือกคลินิกให้ดี ทางคลินิกจะต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้บริการอยู่ ต้องสะอาดและปลอดภัยเป็นหลักเพราะอาจจะมีการเกิดผลข้างเคียงต่างๆ ตามมา จากการแก้ไขปัญหาบริเวณรอบดวงตามีโอกาสที่จะติดเชื้อจากคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน การเติมใต้ตาผิดประเภทไม่เหมาะสมกับบริเวณนั้นจนไปถึงขั้นตาบอดได้

18
ซีรี่ย์เกาหลี

ซีรี่ย์เกาหลี 2024 แนะนำซีรีย์เกาหลีหลากหลายแนว หลากหลายอารมณ์ มีทั้งซีรี่ย์เกาหลีใหม่ และซีรีย์ระดับขึ้นหิ้ง และสามารถหาดูซีรี่ย์เกาหลีออนไลน์ออนไลน์ได้

Genre ของละคร หรือซีรี่ย์ในปัจจุบัน ไม่ได้มีแค่ความเป็นโรแมนติก คอเมดี้ หรือแอคชั่น ระทึกขวัญเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะ ซีรี่ย์เกาหลีที่เน้นองค์ประกอบของแนวต่าง ๆ ได้อย่างลงตัวมากขึ้น และเสิร์ฟเนื้อเรื่องที่เข้มข้น สะท้อนการเมืองและสภาพสังคมในปัจจุบันกับคนยุคใหม่ได้ ดังนั้น เราจะมาแนะนำ ซีรี่ย์เกาหลี 2024 ตอบโจทย์ทุกแนวที่อยากดูตั้งแต่ ซีรีย์เกาหลีโรแมนติก ไปจนถึง ซีรีย์เกาหลีย้อนยุค ที่การันตีว่าสนุกครบรส หาดูง่าย

แนะนำ 7 ซีรี่ย์เกาหลีมาแรง ทั้งเก่าและใหม่ล่าสุด ที่ไม่ควรพลาด

7 ซีรี่ย์เกาหลีที่เราจะแนะนำ จะมีทั้งซีรีย์ใหม่ รวมไปถึงซีรีย์เก่าที่หาดูผ่านออนไลน์ได้ ครอบคลุมทุกแนว โรแมนติกคอมเมดี้, แฟนตาซี, ระทึกขวัญ, ดราม่า เพื่อให้เราสามารถเลือกดูแนวซีรี่ย์เกาหลีที่ต้องการได้ พร้อมรีวิวและอธิบายเนื้อเรื่องคร่าว ๆ กับความน่าสนใจ ว่าทำไมเรื่องนี้ถือมีกระแส มีภาคต่อ และเป็นซีรี่ย์เกาหลีที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

1. Pyramid Game เกมพีระมิด

ซีรี่ย์เกาหลี pyramid game

ขอบคุณรูปภาพจาก viu

วันที่เข้าฉาย : 29 กุมภาพันธ์ 2567
นักแสดง : Bona, Jang Da A, Shin Seul K, Jung Ha Dami, Kang Na Eon
รีวิวเรื่องย่อ : Pyramid Game เกมพีระมิด ซีรี่ส์เกาหลี 2024 ที่น่าดูที่สุดในตอนนี้ ด้วยเนื้อเรื่องแนวดราม่า ระทึกขวัญ  เกี่ยวกับนักเรียนห้องห้า กับเกมสุดประหลาดอย่างเกมพีระมิด ที่จะมีโหวตคนแบบไม่แสดงชื่อในทุก ๆ เดือน เพื่อวัดผลให้คนที่ได้เกรดสูง จะเป็นผู้กดขี่คนที่เกรดต่ำกว่าตามลำดับชั้น และเกมสังคมที่เกิดขึ้น การเอาชีวิตรอดนั้น ใครกันคือผู้ชนะเกมนี้  เป็นซีรี่ส์เกาหลีที่สะท้อนสังคมของชนชั้น และการกลั่นแกล้งได้ตรง เข้าใจง่าย

2. Nothing Uncovered ปมร้อนซ่อนเงื่อน

ซีรี่ย์เกาหลีใหม่

ขอบคุณรูปภาพจาก viu

วันที่เข้าฉาย : 19 มีนาคม 2567
นักแสดง : Kim Ha Neul, Yeon Woo Jin, Jang Seung Jo
รีวิวเรื่องย่อ : ซอจองวอน นักข่าวสายบุก ผู้ไม่กลัวอำนาจมืดที่มีสามีชื่อว่า ซอลอูแจ นักเขียนนิยาย ซึ่งทั้งคู่ต่างมีชื่อเสียง และซอจองวอน จะต้องเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรม และพบเจอกับสามีเก่า ที่ทั้งเรื่องคือการเจอกับปมปริศนาที่เราไม่เข้าใจ เป็นซีรี่ย์เกาหลีใหม่ที่น่าสนใจในแง่ของการคลายปม ที่เมื่อเราเข้าใจบางสิ่ง แต่ก็จะมีปมที่น่าสงสัยเพิ่มเข้ามาอีก ซีรี่ย์เกาหลีเรื่องนี้เป็นแนวปริศนา ระทึกขวัญ กับความรักที่จะต้องลุ้นว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร

3. LTNS (Long Time No Sex)

ดูซีรี่ย์เกาหลี

ขอบคุณรูปภาพจาก viu

วันที่เข้าฉาย : 19 มกราคม 2024
นักแสดง : Esom, Ahn Jae-hong
รีวิวเรื่องย่อ : ซีรี่ส์เกาหลีเนื้อหาแปลกใหม่ แนวเมโลดราม่า ที่มีความเหมาะสมกับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กับคู่รักไร้เซ็กซ์ที่เริ่มระหองระแหง ความสัมพันธ์ที่กำลังจะดับ แต่กลับมาได้ด้วยธุรกิจใหม่ของทั้งคู่ กับการแบล็กเมลคู่รักที่มีปัญหาชู้หรือมือที่สาม ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์และปมที่อยู่เบื้องลึกในจิตใจของทั้งสอง ก็เริ่มค่อย ๆ แสดงออกมาให้เห็น โดยการดูซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้ ไม่ได้เจาะจงไปที่เรื่องเซ็กซ์ แต่พุ่งประเด็นไปที่ชีวิตคู่มากกว่า

4. Mr. Queen รักวุ่นวาย นายมเหสีหลงยุค

ซีรีย์เกาหลีย้อนยุค

ขอบคุณรูปภาพจาก viu

วันที่เข้าฉาย : 12 ธันวาคม 2020
นักแสดง : ชินฮเยซอน, คิมแทอู, คิมจองฮยอน, แบจงอ๊ก
รีวิวเรื่องย่อ : ซีรี่ย์เกาหลีพล็อตสุดปั่น ผสมผสานความโรแมนติกคอเมดี้อย่างลงตัว เรื่องราวของ บงฮวานชายผู้มีชีวิตพลิกผัน ดันเข้ามาอยู่ในร่างของคิมโซยง ราชินีในยุคโชซอน ที่ต้องปรับตัวและพบเจอกับสถานการณ์ความรักปลอม ๆ ระหว่างเธอกับพระเข้าชอลจง เป็นซีรีย์เกาหลีย้อนยุคที่กลมกล่อม และเหมาะกับทุกเพศทุกวัย ความตลกคอเมดี้ในเรื่องแต่ละส่วนก็ทำออกมาได้น่ารัก อมยิ้มกันไปตาม ๆ กัน เป็นซีรี่ย์เกาหลีที่ดูแล้วผ่อนคลาย

5. Something in the Rain

ซีรีย์เกาหลีโรแมนติก

ขอบคุณรูปภาพจาก viu

วันที่เข้าฉาย : 30 มีนาคม 2018
นักแสดง : Son Ye Jin, Jung Hae In, Jang So Yeon
รีวิวเรื่องย่อ : จินอาหญิงสาวอายุ 30+ เล่าชีวิตของสาวในร้านแฟรนไชส์กาแฟกับคนรอบตัว พบเจอกับจุนฮีหนุ่มน้อยน้องชายของเพื่อน เป็นซีรีย์เกาหลีโรแมนติก ที่พูดถึงความสัมพันธ์ต้องห้าม ความรักต่างวัยที่ทำถึง และมอบความอบอุ่นหัวใจไม่น้อย ทั้งเคมีของพระนางที่ตัวซีรี่ส์เกาหลีเรื่องนี้ ออกแบบสถานการณ์และความสัมพันธ์ที่ทำให้เราตกหลุมรัก แต่ก็ไม่ทิ้งปมชีวิตที่ทำให้ตัวละครแบนราบ กับซีรี่ส์เกาหลีที่เสิร์ฟความเป็นธรรมชาติ

6. The Escape of the Seven เกมล้างบาป ชีวิตแลกชีวิต

ซีรี่ย์เกาหลี แนะนํา

ขอบคุณรูปภาพจาก viu

วันที่เข้าฉาย : 15 กันยายน 2023
นักแสดง : Uhm Ki Joon, Hwang Jung Eum, Lee Yu Bi, Lee Joon, Shin Eun Kyung
รีวิวเรื่องย่อ : ซีรี่ย์เกาหลีที่รับชมได้เฉพาะใน Viu เท่านั้น กับเรื่องราวของเด็กสาวที่สูญหาย นำไปสู่การเชื่อมโยงของคน 7 คนที่ต้องมารวมตัวและพบเจอกับเรื่องราวสุดระทึกขวัญ และการดำดิ่งไปสู่ความเป็นมนุษย์และนำไปสู่การสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ในคราวเดียวกัน ถือเป็นซีรี่ย์เกาหลี แนะนำที่มีทั้งความระทึก มีสืบสวนสอบสวน และที่สำคัญที่สุด The Escape of the Seven: Resurrection ซีรีย์ภาคใหม่ก็กำลังจะมา เตรียมตัวดูไว้ก่อนได้เลย

7. The Story of Park's Marriage Contract สัญญารักข้ามเวลา 

ซีรี่ย์เกาหลี ดูฟรี

ขอบคุณรูปภาพจาก viu

วันที่เข้าฉาย : 24 พฤศจิกายน 2023
นักแสดง : Bae In Hyuk, Lee Se Young, Yoo Seon Ho, Joo Hyun Young,
รีวิวเรื่องย่อ : ยอนอู หญิงสาวที่ถูกลักพาตัวไปโยนลงบ่อน้ำหลังสามีของเธอจากไปหลังคืนแต่งงาน และเมื่อเธอตื่นมา ก็พบว่าตัวเองอยู่ในโลกปัจจุบัน และได้ไปพบกับชายที่หน้าตาละม้ายเดียวกันกับสามีของเธอ เหตุการณ์อลมานได้เกิดขึ้น กลายเป็นการแต่งงานปลอม ๆ ที่ต้องคอยเอาใจช่วยทั้งคู่ต่อไป ถือเป็นซีรี่ย์เกาหลีเกิดใหม่ในแบบครบสูตรความโรแมนติก และตัวซีรี่ย์เป็นออริจินัล Viu สามารถหาซีรี่ย์เกาหลี ดูฟรีเรื่องนี้ได้ จิกหมอนดูได้เลย

สรุป ซีรี่ย์เกาหลี ใช้เวลาว่างกับความสุขเต็มอารมณ์

โดยภาพรวมแล้วซีรี่ย์เกาหลีที่ได้แนะนำในทั้งตัวที่กำลังฉายในปัจจุบัน, จบไปแล้ว หรือกำลังจะมีภาคต่อที่กำลังจะมาในปีนี้ สามารถหาดูได้ง่าย และดูผ่านมือถือ หรือสมาร์ตทีวีได้ ซีรี่ย์เกาหลีออนไลน์มีหลากหลายแนว ทั้งระทึกขวัญ ไปจนถึงคอเมดี้เบาสมอง เป็นทางเลือกในวันหยุดที่ต้องการพักผ่อนหาอะไรทำไม่ได้ ซีรี่ย์เกาหลีถือว่าตอบโจทย์วันสบาย สามารถทำกับครอบครัว หรือคู่รัก ดูจบก็มีเรื่องให้ถกให้พูดคุยกันต่อ

19
น้ำเกลือ

ปัจจุบันน้ำเกลือ (Normal Saline Solution ) หรือ น้ำเกลือใช้ภายนอก เป็นยาสามัญประจำบ้านที่หลายๆท่านรู้จักอย่างแพร่หลาย ที่สามารถช่วยล้างทำความสะอาดบาดแผลจากอุบัติเหตุ ยังช่วยทำความสะอาดสิ่งตกค้าง สิ่งสกปรกต่างๆบริเวณรอบบาดแผลให้สะอาด ทั้งในปัจจุบันยังสามารถช่วยในการทำความสะอาดจมูกของเด็กเล็กขณะเป็นไข้หวัด แม้แต่ช่วยทุเลาอาการคัดจมูกเรื้อรัง อาการไซนัสในผู้ใหญ่ เพื่อช่วยขจัดสิ่งอุดตันในโพรงจมูกให้รู้สึกหายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น

แต่ประโยชน์ของน้ำเกลือ มีเพียงเท่านี้จริงไหม วันนี้เราไขความลับประโยชน์ต่างๆของน้ำเกลือ ตามบทความดังต่อนี้กันเถอะ

ทำความรู้จักกับน้ำเกลือ น้ำเกลือ คืออะไร?

น้ำเกลือ (Normal Saline Solution ) หรือ น้ำเกลือใช้ภายนอก คือ สารละลายโซเดียมคลอไรด์ 0.9 % ที่หาซื้อได้ตามร้านค้า ร้านขายยาทั่วไป ปราศจากเชื้อ ไม่มีสี ซึ่งใช้ในทางการแพทย์มายาวนาน เนื่องจากมีความเข้มข้นของสารละลายของเกลือภายในร่างกายของคน จึงเป็นที่นิยมใช้ในการผสมยาเข้าสู่กระแสเลือด รวมทั้งสามารถใช้ทำความสะอาดบาดแผล ยับยั้งป้องกันการเติบโตของแบคทีเรีย

น้ำเกลือสามารถใช้แบบไหนได้บ้าง

ประโยชน์น้ำเกลือ

สามารถใช้น้ำเกลือได้ดังต่อไปนี้

1. ใช้น้ำเกลือในการล้างบาดแผล ล้างแผลผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลสดจากอุบัติเหตุ หกล้ม โดยไม่กัดผิว
2. ใช้น้ำเกลือในการล้างคอนแทคเลนส์ สามารถใช้ทำความสะอาดสิ่งสกปรก เพื่อช่วยลดการระคายเคือง แต่ห้ามนำน้ำเกลือแช่แทนน้ำยาคอนแทคเลนส์เด็ดขาด
3. ใช้น้ำเกลือในการล้างดวงตา หากฝุ่น ผง เข้าตา สามารถนำน้ำเกลือที่ผ่านการฆ่าเชื้อทำความสะอาดดวงตาโดยไม่เป็นอันตรายต่อดวงตานั้นเอง
4. ใช้น้ำเกลือในการล้างจมูกในเด็ก และผู้ใหญ่ เพื่อชำระล้างเชื้อโรค แบคทีเรียที่อยู่ในโพรงจมูก ลดการคัดแน่นจมูก ลดความเหนียวจากน้ำมูกในเด็กเล็กจากอาการหวัดต่างๆ เพิ่มความชุ่มชื้นในเยื่อจมูก แม้แต่ลดอาการคัดจมูกจากอาการไซนัสในผู้ใหญ่ เพื่อให้หายใจได้สะดวกมากยิ่งขึ้นนั้นเอง
5. ใช้น้ำเกลือในการล้าง /บ้วนปาก เพื่อช่วยลดอาการร้อนใน ลดกลิ่นปาก เหมาะผู้ที่มีแผลในปากบ่อยๆจากการจัดฟัน
6.ใช้น้ำเกลือในการล้าง หรือเช็ดความสะอาดใบหน้า เพื่อขจัดสิ่งสกปรกจากฝุ่น อากาศจากภายนอก เพื่อลดการระคายเคือง เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าได้อีกด้วย

วิธีการใช้น้ำเกลือ

  • การดูแลผิวหน้า  : สามารถใช้น้ำเกลือทำความสะอาดใบหน้า โดยใช้เป็นโทนเนอร์หลังการล้างหน้าได้ หยดน้ำเกลือลงบนสำลีพอให้ชุ่ม แล้วจึงเช็ดทำความสะอาดทั่วบริเวณผิวหน้า ตามด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่นๆได้ตามต้องการ

  • การทำความสะอาดบาดแผล
    1. หากเป็นบาดแผลทั่วไป สามารถใช้น้ำเกลือทำความสะอาดบริเวณรอบๆบาดแผล รวมทั้งบริเวณแผลให้สะอาดแล้วจึงปิดบาดแผล
    2.หากเป็นบาดแผลผ่าตัด ส่วนใหญ่แผลผ่าตัดทางแพทย์หรือพยาบาลจะทำการปิดบาดแผล ไม่ให้ท่านเกา/แคะบริเวณแผล แต่ท่านสามารถนำน้ำเกลือมาทำความสะอาดบริเวณรอบบาดแผลเพื่อลดการระคายเคือง รักษาความสะอาดรอบบาดแผลได้นั้นเอง

  • การใช้น้ำเกลือเพื่อทำความสะอาดจมูก : สามารถนำน้ำเกลือใส่หลอดฉีดยา (Syringe) ตามขนาดที่ต้องการ โดยฉีดน้ำเกลือเบาๆให้ไหลเข้าไปในโพรงจมูก ช่วยให้ชะล้างน้ำมูก สิ่งสกปรกต่างๆให้ออกมาได้

น้ำเกลือมีอันตรายหรือไม่ แล้วมีผลข้างเคียงไหม

ในกรณีที่ท่านใช้น้ำเกลือเพื่อทำความสะอาดใบหน้า รวมทั้งผู้ที่เป็นสิว การใช้น้ำเกลือทำความสะอาดอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองผิวสำหรับผู้มีผิวบอบบางแพ้สิ่งต่างๆง่าย หรือผู้มีผิวแห้งที่ส่งผลให้เกลือตกค้างบนใบหน้าได้ ดังนั้นควรใช้น้ำเกลือทำความสะอาดในช่วงบริเวณที่เป็นสิว เพื่อให้สิวเกิดการยุบตัวลงได้ หลังจากสิวในบริเวณนั้นหายควรหยุดใช้ทันที

ข้อควรระวังในการใช้น้ำเกลือคืออะไร ?

ข้อควรระวังในการใช้น้ำเกลือล้างแผล ควรอ่านฉลากของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทุกครั้ง พร้อมบันทึกวันที่เปิดใช้ เนื่องจากเมื่อเปิดใช้น้ำเกลือแล้ว อาจจะมีแบคทีเรีย / เชื้อโรคที่สะสมในอากาศได้เข้าไปในผลิตภัณฑ์ที่บรรจุน้ำเกลือได้ หากท่านมีอาการบวมแดง เจ็บบริเวณแผล พร้อมกับมีหนองไหลออกจากบาดแผล ซึ่งอาจจะมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ในบริเวณแผลได้ ท่านควรรีบเข้าพบแพทย์ในทันทีเพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม

เราสามารถกินน้ำเกลือได้หรือไม่

หากในกรณีท่านล้างจมูกแล้วเกิดการสำลัก ทั้งอาจจะเผลอกินน้ำเกลือเข้าไป คงมีคำถามที่ค้างคาว่าน้ำเกลือจะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่นั้น

คำตอบ ก็คือ ไม่ส่งผลอันตรายใดๆต่อร่างกายค่ะ เนื่องจากน้ำเกลือมีตัวยาโซเดียมคลอไรด์ 0.9 % ซึ่งมีความเข้มข้นเท่ากับน้ำในเซลล์ของร่างกาย และน้ำเกลือยังผ่านการทำให้ปลอดเชื้อจากความร้อน จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายนั้นเอง

สามารถน้ำเกลือใช้ล้างตาได้ไหม ?

น้ำเกลือใช้ล้างตาได้ไหม

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างตานั้น สามารถใช้ได้ทั้งน้ำยาล้างตา หรือน้ำเกลือได้ แต่ควรต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากเชื้อ พร้อมทั้งไม่เติมวัตถุกันเสีย โดยมีคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองดวงตาได้นั้นเอง

  • น้ำเกลือ สามารถใช้ได้ในกรณีหากมีสิ่งแปลกปลอม / สารเคมีกระเด็นเข้าตา
  • น้ำยาล้างตา สามารถใช้ได้ในกรณีมีอาการตาแดง ตาอักเสบ เคืองตา จากฝุ่นควัน ฝุ่นผง สิ่งสกปรกเข้าที่ตา

สามารถทำน้ำเกลือ ด้วยตนเองได้ไหม?

หากท่านต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ท่านสามารถทำน้ำเกลือที่สามารถใช้ในการล้างจมูกได้ค่ะ โดยมีสูตรและวิธีทำง่ายๆดังต่อไปนี้

  • ส่วนประกอบ : น้ำต้มสุก/น้ำสะอาด 500 ซีซี(ประมาณครึ่งลิตร) , เกลือสะอาด 1 ช้อนชา และอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับใช้ฉีดน้ำเกลือล้างจมูก รวมทั้งอุปกรณ์เก็บน้ำเกลือ
  • วิธีทำ : ใส่เกลือสะอาด 1 ช้อนชา ลงในน้ำต้มสุก /น้ำสะอาด 500 ซีซี แล้วคนให้เข้ากัน จนกว่าเกลือที่ผสมลงไปจะละลาย แล้วจึงเทใส่อุปกรณ์ที่ต้องการใช้ แล้วล้างจมูกได้เลยค่ะ

ในส่วนของการทำน้ำเกลือเพื่อล้างแผลท่านสามารถทำได้เช่นเดียวกับการทำน้ำเกลือล้างจมูก เพียงใช้ น้ำต้มสุก/น้ำสะอาด ประมาณ 3.8 ลิตร(ห้ามใช้น้ำทะเล / น้ำบาดาลในการทำ) ต้มจนสุกประมาณ 5 นาที แล้วจึงเทเกลือบริสุทธิ์ 8 ช้อนชา คนให้เกลือละลาย โดยน้ำเกลือสำหรับล้างแผลจะมีอายุใช้งานได้ประมาณ 1 สัปดาห์ค่ะ (เก็บในอุณหภูมิปกติ)

น้ำเกลือที่ได้รับความนิยมในท้องตลาด มียี่ห้อไหนกันบ้าง

น้ำเกลือ (normal saline solution) มีด้วยกันหลากหลายยี่ห้อ ที่มีความปลอดภัยตามมาตรฐาน และอ่อนโยนตามท้องตลาดทั่วไป จะมียี่ห้อไหนบ้างที่ได้รับความนิยม ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1. น้ำเกลือของ KLEAN & KARE

น้ำเกลือยี่ห้อ KLEAN & KARE

ขอบคุณภาพจาก klean and kare

รายละเอียด : น้ำเกลือปราศจากเชื้อ ผสมตัวยาโซเดียมคลอไรด์ 0.9%   มีอายุการใช้งาน 5 ปี (หากยังไม่เปิดใช้งาน) ในกรณีเปิดใช้งานมีอายุการใช้งานสูงสุด 30 วันนับจากวันที่เปิดครั้งแรก สามารถใช้ทำความสะอาดแผล ล้างจมูก ทำความสะอาดใบหน้า
ขนาดบรรจุ :  100 มล. / 200 มล. / 500 มล. / 1,000 มล.

2. น้ำเกลือของ Sofclens

น้ำเกลือยี่ห้อ Sofclens
ขอบคุณภาพจาก watsons

รายละเอียด : น้ำเกลือซอฟคลีน ผลิตโดยผ่านกระบวนการสเตอริไลส์ ปราศจากเชื้อ สามารถใช้ล้างจมูก ล้างตา
ขนาดบรรจุ :  100 มล. / 500 มล. / 1,000 มล.

3. น้ำเกลือของ Otsuka Seishoku Normal Saline 

น้ำเกลือยี่ห้อ Otsuka Seishoku

ขอบคุณภาพจาก theasianparent

รายละเอียด : น้ำเกลือของโอซูก้า เซโชกุ สามารถนำมาล้างจมูก เช็ดทำความสะอาดใบหน้า รักษา ช่วยลดการติดเชื้อจากบาดแผลได้
ขนาดบรรจุ : 1000 มล.

4. น้ำเกลือล้างแผล ตราเสือดาว  ห้างขายยาตราเสือดาว

น้ำเกลือตราเสือดาว ห้างขายยาตราเสือดาว

ขอบคุณภาพจาก shopee

รายละเอียด : น้ำเกลือตราเสือดาว  ช่วยทำความสะอาดบาดแผล โพรงจมูก
ขนาดบรรจุ : 120 มล. / 200 มล.  /  500 มล.

ราคาน้ำเกลือจะอยู่ที่เท่าไหร่
ราคาของน้ำเกลือ (normal saline solution) จะขึ้นอยู่กับขนาดของขวดบรรจุภัณฑ์  ตามแต่ละแหล่งที่ขายน้ำเกลือนั้นๆ ซึ่งแบ่งตามขนาดบรรจุได้ดังนี้
 
  • น้ำเกลือ (normal saline solution) ขนาด 100 มล. ราคาตามร้านขายยาทั่วไป ประมาณ 25 - 30 บาท
  • น้ำเกลือ (normal saline solution) ขนาด 200 มล.  ราคาตามร้านขายยาทั่วไป ประมาณ 35 - 40 บาท
  • น้ำเกลือ (normal saline solution) ขนาด 500 มล.  ราคาตามร้านขายยาทั่วไป ประมาณ 45 – 50 บาท
  • น้ำเกลือ (normal saline solution) ขนาด 1000 มล. ราคาตามร้านขายยาทั่วไป ประมาณ 55 – 65 บาท

สรุป

จะเห็นว่าน้ำเกลือมีประโยชน์ที่สามารถใช้สอยได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดบาดแผล การทำความสะอาดใบหน้า ทั้งในผู้ที่เป็นสิว หรือแม้แต่การล้างจมูกในเด็กเล็ก และผู้ใหญ่  แต่อย่างไรก็ดีหากเปิดใช้น้ำเกลือจากผลิตภัณฑ์แล้วควรเขียนวันที่เปิดใช้งานครั้งแรก ซึ่งสามารถช่วยให้ท่านคำนวณวันหมดอายุของน้ำเกลือที่ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นเอง

20
 ความรู้ทางการเงิน

เงินทองถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ใช้จ่ายเป็นประจำทุกวัน หากใช้จ่ายอย่างไม่ระวังก็อาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ จนทำให้บางคนล้มละลายได้เลยทีเดียว ดังนั้น ความรู้ทางการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ทุกคนมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถบริหารจัดการการเงินได้อย่างมั่นใจ พร้อมทั้งช่วยลงทุน เพิ่มผลประกอบการอย่างมั่นคง เลือกกู้ยืมสินเชื่อได้เหมาะสมกับตนเอง เข้าใจสิทธิการลดหย่อนภาษี ทำให้สามารถวางแผนการเงินส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความหมายและความสำคัญของความรู้ทางการเงิน

Financial literacy คือ

ความรู้ทางการเงินถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในปัจจุบัน ที่จะช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคง เพราะเรื่องการเงิน ไม่ได้สำคัญเพียงแค่การออมเงิน แต่ยังรวมถึงโครงสร้างและการบริหารจัดการต่าง ๆ อีกด้วย

ความรู้ทางการเงิน หมายถึงอะไร?
ความรู้ทางการเงินหรือ Financial literacy คือ ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการบริหารจัดการทางด้านการเงิน เพื่อให้สามารถวางแผนการเงินส่วนตัวในการดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่น และเตรียมความพร้อมทางการเงินในอนาคต ลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างการสร้างหนี้ เพราะหากไม่เตรียมความพร้อมให้ดี หรือมีความรู้ด้านการเงินไม่มากพอก็อาจจะทำให้มีปัญหากู้ยืมในภายหลังได้ เช่น

  • การจัดทำงบประมาณใช้จ่าย
  • การเลือกลงทุนในกองทุนหรือสินทรัพย์ต่าง ๆ
  • การตัดสินใจกู้ยืมเงิน
  • การจัดทำภาษี
  • การบริหารจัดการการเงินส่วนตัว
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทต่าง ๆ เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อ ประกันชีวิต เป็นต้น

ดังนั้น การมีความรู้ทางการเงินจะช่วยให้สามารถบริหารจัดการ ตัดสินใจเกี่ยวกับทางการเงินได้อย่างละเอียด รอบคอบ ทำให้ชีวิตมีสุขภาพทางการเงินที่แข็งแรง มั่นคง และยั่งยืน

ความรู้ทางการเงินสำคัญอย่างไร?
เงินเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ความรู้ทางการเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพราะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน รวมถึงความเสี่ยงทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย โดยสามารถสรุปความสำคัญของความรู้เรื่องการเงินได้ ดังนี้

  • ความรู้ทางการเงินช่วยในการวางแผนชีวิตและตั้งเป้าหมายทางการเงิน เพราะการมีแผนทางการเงินที่ดี ทำให้มีการบริหารจัดการทางการเงินที่ดี ส่งผลให้มีโอกาสบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จมากขึ้นและเร็วขึ้น
  • ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนและการบริหารจัดการเงินที่ถูกต้องจากความรู้ทางด้านการเงินจะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการสูญเสียเงินอย่างไม่คาดคิด
  • ความรู้เรื่องการเงินเบื้องต้นช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับวิธีการจัดการหนี้ ทำให้สามารถกำจัดหนี้ โดยใช้แผนทางการเงินที่เหมาะสม ป้องกันไม่ให้หนี้กลายเป็นภาระทางการเงิน
  • ความรู้ทางการเงินช่วยในการเลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างทรัพย์สินและเพิ่มมูลค่าทางการเงินในระยะยาว
  • ความรู้การเงินช่วยให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการทำประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ซึ่งถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ฉุกเฉินหรืออาการเจ็บไข้ได้ป่วย
  • การวางแผนการเงินส่วนตัวด้วยความรู้ทางการเงิน ทำสามารถจัดการกับเหตุการณ์ทางการเงินที่ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ความรู้ด้านการเงินช่วยในการปรับตัวและตอบสนองต่อเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น เช่น การตกงาน, การเปลี่ยนงาน, การเปลี่ยนแปลงในสถานะครอบครัว
  • ความรู้ทางการเงินทำให้ตัดสินใจเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินได้ดีขึ้น สร้างนิสัยให้สามารถใช้เงินได้อย่างถูกต้อง
  • เข้าใจเกี่ยวกับหนี้สิน จึงสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หรือไม่สร้างหนี้เสีย

เมื่อทุกคนมีความรู้ทางการเงินแล้ว ก็จะทำให้สังคมเกิดความเข้มแข็ง ด้วยทุกคนสามารถบริหารจัดการใช้เงินเป็น เลี้ยงดูตัวเองได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตและสร้างสุขภาพทางการเงินที่มั่นคง ทั้งต่อตนเองและสังคมในระยะยาว

องค์ประกอบของความรู้ทางการเงิน

ความรู้ด้านการเงิน

ความรู้ทางการเงินประกอบด้วยหลายองค์ประกอบหลักที่ช่วยให้บุคคลสามารถบริหารจัดการเงินส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยองค์ประกอบหลักของ Financial literacy คือ

1. การจัดทำงบประมาณ (Budgeting) เป็นความรู้ทางการเงินขั้นพื้นฐาน เพราะเป็นการตรวจสอบสถานะการเงินของตนเองอย่างละเอียด โดยทำเป็นแผนการใช้จ่ายเงินในแต่ละรายการตามรายได้ที่มี เพื่อให้การบริหารเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการจัดทำงบประมาณนี้ แบ่งออกเป็น ส่วนหลัก คือ งบค่าใช้จ่าย งบในการลงทุน งบในการออม และงบในการให้ (บริจาค) ซึ่งมีวิธีบริหารจัดการตามความรู้การเงิน คือ ใช้เงินในการชำระหนี้เสียก่อน แล้วจึงนำเงินที่เหลือมาใช้ ก่อนจะเก็บออม และลงทุนตามลำดับ

2.การลงทุน (Investing) เป็นอีกองค์ประกอบสำคัญของความรู้ทางการเงิน เพราะการลงทุน คือ การสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ดังนั้น ก่อนลงทุนจึงควรศึกษารายละเอียดให้ดี เพราะการลงทุนเองก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน หากเตรียมความพร้อมมาดี ก็ช่วยเพิ่มพูนเงินที่มีอยู่ได้ โดยข้อควรรู้เกี่ยวกับการลงทุน คือ อัตราดอกเบี้ย ระดับราคา การกระจายความเสี่ยง การกระจายการลงทุน และดัชนีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

3.การกู้ยืม (Loan) เป็นความรู้เรื่องการเงินเบื้องต้น ซึ่งจะต้องทราบเกี่ยวกับรายละเอียดของดอกเบี้ยประเภทต่าง ๆ เช่น ดอกเบี้ยคงที่ ดอกเบี้ยลอยตัว ดอกเบี้ยทบต้น  รวมถึงข้อตกลงในการกู้ยืม และระยะเวลาการจ่ายหนี้คืน โดยสิ่งเหล่านี้ เป็นสาระสำคัญที่ต้องพิจารณาเงื่อนไขให้ดีก่อนตกลงกู้ยืม ว่า ตนเองสามารถผ่อนชำระหรือปิดหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ เมื่อเงินต้นรวมกับอัตราดอกเบี้ยแล้ว เป็นเงินก้อนที่สามารถชำระไหวหรือไม่

4.การเข้าใจเกี่ยวกับภาษี (Tax Knowledge) โดยความรู้ทางการเงินจะอธิบายเกี่ยวกับความรู้ในการจ่ายภาษี การคำนวณภาษีเงินได้จากงานประจำหรือช่องทางอื่น เช่น ค่าเช่า เงินรางวัล รายได้เสริม รวมถึงภาษีประเภทต่าง ๆ เช่น ภาษีมรดก ภาษีที่ดิน และสิทธิในการลดหย่อนภาษีต่าง ๆ เช่น เงินบริจาค การทำประกัน การดูแลบิดามารดาหรือบุตร เป็นต้น เพราะความรู้การเงินเหล่านี้ จะช่วยให้ใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนได้อย่างเต็มที่ ทำให้มีเงินเหลือสำหรับเก็บออมมากขึ้น

5.การวางแผนการเงินส่วนตัว (Financial Planning) เป็นทักษะในการบริหารการเงินส่วนตัว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพจากความรู้ทางการเงินในด้านต่าง ๆ ทำให้สามารถใช้ชีวิตทางการเงินได้อย่างมั่นคงและเหมาะสม ครบวงจรทางการเงิน เริ่มตั้งแต่ประเมินสถานะทางการเงินของตนเอง ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ออมเงินให้มากขึ้นด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ อย่างมีความรู้ หากต้องการกู้ยืมก็จะพิจารณาและตัดสินใจเลือกสินเชื่อได้อย่างเหมาะสมกับบริบทการเงินของตนเอง พร้อมทั้งใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีอย่างคุ้มค่า

นอกเหนือจาก 5 องค์ประกอบหลักของความรู้ทางการเงินข้างต้นแล้ว ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความรู้เรื่องการเงินเบื้องต้นอีก ได้แก่
 
  • การจัดการหนี้ (Debt Management) เป็นความรู้ทางการเงินที่ช่วยให้สามารถวางแผนการเงินได้อย่างมั่นคง โดยจะต้องทราบยอดหนี้ทั้งหมด พร้อมตรวจสอบดอกเบี้ยและเงื่อนไขการชำระหนี้แต่ละรายการ กำหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการหนี้ให้ชัดเจน เช่น ปิดหนี้ในระยะเวลาที่กำหนด ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้เงิน หรือการปรับโครงสร้างหนี้ แล้วจึงลำดับความสำคัญและวางแผนการชำระหนี้ในแต่ละเดือน หมั่นกำกับติดตามผลการวางแผน เพื่อให้สามารถปรับแผนได้ตามสถานการณ์การเงินในแต่ละช่วงเวลา
  • การออม (Saving) เป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางการเงินตามความรู้ด้านการเงิน เริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์ของการออมที่ชัดเจน เช่น เพื่อการศึกษา การท่องเที่ยว กรณีฉุกเฉิน แล้วกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการออมในแต่ละรอบ โดยเลือกช่องทางการออมให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง เช่น บัญชีออมทรัพย์ การลงทุน หรือกองทุนสำรองฉุกเฉิน
  • การประกัน (Insurance) เป็นอีกหนึ่งความรู้ทางการเงินที่สำคัญ เพราะการทำประกันเป็นการปกป้องตัวเองและครอบครัวจากความเสี่ยงทางการเงินจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ทั้งอุบัติเหตุและอาการเจ็บป่วย เริ่มจากพิจารณาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น แล้วเลือกประกันที่ตรงกับความเสี่ยงและความต้องการ ไมว่าจะเป็นประกันสุขภาพ, ประกันชีวิต หรือประกันรถ โปรดตรวจสอบเงื่อนไขการชำระเงิน, ระยะเวลาคุ้มครอง และความคุ้มครองที่ได้รับ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
  • การเข้าใจเกี่ยวกับการเตรียมสำรองเงิน (Emergency Fund) เป็นส่วนสำคัญของความรู้เรื่องการเงิน เพื่อป้องกันตนเองจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เพื่อเตรียมพร้อมทางการเงินในกรณีฉุกเฉิน เช่น การตกงาน ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าซ่อมบำรุงฉุกเฉินในบ้าน เริ่มจากกำหนดจำนวนเงินสำรอง โดยใช้สัดส่วนเป็นรายจ่ายประจำประมาณ 3 - 6 เดือน พิจารณาจากรายจ่ายประจำในแต่ละเดือน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร แล้วสำรองเงินไว้ในบัญชีที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและไม่มีความเสี่ยง สิ่งสำคัญ คือ ใช้เงินสำรองเฉพาะในกรณีฉุกเฉินจริง ๆ ไม่นำออกมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
  • การปรับตัวต่อเปลี่ยนแปลงทางการเงิน สำหรับความรู้ทางการเงิน คือ การทราบถึงสถานการณ์การเงินในปัจจุบัน สามารถปรับแผนการเงินได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเป็นเพราะหน้าที่การงาน ครอบครัว หรือเศรษฐกิจต่าง ๆ ทำให้สามารถการเรียนรู้และพัฒนาทักษะในการบริหารเงินได้อย่างมั่นคงในทุกสถานการณ์

ความรู้ทางการเงินกับการแก้ปัญหาทางการเงิน

ความรู้เรื่องการเงิน

การมีความรู้ทางการเงินช่วยแก้ปัญหาทางการเงินได้อย่างเห็นผล ทำให้สามารถใช้เงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถอธิบายประโยชน์ของความรู้ด้านการเงิน เช่น

  • ความรู้ทางการเงินช่วยวางแผนการเงินส่วนตัวและการกำหนดเป้าหมายทางการเงิน ทำให้สามารถควบคุมการใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี
  • ความเข้าใจเกี่ยวกับหนี้ของความรู้เรื่องการเงิน ทำให้สามารถบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดทางการเงินที่เกิดขึ้นจากหนี้สินได้อีกด้วย
  • ความรู้ทางด้านการเงินช่วยให้ลงทุนอย่างมีสติ โดยเลือกลงทุนในทรัพย์สินที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ทางการเงินและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
  • ช่วยให้เข้าใจถึงความสำคัญของการมีเงินสำรอง เพื่อป้องกันสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดต่าง ๆ
  • ความรู้ทางการเงินช่วยให้สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อสถานการณ์ทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี
  • ช่วยในการเลือกทำประกันที่เหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นตามบริบทของแต่ละคน
  • ความรู้ทางการเงินทำให้เข้าใจถึงหลักการการลงทุนและการคำนวณความเสี่ยงช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินในการลงทุน
  • ความรู้เรื่องการเงินเบื้องต้นช่วยในการวางแผนทางภาษี เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีที่ต้องชำระ

สรุปเกี่ยวกับความรู้ทางการเงิน
ความรู้ทางการเงินหรือ Financial literacy คือ ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการบริหารจัดการทางด้านการเงินอย่างครบวงจร ตั้งแต่จัดทำงบประมาณ การลงทุน กู้ยืม ภาษี และวางแผนการบริหารเงินส่วนตัว หากใครต้องการศึกษาความรู้เพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลด MAKE by KBank ซึ่งเป็นแอปที่ใช้ออมเงินด้วยฟีเจอร์หลากหลาย ช่วยให้ออมเงินได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีความรู้ดี ๆ จากผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ด้านการเงินอย่างไม่มีจำกัดอีกด้วย ทั้งช่วยออมเงินและเพิ่มความรู้ไปในตัว


21
วิธีเก็บเงิน

เงินตราเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้ในทุก ๆ วัน เป็นสาเหตุว่าทำไมทุกคนต้องทำงาน นั่นก็เพื่อให้ได้เงินมาจับจ่ายใช้สอย แต่หากที่เงินได้มานั้น ไม่ได้มีการบริหารให้ดี ใช้จนหมด ก็คงไม่เป็นการดีสำหรับอนาคต ดังนั้นการเรียนรู้วิธีเก็บเงิน ได้เงินมาเท่าไหร่ควรใช้จ่ายอย่างไร ควรมีการแบ่งเงินเก็บ หรือใช้สูตรเก็บเงินอะไร บทความนี้จะมาแชร์ 5 วิธีเก็บเงิน ตัวช่วยเพื่อให้คุณสามารถมีเงินเก็บได้มากยิ่งขึ้น

ทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับวิธีเก็บเงิน ?
เพราะในแต่ละวัน เราต้องพบเจอหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ไม่สามารถคาดเดาได้ ยกตัวอย่างเช่น ล้มป่วยจนไม่สามารถทำงานต่อได้, อุบัติเหตุที่ทำให้ต้องเสียค่ารักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเกิดกับตนเองหรือคนในครอบครัว, ต้องการเงินก้อนเพื่อไปใช้สำหรับการต่อยอดลงทุนทำธุรกิจ และรวมไปถึงเหตุฉุกเฉินอื่นที่จำเป็นต้องใช้เงิน และรู้วิธีเก็บเงินแบบจริงจัง

เป็นเหตุผลให้การมีเงินเก็บสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินหรือเงินเย็นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ดังนั้นเราทุกคนถึงควรรู้จักวิธีเก็บเงินที่ถูกต้อง เพื่อให้การเก็บเงินสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากไม่มีแนวทางและวิธีเก็บเงินที่ดี ก็อาจเป็นการเสียเวลา ไม่สามารถเห็นผลได้ชัดเจน

ใครบ้างที่ควรเรียนรู้วิธีเก็บเงิน ?
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นไม่ว่าใครต่างก็ควรเรียนรู้วิธีเก็บเงิน เพราะไม่ว่าคุณจะทำอาชีพไหนหรืออายุเท่าไหร่ ทุกคนต่างก็จำเป็นต้องใช้เงิน จำเป็นต้องมีเงินสำรองกันทั้งนั้น โดยเราจะมายกตัวอย่างให้เห็นว่ามีคนกลุ่มไหนบ้างที่จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีเก็บเงินที่ถูกต้อง

- บุคคลทั่วไปที่ทำงานมีรายได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน ข้าราชการ หรือแม้แต่ฟรีแลนซ์ จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีเก็บเงิน เพื่อไม่ให้เงินที่หามาได้ในแต่ละเดือนต้องหมดไปเพราะลืมตัวใช้จ่ายเงินมากเกินไป

- บุคคลที่มีอายุมาก ใกล้เกษียณอายุ หรือเกษียณอายุแล้ว เพราะว่าคนกลุ่มนี้กำลังจะไม่สามารถหารายได้เหมือนแต่ก่อน ดังนั้นควรมีวิธีการเก็บเงินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้มีเงินใช้เพียงพอในช่วงบั้นปลาย

- บุคคลที่ต้องการทำธุรกิจ และเหล่าผู้ประกอบการ คนกลุ่มนี้จำเป็นต้องใช้เงินมาก เพราะการดำเนินกิจการต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้เงิน หากมีไม่เพียงพอก็อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักได้ ดังนั้นควรมีเทคนิคเก็บเงิน กันเงินสำหรับใช้จ่ายฉุกเฉินให้เพียงพอเพื่อรองรับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

- เด็ก ๆ ในช่วงวัยเรียน วัยรุ่น แม้จะยังไม่มีรายได้จากการทำงาน ก็จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีเก็บเงิน เพราะเป็นวัยที่มีความอยากได้หลายสิ่ง หลายอย่าง แต่รายได้นั้นมีจำกัด หากเก็บเงินได้ดี มีความหักห้ามใจในสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ก็จะช่วยให้สามารถซื้อของชิ้นใหญ่กว่าได้

เรียกได้ว่าแทบจะทุกคนเลยที่จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีเก็บเงิน เพราะเมื่อใดก็ตามที่เงินขาดมือ มันจะส่งผลต่อสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน ดังนั้นหากมีวิธีออมเงินที่เหมาะสม ก็การันตีได้เลยว่าไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ไม่คาดฝันแค่ไหนก็สามารถรับมือได้อย่างแน่นอน

5 วิธีเก็บเงิน ไม่ธรรมดา แต่ทำแล้วได้ผลจริง!
ในหัวข้อนี้ เราจะมาแชร์ 5 วิธีเก็บเงินที่ทำแล้วได้ผลจริง อาจจะดูแปลกสำหรับหลายคนแต่หากได้ลองทำตาม เชื่อว่าจะสามารถเก็บเงินได้จริงอย่างแน่นอน โดย 5 วิธีเก็บเงิน ได้ผลจริง มีรายละเอียด ดังนี้

วิธีเก็บเงินให้ได้ผล

เปิดบัญชีเงินเก็บแยกออกไม่ใช้ร่วมกับบัญชีเงินใช้ประจำวัน
เพราะเทคโนโลยีที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องทำให้การจับจ่ายซื้อของในวันนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินสดเท่านั้นสามารถสแกนจ่ายได้ ต่อให้เอาเงินไปเก็บเงินในบัญชีธนาคาร เงินเหล่านั้นก็สามารถนำมาใช้ได้ง่ายแล้ว

ดังนั้นวิธีเก็บเงินแบบแรก ก็คือ ควรเปิดบัญชีฝากประจำแยกออกมา ไม่ใช้ร่วมกับบัญชีที่มีเงินเข้าออกตลอดเวลา เพราะบัญชีฝากประจำ หากจะถอนจำเป็นต้องมีเงื่อนไข เป็นการเพิ่มกระบวนการความยุ่งยาก หากจะถอนเงิน วิธีนี้จะช่วยให้เราสามารถเก็บเงินได้ดีขึ้น เพราะเราจะมีบัญชีเงินฝาก ที่มีแต่เงินเข้า ไม่มีเงินออก

นอกจากนี้การเลือกบัญชีประจำ ก็ควรเลือกจากธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยเงินฝากได้สูง เพราะดอกเบี้ยจากธนาคารต่าง ๆ ก็มีความแตกต่างกัน

วิธีเก็บเงิน เปิดบัญชีฝากประจำ

ลดหวยลง หันมาเพิ่มเงินเก็บแทน
การซื้อหวยต่าง ๆ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมไทย เพราะทุกคนต่างก็อยากรวย อยากหาเงินด้วยวิธีง่าย ๆ ทำให้ทุกคนต่างกันซื้อหวย และหวังว่าจะถูกรางวัลใหญ่ แต่มันมีโอกาสน้อยอย่างมากที่จะถูกรางวัล หากคุณเป็นที่ซื้อหวยมาก ๆ ลองใช้วิธีนี้

ตั้งกฎให้กับตัวเอง ลดปริมาณการซื้อหวย เมื่อรู้สึกว่าต้องการซื้อหวย พยายามหักห้ามใจ และให้นำเงินก้อนนั้นไปเก็บออมแทน นี่เป็นวิธีเก็บเงินที่จะได้เงินทุกครั้งเมื่อคิดจะซื้อหวย หากสามารถทำได้ เราจะรู้ว่าเราสามารถเก็บออมเงินได้ปริมาณมาก ถ้าเราสามารถหักห้ามใจไม่ซื้อหวย ซึ่งต่อให้ถูก จะคุ้มค่ากับเงินที่ลงไปหรือไม่

วิธีเก็บเงิน ลดหวย

ได้เหรียญมาอย่าใช้ หันมาเก็บแทนดีกว่า
เงินเหรียญหากเก็บไว้กับตัวมาก ๆ ก็หนักกระเป๋า ดังนั้นนำเงินเหล่านั้นไปเก็บไว้อีกที่อาจจะได้ประโยชน์มากกว่า หากเราทำแบบนี้จนเป็นนิสัย ได้เงินทอนจากการซื้อของมาเป็นเหรียญ อย่านำเหรียญเหล่านั้นมาใช้ แต่ให้นำเหรียญเหล่านั้นมาเก็บสะสมเรื่อย ๆ จะให้เราได้จำนวนเงินที่มากพอ วิธีนี้ก็เป็นอีกวิธีเก็บเงินที่สามารถทำได้ง่าย

วิธีเก็บเงิน สะสมเหรียญ

เมื่อได้เงินมา ก่อนใช้ ให้เก็บเสียก่อน
เมื่อได้เงินเดือน หรือเงินค่าแรงมา ด้วยความดีใจ ความลืมตัวอาจจะทำให้ใช้เงินที่ได้มาหมดในเวลาไม่นาน วิธีเก็บเงินที่ได้ประสิทธิภาพ คือ การกันเงินสำหรับเก็บออมก่อนเสมอ เมื่อมีรายได้เข้ามา ใก้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน

1.ก้อนแรก สำหรับใช้หนี้ : ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต เงินที่กู้มา หรือเงินที่หยิบยืมมาจากผู้อื่น จำเป็นต้องจ่ายเจ้าหนี้ให้ครบทั้งหมดตามกำหนดการที่ตกลงการไว้

2.ก้อนที่สอง สำหรับเงินเก็บ : เมื่อใช้หนี้แล้ว ก่อนที่จะเริ่มใช้งาน จำเป็นต้องเก็บเงินเสียก่อน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของวิธีเก็บเงินในข้อนี้ การกันเงินเก็บเงินไว้ โดยเหลือเงินไว้ใช้จ่ายในปริมาณที่เหมาะสม หากเหลือเยอะเกินไป ก็อาจเผลอใช้จนหมดก็เป็นได้ เงินที่ต้องการจะเก็บก็ให้ฝากกับบัญชีฝากประจำ ตามที่กล่าวไว้ในวิธีแรก

3.ก้อนที่สาม สำหรับใช้จ่าย : เงินก้อนนี้ใช้สำหรับจับจ่ายใช้สอยสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่ควรมีส่วนนี้มากเกินไป เพราะทุกวันมีสิ่งยั่วยุที่จะเอาเงินออกจากกระเป๋าเราได้เสมอ ดังนั้นเงินส่วนนี้ เก็บเท่าที่จำเป็น

เงินพิเศษ ไม่เอามาใช้ เก็บอย่างเดียว ได้เงินก้อนใหญ่แน่นอน
ทุกวันนี้หลายคนอาจจะไม่ได้ทำแค่อาชีพเดียว แต่อาจจะมีอาชีพเสริมทำเพิ่ม วิธีเก็บเงินวิธีสุดท้ายที่จะมาแนะนำ สำหรับคนที่มีอาชีพเสริม มีรายได้มากกว่า 1 ช่องทาง หากได้ค่าตอบแทนจากการทำอาชีพเสริมมาแล้ว ให้นำเงินก้อนนั้นไปเป็นเงินเก็บให้หมด และพยายามใช้เฉพาะเงินที่มาจากงานหลัก

อย่างไรก็ตามต้องไม่ฝืนตัวเองเกินไป หากเดือนไหนมีค่าใช้จ่ายมากกว่าที่คาดไว้ ก็นำเงินจากงานเสริมมาใช้ได้เช่นกัน แต่การนำเงินจากรายได้เสริมมาเป็นเงินเก็บเท่านั้นให้พยายามทำให้ย่อยจนเป็นนิสัย

วิธีเก็บเงิน กุญแจสู่ชีวิตที่มั่นคงอย่างยั่งยืน
จากที่กล่าวในบทความนี้ในเรื่องวิธีเก็บเงิน และเทคนิคเก็บเงินแบบต่าง ๆ มั่นใจได้ว่าหากนำไปปฏิบัติตาม จะสามารถเพิ่มปริมาณเงินเก็บได้อย่างแน่นอน การเก็บเงินเป็นสิ่งที่ดี แต่การปฏิบัติตามทุกอย่างโดยไม่ผ่อนผัน ก็อาจทำให้ชีวิตไม่มีความสุข เพราะเชื่อว่าเงินที่หามาได้แต่ละบาทนั้น ได้มาอย่างยากเย็น การนำเงินไปใช้เพื่อหาความสุขใส่ตัวบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ต้องไม่ลืมที่จะหักห้ามใจไม่ใช้ให้มากเกินไป

เราหวังว่าวิธีเก็บเงินที่ได้นำมาเสนอนี้ จะเป็นประโยชน์ ช่วยเป็นแนวทางวิธีการออมเงินให้หลาย ๆ คน เพราะการมีเงินเก็บออมไว้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะใครจะรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีเหตุไม่คาดคิดที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่หรือเปล่า

22
ปัญหาผิวแก้ไขให้ตรงจุดด้วยการฉีดรีจูรัน Rejuran คือเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าซึ่งเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมผิวอย่างปลอดภัยที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ

เทคโนโลยีแก้ไขผิวในปัจจุบันสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้หลายจุดทั่วทั้งใบหน้ารวมถึงผิวหนังส่วนอื่น ๆ ด้วยและยังให้ผลลัพธ์ที่ดีเห็นผลเร็วมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งการทำรีจูรัน (Rejuran) ก็เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีความงามที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สามารถแก้ไขปัญหาผิวในส่วนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

สำหรับใครที่กำลังวางแผนทำรีจูรัน rejuran  ไม่ควรพลาดข้อควรรู้หรือข้อห้ามหลังฉีดรีจูรันและข้อควรรู้อื่น ๆ เกี่ยวกับการฉีดรีจูรัน รวมถึงคำถามยอดฮิตอย่างรีจูรันคืออะไรฉีดตรงไหนได้บ้าง หาคำตอบเหล่านี้ได้ในบทความนี้ที่ได้มัดรวมไว้ให้แล้ว

rejuran ราคาเท่าไหร่

รีจูรัน (Rejuran)  คืออะไร?  rejuran chanel เหมือนกันหรือไม่

รีจูรัน คือ เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าซึ่งเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมผิวอย่างปลอดภัยที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ โดยการใช้ DNA WILD SALMON ที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์ที่สุด นำมาสกัดให้บริสุทธิ์ในรูปสารละลายชนิดใสและเพิ่มจำนวนเซลล์ไฟโบบลาสต์ที่มีหน้าที่ในการสร้างคอลลาเจน ใช้สำหรับฉีดกระตุ้นบนผิวหนังมีจุดเด่นในเรื่องการฟื้นฟูผิวช่วยให้ผิวฉ่ำวาวเรียบเนียน

ยกตัวอย่างรีจูรัน rejuran เกาหลีตัวดังที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นรีจูรันที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศเกาหลีกับรุ่น Rejuran healer หรือที่หลายคนรู้จักกันคือ Rejuran กล่องดำ ซึ่งในรุ่น rejuran healer เป็นทรีตเมนต์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวที่ทำจากโมเลกุลชีวภาพที่เรียกว่าโพลีนิวคลีโอไทด์ (PN) ให้ความปลอดภัยและมั่นใจด้วยการรองรับจากผลวิจัยทางการแพทย์

นอกจากนี้ rejuran chanel ที่หลายคนอาจสงสัยว่าเหมือนหรือแต่แตกต่างกันอย่างไร ขอบอกเลยว่าทั้งสองตัวให้ผลลัพธ์ที่คล้ายกัน จะต่างกันตรงส่วนประกอบของตัวยาและ Meso chanel กับ rejuran ราคาที่ต่างกัน ตัวรีจูรันจะเน้นกระตุ้นสร้างคอลลาเจนเพื่อไปฟื้นฟูซ่อมแซมผิวใหม่เห็นผลไวกว่าแต่ chanel จะเน้นเพิ่มความชุ่มชื้นเห็นผลภายใน 7 วัน

Rejuran เห็นผลจริงไหม มีหลักการทำงานอย่างไร

ฉีด rejuran คือ เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับการวิจัยมาเพื่อฉีดบำรุงฟื้นฟูผิว จะเริ่มจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำการเตรียมผิวโดยการทายาชา ต่อมาจึงทำการฉีดรีจูรัน rejuran ที่ไม่มีการผสมกับสารใดเข้าไปตรงบริเวณผิวหนังแท้ตื้น ๆ หลังฉีดรีจูรันอาจมีตุ่มนูนขึ้นแล้วแต่บุคคล แต่จะสามารถหายได้เองภายในไม่กี่ชั่วโมง

เมื่อทำการฉีดรีจูรันเรียบร้อยแล้วตัวยาจะมีหลักการทำงานคือเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ที่ตัวการสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งการทำรีจูรัน rejuran ให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีควรฉีด 4 ครั้ง หลังฉีดรีจูรัน rejuran หนึ่งครั้งจะเริ่มเห็นผลในช่วง 3-5 วัน จะเห็นได้ชัดว่าผิวหนังเรียบเนียนและมีความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น

เมื่อทำการฉีดรีจูรัน rejuran ครั้งที่ 2 หลังการรักษาผิวหนังจะดูเต่งตึงช่วยกระชับรูขุมขนริ้วรอยดูตื้นขึ้น ต่อมาทำรีจูรันครั้งที่ 3 จะช่วยให้ผิวแข็งแรงยกกระชับขึ้น และในการฉีดรีจูรัน rejuran ครั้งครั้งสุดท้ายครั้งที่ 4 ผิวบริเวณที่ได้รับการรักษาจะให้ความเรียบเนียนผิวแลดูอ่อนเยาว์เห็นผลได้อย่างชัดเจน

rejuran healer กล่องดำ

Rejuran ใช้สำหรับฉีดตรงไหนช่วยเรื่องอะไรบ้าง

rejuran คือเทคโนโลยีตัวดังที่เป็นตัวช่วยฟื้นฟูปัญหาผิวเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างปลอดภัยด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ โดย Rejuran ฉีดได้หลายจุดทั่วใบหน้าและแก้ไขปัญหาได้ดังต่อไปนี้

  • รีจูรันใบหน้า การฉีดรีจูรัน rejuran  บนใบหน้าสามารถช่วยแก้ปัญหาได้หลายจุดอย่างเช่นผิวหน้า หน้าผาก ร่องแก้ม ใต้ตา ซึ่งรีจูรันที่ฉีดบนใบหน้าจะช่วยแก้ปัญหารอยคล้ำใต้ตา ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวของใบหน้าแก้ปัญหาริ้วรอยตื้น ๆ หรือหลุมสิว ช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลงส่งผลให้ผิวหน้าเนียนละเอียดขึ้น
  • รีจูรันหลังมือ สำหรับใครที่มีปัญหามือหยาบแห้งกร้าน ก็สามารถใช้การฉีดรีจูรัน rejuran บนผิวหนัง เพื่อแก้ปัญหามือยาวกระด้างให้กลับมามีผิวที่เรียบเนียนดูสุขภาพดี
  • รีจูรันคอ ผิวหนังบริเวณคอสำหรับคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปจะพบกับปัญหาริ้วรอยบนผิวหนังบริเวณคอซึ่งเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้โดยการฉีดรีจูรันบนผิวบริเวณลำคอจะช่วยยกกระชับลดริ้วรอยบริเวณลำคอได้ และยังช่วยให้ผิวหนังดูอิ่มน้ำเต็งตึงดูอ่อนเยาว์ขึ้น

วางแผนก่อนฉีด Rejuran ต้องรู้ข้อดีหรือข้อเสียมีอะไรบ้าง

แม้ว่าการทำรีจูรัน rejuran ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวเรียกได้ว่ามีข้อดีหลายอย่างด้วยกัน แต่ในข้อดีนี้อาจจะต้องมีข้อควรระวังหรือข้อเสียอยู่บ้าง ใครที่กำลังวางแผนหาข้อมูลก่อนฉีดรีจูรันควรทราบดังต่อไปนี้

  • ข้อดีฉีด rejuran คือ การฉีดรีจูรัน คือการฉีดสารสกัดจากธรรมชาติเข้าสู่ชั้นหนังแท้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนลดริ้วรอยและปัญหาต่าง ๆ บนผิวหนังให้กลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง
  • ข้อเสียฉีด rejuran คือ การฉีดรีจูเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีจะต้องทำการฉีดหลายครั้ง รวมถึงมีข้อควรระวังเกี่ยวกับข้อห้ามหลังฉีดรีจูรัน ได้แก่งดแต่งหน้าหลังฉีดรีจูรัน 24 ชั่วโมง งดดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ งดสูบบุหรี่และหลังฉีดรีจูรันอาจมีรอยช้ำสามารถใช้การประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมลงได้

rejuran คืออะไร

สรุปเกี่ยวกับ Rejuran เหมาะกับใครบ้าง

การฉีดรีจูรัน (Rejuran )เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีการวิจัยและเป็นสารสกัดจากธรรมชาติมีทั้งข้อดีและข้อควรระวังสามารถรักษาด้วยการทำรีจันได้ทั้งคุณผู้ชายและคุณผู้หญิง ทั้งนี้การฉีดรีจูรัน rejuran  ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเข้ารับการรักษาเพราะแต่ละบุคคลมีผิวหน้าที่ต่างกันอาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ ทั้งในปัจจุบันการปรึกษาแพทย์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเพราะมีบริการ SkinX ปรึกษาแพทย์ทางออนไลน์พร้อมทั้งสั่งซื้อยาส่งถึงหน้าบ้าน

23
เก็บเงินซื้อรถ

ไม่ว่าใครเมื่อเข้าสู่อายุวัยทำงานแล้วก็คงอยากมีบ้านมีรถเป็นของตัวเอง หลายคนไม่สามารถซื้อเงินสดได้ทันที อาจจะต้องเก็บเงินดาวน์รถไปก่อน เพื่อให้ได้รถยนต์มาใช้ก่อนนั่นเอง บทความนี้จะบอกเคล็ดลับการเก็บเงินซื้อรถที่ได้ผลแน่นอน หากทำตามวิธีที่กล่าวมานั้น ก็อาจจะทำให้คุณได้รถมาขับก่อนใครแน่ๆ

แนะนำ 5 วิธีเก็บเงินซื้อรถที่ได้ผลดี

5 วิธี เก็บเงินซื้อรถที่หลายคนควรรู้ เพื่อทำให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ มีดังนี้

1. เซ็ตเป้าหมายรถในฝัน พร้อมเปรียบเทียบราคารถยนต์

การเก็บเงินออกรถ ขั้นแรกคือ การเซ็ตเป้าหมายรถที่ตั้งใจจะซื้อ ยกตัวอย่างเช่น ประเภทรถยนต์ ยี่ห้อ รุ่นรถในฝันที่อยากได้ เพื่อเช็กราคาและเปรียบเทียบว่าศูนย์ที่ไหนให้ราคาที่ดีกว่า เงื่อนไขอื่นๆ เช่น ประกันภัย การบริการหลังการขาย ส่วนลด ของแถมพิเศษ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายแฝงนอกเหนือจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในการซื้อรถยนต์ให้กับตัวเองเลยคือ การเห็นสภาพรถจริงและการทดลองขับ ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เป็นการเตือนสติตัวเองให้รู้ว่าเราต้องเก็บเงินซื้อรถเท่าไหร่ เพื่อให้สามารถดาวน์รถหรือผ่อนได้ก่อนหากไม่สามารถออกรถยนต์ด้วยเงินสดได้ วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเก็บเงินขั้นต่ำในแต่ละเดือนแล้ว ยังสร้างแรงผลักดันให้กับตนเองอีกด้วย

2. หาข้อมูลหรือรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการซื้อรถ

วิธีเก็บตังซื้อรถ ขั้นตอนที่สองคือ การศึกษาค่าใช้จ่ายในการซื้อรถยนต์ให้ดีและรอบคอบว่ามีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องอะไรเพิ่มมาอีกบ้างนอกเหนือจากค่าตัวรถ ซึ่งค่าใช้ต่างๆ มีดังนี้

1. เงินดาวน์รถ เป็นเงินก้อนแรกเพื่อวางมัดจำในการออกรถ ยิ่งวางเงินดาวน์มากเท่าไหร่ เงินผ่อนที่ต้องจ่ายก็ยิ่งน้อย ดอกเบี้ยก็น้อยตามลงไปด้วย ดังนั้นควรเก็บเงินดาวน์รถให้ได้มากๆ เพื่อที่จะได้ปิดการผ่อนรถให้จบได้ไวขึ้น ใครที่ไม่อยากเจอดอกเบี้ยสูงๆ ก็ควรวางเงินก้อนสำหรับดาวน์รถให้ได้มากที่สุด ปกติแล้วควรวางมัดเงินดาวน์ไว้ที่ 20-30% ของรายได้ทั้งหมด เพื่อไม่ทำให้การเงินของคุณฝืดขัดจนเกินไป และสามารถมีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายอื่นๆ อีกด้วย

2. ค่าผ่อนรถ หลังจากที่ได้รถมาใช้แล้ว ยังมีค่าผ่อนรถรายเดือนที่แต่ละคนต้องจ่าย ซึ่งราคาที่ต้องผ่อนให้ศูนย์จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับเงินดาวน์ที่วางไว้ในตอนต้นและราคารถยนต์ที่คุณเลือกซื้อ

3. ค่าน้ำมันรถหรือค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่คุณอาจสามารถประเมินได้คร่าวๆ เท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่น ค่าทางด่วน ค่าที่จอดรถ ค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในกรณีรถติดหรือเดินทางไปออกทริปต่างจังหวัด ที่สามารถคำนวณค่าใช้จ่ายออกมาเป็นหลักพันถึงหลักหมื่นได้เลย ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าเองก็มีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าไฟที่ต้องชาร์จเพิ่มขึ้น แต่อาจจะมีข้อดีมากกว่า เนื่องจากราคาถูกกว่าค่าน้ำมัน หากคุณยังคิดว่าไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ไหว แนะนำให้ใช้รถขนส่งสาธารณะไปก่อน เช่น รถเมล์ บีทีเอสหรือรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่ภาระค่าใช้จ่ายไม่แสนสาหัส

4. ค่าต่อทะเบียน/ภาษี การเสียภาษีรถยนต์เป็นสิ่งที่คนมีรถต้องจ่ายทุกปีตามกฎหมายระบุไว้ หากใครหลีกเลี่ยงการเสียภาษีก็จะถูกปรับและถูกเรียกเงินเพิ่มตามจำนวนเดือนหรือปีที่ทะเบียนรถยนต์ขาดไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคา ขนาด และอายุของรถยนต์อีกด้วย

5. ค่าบำรุงรักษา จะเก็บเงินซื้อรถเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาหรือซ่อมบำรุงรถยนต์ให้มีสภาพที่ดี พร้อมใช้งานอยู่ตลอด เป็นสิ่งที่เจ้าของรถทุกคันควรทำ เพื่อความปลอดภัยให้การใช้งานรถยนต์ที่มีคุณภาพ ลดโอกาสการเสื่อมสภาพของรถ ลดอุบัติเหตุ แถมยังสามารถเก็งราคารถยนต์ได้ในอนาคตหากคุณต้องการขายรถมือสอง ดังนั้นการนำรถเข้าอู่เพื่อเช็คสภาพหรือทำความสะอาดรถยนต์ ย่อมมีค่าใช้จ่ายยิบย่อยเพิ่มเติมที่คุณอาจจะคาดไม่ถึง อย่างเช่น ค่าเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือเบรก ไส้กรองต่างๆ ค่ายาง ค่าอะไหล่บางอย่างที่หลุดหายไปจากการใช้งาน ราคาที่ต้องจ่ายขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อของรถยนต์อีกด้วย

6. ค่าประกันรถยนต์ ถึงแม้ว่าประกันภัยรถยนต์ไม่จำเป็นต้องทำทุกคัน แต่หากคุณเกิดอุบัติเหตุก็อาจทำให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมากได้ ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล ค่าคำขวัญ เป็นต้น การทำประกันรถยนต์นอกจากจะลดภาระค่าใช้จ่ายพวกนี้แล้ว ยังช่วยให้คุณไม่ต้องควักกระเป๋าตังตัวเองเพื่อจ่ายไปก่อนได้อีกด้วย

ดังนั้นการศึกษาค่าใช้จ่ายที่มาพร้อมกับการซื้อรถให้ดีเป็นเรื่องที่เจ้าของรถมือใหม่ควรคำนึงถึงอย่างมาก ไม่เพียงแค่คิดถึงวิธีเก็บเงินซื้อรถเพียงเท่านั้น แต่ยังมีรายจ่ายอื่นๆ ที่อาจตามมาให้ปวดหัวในภายหลังเช่นกัน

3. เลือกรูปแบบการจ่ายเงินซื้อรถ

ขั้นตอนที่สามของการจะเก็บเงินซื้อรถแต่ละครั้ง ควรรู้ว่าตัวเองสามารถจ่ายเงินแบบไหนได้บ้าง ซึ่งใครที่มีกำลังทรัพย์มากพอก็อาจจะเลือกซื้อรถยนต์ในเงินสด วิธีการนี้นอกจ่ายจะทำให้คุณหมดความกังวลในการเป็นหนี้สินแล้ว ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายหรือดอกเบี้ยในระยะยาวได้อีกด้วย เป็นการจ่ายเงินก้อนรอบเดียวจบเลย

ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือการจ่ายแบบผ่อน เป็นวิธีเก็บเงินออกรถที่ค่อยๆ สะสมตังไปทีละนิดเพื่อนำเงินมาออกรถใช้ก่อน มีข้อดีที่เราสามารถรับรถมาใช้ในระหว่างที่ผ่อนไปด้วยได้เลย ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อนโต ทำให้เราเหลือเงินเก็บที่สามารถนำไปใช้จ่ายอย่างอื่นได้ด้วย แต่วิธีการผ่อนจะต้องจ่ายตามกำหนดงวดรถให้ตรง ไม่งั้นคุณอาจถูกไฟแนนซ์ยึดรถคืนได้ และต้องเสียดอกเบี้ยทุกๆ เดือน

ดังนั้นรูปแบบการจ่ายเงินซื้อรถขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ซื้อ ว่าสะดวกหรือต้องการแบบไหนที่ไม่กระทบต่อตนเองหรือคนรอบข้างได้ และควรคำนึงถึงรายได้ ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนให้ดี เพื่อที่จะสามารถแยกเงินเก็บมาซื้อรถในฝันของคุณได้โดยไม่มีปัญหาตามมา

4. วางแผนการเงินอย่างชาญฉลาดและรอบคอบ

ขั้นตอนที่สี่ การวางแผนการเงินให้รอบคอบ เมื่อคุณมีการตั้งเป้าหมายรถที่ต้องการซื้อ และศึกษารายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาอย่างถี่ถ้วนแล้วนั้น การวางแผนการเงินเพื่อเก็บเงินออกรถให้ดีก็เป็นการประเมินตัวเองเบื้องต้นว่ามีกำลังเก็บออมที่เท่าไหร่ โดยอาจกำหนดเงินออมขั้นต่ำในแต่ละเดือนประกอบกับการพิจารณารายรับรายจ่ายทั้งหมด เพื่อทราบถึงภาพรวมสภาพคล่องทางการเงิน โดยอาจทำบัญชีสรุปค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน หรือการใช้แอปพลิเคชันในมือถือเพื่อวางแผนการเก็บออม แยกเงินออกเป็นสัดส่วน การวางแผนการเงินอย่างชาญฉลาดจะเพิ่มโอกาสในการซื้อรถในฝันของคุณได้ไวกว่าเดิม รวมถึงการจัดการกับค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหรือตัดของฟุ่มเฟือยออกไป เพื่อทำให้การเก็บเงินซื้อรถของคุณใกล้ถึงฝั่งฝันมากขึ้น เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้การเก็บตังค์ซื้อรถของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลจริงแล้ว

5. ฝึกวินัยในการออมเงิน

ขั้นตอนที่ห้า การสร้างวินัยในการเก็บเงินซื้อรถให้กับตนเอง เมื่อได้รถมาแล้วก็ใช่ว่าจะสิ้นสุดเลยทีเดียว ค่าใช้จ่ายหลังการซื้อรถนั้นยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าอายุขัยของมันจนหมดหรือคุณต้องขายรถทิ้งไปซะก่อน ดังนั้นการฝึกออมเงินตั้งแต่เนิ่นๆ อาจจะเริ่มจากการฝากในบัญชีออมทรัพย์ก่อน นอกจากการออมเงินโดยการฝากประจำกับธนาคาร เพื่อรับดอกเบี้ยแล้วนั้น การนำเงินไปลงทุนเพื่อให้ผลกำไรงอกเงยขึ้นมาก็เป็นวิธีการเพิ่มมูลค่าเงินเก็บของคุณได้ไวขึ้น เพิ่มโอกาสบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ตัวอย่างการลงทุนเช่น การซื้อทอง หุ้น หรือกองทุน ที่มีโอกาสรับเงินปันผลมากกว่าการฝากแบบออมทรัพย์ไปเรื่อยๆ เป็นวิธีการเพิ่มรายได้อย่างหนึ่งที่ใครก็สามารถทำตามไว้ แต่ควรศึกษาให้ละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คุ้มค่าเช่นเดียวกัน

เก็บตังซื้อรถ

วิธีการคำนวณเงินผ่อนจ่ายกับธนาคาร

เมื่อกำหนดเป้าหมายและจำนวนเงินหรือระยะเวลาที่ต้องการผ่อนชำระเรียบร้อยแล้ว  เรามาลองดูวิธีการคำนวณเงินสำหรับการผ่อนจ่ายรถยนต์ได้เลย

สูตรการคำนวณ
   
เงินผ่อนต่อเดือน = [วงเงินที่กู้ + (วงเงินที่กู้ × อัตราดอกเบี้ย % × จำนวนปีผ่อนชำระ)]
จำนวนเดือนที่ต้องผ่อน

ยกตัวอย่าง รถยนต์ราคา 629,000 บาท จ่ายเงินดาวน์ไปแล้ว 20% เท่ากับ 125,800 บาท หมายความว่าต้องผ่อนอีก 503,200 บาท โดยเงื่อนไขของธนาคารกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.99% ต่อปี โดยมีระยะเวลาผ่อนชำระอยู่ที่ 5 ปี หรือ 60 เดือน คำนวณเงินผ่อนที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนได้ดังนี้

เงินผ่อนต่อเดือน = [503,000 + (503,000 × 1.99 % × 5)]
60

จะได้จำนวนเงินที่คุณต้องผ่อนเดือนละ 9,218 บาท หมายความว่าคุณจะต้องเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารทั้งหมด 50,049 บาท เลยทีเดียว ดังนั้นการเก็บเงินดาวน์รถที่สูงขึ้น ยิ่งทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้ธนาคารลดน้อยลงด้วย

สรุป เก็บเงินซื้อรถให้สำเร็จตามเป้า

หากคุณตั้งเป้าหมายในการซื้อรถในฝันได้แล้ว อย่าลืมวางแผนการเก็บเงินซื้อรถให้ดีและมีประสิทธิภาพ โดยอาจเริ่มจากการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน หรือการแยกบัญชีธนาคารเพื่อใช้สำหรับเก็บออมโดยเฉพาะ อย่างแอปพลิเคชัน MAKE by KBank ของธนาคารกสิกร ที่สะดวก ใช้ง่ายและรวดเร็ว วิธีการเก็บตังซื้อรถต่างๆ ที่เราได้แนะนำไปนั้นจะช่วยทำให้คุณบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถ ซื้อบ้านหรือที่ดิน หรือการเก็บเงินเพื่อไปลงทุนในอนาคต ขอแค่มีความมุ่งมั่นตั้งใจและพยายามก็ทำให้คุณได้สิ่งที่ปรารถนามาครอบครองได้แน่นอน

24
รับทำสติ๊กเกอร์ ราคาถูก

การทำ Branding เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำการตลาดในยุคปัจจุบัน โลโก้หรือตราสินค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายจดจำแบรนด์ของคุณได้ การแปะสติ๊กเกอร์แบรนด์บนตัวสินค้าหนึ่งในทางเลือกที่ดีสำหรับการทำ Branding ที่ได้ผลมาแบบยุคต่อยุค บทความนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักบริการรับทำสติ๊กเกอร์ พร้อมการออกแบบตราสินค้าแบบครบวงจร

บริการรับทำสติ๊กเกอร์บริการที่เพิ่มความสะดวกสบายด้านการทำ Branding ผ่านการสื่อสาร การสร้างคุณค่า และการสร้างการจดจำอย่างตรงจุด ด้วยการดีไซน์โลโก้ให้ตรงกับสิ่งที่แบรนด์ของคุณต้องการสื่อสาร ถ้าอยากรู้แล้วว่าบริการรับทำสติ๊กเกอร์คืออะไร มีข้อดีอย่างไรบ้าง ติดตามต่อได้ในเนื้อหาของบทความนี้

รายละเอียดบริการรับทำสติ๊กเกอร์
บริการรับทำสติ๊กเกอร์ไม่ได้มีเพียงแค่บริการรับปริ้นสติ๊กเกอร์ รับทําสติ๊กเกอร์ไดคัท และรับพิมพ์ฉลากสินค้าเท่านั้น เพราะการรับทำสติ๊กเกอร์หมายถึงการออกแบบฉลากสินค้า โลโก้ ป้ายราคา และอื่น ๆ ให้เหมาะสมกับแบรนด์ของคุณ ทั้งด้านการออกแบบที่สามารถสื่อสารตัวแบรนด์ออกมาได้ การเลือกประเภทกระดาษ-สีสันให้เหมาะสมกับการใช้งานในราคาที่จับต้องได้ ไม่ว่าคุณจะต้องการบริการรับพิมพ์สติ๊กเกอร์อิงค์เจ็ท, สติ๊กเกอร์ PVC, สติ๊กเกอร์โฮโลแกรม, สติ๊กเกอร์ PET, สติ๊กเกอร์กระดาษขาว หรือสติ๊กเกอร์ประเภทไหน ๆ บริการรับทำสติ๊กเกอร์ก็สามารถรังสรรค์ให้คุณได้ทั้งสิ้น

บริการรับทำสติ๊กเกอร์ เหมาะกับธุรกิจใดบ้าง
บริการรับทำสติ๊กเกอร์เป็นบริการที่เหมาะกับธุรกิจทุกประเภท เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือว่าขนาดใหญ่ การสร้างการจดจำก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจเติบโต

บริการรับทำสติ๊กเกอร์มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่เท่าไร? 

รับติดสติ๊กเกอร์สินค้า

บริการสั่งทำสติ๊กเกอร์ราคาไม่แพงอย่างที่คิด ราคาเฉลี่ยของบริการรับทำสติ๊กเกอร์จะมีราคาเฉลี่ยต่อชิ้นอยู่ที่ 0.5 - 2 บาท ซึ่งอัตราการคิดราคาค่าบริการจะขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้งาน จำนวนที่สั่งผลิต ราคาค่าบริการสำหรับการออกแบบ และอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับอัตราค่าบริการของร้านรับทำสติ๊กเกอร์ร้านนั้น ๆ

ขั้นตอนและกระบวนการสำหรับบริการรับทำสติ๊กเกอร์

1. ชี้แจงรายละเอียด
ก่อนเริ่มกระบวนการรับทำสติ๊กเกอร์ โรงงานรับทำสติ๊กเกอร์จะมีการพูดคุยรายละเอียด ความต้องการ แนวทาง จุดประสงค์ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับตัวแบรนด์กับเจ้าของแบรนด์ก่อนเสมอ

2. ตกลงราคา
สำหรับท่านที่สงสัยว่าการสั่งทำสติ๊กเกอร์ราคาเท่าไหร่ ต้องใช้งบประมาณเยอะหรือไม่ คำถามนี้จะหมดไป เพราะโรงงานรับทำสติ๊กเกอร์ทำการพูดคุย และตกลงราคาก่อนที่จะเริ่มกระบวนการผลิตเสมอ

3. ยืนยันการสั่งผลิต
หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับตัวสินค้า ตัวแบรนด์ แนวทาง วัสดุที่ใช้สำหรับการผลิต และราคาค่าดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ทางโรงงานรับทำสติ๊กเกอร์จะทำการยืนยันการผลิต เพื่อเรียกเก็บค่ามัดจำกับเจ้าของแบรนด์ก่อนเริ่มงาน

4. รับ Product ของลูกค้า
สำหรับท่านที่ต้องการให้โรงงานรับทำสติ๊กเกอร์ แปะสติ๊กเกอร์ที่ผลิตออกมาบนตัวสินค้า ลูกค้าจำเป็นต้องทำการส่งมอบสินค้าภายใต้แบรนด์ลูกค้าให้ทางโรงงาน

5. ตรวจนับสินค้า
เมื่อโรงงานได้รับสินค้าจากแบรนด์ลูกค้าแล้ว โรงงานรับทำสติ๊กเกอร์จะทำการตรวจเช็คจำนวนของสินค้าที่ส่งมาก่อนเริ่มงาน เพื่อไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อน และข้อผิดพลาดด้านการปฏิบัติงาน

6. เริ่มกระบวนการผลิต
หลังจากขั้นตอนการยืนยันและตรวจเช็คเสร็จสิ้น โรงงานรับทำสติ๊กเกอร์จะทำการผลิตสติ๊กเกอร์ และนำแปะลงบนสินค้าของแบรนด์ลูกค้า

7. ชำระเงินในส่วนที่เหลือ
เมื่อขั้นตอนการผลิตและการดำเนินการทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ ทางโรงงานรับทำสติ๊กเกอร์จะทำการเรียบเก็บเงินในส่วนที่เหลือทั้งหมด ก่อนที่จะส่งสินค้าและสติ๊กเกอร์ให้กับลูกค้า

8. จัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้า
หลังจากที่ทางโรงงานรับทำสติ๊กเกอร์ตรวจเช็คสินค้า และทางลูกค้าชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ทางโรงงานรับทำสติ๊กเกอร์จะทำการส่งสินค้าทั้งหมดให้กับลูกค้า ตามวัน เวลา และสถานที่ที่ทางแบรนด์ตกลงไว้กับโรงงาน เพื่อมอบความสะดวกสบายขั้นสูงสุดให้กับผู้ว่าจ้าง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับรับทำสติ๊กเกอร์

ราคาของบริการรับทำสติ๊กเกอร์อยู่ที่แผ่นละกี่บาท?
อัตราค่าบริการของร้านรับทำสติ๊กเกอร์จะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 0.5 - 2 บาทโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้สำหรับการผลิต รายละเอียดของงาน ราคาเริ่มต้นของการสั่งทำ การออกแบบกราฟิกดีไซน์ และอื่น ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้บริการรับทำสติ๊กเกอร์กับร้านใด ๆ จึงควรสอบถามอัตราค่าบริการเบื้องต้นกับทางร้านให้ดีก่อนสั่งผลิต

บริการรับทำสติ๊กเกอร์ใช้โปรแกรมอะไรในการออกแบบ?
Illustrator หรือโปรแกรมการสร้างลายเส้นสำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์ โปรแกรมยอดนิยมที่นักออกแบบกราฟิกดีไซน์สายรับทำสติ๊กเกอร์นิยมใช้สำหรับการออกแบบสติ๊กเกอร์กันอย่างแพร่หลาย และเป็นสากล

บริการรับทำสติ๊กเกอร์ดีอย่างไร-สรุปข้อดีของบริการรับทำสติ๊กเกอร์
การสร้างการจดจำให้กับตัวแบรนด์ผ่านสติ๊กเกอร์ฉลากสินค้า หนึ่งในทางเลือกที่ดีสำหรับการสร้างภาพลักษณ์และการจดจำที่ดีให้กับตัวแบรนด์ในราคาที่จับต้องได้ นอกจากข้อดีด้านการทำ Branding แล้วบริการรับทำสติ๊กเกอร์ยังเป็นหนึ่งในการทำการตลาดที่งบไม่บานปลาย เห็นผลได้จริง และยังสามารถเพิ่มความสะดวกสบายให้กับเจ้าของแบรนด์ได้อีกด้วย

25
สินเชื่อออนไลน์

ในยุคดิจิทัลนี้ หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการให้บริการสินเชื่อบุคคล ซึ่งหลายสถาบันการเงินได้เปลี่ยนให้เป็นสินเชื่อออนไลน์ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้กู้ทำธุรกรรมได้ง่ายกว่าที่เคย โดยสินเชื่อเงินด่วนอนุมัติเร็วออนไลน์ เป็นตัวช่วยทางการเงินที่เข้าถึงง่าย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะต้องการเงินทุนฉุกเฉิน หรือจ่ายค่าใช้จ่าย โดดเด่นด้วยข้อดี คือ สมัครง่าย อนุมัติไว ผ่านระบบออนไลน์ 100% ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปธนาคาร

สินเชื่อออนไลน์ คืออะไร มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันอย่างไร?

สินเชื่อบุคคล

สินเชื่อออนไลน์ หมายถึง บริการสินเชื่อที่ให้ผู้กู้สามารถสมัครและรับเงินกู้ผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งหมด โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยผู้กู้สามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง โดยการขอสินเชื่อออนไลน์มีข้อดี คือ

  • สมัครสินเชื่อออนไลน์และรับเงินกู้ได้โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ธนาคาร ด้วยความสะดวก รวดเร็ว
  • รู้ผลอนุมัติสินเชื่อออนไลน์ได้ภายในเวลาไม่นาน
  • มีตัวเลือกหลากหลายที่ให้บริการสินเชื่อออนไลน์ ผู้กู้สามารถเปรียบเทียบดอกเบี้ยและเงื่อนไขต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจ
  • ผู้กู้สามารถสมัครสินเชื่อเงินด่วนได้ทุกที่ ทุกเวลา

แต่ข้อควรระวังของสินเชื่อเงินด่วนอนุมัติเร็วออนไลน์ คือ สินเชื่อออนไลน์บางประเภทอาจมีดอกเบี้ยสูง จึงควรศึกษารายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจสมัคร ทั้งนี้ สินเชื่อออนไลน์มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนในหลาย ๆ ด้าน ดังนี้

  • การขอสินเชื่อออนไลน์ช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนยุ่งยากเหมือนการขอสินเชื่อส่วนบุคคลจากธนาคาร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเงินทุนฉุกเฉิน หรือผู้ที่ไม่มีหลักประกัน
  • สินเชื่อออนไลน์สามารถช่วยจัดการกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันหรือในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมแซมบ้าน หรือค่าเทอม
  • สินเชื่อออนไลน์ อนุมัติไวช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ช่วยให้ผู้คนมีเงินทุนสำรองเผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
  • สินเชื่อด่วนออนไลน์ช่วยให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่จำเป็น

ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้สินเชื่อออนไลน์ เช่น

  • สถานการณ์ฉุกเฉิน หากมีสมาชิกในครอบครัวป่วยหนักและต้องเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาล แต่มีเงินไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาล สินเชื่อเงินด่วนอนุมัติเร็วออนไลน์สามารถช่วยให้มีเงินทุน เพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล และช่วยชีวิตสมาชิกในครอบครัวไว้ได้
  • ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างค่าเทอม ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ซึ่งหากถึงกำหนดที่จะต้องจ่าย ก็สามารถสมัครสินเชื่อออนไลน์นำเงินก้อนออกมาจัดการปัญหาเหล่านี้ได้

ด้วยสินเชื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์ สามารถช่วยให้ผู้คนจัดการกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันและช่วยให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญ คือ ความรับผิดชอบในการกู้ยืม วางแผนในการชำระคืนสินเชื่อบุคคลเหล่านี้ และควรกู้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น

ทั้งนี้ ก่อนตัดสินใจสมัครสินเชื่อออนไลน์ ผู้กู้ควรศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบดอกเบี้ยและเงื่อนไขต่าง ๆ ของสินเชื่อจากหลาย ๆ แหล่ง เลือกใช้บริการสินเชื่อออนไลน์จากธนาคารหรือสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ และอ่านรายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ของสินเชื่ออย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ

4 สินเชื่อออนไลน์อนุมัติไว วงเงินสูงที่น่าสนใจ

สินเชื่อเงินด่วนอนุมัติเร็วออนไลน์

การสมัครสินเชื่อออนไลน์ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแค่ศึกษาและเปรียบเทียบ ก่อนจะสมัครตามขั้นตอน เท่านี้ ก็สามารถกู้สินเชื่อเงินด่วนอนุมัติเร็วออนไลน์มาใช้ได้อย่างทันใจ โดยขอแนะนำ 4 สินเชื่อออนไลน์ที่ให้อนุมัติไว และเชื่อถือได้ ดังนี้

1. Promise
Promise เป็นสินเชื่อออนไลน์จากบริษัทในเครือของ SMBC Consumer Finance Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทสินเชื่อชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น จึงสามารถมั่นใจในสถาบันการเงินได้อย่างแน่นอน โดย Promise โดดเด่นด้วยการสมัครสินเชื่อออนไลน์โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน หากกู้ไปแล้ว เงินไม่พอใช้ จำเป็นต้องกู้เพิ่ม ก็สามารถทำได้ โดยไม่ต้องปิดบัญชีเดิม อีกทั้งยังสามารถปิดบัญชีก่อนกำหนด โดยไม่ต้องเสียค่ายกเลิกสัญญาได้อีกด้วย

โดยสินเชื่อออนไลน์ Promise กำหนดวงเงินให้กู้ได้ไม่เกิน ไม่เกิน 300,000 บาท* ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดที่ 15% และสูงสุด คือ 25% ต่อปี เป็นสินเชื่อเงินด่วนอนุมัติเร็วออนไลน์ภายใน 1 ชั่วโมง* ด้วยเงื่อนไข ดังนี้

  • มีสัญชาติไทย อายุ 20 – 64 ปี
  • มีรายได้ต่อเดือน 8,000 บาท ขึ้นไป (สามารถแสดงสลิปเงินเดือนหรือหนังสือรับรองเงินเดือน)
  • อายุการทำงานปัจจุบัน 1 เดือนขึ้นไป
  • มีที่พักอาศัย หรือมีที่ทำงานอยู่ในเขตพื้นที่ให้บริการ
  • มีหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้

*กรุณาศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ก่อนการสมัครที่ promise.co.th
 *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ และธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
 *หากยื่นเอกสารครบถ้วนภายใน 18.00 น. และไม่มีเหตุขัดข้องด้านเอกสาร หรือระบบ จะสามารถอนุมัติได้ภายใน 1 ชั่วโมง หรือภายในวันถัดไป

2. LINE BK
สินเชื่อบุคคล LINE BK เป็นแอปพลิเคชันให้บริการสินเชื่อออนไลน์ภายใต้การดูแลของธนาคารกสิกรไทยและ LINE ซึ่งให้วงเงินกู้ไม่เกิน 50,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ย 33% ต่อปี ให้ระยะเวลาในการผ่อนได้นานสูงสุด 60 เดือน แต่จะใช้เวลาในการอนุมัติสินเชื่อเงินประมาณ 1 - 3 วันทำการ ด้วยเงื่อนไข คือ ต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 5,000 บาท ต่อเดือน และใช้เพียง Statement สำหรับสมัครสินเชื่อออนไลน์เท่านั้น

3. True Money
การขอสินเชื่อออนไลน์ของ True Money ให้บริการสำหรับลูกค้าทรูรายเดือน ในการกู้สินเชื่อออนไลน์มาใช้ได้ในทันที โดยกำหนดวงเงินกู้ยืมไม่เกิน 10,000 บาท โดยแบ่งอัตราดอกเบี้ยตามการชำระ ถ้าเป็นการผ่อนชำระจะคิดดอกเบี้ย 25% ผ่อนได้นานสูงสุด 24 เดือน แต่หากจ่ายเต็มจำนวน ดอกเบี้ยจะเป็น 0% นั่นหมายความว่า หากชำระคืนเต็มจำนวนตามวันที่และเวลากำหนดไว้ ก็จะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยใด ๆ ถือว่า เป็นสินเชื่อออนไลน์อนุมัติทันที เพราะใช้เวลาอนุมัติเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น

4. เงินทันเด้อ
สินเชื่อเงินด่วนออนไลน์ เงินทันเด้อ อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งให้วงเงินของสินเชื่อเงินก้อน 50,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ย 2.75% ต่อเดือน ผ่อนชำระได้นาน 15 เดือน ใช้เวลาอนุมัติภายใน 24 ชั่วโมง แต่สามารถทำเรื่องกู้ยืมได้ตลอดเวลา โดยไม่มีการวางเงินมัดจำหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ แอบแฝง

สรุป
สินเชื่อออนไลน์ คือ บริการสินเชื่อบุคคลที่ให้ผู้กู้สามารถสมัครและรับเงินกู้ผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งหมด โดยในปัจจุบัน มีตัวเลือกสินเชื่อเงินด่วนอนุมัติเร็วออนไลน์หลากหลายและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เช่น Promise, LINE BK, True Money หรือ เงินทันเด้อ เป็นต้น ทั้งนี้การกู้ควรกู้เท่าที่จำเป็นและสามารถชำระคืนไหว


26
เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว

การเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวถือเป็นคอร์สเรียนอีกรูปแบบหนึ่งที่ผู้เรียนชื่นชอบและให้ความสนใจ เนื่องจากตอบโจทย์ในการพัฒนาทักษะของตัวผู้เรียนแบบเป็นส่วนตัวและสื่อสารได้ตรงใจมากกว่า โดยคอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวนั้นมีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเน้นทุกทักษะหรือพัฒนาเฉพาะทางสำหรับเตรียมตัวสอบวัดระดับภาษาต่าง ๆ ซึ่งการเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวดียังไงและควรเลือกเรียนที่ไหนดี เรามาดูไปพร้อมกันเลย

เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว คอร์สเรียนนี้เหมาะกับใคร
การเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวเหมาะอย่างมากกับผู้เรียนที่มีความรู้ภาษาอังกฤษในระดับเริ่มต้น เพราะหากเลือกเรียนแบบกลุ่มอาจจะตามเนื้อหาในบทเรียนไม่ทันได้ การเรียนภาษาตัวต่อตัวยังเหมาะอย่างมากกับผู้เรียนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ว่อกแว่กได้ง่าย ไม่ชอบเรียนกับคนกลุ่มใหญ่ หรือรู้สึกมั่นใจมากกว่าถ้าเรียนคอร์สแบบคนเดียว

การเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวเหมาะอย่างมากกับผู้เรียนเฉพาะทาง อย่างผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐานแล้วเลือกเรียนภาษาเพื่อปรับสภาพแวดล้อม ผู้เรียนที่ต้องการเรียนในระดับภาษาเฉพาะทางอย่างอาชีพแพทย์หรือนักธุรกิจ รวมถึงผู้ที่ต้องการเสริมทักษะเฉพาะทางเพื่อนำไปใช้ในการทดสอบด้านภาษาซึ่งตรงกับความต้องการได้มากกว่า ไม่ต้องเสียเวลาย้ำจุดอื่นไปพร้อม ๆ ทุกคนในคลาสเรียนแบบรวม

นอกจากนี้แล้วการเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวยังเหมาะกับผู้ที่มีเวลาน้อยหรือมีเวลาจำกัด เพราะตารางเรียนมีความยืดหยุ่น สามารถเลือกเวลาเรียนได้ตรงใจมากกว่านั่นเอง

เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว เลือกเรียนแล้วดีอย่างไร
การเรียนภาษาอังกฤษมีประโยชน์อยู่หลายข้อด้วยกัน ซึ่งคอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้เรียน สามารถเลือกตารางเวลาเรียนเองได้ว่าต้องการเรียนแบบไหนให้ตอบโจทย์และให้สอดคล้องกับเป้าหมายในระยะยาว ผู้เรียนสามารถสอบถามครูผู้สอนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวตรงจุดที่สงสัยได้ในทันที ไม่ต้องอายหรือรู้สึกขัดเขินเหมือนเวลายกมือถามคำถามในชั้นเรียนแบบกลุ่ม

การเรียนอังกฤษตัวต่อตัวไม่ได้มีประโยชน์กับตัวผู้เรียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้สอนรู้ถึงจุดแข็ง-จุดอ่อนเฉพาะตัวบุคคลว่าควรพัฒนาจุดไหน รวมถึงนำไปปรับใช้กับวิธีการสอนให้เหมาะสมกับตัวผู้เรียนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อหา นอกจากนี้แล้วติวเตอร์ภาษาอังกฤษตัวต่อตัวยังสามารถตอบคำถาม ช่วยเหลือในจุดที่พลาด หรือไขข้อสงสัยของผู้เรียนได้ถูกต้องแม่นยำมากที่สุด เรียกว่าการเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวมอบประโยชน์แก่ผู้เรียนได้อย่างเต็มที่

เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว เรียนที่ไหนดี ได้ประโยชน์มากสุด

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ตัวต่อตัว

เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวที่ไหนดีให้ตอบโจทย์ ตรงใจ และเหมาะกับความต้องการมากที่สุด? แนะนำว่าควรดูตั้งแต่เนื้อหาหลักสูตรว่าตรงกับจุดที่เราต้องการพัฒนามากน้อยแค่ไหน สามารถปรับได้ตามความสนใจอย่างไรบ้าง ซึ่งคอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวดังกล่าวควรได้รับการสอนโดยครูผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวกับครูต่างชาติหรือครูชาวไทย ที่พร้อมตอบคำถาม แก้ไขข้อผิดพลาด และให้คำแนะนำแก่เราได้ถูกต้องตามหลักภาษามากที่สุด

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือสภาพแวดล้อมของการเรียนในคลาสว่ามีปัจจัยอื่นใดรบกวนหรือไม่ เพื่อให้ผู้เรียนอย่างเรา ๆ มีสมาธิกับการเรียนได้มากที่สุด นอกจากนี้แล้วตารางเวลาเรียนอังกฤษตัวต่อตัวของทางสถาบันควรยืดหยุ่นตามความต้องการของผู้เรียน โดยหากสถาบันสอนภาษามีคอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวแบบออนไลน์ก็จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายได้มากขึ้น ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้จากทุกที่ทั้งยังประหยัดเวลาในการเดินทางได้อีกด้วย

รวมคำถามน่าสนใจเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว
นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วยังมีคำถามอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวอีกบ้าง เรามาดูกันเลย

ก่อนเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวควรเตรียมตัวยังไง?
ก่อนเลือกลงคอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวสักที่ เราควรวางเป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจนเสียก่อนว่าลงเรียนคอร์สนี้เพื่อใช้ทำอะไร มีจุดไหนที่เราต้องการพัฒนา และอยากเน้นทักษะส่วนไหนเป็นพิเศษ เพื่อให้ทางสถาบันประเมินหลักสูตรการสอนได้เหมาะสมกับความต้องการ และครูผู้สอนปรับแนวทางในการสอนได้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวกับเรียนแบบกลุ่ม อย่างไหนดีกว่า?
การเรียนภาษาอังกฤษทั้งสองแบบมีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป อย่างการเรียนภาษาอังกฤษแบบกลุ่มจะช่วยพัฒนาในด้านการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดีกว่า ได้เห็นมุมมองที่หลากหลายมากขึ้นซึ่งอาจนำมาปรับใช้ในการพัฒนาทักษะของเราได้ ในขณะที่การเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวจะมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพของผู้เรียนและตอบโจทย์ความต้องการพัฒนาทักษะภาษาเฉพาะด้านได้มากกว่า

เลือกเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวแบบไหนถึงจะเหมาะ?
ปัจจัยในการเลือกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวให้เหมาะกับความต้องการมากที่สุด คือเลือกดูจากตารางเวลาเรียน สไตล์ของครูผู้สอน รวมถึงงบประมาณที่ต้องใช้ต่อคอร์สว่าเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวราคาถูกคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน สามารถเลือกดูได้จากรีวิวมากมายตามออนไลน์ หรือหากสถาบันสอนภาษาไหนมีให้ทดลองเรียนฟรีก็จะช่วยตอบคำถามได้ดีว่าคอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวดังกล่าวตรงกับความต้องการของเราหรือไม่

สรุปเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวให้ตอบโจทย์
การเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวเหมาะกับผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาพื้นฐานส่วนตัวหรือทักษะความรู้ภาษาเฉพาะทางตามสายอาชีพ ซึ่งรูปแบบการเรียนประเภทนี้นั้นยืดหยุ่นทั้งในด้านเวลาและเนื้อหาบทเรียนที่สามารถปรับให้เข้ากับตัวผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม ดังนั้น สำหรับใครที่ไม่เคยเรียนแบบเดี่ยวมาก่อนและอยากพัฒนาทักษะส่วนตัวแบบก้าวกระโดด การเลือกเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ


27
กลองชุด

กลองชุด คือ เครื่องดนตรีประเภทหนึ่ง ซึ่งมีจังหวะหนักแน่น คอยควบคุมทิศทางของดนตรี พร้อมทั้งช่วยปลุกเร้าผู้ฟังให้กระโดดโลดเต้นไปด้วยกันอย่างสนุกสนาน

ดนตรีถือว่าเป็นสื่อกลางที่หลายคนสามารถทำความเข้าใจได้ แม้จะไม่ได้ใช้ภาษาเดียวกัน แต่น้ำเสียง จังหวะและโทนเพลงสามารถทำให้ทุกคนเกิดอารมณ์ร่วมกันได้ โดยเครื่องดนตรีประเภทหนึ่งที่ช่วยสร้างจังหวะให้ทุกคนกระโดดโลดเต้นตามเนื้อเพลงได้ คือ กลองชุด เพราะกลองชุดเป็นเครื่องดนตรีอันทรงพลัง เต็มไปด้วยความท้าทายและความสนุกสนาน ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องตีสร้างจังหวะ แต่มันคือ หัวใจของวงดนตรี เป็นผู้กำหนดทิศทาง ควบคุมอารมณ์ และขับเคลื่อนบทเพลงให้มีชีวิตชีวา

กลองชุด คืออะไร?

กลองชุด (Drum Set) เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีกระทบ ประกอบไปด้วยตัวกลองและฉาบจำนวนหลายใบ ผู้เล่นใช้ไม้กลองตี เพื่อสร้างจังหวะ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงหนักแน่น สามารถเพิ่มพลังให้กับบทเพลงได้หลากหลายแนว เช่น ร็อก, บลูส์, ป็อป, ฟังก์, ดิสโก้ และ แจ๊ส เป็นต้น กลองชุดจึงเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

ใครเหมาะสำหรับเล่นกลองชุด

กลองชุดเป็นเครื่องดนตรีที่เหมาะกับทุกคน ที่มีความสนใจและอยากเรียนรู้ โดยไม่จำกัดเพศ อายุ หรืออาชีพ  โดยสามารถแบ่งกลุ่มผู้ที่เหมาะสำหรับการเล่นกลองชุด ดังนี้

  • เด็ก: กลองชุดช่วยพัฒนาทักษะต่าง ๆ การประสานงานระหว่างมือและเท้า สมาธิ ความอดทน และความคิดสร้างสรรค์
  • วัยรุ่น: กลองชุดเป็นเครื่องดนตรีที่สนุกสนาน ท้าทาย ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด และสร้างความมั่นใจ
  • ผู้ใหญ่: กลองชุดช่วยให้คลายเครียด ออกกำลังกาย และสร้างความบันเทิง
  • นักดนตรี: กลองชุดเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญในวงดนตรีหลายประเภท
ทั้งนี้ ก่อนเล่นกลองชุดควรพิจารณาจากความสนใจ  เวลาในการฝึกซ้อม สถานที่หัดเล่นกลองชุด โดยไม่ส่งเสียงรบกวนผู้อื่น รวมถึงงบประมาณสำหรับซื้อกลองชุดใหญ่ อุปกรณ์ต่าง ๆ และค่าเรียน (ถ้ามี)

กลองชุดกับกลองไฟฟ้ามีความแตกต่างกันอย่างไร

ราคากลองชุด

กลองชุดและกลองไฟฟ้า ล้วนแต่เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีกระทบเหมือนกัน แต่กลองไฟฟ้าจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการสร้างเสียงแทนการใช้หนังกลองและฉาบแบบกลองชุดทั่วไป โดยสามารถสรุปความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 เครื่องดนตรีได้ ดังนี้

  • กลองชุดประกอบไปด้วยกลองและฉาบจำนวนหลายใบ ใช้ไม้กลองตีเพื่อสร้างเสียง โดยเป็นเสียงธรรมชาติ ราคากลองชุดค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่สำหรับฝึกฝนและต้องการเล่นกลองชุดอย่างจริงจัง
  • กลองไฟฟ้าประกอบไปด้วยแพดกลองและฉาบไฟฟ้า ใช้ไม้กลองหรือแป้นตีเพื่อสร้างเสียง โดยเป็นเสียงที่จำลองมาจากกลองชุด ราคากลองไฟฟ้าจะถูกกว่ากลองชุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัดและต้องการฝึกฝนการเล่นกลองโดยไม่รบกวนผู้อื่น
ดังนั้น กลองชุดและกลองไฟฟ้าต่างมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ผู้เล่นควรเลือกกลองที่เหมาะกับความต้องการและสไตล์การเล่นของตัวเอง

การเล่นกลองชุด มีข้อดีอย่างไร

การเล่นเครื่องดนตรี ไม่ว่าจะประเภทใดก็ตามล้วนแต่มีข้อดี โดยเฉพาะการเล่นกลองชุด โดยมีข้อดี ดังต่อไปนี้

1. พัฒนาทักษะด้านร่างกายและสมอง

การเล่นกลองชุดช่วยพัฒนาทักษะต่าง ๆ การประสานงานระหว่างมือและเท้า การแยกประสาท สมาธิ ความอดทน และความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งยังถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดี ช่วยให้เผาผลาญแคลอรีและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แก่ผู้เล่น

2. เสริมสร้างบุคลิกภาพ

การเล่นกลองชุดช่วยให้ผู้เล่นมีความมั่นใจ กล้าแสดงออก กล้าคิดกล้าทำ มีวินัย รู้จักความรับผิดชอบ และทำงานเป็นทีม เพราะจะต้องเล่นดนตรีเป็นวง จึงต้องมีการประสานงานร่วมกับผู้อื่น เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้พบปะผู้คนใหม่ ๆ และสร้างมิตรภาพ นอกจากนี้ การตีกลองชุดยังถือว่าเป็นการระบายอารมณ์ ผ่อนคลายความเครียด และความวิตกกังวลอีกช่องทางหนึ่ง พร้อมกันนั้น ยังทำให้ผู้เล่นรู้สึกสนุกสนาน เพลิดเพลิน และมีความสุข

3. พัฒนาทักษะทางดนตรี

การเล่นกลองชุดช่วยให้ผู้เล่นเรียนรู้เกี่ยวกับจังหวะ การอ่านโน้ต การเข้าใจทฤษฎีดนตรี และความคล่องแคล่วในการอ่านสัญลักษณ์ทางดนตรี โดยผู้เล่นจะต้องฟังจังหวะ เสียง และโทนเสียง เพื่อแยกแยะเสียงในจังหวะของการประสานเสียงของเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ ตลอดจนฝึกความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างจังหวะกลองใหม่ ๆ หรือฝึกไหวพริบในการเล่นกลองชุด

ด้วยกลองชุดมีข้อดีมากมาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะด้านร่างกายและสมอง เสริมสร้างบุคลิกภาพ และพัฒนาทักษะทางดนตรีด้วยความสนุกสนาน ผ่อนคลายความเครียด อีกทั้งยังมีความท้าทาย เพราะกลองชุดมีเทคนิคการเล่นที่หลากหลาย ผู้เล่นสามารถพัฒนาทักษะและสไตล์การเล่นของตัวเองได้ ตลอดจนแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ผ่านเสียงดนตรี

ควรเลือกซื้อกลองชุดอย่างไร

หากต้องการซื้อกลองชุดควรพิจารณาอย่างรอบด้านด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  • งบประมาณ: กำหนดงบประมาณ เพราะค่าใช้จ่ายของกลองชุดรวมไปถึงค่ากลอง ฉาบ อุปกรณ์เสริม และค่าเรียน (ถ้ามี)
  • จำนวนกลอง: กลองชุดมีจำนวนกลองที่หลากหลาย เลือกจำนวนกลองให้เหมาะกับสไตล์การเล่น
  • ขนาดของกลอง: เลือกขนาดของกลองชุดให้เหมาะกับพื้นที่ฝึกฝนและสรีระของผู้เล่น
  • วัสดุของกลอง: กลองชุดมีวัสดุหลายประเภท เช่น ไม้ โลหะ อะคริลิก เลือกวัสดุให้เหมาะกับความชอบและงบประมาณ
  • แบรนด์: เลือกแบรนด์ของกลองชุดที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ
ทั้งนี้ ก่อนตัดสินใจซื้อกลองชุด อาจจะติดต่อขอลองเล่นก่อน เพื่อให้แน่ใจว่า ชอบเสียงและขนาดของกลองชุด รวมทั้งเปรียบเทียบราคาจากหลาย ๆ แหล่ง และซื้อกลองชุดจากร้านขายกลองชุดที่เชื่อถือได้

กลองชุดราคาเริ่มต้นเท่าไร

แล้วกลองชุด ราคาเท่าไหร่ โดยทั่วไปแล้ว กลองชุด ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 5,000 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ วัสดุ และจำนวนกลอง เช่น

  • กลองชุด ราคาถูก 5,000 - 15,000 บาท มักทำจากไม้ MDF หรือวัสดุสังเคราะห์ มีจำนวนกลองน้อย ชิ้นส่วนอาจไม่แข็งแรง เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
  • กลองชุด ราคา 15,000 - 30,000 บาท มักทำจากไม้จริง เช่น ไม้เบิร์ช ไม้เมเปิ้ล มีจำนวนกลองมากขึ้น ชิ้นส่วนมีความแข็งแรง ทนทาน เหมาะสำหรับผู้เล่นทั่วไป
  • กลองชุด ราคา 30,000 บาทขึ้นไป มักทำจากไม้คุณภาพสูง เช่น ไม้มะฮอกกานี ไม้โอ๊ค มีจำนวนกลองมาก ชิ้นส่วนคุณภาพสูง เหมาะสำหรับผู้เล่นมืออาชีพ

ยกตัวอย่างราคากลองชุดของยี่ห้อต่าง ๆ เช่น

  • กลองชุด Yamaha Stage Custom Birch ราคาเริ่มต้น 15,900 บาท
  • กลองชุด Pearl Roadshow ราคาเริ่มต้น 16,900 บาท
  • กลองชุด Ludwig Accent Drive ราคาเริ่มต้น 18,900 บาท

สรุปเกี่ยวกับกลองชุด

กลองชุด (Drum Set) เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีกระทบ ประกอบไปด้วยตัวกลองและฉาบจำนวนหลายใบ เหมาะสำหรับผู้เล่นทุกเพศ ทุกวัย แตกต่างจากกลองไฟฟ้าด้วยการให้เสียงหนักแน่น เป็นธรรมชาติ การเล่นกลองชุดมีข้อดีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะทางด้านร่างกาย สมอง และทางด้านดนตรี อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพได้เป็นอย่างดี ดังนั้น หากต้องซื้อกลองชุด ควรศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบราคากลองชุดให้ดี เลือกซื้อจากร้านขายกลองชุดที่เชื่อถือได้เท่านั้น

28
กลอง

ดนตรีนั้นเป็นหนึ่งในวิธีการสื่อสารทางด้านอารมณ์ผ่านเสียงเครื่องดนตรีต่าง ๆ ซึ่งกลองนั้นเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีที่มีความเป็นมาที่ยาวนาน ด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และมีความชัดเจน ทำให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความสนุกในการเล่น ไม่เพียงเท่านั้นยังช่วยเสริมทักษะต่าง ๆ ให้กับผู้เล่นกลองอีกด้วย

กลองนั้นเป็นหนึ่งบทบาทสำคัญในการเล่นดนตรี เมื่อต้องเล่นดนตรีร่วมกับเครื่องดนตรีอื่น ๆ ซึ่งส่วนมากกลองจะทำหน้าที่กำหนดจังหวะของดนตรีในแต่ละห้องเพลง ทำให้มีความท้าทายและสนุกสำหรับผู้เล่นดนตรีประเภทกลอง โดยข้อดีของการเล่นกลองมีอะไรบ้าง เหมาะกับใคร ราคาเริ่มต้นกลองเท่าไหร่ ไปดูกัน

ข้อดีของการเล่นกลอง ดีอย่างไร เสริมทักษะอะไรบ้าง

การฝึกฝนในการทำสิ่งต่าง ๆ นั้นมักจะได้ทักษะมาเสมอซึ่งรวมไปถึงการเล่นดนตรี เมื่อฝึกฝนเป็นประจำนอกจากจะทำให้เราชำนาญในเครื่องดนตรีชนิดนั้นแล้ว ยังได้ทักษะที่เราไม่รู้ตัวทางด้านอื่น ๆ อีกด้วย โดยผู้ที่เล่นกลองนั้นมีข้อดีดังนี้คือ

เพิ่มความอดทน

กลองชุดนั้นประกอบด้วยเครื่องดนตรีหลายชิ้น และมีการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งทำให้ต้องแยกประสาทในการใช้เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นให้ถูกต้องและถูกจังหวะ ซึ่งจะมีความยากที่ต่างกันไปจากเครื่องดนตรีชนิดอื่น หากอดทนฝึกฝนจนเล่นได้นั้น เรียกได้ว่าต้องมีความอดทนและความชอบในระดับหนึ่ง

ผ่อนคลาย ระบายอารมณ์ ช่วยสร้างความคิดสร้างสรรค์

การเล่นกลองชนิดต่าง ๆ และกลองชุดนั้นจะต้องใช้กำลังแรงที่พอสมควร ขึ้นอยู่กับชนิดเพลงที่เราเล่น ซึ่งนอกจากการตีกลองจะช่วยให้ได้เพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงและจังหวะที่เราสร้างขึ้นแล้ว ยังถึงได้ว่าเป็นการผ่อนคลาย ใช้แรงไปในทางที่ถูกต้อง ช่วยทำให้สมองโล่งและมีพื้นที่ให้ไอเดียดีๆผุดขึ้น

เสริมการควบคุม และการบริหาร

ผู้ที่ตีกลองนั้นสามารถจะเป็นคนควบคุมจังหวะของทำนอง ต้องคอยคุมจังหวะของเพลง และให้เครื่องดนตรีอื่น ๆ ไม่เสียจังหวะ หากเสียจังหวะมือกลองจะต้องทำให้จังหวะเข้าสู่ทำนองปกติอีกด้วย

ยืดหยุ่น ปรับตัวได้

การเล่นดนตรีนั้นมีหลายจังหวะ เพลงหลายชนิดหลายทำนอง ซึ่งมือกลองนั้นส่วนมากจะเป็นผู้เปลี่ยนและคุมจังหวะ ซึ่งต้องทำหน้าที่คอยสังเกตจังหวะของผู้เล่นดนตรีเครื่องอื่น ๆและปรับให้เหมาะกับตามสถานการณ์หน้างานอีกด้วย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

กลอง เหมาะกับใครบ้าง

การตีกลองนั้นถือเป็นการเล่นดนตรีชนิดหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าเหมาะสำหรับทุกคนและทุกวัยที่สนใจ ซึ่งเด็กที่กำลังโตนั้นเหมาะกับการเล่นกลองเช่นเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ช่วยฝึกแยกประสาทได้ไวขึ้น ซึ่งแม้คนสูงวัยก็สามารถฝึกเล่นกลองได้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมทักษะต่าง ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวอย่างแน่นอน หากใครสนใจเรียนกลองนั้นหากมีงบสามารถไปเรียนตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เปิดสอนเรียนกลองชุด หรือ หากใครต้องการเรียนด้วยตนเองสามารถซื้อคอร์สออนไลน์หรือดูตามสื่อต่าง ๆ ได้

กลอง ดูแลรักษาได้อย่างไรบ้าง

การดูแลรักษา กลอง มีวิธีอะไรบ้าง

การดูแลรักษากลองอย่างถูกวิธีนั้นจะช่วยให้กลองนั้นมีประสิทธิภาพที่ดีเหมือนใหม่ และใช้งานได้นาน โดยขั้นตอนการดูแลรักษานั้นไม่ยากอย่างที่คิด โดยมีวิธีดังนี้คือ

1. วัสดุกลองและอุปกรณ์ต่าง ๆที่เป็นโครเมียมควรหมั่นปัดฝุ่นด้วยแปรงปัดขนอ่อนเป็นประจำ
2. หากส่วนใดที่มีการหล่อลื่น และต้องการเติมควรหาน้ำมันหล่อลื่นที่เหมาะสม ทาบาง ๆ ตามจุดที่ต้องการ
3. ไม่ควรใช้น้ำยาขัดทองเหลืองกับฉาบ เนื่องจากอาจทำให้เสียงของฉาบเปลี่ยนไปได้
4. ไม่ควรจับฉากในขณะที่มือมีเหงื่อ หากสัมผัสควรเช็ดทำความสะอาดหลังการใช้งาน
5. ทำความสะอาดวัสดุต่าง ๆ ด้วยน้ำสบู่อ่อน และเช็ดให้แห้ง
6. หมั่นตรวจเช็คสภาพเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นว่าเสียงเปลี่ยนไปหรือไม่

กลอง ราคาเริ่มต้นเท่าไร แพงหรือไม่

กลองชุดนั้นราคาจะแตกต่างกันไปหลายปัจจัย เช่น ราคาจะขึ้นอยู่ตามจำนวนเครื่องดนตรีของกลองชุดนั้น คุณภาพของวัสดุของหนังที่นำมาใช้หน้ากลอง วัสดุตัวกลอง จำนวนกลอง และจำนวนฉาบ ซึ่งจะมีราคาตั้งแต่ 8,000 บาทไปจนถึงหลัก 100,000 ซึ่งเป็นกลองที่มืออาชีพนั้นใช้เล่นดนตรีประกอบอาชีพนั่นเอง ซึ่งเราสามารถเลือกตามความเหมาะสม หากผู้ใดสนใจแต่กลัวเสียงรบกวน สามารถหาเลือกซื้อกลองไฟฟ้าที่สามารถใส่หูฟังและไม่รบกวนคนอื่นได้อีกด้วย

วิธีเลือกซื้อกลอง เลือกอย่างไรให้เหมาะกับเรา

การเลือกซื้อกลองนั้น ควรดูก่อนว่าเราเป็นผู้เริ่มต้นเรียนหรือไม่ หากสนใจเริ่มเรียนตีกลอง และมีงบที่จำกัด สามารถดูกลองชุดที่ราคาไม่สูงมากอาจจะเป็นหลักพันหรือหมื่นต้น ๆ เพื่อฝึกให้มีความคุ้นชิน หากใครที่ต้องการซื้อกลอง และต้องการเล่นดนตรีหลายประเภทอาจเลือกกลองที่มีเครื่องดนตรีหลายชิ้นเพื่อให้เหมาะกับประเภทดนตรีและทำนองต่าง ๆ หากใครที่ต้องการกลองชุดและไม่ต้องการให้เกิดเสียงดังรบกวนอาจเลือกเป็นกลองไฟฟ้าที่สามารถปรับเสียงได้หลายรูปแบบและสามารถใช้หูฟังเพื่อลดเสียงรบกวนได้อีกด้วย

ซื้อกลอง ที่ไหนดี ต้องดูอะไรบ้าง

สิ่งที่แนะนำสำหรับการเลือกซื้อกลองนั่นคือ ควรไปลองด้วยตนเองเพื่อการสัมผัสที่เราชอบหรือไม่ เสียงที่ได้ คุณภาพวัสดุต่าง ๆ ซึ่งสถานที่ที่เราเลือกไปซื้อควรมีความน่าเชื่อถือ มีสินค้าเป็นตัวเลือกให้เลือกมากมาย และมีบริการที่ดี ให้คำแนะนำลูกค้าที่มาสอบถามได้ จะช่วยให้ตัดสินใจซื้อกลองได้ดีขึ้น

สรุปกลอง เครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยม

กลองนั้นมีหลากหลายประเภท และหนึ่งในประเภทที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนั่นคือกลองชุด ที่มักอยู่ในวงดนตรีต่าง ๆ ซึ่งการตีกลองนั้นช่วยเสริมทักษะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความอดทน ผ่อนคลายระบายอารมณ์ เสริมความยืดหยุ่นในสถานการณ์ต่าง ๆ และการทำงานเป็นทีมเมื่อเล่นดนตรีกับผู้อื่น ซึ่งการเลือกซื้อกลองนั่นไม่ยาก เลือกกลองที่ผู้ซื้อสนใจ จำนวนเครื่องดนตรี เสียงที่ได้ ระบบต่าง ๆ เพื่อให้ตรงตามความต้องการของผู้ต้องการตีกลอง

29
งานบวช

งานบวชพระหรืองานบวช เป็นพิธีกรรมที่สืบต่อกันมาจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับชายไทยทุกคน เป็นงานบุญใหญ่ทำบุญงานบวชที่มีเหล่าบรรดาญาติ พี่น้อง เข้ามาช่วยเหลืองานกันอย่างเต็มที่ เป็นเรื่องดีสำหรับบ้านที่มีลูกชายจะเป็นที่รู้กันเลยว่าจะต้องมีการวางแผนการจัดงานบวชลูกชายในอนาคตอย่างแน่นอน

งานบวชคืออะไร ประเพณีบวชนาคงานบุญของชายไทยตอบแทนพ่อแม่

งานบวชคืออะไร?

งานบวชเป็นประเพณีงานบวชไทยที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ สำหรับชายไทยในการสร้างกุศลใหญ่ให้กับบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ญาติพี่น้องมาร่วมอนุโมทนาบุญงานบวช รวมถึงให้กับตนเองจากการบวชเพื่อเข้าไปศึกษาพระธรรม สืบทอดพระพุทธศาสนาและศึกษาเรื่องราวของชีวิตความเป็นมนุษย์กับบาปบุญคุณโทษและเป้าหมายของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ รู้จักกับนรกและสวรรค์การเวียนว่ายตายเกิด เป็นการเรียนรู้ฝึกฝนตนเองเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อกลั่นเกลาให้เป็นมนุษย์

ทำไมงานบวชจึงมีความสำคัญต่อคนไทย?

งานบวช เป็นพิธีทางศาสนาที่มีความสำคัญของคนไทยทุกภาคเป็นงานบุญใหญ่ของชายไทยเพื่อตอบแทนพระคุณบิดามารดาโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นต้นกำเนิดของเรื่องเล่าของงานพิธีทำขวัญนาค หรือพิธีบวชนาคงานบวชภาคอีสานที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าในสมัยพุทธกาลเกี่ยวกับงานบวชนาค เกิดจากนาคตนหนึ่งซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานแต่จำแลงแปลงกายเป็นมนุษย์ธรรมดา เพื่อต้องการการบวชเป็นพระภิกษุแต่ถูกจับได้และพระพุทธเจ้าจึงให้สึก จึงเป็นที่มาของคำว่านาค คือผู้ที่กำลังจะเข้าพิธีบวชเป็นภิกษุ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพญานาคตนนั้น ทำให้เป็นประเพณีประเพณีงานบวชนาค ทำขวัญนาค และขานนาค

ช่วงอายุที่เหมาะสมต่อการจัดงานบวช

แนวการปฏิบัติที่สืบต่อกันมาตามประเพณีงานบวช สำหรับชายไทยที่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์มีร่างกายแข็งแรงและสมบูรณ์ไม่เป็นผู้พิการหรือทุพพลภาพมีสมณบริขารถูกต้องและครบถ้วนต้องกล่าวคำขอบรรพชาอุปสมบทได้อย่างถูกต้อง ทั้งยังสามารถบำเพ็ญสมณกิจได้ โดยช่วงอายุนี้เป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการประกอบพิธีงานบวชหรือพิธีอุปสมบทเพื่อเป็นการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อนำไปใช้นำทางในการดำเนินชีวิตที่มีความสงบสุขและอยู่ได้ด้วยการมีสติ เป็นสุภาพชนที่ประพฤติชอบสามารถครองตนให้ไม่เป็นผู้มีทิฏฐิวิบัติ

7 ขั้นตอนจัดงานบวชที่เราควรทราบ

การเตรียมงานบวชใช้งบเท่าไหร่? มีขั้นตอนและพิธีการอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางให้ครอบครัวที่กำลังวางแผนการจัดงานบวชลูกชาย ซึ่งเป็นขั้นตอนของการเตรียมตัวก่อนงานบวชพระสำหรับ 1 งานด้วยงบงานบวชโดยประมาณ 40,000 - 100,000 บาทซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. ติดต่อเจ้าอาวาสหรือนัดหมายกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลวัด

เมื่อเลือกได้แล้วว่าต้องการใช้สถานที่ใดในการจัดงานบวช ก็ควรจะต้องทำการติดต่อเจ้าอาวาสหรือเจ้าหน้าที่ของวัด เพื่อนัดหมายและหาฤกษ์บวช โดยจะต้องทำการแจ้งล่วงหน้าก่อนที่จะเข้าไปพบเจ้าอาวาส

2. จัดหาและเตรียมเครื่องบวชที่ต้องใช้ให้เรียบร้อย

งานบวชเป็นพิธีกรรมทางศาสนาที่ต้องมีการวางแผนและการจัดเตรียมเครื่องบวชล่วงหน้าอย่างครบถ้วนเนื่องด้วยเป็นพิธีกรรมที่มีเพียงครั้งเดียวสำหรับประเพณีงานบวชของลูกชาย 1 คนโดยงบประมาณงานบวชใช้เงินเท่าไหร่หากเป็นงานเพียงวันเดียวก็เสร็จสิ้นพิธี  ในส่วนนี้ได้รวบรวมข้อมูลอย่างคร่าว ๆ เตรียมไว้ให้ดังนี้

  • งบงานบวชในส่วนของพิธีปลงผมและพิธีขอขมาบิดามารดา ประมาณ 2,000 บาท
  • งบงานบวชในส่วนของพิธีอาบน้ำนาค ประมาณ 2,000 บาท
  • งบงานบวชในส่วนของพิธีแห่รอบอุปสมบทและวันทาเสมา ประมาณ 25,000 บาท
  • งบงานบวชในส่วนของพิธีทำขวัญนาคและฉลองไตรงานบวช ประมาณ 21,000 บาท
  • งบงานบวชในส่วนของพิธีบรรพชา อุปสมบท และเลี้ยงเพลพระ ประมาณ 11,000 บาท

3. ศึกษาหลักปฏิบัติและพระธรรมให้เรียบร้อย

หลังจากหาฤกษ์บวชแล้ว คุณควรเตรียมตัวโดยการศึกษาธรรมะเบื้องต้นโดยการอ่านหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และรักษาศีล

4. ซ้อมท่องบทสวดและลำดับขั้นตอนการบวชพระให้เรียบร้อย

ก่อนบวชนาคต้องมีการซ้อมท่องบทสวดต่าง ๆ และต้องจำให้ขึ้นใจไปจนกระทั่งขั้นตอนการบวชนาค

5. ทำการขอขมาและลาบวชแก่บิดามารดา

ก่อนเข้าพิธีบวชนาคจะต้องทำพิธีขอขมาเพื่อลาบวช โดยต้องขอขมาบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ทั้งญาติใกล้ชิดและบุคคลที่ให้ความเคารพรักเพื่อลาบวช

6. ทำพิธีปลงผม

พิธีปลงผมหรือโกนผมนาค โดยจะให้บิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่รวมถึงพี่น้องของนาค มาตัดปอยผมก่อน หลังจากนั้นพระพี่เลี้ยงจะทำการโกนผมนาค

7. ทำพิธีแห่นาค โปรยทาน และเข้าโบสถ์เพื่อทำพิธีอื่น ๆ ต่อไปตามเหมาะสม

พิธีแห่นาคก่อนจะเข้าโบสถ์นาคต้องกล่าวคำขอขมาลาบวชต่อบิดามารดา พร้อมทั้งรับมอบผ้าไตรก่อนจะเข้าไปในโบสถ์ จากนั้นนาคจะโปรยทานให้กับผู้ที่มาร่วมงานอุปสมบทก่อนเข้าสู่ประตูโบสถ์ เมื่อเข้าไปในโบสถ์แล้วนาคต้องไหว้พระประธาน พร้อมกับกล่าวขออุปสมบท จากนั้นฟังพระอุปัชฌาย์สอนกัมมัฏฐานและพระอุปัชฌาย์ทำการสวมอังสะให้กับนาค จากนั้นนาคต้องออกไปหลังโบสถ์เพื่อครองผ้าไตรจีวร

สรุปงานบวชพิธีกรรมศาสนาตอบแทนคุณบิดามารดา

งานบวชเป็นพิธีกรรมทางศาสนาและยังเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากสำหรับพุทธศาสนิกชนได้ร่วมร่วมอนุโมทนาบุญงานบวชให้นาคได้ตอบแทนคุณบิดามารดา และได้ไปร่วมงานบวชงานบุญใหญ่ ที่มีการรวมญาติ พี่น้อง คนที่นับถือได้เข้ามาร่วมช่วยงานแห่นาคบวชเข้าโบสถ์

30
แผ่นยิปซั่ม

แผ่นยิปซั่มเป็นวัสดุก่อสร้างอเนกประสงค์ ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการก่อสร้าง ไปจนถึงการออกแบบตกแต่งภายใน มีชื่อเสียงในด้านในเรื่องคุณภาพและติดตั้งง่าย แผ่นยิปซั่มจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับช่างก่อสร้าง ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักเกี่ยวกับยิปซั่มบอร์ดกันอย่างเจาะลึกในแง่มุมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อดี การเลือกใช้ คุณสมบัติ ไปจนถึงข้อควรระวังในการใช้งาน เพื่อให้นำไปพิจารณาเลือกว่าจะใช้แผ่นยิปซั่มในงานของคุณหรือไม่นั้นเอง

ข้อดีของการเลือกใช้งานแผ่นยิปซั่ม

ยิปซั่ม

แผ่นยิปซั่มนั้นมีข้อดีหลายประการ ซึ่งมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง การทำความเข้าใจถึงคุณประโยชน์ของยิปซั่มเหล่านี้ สามารถช่วยให้ทั้งมืออาชีพ รวมถึงเจ้าของบ้านจะได้มีข้อมูลในการตัดสินใจเลือกวัสดุก่อสร้าง

1. ความคล่องตัว
แผ่นยิปซั่มมีความหลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ ใช้งานได้หลายวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างผนัง เพดาน รวมถึงใช้เป็นวัสดุตกแต่งบ้าน เป็นต้น ยิปซั่มบอร์ดนั้นมีความสามารถในการปรับตัวทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในที่พักอาศัย การพาณิชย์ ไปจนถึงใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย

2. ติดตั้งง่าย
เหตุผลสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ช่างเทคนิคชอบแผ่นยิปซั่มคือติดตั้งง่าย ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างใหม่หรือการปรับปรุงสิ่งก่อสร้างก็ตาม ยิปซั่มบอร์ดสามารถติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดต้นทุนค่าแรงและระยะเวลาในการทำโครงการ สิ่งนี่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดเวลาในการทำงานที่มีอย่างจำกัด

3. พื้นผิวเรียบ
แผ่นยิปซั่มให้พื้นผิวเรียบ ทั้งยังสม่ำเสมอ ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผนัง หรือเพดานภายใน ง่ายต่อการประยุกต์ใช้งานเคลือบต่าง ๆ เช่น สีหรือวอลลล์เปเปอร์ ส่งผลให้ภายในมีความสวยงามมากยิ่งขึ้น

4. การทนไฟ
ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ในการก่อสร้าง ซึ่งแผ่นยิปซั่มมีความเป็นเลิศในการทนไฟ ยิปซั่มบอร์ดเหล่านี้ มีโมเลกุลของน้ำซึ่งจะถูกปล่อยออกมาเมื่อสัมผัสกับความร้อน ช่วยชะลอการแพร่กระจายของเปลวไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ยิปซั่มเป็นวัสดุที่สามารถนำไปสร้างผนัง หรือเพดานทนไฟในอาคารได้

5. ฉนวนกันเสียง
แผ่นยิปซั่มช่วยให้สภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัย หรือที่ทำงานเงียบยิ่งขึ้นด้วยคุณสมบัติเป็นฉนวนกันเสียง ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งภายในอาคาร สำนักงาน และบ้านที่มีหลายยูนิต ซึ่งช่วยลดเสียงรบกวนได้เป็นอย่างดี

วิธีการเลือกแผ่นยิปซั่ม

ในการเลือกแผ่นยิปซัมสำหรับโครงการก่อสร้างหรือซ่อมบำรุงของคุณ การตัดสินใจอย่างมีข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ พิจารณาปัจจัยดังต่อไปนี้ เพื่อให้แน่ใจว่ายิปซั่มบอร์ดที่คุณเลือกตรงตามความต้องการเฉพาะในการใช้งานของคุณ

• ประเภทของแผ่นยิปซั่ม ระบุประเภทแผ่นยิปซัมที่เหมาะกับโครงการของคุณ ไม่ว่าจะเป็นบอร์ดมาตรฐาน บอร์ดกันความชื้น หรือบอร์ดกันไฟ การทำความเข้าใจคุณลักษณะจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

• ความหนา กำหนดความหนาที่เหมาะสม ตามความต้องการของโครงการของคุณ บอร์ดที่หนาขึ้นช่วยเพิ่มความแข็งแรง หรืออาจจำเป็นสำหรับการใช้งานเฉพาะด้าน แต่ราคาวัสดุจะสูงตามไปด้วย

• ประเภทขอบ เลือกประเภทขอบที่สอดคล้องกับความต้องการในการตกแต่งของคุณ ตัวเลือกต่าง ๆ เช่น ขอบสี่เหลี่ยม ขอบเรียว หรือขอบเอียง เป็นต้น

• คุณสมบัติพิเศษ พิจารณาคุณสมบัติพิเศษที่จำเป็นสำหรับโครงการของคุณ เช่น ความต้านทานต่อเชื้อรา หรือความทนทานที่เพิ่มขึ้น การเลือกแผ่นยิปซั่มที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของคุณ

ด้วยการใส่ใจกับปัจจัยเหล่านี้ คุณสามารถเลือกแผ่นยิปซัม ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการทางเทคนิคของโครงการได้อย่างมั่นใจแล้ว ยังช่วยให้กระบวนการก่อสร้างหรือซ่อมบำรุงใหม่ ประสบความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

คุณสมบัติของแผ่นยิปซั่มที่เราควรทราบ

การทำความเข้าใจคุณสมบัติพื้นฐานของแผ่นยิปซั่มถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลในโครงการก่อสร้างหรือปรับปรุงใหม่ นี่คือคุณสมบัติสำคัญที่คุณควรทราบ:

• ส่วนประกอบ แผ่นยิปซั่มประกอบด้วยแผ่นบอร์ดที่ผสมกับผงยิปซั่ม ทำให้เกิดความแข็งแรง ความยืดหยุ่น ความทนไฟ ไปปจนถึงเป็นฉนวนป้องกันเสียง

• ความทนทาน แผ่นยิปซั่มที่ได้รับการติดตั้ง บำรุงรักษาอย่างเหมาะสม เป็นที่รู้จักในด้านความทนทาน ทั้งยังมีอายุการใช้งานยาวนาน สามารถทนทานต่อการสึกหรอได้ดี

• สิ่งแวดล้อม แผ่นยิปซั่มเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับแร่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสามารถรีไซเคิลได้ ทำให้เป็นวัสดุที่ยั่งยืน

• น้ำหนัก แผ่นยิปซั่มมีน้ำหนักเบา ช่วยให้การจัดการและการขนส่งระหว่างการติดตั้งทำได้ง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยลดภาระโดยรวมของโครงสร้างอาคาร

การทำความเข้าใจคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของแผ่นยิปซั่มในโครงการก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการใช้งานแผ่นยิปซั่ม

แผ่นยิปซั่มราคา

แม้ว่าแผ่นยิปซั่มจะมีประโยชน์มากมาย แต่สิ่งสำคัญคือต้องราบข้อควรระวังต่าง ๆ ไว้ด้วย เพื่อให้แน่ใจว่ามีการติดตั้งนั้นเป็นไปอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น การทำความเข้าใจข้อควรระวังเหล่านี้ จะช่วยป้องกันปัญหาทั่วไปและรับประกันประสิทธิภาพสูงสุดของยิปซั่มในโครงการก่อสร้างของคุณได้

1. การสัมผัสกับความชื้น
แผ่นยิปซัมมีความเสี่ยงต่อความเสียหายจากการสัมผัสกับความชื้นเป็นเวลานาน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้กระดานกันความชื้นในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อความชื้น เช่น ห้องใต้ดิน ห้องน้ำ หรือห้องครัว เป็นต้น นอกจากนี้ควรมีมาตรการระบายอากาศ พร้อมทั้งกันซึมที่เหมาะสม เพื่อลดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความชื้น

2. เทคนิคการติดตั้งที่เหมาะสม
เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากแผ่นยิปซั่ม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติตามเทคนิคการติดตั้งที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการใช้ตัวยึดที่ถูกต้อง การใช้ข้อต่ออย่างถูกต้อง ไปจนถึงการตรวจสอบให้แน่ใจว่ายิปซั่มบอร์ดได้รับการจัดวางอย่างเหมาะสม ควรได้รับการติดตั้งโดยมืออาชีพ หรือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของผู้ผลิต เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

3. การจัดการและการเก็บรักษา
การจัดการและการเก็บรักษาแผ่นยิปซั่มอย่างระมัดระวัง ถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความเสียหาย ยิปซั่มบอร์ดควรเก็บไว้ในตำแหน่งที่แห้งและเรียบ ควรใช้ความระมัดระวังในระหว่างการขนส่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการงอหรือแตกหัก การปฏิบัติตามขั้นตอนที่เหมาะสม ทำให้มั่นใจได้ว่าแผ่นยิปซั่มจะรักษาความสมบูรณ์อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุปเรื่อง แผ่นยิปซั่มคุณภาพสูง

แผ่นยิปซั่มเป็นวัสดุก่อสร้างคุณภาพสูง ที่ช่างต่างเลือกใช้ ด้วยการใช้งานได้อย่างหลากหลาย ทั้งยังมีข้อดีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความทนทาน ทนความร้อน ทนทานไฟ น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ทั้งยังเป็นฉนวนกันเสียงได้อีกด้วย ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เอง จึงได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมก่อสร้างอย่างแท้จริง

31
ระบบ crm

ตอนนี้การตลาดออนไลน์เข้ามามีบทบาทสำคัญของการเป็นช่องทางขายสินค้าและบริการ ปัจจุบันหลายธุรกิจมีการแข่งขันกันอย่างกว้างขวาง มีคู่แข่งเจ้าใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงกว่าเดิม ทำให้หลายๆ แบรนด์หันมาเน้นความใส่ใจกับตัวสินค้าและบริการให้ดีเหนือกว่าเจ้าอื่น เพื่อรักษาฐานลูกค้าอย่างมั่นคง จึงมีการเก็บข้อมูลผ่านระบบ CRM (Customer Relationship Management) ซึ่งเป็นระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ที่ได้ประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ต่อร้านค้าหรือองค์กรเป็นอย่างยิ่ง

ความหมายของระบบ CRM

ระบบ CRM หรือ Customer Relationship Management เป็นระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นเพื่อจัดการข้อมูลการซื้อ-ขาย สามารถติดตามและตรวจสอบผลลัพธ์หลังการขายว่า ลูกค้ามีความพึงพอใจและกลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำอีกหรือไม่ เป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้าในระยะยาว หรือสร้าง Loyalty ให้กับแบรนด์ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า เพื่อให้แบรนด์เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค จนนำไปสู่กับกำหนดเป้าหมายหรือความต้องการอย่างตรงจุด  แถมยังช่วยส่งเสริมยอดขายและผลกำไรให้แก่บริษัทได้ โดยของมูลที่ได้จากระบบ CRM สามารถนำไปกำหนดทิศทางของแบรนด์ เช่น การวางกลยุทธ์การตลาด การสร้างผลงานให้ตรงใจลูกค้า การนำเครื่องมือต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อธุรกิจเข้ามาช่วยส่งเสริมให้ดีขึ้น

ทำไม CRM จึงมีบทบาทที่จำเป็นต่อภาคธุรกิจ?

ระบบ CRM ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในธุรกิจทั้ง B2B หรือ B2C การบริหารความ
สัมพันธ์กับลูกค้าจึงเป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องรักษาเอาไว้ ดังนั้นการรวบรวมข้อมูลจากผู้บริโภคจึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อหาช่องทางหรือโอกาสสร้างการเติบโตภายในองค์กร 

เหตุผลข้อที่ 1

สะดวกต่อการเก็บรวบรวมข้อมูลทางธุรกิจของลูกค้าไว้ในโปรแกรม CRM เพียงที่เดียว ง่ายต่อการนำออกมาใช้ แถมสามารถแชร์กับทีมงานในฝ่ายต่างๆ เช่น ทีม Sale, ทีม Marketing, ทีม Developer เป็นต้น

เหตุผลข้อที่ 2

อำนวยความสะดวกหรือลดเวลาในการทำงานให้แต่ละฝ่ายได้ และสามารถใช้ข้อมูลเพื่อนำมาสร้างสรรค์ผลงานหรือแคมเปญทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพตอบโจทย์ลูกค้า

เหตุผลข้อที่ 3

เป็นการจัดการลูกค้าสัมพันธ์หรือรักษาฐานลูกค้าเก่า ผ่านข้อมูลที่ได้จากระบบ CRM จนทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ หรือเกิดการบอกต่อ จนนำไปสู่การสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty)

เหตุผลข้อที่ 4

เมื่อแคมเปญตรงกับความต้องการของลูกค้าหรือเป้าหมายใหม่ๆ จะทำให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น และอาจเกิดการบอกต่อหรือแนะนำกันไปเรื่อยๆ นอกจากจะได้ลูกค้ารายใหม่แล้ว ยังเป็นการเพิ่มลูกค้าประจำในอนาคตอีกด้วย

รูปแบบของ CRM ที่สามารถนำไปใช้ในธุรกิจได้มีอะไรบ้าง?

sales crm คือ

การนำรูปแบบข้อมูลจากระบบสมาชิก CRM ไปใช้ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจต่างๆ มีดังนี้

ใช้ในการ Support ลูกค้าหลังจากให้บริการเรื่องงานขาย

หลังจากที่ลูกค้ามีการสั่งซื้อเรียบร้อยแล้ว บริการหลังการขายก็ช่วยสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้อย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น การสมัครระบบสมาชิกเพื่อรับส่วนลดหรือคูปองต่างๆ การติดตามหรือสอบถามฟีคแบคจากลูกค้า เพื่อนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น การตอบคำถามหรือคอยช่วยเหลือในกรณีที่มีข้อสงสัยหรือเกิดข้อผิดพลาดขึ้นในทันที

ใช้สำหรับการติดตาม Status ในเรื่องการขายของทีม

ระบบ CRM เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามผลลัพธ์หลังการขายของทีม Sale ได้ และช่วยให้บริษัทสามารถวางแผน ติดตามสถานะของทีมขายว่าถึงขั้นตอนไหนแล้วบ้าง แถมยังช่วยคำนวณต้นทุนสินค้าหรือบริการ เพื่อคุมงบประมาณหรือจัดสรรให้เกิดประโยชน์กลับมาสูงสุด ผ่านระบบจัดการข้อมูล CRM

เพิ่มประสิทธิภาพในงานบริการเพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า

ระบบ CRM ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการเพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าเก่าและใหม่ โดยมีวิธีการดังนี้

• การรับเรื่องหรือปัญหาจากลูกค้า เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาบริการให้ดียิ่งขึ้น
• การแก้ไขปัญหาหรือคอยแนะนำทางออกที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า
• การติดตามผลลัพธ์หลังการขาย/บริการ หรือเมื่อแก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้ว เพื่อนำฟีดแบคที่ได้มาพัฒนาองค์กรต่อไป

ขั้นตอนการทำ CRM ที่เราควรรู้จัก

กระบวนการทำ CRM หรือระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ เพื่อสร้างแนวทางการรักษาฐานลูกค้าประจำและเปลี่ยนแปลงกลุ่มเป้าหมายให้กลายมาเป็นลูกค้า มีดังนี้

ขั้นตอนที่ 1

การสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ (Awareness) เป็นการแนะนำธุรกิจให้ผู้บริโภคทราบหรือเคยเห็นผ่านตามาบ้างแล้ว เป็นขั้นตอนแรกที่หลายธุรกิจควรทำก่อนเสมอ โดยมีวิธีการดังนี้

• การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย โดยทีม Marketing จะต้องมีการรวบรวมข้อมูลจากระบบ CRM  แล้วมาทำเป็นแผนภาพ Consumer Journey เพื่อกำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจนและเข้าไปในใจผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด
• การแยกกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน โดยการสร้างคุณลักษณะหรือ Persona ให้กับผู้บริโภค เพื่อแบ่งกลุ่มตามความสนใจหรือลักษณะทางประชากร ซึ่งจะช่วยให้ทราบแนวโน้มของคนที่อาจจะเป็นลูกค้าของแบรนด์ได้และเน้นไปที่กลุ่มๆ นั้น
• การสร้างแคมเปญทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามามีปฎิสัมพันธ์กับแบรนด์ ผ่านการทดสอบ A/B Testing ทั้ง on location หรือ online เพื่อนำไปพัฒนาแคมเปญใหม่ๆ ให้ตรงกับความสนใจของ Target group มากขึ้น

ขั้นตอนที่ 2

การสร้างกลุ่มเป้าหมายสำหรับการขาย โดยให้ทีมการตลาดสร้างแคมเปญที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น การสะสมแต้ม การสมัครสมาชิกออนไลน์ ในส่วนของทีมขายจะต้องนำเอาระบบ CRM มาเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านช่องทางต่างๆ ที่ได้รับจากฝ่ายการตลาด

ขั้นตอนที่ 3

เปลี่ยนเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าของแบรนด์ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบ CRM ที่ช่วยสร้างโอกาสปิดการขายได้สูงสุด โดยที่ฝ่ายขายจะต้องติดตามความคืบหน้าของผลลัพธ์ที่ได้ผ่านแดชบอร์ด CRM ที่สะดวก รวดเร็ว ข้อมูลสดใหม่

ขั้นตอนที่ 4

การบริการลูกค้าที่เหนือระดับ เมื่อสามารถเปลี่ยนเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าได้แล้วนั้น ขั้นตอนถัดมาคือการรักษาฐานลูกค้าให้อยู่กับแบรนด์ไปนานๆ ผ่านการให้บริการหลังการขายที่ดีกว่าเดิม ที่สามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษของทางแบรนด์

ขั้นตอนที่ 5

การกระตุ้นยอดขาย เป็นการสร้างฐานลูกค้าที่ชื่นชอบในตัวแบรนด์อยู่แล้ว จนทำให้เกิดการกลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำ โดยอาจมีวิธีการโทรสอบถาม หรือส่งอีเมลแนะนำสินค้าใหม่ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับสินค้าเดิมที่ลูกค้าเคยซื้อ ซึ่งจะได้ข้อมูลมาจากระบบ CRM ที่สามารถเชื่อมั่นได้ว่าข้อเสนอต่างๆ จะถูกส่งไปให้กับผู้บริโภคที่มีแนวโน้มในการซื้อหรือใช้บริการกับแบรนด์จริงๆ

ความแตกต่างของ CRM - B2B CRM vs. B2C CRM

ระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์

โดยปกติโปรแกรม CRM จะเน้นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ธุรกิจ B2B เป็นหลัก  แต่ปัจจุบันธุรกิจ B2C มีการนำเอาระบบ CRM เข้ามาช่วยในการทำงานมากขึ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น

B2C CRM ระบบนี้จะเน้นการขายบริการให้กับลูกค้ารายบุคคล โดยธุรกิจที่ใช้ CRM ส่วนมากจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้าทั่วไป โรงแรม ที่มีวัตถุประสงค์ในการขายสินค้าให้เข้ากับประสบการณ์หรือความชื่นชอบของแต่ละบุคคล ส่วนใหญ่มักทำเป็นแคมเปญการตลาดทั่วไป เช่น การสะสมแต้มแลกพอยท์ หรือ Reward Program ต่างๆ

B2B CRM ระบบนี้จะเน้นไปที่การขายบริการให้แก่บริษัทกับบริษัทด้วยกันเอง โดยธุรกิจที่ใช้ CRM ระบบนี้ จะมีวัตถุประสงค์ในการนำซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยเหลือทีม Sale เป็นหลัก โดยที่ Lead ในธุรกิจ B2B นี้จะได้จำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับ B2C CRM

สรุประบบ CRM ดีต่อธุรกิจอย่างไร

ระบบ CRM มีความสำคัญในแง่ของการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า ที่ธุรกิจทั้งใหญ่หรือเล็กนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายจากฐานลูกค้าเก่า จากการสร้างความพึงพอใจในรูปแบบต่างๆ เช่น บริการหลังการขาย Gift Voucher สิทธิพิเศษอื่นๆ ที่สมาชิกจะได้รับ หรือนำข้อมูลไปคิดแคมเปญหรือวางกลยุทธ์หาลูกค้าใหม่ๆ เพื่อดันยอดขายให้เพิ่มขึ้น


32
แอปกู้เงิน

เชื่อว่าหลายๆ คนคงประสบปัญหาคล้ายๆ กัน อย่างการหมุนเงินไม่ทัน จนต้องหยิบยืมเงินคนรอบข้างมาใช้ก่อน แม้ไม่อยากเป็นหนี้แต่ความจำเป็นหลายๆ อย่างก็บีบบังคับให้เราต้องกู้ ดังนั้นการกู้เงินจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและปลอดภัย ย่อมดีกว่าการกู้นอกระบบอย่างแน่นอน และการกู้ผ่านแอปกู้เงินถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางที่ปลอดภัยและถูกกฎหมาย

ทำไมแอปกู้เงินจึงได้รับความนิยม?

ในยุคที่ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้อย่างรวดเร็วนี้ หลายๆ คนที่กำลังร้อนเงินก็คงมองหาลู่ทางที่จะช่วยให้กู้เงินได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนเยอะแยะเหมือนสมัยก่อน ดังนั้นแอปกู้เงินออนไลน์จึงสามารถตอบโจทย์หลายๆ คนได้ จึงไม่แปลกหากจะได้รับความนิยม

โดยแอปกู้เงินนี้ก็มีทั้งแบบที่ทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และแบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งแอปเงินกู้ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่บรรดามิจฉาชีพใช้แฝงตัวมาหลอกล่อผู้ที่กำลังมีปัญหาทางการเงินเพราะจะเป็นกลุ่มคนที่หลอกล่อได้ง่าย

ประเภทของแอปกู้เงินที่ควรทำความรู้จัก

แอปกู้เงินประเภทต่างๆ

การกู้เงินออนไลน์คืออะไร? เงินกู้ออนไลน์ Digital Lending คือ การปล่อยสินเชื่อเงินกู้ให้แก่ธุรกิจ และบุคคลรายย่อยผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น แอปกู้เงินออนไลน์ โดยวิธีการสมัคร การส่งเอกสาร และการแจ้ง ทุกขั้นตอนจะดำเนินการอย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งเราไม่ต้องไปทำเรื่อง หรือดำเนินการใดๆ ด้วยตัวเองที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ กล่าวคือ เราสามารถสมัคร และส่งเอกสารทางแอปกู้เงินออนไลน์ได้เลย และรู้ผลจากทางแอปกู้เงินออนไลน์เช่นเดียวกัน

1. P2P Lending Platform

Peer-to-Peer Lending (P2P) คือ แพลตฟอร์มสินเชื่อออนไลน์ระหว่างบุคคล กล่าวคือเป็นแอปกู้เงินที่เป็นลักษณะกู้ยืมระหว่างบุคคลต่อบุคคล โดยเป็นการให้สินเชื่อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ มีระบบการทำงานคือทางแอปจะจับคู่ผู้ขอสินเชื่อ และนักลงทุนซึ่งเป็นบุคคลทั่วไป โดยไม่ต้องผ่านคนกลางอย่างธนาคาร เรียกได้ว่าเป็นการกู้เงินผ่านแอปโดยใช้แพลตฟอร์มเป็นตัวเชื่อมให้ทั้งสองฝ่ายได้เจอกัน ซึ่งแอปกู้เงินแบบ P2P นี้มักจะเป็นรูปแบบบริการหาเงินทุนในลักษณะของสินเชื่อบุคคลเพื่อการใช้จ่ายส่วนตัว (Personal Loan) มากกว่าเพื่อธุรกิจ

2. E-Commerce and Social Platform

E-Commerce หรือ Social Media คือรูปแอปกู้เงินที่ทาง Platform E-Commerce หรือ Social Media เหล่านั้นมีบริการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะใช้ฐานข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่มาประเมินความเสี่ยงของวงเงินที่ควรให้ รวมถึงดอกเบี้ยของการปล่อยสินเชื่อแต่ละครั้ง

ส่วนใหญ่แล้วการกู้เงินผ่านแอปประเภทนี้มักจะปล่อยกู้ให้เป็นรูปแบบของเครดิต เพื่อหวังให้ลูกค้านำมาใช้หมุนเวียนให้เกิดการซื้อขายใน Platform เหล่านั้น เช่น Grap, Amazon, WeChat

3. Mobile Money Lender

Mobile Money Lender คือ รูปแบบการกู้เงินผ่านแอปที่ทางธนาคารจะร่วมมือกับเหล่าเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้า เพราะบริษัทเครือข่ายมือถือนั้นต่างก็มีข้อมูลและฐานลูกค้าจำนวนมากอยู่แล้ว และในหลายๆ ประเทศนั้นอาจมีเครือข่ายมือถือเพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้น ซึ่งหากธนาคารร่วมมือกับบริษัทเครือข่ายมือถือทำแอปกู้เงินก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กลุ่มคนทั่วไปเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น เพราะในปัจจุบันใครๆ ต่างก็มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนด้วยกันทั้งสิ้น

4. Tech-Enabled Lender

Tech-Enabled Lender คือ รูปแบบของแอปกู้เงินที่นำเทคโนโลยีมาช่วยในการทำเรื่องขอสินเชื่อที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ เช่น การนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการวิเคราะห์เอกสาร ทำประเมินวงเงินที่เหมาะสมกับผู้มาขอสินเชื่อ ทำให้มีขั้นตอนการทำงานเร็วขึ้นและช่วยให้ผู้กู้สามารถได้รับการอนุมัติสินเชื่อได้ไวขึ้นด้วย

แอปกู้เงินที่ถูกกฎหมาย

ตัวอย่างแอปกู้เงินที่ถูกกฎหมาย

  • LINE BK เป็นแอปกู้เงินถูกกฏหมายที่เกิดจากการร่วมมือกันของธนาคารกสิกรไทย และ LINE โดยมีจุดเด่นคือ ระยะเวลาผ่อนจ่ายสูงสุด 60 เดือน และใช้เพียง Statement สำหรับยื่นขอสินเชื่อเท่านั้น ไม่ต้องใช้สลิปเงินเดือน โดยวงเงินในการขอกู้คือไม่เกิน 50,000 บาท และมีระยะเวลาอนุมัติ 1-3 วัน
  • เงินทันเด้อ เป็นแอปกู้เงินที่ให้บริการโดย บริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด ภายใต้เครือธนาคารไทยพาณิชย์ โดยผู้กู้สามารถใช้เวลาในการจ่ายคืนได้นานถึง 15 เดือน และทำเรื่องยื่นกู้ได้ตลอด ไม่มีวันหยุด อนุมัติไวภายใน 24 ชม. แถมยังไม่ต้องวางเงินมัดจำ หรือค่าธรรมเนียมใดๆ อีกด้วย ซึ่งมีวงเงินในการขอกู้ไม่เกิน 50,000 บาท และมีเงื่อนไขอายุอยู่ที่ 20-65 ปี
  • Money Hub  เป็นแอปกู้เงินที่เปิดให้บริการโดยมีแหล่งทุนจากบริษัทแม่ คือ บริษัท ไทยฟู๊ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยเน้นทุกธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์ ใช้งานง่าย เอกสารน้อย อนุมัติไว เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการมีภาระหนี้ระยะยาว เพราะดอกเบี้ยชัดเจน ไม่มีค่าธรรมเนียมแฝง

สรุปแอปกู้เงิน

ถึงแม้การขอสินเชื่อผ่านแอปกู้เงินจะง่ายและสะดวกเพียงใด ผู้ใช้งานก็จำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าเป็นแอปกู้เงินถูกกฏหมาย เพราะยิ่งใช้ง่ายและเร็วก็ยิ่งเป็นอีกช่องทางที่มิจฉาชีพจะแฝงตัวเข้ามาหลอกล่อด้วยวิธีต่างๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย เพราะในปัจจุบันการร่วมมือของบริษัทต่างๆ และธนาคารมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เข้าถึงการใช้บริการแอปเงินกู้ที่ถูกกฎหมายได้ง่าย ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบได้อย่างตรงจุดเลยทีเดียว

33
อาการไข้หวัดใหญ่

เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง หลายคนคงเริ่มกังวลกับโรคยอดฮิตอย่าง "ไข้หวัดใหญ่" โรคที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากป่วย เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัวแล้ว ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ แล้วอาการไข้หวัดใหญ่มีอะไรบ้าง แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างไร บทความนี้ จะพาไปรู้จักกับโรคไข้หวัดใหญ่ เพื่อเตรียมตัวป้องกันและดูแลตนเองได้อย่างถูกวิธี เพื่อให้ทุกคนสามารถรักษาไข้หวัดใหญ่ด้วยตัวเอง

อาการไข้หวัดใหญ่ เป็นอย่างไรบ้าง
โรคไข้หวัดใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งอาการของไข้หวัดใหญ่จะคล้ายคลึงกับไข้หวัดธรรมดา แต่จะรุนแรงกว่าและเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะมีอาการไข้หวัดใหญ่ ดังต่อไปนี้

1.อาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป
  • ไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส
  • หนาวสั่น เหงื่อออก
  • ปวดศีรษะ
  • อ่อนเพลียอย่างมาก
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้

2.อาการไข้หวัดใหญ่ทางระบบทางเดินหายใจ
  • เจ็บคอ
  • คอแดง
  • ไอแห้ง ๆ
  • มีน้ำมูกใส ๆ

3.อาการไข้หวัดใหญ่อื่น ๆ เช่น ตาแดง หรือในเด็กเล็กอาจมีอาการท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน

สำหรับอาการไข้หวัดใหญ่นี้ จะมีระยะฟักตัวไข้หวัดใหญ่อยู่ที่ 1 - 4 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 2 วัน ซึ่งอาการจะรุนแรงที่สุดในช่วง 2 - 3 วันแรก และสามารถหายจากโรคภายใน 5 - 7 วัน ทั้งนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ หากมีอาการของไข้หวัดใหญ่รุนแรงมากขึ้น ดังต่อไปนี้

  • มีไข้เกิน 24-48 ชั่วโมง
  • หายใจหอบ หรือหายใจลำบาก
  • เจ็บหรือแน่นหน้าอก
  • หน้ามืด เป็นลม สับสน หน้ามืด
  • อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้
  • เด็กเล็กมีอาการชัก
  • ผู้สูงอายุมีอาการซึมลง สับสน

อาการไข้หวัดใหญ่ VS อาการไข้หวัด แตกต่างกันอย่างไร?
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) และไข้หวัด (Common cold) เกิดจากเชื้อไวรัสต่างชนิดกัน แม้ว่า อาการจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่อาการไข้หวัดใหญ่จะรุนแรงกว่าและเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยสามารถเปรียบเทียบได้ ดังนี้

1.อาการไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
  • ไข้ สูง 39 - 40 องศาเซลเซียส
  • มีอาการหนาวสั่นและปวดศีรษะ
  • อ่อนเพลียและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก
  • มีอาการเจ็บคอ ไอแห้ง ๆ
  • น้ำมูกมีลักษณะใส
  • เด็กเล็กอาจมีอาการท้องเสีย
  • ระยะเวลาของอาการไข้หวัดใหญ่ประมาณ 5 - 7 วัน

2.อาการไข้หวัด ได้แก่
  • ไข้ ต่ำ ๆ 37 - 38 องศาเซลเซียส
  • มักไม่มีอาการหนาวสั่นและปวดศีรษะ
  • อ่อนเพลียและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อน้อย
  • มีอาการเจ็บคอ ไอมีเสมหะ
  • น้ำมูกมีลักษณะใส หรือข้น เหลือง เขียว
  • มักไม่มีอาการท้องเสีย
  • ระยะเวลาของอาการไข้หวัดประมาณ 3 - 4 วัน

กลุ่มเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่ อาการ

อาการไข้หวัดใหญ่ค่อนข้างรุนแรง จึงจำเป็นต้องระมัดระวังตนเองให้ดี โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ ที่เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น

  • เด็กเล็ก ซึ่งอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี รวมถึงเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคปอด โรคหัวใจ
  • ผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคเบาหวาน, โรคไต, โรคตับ, โรคระบบ
    ภูมิคุ้มกันบกพร่อง, มะเร็ง, ผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด หรือผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี
  • หญิงตั้งครรภ์ทุกระยะ
  • ผู้ที่มีภาวะอ้วน พิจารณาจากผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) 35 ขึ้นไป
  • ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วย ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์, ผู้ดูแลเด็กเล็ก, ผู้ดูแลผู้สูงอายุ

ทั้งนี้ ภาวะแทรกซ้อนของอาการไข้หวัดใหญ่ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1.ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย เช่น หูชั้นกลางอักเสบ, ไซนัสอักเสบ, หลอดลมอักเสบ, ปอดอักเสบ
2.ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, สมองอักเสบ, ภาวะหัวใจล้มเหลว, ภาวะไตวาย

ควรดูแลรักษาอาการไข้หวัดใหญ่อย่างไร
เมื่อตรวจไข้หวัดใหญ่แล้ว ควรเข้ารับการรักษาอาการ ไข้หวัดใหญ่ทันที โดยทั่วไปแล้ว สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ, ดื่มน้ำให้มาก, ทานยาแก้ปวด ยาลดไข้ หรือยาต้านไวรัส แต่มีข้อควรระวัง คือ ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินในเด็ก เพราะอาจทำให้เด็กเกิดภาวะเรย์ (Reye's syndrome) ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรง รวมถึงไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะยาปฏิชีวนะไม่สามารถรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากเชื้อไวรัสได้

โดยแพทย์อาจสั่งยาต้านไวรัส เช่น โอลเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) เพื่อบรรเทาอาการไข้หวัดใหญ่ ลดระยะเวลาการป่วย และป้องกันภาวะแทรกซ้อน ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดหากเริ่มใช้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ นอกจากนี้ อาจจะใช้ยาต้านไวรัสในบางกรณี เช่น ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการไข้หวัดใหญ่ไม่เกิน 48 ชั่วโมง

อาการไข้หวัดใหญ่ สามารถรักษาให้หายเองได้หรือไม่
โรคไข้หวัดใหญ่สามารถรักษาไข้หวัดใหญ่ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส แต่ต้องอาศัยเวลาพักผ่อนและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ดี ยังมีกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากอาการไข้หวัดใหญ่ได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส นอกจากนี้ สามารถป้องกันอาการของไข้หวัดใหญ่ได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้

  • การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรค
  • ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ
  • สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่
  • ปิดปากและจมูกด้วยกระดาษทิชชู่เมื่อไอหรือจาม และทิ้งกระดาษทิชชู่ที่ใช้แล้วลงในถังขยะที่มีฝาปิด

เมื่อมีอาการไข้หวัดใหญ่ ควรดูแลตัวเองอย่างไร

วิธี รักษา ไข้หวัดใหญ่ ให้ หาย เร็ว

เมื่อมีอาการไข้หวัดใหญ่ ควรดูแลตัวเองเป็นอย่างดี โดยสามารถปฏิบัติตัว ดังต่อไปนี้

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 - 10 ชั่วโมงต่อวัน ร่างกายจะได้มีเวลาซ่อมแซมตัวเองและต่อสู้กับเชื้อไวรัส
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ 2 - 3 ลิตรต่อวัน เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ น้ำช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
  • รับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย เน้นผักผลไม้ ธัญพืช และโปรตีน หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของทอด ของมัน และอาหารหมักดอง
  • ทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และลดไข้
  • เช็ดตัวเพื่อลดไข้หวัดใหญ่ด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น ไม่ควรใช้น้ำเย็น
  • กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นวันละ 3 - 4 ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ
  • สระผมด้วยยาสระผมแห้ง หรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดผม เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการสระผม
  • ดื่มน้ำอุ่นหรือชาสมุนไพร เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอและไอ
  • ใช้เครื่องทำความชื้นในอากาศ เพื่อบรรเทาอาการไอและคัดจมูก
  • นอนหนุนหมอนสูง เพื่อลดอาการคัดจมูก
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้อาการไอและเจ็บคอแย่ลง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น งดการไปทำงาน เรียน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
  • ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการไข้หวัดใหญ่รุนแรง เช่น หายใจหอบ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หน้ามืด หรือมีภาวะแทรกซ้อน

โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการไข้หวัดใหญ่ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภาวะอ้วน

สรุปเกี่ยวกับอาการไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่จะคล้ายคลึงกับไข้หวัดธรรมดา แต่จะรุนแรงกว่าและเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะมีอาการไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส, หนาวสั่น, เหงื่อออก, ปวดศีรษะ, อ่อนเพลียอย่างมาก, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, เบื่ออาหาร คลื่นไส้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรเข้าพบแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ ทั้งนี้ สามารถรักษาไข้หวัดใหญ่ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส แต่ต้องอาศัยเวลาพักผ่อนและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม


34
 AI คือ

ในปัจจุบันกระแสการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อเป็นเครื่องทุ่นแรงในการทำงานนั้นกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะ AI คือตัวช่วยที่จะเปลี่ยนธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด AI สามารถช่วยงานคุณได้ ทั้งการคิดไอเดียในการทำคอนเทนต์ทางการตลาด ช่วยแปลภาษาในเวลาอันรวดเร็ว หรือแม้แต่การเขียนโค้ด AI

หลายคนอาจจะเกิดความสงสัยว่า AI คือโปรแกรมอะไร? มีประโยชน์อย่างไร? และ AI ย่อมาจากคำว่าอะไร? โดยในบทความนี้จะพาทุกคนไปหาคำตอบและทำความรู้จักว่า AI คืออะไรกันแน่?

AI คืออะไร? มีหลักการทำงานอย่างไร?

Artificial Intelligence (ปัญญาประดิษฐ์)หรือ AI คือการจำลองความฉลาดและความสามารถในการวิเคราะห์คำนวณของมนุษย์ด้วยเทคโนโลยีและเครื่องจักรเพื่อเป็นเครื่องทุ่นแรงในการทำงานต่าง ๆโดย AI จะมีหลักการทำงานโดยการรวบรวมข้อมูล(Data) เพื่อสร้างเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ จากนั้นอัลกอริทึม(Algorithm) จะทำการประมวลผลและเลียนแบบพฤติกรรมต่าง ๆ ตามข้อมูลที่รวบรวมมาได้ซึ่ง AI นั้นไม่ใช่เพียงอัลกอริทึมประมวลผลธรรมดา แต่ AI คือ ระบบการเรียนรู้ขนาดใหญ่หรือ Machine Learning System ที่สามารถช่วยวิเคราะห์แก้ปัญหาและแสดงผลลัพธ์ออกมาตามที่เราต้องการได้ ซึ่งกระบวนการทำงานของ AI นั้นสามารถจำแนกออกเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้

  • การเรียนรู้(Learning): AI คือเครื่องมือในการประมวลผล ดังนั้นการรวบรวมและเรียนรู้ข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยหลังจากที่ได้รับข้อมูล AI จะทำการเรียนรู้รูปแบบของข้อมูลและจัดเรียงกลั่นกรองให้เป็นระบบ
  • การหาความสมเหตุสมผลและตัดสินใจ(Decision Making): กระบวนการทำงานขั้นต่อไปของ AI คือการใช้หลักความเป็นเหตุเป็นผลและความเป็นไปได้ต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์ชุดข้อมูลที่มีอยู่
  • การแก้ปัญหา(Problem Solving): หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จแล้ว AI จะนำชุดข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์มาทำการหาคำตอบในการแก้ปัญหา
  • การรับรู้(Perception): กระบวนการสุดท้ายของ AI คือ การรับรู้และเข้าใจเนื้อหาที่มนุษย์ต้องการผ่านชุดข้อมูลที่เก็บรวบรวมวิเคราะห์ผ่านกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้คำตอบที่เหมาะสมและดีที่สุด ยกตัวอย่างเช่นเปรียบ AI เป็นนักกีฬาเทนนิสที่วิเคราะห์ข้อมูลและความเป็นไปได้ในการตีลูกและเคลื่อนไหวทั้งหมดของคู่แข่งเพื่อสร้างเป็นหนทางในการรับมือคู่แข่งได้อย่างแม่นยำ

ข้อแตกต่างระหว่าง มนุษย์กับ AI คืออะไร?

หลายคนอาจจะรู้ถึงหลักการทำงานของ AI ไปกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังอาจจะไม่แน่ใจว่าเจ้าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ คือตัวช่วยที่ดีกว่ามนุษย์จริงหรือไม่? ในหัวข้อนี้เราจะมาเรียนรู้สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้แต่ AI สามารถทำได้กัน!

  • AI ผิดพลาดน้อยกว่ามนุษย์: แน่นอนว่าพูดถึงคำว่า “มนุษย์” ความผิดพลาดย่อมตามมาเป็นของคู่กัน (Humen Error) แตกต่างกับ AI ที่เกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลชุดเดิมมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นมีความแม่นยำที่สูง โอกาสผิดพลาดน้อยกว่ามนุษย์
  • AI ทำงานได้เร็วกว่ามนุษย์: เปรียบเทียบ AI คือ Supercomputer เครื่องหนึ่งที่คำนวณเรื่องยาก ๆ และหาคำตอบให้คุณได้อย่างรวดเร็ว ต่างกับมนุษย์ที่ต้องใช้ทั้งเวลาในการเรียนรู้ รวบรวมข้อมูล สร้างความคุ้นชินกับโจทย์ จากนั้นคำนวณหาคำตอบ ซึ่งแน่นอนว่ากระบวนการเหล่านี้ย่อมกินเวลามากกว่าการใช้ AI ในการหาคำตอบมากนัก
  • AI สามารถตัดสินใจได้โดยไม่ลำเอียง: การตัดสินใจบางเรื่องของมนุษย์ย่อมมีอารมณ์ความรู้สึกมาเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อยซึ่งสามารถทำให้เกิดความลำเอียงในการตัดสินใจได้ เปรียบเทียบกับ AI คือคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องหนึ่งที่สามารถตัดสินใจผลลัพธ์ออกมาโดยอ้างอิงจากชุดข้อมูลที่รวบรวมไว้เท่านั้น

แน่นอนว่า AI ไม่ได้เหนือกว่ามนุษย์ในทุกเรื่อง จากทางด้านบนเราได้เรียนรู้ข้อได้เปรียบของ AI กันไปแล้ว จากนี้เราลองมาดูข้อได้เปรียบของมนุษย์ที่เหนือกว่า AI บ้าง

  • มนุษย์มีความสร้างสรรค์มากกว่า AI: แม้เราจะสามารถสั่งให้ AI สามารถวาดรูปได้ แต่รูปภาพที่ได้นั้นเกิดจากการรวบรวมชุดข้อมูลภาพวาดจากนั้นวิเคราะห์รูปแบบและสร้างภาพออกมาจากการเรียนรู้นับพันครั้ง แตกต่างจากมนุษย์ที่ใช้ไอเดียความสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานต่าง ๆ เช่น การวาดภาพ การเขียนนิยาย การเขียนการ์ตูน
  • มนุษย์มีความยืดหยุ่นมากกว่า AI: เทคโนโลยี AI คือเครื่องมือที่รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากนั้นตีความผลลัพธ์ออกมา แน่นอนว่า AI ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดีนักเมื่อเทียบกับมนุษย์ที่ตัดสินใจจากความหลากหลายนอกจากดูเพียงชุดข้อมูลในมือเพียงอย่างเดียว
  • การสื่อสารหรือ Social Skills ของ AI: การทำงานในปัจจุบัน การสื่อสารนั้นเป็นหัวใจหลักของหลาย ๆ งาน โดยเฉพาะตำแหน่งที่ต้องใช้ศาสตร์ในการพูดคุยและสร้างความประทับใจให้กับผู้คน เช่นตำแหน่งหัวหน้าทีม, ผู้จัดการ, นักขายเป็นต้น แน่นอนว่าทักษะเหล่านี้เกิดจากการเรียนรู้และความสามารถในการสังเกตคู่สนทนาฝ่ายตรงข้าม แน่นอนว่าปัจจุบัน AI ยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่ Skill นี้ได้

เหตุผลที่ทำให้ AI ได้รับความนิยมคืออะไร?

คำว่า AI หรือปัญญาประดิษฐ์คือคำที่ถูกใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 แต่เริ่มได้รับความนิยมในยุคปัจจุบันเนื่องจากการมาถึงของ Chat GPT ที่เป็นตัวจุดประกายความสนใจของผู้คนในสังคมให้หันมามองเห็น AI มากยิ่งขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีในการเก็บรวบรวม, วิเคราะห์, ประมวลผลข้อมูลที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ทำให้ AI ตัวใหม่ ๆ ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตามเจ้าตลาดอื่น ๆ ให้ทัน บวกกับทั้งความกลัวและวิตกกังวลว่า AI นั้นจะมาทำงานแทนที่มนุษย์ ยิ่งทำให้คนให้ความสนใจและศึกษาเกี่ยวกับมันมากขึ้น

ประโยชน์ของ AI ในปัจจุบัน คืออะไร?

ประโยชน์ของ AI

AI ช่วยในการรวบรวมและวิเคราะห์ชุดข้อมูล

AI คือตัวช่วยสำคัญในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่กระจายอยู่ทั่วไป จากนั้นนำข้อมูลที่ได้นั้นมาวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำในช่วงเวลาสั้น ๆ ช่วยลดเวลาในการทำงานได้เป็นอย่างมาก

AI ช่วยเป็นเครื่องทุ่นแรงของมนุษย์

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจุดเด่นของ AI คือตัวช่วยสำคัญในการทำงานของมนุษย์ การมาถึงของ AI ไม่ได้หมายความว่าต้องมาแย่งงานมนุษย์เสมอไป แต่มันอาจจะเป็นเพียงเครื่องมือชนิดหนึ่งที่เข้ามาช่วย ยกตัวอย่างเช่นการหาไอเดียใหม่ ๆ ในการทำงานหรือช่วยในการแปลภาษาให้เสร็จได้ในเวลาอันรวดเร็ว

AI สามารถทำงานได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง

ด้วยตัว AI คือเครื่องมือชนิดหนึ่งสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องหยุดพักผ่อน กินข้าวหรือกินน้ำเหมือนมนุษย์ ส่งผลให้ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงและงานที่ได้ออกมายังมีคุณภาพอีกด้วยเนื่องจากไม่มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการทำงานที่ผันผวนตามสภาพร่างกาย

AI ช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจ

อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้น เพราะว่า AI คือเครื่องมือช่วยทุ่นแรงของมนุษย์ซึ่ง AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้โดยอัตโนมัติและแม่นยำ จะเห็นได้จากหลายแบรนด์ชั้นนำที่เริ่มมีการนำ AI มาช่วยในการทำธุรกิจ ตัวอย่างเช่น

  • Machine Learning ช่วยสร้างกำไรให้กับ Super Market แห่งหนึ่งถึง 6.3% Machine Learning หมายถึงส่วนมันสมองของ AI มีหน้าที่ในการเรียนรู้สิ่งที่เราใส่ข้อมูลเข้าไป ซึ่งในกรณีนี้ บริษัท Wasteless ได้ใช้ระบบ AI ในการเรียนรู้การปรับเปลี่ยนของราคาสินค้าเพื่อจะได้ทำการลดสินค้าทันทีในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เป็นการช่วยลดสินค้าที่กำลังหมดอายุหรือทำกำไรไม่ดีเพราะกำลังออกจากช่วงที่สินค้าเป็นที่นิยม
  • บริษัทสื่อขนาดใหญ่ในจีน Bluefocus Intelligent Communications เริ่มมีการวางแผนที่จะนำ AI มาใช้งานแทนที่กราฟิกดีไซเนอร์เพื่อลดต้นทุน

สรุปแล้ว AI คืออะไร? มนุษย์ควรวิตกกังวลหรือไม่?

แน่นอนว่าการมีอยู่ของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์หมายถึงการพัฒนาที่ก้าวกระโดดของมนุษย์ทั้งในด้านการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้หลาย ๆ คนนั้นกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่ตัวเองในระบบการทำงานต่าง ๆ ซึ่งถ้าตอบตามความเป็นจริงแล้วนั้นมีโอกาสสูงที่หลาย ๆ งานจะถูกแทนที่ได้ด้วย AI แต่ในทางกลับกันมันก็หมายถึงโอกาสในการเติบโตเช่นกันเพราะเราสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้เช่นกัน

ดังนั้นทุก ๆ คนควรเรียนรู้วิธีการใช้งานและปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่กำลังจะเปลี่ยนไป มองว่า AI คือเครื่องมือชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างโอกาสในการทำงานและสร้างรายได้ให้กับเราได้

35
โบท็อก

ในโลกของการเสริมความงาม โบท็อกได้กลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการฟื้นฟูผิว ให้ย้อนกลับไปอ่อนเยาว์อีกครั้ง การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยความสามารถในการลดการปรากฏของริ้วรอยได้ ช่วยให้บุคคลมีผิวที่เรียบเนียนดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ ของโบท็อก ตั้งแต่โบท็อกคืออะไร ความเสี่ยงที่เกิดจากการรักษาที่อาจเกิดขึ้น ไปจนถึงการเลือกแบรนด์ที่เหมาะสมกับคุณ

โบท็อกคืออะไร มาทำความรู้จักกัน

 botox

Botox (โบท็อก) ย่อมาจาก Botulinum Toxin (โบทูลินั่ม ท็อกซิน) เป็นสารพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาท ถูกนำมาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ ไปจนถึงความงาม โดยสารนี้จะออกฤทธิ์โดยการทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเป็นอัมพาตชั่วคราว ป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหดตัว ซึ่งจะทำให้เกิดริ้วรอย โดยทั่วไปการฉีดโบท็อกจะช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า ตีนกา หรือรอยขมวดของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ บนในหน้า เป็นต้น

การทำโบท็อกมีอันตรายหรือไม่ มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง อยู่ได้นานเท่าไหร่
โดยทั่วไปการรักษาด้วยโบท็อกถือว่าปลอดภัย ยิ่งเมื่อได้รับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรือแพทย์ผู้มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับหัตถการทางการแพทย์อื่น ๆ ก็มีโอกาสเกิดความเสี่ยงขึ้นด้วย นี้เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ สำหรับบุคคลที่พิจารณาจะรักษาด้วยโบท็อก จะต้องทราบปัจจัยเหล่านี้ก่อนเข้ารับการรักษา เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบ

รายละเอียดปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโบท็อกมีอะไรกันบ้าง

1.การแพ้โบท็อก
เกิดขึ้นได้น้อยแต่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยทั่วไปจะแสดงออกมาว่าเป็นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อส่วนประกอบหนึ่ง หรือหลายอย่างภายในโบท็อก มีอาการคือ เกิดเป็นผื่นแดง คัน บวม หรือมีลมพิษบริเวณที่ฉีด แม้ว่าอาการแพ้อย่างรุนแรงจะพบไม่บ่อย แต่ผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ควรแจ้งเรื่องนี้กับผู้แพทย์ผู้ทำการรักษา สำหรับการป้องกันนั้น ก่อนการรักษาด้วย Botox ควรเข้ารับการทดสอบภูมิแพ้ก่อน เพื่อระบุความไวที่อาจเกิดขึ้นต่อส่วนประกอบของโบท็อก

2.ช้ำและบวม
การช้ำ หรือบวมขึ้นเล็กน้อย เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยของการฉีดโบท็อก โดยทั่วไปแล้ว อาการในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งการเกิดรอยช้ำ หรือบวมมักเกิดขึ้นบริเวณที่ฉีด และอาจรุนแรงแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความไวของผิวหนัง เป็นต้น ซึ่งผลกระทบเหล่านี้มักจะบรรเทาลงภายในสองสามวัน แต่สามารถคงอยู่ได้นานขึ้นเล็กน้อยในบางกรณี สำหรับการป้องกันรอยช้ำนั้น ควรหลีกเลี่ยงยาลดความอ้วน หรืออาหารเสริมในวันก่อนการรักษา

3.เปลือกตาตกหรือคิ้ว
เปลือกตาหรือคิ้วตก หรือที่เรียกว่าหนังตาตกอาจเกิดขึ้นได้หากใช้โบท็อกอย่างไม่เหมาะสม อย่างการฉีดโบท็อกในปริมาณที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว ซึ่งส่งผลให้เปลือกตาตกได้ ซึ่งความเสี่ยงของที่จะเกิดขึ้นค่อนข้างต่ำ เมื่อได้รักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยทั่วไปภาวะหนังตาตกจะเกิดขึ้นชั่วคราว สำหรับการป้องกันเริ่มจากการเลือกหัวฉีดที่มีคุณสมบัติเหมาะสม นอกจากนี้ยังสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับผลข้างเคียง ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดลดลง

4.ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นอื่น ๆ
นอกเหนือจากปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว บุคคลที่รับการรักษาด้วยการฉีดโบท็อกควรตระหนักถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นอื่น ๆ แม้อาการเหล่านี้จะพบได้ไม่บ่อยนัก ได้แก่

-อาการปวดหัว บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะเล็กน้อยหลังการฉีดโบท็อก ซึ่งโดยทั่วไปจะหายภายใน 1-2 วัน

-อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ พบไม่บ่อยนักที่บุคคลอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะมีอาการเหนื่อยล้า รวมถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นในช่วงสั้น ๆ

-อาการปวดเฉพาะที่ อาการปวดหรือไม่สบายบริเวณที่ฉีดอาจเกิดขึ้นได้ แต่มักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว

สำหรับการลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงได้แก่

-การเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์ในการฉีดโบท็อกมาอย่างยาวนาน

-ให้ประวัติทางการแพทย์ที่ครอบคลุม รวมถึงการแพ้ต่าง ๆ ที่คุณรู้อยู่แล้ว หรือโรคประจำตัวต่าง ๆ

-ปฏิบัติตามแนวทางก่อนขั้นตอนที่กำหนดโดยผู้ให้บริการด้านสุขภาพ

-ศึกษาข้อมูล พร้อมทั้งปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งก่อน และหลังการรักษา

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโบท็อกจะต่ำ แต่การทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้ ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาจากการเสริมความงาม การสื่อสารอย่างเปิดเผยกับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ จะช่วยให้คุณมั่นใจในแนวทางการรักษา และสามารถคาดหวังผลลัพธ์ที่เป็นจริง ส่งผลการฉีดโบท็อกนั้นเป็นไปอย่างปลอดภัย

สำหรับระยะเวลาของผลของการฉีดโบท็อกนั้นไม่ได้อยู่ถาวร โดยมักจะคงอยู่ประมาณสามถึงหกเดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น กระบวนการเผาผลาญของแต่ละบุคคล รวมถึงบริเวณที่ทำการรักษาสามารถ ซึ่งจะส่งผลต่อระยะเวลาในการแสดงผลได้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการรักษาอย่างต่อเนื่อง

โบท็อกควรเลือกยี่ห้อไหนดี แต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติต่างกันอย่างไร
การเลือกยี่ห้อโบท็อกที่เหมาะสม ถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อผลลัพธ์ของการเสริมความงาม แต่ละแบรนด์ในของ Botox มาพร้อมกับชุดคุณลักษณะ สูตร ไปจนถึงคุณลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละแบรนด์ เรามาเจาะลึกแบรนด์ Botox ที่โดดเด่นอย่างเจาะลึก เพื่อไขความกระจ่าง เกี่ยวกับความแตกต่างของแต่ละแบรนด์

Allergan
Allergan ซึ่งเป็นบริษัทเภสัชกรรมที่มีชื่อเสียง เป็นผู้ผลิตเบื้องหลัง "Botox Cosmetic" อันโด่งดัง แบรนด์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในขอบเขตของกระบวนการเสริมความงาม

มีลักษณะเฉพาะดังนี้

-การอนุมัติจาก FDA เครื่องสำอางโบท็อกโดย Allergan ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับการรักษาเฉพาะจุด รวมถึงตีนกา รอยขมวดคิ้ว ไปจนถึงริ้วรอยบนหน้าผาก

-ชื่อเสียง โบท็อกของ Allergan มีชื่อเสียงในด้านผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอ ถือได้กลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานในด้านการเสริมความงาม

-การใช้งาน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทั่วโลก ได้นำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โบท็อกของ Allergan เป็นตัวเลือกที่เชื่อถือได้สำหรับบุคคลที่ต้องการผลลัพธ์คงที่ ผ่านการพิสูจน์แล้ว

Dysport
Dysport ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ นอกเหนือจากสูตรโบท็อกแบบดั้งเดิม โดยนำเสนอแนวทางที่แตกต่างในการรักษาสารโบทูลินั่ม

มีลักษณะเฉพาะดังนี้

-การเริ่มออกฤทธิ์ Dysport ได้รับการยอมรับว่ามีการออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งมักจะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนในระยะเวลาที่สั้นกว่า เมื่อเทียบกับโบท็อกแบบดั้งเดิม

-ความสามารถรอบด้าน ใช้สำหรับการลดริ้วรอย การใช้งานของ Dysport ทำให้เป็นตัวเลือกที่หลากหลายสำหรับจัดการกับข้อกังวลเรื่องริ้วรอยบนใบหน้า

Aestox
Aestox ซึ่งเป็นผู้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในตลาดโบท็อก ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วในเรื่องสูตรที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

มีลักษณะเฉพาะดังนี้

-ประสิทธิภาพ Aestox ได้รับการยกย่องในด้านประสิทธิภาพในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทั้งยังลดเลือนริ้วรอย ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติแก่ผู้รักษา

-ความทนทาน Aestox เป็นที่รู้จักในเรื่องผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ดึงดูดผู้ที่มองหาวิธีการรักษาด้านความงาม ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน

-ความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อพูดถึงประสิทธิภาพของ Aestox ถูกเผยแพร่ออกไป จึงกลายเป็นตัวเลือกที่เป็นที่ต้องการในหมู่ผู้อยากลอกรักษาด้วยการฉีดโบท็อกเป็นอย่างมาก

Nabota
Nabota ผลิตโดย Daewoong Pharmaceutical เป็นผลิตภัณฑ์โบทูลินั่ม ทอกซิน ประเภท A โดยเน้นที่ความบริสุทธิ์และความเสถียร

มีลักษณะเฉพาะดังนี้

-การใช้งาน Nabota ใช้กับเครื่องสำอาง ไปจนถึงการแพทย์ต่าง ๆ ช่วยในการลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า

-ความบริสุทธิ์ Nabota ได้รับการยกย่องในความบริสุทธิ์ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของสูตรที่สะอาด มีความเสถียร เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

-การได้รับการยอมรับระดับโลก Nabota ได้รับการยอมรับในระดับสากล กล่าวได้ว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับบุคคลที่แสวงหาความน่าเชื่อถือ มาพร้อมกับผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอ

Xeomin
Xeomin มีความโดดเด่นในฐานะสูตรผสมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งโดดเด่นด้วยการไม่มีโปรตีนเสริม

มีลักษณะเฉพาะดังนี้

-เน้นความบริสุทธิ์ สูตรของ Xeomin ที่ไม่มีโปรตีนเสริม มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดโอกาสในการเกิดแอนติบอดีต่อโบท็อก

-การลดริ้วรอยบนใบหน้า เป็นที่รู้จักในด้านการประยุกต์ใช้ในการลดริ้วรอยบนใบหน้า Xeomin สามารถดึงดูดผู้ที่ให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์ จึงถูกนำไปผสมลงในเครื่องสำอางได้อีกด้วย

ฉีดโบท็อกแล้วไม่เห็นผล เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง
แม้จะประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง แต่ก็มีบางกรณีที่บางคนอาจไม่บรรลุผลตามที่ต้องการจากการฉีดโบท็อก การทำความเข้าใจสาเหตุที่เป็นไปได้ของการไม่แสดงผล ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ใช้พิจารณาในการรักษาด้วยโบท็อก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้การทำ Botox ไม่แสดงผล มีดังนี้

1.ปริมาณที่ไม่ถูกต้อง ปริมาณที่แม่นยำ จึงจะส่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การฉีดโบท็อกไม่ว่าจะมาก หรือน้อยเกินไป ล้วนส่งผลลัพธ์ที่ไม่สมบูรณ์

2.ประสบการณ์ของแพทย์ ความสามารถของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ดูแลการรักษานั้นมีอิทธิพลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของการฉีดโบท็อก

3.การดื้อต่อโบท็อก ในบางกรณีที่พบไม่บ่อย บางคนอาจเกิดความต้านทานต่อสารของโบท็อก ส่งผลให้ผลลัพธ์ลดลงในแต่ละบุคคล

สรุปโบท็อกคืออะไร

ฉีดโบท็อก

โบท็อกกลายเครื่องมือที่ใช้ในการเสริมความงาม ใช้ในการฟื้นฟูผิว ช่วยจัดการกับสัญญาณในการร่วงโรยไปตามวัย สำหรับผู้ที่สนใจอยากรักษาด้วยการฉีดโบท็อก จำเป็นจะต้องศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Botox ต่าง ๆ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น เพื่อที่คุณจะสามารถทำการเข้ารักษาได้อย่างมั่นใจ


36
Chat GPT คือ

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและการเชื่อมโยงกันของโลกดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น และเทรนด์ AI กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยี ChatGPT คือหนึ่งในนวัตกรรมล่าสุดที่มีส่งผลในหลายด้านของชีวิตประจำวันของเรา โดยเราสามารถสนทนากับแชตบอตเพื่อขอข้อมูล คำแนะนำ หรือการช่วยเหลือต่าง ๆ ได้ทันทีไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับ AI ก็สามารถใช้งานChatGPT ได้อย่างสะดวกเพียงแค่ป้อนคำถาม ข้อมูลที่อยากทราบเท่านั้น เปรียบเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวของเรา

บทความนี้จะพาคุณมาตามเทรนด์ AI ทำความรู้จักว่า ChatGPT คืออะไร วิธีใช้ ChatGPT เหมาะกับใช้งานด้านใด ข้อดีและข้อจำกัดต่าง ๆ เป็นอย่างไรบ้างมาดูกัน

ChatGPT คืออะไร รู้ก่อนใคร!
ChatGPT ย่อมาจาก Generative Pre-trained Transformer คือ แชตบอต (Chatbot) ปัญญาประดิษฐ์ ที่พัฒนาโดยองค์กรวิจัย OpenAI โดยมีโครงสร้างเบสิคที่เรียกว่า "Transformer" ทำการพัฒนาโดยใช้เทคนิค Pre-training ซึ่งหมายถึงการฝึกโมเดลก่อนการใช้งานจริงด้วยชุดข้อมูลที่ใหญ่และหลากหลาย เพื่อเรียนรู้คุณลักษณะและโครงสร้างของภาษา จากนั้นโมเดลจะถูก Fine-tune หรือปรับค่าพารามิเตอร์เพื่อให้สอดคล้องกับงานหรือภารกิจที่ต้องการ เป็นที่รู้จักกันด้วยความสามารถในการสร้างข้อความ (Generative) และได้รับความนิยมในการทำแชตบอตด้านการสนทนา

ChatGPT คือการพัฒนาต่อยอดในหลายรูปแบบเช่น GPT-2 GPT-3 เป็นรุ่นที่ใช้งานจริงของ ChatGPT ในปัจจุบัน ซึ่งแชตบอตนี้จะสามารถสร้างข้อความใหม่ๆ ที่มีความหมายออกมาได้ โดยอิงจากข้อมูลที่เคยเห็นและเรียนรู้มาก่อนหน้านั้นด้วยข้อมูลจำนวนมากและหลากหลายเช่น หนังสือ บทความ เว็บไซต์ โค้ด และอื่น ๆ เพื่อให้เรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างและลักษณะของภาษาธรรมชาติ ทำให้ ChatGPT สามารถเลือกคำตอบที่มีความสอดคล้องและเหมาะสมที่สุดกับคำถามของผู้ใช้งาน

ChatGPT สามารถนำมาใช้งานในด้านใดได้บ้าง?

ai ChatGPT คือ

ChatGPT คือ แชตบอตอัจฉริยะที่มีความสามารถในการเรียนรู้ข้อมูล วิเคราะห์ และประมวลผลเป็นคำตอบให้ตรงกับคำถามมากที่สุด ChatGPT ใช้งานได้หลากหลายตั้งแต่ตอบคำถามทั่ว ๆ ไปจนถึงระดับ Coding เขียนโค้ดโปรแกรมก็ทำได้เช่นกัน เจ้าตัวChatGPT ทําอะไรได้บ้างมาดูกัน

  • เขียนบทความในหัวข้อต่าง ๆ ChatGPT สามารถเขียนบทความในหัวข้อต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจและ informative โดยอาศัยข้อมูลจากชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่ได้รับการฝึกฝนมา
  • ช่วยแปลภาษา ChatGPT คือแชตบอตที่สามารถช่วยในการแปลภาษาได้โดยให้คำแนะนำหรือช่วยในการแปลประโยคต่าง ๆ ช่วยให้คุณสามารถสื่อสารได้ง่ายขึ้น เพียงแค่กดแปลภาษาจากอังกฤษเป็นภาษาไทย
  • วางแผนไปเที่ยว สามารถวางแผนการเดินทางไปเที่ยวของคุณ เพียงแค่ใส่รายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับปลายทางที่คุณสนใจ เวลาที่คุณมีสะดวก และประเภทของกิจกรรมที่คุณสนใจ เช่น การท่องเที่ยวต่างประเทศ การผจญภัยในธรรมชาติ ที่พัก หรือแนะนำร้านอาหารท้องถิ่น
  • เขียนโค้ด เพียงแจ้งให้ Open GPT Chat ทราบถึงงานหรือโปรเจ็กต์ที่คุณต้องการให้ช่วยเขียนโค้ด เช่น ประเภทของโค้ดที่คุณต้องการ เช่น Python, JavaScript, HTML/CSS หรือ Java

ChatGPT รองรับภาษาไทยหรือไม่?
ChatGPT ภาษาไทย  สามารถใช้งานได้แล้ว การรองรับภาษาไทยยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา นั่นหมายความว่า ChatGPT สามารถเข้าใจและตอบสนองภาษาไทยได้ เมื่อคุณต้องการใช้งาน ChatGPT Web คุณสามารถป้อนคำถามเป็นภาษาไทยได้ และจะได้รับคำตอบเป็นภาษาไทย แต่ประสิทธิภาพอาจไม่เท่าเทียมกับภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ChatGPT มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และในอนาคต ChatGPT น่าจะรองรับภาษาไทยได้ดีขึ้น

ChatGPT เสียค่าบริการหรือไม่?
ในปัจจุบัน การใช้บริการ AI GPT หรือ ChatGPT ได้ฟรี คือไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ซึ่งจะเป็นรูปแบบที่สามารถเข้าถึงได้ทั่วไปบนพื้นฐานของ ChatGPT ที่มีข้อกำหนดและเงื่อนไขเฉพาะ

ChatGPT (Free Plan) :
บัญชีแบบฟรีอาจมีข้อจำกัดในประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการประมวลผล เนื่องจากมีผู้ใช้งานจำนวนมาก การประมวลผลอาจใช้เวลานานกว่าแบบเสียค่าบริการ

ChatGPT (ChatGPT Plus):
การเข้าใช้งานแบบเสียเงินสามารถให้ผู้ใช้งานเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบประมวลผลจะเร็วและแม่นยำมากขึ้น โดยมีค่าสมัครรายเดือนที่ 20 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 700 บาท) ต่อเดือน

การเลือกใช้รูปแบบบัญชีจะขึ้นอยู่กับความต้องการและการใช้งานของแต่ละบุคคล ผู้ใช้สามารถเลือกใช้แบบที่ตรงกับความต้องการและงบประมาณของตนเองได้ตามสะดวก

ข้อดีและข้อจำกัดของการใช้งาน ChatGPT
ข้อดีของการใช้งาน ChatGPT

  • ChatGPT สามารถเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองจากข้อมูลใหม่ ๆ และประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ ทำให้มีความสามารถในการให้คำแนะนำและการสนทนาที่ดียิ่งขึ้น
  • ใคร ๆ ก็ใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ทำงานอาชีพใดก็สามารถใช้แชตจีพีทีได้ เพื่อหาข้อมูลคำแนะนำเกี่ยวกับการทำ เช่น การให้บริการลูกค้า การช่วยเหลือในการศึกษาและการวิจัย การสนับสนุนการตัดสินใจในธุรกิจ และอื่นๆ อีกมากมาย
  • ChatGPT คือ แชตบอตที่ใช้งานง่าย สามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างล้ำลึก
  • ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การสนทนากับ ChatGPT อาจช่วยเริ่มต้นการสร้างไอเดียใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยคิดมาก่อน

ข้อจำกัดของการใช้งาน ChatGPT
ความแม่นยำของข้อมูล เนื่องจาก ChatGPT เรียนรู้จากข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งอาจให้ข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนเสมอไป
การเรียบเรียงประโยค ChatGPT ไทยอาจจะยังไม่สละสลวย หรือเรียบเรียงรูปคำ รูปประโยคไม่ตรงตามหลักภาษา
ความเข้าใจของคำถาม อาจไม่เข้าใจคำถามหรือคำสั่งที่ซับซ้อนหรือไม่ชัดเจนอย่างที่คนทำได้ เนื่องจากข้อจำกัดของโมเดลในการวิเคราะห์และเข้าใจข้อความ

สรุป ChatGPT แชตบอตอัจฉริยะ
ChatGPT คือเครื่องมือ AI สุดล้ำที่มีความสามารถหลากหลาย ใช้งานง่าย และสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทุกระดับตั้งแต่ใช้ตอบคำถามทั่วไปในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงระดับแอดวานซ์  แต่อย่างไรก็ตามผู้ใช้งานควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล และควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ ChatGPT สร้าง

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ ChatGPT เท่านั้น ผู้ใช้งานควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนใช้งานจริง


37
สำหรับสาวๆทุกคนส่วนใหญ่แล้วล้วนอยากที่จะมีขนตาที่ยาวและสวยงอนงาม เพื่อส่งเสริมให้ดวงตาของคุณดูมีเสน่ห์มากขึ้น มาสคาร่าจึงเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่จะช่วยให้สาวๆสามารถทำการเนรมิตขนตาให้ดูงอนงาม ดวงตาดูกลมโต ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับใบหน้าอีกด้วย มาสคารา ยี่ห้อไหนดีมีหลายยี่ห้อหลายแบบหลายสี แต่ทั้งนี้เพื่อให้สาวๆได้เลือกใช้ตามความชอบและสไตล์ของตนเองเลย

ในบทความนี้ทาเรามีเคล็ดลับในการเลือกมาสคารา ยี่ห้อไหนดีมาฝากสาวๆ จะมาทำการแนะนำเกี่ยวกับมาสคาร่าของอะไรดี และยังรวมไปถึงวิธีการเลือกใช้มาสคาร่าให้เหมาะสมกับตนเอง ให้มีความสวยเด้งดูเป็นธรรมชาติมาฝากกันอีกด้วย

5 อันดับมาสคาร่า ยี่ห้อไหนดีในปี 2024

วิธีการเลือกซื้อมาสคาร่า ยี่ห้อไหนดีที่ไม่ทำให้ดวงตาดูเป็นแพนด้า

มาสคาร่าถือเป็นเครื่องสำอางที่มีชื่อเสียงในด้านการปรับดวงตาให้ดูสวยงามและยังมีความโดดเด่นเพิ่มขึ้นอีกด้วย เมื่อได้ทำการปัดมาสคาร่าแล้วไม่สามารถทำการปฏิเสธได้เลยว่า ดวงตาของคุณนั้นมีความเปล่งประกายมากขึ้น ขนตามีความโค้งงอน หนา และยาว ทำให้ดูสวงามเพิมเสน่ห์ได้อย่างน่าหลงใหลอีกด้วย

ทุกวันนี้มีมาสคาร่าออกมาจำหน่ายเยอะแยะมากมาย จึงทำให้ผู้ใช้เริ่มไม่แน่ใจว่ามาสคารา ยี่ห้อไหนดีที่ทำให้ไม่แพนด้า และมีวิธีในการเลือกมาสคาร่าแบบไหนให้เหมาะกับตัวเอง มาดูกัน

  • ถ้าคุณมีขนตาที่บาง ควรใช้มาสคาร่าแบบที่เพิ่มความยาวแต่ต้องจำไว้ว่ายิ่งขนตายาวเท่าไหร่ มันก็อาจจะทำให้ดูบางมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นควรปัดทับด้วยมาสคาร่าแบบที่สามารถเพิ่มความหนาด้วย
  • ถ้าคุณมีขนตาที่สั้น ควรเลือกแบบที่ต้องเพิ่มความหนาแต่เช่นเดียวกันกับคนขนตาบาง ถ้าหากว่ามันหนามากไปก็จะยิ่งทำให้ดูสั้น เพราะงั้นควรปัดทับด้วยมาสคาร่าแบบเพิ่มความยาวเพื่อเป็นการไปช่วยแยกเส้นขนตาของคุณ
  • ถ้าคุณมีเหงื่อออกทั้งวันหรือคาดว่าอาจจะมีซีนน้ำตาเล็กน้อย ควรใช้มาสคาร่าแบบกันน้ำจะไม่มีทางที่เลอะเทอะแน่นอน แต่ไม่แนะนำให้ใช้มาสคาร่าที่กันน้ำตลอดเวลา เพราะมันก็เหมือนกับยาย้อมผมที่สามารถทำให้ขนตามีความเปราะและขาดง่ายเช่นกัน

5 อันดับมาสคาร่า ยี่ห้อไหนดีที่ทำให้ดวงตาดูสวยงาม

หลายคนอาจจะเคยเจอปัญหาในการใช้งานมาสคาร่าอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเมื่อปัดมาสคาร่าแล้วเกิดความเลอะที่บริเวณรองดวงตาจนเหมือนเป็นหมีแพนด้า ปัญหาปัดมาสคาร่าแล้วขนตาตก ใช้แล้วรู้สึกระคายเคืองดวงตา หรือมาสคารา ยี่ห้อไหนดีที่ปัดแล้วไม่เป็นก้อน ในบทความนี้ได้ทำการรวบรวม 5 อันดับมาสคารา ยี่ห้อไหนดีที่เหมาะกับความต้องการของคุณ

5 อันดับมาสคาร่า ยี่ห้อไหนดีที่ทำให้ดวงตาดูสวยงาม

1. 4U2 Cosmetics Love Me More Volume & Curl Mascara

สำหรับใครที่กำลังมองหามาสคารา ยี่ห้อไหนดีไม่แพนด้า 4U2 Cosmetic Love Me More Volume & Curl Mascara ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งมาสคาร่าที่ตอบโจทย์กับผู้ใช้มาสคาร่าและไม่เลอะเทอะเป็นหมีแพนด้า เพราะตัวมาสคาร่าจะช่วยขับขนตาได้ทุกเส้น ขนแปรงมีขนาดใหญ่และหนา ทำให้ขนตาดูหนาขึ้น เป็นสูตรที่ช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ขนตาเหมาะกับคนที่มีขนตาบาง มีความติดทนนานทั้งวัน ไม่เลอะระหว่างวัน กันน้ำ ล้างออกง่ายอีกด้วย

2. มาสคาร่าเขียว ในตำนาน ODBO

มาสคาร่า BQแท่งเขียวถือว่าเป็นมาสคาร่าในตำนาน ที่มีคุณภาพดีแถมยอดขายยังดีมาอย่างยาวนาน ช่วยให้ขนตายาว งอนงามตลอดทั้งวัน ผู้ใช้ต่างมารีวิวว่าเหมือนไปต่อขนตามา สามารถเนรมิตให้ขนตาดูหนา ยาว และยังมีประสิทธิภาพในการกันน้ำ กันเหงื่อ ไม่ไหลระหว่างวันอีกด้วย หัวแปรงมีขนาดเล็กสามารถเข้าถึงโคนขนตาได้ทุกเส้น ปัดง่ายไม่เป็นก้อน มีปริมาณมากใช้ได้นานราคาคุ้มเกินคุณภาพ ช่างแต่งหน้านิยมใช้

3. L’OREAL PARIS VOLUMINOUS LASH PARADISE WATERPROOF

L’OREAL PARIS ถือว่าเป็นแบรนด์ความงามที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆ แถมมาสคาร่ารุ่น L’OREAL PARIS VOLUMINOUS LASHPATADISE WATERPROOF สามารถเนรมิตให้ขนตาดูฟูหนา มีมิติ ขนแปรงออกแบบมานุ่มพิเศษ ปัดแล้วขนตาดูเด้งฟูโดยที่ไม่รู้สึกหนักตาเลย เป็นสูตรกันน้ำมีความติดทนนาตลอดวัน เนื้อมาสคาร่านุ่มลื่นปัดง่ายไม่เป็นก้อน และยังล้างออกง่ายอีกด้วย

4. Maybelline New York Hypercurl Waterproof Mascara

มาสคาร่ากันน้ำจาก Maybelline New York รุ่นนี้ถือว่าปัดแล้วจะช่วยทำให้ขนตาของคุณดูงอน ไม่มีตก ยาวนานถึง 36 ชั่วโมง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถทำให้ขนตาดูหนาและเด้งนานกว่าเดิมด้วยพอลิเมอร์ชนิดพิเศษที่จะเข้ามาช่วยในการล็อกขนตา แถมยังช่วยกันน้ำ กันเหงื่อ ไม่ให้เลอะเปรอะเปื้อนระหว่างวันอีกด้วย

5. Maybelline Lash Sensational Sky High Mascara

หากใครที่กำลังมองหามาสคารา ยี่ห้อไหนดีขอแนะนำมาสคาร่า Maybelline Lash Sensational Sky High Mascara เพราะถือว่าเป็นมาสคาร่าที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ไปจากตัวอื่นเลย มาสคาร่ารุ่นนี้จะเข้าไปช่วยให้ขนตางอนยาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เหมาะกับคนที่มีขนตาสั้นหรือตรง ทำให้ขนตาหนาช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้กับขนตา กันน้ำกันเหงื่อช่วยให้ขนตาสวยงามได้ตลอดทั้งวันอีกด้วย

ประโยชน์ของมาสคาร่ามีอะไรบ้าง

รู้หรือไม่ว่ามาสคาร่ามีดีว่าที่คุณคิด เพราะถือว่าเป็นไอเทมที่สามารถเป็นได้หลากหลายอย่าง แถมยังไม่ได้ใช้ได้แค่ทำการปัดขนตาเท่านั้น ยังสามารถนำมาใช้กับส่วนอื่นๆของใบหน้าได้อีกด้วยเช่นกัน มาดูกันว่าประโยชน์ของมาสคารา ยี่ห้อไหนดีจะมาประโยชน์อะไรบ้าง

  • สามารถนำมาใช้ปัดขนคิ้วได้เพื่อเป็นการเซตให้คิ้วเรียงสวยงาม
  • สามารถนำมาเก็บลูกผมได้
  • หากเป็นมาสคาร่าสีใสสามารถนำมาเปลี่ยนสีได้เพียงแค่นำสีของอายแชโดว์มามิกซ์รวมกัน
  • มาสคาร่าไม่ได้แค่เพียงปัดขนตาบนเท่านั้นแต่ยังสามารถนำมาปัดขนตาล่างได้อีกเช่นกัน

สรุป

สรุปโดยรวมแล้ววิธีการเลือกมาสคารา ยี่ห้อไหนดีส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้งานมีความต้องการแบบไหน ทั้งในเรื่องของความหนา ความยาว ความบ่ง ความสั้น ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้มาสคาร่าว่ามีวัตถุประสงค์ในการใช้งานแบบใด ซึ่งมาสคาร่าแต่ละแบรนด์ก็มีความแตกต่างกันออกไป แต่ละแบรนด์ก็ได้มีการสำรวจปัญหาในเรื่องของการใช้งานและนำมาปรับปรุง และนำมาพัฒนาให้ตอบโจทย์กับความต้องการของแต่ละบุคคลอีกเช่นกัน

38
คอร์สเรียนพูดภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีความสำคัญอย่างมาก และควรมีทักษะทางภาษาทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เพื่อใช้ในการเรียนและการทำงาน เพราะสถานศึกษาและหน่วยงาน องค์กรบางแห่งใช้ผลการวัดระดับทักษะภาษาอังกฤษประกอบการพิจารณาสมัคร ดังนั้นการเรียนพูดภาษาอังกฤษ ช่วยให้พัฒนาทักษะการสื่อสาร เพื่อสร้างโอกาสให้กับตนเองต่อยอดด้านต่าง ๆ  โดยคอร์สพูดภาษาอังกฤษ สอนฝึกพูดภาษาอังกฤษ พัฒนาการพูดในสถานการณ์หลากหลาย มีความรู้ความเข้าใจ ทำให้พัฒนาการสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างต่อเนื่องพร้อมกับมีความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษ

ทำไมจึงต้องเรียนพูดภาษาอังกฤษ มีความสำคัญด้านใดบ้าง

การเรียนพูดภาษาอังกฤษ ช่วยพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร เปิดโอกาสพัฒนาความสามารถในการเข้าถึงประสบการณ์ใหม่ ๆ เพราะภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร ช่วยยกระดับศักยภาพของตนเองให้มีความสามารถรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การประกอบอาชีพ การทำธุรกิจระหว่างประเทศ หรือการท่องเที่ยว จะเห็นได้ว่า การเรียนพูดภาษาอังกฤษ มีความสำคัญในหลากหลายด้าน หากมีพื้นฐานและความสามารถทักษะภาษาที่ดี มีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถสื่อสารได้อย่างถูกต้อง มั่นใจ

มากไปกว่านั้น การพัฒนาตนเองให้มีทักษะการพูด การใช้และการสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ทำให้ได้รับโอกาส มีทางเลือกมากมาย ทั้งการทำงานบริษัทต่างประเทศ การศึกษาต่อในต่างประเทศด้วยการสอบวัดระดับภาษาตามมาตรฐานที่สำคัญ รวมทั้งการทำธุรกิจระหว่างประเทศ ดังนั้น การฝึกพูดภาษาอังกฤษ ช่วยให้ก้าวสู่ความสำเร็จได้รวดเร็วมากขึ้น การเรียนพูดภาษาอังกฤษ จึงเป็นคอร์สสำคัญที่สนับสนุนการพัฒนาทักษะการพูด นำไปใช้ได้จริง

การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ มีการวัดผลทักษะการพูด  มีอะไรบ้าง

การเรียนพูดภาษาอังกฤษ สามารถนำความรู้ที่ได้รับเพิ่มพูนทักษะการสื่อสารไปใช้ในการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษได้ โดยมาตรฐานการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษยอดนิยม มีดังนี้

การสอบ TOEIC

TOEIC (Test of English for International Communication) เป็นการสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษยอดนิยม ส่วนใหญ่ใช้ประกอบการเรียน ประกอบการทำงาน เพื่อสมัครงานบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องใช้ความรู้ทางภาษาอังกฤษในการทำงาน โดยการสอบจะเป็นการทดสอบทักษะด้านการฟังและการอ่าน จำนวน 200 ข้อ ทั้งหมด 900 คะแนน

การสอบ TOEFL

การสอบวัดความรู้ทางภาษาอังกฤษ TOFEL (Test of English as a Foreign Language) เป็นการสอบที่เป็นมาตรฐานสากล ได้รับความนิยมในกลุ่มของการศึกษา นิยมทดสอบความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษาต่ออเมริกา เพราะแบบทดสอบความสามารถภาษาอังกฤษนี้ ยึดตามภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน ข้อสอบจะมี 2 รูปแบบ คือ การสอบผ่านอินเทอร์เน็ต (TOFEL IBT) และการสอบผ่านข้อสอบ หรือ TOFEL PBT สำหรับการทดสอบจะมี 4 ทักษะที่ต้องวัดผล คือฟัง พูด อ่าน และเขียน คะแนนทั้งหมดเต็ม 120 คะแนน

การสอบ IELTS

การสอบ IELTS (International English Language Testing System) เป็นการสอบวัดความรู้ทางภาษาอังกฤษที่ได้มาตรฐานสากล ได้รับการยอมรับจากสถาบันการศึกษา องค์กร และบริษัทต่าง ๆ ซึ่งการสอบจะแบ่งการวัดระดับความรู้ 4 ทักษะ ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน รวมคะแนนสูงสุดอยู่ที่ 9.0 คะแนน อีกทั้งรูปแบบข้อสอบจะแตกต่างกัน มีทั้งระดับความยากและง่ายของเนื้อหาต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของการเลือกสอบนั่นเอง

การเรียนพูดภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานสามารถเรียนได้ไหม?

เรียนพูดภาษาอังกฤษแบบพื้นฐาน

เรียนพูดภาษาอังกฤษ หากไม่มีพื้นฐานก็สามารถเรียนได้ เพราะแต่ละคอร์สสนทนาภาษาอังกฤษ จะมีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนตั้งแต่การปูพื้นฐานทักษะทางภาษาอังกฤษเป็นอันดับแรก โดยส่วนใหญ่ผู้เรียนต้องทำการทดสอบวัดระดับการพูดภาษาอังกฤษ เพื่อประเมินระดับทักษะการพูดสำหรับการจัดกลุ่มการเรียนได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งช่วยให้เรียนพูดภาษาอังกฤษได้ดี มีการพัฒนาด้านภาษาอย่างต่อเนื่อง สามารถฝึกพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น

การเรียนพูดภาษาอังกฤษ ควรพิจารณาเลือกเรียนจากอะไรบ้าง

คอร์สเรียนพูดภาษาอังกฤษ เป็นการเรียนภาษาอังกฤษเน้นด้านการพูดโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้เรียนฝึกพูดภาษาอังกฤษ พัฒนาทักษะการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฝึกการออกเสียงอย่างถูกต้องกับเจ้าของภาษา มีความมั่นใจแล้วยังสนทนาโต้ตอบได้จริง ดังนั้น หลักการพิจารณาในการเลือกเรียนพูดภาษาอังกฤษ ควรพิจารณาจากอะไรบ้าง ดังนี้

  • ระดับความรู้ความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษของแต่ละบุคคล
    ก่อนการตัดสินใจเลือกเรียนพูดภาษาอังกฤษ สามารถทดสอบความรู้ทักษะด้านการพูดของตนเองเบื้องต้นก่อนได้ว่าเรามีพื้นฐานที่ต้องลงเรียนอย่างไรจึงจะเหมาะสม เพื่อให้วางแผนการเรียนพูดภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • รายละเอียดของคอร์สพูดภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ
    พิจารณารายละเอียดของคอร์สเรียนพูดภาษาอังกฤษว่าเนื้อหาที่สอนตรงกับความต้องการเรียน รวมทั้งมีความสอดคล้องกับระดับทักษะการพูดของเรามากน้อยแค่ไหน ตลอดทั้งคอร์สมีระยะเวลาเรียนเหมาะสมหรือไม่ ราคาเหมาะสมกับเนื้อหาที่สอน มีความคุ้มค่าแค่ไหน
  • จุดประสงค์ของการเรียน
    สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เราเรียนพูดภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์อะไร ไม่ว่าจะเป็นการเรียนเพิ่มพูนทักษะการพูด นำไปประกอบการศึกษาต่อ รวมทั้งการพัฒนาตนเอง เพื่อใช้ในการเรียนและการทำงาน ดังนั้น ควรเลือกเรียนคอร์สที่ตรงเป้าหมายในการเรียนมากที่สุด
  • เลือกโรงเรียนสอนภาษาที่ตอบโจทย์ เหมาะกับไลฟ์สไตล์
    การเรียนการสอนของโรงเรียนสอนภาษาแต่ละแห่งแตกต่างกัน ควรเลือกโรงเรียนสอนภาษาที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของเรา เช่น สถานที่ตั้งใกล้เคียงสถานที่สำคัญ การเดินทางสะดวก สามารถเดินทางได้หลากหลาย เป็นต้น

คำถามยอดนิยมที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเรียนพูดภาษาอังกฤษ

การเรียนพูดภาษาอังฤษ เหมาะกับใครบ้าง?

คอร์สภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เหมาะกับผู้เรียนทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็กหรือวัยผู้ใหญ่ โดยการเรียนพูดภาษาอังกฤษแต่ละคอร์ส มีการออกแบบการเรียนให้เหมาะสมทุกวัย รวมไปถึงผู้ที่ต้องการปูพื้นฐานทักษะการพูดภาษาอังกฤษใหม่ สามารถพัฒนาทักษะภาษาได้รวดเร็วแบบก้าวกระโดด

มีคอร์สเรียนพูดภาษาอังฤษอะไรบ้าง ใช้เวลาเรียนนานไหม ค่าใช้จ่ายในการเรียนเท่าไหร่?

คอร์สฝึกพูดภาษาอังกฤษ แต่ละคอร์สแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับโรงเรียนสอนภาษาที่มีการออกแบบรูปแบบการเรียนการสอนให้เข้ากับผู้เรียนตามความเหมาะสม ซึ่งระยะเวลาเรียนจะเป็นจำนวนชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ที่ 20 ชั่วโมง ไปจนถึง 60 ชั่วโมง หรือบางคอร์สเรียนเป็นเดือน เช่น 2 เดือน 3 เดือน 6 เดือน เป็นต้น ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการเรียนพูดภาษาอังกฤษ จึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาเรียนด้วย ส่วนใหญ่เริ่มต้นที่หลักพันบาทไปจนถึงหลักหมื่นบาทเลยทีเดียว 

สรุปเรียนพูดภาษาอังกฤษ สำคัญต่อการนำไปใช้พัฒนาตนเอง

การเลือกเรียนพูดภาษาอังกฤษ เป็นการพัฒนาตนเองเพิ่มความรู้ทางด้านการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับสื่อสารเพื่อให้ผู้เรียนสามารถสนทนาในสถานการณ์รูปแบบต่าง ๆ และพูดในชีวิตประจำวันได้จริง กล้าแสดงความคิดเห็น มีความมั่นใจในการพูด โดยคอร์สเรียนพูดภาษาอังกฤษ จะสอนตั้งแต่พื้นฐานการใช้ภาษา ฝึกพูดภาษาอังกฤษ รวมถึงเทคนิคการพูดให้แก่ผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม ดังนั้น จึงเหมาะกับผู้เรียนทุกเพศทุกวัยที่ต้องการพัฒนาทักษะการพูด เพื่อให้พูดได้คล่องแล้วนำไปใช้งานได้จริง

39
พรมไม่เก็บฝุ่น

ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว หรือห้องน้ำตามบ้านก็มักจะพบพรมปูรองไว้อยู่เสมอ ทำให้เวลาตกแต่งห้องในบ้านส่วนใหญ่ก็มักจะเห็นภาพห้องที่มีพรมอยู่ ซึ่งในที่นี้ก็จะมาแนะนำพรม ยี่ห้อไหนดีที่มีราคาไม่แพง แต่คุณภาพดี สามารถใช้งานได้นานไว้เป็นตัวเลือกสำหรับพิจารณา

แต่เคยสงสัยไหมว่าทำไมถึงต้องปูพรมตามพื้นห้องด้วย? แล้วถ้าไม่ปูพรมจะส่งผลอย่างไรบ้าง? นอกจากจะมาแนะนำพรมยี่ห้อไหนดีแล้ว ในบทความก็จะมาพูดถึงข้อดีของพรมโดยเฉพาะแบบพรมปูพื้นแบบไม่เก็บฝุ่นเพื่อคลายข้อสงสัยนี้ด้วยเช่นกัน

พรมปูพื้นไม่เก็บฝุ่นจำเป็นต้องซื้อมากแค่ไหน?

ก่อนจะเลือกซื้อของต่าง ๆ ผู้คนส่วนมากก็พิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้งาน และเชื่อว่าผู้คนบางส่วนอาจจะมองว่าพรมปูพื้นไม่เก็บฝุ่นไม่ได้จำเป็นต่อชีวิตมากนัก แต่ที่จริงแล้วพรมปูพื้นก็มีประโยชน์ที่ทำให้ไม่อาจมองข้ามได้เลย

สิ่งที่จะได้รับจากการปูพรมไม่เก็บฝุ่นภายในห้องเลยก็คือความสะอาดและความปลอดภัย โดยพรมปูพื้นจะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ได้ เช่น ในกรณีที่ไม่ได้เช็ดเท้าที่เปียกน้ำก่อนออกจากห้องน้ำก็อาจทำให้ลื่นล้มและเกิดรอยฟกช้ำตามตัวได้ แต่ปัญหานี้จะหมดไปถ้ามีพรมวางหน้าห้องน้ำสำหรับเช็ดเท้าโดยเฉพาะ

หรือในกรณีที่เดินตามพื้นที่มีเศษฝุ่นหรือฝุ่นละอองแล้วไม่เช็ดเท้าก่อนเดินเข้าบริเวณที่นอน ฝุ่นจากฝ่าเท้าก็จะไปเกาะตามเตียงหรือผ้าห่ม ทำให้ร่างกายมีโอกาสสูดรับฝุ่นละอองเหล่านี้ง่ายมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้

ดังนั้นการซื้อพรมไม่เก็บฝุ่นก็จะช่วยลดปัญหาที่กล่าวข้างต้นได้อย่างดี จึงเป็นเหตุให้แต่ละบ้านควรซื้อพรมปูไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้พรมแบบไหนก็ได้ เพราะถ้าซื้อพรมคุณภาพไม่ดีมาใช้ก็อาจจะส่งผลเสียแทนได้ ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกซื้อพรมยี่ห้อไหนดีที่มีคุณภาพ สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย

5 อันดับพรม ยี่ห้อไหนดี ที่ไม่ควรพลาดซื้อ

พรมยี่ห้อไหนดี

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาพรมยี่ห้อไหนดีที่จะเอามาใช้ปูภายในห้อง ในที่นี้ก็จะมาแนะนำยี่ห้อพรมปูพื้นไม่เก็บฝุ่นที่ไม่ควรพลาด ดังนี้

1. Index Living Mall

พรมยี่ห้อไหนดีที่มีหลายรุ่นให้เลือกซื้อ Index Living Mall คือแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่มีพรมไม่เก็บฝุ่นออกจำหน่าย โดยพรมของทางแบรนด์ก็จะมีหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์มินิมอล แบบมีลวดลายสวยหรู หรือลายน่ารักให้เลือกตามความชอบในราคาที่ไม่แพงและคุณภาพสมราคา

2. IKEA

IKEA แบรนด์ผลิตเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านรวมถึงพรมหลายรูปแบบที่ไม่ว่าใครก็รู้จัก โดยพรมปูพื้นไม่เก็บฝุ่นของทางแบรนด์จะเน้นความเรียบง่ายแต่เข้ากับเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ภายในห้องได้เป็นอย่างดี ผลิตจากวัสดุชั้นดีที่มีความนิ่ม ทำความสะอาดง่าย ให้เลือกหลายรุ่นหลายราคาตามความต้องการ

3. Hanky House

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาพรมยี่ห้อไหนดีที่ไม่เก็บฝุ่นขนาดปานกลาง ราคาไม่สูงมาก Hanky House ก็เป็นพรมจากประเทศไทยที่น่าเลือกซื้ออีกยี่ห้อหนึ่ง โดยทางแบรนด์ก็มีพรมไม่เก็บฝุ่นแบบมินิมอล ผลิตจากเมมโมรีโฟมหนา 7 มิลลิเมตรที่มีความนิ่ม พร้อมด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์กันการดูดซึมของน้ำ ทำให้ทำความสะอาดง่ายและไม่กักเก็บฝุ่นหรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ จึงช่วยลดปัญหาการเกิดภูมิแพ้ได้เป็นอย่างดี

4. Namiko

พรมปูพื้นไม่อมฝุ่นยี่ห้อ Namiko ถูกออกแบบให้มีสไตล์มินิมอล มีลวดลายสีสันสวยงาม เข้ากับบรรยากาศห้องเป็นอย่างดี มีสัมผัสนิ่มสบายเท้า และใต้พรมยังมีตัวกันลื่นที่ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มได้ด้วย ในราคาอยู่ในช่วงที่สามารถซื้อมาใช้งานได้ จึงเป็นหนึ่งในยี่ห้อที่น่าพิจารณาซื้อ

5. REM13

พรมไม่เก็บฝุ่นคุณภาพดีในราคาไม่แพง ทางบริษัท REM13 ก็มีพรมคุณภาพดีราคาจับต้องได้มาให้พิจารณาซื้อ พรมของทางแบรนด์มีหลายแบบ ไม่ว่าจะผลิตจากเมมโมรีโฟมที่มีความหนานุ่มนิ่มสบายเท้า หรือพรมแร่ดินเบาที่ดูดซับน้ำได้ดี แห้งไว โดยพรมของทางแบรนด์ทำความสะอาดง่าย ใช้งานได้นาน ถ้ามองหาพรมคุณภาพดีราคาคุ้มค่าก็เป็นยี่ห้อหนึ่งที่น่าสนใจ

พรมไม่เก็บฝุ่นมีข้อดีอย่างไร ทำไมถึงควรซื้อพรมปูพืันบ้าน

หลังจากที่ดูรีวิว 5 อันดับพรมยี่ห้อไหนดีแล้ว ก็มาดูกันว่าพรมไม่เก็บฝุ่นมีข้อดีอย่างไรถึงควรมีพรมปูไว้ที่บ้าน ดังนี้

  • ลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดภายในบ้าน
แม้ว่าจะอยู่ในบ้านแต่ในบางครั้งก็อาจเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน เช่น สะดุด ลื่นล้ม ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บได้ ดังนั้นการปูพรมที่มีความหนาไว้ก็จะช่วยลดแรงกระแทกเวลาหกล้ม ทำให้ร่างกายบาดเจ็บน้อยลง และในกรณีปูพรมไม่เก็บฝุ่นที่มีพื้นผิวไม่ลื่นบริเวณที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หน้าห้องน้ำ หน้าห้องครัว ก็จะช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มได้

  • ลดและป้องกันรอยขีดข่วน ความเสียหายบนพื้น
ในเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ ข้างนอกแล้วเดินเข้าภายในห้อง หรือถ้าเปิดประตู หน้าต่างทิ้งไว้ ก็อาจทำให้บนพื้นมีเศษฝุ่นหรือเศษอื่น ๆ ซึ่งเวลาเดินภายในห้อง ละอองฝุ่นหรือเศษสกปรกก็จะติดตามเท้าไปสร้างรอยขีดข่วนตามพื้นได้ ดังนั้นการปูพรมที่พื้นก็จะช่วยป้องกันไม่ให้พื้นเป็นรอย และยังสามารถปูพรมรองตามเตียง ตู้ โต๊ะ เก้าอี้เพื่อลดความเสียหายจากการกดทับได้ด้วย

  • ลดฝุ่นไม่ให้ฟุ้งกระจายตามห้อง
ในกรณีที่ทำความสะอาดพรมไม่เก็บฝุ่นให้สะอาดอยู่เสมอ ก็จะช่วยให้ภายในห้องดูสะอาดสดใส ไม่มีฝุ่นเกาะสะสม อีกทั้งพรมยังมีส่วนช่วยดักจับฝุ่นไม่ให้ฝุ่นและเศษละอองต่าง ๆ กระจายตามห้องได้อีกด้วย ซึ่งการที่ภายในห้องไม่มีฝุ่นกระจายก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย

  • เพิ่มความสวยงามให้กับห้อง
เมื่อทอดตามองเข้าไปในห้องที่ยังไม่ได้มีการตกแต่งอะไรก็จะรู้สึกว่าห้องดูโล่ง ๆ ไม่ค่อยมีมิติ แต่ถ้าปูพรมปูพื้นไม่เก็บฝุ่นที่มีลวดลายสีสันที่เหมาะกับตัวห้อง ก็จะช่วยทำให้ภายในห้องดูสวยงาม น่าอยู่อาศัยมากขึ้น

  • เพิ่มความอบอุ่นภายในห้อง
เคยสังเกตหรือไม่ว่าเวลาเดินเท้าเปล่าบนพื้นไม้ พื้นกระเบื้อง พื้นหินอ่อน หรือพื้นอื่น ๆ ก็มักจะสัมผัสความเย็นที่มาจากพื้นได้ ดังนั้นการปูพรมที่เป็นตัวช่วยกักเก็บความร้อนไว้ ก็จะทำให้รู้สึกอุ่นเวลาที่เท้าสัมผัสพรมได้

สรุป

เลือกซื้อพรมยี่ห้อไหนดี? พรมปูพื้นไม่เก็บฝุ่นเป็นหนึ่งในสิ่งของที่ช่วยเพิ่มความน่าอยู่อาศัยให้กับห้อง และยังมีประโยชน์ทางด้านสุขภาพกายและทรัพย์สิน ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อพรมไม่เก็บฝุ่นที่มีคุณภาพดี เพื่อสามารถใช้งานพรมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพได้ในระยะเวลายาวนาน

40
ฟิลเลอร์ปาก

ในหัตถการที่ ไม่ต้องใช้ความยุ่งยากในการเลือกทำ ไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ไม่มีการพักฟื้น เน้นการดูแลหลังทำที่ไม่ยุ่งยาก ฟิลเลอร์ปากคือคำตอบของการเสริมความงาม ที่แม้จะเป็นองค์ประกอบเล็ก ๆ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ใบหน้าของเรา มีความสวยงามมากขึ้น แน่นอนว่าการฉีดฟิลเลอร์ปาก จะต้องมีการศึกษาข้อมูลที่มากขึ้น เพราะรูปปากสำคัญกับองค์ประกอบของรูปใบหน้า เราจะมีดูกันว่าฟิลเลอร์ปากคืออะไร

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยเสริมความงามด้านใดบ้าง

ฉีดฟิลเลอร์ปาก

หัตถการฟิลเลอร์ปาก คือการฉีดเนื้อเจลที่เป็นสาร Hyaluronic Acid ลงใปเติมเต็มเนื้อปาก โดยกระบวนการของการฉีดฟิลเลอร์ปาก จะไม่แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปมากนัก โดย Hyaluronic Acid เป็นสารที่ไม่อันตรายกับปากเขาเรา เพราะสามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ ดังนั้น ไม่ต้องกังวล แต่หากต้องการเปลี่ยนแปลงก็มีการสลายฟิลเลอร์ปาก เพื่อแก้ไขรูปปากที่เราต้องการได้ ถือเป็นข้อดีของการเสริมความงามที่มีความยืดหยุ่นสูง

ข้อดีในการฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • ฟิลเลอร์ปากราคาไม่แพง หากเทียบกับการศัลยกรรมในจุดอื่น ๆ ซึ่งปัจจัยด้านราคาของฟิลเลอร์ปาก ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ และโปรโมชันในแต่ละคลินิก
  • ฟิลเลอร์ปาก จะเป็นการเติมเต็มปากให้มีความอวบอิ่ม มีสุขภาพปากที่ดี ลดรอยย่น, รอยแตก, ริมฝีปากแห้ง
  • ฉีดฟิลเลอร์ปากเพิ่มรูปทรงปากให้สมมาตร ได้สัดส่วนตามหลัก Golden Ratio สามารถปรับแต่งรูปปากได้หลากหลาย ทั้งการฟิลเลอร์ยกมุมปาก, ฉีดฟิลเลอร์ปากเกาหลี, ฉีดปากกระจับสวยๆ, ฟิลเลอร์ปากสายฝอ และอีกมากมายให้เข้ากับรูปหน้า
  • การทำหัตถการฟิลเลอร์ปาก มีความปลอดภัยสูง เพราะไร้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ด้วยความที่เป็นสาร Hyaluronic สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ
  • การฉีด Fillerปาก เป็นหัตถการที่รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น ใช้เวลาในการฉีดฟิลเลอร์ปากไม่นาน ก็สามารถออกไปทำกิจกรรมได้ตามสบาย อีกทั้งการดูแลหลังฉีด ไม่มีความยุ่งยากจนเกินไป หากเทียบกับการทำศัลยกรรม
  • ฟิลเลอร์ปาก เพื่อการเสริมความงามบนใบหน้า สามารถแก้ไขได้ง่าย มีการสลายฟิลเลอร์ปาก หรือการฉีดเพิ่มเพื่อปรับรูปทรงฟิลเลอร์ปากได้หลากหลาย

ใครบ้างที่ควรฉีดฟิลเลอร์ปาก?

• โดยปัจจัยของผู้ที่เหมาะ และจำเป็นต่อการเลือกฉีดฟิลเลอร์ปาก คือบุคคลที่มีปัญหารูปปากที่ไม่เหมือนเดิม อันเนื่องมาจากอัตราการสร้างคอลลาเจนที่เนื้อปาก เมื่ออายุเยอะขึ้นจะเริ่มผลิตน้อยลง ส่งผลให้ปากที่เคยอวบอิ่ม ดูหดและหย่อนยานลง อีกทั้งยังมีรอยเหี่ยวย่นอยู่ทั่วบริเวณริมฝีปาก การเลือกทรงปากฟิลเลอร์ รูปแบบต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งที่เลือกทำแล้วคุ้มค่า จะทำให้ปากกลับมาเป็นรูปร่างที่พอใจ

• และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการเสริมความงามให้รูปหน้า ฟิลเลอร์ปาก ก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งในการเสริมความงาม เพราะสามารถเปลี่ยนลุค หรือสไตล์ของใบหน้าเราได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการฉีดปากสายฝอ ให้ดูมีรูปปากสไตล์ต่างชาติ หรือที่นิยมในเอเชีย คือฟิลเลอร์ปากเกาหลี ที่มอบรูปปากที่อวบอิ่ม เรียวสวย น่าจูบ หรือจะเป็นทรงฉีดปากกระจับ ที่สาวชาวไทยชอบทำ เพิ่มลุคหรูหรา ไฮโซ

ทรงปากที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์ปาก

ทรงปากฟิลเลอร์ แบบเกาหลี
ในปัจจุบันเทรนด์ของการฉีดปากเกาหลี เป็นตัวที่เพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก ดึงขอบริมฝีปากให้ชัดได้รูป มอบรูปปากที่ช่วยเพิ่มความเซ็กซี่ แต่ก็สามารถปรับลุคให้มีความน่ารักได้ไปในตัว ด้วยความหลากหลาย แต่งหน้าได้หลายแบบ เพิ่มมิติให้ใบหน้าหวาน หรือเปรี้ยวได้ โดยฟิลเลอร์ปากสไตล์นี้ นิยมสำหรับผู้ที่อยากดูอ่อนเยาว์

ทรงฟิลเลอร์สายฝอ ฉีดปากสายฝอ
การเลือกฟิลเลอร์ปาก สไตล์เซ็กซี่ สายฝอ ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ปากเพิ่มเนื้อปากให้อวบอิ่มทั้งบนและล่าง เพิ่มลุคความเป็นอินเตอร์ ได้รับความนิยมในหมูนางแบบแฟชั่น ที่เน้นขายงานให้ต่างชาติ เพราะรูปปากอวบอิ่ม มีวอลลุ่ม จะเพิ่มความมีมิติให้กับรูปหน้า สามารถทาลิปสติกเฉดที่สด สีเข้มได้ เพิ่มความเฟียส และเป็นทรงที่ได้รับความนิยมในหมูคนที่มีริมฝีปากบาง

ทรงปากฟิลเลอร์ ปากกระจับ
เป็นทางเลือกการทำฟิลเลอร์ปาก ที่คนไทยชื่นชอบ คือการฉีดฟิลเลอร์ปากเพิ่มเนื้อปากและส่วนโค้งเว้าเป็นปากปีกนก ให้โครงสร้างปากยกแหลมขึ้น มุมปากยกกระชับมาเล็กน้อย ขอบปากส่วนบนหยักเป็นรูปคล้ายตัว M นอกจากนี้ยังมีการปรับแต่งให้ดูเข้ากับสไตล์เซ็กซี่ได้อย่าง การฉีดปากกระจับสายฝอ เพิ่มความเฉพาะตัว ให้ทั้งโครงหน้าดูโดดเด่นด้วยปาก

วิธีการเตรียมตัวก่อนไปฉีดฟิลเลอร์ปาก

Filler ปาก

1. เริ่มต้นก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก เราจะต้องเลือกหาคลินิกที่จะเข้ารับบริการก่อน แน่นอนว่า จำเป็นต้องศึกษาตัวคลินิกว่ามีคุณภาพและมาตรฐานรองรับหรือไม่ มีรีวิวฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นแบบใด รวมไปถึงการศึกษายี่ห้อฟิลเลอร์ที่เราต้องการฉีด จากนั้นเข้าไปขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับรูปปากที่เราต้องการ

2. ให้งด ยาบางประเภท โดยเฉพาะยาทาหรือเครื่องสำอางจำพวกผลัดเซลล์ผิวก่อนเข้ารับการฟิลเลอร์ปาก รวมไปถึงการแว็กซ์ลอกผิว ทั้งตัวยา NSAIDs ยาแอสไพริน ที่ต้องงดก่อนเข้ารับการฟิลเลอร์ปาก ในหนึ่งสัปดาห์ 

3. จัดเตรียมข้อมูลประวัติการใช้ยา จากโรคประจำตัว หรือยาที่ใช้อยู่เป็นประจำกับแพทย์ที่เราเข้ารับการปรึกษาก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากทุกครั้ง

4. งดอาหารเสริมก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก 1 สัปดาห์ จำพวกวิตามิน ginko biloba, St.Johns Wort, primrose oil, garlic, Vitamin E และอื่น ๆ โดยปรึกษาเพิ่มเติมได้จากแพทย์ผู้บริการฟิลเลอร์ปาก

5. งดการดื่ม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ก่อนเข้ารับบริการฟิลเลอร์ปาก เป็นเวลา 24 ชั่วโมง

6. ก่อนเข้ารับบริการฟิลเลอร์ปาก ควรหลีกเลี่ยงหรืองดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่นการออกกำลังกายอย่างหนัก

ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้ว อยู่ได้นานแค่ไหน?

ฟิลเลอร์ปาก หลังจากที่เราได้ทำแล้ว และปฏิบัติตามแนวทางหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์จะอยู่ได้ประมาณ 1 ปีหลังฉีด แน่นอนว่าปัจจัยก็ยังขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ฉีด และความเชี่ยวชาญของแพทย์ที่เราเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ปากอีกด้วย

ผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก

ผลข้างเคียงจากการทำฟิลเลอร์ปาก ด้วยความที่เป็นหัตถการที่ปลอดภัย รวดเร็ว ใช้ปริมาณน้อยกว่าฟิลเลอร์จุดอื่น ๆ ด้วยฟิลเลอร์ปาก1cc และไม่ต้องพักฟื้นใด ๆ หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก จะเกิดอาการบวมแดง โดยการฉีดฟิลเลอร์ปากบวมนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา และอาการบวมจะยุบตัวและหายใน 5 วัน เป็นอย่างต่ำ ซึ่งหลังจากยุบตัวแล้ว ใช้เวลาไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ แล้วรูปปากของเราจะเข้าที่ ได้ทรงตามต้องการ โดยปัจจัยขึ้นอยู่ที่คุณภาพของคลินิก

ฉีดฟิลเลอร์ปากที่ไหนดี?

อย่างแรกของการเลือกฟิลเลอร์ปาก คือการเลือกคลินิกที่ได้รับการรับรอง อนุญาตโดยกระทรวงสาธารณสุข พร้อมกับแพทย์ที่เป็นผู้บริการฉีดฟิลเลอร์ปาก จะต้องมีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ และเราสามารถตรวจสอบได้ชัดเจน และหากผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยแล้ว อย่างแรกที่เราจะได้เลยคือ ฟิลเลอร์แท้ ที่ไม่ส่งผลกระทบกับผู้ใช้ จากนั้นศึกษารีวิวฟิลเลอร์ปาก เพื่อประกอบการตัดสินใจ หรือพิจารณาเลือกคลินิกต่อไป

สรุปเกี่ยวกับฟิลเลอร์ปาก

การทำฟิลเลอร์ปาก เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยจากตัวฟิลเลอร์ ที่เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้ว สามารถสลายได้โดยธรรมชาติ ทางเลือกของการฉีดฟิลเลอร์ปาก จึงดูน่าสนใจไม่น้อย อีกทั้งการฉีดฟิลเลอร์บริเวณปากนั้นไม่แพง เพราะใช้ปริมาณที่น้อย โดยฉีดปาก1ccราคาอาจไม่ถึงหลักหมื่น หากเราเลือกคลินิกที่มีโปรโมชันที่ตรงใจ มีแพ็กเกจที่ทำแล้วคุ้มค่า สำคัญคือการศึกษารีวิว และเลือกรูปปากที่เข้ากับแนวทางการเสริมความงามของใบหน้าเราให้ดี

41
สมัครงาน | Jobs / หางานเชียงใหม่ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2024, 03:26:08 AM »
หางานเชียงใหม่

คุณกำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนอาชีพ หรือแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนาความก้าวหน้าในชีวิต โดยเฉพาะการหางานเชียงใหม่ ที่เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาตลอดทั้งวัน การสมัครงานเชียงใหม่ในปัจจุบันง่ายกว่าแต่ก่อนมาก ที่ต้องเดินทางไปด้วยตนเอง ทั้งยังต้องเตรียมเอกสารอีกจำนวนมาก ทั้งเสียเวลา ทั้งเสียเงินจำนวนไม่น้อย แล้วไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ตอนสามารถสมัครงานได้เพียงปลายนิ้ว

บทความนี้เราได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อที่จะเตรียมความพร้อมในการหางานเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมต่าง ๆ เคล็ดลับ รวมถึงรายชื่อเว็บไซต์หางานที่เราคัดสรรมาอย่างดีเพื่อให้การหางานของคุณง่ายดายยิ่งขึ้น

การหางานเชียงใหม่ต้องเตรียมความพร้อมอย่างไรบ้าง

สมัครงานเชียงใหม่

การจะหางานเชียงใหม่ คุณจะต้องเตรียมการดังนี้

1.ตลาดงานเชียงใหม่
ก่อนที่จะเจาะลึกการหางานเชียงใหม่ที่คุณสนใจ สิ่งจำเป็นอย่างแรกคือ คุณต้องเข้าใจตลาดงานในเชียงใหม่ก่อน พิจารณาอุตสาหกรรมที่เจริญรุ่งเรืองในพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งเนื่องจากเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยว งานเกี่ยวกับสาขานี้จึงมากกว่างานอื่น ๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นงานอะไร ต่างจะต้องใช้ทักษะเฉพาะของอาชีพนั้น ๆ และความแตกต่างทางวัฒนธรรม ก็อาจส่งผลต่อการหางานของคุณด้วยเช่นกัน

2.เรซูเม่ที่สวยงาม และผลงานที่เคยได้รับมอบหมาย
ถือเป็นอีกเครื่องมือสำคัญในการหางานเชียงใหม่ของคุณที่ไม่ควรมองข้าม คุณจำเป็นจะต้องปรับแต่งเรซูเม่ของคุณ โดยเน้นไปทางทักษะ หรือประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสายงานที่คุณสมัครงาน นอกจากนั้นควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าพอร์ตโฟลิโอของคุณจะแสดงผลงานที่ดีที่สุด เพื่อให้ผู้จ้างตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น

3.เครือข่ายสมาคม
เป็นอีกช่องทางในการหางานที่มีประสิทธิภาพในการหางานเชียงใหม่ การเข้าร่วมกิจกรรมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ การเข้าร่วมกลุ่มมืออาชีพ หรือการสานสัมพันธ์กับบุคคลในท้องถิ่นผ่านช่องทางต่าง ๆ จะช่วยให้มีโอกาสเจองานต่าง ๆ ได้มากกว่าการค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว

4.การเรียนรู้ภาษาถิ่น
แม้ว่างานจำนวนมากในเชียงใหม่นั้นจะใช้ภาษาไทยเป็นหลัก อาจจะมีใช้ภาษาอังกฤษบ้างในแต่ละอาชีพ แต่การเรียนรู้ภาษาถิ่น จะทำให้คุณสามารถสื่อสารกับคนในพื้นที่ หรือทำให้มีความประทับใจแก่นายจ้างได้ ซึ่งมีผลกับหน้าที่การงานในระดับหนึ่ง

ที่กล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนหางานว่างเชียงใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะสามารถได้งานที่ตรงกับความสามารถของคุณ หรือได้ตำแหน่งงานที่คุณคาดหวังไว้ในที่สุด 

ข้อควรรู้ที่จำเป็น ก่อนเริ่มหางานเชียงใหม่

รับสมัครงานเชียงใหม่

สำหรับสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนที่จะเริ่มหางานเชียงใหม่นั้น ถ้าคุณไม่ใช่คนในพื้นที่คุณจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนเชียงใหม่ให้ได้ โดยสิ่งที่ควรรู้ได้แก่

1.การค่าครองชีพ
เชียงใหม่นั้นเป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงในด้านค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องเตรียมเงินให้ครอบคลุมเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าที่พักอาศัย ค่าเดินทาง ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกจำเป็นในชีวิตประจำวัน เมื่อคุณทราบปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว จะทำให้คุณสามารถวางแผนการเงิน หรือมองหางานที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด แล้วพอมีเงินเก็บเท่าไหร่ เพื่อนำไปใช้ในสิ่งที่ต้องการต่อไป

2.เรียนรู้วัฒนธรรม
วัฒนธรรม วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมต่าง ๆ นั้นย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เชียงใหม่ก็ไม่มีข้อยกเว้น การทำความเข้า และการเคารพในขนบธรรมเนียม ประเพณี รวมถึงมารยาทในที่ทำงาน จะช่วยให้คุณสามารถทำงานได้อย่างมั่นใจ ลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากความไม่รู้ ซึ่งอาจจะทำให้คุณสูญเสียงานที่ทำอยู่ก็เป็นได้

3.ค้นคว้าข้อมูลนายจ้าง
การทำค้นคว้ารายละเอียดเกี่ยวกับผู้ที่อาจเป็นนายจ้าง ถือเป็นกลยุทธ์ในการหางานเชียงใหม่อีกอย่างหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ ทำให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับค่านิยมองค์กร วัฒนธรรมในที่ทำงาน ไปจนถึงการก้าวหน้าของบริษัทในอนาคต โดยข้อมูลนี้ จะช่วยให้คุณสามารถมองหางานที่มีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต เพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากยิ่งขึ้น

เว็บหางานเชียงใหม่ที่น่าสนใจ ในปี 2567

 งานเชียงใหม่ล่าสุด

เมื่อเตรียมความพร้อมเรียบร้อย มาถึงขั้นตอนสำคัญ นั้นคือการหางานเชียงใหม่ที่ต้องการ ปฏิเสธไม่ได้ว่าจังหวัดเชียงใหม่นั้นถือเป็นเมืองเศรษฐกิจอีกแห่งหนึ่ง ดังนั้นจึงมีตำแหน่งงานในเชียงใหม่ที่หลากหลายอย่างให้เลือก แต่การที่เราจะเดินทางไปหาที่รับสมัครงานเชียงใหม่นั้น เป็นการเสียเวลา รวมถึงค่าใช้จ่ายอีกไม่น้อย เราจึงขอนำเสนอรายชื่อเว็บไซต์หางานเชียงใหม่วันนี้ ที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี เพื่อให้ผู้ที่กำลังหางานเชียงใหม่ล่าสุด มีโอกาสได้งานตามที่หวัง

1. JobFinFin
JobFinFin ถือเป็นเว็บไซต์หางานว่างเชียงใหม่ที่มีความโดดเด่น ด้วยการออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงผู้หางาน กับโอกาสมากมายในเชียงใหม่โดยเฉพาะ มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายควบคู่ไปกับจำนวนงานที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้ JobFinFin เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยหางานมากที่สุดเว็บไซต์หนึ่ง ที่ผู้หางานไม่ควรมองข้าม

2. ThaiBestJob
ThaiBestjobs เป็นแพลตฟอร์มที่ก้าวข้ามการค้นหางานแบบเดิม ๆ ด้วยความปรารถนาที่ผู้ให้บริการชั้นนำในการหางานเชียงใหม่ คอยคัดสรรงานต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้หางาน ด้วยการมุ่งเน้นไปที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ แพลตฟอร์มนี้มุ่งมั่นที่จะเป็นสื่อกลางสำหรับบุคคลที่กำลังมองหางาน ให้ได้เจอกับงานที่ต้องการ

3. Fastwork
Fastwork ตามชื่อเลย เป็นเว็บที่จะช่วยให้คุณเข้าสู่ช่องทางการหางานที่รวดเร็ว แพลตฟอร์มนี้ได้รับการออกแบบมาสำหรับผู้ที่พร้อมจะคว้าโอกาสในทันที ทางผู้ให้บริการตระหนักถึงความจำเป็นในการเชื่อมต่อผู้หางานกับนายจ้างให้เร็วที่สุด ไม่ว่าคุณจะเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์ หรือเป็นมือใหม่ที่กำลังมองหางาน Fastwork สัญญาว่าจะดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผู้งานหางานได้ในที่สุด

4. Jobtopgun
Jobtopgun มีชื่อเสียงในด้านฐานข้อมูลที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย ช่วยให้ผู้หางานมีเครื่องมือที่จำเป็น เพื่อนำเสนองานในเชียงใหม่ทางตรงกับความต้องการของผู้หางาน

สรุป
สำหรับใครที่กำลังมองหางานเชียงใหม่ คุณจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม รวมถึงหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อพิจารณาเลือกสมัครงานเชียงใหม่ที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อการหางานเชียงใหม่ที่รวดเร็ว เว็บไซต์หางานถือเป็นเครื่องมือที่ไม่ควรมองข้าม

42
ฟิลเลอร์

หากปัญหาริ้วรอยร่องลึก ใบหน้าตอบ แก้มหย่อนคล้อย รูปหน้าไม่ชัดเจนกำลังสร้างความกังวลใจ จึงขอแนะนำ ฟิลเลอร์ นวัตกรรมความงามที่ช่วยเติมเต็มความอ่อนเยาว์ คืนความมั่นใจให้ใบหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยบทความนี้ จะพาไปรู้จักว่า Filler คืออะไร? ฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณใดได้บ้าง? ฉีดฟิลเลอร์จะมีอันตรายหรือไม่? แล้วเราควรเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์อย่างไร?

ทำไมเราถึงควรฉีดฟิลเลอร์?
ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารที่ใช้ฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เพื่อแก้ไขความบกพร่องต่าง ๆ บนใบหน้า โดยฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน อย.ไทย จะอยู่ในรูปสารไฮยาลูรอน หรือ Hyaluronic Acid (HA) ที่เลียนแบบสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติใต้ชั้นผิว สามารถสลายตัวได้เอง ไม่ตกค้างในร่างกาย จึงมีความปลอดภัยสูง

ซึ่งในปัจจุบัน นิยมความงามอย่างเป็นธรรมชาติ ปลอดภัย และมีผลลัพธ์ที่ยาวนาน ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์นั้น สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนในปัจจุบันได้อย่างครบถ้วน เพราะฟิลเลอร์สามารถใช้แก้ไขปัญหาบนใบหน้าได้หลายอย่าง เช่น

  • ลดเลือนริ้วรอยและรอยแผลเป็นต่าง ๆ เช่น ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม, ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา, ฟิลเลอร์หน้าผาก
  • เสริมรูปหน้าให้สมมาตร เช่น ฉีดฟิลเลอร์คาง, ฉีดฟิลเลอร์จมูก หรือฟิลเลอร์ขมับ
  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อเพิ่มปริมาณริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม

โดยเทรนด์ฟิลเลอร์ในปัจจุบันแตกต่างจากในอดีตเป็นอย่างมาก เช่น

  • เน้นฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มจุดเล็ก ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา รอยตีนกา เพื่อให้ใบหน้าดูอิ่มฟู เรียบเนียน โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้า ซึ่งต้องฉีดเป็นปริมาณมาก
  • เลือกฟิลเลอร์รุ่นใหม่มีเนื้อสัมผัสนุ่ม ใกล้เคียงกับเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้ใบหน้าดูเป็นธรรมชาติ  ไม่แข็ง ตึง อีกทั้งยังอยู่ได้นานถึง 18 - 24 เดือน ช่วยลดจำนวนครั้งในการฉีด
  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจใช้ Filler ที่ได้มาตรฐาน ผ่าน อย. หลายชนิดผสมผสานกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้เข้ารับบริการมากที่สุด

ดังนั้น ด้วยเทรนด์ความงามในปัจจุบันสามารถตอบโจทย์ความเป็นธรรมชาติ ปลอดภัย และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน การฉีดฟิลเลอร์จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่อย่างไรก็ตาม ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ที่จะใช้ เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายบริเวณบนใบหน้า  เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังนี้

  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยลดเลือนร่องแก้มให้ดูเรียบเนียน ใบหน้าดูอิ่มฟู
  • ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยลดเลือนร่องใต้ตา ลดเลือนรอยคล้ำ ทำให้ตาดูโต สดใส
  • ฟิลเลอร์ปาก ช่วยเพิ่มปริมาณริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้น และแก้ไขรูปปากให้ได้รูปทรงตามต้องการ
  • ฟิลเลอร์หน้าผาก ช่วยลดเลือนร่องลึกบนหน้าผาก ทำให้ใบหน้าดูเรียบเนียน
  • ฟิลเลอร์ขมับ ช่วยเติมเต็มขมับให้ดูอิ่มเอิบ ใบหน้าดูสมดุล
  • ฟิลเลอร์คาง ช่วยเสริมคางให้ดูโด่ง รับกับรูปหน้า
  • ฟิลเลอร์จมูก ช่วยเสริมจมูกให้ดูโด่ง ปลายจมูกเชิด โดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ฟิลเลอร์ใต้คาง ช่วยลดเลือนเหนียง กระชับใบหน้า
  • ฟิลเลอร์มือ ช่วยเติมเต็มหลังมือ ทำให้มือดูอิ่มฟู ลดเลือนริ้วรอย

ฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายบริเวณบนใบหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ แต่ควรเลือก Filler ให้เหมาะกับบริเวณที่ต้องการฉีด ฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ที่จะใช้ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยม

ฟิลเลอร์ยี่ห้อที่นิยม

หากต้องการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใดก็ตาม สิ่งแรก คือ การศึกษาประเภทของ Filler แต่ละยี่ห้อเสียก่อน ว่า มีคุณสมบัติอย่างไร เหมาะกับบริเวณนั้นหรือไม่ โดยยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้แก่

Juvederm
ฟิลเลอร์ Juvederm ผลิตโดยบริษัท Allergan จากประเทศอเมริกา ใช้สารไฮยาลูโรนิค แอซิด (HA) ซึ่งเลียนแบบสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติใต้ชั้นผิว สามารถสลายตัวได้เอง ไม่ตกค้างในร่างกาย มีความปลอดภัยสูง ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย ผลลัพธ์คงอยู่นานประมาณ 1.5 - 2 ปี โดยฟิลเลอร์ Juvederm มีทั้งหมด 6 รุ่น แต่มี 2 รุ่นที่น่าสนใจ ได้แก่

  • ฟิลเลอร์ Juvederm กลุ่ม VyCross:  Volux / Voluma / Volift /Volbella / Volite เหมาะสำหรับยกกระชับผิวบริเวณต่าง ๆ เช่น โหนกแก้ม, ใต้คาง, ริมฝีปาก, รอยตีนกา, รอยเหี่ยวย่น, ใต้คาง เป็นต้น ทำให้ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ ขึ้นรูปง่าย เพราะ Filler ยึดเกาะกันดี มีประสิทธิภาพในการแทรกซึมลงไปในชั้นผิว
  • ฟิลเลอร์ Juvederm กลุ่ม Hylacross: Ultra / Ultra plus ซึ่ง Filler รุ่นนี้จะมีสารอุ้มน้ำ นำมาใช้เป็นฟิลเลอร์ร่องลึกได้ เช่น ร่องแก้ม, ร่องใต้ตา

Restylane
ฟิลเลอร์ Restylane ผลิตโดยบริษัท Galderma จากประเทศสวีเดน ใช้สารไฮยาลูโรนิค แอซิด (HA) เช่นเดียวกัน โดยคงผลลัพธ์ได้นานประมาณ 1 ปี โดยมี Filler น่าสนใจ 3 รุ่น ดังนี้

  • ฟิลเลอร์ Restylane กลุ่ม NASHA: Restylane Lyft /Classic เป็น Filler เฉพาะจุด ขึ้นรูปได้ดี เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณที่ต้องการการยกกระชับและปรับรูปหน้า เช่น โหนกแก้ม, ใต้คาง, ร่องแก้ม, ร่องใต้ตา 
  • ฟิลเลอร์ Restylane กลุ่ม OBT: Restylane Volyme / Defyne / Refyne เป็น Filler ที่อ่อนนุ่ม ควรฉีดในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย หรือบริเวณที่มีผิวบาง เหมาะสำหรับการลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ เช่น รอยตีนกา, รอยเหี่ยวย่น, ใต้คาง รวมถึงกระชับรูขุมขนกว้าง 
  • ฟิลเลอร์ Restylane กลุ่ม Skinbooster: Restylane vital / vital light เป็น Filler สำหรับรักษาริ้วรอยแบบตื้น ๆ เช่น ร่องแก้ม, ร่องมุมปาก, ใต้ตา, หน้าผาก, รอบดวงตา อีกทั้งยังช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียน ชุ่มชื้น กระชับรูขุมขนอีกด้วย
Belotero
ฟิลเลอร์ Belotero ผลิตจากประเทศ Switzerland มีอายุประมาณ 1 ปี ซึ่งแต่ละรุ่นจะมีการใช้งานเฉพาะส่วน จึงจำเป็นต้องศึกษารุ่นให้ตรงกับบริเวณที่ต้องการใช้ให้ดี เช่น

  • ฟิลเลอร์ Belotero Soft เป็น Filler ที่มีโมเลกุลขนาดบางเบามาก เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ กระชับรูขุมขนกว้าง 
  • ฟิลเลอร์ Belotero Balance เป็น Filler ที่นิยมใช้ในการแก้ไขร่องใต้ตา หรือร่องแก้ม อีกทั้งยังเพิ่มความกระจ่างใส ทำให้ผิวดูเรียบเนียน
  • ฟิลเลอร์ Belotero Intense เป็น Filler ที่ขึ้นทรงและมีความยืดหยุ่น เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณขยับ, ร่องแก้ม, โหนกแก้ม, ใต้คาง
  • ฟิลเลอร์ Belotero Volume เป็น Filler ที่เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณที่ต้องการการยกกระชับสูง เช่น ใต้คาง, ขมับ, ร่องแก้มลึก, ช่วยแก้ปัญหาแก้มตอบได้เป็นอย่างดี 
  • ฟิลเลอร์ Belotero Revive เป็น Filler ที่มีส่วนผสมของ HA + Glycerol (DUO Action) จึงนิยมฉีด เพื่อให้ผิวกระจ่างใส ฟื้นฟูผิวจากภายใน

ฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุด ใช้กี่ CC บ้าง?
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดแต่ละจุดบนใบหน้า ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง แต่โดยทั่วไปแล้ว จะใช้ Filler ในแต่ละจุดด้วยปริมาณ ดังต่อไปนี้

  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เริ่มต้นที่ 1 - 2 CC
  • ฟิลเลอร์แก้มตอบ เริ่มต้นที่ 2 CC
  • ฟิลเลอร์ใต้ตา เริ่มต้น 1 - 2 CC
  • ฟิลเลอร์โหนกแก้ม เริ่มต้น 1 - 2 CC
  • ฟิลเลอร์ปาก บริเวณร่องมุมปาก เริ่มต้นที่ 1 CC
  • ฟิลเลอร์หน้าผาก เริ่มต้นที่ 1 - 2 CC
  • ฟิลเลอร์คาง เริ่มต้นที่ 1 - 2 CC
  • ฟิลเลอร์กรอบหน้า (Jawline) ประมาณ 1 - 2 CC

ฉีดฟิลเลอร์อันตรายหรือเปล่า?

การฉีดฟิลเลอร์ โดยทั่วไปแล้วถือว่า ปลอดภัย หากเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ ฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก อย. แต่อย่างไรก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์ก็มีความเสี่ยง โดยเฉพาะหากฉีด Filler ปลอม หรือฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ หรือฉีดในสถานที่ที่ไม่ได้มาตรฐาน 

ซึ่งความเสี่ยงจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือฉีดโดยหมอกระเป๋า หมอเถื่อน มีดังนี้

  • การติดเชื้อ: ฟิลเลอร์ปลอมมักไม่มีการฆ่าเชื้อ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง
  • การอักเสบ: ฟิลเลอร์ปลอมอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ บวมแดง คัน หรือฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน
  • เนื้อตาย: หากฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด อาจทำให้เกิดการอุดตัน ส่งผลให้เนื้อตาย
  • ตาบอด: หากฉีดฟิลเลอร์บริเวณใบหน้า โดยเฉพาะฟิลเลอร์ร่องแก้ม อาจทำให้ Filler อุดตันเส้นเลือด ส่งผลให้ตาบอด
  • ผลข้างเคียงอื่น ๆ : เช่น รอยฟกช้ำ, บวมแดง, อาการปวด เป็นต้น

ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี?
แล้วเราควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี? การเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะส่งผลต่อความปลอดภัย ผลลัพธ์ และความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ ดังนั้น จึงขอแนะนำแนวทางเลือกสถานพยาบาล ดังนี้

1.เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล, แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน, เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย และมีห้องฉีดฟิลเลอร์ที่สะอาด ปลอดภัย
2.เลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม, มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์, เข้าใจปัญหาของผู้เข้ารับบริการ สามารถให้คำแนะนำ และตอบคำถามได้อย่างละเอียด
3.เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่มีรีวิวดี โดยค้นหาข้อมูลรีวิวจากหลาย ๆ แหล่ง อ่านรีวิวทั้งแง่บวกและแง่ลบ เน้นพิจารณาจากรีวิวที่เป็นปัจจุบัน
4.เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่มีราคาเหมาะสม โดยเปรียบเทียบราคาจากหลาย ๆ คลินิก ควรระวังคลินิกที่เสนอราคาถูกเกินจริง เน้นการพิจารณาคุณภาพและความปลอดภัยเป็นหลัก
5.เลือกคลินิกที่มีบริการดี พนักงานให้บริการด้วยความสุภาพ ให้คำปรึกษาอย่างละเอียด และมีบริการติดตามผลหลังฉีดฟิลเลอร์

สรุปเกี่ยวกับฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารที่ใช้ฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นการลดเลือนริ้วรอย ปรับผิวให้กระจ่างใส ปรับรูปหน้าให้ได้มิติมากขึ้น ด้วยเทรนด์ในปัจจุบันที่เน้นความงามอย่างเป็นธรรมชาติอย่างปลอดภัย ทำให้ฟิลเลอร์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ ก็ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เลือกฉีดฟิลเลอร์แต่ของแท้เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ และให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

43
โรงงานผลิตสบู่

ปัจจุบันแนวโน้มของเทรนด์เครื่องสำอางและการดูแลความงาม ยังคงเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่องและคาดว่ายังเติบโตในอนาคต โดยบริการหนึ่งที่คนยังให้ความสนใจในการเป็นเจ้าของแบรนด์นั่นก็คือ โรงงานผลิตสบู่ โดยการรับผลิตสบู่จะมีต้นทุนที่ไม่สูงมากนักและเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการล้างหน้า อาบน้ำเพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกระหว่างวันรวมถึงใช้ล้างเครื่องสำอาง โดยในบทความนี้จะพาไปดูสูตรการสูตรของโรงงานผลิตสบู่ที่ได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบันและพาไปดูและพาไปดู วิธีการเลือกโรงงานผลิตสบู่ให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพเพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค

สูตรสบู่แนะนำ ก่อนสั่งผลิตกับโรงงานผลิตสบู่
โดยสารสกัดที่ใช้ในการผลิตสบู่มีมากมายในท้องตลาดโดยโรงงานผลิตสบู่มักจะมีสูตรการรับผลิตสบู่ที่ได้รับความนิยมและเห็นผล อยู่มากมายในท้องตลาด แต่ก็ยังมีสูตรที่มาแรงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประกอบด้วยสูตร ดังนี้

1. หัวไชเท้าฝรั่ง (Radish)
สูตรหัวไช้เท้าฝรั่ง โดยโรงงานผลิตสบู่มีการคิดค้นสบู่เพื่อใช้ในการลดเลือนจุดด่างดำ ทำให้หน้าขาวกระจ่างใส จะใช้สูตรที่มีส่วนผสมหัวไชเท้าฝรั่งหรือ radish เข้ามาเพราะเป็นส่วนผสมที่มีส่วนช่วยในการลดจุดด่างดำ ทำให้ผิวเนียนนุ่มรวมถึงยังมียังมีน้ำมันรำข้าวที่อุดมไปด้วยสารสกัดจากวิตามินอี ทำให้ผิวเนียนนุ่มและขาวกระจ่างใสน่าสัมผัส

2. แครอท (Carrot)
แล้วต่อสูตรที่นิยมในการทำแบรนด์สบู่สูตรที่ 2 คือสบู่สูตรแครอท โดยสบู่สูตรแครอทมักจะจะใช้ในการทำความสะอาดผิวกาย สบู่แครอทที่มีส่วนผสมของแครอทจะอุดมไปด้วยสารอาหารสำหรับผิวทำให้ผิวช่วยดูแลผิวอย่างอ่อนโยนและมีสารสกัดและยังมีสารสกัดจากฟักข้าวที่เติมความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวกระจ่างใส เนียนนุ่มและไม่ป้องกันผิวแห้งกร้าน

3. เมือกหอยทาก
สบู่สูตรต่อมาของโรงงานผลิตสบู่ นั่นก็คือ สบู่สูตรเมือกหอยทาก เป็นสบู่ที่อุดมไปด้วยคุณค่าจากเมือกหอยทาก โดยเมื่อหอยทากมีคุณสมบัติในการบำรุงอย่างล้ำลึก มีส่วนช่วยในการป้องกัน บรรเทาความรุนแรงของสิว รักษาฝ้ากระความหมองคล้ำ ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสได้ดูสุขภาพดี อีกทั้งยังมีส่วนคุณสมบัติในการช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่ผิว ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

4. สารสกัดจากภูเขาไฟฟูจิ
และสบู่สุดสุดท้ายของบริษัททำสบู่ในท้องตลาด สบู่สูตรภูเขาไฟฟูจิ โดยคุณสมบัติของสบู่ชนิดนี้คือ เต็มไปด้วยแร่ธาตุ ที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง และมีส่วนช่วยในการยับยั้งสิวอักเสบ ดูดซับความมัน ป้องกันการเกิดสิวอุดตัน

โรงงานผลิตสบู่ จุดเริ่มต้นของความสำเร็จในการทำธุรกิจ
โดยวิธีการเลือกโรงงานผลิตสบู่มีวิธีการมากมาย เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสินค้า และให้ได้บริการสินค้าที่มีคุณภาพ สร้างความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค และสร้างความสะดวกสบายให้แก่เจ้าของแบรนด์โดยจะมีปัจจัยประกอบกันด้วยกัน ดังนี้

  • เลือกโรงงานที่มีบริการครบวงจร โดยมีการวางแผนตั้งแต่เลือกกลุ่มเป้าหมาย การคิดสูตรสินค้า การออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการจัดจำหน่ายสินค้าและการทำการตลาดให้แก่เจ้าของแบรนด์
  • เลือกโรงงานที่ผลิตสินค้ารวดเร็ว มีการผลิตสินค้าที่ตรงตามมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าได้ตรงตามระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ในใบสัญญาซื้อ
  • เลือกโรงงานที่ได้รับการรอรับรองมาตรฐาน ในการเลือกโรงงานผลิตสบู่ควรเลือกโรงงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก haccp หรือมาตรฐานต่าง ๆ เพื่อเป็นเครื่องหมายการันตี ถึงการตรวจสอบมาตรฐานของโรงงาน และเป็นตัวบ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์จะไม่สร้างอันตรายต่อผู้บริโภค
  • ควรเลือกโรงงานที่มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่ตรงตามมาตรฐานสากล มีการใช้เครื่องจักรที่ได้มาตรฐานไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนและสามารถผลิตได้ตรงตามสูตร ทำให้คุณภาพของสินค้าออกมาตรงกับมาตรฐาน

ทิศทางการเติบโตของธุรกิจสบู่ชำระผิวกายยังน่าลงทุนไหม?

 สั่งผลิตสบู่

ทิศทางของการเติบโตของการใช้บริการโรงงานรับผลิตสบู่ เพื่อเป็นเจ้าของแบรนด์ยังมีความน่าสนใจในยุคปัจจุบัน เนื่องจากมีความเติบโตในด้านของอุตสาหกรรมความงามและการใส่ใจดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายและยังมีแนวโน้มมากขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงผู้สูงอายุที่หันมาใส่ใจดูแลตัวเอง เพื่อให้มีบุคลิกภาพรวมถึงหน้าตาที่ดูดี การมีสูตรที่พัฒนาขึ้นยังมีความตอบโจทย์กับผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นทั้งสบู่สำหรับชำระล้างร่างกาย สบู่สำหรับชำระล้างผิวหน้าเพื่อบำรุงผิวพรรณทั้งตัวให้ดูดี

ความคุ้มค่าในการลงทุนกับโรงงานผลิตสบู่ที่มีมาตรฐาน

สั่งผลิตสบู่

โดยความคุ้มค่าในการลงทุนกับโรงงานผลิตสบู่ที่มีสูตรมาตรฐาน โดยโรงงานผลิตสบู่มีต้นทุนการผลิตแต่ละสูตรที่ค่อนข้างต่ำโดยถ้าเป็น

-สบู่สูตรมาตรฐาน โรงงานผลิตสบู่ oem จะเริ่มต้นสูตรอยู่ที่ 1,000 ก้อนปริมาณ 50 กรัมจะตกราคาก้อนละ 32 บาทในขณะที่ 5,000 ก้อนปริมาณ 50 กรัมตกก้อนละ 26 บาทและหมื่นก้อนปริมาณ 50 กรัมจะตกที่ก้อนละ 22 บาท
แต่ถ้าเจ้าของแบรนด์มีการมีความต้องการที่จะผลิตแบรนด์สบู่ที่มีมาตรฐานมากกว่าคู่แข่งในตลาดและมีการใช้ส่วนผสมที่พิเศษมากกว่าเจ้าอื่น ๆ เพื่อสร้างความแตกต่างให้แก่ผลิตภัณฑ์สินค้าสบู่
-โดยโรงงานรับผลิตสบู่สูตรพิเศษ ราคาเริ่มต้นผลิตที่ 1,000 ก้อนปริมาณ 50 กรัมจะราคาอยู่ที่ 45 บาทในขณะที่ 5,000 ก้อนปริมาณ 50 กรัมราคา 37 บาทและ 10,000 ก้อนปริมาณ 50 กรัมจะได้ราคา 32 บาท

ซึ่งจะเห็นได้ว่าต้นทุนการผลิตของโรงงาน โรงงานสบู่มีราคาที่ค่อนข้างต่ำและยังสามารถสร้างสามารถนำไปขายได้ราคา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการทำการตลาด และส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตสบู่ รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดจะเพิ่มมูลค่าให้แก่สบู่ของแต่ละแบรนด์ได้

44
คอร์ส IELTS

การเริ่มเรียนคอร์ส IELTS ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เพื่อเปิดประตูสู่โอกาสอันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อในต่างประเทศ หรือจะเป็นการแสวงหาความก้าวหน้าในอาชีพ หรือเป็นบุคคลที่มุ่งหวังที่จะพัฒนาความสามารถทางภาษา คอร์ส IELTS ถือเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของคุณ

IELTS คืออะไร นำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร

IELTS หรือระบบทดสอบภาษาอังกฤษนานาชาติ เป็นแบบทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก โดยจะประเมินทักษะทางภาษาของบุคคลที่จะใช้ในการเรียน ทำงาน หรือย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ แบบทดสอบนี้ออกแบบมาเพื่อวัดความสามารถด้านทักษะทางภาษาที่สำคัญ 4 ประการ ได้แก่ การฟัง การอ่าน การเขียน และการพูด จึงทำให้เกิดคอร์ส IELTS ขึ้นมา

คอร์สติว IELTS มีประโยชน์อะไรบ้าง

คอร์สเรียน ielts

การลงทะเบียนเรียนคอร์ส IELTS นั้นมีประโยชน์มากมายที่นอกเหนือไปจากการผ่านการทดสอบ เรามาดูข้อดีทั้งหมดกัน ได้แก่

1. การเตรียมการทดสอบที่ครอบคลุมเนื้อหาที่ควรรู้

  • การเรียนรู้แบบมุ่งเน้น โดยคอร์สเรียน ielts จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับเป้าหมายในแต่ละส่วนของการสอบ เพื่อให้มั่นใจว่ามีผู้เรียนจะมีความเข้าใจที่ครอบคลุม เกี่ยวกับรูปแบบการสอบต่าง ๆ
  • แบบฝึกหัด การทำแบบฝึกหัดเป็นประจำ จะช่วยจำลองสภาพแวดล้อมการสอบ ช่วยให้ผู้เรียนคุ้นเคยกับโครงสร้างข้อสอบ เพื่อให้ชินกับช่วงเวลาของการสอบ

2. คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

  • ผู้สอนที่มีประสบการณ์ คอร์สไอเอล มักสอนโดยผู้สอนที่มีประสบการณ์ซึ่งมีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการสอบ ทำให้วิธีการสอนนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • คำติชม คำติชมเกี่ยวกับการทำแบบฝึกหัด จะช่วยให้ผู้เรียนรู้ถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง ช่วยให้สามารถปรับปรุงให้ได้ตามเป้าหมาย

3. การเพิ่มประสิทธิภาพทักษะ

  • การปรับปรุงทักษะทางภาษา ติวสอบ ielts จะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างทักษะทางภาษา รวมถึงคำศัพท์ ไวยากรณ์ต่าง ๆ การออกเสียง ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าการสอบ
  • ความมั่นใจในการพูด มีการเอาใจใส่เป็นพิเศษเพื่อพัฒนาทักษะการพูด ช่วยเพิ่มความมั่นใจสำหรับการทดสอบการพูดแบบเห็นหน้ากัน

4. กลยุทธ์การทดสอบ

  • การบริหารเวลา คอร์สติว ielts จะช่วยให้ผู้เรียนมีกลยุทธ์การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำแบบทดสอบทุกส่วน ให้เสร็จสิ้นภายในเวลาที่จัดสรรไว้
  • เทคนิคการสอบ การเรียนรู้เทคนิค รวมถึงกลยุทธ์การสอบเฉพาะ ช่วยเพิ่มโอกาสในการได้คะแนนสูงขึ้น

การเตรียมตัวสอบ IELTS? ต้องทำอะไรบ้าง

เตรียมตัวสอบ ielts ไม่มี พื้นฐานนั้น จะต้องใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์และความพยายามอย่างทุ่มเท คำแนะนำทีละขั้นตอนเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จหลังจากสมัครสอบไอเอล ดังนี้

1. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสอบ

  • ทำความคุ้นเคยกับรูปแบบการสอบ การรู้โครงสร้างของการทดสอบจะช่วยให้คุณจัดสรรเวลาได้อย่างเหมาะสมในระหว่างการสอบ
  • ระบุประเภทการทดสอบ เนื่องจากพิจารณาว่าคุณกำลังสอบ IELTS อยู่ ซึ่งแตกต่างจากการสอบแบบอื่น ๆ เพราะแต่ละหลักสูตรมีรูปแบบคำถาม คำตอบที่แตกต่างกัน

2. การตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้จริง

  • ประเมินความสามารถปัจจุบันของคุณ ลองทำแบบฝึกหัด เพื่อวัดระดับความสามารถปัจจุบันของคุณ พร้อมกับตั้งเป้าหมายการปรับปรุงที่สามารถทำได้จริง
  • คะแนนเป้าหมาย ศึกษาคะแนนเป้าหมายของสถาบันหรือองค์กรที่คุณต้องการยื่นให้ดี เพื่อวางแผนการทำการสอบให้ผ่านตามเป้าหมาย

3. การลงทะเบียนเรียนคอร์ส IELTS

  • ค้นคว้า ก่อนเลือกคอร์ส IELTS ที่มีชื่อเสียง ตรวจสอบหลักสูตรที่มีผู้สอนที่มีประสบการณ์ บทวิจารณ์เชิงบวก มาพร้อมกับหลักสูตรที่ครอบคลุม
  • มุ่งมั่นในการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเป็นอีกกุญแจสำคัญในการปรับปรุงตนเอง อุทิศเวลาในการศึกษา พร้อมทั้งฝึกฝนทักษะด้านภาษาเป็นประจำ

4. การเรียนผ่านสื่อการสอน

  • การอ่านหนังสือ ปูพื้นฐานเนื้อหาทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการสอบ การอ่านทบทวนซ้ำ ๆ จะเพิ่มความเข้าใจให้กับผู้เรียนมากยิ่งขึ้น
  • ข้อสอบของ IELTS ที่เคยออกสอบมาก่อน เพื่อใช้ข้อสอบเหล่านี้ เพื่อฝึกซ้อมเกี่ยวกับ IELTS จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
  • แพลตฟอร์มฝึกหัดออนไลน์ สำรวจแพลตฟอร์มออนไลน์ที่นำเสนอแบบฝึกหัดเพิ่มเติม คำถามตัวอย่าง ไปจนถึงแบบฝึกหัดเชิงโต้ตอบ

5. เสริมสร้างทักษะการพูด

  • มีส่วนร่วมในการสนทนา ฝึกพูดภาษาอังกฤษเป็นประจำกับเจ้าของภาษาหรือคู่แลกเปลี่ยนภาษา
  • การประเมินตัวเอง การบันทึกคำตอบของคุณช่วยให้สามารถประเมินตนเอง เพื่อนำไปปรับปรุงการออกเสียงให้มีความคล่องยิ่งขึ้น

6. การเตรียมตัววันสอบ

  • การสอบจำลอง ดำเนินการสอบจำลองภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม หรือจะเป็นเวลาในการสอบที่คล้ายกับการสอบจริงให้มากที่สุด ให้เกิดความเคยชิน
  • กลยุทธ์การบริหารเวลา มีการพัฒนาแผนการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพสำหรับการสอบแต่ละส่วนอย่างเหมาะสม ถ้าผู้เรียนชำนาญด้านใดมากที่สุด ก็ให้ทำส่วนนั้นก่อน

สรุปคอร์ส IELTS สำคัญอย่างไร

ติวสอบ ielts

คอร์ส IELTS มีบทบาทสำคัญในการประสบความสำเร็จในชีวิต การสอบ IELTS เป็นการปลดล็อกสู่โอกาสใหม่ ๆ จากการจัดเตรียมการทดสอบที่ครอบคลุม มาพร้อมกับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงการเพิ่มทักษะทางภาษา ทั้งยังการปลูกฝังความมั่นใจ ประโยชน์ของการลงทะเบียนเรียนหลักสูตร IELTS มีมากกว่าแค่การสอบ

45
การทำ SEO

ในยุคดิจิทัลที่เว็บไซต์เปรียบเสมือนบ้านหรือร้านค้าที่เปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงธุรกิจ แบรนด์ หรือข้อมูลของเราได้ ท่ามกลางเว็บไซต์มากมายในกลุ่มธุรกิจเดียวกันสิ่งที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราโดดเด่นจากแบรนด์อื่น ๆ ได้นั่นคือการทำ SEO (Search Engine Optimization) ให้กับเว็บไซต์นั่นเอง

บทความนี้เปรียบเสมือนเข็มทิศที่จะนำพาคุณไปรู้จักกับการทำ SEO ตั้งแต่การทำความเข้าใจว่า SEO คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรบ้าง พร้อมเทคนิคในการทำ SEO ให้ติดในหน้าแรกของ Google เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานและนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จบนโลกออนไลน์

SEO คืออะไร

SEO หรือ Search Engine Optimization คือ กลยุทธ์ในการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์และเนื้อหาให้สอดคล้องกับอัลกอริทึมของ Search Engine อย่าง Google ซึ่งการทำให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ง่ายยิ่งขึ้น จะส่งผลให้อัลกอริทึมมองว่าเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์นั้นมีคุณภาพและทำให้มีอันดับเว็บไซต์ที่ดียิ่งขึ้นบนหน้าผลการค้นหา (SERPs)

โดยหลักการทำงานของ Search Engine ของ Google จะใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า "Spider" หรือ "Crawler" ในการดัชนีเว็บไซต์จากทั่วโลก ซึ่ง Spider จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหา โครงสร้างเว็บไซต์ และความเกี่ยวข้องของเว็บไซต์ โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหา

การทำ SEO สำคัญอย่างไร

การทำ SEO นอกจากจะทำให้เว็บไซต์ของเราสามารถติดอันดับดี ๆ ในหน้าผลลัพธ์การค้นหาแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้คุณภาพเว็บไซต์ในด้านอื่น ๆ ดีขึ้นอีกด้วย โดยผลลัพธ์จากการทำ SEO จะให้ผลดีดังนี้

เพิ่ม Traffic ให้กับเว็ปไซต์

โดยปกติแล้วเวลาที่เรารู้สึกสนใจสินค้าหรือบริการบางอย่าง เราจะเริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการนั้น ๆ บน Search Engine อย่าง Google ซึ่งการทำ SEO จะช่วยดึงดูดผู้ใช้งานที่สนใจเนื้อหาของสินค้าหรือบริการของธุรกิจเรา เป็นการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์และสามารถเก็บข้อมูลผู้ใช้งานบนหน้าเว็บไซต์เพื่อสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดเพิ่มเติมได้อีก

สร้าง Brand Awareness

อีกหนึ่งสิ่งที่จะได้จากการทำ SEO โดยเฉพาะการทำ SEO จนเว็บไซต์ติดอันดับแรก ๆ ของหน้าผลลัพธ์การค้นหาคือการสร้าง Brand Awareness ให้ได้เป็นที่รู้จักโดยเฉพาะการติดใน Feature Snippet หรือการติดอันดับ 0 ที่จะยิ่งช่วยให้เนื้อหาของเว็บไซต์เราถูกมองเห็นได้ง่ายยิ่งขึ้น แถมยังเพิ่มโอกาสที่จะมี Traffic เข้ามายังเว็บไซต์เพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งยิ่งมีหน้าเว็บไซต์ที่ติดในอันดับแรก ๆ ในหลาย ๆ คีย์เวิร์ดจะยิ่งเป็นการเพิ่มการจดจำแบรนด์และการสร้างภาพลักษณ์ที่ให้กับธุรกิจ

เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ

สำหรับการทำ SEO ให้เว็บไซต์มีคุณภาพที่ดีนั้น จะต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์รวมไปถึงการผลิตบทความที่มีคุณภาพและมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์กับผู้อ่านอยู่แล้ว ซึ่งการทำ SEO โดยการเขียนเนื้อหาบทความที่มีประโยชน์ดูน่าเชื่อถือจะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจว่ามีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับธุรกิจนั้นจริง ๆ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการปิดการขายหรือการเกิด Conversion บนเว็บไซต์ของเราได้มากยิ่งขึ้น

เทคนิคการทำ SEO มีขั้นตอนอย่างไร

หลังจากที่ได้ทราบถึงความสำคัญของการทำ SEO กันไปแล้ว ถัดมาเราจะมาเจาะลึกรายละเอียดของการทำ SEO ให้มากยิ่งขึ้นกัน โดยเทคนิคในการทำ SEO จะถูกแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้

1. การทำ Keyword Research

ในขั้นตอนแรกของการทำ SEO เลยคือการหา Keyword ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์หรือการทำ Keyword Research โดยจะเป็นการวิเคราะห์และค้นหา Keyword ที่ผู้ใช้งานนิยมค้นหาบน Google ซึ่งเป้าหมายคือการเลือก Keyword ที่มี Search Volume สูงและมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ แบรนด์หรือเว็บไซต์ของเรา

ประโยชน์ของการทำ Keyword Research จะมีดังนี้

• เพิ่มโอกาสในการเข้าผู้ใช้งานที่มีความสนใจในสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา
• ช่วยเพิ่ม Brand Awareness
• ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำ SEO ของเว็บไซต์
• เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
• เพิ่ม Traffic ในการเข้าชมเว็บไซต์

2. วาง Website Structure

ขั้นตอนถัดมาของการทำ SEO จะเป็นการวาง Website Structure ซึ่งจะเปรียบเสมือนผังที่แสดงลำดับชั้นและความสัมพันธ์ของหน้าเว็บต่าง ๆ บนเว็บไซต์ ถ้าหากมีโครงสร้างของเว็บไซต์ที่ดีก็จะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจเว็บไซต์ สามารถค้นหาข้อมูลได้ง่าย และยังช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์อีกด้วย

โดยหลักการวาง Website Structure ในการทำ SEO จะมีดังนี้

• เรียบง่าย: โครงสร้างควรมีความเรียบง่าย เข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อน
• มีลำดับชั้น: หน้าเว็บควรจัดเรียงตามลำดับชั้นและมีการแสดงความสัมพันธ์ของเนื้อหา
• ใช้งานง่าย: ผู้ใช้งานควรค้นหาเนื้อหาหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการบนเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องคลิกหลายครั้ง
• เหมาะกับ Search Engine: โครงสร้างเว็บไซต์ควรถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น

3. การทำ On-Page SEO

อีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญเป็นอย่างมากในการทำ SEO นั่นคือการทำ On-Page SEO ซึ่งจะเป็นการปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์ เพื่อให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์และสามารถจัดอันดับบนหน้าผลลัพธ์การค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเทคนิคการการทำ On-Page SEO จะมีดังนี้

• การเลือก Keyword ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
• ปรับแต่ง Title และ Meta Description
• เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้
• มีการใส่ Internal link, Alt Text และ Head Tag
• มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของ Website Speed

4. การทำ Off-Page SEO

นอกจากการทำ On-Page SEO แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำควบคู่กันเพื่อประสิทธิภาพในการทำ SEO ที่ดียิ่งขึ้นนั่นคือการทำ Off-Pageg SEO ซึ่งจะเป็นกลยุทธ์การทำ SEO ที่เน้นการสร้าง Backlinks จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของเรา เปรียบเสมือนการให้เครดิตกับเว็บไซต์เราให้ดูมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

โดยเทคนิคการทำ Off-Page SEO จะมีดังนี้

• Guest Blogging: เขียนบทความและเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่น โดยจะมีการใส่ External link เพื่อเชื่อมมายัง On-Page
• Infographic: สร้าง Infographic และเผยแพร่บนเว็บไซต์อื่น และมีการลิงก์กลับมายังหน้า On-Page
• Broken Link Building: ค้นหา Broken Link บนเว็บไซต์อื่น และติดต่อเพื่อขอแลก Backlink

5. การทำ Technical SEO

ขั้นตอนสุดท้ายของการทำ SEO คือการทำ Technical SEO โดยจะเป็นการปรับแต่งโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ให้ Search Engine สามารถเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ ค้นหา จัดอันดับ และแสดงผลบนหน้าผลลัพธ์การค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเทคนิคการทำ Technical SEO จะมีดังนี้

• ตรวจสอบความเร็วในการโหลดเว็บไซต์และปรับแต่งให้มีประสิทธิภาพ
• ตรวจสอบว่าหน้าเว็บไซต์มีการทำ Responsive เป็น Mobile-Friendly
• ส่ง Sitemap ไปยัง Search Engine
• ใช้ Robots.txt
• ใช้ Canonical URL
• มีการ Optimize รูปภาพ

สรุปการทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google

สำหรับการทำ SEO นั้นเปรียบเสมือนการลงมือปลูกต้นไม้ ตั้งแต่การเพาะเมล็ด เลี้ยงต้นกล้า ต้องคอยใส่ปุ๋ย พรวนดิน คอยดูแลจนกระทั่งต้นไม้เติบโตและสามารถให้ผลผลิตได้ ซึ่งการทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาในช่วงแรกเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

โดยการทำ SEO ในสมัยนี้ได้มีบริษัทรับทำ SEO มากมายที่ให้บริการจ้างทำ SEO คอยดูแลเว็บไซต์ของธุรกิจตั้งแต่การวาง Website Structure รวมไปถึงการทำ Research Keyword สำหรับทำ On-page และ Off-page SEO ที่ทางแบรนด์ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้าน SEO ก็สามารถทำ SEO ให้กับแบรนด์ของตัวเองได้ ซึ่ง Agency SEO จะคอยให้คำแนะนำการปรับปรุงเว็บไซต์ตั้งแต่การวาง Structure ไปจนถึงการผลิตบทความที่มีคุณภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับ Search Engine และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน


46
Marketing Automation

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวัน การตลาดอัตโนมัติ (Marketing Automation) กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพผลลัพธ์ทางการตลาด ช่วยให้นักการตลาดสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพประหยัดเวลา และช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักเพิ่มเติมกันว่า Marketing Automation คืออะไร? มีขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้าง มีวิธีในการดูอย่างไรว่าธุรกิจของเราเหมาะกับ Marketing Automation หรือไม่ พร้อมตัวอย่างการนำ Marketing Automation ไปใช้งานจริงในการทำธุรกิจ

ทำความรู้จัก Marketing Automation หนึ่งในตัวเลือกของธุรกิจยุคใหม่ที่น่าจับตามอง

การตลาดอัตโนมัติ หรือ Marketing Automation คือ การใช้ซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือต่าง ๆ ในการลดการทำงานแบบแมนนวลลงและแทนที่ด้วยระบบการทำงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งการใช้งานเทคโนโลยีในการทำงานแทนมนุษย์ช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจาก Human Error ได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยประหยัดเวลาในการทำงานที่มีรูปแบบการทำงานซ้ำ ๆ อีกด้วย

โดยในธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการทำงานเป็นระบบอย่างชัดเจนจะมีการวาง Marketing Automation ในส่วนต่าง ๆ เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูล การโพสต์สื่อบนช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ หรือการส่งอีเมลที่มีจำนวนมหาศาล เป็นต้น ซึ่งงานเหล่านี้ถ้าหากต้องใช้บุคลากรในการทำงานจะต้องใช้แรงงานและงบประมาณที่ค่อนข้างสูงในการจัดการ

จะรู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจของเราเหมาะกับ Marketing Automation หรือไม่?

สำหรับการใช้งาน Marketing Automation ในธุรกิจหรือองค์กรนั้น ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์ในหลายด้านแต่การใช้ Marketing Automation จะเหมาะกับธุรกิจที่เริ่มมีกระบวนการทำงานที่ชัดเจน มีฐานลูกค้าในระดับหนึ่ง ที่อยากจะประหยัดเวลาจากการทำงานที่มีกระบวนการซ้ำ ๆ และใช้บุคลากรในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ถึงแม้ว่าการใช้ Marketing Automation จะสามารถช่วยประหยัดเวลาและลดการทำงานลงได้ แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายจากการใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาเช่นกัน ดังนั้นหากเป็นธุรกิจที่ยังมีฐานลูกค้าไม่มากหรือมีปริมาณ Traffic น้อยอยู่ การเลือกใช้ Marketing Automation อาจจะยังไม่ตอบโจทย์สักเท่าไรนักเพราะค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียนั้นยังไม่คุ้มค่ากับการลงทุนกับเครื่องมือเหล่านี้

ขั้นตอนการทำงานของ Marketing Automation

การเลือกใช้เครื่องมือ Marketing Automation จะมีขั้นตอนในการตั้งค่าและการวางกระบวนการการทำงานที่คล้ายคลึงกันในแต่ละชนิดของเครื่องมือ โดยขั้นตอนการทำงานของ Marketing Automation จะมีขั้นตอนในการทำงานหลัก ๆ ดังนี้

  • กำหนดเป้าหมาย: ระบุเป้าหมายทางการตลาดให้ชัดเจนเช่น การเพิ่มยอดขาย เพิ่ม Traffic หรือการสร้างแบรนด์
  • ระบุกลุ่มเป้าหมาย: เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย พฤติกรรม ความต้องการ และความสนใจของลูกค้า
  • การเลือกเครื่องมือ: เลือกใช้เครื่องมือ Marketing Automation ที่เหมาะสมกับธุรกิจและงบประมาณ โดยต้องตอบโจทย์กับเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้
  • เก็บข้อมูล: เมื่อเลือกเครื่องมือในการใช้งานเรียบร้อยแล้ว ถัดมาจะเป็นการเลือกเก็บข้อมูลที่ต้องการเช่น ข้อมูลติดต่อ พฤติกรรมการซื้อ หรือความสนใจของลูกค้า เป็นต้น
  • แบ่งกลุ่มลูกค้า: ตามเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น พฤติกรรม ความสนใจ ข้อมูลประชากร
  • ออกแบบกระบวนการทำงาน: ออกแบบ Workflow สำหรับลูกค้าในแต่ละกลุ่ม และเริ่มดำเนินการ Automation
  • วิเคราะห์ผลลัพธ์: นำผลลัพธ์ที่ได้มาวิเคราะห์และวัดผลแคมเปญ
  • ปรับปรุงกลยุทธ์: ปรับปรุงแผน Marketing Automation ตามผลลัพธ์ที่ได้

ตัวอย่างการนำ Marketing Automation ไปใช้งานในธุรกิจ

roi marketing automation

หลังจากที่ได้ทราบการทำงานของเครื่องมือ Marketing Automation กันไปแล้ว ถัดมาเราจะมาดูตัวอย่างการใช้งานกันบ้างว่า Marketing Automation สามารถนำไปใช้งานยังไงได้บ้าง

1. ส่งข้อเสนอให้กลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การทำ Email Marketing อย่างการส่ง Welcome Email เพื่อเป็นการสร้างความประทับใจแรกให้กับลูกค้าใหม่ ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่การทำ Marketing Automation สามารถเข้ามาช่วยจัดการส่ง Email แบบอัตโนมัติได้ในทันที

2. ทำระบบ Scroing เพื่อจัดหมวดหมู่ลูกค้าที่ใช้บริการธุรกิจ

การทำระบบ Scroing เป็นวิธีที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถแบ่งหมวดหมู่ของลูกค้าได้ เพื่อการบริการและนำเสนอบริการหรือสินค้าได้อย่างถูกจุดกับกลุ่มลูกค้าในแต่ละหมวดหมู่ ซึ่งการนำระบบ Automate มาใช้คือวิธีที่จะช่วยให้การจัดการหมวดหมู่ลูกค้าสามารถทำได้อย่างเป็นระบบ

3. ส่งอีเมลหรือโฆษณาให้ลูกค้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์

อีกหนึ่งวิธีที่เป็นที่นิยมในการใช้ระบบ Automatic คือการส่งอีเมลหรือโฆษณาให้แก่ลูกค้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้าง Conversion หรือการปิดการขายได้มากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างกลยุทธ์ในธุรกิจ E-commerce Marketing คือการส่งคูปองส่วนลดหรือโปรโมชันพิเศษไปทางอีเมล เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ามีความสนใจอยากซื้อสินค้าหรือบริการมากยิ่งขึ้น

4. การเก็บข้อมูลสำหรับธุรกิจแบบ B2B

สำหรับธุรกิจแบบ B2B แล้ว การทำ Automation Marketing (B2B) จะมีขั้นตอนที่แตกต่างจากธุรกิจแบบ B2C โดยจะมีการใช้เครื่องมือ Marketing Automation ในการเก็บข้อมูลผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อติดต่อกลับหรือส่งข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นให้เกิด Conversion หลังจากนั้นอาจจะมีการทำ Account-Based Marketing เพิ่มเติมโดยระบบจะส่งข้อความที่มีเนื้อหาแบบ Personalize ให้กับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งเป็นการให้ข้อมูลเพื่อกระตุ้นให้เกิดการ Conversion แบบเฉพาะเจาะจงตามพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าแต่ละรายที่มีความแตกต่างกัน

Human VS. Automation อะไรส่งผลดีต่อธุรกิจมากกว่ากัน?

automation marketing b2b

หากเปรียบเทียบระหว่างการทำงานโดยมนุษย์กับการใช้เครื่องมือ Marketing Automation แล้ว ในการทำงานแต่ละแบบก็จะมีข้อดีแตกต่างกันออกไปดังนี้

ข้อดีของการทำงานโดยมนุษย์

  • มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถคิดนอกกรอบ หาวิธีในการแก้ไขปัญหาใหม่ ๆ ได้
  • มีการสื่อสารที่ดี มีความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึก และภาษากายของผู้อื่น
  • มนุษย์สามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดโดยพิจารณาจากสถานการณ์และข้อมูลที่มี

ข้อดีของการทำงานโดยใช้เครื่องมือ Marketing Automation

  • สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ช่วยลดภาระการทำงานที่ซ้ำซ้อน ประหยัดค่าใช้จ่ายและช่วยลดต้นทุนในการผลิตได้
  • การใช้ระบบ Automation สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องหยุดพัก

ทั้งการทำงานโดยมนุษย์และการใช้เครื่องมือ Marketing Automation ต่างก็มีข้อดีที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้การใช้การทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อความสำเร็จของธุรกิจ ดังนั้นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการเลือกใช้งานทั้งมนุษย์และเครื่องมือ Marketing Automation ร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด

สรุปการใช้งาน Marketing Automation

Marketing Automation หรือการตลาดแบบอัตโนมัติคือ การใช้เทคโนโลยีหรือโปรแกรมต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องมือทางการตลาดเข้ามาช่วยเพิ่มให้การทำงานสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการใช้ Marketing Automation ยังสามารถช่วยลดภาระการทำงานซ้ำซ้อนหรือช่วยในการทำงานขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบชัดเจนได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาอีกทั้งยังทำให้ลดการใช้ทรัพยากรบุคคลในบางกระบวนการได้อีกด้วย

โดยการใช้ Marketing Automation จะเข้ามามีส่วนช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า และยังสามารถช่วยเหลือการทำงานทางด้านการตลาดอื่น ๆ ที่หลากหลายได้อีกไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมล การสร้างแคมเปญ หรือการจัดการบนโซเชียลมีเดียตามช่องทางต่าง ๆ ซึ่งการใช้ระบบ Automation ร่วมงานกับการทำงานของมนุษย์จะยิ่งช่วยลดโอกาสการเกิดข้อผิดพลาด และทำให้การทำงานสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

47
รับปิดโพรงใต้บ้าน

ขอบคุณภาพจาก https:// www .q-chang.com/landscape/void-filling

บ้านเป็นทรัพย์สินมีค่าที่สุดของหลายๆ คน เมื่ออยู่ไปนาน ๆ จะมีปัญหากวนใจมักพบได้บ่อยคือบ้านทรุด รอยร้าว พื้นเอียง ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือโพรงใต้บ้าน ซึ่งโพรงใต้บ้านเปรียบเสมือน "ระเบิดเวลา"  อาจส่งผลร้ายแรงต่อโครงสร้างบ้าน แก้ปัญหาได้ด้วยบริการรับปิดโพรงใต้บ้านเพื่อเสริมความแข็งแรงของบ้าน หรือปิดโพรงรอบบ้าน เพื่อให้บ้านกลับมาแข็งแรง ปลอดภัย สวยงาม น่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม

บทความนี้ จะมาทำความรู้จักกับการปิดโพรงใต้บ้านคืออะไร สาเหตุเกิดโพรงใต้บ้านเกิดจากอะไร มีวิธีแก้ไขอย่างไร ขั้นตอนการทำงาน ข้อดีและประโยชน์ของรับปิดโพรงใต้บ้าน รวมถึงปิดโพรงใต้บ้าน ราคาเริ่มต้นเท่าไร อย่าปล่อยให้บ้านเกิดปัญหาบานปลาย รีบแก้ไขด้วยวิธีที่ถูกต้องกันเลย

ทำความรู้จักการรับปิดโพรงใต้บ้าน 

การรับปิดโพรงใต้บ้าน หมายถึงบริการซ่อมแซมแก้ไขโพรงหรือช่องโหว่ที่เกิดขึ้นใต้พื้นบ้าน ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุ เช่น ดินทรุด น้ำท่วม การกัดเซาะของน้ำใต้ดิน หรือสัตว์ต่างๆ ขุดรูใต้บ้านจนเกิดโพรง
หากปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลเสียหลายอย่าง เช่นโครงสร้างบ้านเสียหาย เกิดปัญหาบ้านทรุด ร้าว แตก พังทลาย ปัญหาน้ำท่วมขัง หรือสัตว์เข้ามาอาศัย เพื่อลดหรือป้องกันความเสี่ยง ใช้บริการปิดโพรงรอบบ้าน โดยใช้วัสดุต่างๆ ปิดโพรงใต้บ้าน

สาเหตุของการเกิดโพรงใต้บ้าน 

ปิดโพรงใต้บ้าน

ขอบคุณภาพจาก https:// www .q-chang.com/landscape/void-filling

สาเหตุของเกิดโพรงใต้บ้าน มีสาเหตุหลัก ๆ ของโพรงใต้บ้านเกิดจากดินทรุดตัว ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 กรณีหลัก ดังนี้

1. ดินทรุดตัวตามธรรมชาติ
• ลักษณะของดิน: ดินในพื้นที่นั้นเป็นดินอ่อน เช่น ดินเหนียวอ่อน ดินทราย ดินถม ซึ่งดินเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงจะทรุดตัวได้
• การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน: การใช้น้ำบาดาลอย่างมาก ส่งผลต่อระดับน้ำใต้ดินที่ลดลง ทำให้ดินสูญเสียความชื้นเกิดการยุบตัว
• แรงสั่นสะเทือนจากการจราจร ก่อสร้าง หรือจากเครื่องจักร ต่าง ๆ ส่งผลต่อโครงสร้างของดิน
• ภัยธรรมชาติ: เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ส่งผลต่อโครงสร้างของดิน

2. ดินทรุดตัวจากถมที่
• ถมดินไม่แน่นพอ: ก่อนก่อสร้างบ้าน ควรถมดินและทิ้งระยะเวลาให้นานพอ ประมาณ 2-3 ปี เพื่อให้ดินเกิดการเซ็ตตัว
• ถมดินด้วยวัสดุไม่เหมาะสม: วัสดุที่ใช้ถมดินควรมีความหนาแน่น สามารถรับน้ำหนักได้ดี

3. สาเหตุอื่น ๆ
• เกิดกัดเซาะของน้ำ: น้ำฝนหรือน้ำจากท่อประปารั่วไหล ซึมลงใต้ดิน ส่งผลให้ดินถูกกัดเซาะ ทำให้เกิดโพรง
• ปลวก: ปลวกสามารถกัดกินเนื้อไม้ใต้บ้าน ทำให้โครงสร้างของบ้านเสียหาย เกิดโพรงใต้บ้าน
• ก่อสร้างไม่ถูกต้อง: ออกแบบฐานรากไม่เหมาะสม ใช้วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลต่อโครงสร้างของบ้าน ทำให้เกิดโพรงใต้บ้านได้

เกิดโพรงใต้บ้านเป็นปัญหาสามารถส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม รวมถึงใช้ชีวิตประจำวันได้ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาควรรีบแก้ไข โดยใช้บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน เพื่อลดความเสี่ยงอาจจะทำให้เกิดบ้านทรุด

แก้ปัญหาบ้านทรุดได้ด้วยบริการรับปิดโพรงใต้บ้าน

รับปิดโพรงใต้บ้าน ราคา

ขอบคุณภาพจาก https:// www .q-chang.com/landscape/void-filling

แก้ปัญหาบ้านทรุดได้ด้วยบริการรับปิดโพรงใต้บ้าน มีข้อดี และประโยชน์ที่ได้รับมากมาย ดังต่อไปนี้

ข้อดีของบริการรับปิดโพรงใต้บ้าน

• แก้ปัญหาโพรงใต้บ้าน: ปิดโพรงใต้บ้าน ป้องกันดินทรุดตัวเพิ่มเติม
• เสริมความแข็งแรงให้บ้าน: เพิ่มความมั่นคงให้โครงสร้าง รองรับน้ำหนักของบ้าน กระจายแรงกด
• ป้องกันปัญหาโครงสร้าง: ลดโอกาสเกิดรอยร้าว ผนังเอียง พื้นทรุดเอียง ยืดอายุใช้งานของบ้าน
• เพิ่มพื้นที่ใช้สอย: เปลี่ยนพื้นที่ใต้บ้านให้เป็นพื้นที่ใช้งาน
• สวยงาม เรียบร้อย: ปิดโพรงใต้บ้าน เพิ่มความสวยงามให้กับบ้าน ทำให้น่าอยู่อาศัย
• ปลอดภัย: ป้องกันสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีพิษ เข้ามาอาศัย ป้องกันการทรุดตัวของพื้น ลดความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ ปิดโพรงใต้บ้านจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัย
• สะดวก รวดเร็ว: ไม่ต้องเสียเวลาหาช่าง วัสดุ อุปกรณ์ ง่าย ไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาน้อย ไม่รบกวนการอยู่อาศัย
• มั่นใจในผลงาน: บริการโดยทีมช่างมืออาชีพ มากประสบการณ์
• ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย: แก้ปัญหาได้ตรงจุด ป้องกันปัญหาใหญ่ในอนาคต ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม จบปัญหาในขั้นตอนเดียว

ประโยชน์ของปิดโพรงใต้บ้าน ได้แก่

• ป้องกันปัญหาน้ำขัง: โพรงใต้บ้านเป็นจุดอ่อนน้ำสามารถไหลเข้าท่วมได้ง่าย ปิดโพรงใต้บ้านจะช่วยป้องกันปัญหาน้ำขังใต้บ้าน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาน้ำรั่ว ซึม ผนังบ้านเปียก และราขึ้น
• ป้องกันปัญหาสุขภาพ: โพรงใต้บ้านเป็นแหล่งสะสมของขยะ ฝุ่นละออง และความชื้น ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรคและแมลงต่างๆ ปิดโพรงใต้บ้านจะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคระบบทางเดินหายใจ หรือโรคผิวหนัง
• เพิ่มมูลค่าบ้าน: ปิดโพรงใต้บ้านช่วยแก้ปัญหาโครงสร้างบ้านที่เสียหาย ป้องกันปัญหาน้ำท่วมขัง เพิ่มพื้นที่ใช้สอย ส่งผลให้มูลค่าบ้านเพิ่มขึ้น

สรุป บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน เป็นทางเลือกสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย  แก้ปัญหาบ้านทรุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน มีขั้นตอนการทำงานอย่างไร

ขั้นตอนการทำงานของบริการรับปิดโพรงใต้บ้าน สรุปขั้นตอนได้ดังนี้

1.สำรวจพื้นที่

ทีมงานจะเข้าสำรวจพื้นที่หน้างาน เพื่อตรวจสอบความหนาแน่นของชั้นดิน วัดขนาดโพรง และเช็กท่อน้ำบริเวณโดยรอบก่อนปิดโพรงใต้บ้าน ถ่ายภาพ หรือถ่ายวิดีโอ เพื่อเก็บข้อมูลและประเมินงาน แจ้งรายละเอียดงาน ระยะเวลา งบประมาณ แก่ลูกค้า

2.เตรียมพื้นที่

ปูผ้าใบเพื่อป้องกันผนังและสนามหญ้าจากสิ่งสกปรก ขุดดินรอบตัวบ้านขนาด 30 - 50 เซนติเมตร เพื่อเตรียมการก่อนวางแผ่นวัสดุ โดยปรับแต่งพื้นผิวดินให้มีความเรียบก่อนติดตั้ง

3.ติดตั้งวัสดุปิดโพรง

เลือกวัสดุให้เหมาะสมกับสภาพพื้นดินและความต้องการของลูกค้า เช่น แผ่นสมาร์ทบอร์ด,แผ่น PVC Celuka, วัสดุ Fill Good หลังจากนั้นตัดบากแผ่นวัสดุให้เหมาะสมกับการติดตั้ง โดยวางแผ่นวัสดุลงในโพรง ปรับให้แนบสนิทกลบดินที่ขุดและบดอัดแผ่นหลังติดตั้ง

4.เก็บงาน

ทำความสะอาดพื้นที่และเก็บเศษวัสดุให้เรียบร้อย โดยตรวจสอบความเรียบร้อยของงานอีกครั้ง

ข้อสำคัญขั้นตอนการทำงานอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ให้บริการ วัสดุที่ใช้ รวมถึงความรุนแรงของปัญหา ดังนั้นควรเลือกบริษัทได้มาตรฐาน มีทีมช่างผู้ชำนาญ ใช้วัสดุคุณภาพสูง เสนอรับปิดโพรงใต้บ้าน ราคาสมเหตุสมผล มีรับประกันผลงาน

ก่อนใช้บริการรับปิดโพรงใต้บ้าน ลูกค้าควรสอบถามข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับบริการ วัสดุที่ใช้ ระยะเวลา งบประมาณ และรับประกันผลงาน ก่อนตัดสินใจเลือก

สรุปเกี่ยวกับรับปิดโพรงใต้บ้าน

ปิดโพรงใต้บ้านเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาการทรุดตัวของดิน ป้องกันสัตว์ร้าย และเพิ่มความปลอดภัย โดยมีวิธีปิดโพรงหลายแบบ วิธีดีที่สุดขึ้นอยู่กับขนาดของโพรง สาเหตุของการทรุดตัว และงบประมาณ แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เลือกบริษัทรับปิดโพรงใต้บ้านมีประสบการณ์ น่าเชื่อถือ เพื่อประเมินปัญหาและเลือกวิธีแก้ไขให้เหมาะสมที่สุด รวมทั้งปิดโพรงใต้บ้านจะช่วยปรับภูมิทัศน์รอบบ้านให้ดูสวยงาม เพิ่มมูลค่าบ้านได้อีกด้วย


48
โซฟา

โซฟา(Sofa) เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถพบเห็นได้มากมายตามบ้านและคอนโดต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้วโซฟามักจะถูกตั้งไว้ในห้องนั่งเล่น แต่ก็มีโซฟาปรับนอนที่สามารถใช้นอนได้ด้วยเช่นกัน ในปัจจุบันมีโซฟาหลายแบบทั้งโซฟาเบด โซฟาชุด และยี่ห้อโซฟาให้เลือกซื้อมากมาย แต่ก่อนจะเลือกซื้อโซฟา ยี่ห้อไหนดี มาดูกันก่อนว่าทำไมปัจจุบันถึงมีผู้นิยมซื้อโซฟามาใช้งานกันมากมาย

ทำไมถึงควรซื้อโซฟาไว้ใช้งาน?

อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าโซฟาสามารถนำมานั่งเล่น นั่งทำงานคู่กับโต๊ะทำงาน หรือจะใช้นอนก็ได้ ซึ่งอาจจะมีผู้เห็นต่างว่าถ้าจะนั่งก็ซื้อเก้าอี้ หรือถ้าจะนอนก็ซื้อเตียงนอนหรือฟูกแทน ไม่จำเป็นต้องซื้อโซฟาที่มีขนาดใหญ่กินพื้นที่ห้องและมีราคาค่อนข้างสูงก็ได้

แต่ที่จริงแล้วเฟอร์นิเจอร์โซฟาก็มีเสน่ห์ที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนหลงใหลและซื้อโซฟาตั้งไว้ในบ้านหรือห้อง เช่น โซฟามีรูปทรงสวยงาม สามารถเลือกประเภทโซฟาที่ถูกใจแล้วจัดให้เข้ากับห้องได้ ไม่ได้ทำให้รู้สึกเกะกะรกห้องแต่อย่างใด หรือจะนำโซฟามานั่งพร้อมกันหลายคนได้สบายโดยไม่ต้องเตรียมเก้าอี้หรือเบาะรองนั่งที่พอนั่งนาน ๆ แล้วจะรู้สึกเมื่อยตัวได้เช่นกัน

อีกทั้งในปัจจุบันเองก็มีโซฟา bedหรือโซฟาปรับนอนที่เป็นได้ทั้งเก้าอี้และเตียงนอนที่ช่วยประหยัดพื้นที่ และประหยัดเงินซื้อเตียง จึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงควรซื้อโซฟาไว้ในห้องสักตัว ดังนั้นก่อนที่จะดูว่าเลือกโซฟา ยี่ห้อไหนดีในที่นี้มาดูประเภทโซฟาและจุดเด่นของแต่ละประเภทคร่าว ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ดังนี้

• โซฟาทรง I
เป็นโซฟารูปทรงตัว I มีขนาดไม่ใหญ่มาก สามารถนั่งได้ 2-3 คน จึงมีราคาโซฟาค่อนข้างถูก เหมาะกับการตั้งภายในห้องที่มีขนาดพื้นที่จำกัด

• โซฟาชุด
เป็นโซฟาที่เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่เพราะใน 1 เซตจะประกอบด้วยโซฟาและเก้าอี้หลายตัว เช่น โซฟา 3 ตัวและเก้าอี้ 1 ตัว หรือโซฟา 3 ตัวและเก้าอี้ 2 ตัว เป็นต้น

• โซฟาเบด
เป็นโซฟาที่ในช่วงเวลาปกติจะใช้นั่งเล่น แต่ถ้าต้องการหลับก็สามารถปรับเบาะที่ตั้งตรงให้ขนานกับพื้นพร้อมนอนได้สบาย ซึ่งจะช่วยประหยัดพื้นที่ภายในห้องได้เป็นอย่างดี

• โซฟาเข้ามุม
สามารถจัดให้เข้ากับมุมห้องได้ง่าย ทำให้จัดสรรออกแบบพื้นที่ในห้องสะดวก แต่เนื่องจากส่วนมากมีขนาด 2-3 เมตรขึ้นไป ก่อนเลือกซื้อโซฟาจึงควรพิจารณาถึงขนาดห้องด้วย

• โซฟาพักผ่อน
เป็นโซฟาที่ถูกออกแบบโดยเน้นสรีระร่างกายมนุษย์ มีสัมผัสการนั่งที่นุ่มสบาย ทำให้เวลานั่งโซฟาแล้วรู้สึกสบาย ไม่ปวดเมื่อยตามตัว

5 อันดับโซฟา ยี่ห้อไหนดีที่ได้รับความนิยม

โซฟายี่ห้อไหนดี

1. IKEA

หากพูดถึงแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามต่อเนื่องในปัจจุบัน ซึ่งตัว IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์จากสวีเดนก็มีโซฟาให้เลือกซื้อหลายประเภทให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นโซฟาทรง I โซฟาปรับนอน และโซฟาอื่น ๆ ในราคาไม่แพงมาก

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาโซฟา ยี่ห้อไหนดีที่ราคาไม่แพง โซฟา 2 ที่นั่ง GLOSTAD(กลูสตอด) ก็เป็นหนึ่งในโซฟาราคาถูกที่น่าเลือกซื้อ โดยจะมีราคาอยู่ที่ 2,990 บาท มีดีไซน์เรียบสวย น้ำหนักเบา สามารถเคลื่อนย้าย ปรับเปลี่ยนที่ตั้งตามใจชอบได้สบาย

2. SB Furniture

เมื่อกำลังเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์โซฟา เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็มีแบรนด์ในใจอย่าง SB Furniture แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัญชาติไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือก โดยทางแบรนด์ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มากมาย โดยเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ รวมถึงโซฟามีดีไซน์สวยงามน่าซื้อ และมีความแข็งแรงทนทานใช้งานได้นาน

ทางแบรนด์มีโซฟาหลายรูปแบบมานำเสนอ ทั้งโซฟาเบด โซฟาเข้ามุม โซฟาสั่งทำการันตีคุณภาพสูง และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยโซฟาที่น่าสนใจของยี่ห้อนี้มีหลายรุ่น แต่ถ้าสนใจโซฟาเบด โซฟารุ่น Minda เป็นรุ่นที่ผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพชั้นสูงที่สามารถรองรับสรีระร่างกายได้ดี และสามารถปรับระดับโซฟาได้ในราคาลดที่ 6,900 บาท

3. INDEX LIVING MALL

หนึ่งในเฟอร์นิเจอร์แบรนด์จากประเทศไทยที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ INDEX LIVING MALL ซึ่งมีการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ และโซฟาอย่างพิถีพิถันหลายแบบเพื่อตอบรับความต้องการซื้อของทุกคน อย่างโซฟาทางแบรนด์ก็ออกแบบมาหลายประเภท เช่น โซฟาทรงตัว I โซฟาเบด ชุดโซฟา โซฟาแบบสั่งทำ เป็นต้น

สำหรับผู้ที่อยากซื้อโซฟาปรับนอนสักตัว แต่ก็ลังเลว่าไม่รู้จะซื้อโซฟา ยี่ห้อไหนดี และซื้อรุ่นไหนดี ถ้าสนใจซื้อโซฟาแบรนด์นี้ก็จะแนะนำโซฟาเบดรุ่นสตีเฟ่น โดยรุ่นนี้ราคาจะอยู่ที่ 10,990 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แรงแต่คุ้มค่ากับการซื้อมาก เพราะโซฟาสามารถพับเก็บของได้จึงช่วยประหยัดพื้นที่ภายในห้องได้ดี ตัวเบาะโซฟาเองก็มีความนุ่มและยืดหยุ่นได้ดีด้วย

4. Solomon

ถ้าพูดถึงแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ Solomon หลาย ๆ คนก็มักจะนึกถึงที่นอนเป็นอย่างแรก แต่จริงๆแล้วทางแบรนด์เองก็มีวางจำหน่ายโซฟาด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่าสินค้าจากทางแบรนด์นี้เองก็เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพไม่แพ้แบรนด์อื่น ๆ เลย

กรณีที่สนใจซื้อโซฟาจากทางแบรนด์ โซฟาเบดหนังรุ่น Extra Cushy ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง มีลักษณะผิวโซฟามันวาว ทำให้โซฟาดูใหม่อยู่เสมอแม้ว่าจะผ่านการใช้งานมานาน และยังเหมาะกับการตั้งในห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่เพราะโซฟาสามารถพับเก็บได้ โดยมีราคา 15,200 บาทเท่านั้น

5. KONCEPT FURNITURE

เมื่อพูดถึงโซฟาอีกแบรนด์หนึ่งที่เป็นที่รู้จัก KONCEPT FURNITURE ก็คงอยู่ในลิสต์ของหลาย ๆ คน เพราะเป็นแบรนด์ลูกของ SB Furniture ซึ่งโซฟาราคาถูกกว่า แต่คุณภาพและการใช้งานนั้นเรียกได้ว่าสมกับราคามาก

สำหรับผู้ที่สนใจโซฟาราคาดี ๆ ที่มีทรงเรียบ ๆ แต่ดูดีมีสไตล์ สามารถตกแต่งเข้ากับห้องได้ทุกรูปแบบ โซฟา 2 ที่นั่ง Gibbon(กิบบอน) ก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะผลิตจากวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทานสูงแล้ว และยังมีช่องว่างสำหรับใส่หนังสือและของอื่น ๆ ให้สามารถใส่ไว้ในยามนั่งเล่นพักผ่อนได้

โซฟามีประโยชน์อย่างไร

หากหลังจากอ่านรีวิวเลือกโซฟา ยี่ห้อไหนดีแล้ว แต่ยังคงลังเลอยู่ว่าควรซื้อโซฟาดีไหม? ในที่นี้มาดูกันว่าโซฟามีประโยชน์หรือข้อดีอย่างไร ทำไมถึงควรซื้อ

• ใช้นั่งพักผ่อนหย่อนคลายในเวลาที่รู้สึกเหนื่อยล้าได้
• สามารถเอนหลังนอนงีบหลับในระหว่างวันได้สบายร่างกาย และยังมีโซฟาปรับนอนที่สามารถปรับโซฟาให้เป็นเตียงนอนได้ด้วย
• โซฟาส่วนมากมีลักษณะเนื้อนิ่มเข้ากับสรีระร่างกาย ทำให้เวลานั่งไม่รู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว
• โซฟามีขนาดกว้าง สามารถนั่งได้พร้อมกันหลายคน ไม่ว่าจะนั่งคนเดียว นั่งกับเพื่อน นั่งกับแฟน หรือนั่งกับครอบครัว
• ถึงแม้ว่าจะเป็นชุดโซฟาราคาถูก แต่โซฟาก็เป็นหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยตกแต่งให้บรรยากาศห้องดูอบอุ่น สวยงาม น่าอยู่อาศัย

สรุป

สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อโซฟา ยี่ห้อไหนดี  จะต้องพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ขนาดห้องที่ส่งผลต่อขนาดและประเภทของโซฟาที่ควรซื้อ เช็กเนื้อสัมผัสโซฟาที่ชอบ หรืออาจจะมองหาโปรโมชั่นโซฟาลดราคาก่อนซื้อ เพื่อซื้อโซฟาที่ชอบในราคาที่ถูกใจที่สุด

49
อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี กันน้ำ ไม่แพนด้า

ดินสอเขียนขอบตาหรือ Eyeline ถือว่าเป็นไอเทมอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการแต่งหน้าของสาว ๆ ช่วยให้ดวงตากลมโตสวย มีเสน่ห์ แต่ปัญหาของคนหนังตามันกับอายไลเนอร์ส่วนใหญ่จะชอบหลุดไหลเยิ้มเป็นแพนด้าระหว่างวัน โดยบทความนี้จะมาแนะนำทุกคนให้รู้จัก 5 อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี เขียนง่าย ไม่หลุดระหว่างวันและสมราคาไปดูกันเลย

ทำความรู้จักอายไลเนอร์กันน้ำ

อายไลเนอร์กันน้ำกันเหงื่อ คืออะไร

สำหรับมือใหม่ที่มองหาอายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดีควรมาทำความรู้จักอายไลเนอร์แต่ละแบบกันก่อนว่าควรเลือกใช้ยังไง แต่ละชนิดความเขียนยาก - ง่ายเหมือนกันไหม Eyeliner คือเครื่องสำอางใช้เป็นที่กรีดตาให้ขอบตาสวยคมช่วยสร้างลุคการแต่งหน้าใหม่ ๆ เปลี่ยนรูปตาให้ดูกลมโต ตาคม ตาหวาน Cat Eye Foxy eyes ในแบบฉบับของแต่ละคน อีกทั้งอายไลเนอร์บางแบรนด์ยังมีหลายสีเช่น สีแดง, สีขาว, สีทองและสีดำ ใช้แต่งตาเป็นแฟชั่นตามเทศกาลฮาโลวีน, คริสต์มาส, อีเว้นต์ต่าง ๆ ได้ด้วยสำหรับมือใหม่ที่ไม่รู้ว่าอายไลเนอร์มีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไรไปทำความรู้จักอายไลเนอร์ทั้ง 3 แบบ ได้แก่

1. ดินสอเขียนขอบตา เป็นอายไลเนอร์เนื้อนิ่มเขียนง่าย จับถนัดมือคล้ายเวลาเขียนดินสอเวลาวาดรูป แต่เส้นที่ได้จะดูหนาไม่คมสวยเท่าแบบเจลหรือแบบน้ำและไม่เหมาะสำหรับคนผิวมันเพราะไม่ค่อยติดทนมาก เสี่ยงหน้าไหลเยิ้มระหว่างวัน เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการฝึกเขียนขอบตา ฝึกเบลนด์สีไล่ระดับให้ทั้งสองข้างดูเท่ากัน

2. อายไลเนอร์แบบเมจิก มีทั้งแบบแท่งและแบบพู่กันจิ้มจุ่ม เส้นที่ได้จะสวยคมมากกว่าดินสอเขียนขอบตา มีให้เลือกหลายสี ใช้ง่าย คล่องมือเส้นสวยเป็นธรรมชาติเหมือนวาดขอบตาด้วยปากกาเลย จึงเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่คนนิยมใช้แต่งหน้าลุคสายฝอ ลุคสายเกา แต่สีอาจจะไม่ดำสนิทเท่าแบบเจล

3. อายไลเนอร์กันน้ำแบบเจล ลักษณะเป็นแท่งเหมือนปากกาเพียงแต่เนื้อเจลจะแน่นสีดำสนิท กรีดตาง่าย มีขนาดหัวให้เลือกเส้นเล็ก ใหญ่หลากหลายแบรนด์เหมาะสำหรับสายฝอ สายปาร์ตี้ที่ต้องการความเฉี่ยวคม แต่ก็มีข้อเสียตรงที่คนข้างแห้งไวนั่นเอง

ดังนั้นอายไลเนอร์จึงกลายเป็นไอเทมชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการแต่งหน้า เพียงแค่มีอายไลเนอร์ลุคแต่งหน้าของคุณก็จะดูมืออาชีพขึ้นมาทันที สำหรับใครที่กำลังมองหาและเลือกซื้ออายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี เป็นตัวช่วยเสริมลุคให้โดดเด่นไม่เหมือนใคร แถมยังราคาเบา ๆ น่าคบหาไปดูในหัวข้อถัดไปกันเลย

แนะนำ 5 อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดีที่สาว ๆ หนังตามันต้องรู้

อายไลเนอร์กับดินสอเขียนขอบตา

เลือกอายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดีติดทน กันน้ำ กันเหงื่อ ไม่เสี่ยงเป็นแพนด้าและยังเหมาะกับตัวเอง การเลือกอายไลเนอร์นั้นมีหลายอย่างไม่ใช่มองแค่ราคา ยังต้องเลือกจากเนื้อสัมผัส สี ความติดทนเขียนง่ายไม่ซับซ้อนด้วย เพื่อที่จะให้คุณเจออายไลเนอร์ไม่แพนด้าไหลหลุดระหว่างวัน เราได้รวบรวม 5 อายไลเนอร์สุดปังแถมยังหาซื้อง่ายเป็นอายไลเนอร์วัตสันยอดนิยมอีกด้วย

1. Browit HighTechnique Duo Eyeliner

Browit by Nongchat อายไลเนอร์กันน้ำมี 2 หัวในแท่งเดียวทั้งขอบตาบน ขอบตาล่างเนื้อนุ่ม สูตรกันน้ำ เป็นหนึ่งในรุ่นยอดฮิตหัวแรกคือปากกาเมจิกปลายเรียวแหลม กรีดแล้วเส้นเล็ก สีชัด ส่วนอีกด้านเป็นดินสอสีน้ำตาลไว้เขียนขอบตาล่าง เหมาะสำหรับมือใหม่และคนที่เขียนขอบตาทุกวัน หาซื้อง่ายตามห้างสรรพสินค้า ออนไลน์ชอปปิงด้วยราคาเริ่มต้นที่ 149 บาท ปริมาณ 0.45 มล.+ 0.08 กรัม มี 3 สีให้เลือกได้แก่ Black, Soft Brown, Taupe Brown

2. Merrezca Super Black & Long-Lasting Eyeliner

อายไลเนอร์หัวเมจิกจากแบรนด์ Merrezca เนื้อสัมผัสนุ่มลื่นไม่สะดุด เวลากรีดขอบตาจะได้เส้นสวยคม ไม่ระคายเคืองเปลือกตา แท่งเป็นปากกาจับถนัดมือสุด ๆ เหมาะสำหรับคนผิวมันเพราะสูตร Long-Lasting Eyeliner กันน้ำกันเหงื่อ ขนาด 0.8 กรัม ราคาเริ่มต้นที่ 99 บาทเท่านั้น

3. Sis2Sis Super Sharp Eye Liner

Sis2Sis สูตรกันน้ำมาพร้อมสีดำสนิทไม่หลุดลอกระหว่างวัน ถือว่าเป็นอายไลเนอร์ไม่แพนด้ารุ่นฮิต ของมือใหม่เลยก็ว่าได้เพราะเป็นเนื้อด้าน Matte หัวคอตตอนขนาดเล็กทำให้เขียนง่าย มีทั้งแบบปากกาและแบบซองเล็กให้ทดลองใช้ด้วย ราคาเริ่มต้นที่ 0.8 กรัม 199 บาทและแบบซอง 0.5 กรัม 49 บาท

4. Mee Brightly Sharp Eyeliner

อายไลเนอร์กันน้ำกันเหงื่อจาก Mee cosmetics สูตรใหม่เขียนง่าย มาในรูปแบบแท่งลิควิด เขย่าก่อนใช้เพื่อให้สีเข้มชัด เขียนลื่นและแห้งไว เหมาะสำหรับมือใหม่เริ่มต้นแต่งหน้า แต่งตาแบบสุด ๆ ด้วยความติดทนทั้งวัน มีรีวิวจากผู้ใช้จริงเป็นอายไลเนอร์อีกตัวหนึ่งที่ใคร ๆ ต่างก็แนะนำ มาในราคาเริ่มต้นที่ 139 บาทกับปริมาณสุดคุ้ม 7 กรัม

5. Beauti Cute Eyeliner Big Eye & Hilighter

อายไลเนอร์ติดทนยาวนาน 12 ชั่วโมง Beauti Cute Eyeliner มาพร้อม 2 หัวแบบ 2in1 หัวแรกใช้เขียนขอบตาเป็นอายไลเนอร์สีดำ เนื้อฟิล์ม กันน้ำ กันเหงื่อและอีกหัวไว้สำหรับ Hilighter หัวตาสีโรสโกลด์แปรงฟองน้ำ ใช้เพิ่มเสน่ห์ดวงตาดูกลมโตโดดเด่นหรือเป็นอายแชโดว์เปลือกตาได้ด้วย หลายเทคนิคในแท่งเดียว ราคาเริ่มต้นที่ 139 บาท

สรุป

การเลือกอายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดีเป็นจุดเริ่มต้นดี ๆ สำหรับสาว ๆ ที่ต้องการความสวยเป๊ะ ตากลมโต เสริมลุคให้คุณดูดีขึ้นแบบทันที ไม่ว่าจะลุคสาวหวานหรือสายฝอ สายแฟชั่นก็โดดเด่นไม่เหมือนใคร แต่ก็ต้องระวังสำหรับคนที่หนังตามัน ควรเลือกอายไลเนอร์กันน้ำเพื่อเพิ่มความมั่นใจไม่แพนด้าระหว่างวัน

50
ผลิตครีมกันแดด

ใครที่กำลังอยากทำแบรนด์ครีมกันแดดเป็นของตัวเอง หรือคนที่อยากเริ่มทำธุรกิจประเภทครีมกันแดดแน่นอนจะต้องกำลังมองหาโรงงานผลิตครีมกันแดดอย่างแน่นอน ซึ่งในปัจจุบันมีโรงงานผลิตครีมกันแดดที่ครบวงจรทั้งแบบ OEM และ ODM ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของแบรนด์ โดยมีสูตรครีมกันแดดที่หลากหลาย มีผู้เชี่ยวชาญและทีมงานที่พร้อมให้คำปรึกษาตั้งแต่การวางแผน การคิดค้นพัฒนาสูตร การขึ้นทะเบียนรับรอง จนสามารถออกวางจำหน่ายสู่ท้องตลาด โดยการจะผลิตครีมกันแดดออกมานั้นเจ้าของแบรนด์จะต้องรู้อะไรบ้าง ลองมาอ่านในบทความนี้เลย

ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดคืออะไร

ครีมกันแดด (Sunscreen) คือ ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้กับผิวหนัง สามารถปกป้องผิวจากการทำร้ายของแสงแดด และรังสี UV (Ultraviolet) เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง และสร้างเม็ดสีทำให้ผิวคล้ำเสีย การทาโลชั่นกันแดดจึงเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถป้องกันการเกิดได้ระดับหนึ่งเพราะสามารถดูดซับและสะท้อนรังสี UV ไม่ให้มาทำร้ายชั้นผิวหนังด้านในได้ โดยผู้เชี่ยวชาญในโรงงานผลิตครีมกันแดดต่างคิดค้นและพัฒนาสูตรเพื่อให้เหมาะกับปัญหาผิวเพื่อให้ตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย

การเป็นเจ้าของแบรนด์ครีมกันแดดมีข้อดีอย่างไร

อย่างที่รู้กันดีว่าการเป็นเจ้าของแบรนด์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก โรงงานผลิตครีมกันแดด สามารถรับผลิตครีมกันแดดที่ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ แต่การเป็นเจ้าของแบรนด์ครีมกันแดดนั้นให้อะไรกับเราได้บ้างและมีข้อดีอะไรบ้าง

  • เป็นอาชีพที่อิสระ การเป็นเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของแบรนด์ครีมกันแดดสามารถเลือกเวลาการทำงานได้อิสระ สามารถนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ตามที่สะดวก โดยจะต้องจัดสรรเวลาและมีวินัยในการทำงาน
  • มีรายได้จากการขายสินค้า หากตั้งใจผลิตครีมกันแดดที่มีคุณภาพและสามารถสร้างยอดขายแต่ละเดือนได้ดี จะทำให้ได้กำไรจากการทําครีมกันแดดแบรนด์ตัวเอง ซึ่งเจ้าของแบรนด์จะต้องมีการโปรโมทสินค้า ทำการโฆษณาสินค้าให้เป็นที่รู้จักเพื่อสร้างยอดขาย
  • สามารถต่อยอดธุรกิจ การทำแบรนด์เครื่องสำอางไม่ใช่เพียงแต่ครีมกันแดด หากยอดขายสินค้าดีขั้น เจ้าของแบรนด์สามารถสั่งผลิตสินค้าเครื่องสำอางประเภทอื่นๆ ภายใต้ชื่อแบรนด์ของตัวเองได้
  • สร้างรายได้ให้กับผู้อื่น การทำธุรกิจหากมีการเติบโต เจ้าของแบรนด์สามารถจ้างคนงานเพิ่มในตำแหน่งต่างๆ เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี เป็นต้น เพื่อทำให้ธุรกิจมีความมั่นคง และเป็นการสร้างงานให้กับผู้อื่น ลดความเหนื่อยล้าจากการทำงานหลายๆอย่าง เพื่อสามารถมีเวลาในการคิดต่อยอดการสร้างแบรนด์ครีมและพัฒนาธุรกิจของตัวเอง
  • สามารถช่วยเหลือผู้อื่น การผลิตแบรนด์ครีมกันแดดที่มีคุณภาพ ปลอดภัยต่อผู้บริโภคเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ช่วยแก้ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือแม้แต่การปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดี
  • สามารถสร้างชื่อเสียงและมีความภาคภูมิใจ การสร้างแบรนด์ครีมกันแดด หากเป็นที่รู้จักและทำยอดขายได้ดี ถือว่าการทำธุรกิจประสบความสำเร็จ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากประสบความสำเร็จในธุรกิจ และเจ้าของแบรนด์มีแรงขับเคลื่อนที่จะพัฒนาธุรกิจให้เติบโตขึ้นต่อไป
  • สร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว การสร้างแบรนด์ครีมกันแดด เป็นมรดกอย่างหนึ่งที่สามารถส่งต่อให้กับลูกหลานในอนาคต เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้และความมั่นคงให้กับครอบครัวได้

สูตรครีมกันแดดที่เจ้าของแบรนด์นิยมสั่งผลิตกับโรงงานผลิตครีมกันแดด 

สูตรครีมกันแดด

การสั่งผลิตครีมกันแดด ที่เจ้าของแบรนด์นิยมสั่งผลิตกับโรงงานผลิตครีมกันแดด มีสูตรอะไรบ้างมาดูกันเลย

1. Sunscreen Cream (Soft Beige) SPF 50 PA+++

เป็นครีมกันแดดสูตรเนื้อครีม ที่มีความนุ่มลื่น โดยเนื้อครีมมีความบางเบา นุ่มละเอียด ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง โดยโรงงานจะผลิตครีมกันแดดสูตรนี้เพื่อสามารถปกป้องจากรังสี UVA และ UVB สามารถลงครีมกันแดดสูตรนี้แทนการใช้รองพื้นได้

2. Silky Smooth Foundation Sunscreen SPF 50 PA+++

โดยโรงงานผลิตครีมกันแดดสูตรนี้เพื่อใช้แทนครีมรองพื้น โดยครีมกันแดดจะผสมเนื้อรองพื้น แต่ยังให้ความบางเบา และใส่สารสกัด Silk Protein ที่ให้ความเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ ช่วยป้องกันผิวจากรังสี UVA และ UVB สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการหมองคล้ำ และครีมกันแดดสูตรนี้ช่วยชะลอริ้วรอยของใบหน้า ทำให้ผิวแข็งแรงมากขึ้น

3. Milky Sunscreen Lotion SPF 50 PA+++

เป็นโลชั่นกันแดดเนื้อน้ำนม ที่ให้ความรู้สึกนุ่ม เนื้อครีมมีความเบาบางเหมือนน้ำนม โรงงานผลิตครีมกันแดดสูตรนี้เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ชอบความบางเบาสบายผิว ไม่มีน้ำมัน อ่อนโยนต่อผิวเหมาะกับคนที่ผิวแพ้ง่าย สามารถลดผิวหมองคล้ำและป้องกันรังสีUVA และ UVB ที่จะมาทำร้ายผิว

4. Anti-pollution Sunscreen SPF 50 PA+++

ครีมกันแดดที่มีความบางเบา ทำให้ผิวหน้านุ่มลื่น โรงงานผลิตครีมกันแดดสูตรนี้ออกมาเพื่อให้ความรู้สึกบางเบา ไม่หนักหน้า ทำให้สามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ที่จะมาทำร้ายผิว และทางโรงงานผลิตครีมกันแดดได้เพิ่มสารสกัดที่เป็นธรรมชาติเพื่อแก้ปัญหาผิวจากการเจอมลภาวะต่างๆที่ก่อให้เกิดผิวหมองคล้ำ

5. Matte Fluid SPF 30 PA+++

ครีมกันแดดผสมรองพื้น เนื้อบางเบา ไม่เป็นคราบ ไม่เป็นขุย เกลี่ยง่าย ซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว โรงงานผลิตครีมกันแดดสูตรนี้สำหรับคนเป็นสิวง่าย เพราะไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน และช่วยควบคุมความมันบนใบหน้า อีกทั้งยังช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและรังสี UV ปรับให้ผิวดูขาวเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ

Pure Derima โรงงานผลิตครีมกันแดด มาตรฐานครบวงจร

โรงงานผลิตครีมกันแดดที่ดีมีมาตรฐานในการรับผลิตครีมกันแดด จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ในการผลิตครีมกันแดดสูตรต่างๆ ดังที่กล่าวข้างต้น และจะต้องมีทีมงานคุณภาพที่พร้อมให้คำปรึกษาตั้งแต่การเริ่มวางแผนธุรกิจ โดยให้บริการและดูแลในเรื่องต่างๆดังนี้

  • บริการรับวิจัย คิดค้น และพัฒนาสูตร ทางโรงงานผลิตครีมกันแดด จะมีนักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง เป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูแลคิดค้นและพัฒนาต่อยอดสูตรต่างๆ โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย
  • บริการออกแบบโลโก้ บรรจุภัณฑ์ และฉลากสินค้า โรงงานผลิตครีมกันแดดจะมีทีมงานที่พร้อมให้บริการออกแบบและแก้ไขเพื่อให้ตรงตามความต้องการของเจ้าของแบรนด์
  • บริการจดแจ้งขึ้นทะเบียน อย. และ เอกสารรับรอง โดยทางโรงงานผลิตครีมกันแดดจะส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดเพื่อขอขึ้นทะเบียนรับรองให้ถูกต้องตามกฎหมาย
  • บริการให้คำปรึกษาวางแผนจากนักการตลาด เป็นบริการที่ทางโรงงานผลิตครีมกันแดด จะส่งทีมงานเข้าไปช่วยเจ้าของแบรนด์ในการโปรโมท และโฆษณาสินค้าให้ได้เป็นที่รู้จัก
  • บริการขึ้นทะเบียนสเปรย์น้ำแร่และสเปรย์สูตรต่างๆ โรงงานผลิตครีมกันแดด มีบริการรับผลิตครีมกันแดด และสเปรย์น้ำแร่สูตรต่างๆ โดยจะมีการขอขึ้นทะเบียนรับรองให้ถูกต้องตามกฎหมาย

สรุปการผลิตครีมกับแดดกับโรงงานรับผลิต

อยากที่รู้กันดีว่าแดดประเทศไทยนั้นแรงแค่ไหน ซึ่งจำเป็นอย่างมากที่จะต้องทาครีมกันแดด ในปัจจุบันโรงงานผลิตครีมกันแดด ได้ผลิตครีมกันแดดออกมาหลากหลายสูตรเพื่อรองรับกับกลุ่มลูกค้าประเภทต่างๆการผลิตครีมกันแดดออกมาขายนั้นไม่ใช่เรื่องยาก โดยเจ้าของแบรนด์สามารถเลือกใช้บริการกับโรงงานผลิตครีมกันแดด ที่มีบริการคิดค้นวิจัยและพัฒนาสูตร โดยผู้เชี่ยวชาญ มีทีมงานออกแบบโลโก้ บรรจุภัณฑ์ ทีมงานที่ช่วยวางแผนการตลาดและขอขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมายที่พร้อมให้บริการ ทำให้สะดวกสบายเหมาะกับเจ้าของแบรนด์ยุคใหม่

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 ... 9