ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ตะวัน

หน้า: 1 [2] 3 4
51
อุบัติเหตุทางรถยนต์ มักเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เมื่อมีเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด การเตรียมอุปกรณ์ระงับเหตุติดรถไว้ ก็เป็นสิ่งที่เจ้าของรถหรือผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนควรต้องใส่ใจ ให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้รถยนต์ อุปกรณ์ที่จำเป็นในขณะนั้นคือถังดับเพลิงในรถยนต์ (ไฟไหม้รถยนต์เกิดจากอะไร https://www.smk.co.th/newsdetail/285) แต่จะทราบได้อย่างไรว่า ถังดับเพลิงในรถยนต์แบบไหน ชนิดไหน หรือขนาดไหนที่จะเหมาะไว้พกพาติดในรถยนต์ แล้วถ้าเป็นถังดับเพลิงขนาดเล็กสามารถป้องกันไฟไหม้รถยนต์ได้หรือไม่ สินมั่นคงประกันรถยนต์มีข้อมูลมาฝากค่ะ
 
ถังดับเพลิงคืออะไร
ถังดับเพลิง หรือ Fire Extinguisher เป็นอุปกรณ์ดับเพลิงแบบเคลื่อนที่ ประกอบด้วยถังแรงดันซึ่งบรรจุน้ำหรือสารเคมีดับไฟอื่น ๆ พร้อมมือจับ ไก เปิดปิด สลักนิรภัย และสายฉีด ออกแบบไว้สำหรับการดับเพลิงไหม้ที่ยังไม่ลุกลาม ในตัวถังดับเพลิงนั้นมักจะเป็นสีแดง เพื่อให้มองเห็นได้ง่ายและติดตั้งไว้เป็นระยะห่าง ๆ กันภายในอาคาร ซึ่งเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ผู้ใช้สามารถหิ้วถังจากจุดติดตั้งมาในบริเวณที่เกิดเหตุ ดึงสลักนิรภัยออก จับสายฉีดให้ปลายหันเข้าหาเปลวไฟ และเมื่อทำการบีบไก น้ำหรือสารเคมีที่อยู่ภายในถังก็จะพุ่งตรงไปยังบริเวณที่ไฟไหม้และดับไฟลงในที่สุด
 
ประเภทและคุณสมบัติของถังดับเพลิง
ในการเลือกถังดับเพลิง จำเป็นจะต้องเลือกประเภทของถังให้เหมาะกับประเภทของเพลิงไหม้ ดังนี้

1.   Class A : จะเป็นเพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงของแข็ง ไม้ กระดาษ พลาสติก ยาง สามารถใช้ถังดับเพลิงประเภท สเปร์ยโฟม, ผงเคมีแห้ง, สารเหลวระเหย และ เคมีสูตรน้ำ
2.   Class B : เกิดจากน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซหุงต้ม สามารถใช้ถังดับเพลิงประเภท สเปร์ยโฟม (แบบจำกัด), ผงเคมีแห้ง, สารเหลวระเหย และ เคมีสูตรน้ำ
3.   Class C : เกิดจากอุปกรณ์ที่เกิดจากไฟฟ้า อิเล็กโทรนิค สามารถใช้ถังดับเพลิงประเภท ผงเคมีแห้ง (แบบจำกัด), สารเหลวระเหย และ เคมีสูตรน้ำ
4.   Class K : เกิดจากน้ำมันพืช สามารถใช้ถังดับเพลิงประเภท เคมีสูตรน้ำ ได้อย่างเดียว

ถังดับเพลิงมีหลายชนิดตั้งแต่แบบผงเคมีแห้ง แบบฟองโฟม และ แบบสารระเหย แต่สาระสำคัญอยู่ที่ฉลากข้างถัง ซึ่งจะระบุว่า ถังดับเพลิงนั้นสามารถใช้ดับไฟแบบไหนได้บ้าง เครื่องดับเพลิงมีหลายแบบ ถัง 2 ปอนด์สำหรับติดรถราคาประมาณ 600-1000 บาท และถังดับเพลิงที่เหมาะสมสำหรับพกติดในรถ ควรเป็นชนิดสารระเหยที่มีฉลากสัญลักษณ์ A กับสัญลักษณ์ B ติดอยู่ ซึ่งทั้งสองแบบมีข้อดีคือ เมื่อดับเพลิงเสร็จแล้วจะไม่ทิ้งคราบสกปรกเอาไว้ ต่างจากพวกโฟมหรือผงเคมีแห้ง

สิ่งที่ต้องคำนึงในการเลือกถังดับเพลิงติดรถ

1.   น้ำหนัก และขนาด
ควรพิจารณาถึงขนาดและน้ำหนักของถังดับเพลิงติดรถยนต์ในการเลือกซื้อที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นการติดตั้งไว้ในรถยนต์จึงควรเลือกถังดับเพลิงขนาดเล็ก หรือถังดับเพลิงพกพา ถังดับเพลิงเล็กติดรถได้ ถังดับเพลิงขนาดพกพาที่ควรติดรถไว้คือ ถังดับเพลิง 2 ปอนด์ ไปจนถึง 5 ปอนด์

2.   ประเภทไฟที่ดับได้
เนื่องจากประเภทเพลิงไหม้ที่อาจเกิดได้ในรถ มี 3 ประเภทคือประเภท A B และ C จึงควรเลือกถังดับเพลิงติดรถยนต์ที่มีคุณสมบัติสามารถดับเพลิงได้ทั้งสามประเภทข้างต้น

3.   ราคา
ถังดับเพลิงมีหลากหลายราคาด้วยกัน โดยมากแล้วราคาของถังดับเพลิงจะขึ้นอยู่กับ

คุณสมบัติของถังดับเพลิงตามแต่ละประเภท

•   ชนิดของสารเคมีที่อยู่ภายในถังดับเพลิง เช่น หากเป็นถังดับเพลิง Co2 อาจมีราคาอยู่ในช่วงระหว่าง 2000 – 6000 บาท
•   ขนาดถังดับเพลิง ถังดับเพลิงขนาดเล็กจะมีราคาถูกกว่าถังดับเพลิงขนาดใหญ่
•   มาตรฐานที่ได้รับการรับรอง Fire rating หรือ ความสามารถในการดับเพลิงของถังดับเพลิงแต่ละประเภท และแต่ละขนาด ซึ่งมีผลทำให้ราคาของถังดับเพลิงต่างกัน
 
การติดตั้งถังดับเพลิงในรถยนต์

การติดตั้งถังดับเพลิงในรถยนต์ควรติดตั้งในที่ที่สามารถหยิบมาใช้ได้โดยง่าย ทั้งนี้ควรติดตั้งถังดับติดรถยนต์ให้แน่นหนา ไม่ให้หลุดออกมาได้ง่ายเพื่อเลี่ยงอุบัติเหตุอื่นๆ และควรหลีกเลี่ยงการติดตั้งตรงจุดที่สัมผัสแดดโดยตรง จุดที่แนะนำให้ติดตั้งถังดับเพลิงรถยนต์ คือ

1.   ติดตั้งภายในห้องโดยสาร ภายในห้องโดยสารของรถยนต์ ควรติดตั้งถังดับเพลิงขนาดเล็ก หรือถังดับเพลิงขนาด 2 ปอนด์ ไว้อย่างน้อย 2 จุด ได้แก่บริเวณเบาะหน้าใกล้คนขับ และบริเวณเบาะหลัง

2.   ติดตั้งภายในฝากระโปรงหลัง หากมีพื้นที่บริเวณฝากระโปรงหลังมากพอ แนะนำให้ติดตั้ง ถังดับเพลิงขนาด 15 ปอนด์ เพื่อให้รองรับเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ได้ ทั้งนี้หากมีพื้นที่ไม่มากพอก็สามารถเลือกขนาดที่เล็กกว่านี้ได้ตามความเหมาะสม

หากไม่สามารถควบคุมเพลิงไหม้ได้ หรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินยามไฟไหม้ได้แก่

•   191 – แจ้งเหตุด่วน เหตุร้ายทุกชนิด
•   199 – แจ้งเหตุไฟไหม้ ดับเพลิง
•   1669 – หน่วยฉุกเฉิน (ทั่วประเทศ)
•   1646 – หน่วยฉุกเฉิน (กทม.)

ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคันโดยเฉพาะรถยนต์ประเภทใช้แก๊สแทนน้ำมัน ควรมีถังดับเพลิงในรถยนต์พกพาติดไว้ เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนทุกคน เพราะมีโอกาสจะเกิดไฟไหม้ได้มากกว่า หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดก็สามารถหยิบฉวยมาใช้ได้ทันเวลา

ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์หรือบุคคลภายนอก รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

52
แม้จะมีการบังคับใช้ “การตัดแต้มใบขับขี่” หรือ การตัดคะแนนความประพฤติของผู้ขับขี่รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือยานพาหนะอื่น ๆ ที่มีใบขับขี่ มาตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลเพื่อสร้างวินัยจราจรที่ดี (ตัดคะแนนใบขับขี่ เริ่มบังคับใช้แล้วใน 20 ฐานความผิด https://car.kapook.com/view264191.html) ซึ่งผู้ขับขี่ทุกคนจะมีคะแนนเต็มที่ 12 คะแนน แต่ถ้าหากโดนตัดคะแนนครบทั้ง 12 คะแนนแล้ว จะต้องดำเนินการอย่างไร? สามารถขอคะแนนใบขับขี่คืนได้หรือไม่
 
โดนตัดคะแนนใบขับขี่ครบ 12 คะแนน

หากโดนตัดคะแนนใบขับขี่จนครบ 12 คะแนน จะมีเอกสารส่งแจ้งให้ทราบทางไปรษณีย์ โดยมีบทลงโทษเพิ่มเติมหากออกไปกระทำผิดซ้ำ ได้แก่

•   หากออกไปกระทำผิดซ้ำ ถูกสั่งพักใบอนุญาตเป็นเวลา 90 วัน
•   หากยังออกไปขับรถโดยขณะที่ถูกสั่งพักใบอนุญาต จะมีโทษจำคุกสูงสุด 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท
•   คะแนน “ขับดี” จะถูกหักเพิ่มกลายเป็นติดลบ ซึ่งจะกลายเป็น – 2 คะแนน
•   ถ้ากระทำผิดซ้ำซาก เช่น โดนพักใบขับขี่  90 วัน หลังครบกำหนด ยังทำผิดจนโดนหักจนหมด 12 คะแนนอีก โทษสูงสุดคือ “เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่” ไม่ต้องขับอีกตลอดชีวิต

ขอคะแนนขับดีคืน ทำอย่างไร?

หลังจากที่ระบบตัดคะแนนใบขับขี่หรือตัดคะแนนความประพฤติ มีผลบังคับใช้ ผู้ขับขี่รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือยานพาหนะอื่น ๆ ที่เข้าข่ายใน 20 ฐานความผิด อาจเริ่มถูกตัดคะแนนไปบ้างแล้ว แต่ใครที่ยังไม่รู้ว่าคะแนนใบขับขี่เหลือเท่าไร ก็สามารถดูวิธีเช็กคะแนนใบขับขี่ได้ที่ (แอปขับดี โหลดได้! โหลดดี! เช็กคะแนนใบขับขี่ได้ด้วย! https://www.smk.co.th/newsdetail/3004)
 
ทั้งนี้ ระบบตัดคะแนนใบขับขี่ หรือตัดคะแนนความประพฤติจะกำหนดให้ผู้ที่มีใบขับขี่ ใบอนุญาตขับรถ มีคนละ 12 คะแนนเต็ม หากถูกตัดคะแนนไม่ว่าจะ 1 2 3 และ 4 คะแนน ตามเกณฑ์การทำความผิด หรือโดนหักจนเหลือ 0 คะแนน (พักใช้ใบขับขี่) คะแนนที่ถูกหักไปจะได้รับคืนกลับมาโดยอัตโนมัติเมื่อครบ 1 ปี จากวันที่กระทำความผิด แต่หากไม่อยากรอถึง 1 ปี ก็สามารถขอคะแนนคืนได้ง่าย ๆ เพียงเข้าอบรม และทำการทดสอบกับกรมการขนส่งทางบก มีขั้นตอนและวิธีการ ดังนี้

1.   จองคิวเข้ารับการอบรม โดยเลือกวัน เวลา และสถานที่ ผ่านทางเว็บไซต์ gecc.dlt.go.th หรือทางแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue

2.   เข้ารับการอบรม โดยเดินทางไปตามวัน เวลา และสถานที่ที่เราเลือกไว้ ซึ่งหลักสูตรการอบรมและค่าใช้จ่าย มีดังนี้

•   อบรมครั้งที่ 1
o   หลักสูตรคืนไม่เกิน 12 คะแนน อบรม 4 ชั่วโมง 300 บาท
o   หลักสูตรคืนไม่เกิน 9 คะแนน อบรม 3 ชั่วโมง 250 บาท
o   หลักสูตรคืนไม่เกิน 6 คะแนน อบรม 2 ชั่วโมง 200 บาท

•   อบรมครั้งที่ 2
o   หลักสูตรคืนกลับมาเป็น 6 คะแนน อบรม 3 ชั่วโมง 250 บาท
o   อบรมกรณีถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ เหลือ 0 คะแนน คืนกลับมาเป็น 12 คะแนน อบรม 4 ชั่วโมง 300 บาท

3.   เข้ารับการทดสอบ หลังจากผ่านการอบรมแล้ว ต้องเข้ารับการทดสอบโดยต้องทำคะแนนได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 จึงจะถือว่าผ่านการอบรมและทดสอบ

4.   กรณีทดสอบไม่ผ่าน สามารถสอบเป็นครั้งที่ 2 ได้ ในวันเดียวกันและหากยังสอบไม่ผ่านอีก เจ้าหน้าที่จะออกใบนัดให้มาทดสอบ ครั้งที่ 3 ภายใน 7 วัน นับจากวันที่สอบครั้งแรกไม่ผ่าน

5.   เมื่อผ่านการทดสอบแล้วกรมการขนส่งทางบกจะแจ้งผลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติคืนคะแนนให้ต่อไป
หากผู้ขับขี่ถูกหักเหลือน้อยกว่า 6 คะแนน จะสามารถเข้ารับการอบรมขอคืนคะแนนได้ปีละ 2 ครั้ง เท่านั้น ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งหากไม่อยากถูกตัดคะแนนจนต้องไปเข้ารับการอบรมเพื่อขอคืนคะแนน หรือถูกตัดคะแนนจนเหลือ 0 ถึงขั้นถูกพักใช้ใบขับขี่และห้ามขับรถ ผู้ขับขี่รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และยานพาหนะอื่น ๆ ควรเคารพ และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อวินัยจราจรที่ดีและความปลอดภัยบนท้องถนน

ตำรวจใช้วิธีใดในการตัดคะแนน

1.   เมื่อเห็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า เช่น เห็นเราขับรถบนทางเท้า เขาก็จะเขียนใบสั่งพร้อมกับตัด 1 คะแนนทันที และหากไม่ชำระใบสั่งในระยะเวลาที่กำหนด ระบบก็จะตัดเพิ่มอีก 1 คะแนน

2.   หากเป็นการพบเห็นความผิดจากกล้อง หากกล้องเจอฝ่าไฟแดง ระบบจะตรวจจับและหักคะแนน

ตรวจสอบคะแนนใบขับขี่ได้ที่ไหนบ้าง

1.   ตรวจสอบผ่านแอปชำระค่าปรับของตำรวจ PTM หรือ Police Ticket Management
2.   ผ่านแอป “ขับดี”
3.   ผ่านแอปเป๋าตังค์

วิธีจ่ายค่าปรับ
1.   จ่ายผ่านแอป PTM
2.   ผ่านแอปธนาคารกรุงเทพ
3.   ผ่านแอปธนาคารอื่น ๆ โดยสแกน QR Code บนใบสั่ง
4.   สามารถใช้บัตรเครดิตจ่ายค่าปรับได้ (อาจต้องไปผูกบัตรเครดิตในแอป)
 
นับเป็นเรื่องดีที่หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการปรับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ ให้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนเป็นสำคัญ แม้ว่าจะเป็นการจับปรับที่มีโทษไม่หนัก แต่ก็นับว่าเป็นการให้โอกาสได้แก้ไขปรับตัว ให้รถคุณปลอดภัย เลือกทำประกันรถยนต์ ด้วยประกันภัยรถยนต์คนกรุง ผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี  ไม่ว่าจะรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางรถยนต์ (Roadside Assistance Service) สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

53
รถยนต์ | Car / วิธีเลือกคาร์ซีตสำหรับเด็ก
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2023, 08:14:11 AM »
ภายหลังจากที่มีการออกกฎหมายบังคับใช้คาร์ซีตมาตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2565 เป็นต้นมา ส่งผลให้ผู้โดยสารทุกคนบนรถจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลาในขณะโดยสารรถยนต์ และสำหรับเด็กที่มีอายุไม่เกิน 6 ปี จะต้องนั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเท่านั้น แล้วคาร์ซีตมีทั้งหมดกี่ประเภท เราควรต้องเลือกซื้อคาร์ซีตแบบไหน
 
ประเภทของ Car Seat

การเลือกซื้อคาร์ซีตต้องคำนึงถึงอายุ ขนาดตัว และน้ำหนักของเด็ก โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1.   Rearward Facing Seats (แบบหันหน้าเข้าหาเบาะ)
คาร์ซีตประเภทนี้เหมาะกับเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี คาร์ซีตแบบนี้จะสามารถปกป้องศีรษะ คอ และกระดูกสันหลังของทารกได้ดีกว่าคาร์ซีตที่หันไปด้านหน้า และหากต้องการติดตั้งคาร์ซีตไว้ตรงที่นั่งข้างคนขับก็ควรปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยเพื่อความปลอดภัยด้วย

2.   Forward Facing Seats (แบบหันหน้าออกจากเบาะ)
คาร์ซีตประเภทนี้ออกแบบให้มีสายรัดจำกัดการเคลื่อนที่ของเด็กไม่ให้ไหลไปข้างหน้าในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และมาพร้อมกับสายรัดสำหรับการยึดที่นั่ง เป็นคาร์ซีตที่เหมาะกับเด็กช่วงอายุ 2-7 ปี

3.   Booster Seats
เป็นคาร์ซีตสำหรับเด็กที่มีขนาดตัวโตเกินกว่าขนาดของคาร์ซีตธรรมดา แต่ยังไม่โตพอที่จะสามารถใช้เข็มขัดนิรภัยได้เต็มที่ คาร์ซีตประเภทนี้เหมาะกับเด็กช่วงอายุ 4-12 ปี สายคาดควรพาดผ่านกระดูกเชิงกราน หน้าอก และไหล่ของเด็ก ส่วนเข็มขัดคาดเอวควรพาดผ่านอุ้งเชิงกรานโดยให้เส้นทแยงมุมอยู่เหนือไหล่ไม่ใช่ที่คอ
 
วิธีติดตั้ง Car Seat

1.   ประเภท Rearward Facing Seats
-   สำหรับเด็กอายุไม่ถึง 1 ขวบ ควรติดตั้งคาร์ซีตแบบหันหน้าเข้าหาเบาะเสมอ
-   ห้ามติดตั้งคาร์ซีตแบบหันหน้าเข้าหาเบาะตรงที่นั่งข้างคนขับที่มีถุงลมนิรภัยแบบไม่สามารถปิดใช้งานได้
-   จะสามารถติดตั้งคาร์ซีตประเภทนี้ตรงที่นั่งข้างคนขับได้ในกรณีที่มีการปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยแล้วเท่านั้น
-   ต้องใช้สายรัดแบบ 3 จุดหรือ 5 จุดสำหรับเด็อายุไม่ถึง 1 ขวบตามประเภทของเบาะรถยนต์

2.   ประเภท Forward Facing Seats
-   สำหรับคาร์ซีตที่หันหน้าออกจากเบาะควรติดตั้งตรงที่นั่งผู้โดยสารเบาะหลัง
-   หากจำเป็นต้องติดคาร์ซีตสำหรับเด็กไว้ที่ด้านหน้า ให้ปรับเบาะรถยนต์ให้ห่างจากถุงลมนิรภัยให้มากที่สุด (ทำตามคู่มือการติดตั้ง)
-   สำหรับเด็กน้ำหนัก 9 – 12 กก. ควรใช้สายรัดแบบ 5 จุด
-   สำหรับเด็กน้ำหนัก 15 – 25 กก. ควรใช้สายรัดแบบ 5 จุด
-   สำหรับเด็กน้ำหนัก 22 – 36 กก. ควรใช้สายรัดแบบ 3 จุด

ติด Car Seat ฝั่งไหนจะปลอดภัยที่สุด?

แล้วควรติดคาร์ซีตตรงฝั่งไหนถึงจะปลอดภัยที่สุด? จากผลการศึกษาพบว่า เบาะหลังคือตำแหน่งที่คาร์ซีตจะได้รับแรงกระทบเทือนน้อยที่สุดหากเกิดอุบัติเหตุ และไม่ควรวางคาร์ซีตที่เบาะข้างคนขับเพราะถุงลมนิรภัยอาจจะบีบอัดกับตัวเด็กหรือคาร์ซีตได้ และตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุดก็คือตรงกลางของเบาะหลังนั่นเอง เพราะปลอดภัยจากแรงกระแทกต่างๆ
 
วิธีเลือกซื้อคาร์ซีต

การเลือกซื้อคาร์ซีตควรคำนึงถึงหลายปัจจัยเพื่อให้คาร์ซีตสามารถป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

1.   เลือกประเภทตามอายุ น้ำหนัก และขนาดตัวของเด็ก
คาร์ซีตมีอยู่ทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่แบบหันหน้าเข้าหาเบาะ (สำหรับเด็กแรกเกิด – 2 ปี) แบบหันหน้าออกจากเบาะ (สำหรับเด็ก 2-7 ปี) และแบบบูสเตอร์ (สำหรับเด็ก 4-12 ปี) ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อให้เหมาะสมและถูกประเภท

2.   เลือกแบบติดตั้งถาวรหรือแบบเคลื่อนย้ายได้
การเลือกคาร์ซีตแบบติดตั้งถาวรเหมาะกับการใช้แบบระยะยาว ไม่ต้องถอดเข้าถอดออกและมีความปลอดภัยสูง แต่มีข้อเสียคือมักจะหมุนไม่ได้และมีราคาสูงกว่า ส่วนคาร์ซีตแบบเคลื่อนย้ายได้สามารถใช้งานได้อิสระกว่า นำไปใช้กับรถเข็นเด็กก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะตัดสินใจเลือกซื้อแบบไหน

3.   เลือกที่มีสัญลักษณ์มาตรฐานความปลอดภัยสากล
ควรเลือกซื้อคาร์ซีตที่มีมาตรฐาน ยิ่งคาร์ซีตเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันอันตรายแล้วก็ต้องยิ่งให้ความสำคัญกับมาตรฐานเป็นพิเศษ โดยสามารถเลือกซื้อคาร์ซีตที่มีมาตรฐานได้จากสัญลักษณ์ความปลอดภัย เช่น ECE R44/04 มาตรฐานของสหภาพยุโรปหรือ FMVSS 213 มาตรฐานประเทศสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้เลือกคาร์ซีตที่มีระบบติดตั้งมาตรฐาน UN หรือที่เรียกว่า ISOFIX :7j’เป็นรูปแบบคาร์ซีตที่ยึดติดกับตัวรถได้อย่างปลอดภัยที่สุด มีลักษณะเป็นแกนเหล็กที่ติดตั้งมาจากโรงงาน สามารถเสียบยึดติดกับรถที่รองรับ ISOFIX ได้เลย เพราะการติดตั้งคาร์ซีตแบบนี้จะปลอดภัยกว่าแบบยึดติดโดยเข็มขัดนิรภัย แต่ก็ไม่ใช่รถยนต์ทุกรุ่นที่จะมีระบบนี้รองรับ ดังนั้นจึงควรต้องตรวจสอบก่อนตัดสินใจซื้อ

4.   เลือกคาร์ซีตที่เหมาะสมกับรถยนต์
การเลือกซื้อคาร์ซีตต้องมีความเหมาะสมกับรถยนต์ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตรวจสอบอุปกรณ์ติดตั้ง และตรวจสอบคาร์ซีตที่ต้องการว่า ออกแบบมาสำหรับเข็มขัดนิรภัยกี่จุด และรถยนต์สามารถติดตั้งได้ตามนั้นหรือไม่ ยิ่งหากเป็นคาร์ซีตมาตรฐาน ISOFIX ด้วยแล้ว ต้องยิ่งเช็กว่ารถยนต์ที่มีอยู่รองรับการติดตั้งหรือไม่
 
การติดตั้ง Car Seat เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อความปลอดภัยของเด็ก และควรคำนึงถึงช่วงอายุ น้ำหนัก และขนาดตัวของเด็กก่อนจะเลือกซื้อคาร์ซีตด้วย การติดตั้งคาร์ซีตที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานจะช่วยลดอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นเรื่องไม่คาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางในเมืองกรุงที่มีปัญหาจราจรบนท้องถนน ประกันภัยรถยนต์คนกรุง ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

54
เพราะความปลอดภัยบนท้องถนน เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้นำระบบบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ หรือ "ระบบตัดแต้ม" ใบขับขี่ มาเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. 66 ที่ผ่านมา (ตัดคะแนนใบขับขี่ เริ่มบังคับใช้แล้วใน 20 ฐานความผิด คะแนนเหลือ 0 ห้ามขับรถ 90 วัน https://car.kapook.com/view264191.html) แต่ถึงแม้จะใช้ความระมัดระวังในการขับขี่บนท้องถนนมากเพียงใด แต่ก็มีหลายครั้งที่ผู้ขับขี่หลงลืมหรือพลาดพลั้งทำผิดกฎจราจรได้โดยไม่รู้ตัว แอปพลิเคชันที่จะเข้ามาตรวจสอบและแจ้งเตือนคะแนนใบขับขี่ จึงเข้ามาช่วยตอบโจทย์ของปัญหานี้ (หมดห่วง!! 6 แอปพลิเคชันช่วยดูแลรถสำหรับคนรักรถ https://www.smk.co.th/newsdetail/1604)
 
แอปขับดี (KHUB DEE) แอปตรวจสอบคะแนนใบขับขี่

แอปขับดี KHUB DEE เป็นโครงการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการจราจร ในรูปแบบโมบายแอปพลิเคชัน เป็นแอปพลิเคชันใหม่โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติและบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์คือ เช็กแต้มใบขับขี่ รวมไปถึงการตรวจสอบใบสั่ง การชำระค่าปรับ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับประชาชนในรูปแบบออนไลน์ และต้องการให้ประชาชนรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการขับขี่ของตนเอง และยังเป็นแอปที่สามารถจ่ายค่าปรับผ่านตัวแอปได้เลยทันที โดยแอปจะมีการให้คะแนนความความประพฤติในการขับขี่ หากโดนหักคะแนนหมด อาจเสี่ยงมีโทษจำคุกหรือต้องเสียค่าปรับสูงสุดถึง 1 หมื่นบาท
 
วิธีใช้งานแอปขับดี

1.   เมื่อดาวน์โหลด แอปขับดี KHUB DEE จะเป็นขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้งาน สามารถเชื่อมต่อกับ Facebook บัญชี Google Line และ Apple ID
2.   จากนั้นจะเป็นขั้นตอนการสมัครสมาชิก จะมีข้อมูลให้กรอกในส่วนนี้
3.   จากนั้นสิ่งที่ต้องเตรียมเพิ่มคือ บัตรประจำตัวประชาชน และใบอนุญาตขับรถ เพื่อกรอกข้อมูลในการยืนยันตัวตน สามารถใช้งานแอปได้เลยทันที

ฟีเจอร์สำคัญในแอปขับดี

1.   ตรวจสอบแต้มความประพฤติการขับขี่ สามารถดูได้ว่า ปัจจุบันมีคะแนนเหลือเท่าไรจากคะแนนเต็ม 12 คะแนน หากคะแนนตัดเหลือ 0 คะแนน จะถูกสังพักใบอนุญาตขับขี่ เป็นระยะเวลา 90 วัน แล้วคะแนนที่ถูกตัดไปนั้นจะมีการคืนคะแนนเมื่อครบกำหนด 1 ปี ในการทำผิดครั้งนั้น ๆ หากคะแนนเหลือน้อยสามารถขอเข้ารับอบรมเกี่ยวกับการขับรถและวินัยจราจร ได้ที่กรมการขนส่งทางบก เพื่อรับคะแนนคืนได้

2.   ตรวจสอบใบสั่ง สามารถดูย้อนหลังได้สูงสุดถึง 1 ปี แต่ในส่วนที่ไม่มีใบสั่งเลยจะขึ้นว่าไม่พบข้อมูล

3.   ชำระใบสั่งผ่าน QR CODE

4.   โต้แย้งข้อกล่าวหา สามารถทำได้ 2 กรณี
•   รถสวมทะเบียน
•   ทะเบียนรถและรูปรถที่ปรากฏในใบสั่ง ไม่ใช่รถของผู้ที่ได้รับใบสั่ง (หรือข้อมูลไม่ตรงกันนั่นเอง)

5.   ความรู้คู่การขับขี่ ฟีเจอร์นี้ค่อนข้างมีประโยชน์มาก เป็นข้อมูลเรื่องการขับขี่ต่าง ๆ

6.   เบอร์โทรฉุกเฉิน ในส่วนนี้เป็นช่องทางการติดต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน สามารถกดโทรแจ้งเหตุได้เลยทันที

7.   ข่าวประชาสัมพันธ์ ฟีเจอร์หลักสุดท้ายจะเป็นข้อมูลข่าวสารประชาสัมพันธ์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีรายละเอียดแจ้งเกี่ยวกับการตัดคะแนนคืออะไร มีอะไรบ้าง ปฏิบัติผิดอย่างไรถึงตัดคะแนน เป็นข้อมูลจำเป็นที่คนขับรถทุกท่านต้องรู้
 
เกณฑ์ “ตัดแต้มใบขับขี่” ใหม่

1.   ระดับเริ่มต้น หัก 1 คะแนน
•   ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ
•   ไม่สวมหมวกนิรภัย
•   ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
•   ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด
•   ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน / เปลี่ยนแปลงหรือปิดบังบังป้ายทะเบียน
•   ขับรถบนทางเท้า
•   ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย
•   ไม่หลบรถฉุกเฉินโดยไม่มีเหตุอันสมควร
•   ขับรถประมาทหรือน่าหวาดเสียว
•   ไม่ชำระค่าปรับ

2.   ระดับ 2 ตัด 2 คะแนน
•   ขับรถฝ่าไฟแดง
•   ขับรถย้อนศร
•   ขับรถในระหว่างที่ถูกสั่งยึด พักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

3.   ระดับ 3 ตัด 3 คะแนน
•   ขับรถขณะหย่อนความสามารถ เช่น เป็นลมชักกำเริบ (เป็นลมชัก สอบใบขับขี่ไม่ได้นะ)
•   ขับรถในลักษณะผิดวิสัยของการขับธรรมดา เช่น ยกล้อ
•   ชนแล้วหนี

4.   ระดับ 4 สูงสุด ตัด 4 คะแนน
•   เมาแล้วขับ
•   เสพยาเสพติดแล้วขับรถ
•   แข่งรถยนต์บนทางที่ไม่ได้รับอนุญาต
•   ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนอื่น เช่นบรรทุกของเกินกำหนด หรือบรรทุกเกินออกมานอกตัวรถ
 
จะเป็นอะไรไหม ถ้าไม่โหลดแอป KHUB DEE

ระบบตัดคะแนนจะเริ่มบังคับใช้วันที่ 9 มกราคม 2566 และถึงแม้จะไม่ได้โหลดแอปพลิเคชันมาใช้ หากทำผิดก็ยังคงถูกตัดคะแนน แอปพลิเคชันเป็นเพียงทางเลือกในการเช็กคะแนนของผู้ขับขี่และจ่ายค่าปรับได้สะดวกขึ้น หากผู้ขับขี่ที่ไม่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยี อาจไม่ได้รับความสะดวกในการเช็กคะแนน อาจต้องใช้วิธีพยายามสังเกตเอกสารแจ้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะจัดส่งให้ทางไปรษณีย์แทน
ผู้ขับขี่สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน KHUB DEE (ขับดี) ได้ทั้งระบบ iOS และ Android ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ได้ที่

•   ผู้ใช้งานแอนดรอยด์ (Android) >> โหลดผ่าน Google Play Store (https://play.google.com/store/apps/details?id=com.be1.khubdee)

•   ผู้ใช้งานไอโฟน (iPhone) >> โหลดผ่าน App Store (https://apps.apple.com/us/app/khub-dee/id1501805193)

“SMK aLL” แอปพลิเคชันจากสินมั่นคงประกันภัย ศูนย์รวมหลากหลายบริการ ทั้งเช็ค ซื้อ ชำระเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ ค้นหาอู่ในเครือ และโรงพยาบาลพันธมิตร รวมถึงสะสมคะแนนเพื่อแลกรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ ที่ iTunes (คลิก) https://apps.apple.com/th/app/smk-all/id1475779913 และ Google Play (คลิก) https://play.google.com/store/apps/details?id=th.co.smk.smkall
เปิดประสบการณ์ใหม่ในการทำประกันภัย ง่ายเพียงปลายนิ้วคลิก ครบ จบ ปลอดภัย ในแอปเดียว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ www.smk.co.th Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

55
“รถยนต์” นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คนวัยทำงานส่วนใหญ่ใฝ่ฝันอยากจะได้มาครอบครอง โดยเฉพาะการได้เป็นเจ้าของรถยนต์ป้ายแดงคันแรกที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงจากการทำงาน แต่อาจมีบางคนที่มองว่า การเลือกซื้อหารถยนต์มือสองอาจได้รถยนต์คุณภาพดีในราคาที่คุ้มค่ากว่า (แอปซื้อขายรถยนต์มือสอง ปลอดภัย ตรวจสอบได้ https://www.smk.co.th/newsdetail/2996) เพราะรถยนต์ 1 คัน สามารถใช้งานได้เป็นระยะเวลานาน การเลือกรถยนต์สักคันจึงควรเลือกให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของผู้ขับขี่ให้ได้มากที่สุด แล้วรถยนต์แบบไหนที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเรา
 
เลือกซื้อรถยนต์ 1 คัน ต้องดูอะไรบ้าง?
1. เราเหมาะสมกับรถยนต์แบบไหน?
รถยนต์ในปัจจุบันมีหลากหลายรุ่น และหลายประเภท ต้องดูว่าเราถนัดขับรถยนต์ประเภทไหน แต่ละคนความถนัดจะแตกต่างกันออกไป เช่น บางคนอาจเคยขับรถเก๋ง แต่ยังไม่เคยขับรถกระบะ หรือบางคนเคยขับรถเกียร์ออโต้มาก่อน แต่ไม่เคยขับรถยนต์เกียร์ธรรมดา ทั้งนี้อาจไม่ได้ดูแค่เพียงความถนัดแต่ต้องดูถึงขนาดของตัวรถ และร่างกายของคนที่ใช้รถยนต์ด้วย เพราะรถยนต์บางคันนั้นมีการออกแบบที่ไม่เหมาะกับตัวผู้ขับเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนขับตัวใหญ่ ควรเลือกรถยนต์ที่ให้ความรู้สึกที่นั่งสบาย ไม่อึดอัด และควรขับได้อย่างสะดวก หรือไม่ควรเลือกรถยนต์ที่นั่งไม่สะดวกนั่นเอง

2.   การใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นแบบไหน?
ให้สังเกตการใช้งานในแต่ละวันว่าส่วนใหญ่เรามีกิจกรรมหรือมักใช้งานประเภทไหนเป็นหลัก ต้องใช้พื้นที่ภายในและภายนอกขนาดไหน เน้นใช้งานสำหรับขนของหรือไม่ เน้นการใช้งานแบบขึ้นเขาหรือในพื้นที่ที่บนผิวขรุขระหรือไม่ ต้องสังเกตการใช้งานให้ชัดเจน เพื่อจะได้ตอบสนองการใช้งานได้ถูกจุด

3. ศึกษาการใช้งานของรถยนต์แต่ละประเภท
ต้องศึกษาการใช้งานของรถแต่ละประเภทว่ารถแต่ละประเภทมีการใช้งานแบบไหน โดยในปัจจุบันจะมีประเภทรถต่างๆ ดังนี้
 
•   ประเภทรถยนต์ Super Mini หรือ Eco Car : เป็นรถยนต์ที่มีขนาดเล็กที่สุด มีราคาถูกกว่าประเภทอื่นๆ ภายในระบบการใช้งานมีครบ เน้นขับในเมืองหรือไปทำงาน ช่วยเรื่องการประหยัดน้ำมันได้เป็นอย่างดี ทั้งยังขับง่าย จอดรถได้คล่อง แต่พื้นที่ภายในอาจไม่กว้างขวางเหมือนรถยนต์ประเภทอื่นๆ ตัวอย่างรถที่ได้รับความนิยม เช่น Nissan March, Honda Brio และ Suzuki Swift เป็นต้น

•   ประเภทรถยนต์ที่นั่งขนาดเล็ก หรือ Compact Car : มักเป็นรุ่นที่ขายดี เป็นรถมีขนาดที่ไม่เล็กเกินไปสำหรับการเป็นรถครอบครัว แต่ไม่ใหญ่เทอะทะเกินไปสำหรับการขับขี่ในเมือง มีขนาดของรถยนต์และเครื่องยนต์ที่เหมาะสม เน้นใช้ประโยชน์ขับในเมืองหลวง หรือไปทำงาน ตัวอย่างประเภทรถยนต์ที่นั่งขนาดเล็ก เช่น Toyota Collora Altis, Nissan Sunny, Honda Civic และ Mazda3 เป็นต้น

•   ประเภทรถยนต์นั่งขนาดกลาง : รถยนต์ที่มีขนาดภายในใหญ่พอที่จะรองรับผู้ใหญ่ 5 คน นั่งได้โดยไม่เบียดกัน มีเครื่องยนต์ที่สมรรถนะสูงขึ้น เพื่อรองรับน้ำหนักตัวรถที่มากขึ้น สามารถใช้เป็นรถสำหรับครอบครัวได้ดี และมีราคาที่ไม่สูงจนเกินไป ตัวอย่างรถยนต์นั่งขนาดกลาง เช่น Honda Accord, Nissan Teana และ Toyota Camry เป็นต้น

•   ประเภทรถยนต์อเนกประสงค์ หรือ MPV : เป็นคำที่ย่อมาจาก Multi-purpose vehicle มีลักษณะทางการออกแบบให้ใช้พื้นที่ยืดหยุ่น และมีขนาดใหญ่ ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างมาก มีลูกเล่นที่สำคัญคือเบาะนั่งแถว 3 ซึ่งสามารถพับเก็บได้ เมื่อพับแล้ว จะเกิดที่ว่างสำหรับวางสัมภาระจำนวนมาก และเมื่อกางเบาะ ก็จะเกิดที่นั่งรองรับได้เพิ่มขึ้น ทำให้การโดยสารไม่อึดอัด ตัวอย่างรถยนต์ประเภท MPV เช่น Toyota Avanza, Honda Mobilio และ Honda Freed เป็นต้น

•   ประเภทรถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูง หรือ SUV : เป็นคำที่ย่อมาจาก Sport Utility Vehicle ประเภทนี้จะคล้ายๆ กับรถ MPV แต่จะต่างที่ MPV จะใช้สอยพื้นที่ยืดหยุ่นมากกว่า และมักใช้เครื่องยนต์เบนซิน ในขณะที่ SUV จะมีสมรรถนะสูงกว่า สามารถใช้ไต่เขาชันและวิ่งทางวิบากได้ดีกว่า แต่การใช้สอยพื้นที่อาจไม่ยืดหยุ่นหลากหลายเท่า MPV แต่ก็ถือว่าอเนกประสงค์มากกว่ารถเก๋ง และเพียงพอที่จะเรียกว่าเป็นรถเนกประสงค์ ตัวอย่างรถยนต์ประเภท SUV เช่น Nissan Juke, Honda HR-V และ Mazda CX-3 เป็นต้น

•   ประเภทรถกระบะดัดแปลง หรือ PPV : เป็นคำที่ย่อมาจาก Pick-up Passenger Vehicle ประเภทนี้เป็นรถยนต์ที่ใช้รถยนต์กระบะรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือรุ่นยกสูง มาดัดแปลงกลายเป็นรถยนต์โดยสาร ต่างจากเดิมที่เป็นรถรุ่นที่สร้างมาโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีข้อเสียที่ความนุ่มนวล เนื่องจากเป็นรถที่มีพื้นฐานจากกระบะ แต่ก็มีข้อดีในด้านต้นทุนการผลิตและภาษี รถ PPV ซึ่งจัดเป็นรถขนาดกลาง แต่กลับราคาต่ำกว่ารถอเนกประสงค์ขนาดเล็ก ทั้งยังได้ขนาดใหญ่กว่า เครื่องยนต์พละกำลังสูงกว่า มีความคุ้มค่ามากกว่า ตัวอย่างรถยนต์ประเภท PPV เช่น Toyota Fortuner, Isuzu Pajero Sport และ Ford Everest

•   ประเภทรถกระบะ : คือรถประเภทที่เป็นที่นิยมในไทยเป็นอย่างมาก ตอบสนองการใช้งานในเรื่องของขนของได้เป็นอย่างดี โดยเป็นรถที่มีพื้นที่ว่างด้านท้ายรถจำนวนมาก และห้องโดยสารมีพื้นที่น้อย รถกระบะจึงมักใช้ในธุรกิจขนาดเล็ก และกลาง ตัวอย่างรุ่นรถกระบะที่ได้รับความนิยม เช่น Nissan Navara, Mazda BT-50, Toyota Hilux Vigo และ Isuzu Dmax เป็นต้น
 
ประกันตามไมล์ 2 คืนไมล์ คืนเงิน ประกันชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท ประกันรถยนต์ สำหรับคนขับน้อย แถมรับเบี้ยประกันคืนสูงสุดได้ถึง 15% เมื่อขับได้ตามระยะทางตามเงื่อนไขที่กำหนด สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/2 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

56
รถยนต์ | Car / เอาตัวรอดจากไฟไหม้รถ!
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2023, 06:49:19 AM »
ในยุคที่น้ำมันมีราคาแพง อาจทำให้เจ้าของรถยนต์หันมาให้ความสนใจกับพลังงานทางเลือกที่อาจเป็นทางออกแห่งอนาคต (https://www.smk.co.th/newsdetail/2968 4 รถยนต์พลังงานทางเลือก ทางเลือกใหม่เพื่อการเดินทางแห่งอนาคต) แต่ก็มีเจ้าของรถยนต์รุ่นเก่าหลายรายที่ยังคงให้ความนิยมนำรถยนต์ไปติดแก๊สทั้งแบบ NGV หรือ LPG เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย จนทำให้หลายครั้ง เมื่อรถยนต์ที่ติดแก๊สเกิดอุบัติเหตุจนไฟลุกท่วมไหม้ตัวรถ อาจสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินให้กับผู้คนได้มากมาย (สลด รถตู้ตกร่องกลางถนนมิตรภาพ ไฟไหม้วอดทั้งคัน ดับ 11 ศพ https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/2609033) แล้วหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไฟกำลังไหม้ตัวรถ (https://www.smk.co.th/newsdetail/285 ไฟไหม้รถยนต์เกิดจากอะไร) ผู้โดยสารหรือผู้ที่ติดอยู่ในตัวรถ จะต้องทำอย่างไรเพื่อเอาชีวิตรอด
 
วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้รถ
เหตุไฟไหม้รถมักเกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ติดตั้งระบบแก๊ส LPG หรือ NGV ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือรถเก่าที่มีอายุการใช้งานมานาน รถที่ผ่านการปรับแต่งสภาพ รวมถึงขาดการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี ใช้อะไหล่ที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้แนะนำวิธีเอาตัวรอดพร้อมวิธีป้องกันจากไฟไหม้รถ ไว้ดังนี้

1.   กรณีไฟไหม้รถเล็กน้อย
•   หากเป็นรถที่ติดตั้งระบบแก๊ส ให้รีบปิดสวิตช์การทำงานของระบบแก๊สและดับเครื่องยนต์
•   นำถังดับเพลิงเคมีฉีดพ่นบริเวณต้นเพลิง
•   หากมีเปลวไฟออกมาจากฝากระโปรงรถให้ปลดสลักฝากระโปรงออกแล้วฉีดพ่นผ่านช่องฝากระโปรงที่แง้มไว้
•   ห้ามเปิดฝากระโปรงทันที เพราะจะทำให้ไฟลุกลามมากขึ้น
•   เมื่อไฟเริ่มสงบจึงค่อยๆ แง้มฝากระโปรงขึ้นโดยใช้ผ้ารอง หรือสวมถุงมือเพื่อป้องกันความร้อนจากบริเวณฝากระโปรง
•   นำถังดับเพลิงมาฉีดพ่นให้ทั่วห้องเครื่อง จนมั่นใจว่าไฟดับสนิทแล้ว
•   รีบถอดขั้วแบตเตอรี่ออก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเปลวไฟทะลุขึ้นมาอีก

2.   กรณีไม่มีถังดับเพลิง
•   ใช้ผ้าแห้ง ผ้าเปียก หรือทราย มาโปะบริเวณที่เกิดไฟไหม้รถ
•   ใช้ขวดน้ำเจาะปากขวดเป็นรูเล็กๆ ฉีดบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้

3.   กรณีที่ไฟไหม้รถลุกลามอย่างรวดเร็ว
•   ให้ตั้งสติ ดับเครื่องยนต์ แล้วรีบออกจากรถ
•   วิ่งออกไปให้ห่างจากรถให้มากและเร็วที่สุด เพราะอาจเกิดการระเบิดได้
•   รีบโทรศัพท์แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย 191 ศูนย์รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ 199 หรือสายด่วนนิรภัย 1784 มาควบคุมเพลิงให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันการลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง
 
วิธีการใช้งานถังดับเพลิง 4 ขั้นตอน
1.   ดึง - เอาถังดับเพลิงวางไว้ด้านที่ถนัด หันด้านฉลากเข้าหาลำตัว จากนั้น “ดึง” สลักนิรภัยออก และหิ้วถังดับเพลิงไปที่จุดเกิดไฟไหม้ โดยยืนห่างจากกองไฟ ประมาณ 3-4 เมตร และยืนเหนือทิศทางลม
2.   ปลด - ปลดปลายสายออกจากตัวถัง จับปลายสายให้แน่นอย่าให้หลุดมือ เล็งไปยังบริเวณฐานของกองไฟ (ห้ามฉีดที่เปลวไฟ)
3.   กด - กดคันบีบของถังดับเพลิงให้สุดคันบีบ ให้เคมีออกมาอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
4.   ส่าย - ส่ายปลายสายถังดับเพลิงไปมา เพื่อให้ผงเคมีที่ฉีดออกมาครอบคลุมทั่วทั้งกองไฟ โดยระหว่างดับไฟให้ย่อตัวลงเล็กน้อย เพื่อหลบเปลวไฟและความร้อน ฉีดจากตำแหน่งใกล้ไปไกล เมื่อแน่ใจว่าไฟดับสนิทแล้วจึงถอยออกจากที่เกิดเหตุ

วิธีป้องกันไฟไหม้รถ
1.   ก่อนขับรถ
•   ตรวจสภาพรถให้พร้อมใช้งานเสมอ เช่น เติมน้ำหม้อน้ำในระดับเท่าที่กำหนด ไม่มีเศษวัสดุติดในหม้อน้ำและในท่อยาง
•   เช็กสภาพท่อน้ำมันเชื้อเพลิงว่าไม่มีรอยรั่ว สายพานรถมีความตึงในค่าที่กำหนด
•   เช็กกระโปรงหน้ารถว่ามีเขม่าดำเกาะหรือไม่ เพราะแสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานไม่สมบูรณ์
•   ตรวจดูใต้ท้องรถว่ามีรอยน้ำมันหยดหรือไม่ หากมีควรรีบซ่อมแซมโดยด่วน
•   ควรเตรียมขวดบรรจุน้ำ ถังดับเพลิงเคมีไว้ที่ด้านข้างคนขับหรือบริเวณที่หยิบได้ง่าย เพื่อให้ใช้งานได้ทันทีหากไฟไหม้รถ

2.   ขณะขับรถ
•   ควรสังเกตสัญญาณเตือนอยู่เสมอ เช่น มาตรวัดระดับความร้อนของเครื่องยนต์ซึ่งอยู่บริเวณหน้าปัดรถยนต์ หากหม้อน้ำแห้ง พัดลมระบายความร้อนขัดข้อง จะทำให้รถยนต์ร้อนจัดจนเป็นสาเหตุให้เกิดไฟไหม้รถยนต์ได้ เพราะบริเวณกระโปรงหน้ารถเป็นที่ตั้งของเครื่องยนต์และสายไฟต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดประกายไฟ
•   รถยนต์ที่ใช้แก๊สต้องระวังบริเวณส่วนท้ายรถเพราะเป็นที่ตั้งของถังแก๊ส หากรถมีอาการกระตุกขณะขับขี่ควรนำไปตรวจสอบสภาพ เพราะเครื่องยนต์อาจขัดข้องหรือถังน้ำมันรั่วทำให้อากาศเข้าไปจนการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดไฟไหม้รถได้

3.   ก่อนสตาร์ตรถควรตรวจเช็กความเรียบร้อยของเครื่องยนต์ทุกครั้งว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ เพื่อป้องกันเหตุไฟไหม้รถที่อาจเกิดขึ้นได้

4.   ไม่ควรซื้อรถมือสองที่ไม่ทราบประวัติการขับขี่มาใช้งาน และเรียนรู้วิธีแก้ไขเหตุฉุกเฉิน ที่สำคัญไม่ควรขับรถเร็วเกินกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อช่วยช่วยลดแรงปะทะจากอุบัติเหตุที่อาจทำให้เกิดไฟไหม้รถได้
 
แม้การใช้รถยนต์ที่ติดตั้งแก๊ส LPG หรือ NGV จะมีส่วนช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ให้บริการรถโดยสารที่มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเป็นปัจจัยหลัก แต่ก็ต้องนำมาซึ่งความรับผิดชอบที่ใหญ่ขึ้นทั้งต่อตัวรถโดยสารและผู้ใช้บริการ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ก็อาจนำมาซึ่งความเสียหายอันใหญ่หลวงตามมาได้เช่นกัน

ประกันรถยนต์ตามเวลา ประกันชั้น 1-3+ เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพิ่มความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1024 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

57
เมื่อใกล้ถึงเทศกาลตรุษจีน ชาวไทยเชื้อสายจีนยุคใหม่อาจไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมที่คนจีนยุคก่อนยึดถือปฏิบัติกันมา ทั้งการจัดเตรียมของไหว้ การจับจ่ายซื้อของ หรือแม้แต่ธรรมเนียมความเชื่อในวันหยุดปีใหม่ของคนจีน แล้วประวัติความเป็นมาของวันปีใหม่จีนจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ละวันต้องทำกิจกรรมอะไร หรือมีข้อห้ามข้อปฏิบัติอย่างไร (ของไหว้ตรุษจีนมีอะไรบ้าง? https://www.smk.co.th/newsdetail/2859)
 
ความเป็นมาของวันตรุษจีน หรือวันปีใหม่จีน

วันตรุษจีน มีความคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก โดยพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีนนั้น มีมานานกว่าศตวรรษ ถูกจัดขึ้นเพื่อตั้งใจฉลองฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากช่วงนั้น ประเทศจีนจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ จึงไม่สามารถทำการเกษตรได้ เมื่อเข้าถึงฤดูใบไม้ผลิ จึงจะสามารถเพาะปลูกพืชผักได้ตามปกติ ชาวจีนจึงกำหนดให้วันแรกของฤดูใบไม้ผลิตในแต่ละปีเป็นวันสำคัญที่เรียกว่า "วันตรุษจีน"

ตรุษจีน 2566 ตรงกับวันอะไรบ้าง

วันตรุษจีน จะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือ วันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว

•   วันจ่าย ตรงกับวันที่ 20 มกราคม 2566 คือ วันก่อนวันสิ้นปีก่อนถึงตรุษจีน เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องออกไปจับจ่าย ซื้อของ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ผลไม้ และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าเหล่านั้นจะปิดร้านเพื่อหยุดพักผ่อนยาว

•   วันไหว้ตรุษจีน หรือ วันไหว้เจ้า ตรงกับวันที่ 21 มกราคม 2566 ตอนเช้ามืด จะเริ่มพิธีการไหว้เทพเจ้าต่างๆ มีเครื่องประกอบการไหว้ คือ เนื้อสัตว์สามอย่าง ได้แก่ หมู เป็ด และไก่ ร่วมกับเหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง ตอนสาย จะทำพิธีการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ หรือญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว

•   วันเที่ยวตรุษจีน หรือ วันตรุษจีน ตรงกับวันที่ 22 มกราคม 2566 เป็นวันที่แต่ละครอบครัวจะพากันสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ และเดินสายเยี่ยมญาติผู้ใหญ่
 
เทศกาลตรุษจีน ควรทำอะไรบ้าง

1.   ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ และไหว้ผีไม่มีญาติ
วันที่ชาวจีนต้องไว้เจ้านั้นเราเรียกว่า "วันซาจั๊บ" โดยมักจะทำในช่วงเช้าหลังจากที่ไหว้เจ้าในบ้าน คือ ตีจูเอี๊ยะและไหว้บรรพบุรุษ แล้วในตอนเที่ยงจึงไหว้ผีไม่มีญาติ โดยของไหว้จะมีทั้งอาหารคาว เช่น เป็ด ไก่ รวมถึงอาหารหวานด้วย นอกจากนี้ก็ยังต้องมีเครื่องกระป๋อง ข้าวสาร และเกลือ เพื่อให้ผีไม่มีญาติได้นำออกไปและเมื่อไหว้เสร็จก็ต้องจุดประทัด จากนั้นจึงเอาข้าวสารมาผสมกับเกลือแล้วนำมาโปรยเพื่อขับไล่สิ่งที่ไม่ดีให้หมดไป

2.   รวมญาติกินเกี๊ยว
วันนัดรวมญาติ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทุกคนในครอบครัวจะต้องเดินทางมาร่วมโต๊ะกินเกี๊ยวด้วยกันในวันซาจั๊บ ถือเป็นมื้อสุดท้ายก่อนจะถึงวันปีใหม่หรือ "วันชิวอิก" (วันแรกของปีใหม่ของชาวจีน คือ วันชิวอิก) และเหตุที่ต้องเป็น "เกี๊ยว" ก็เพราะรูปร่างของเกี๊ยวมีลักษณะเหมือนกับ "เงิน" ของจีน จึงแฝงความหมายเป็นนัยว่าให้มั่งมีเงินทอง
 
3.   กินเจมื้อเช้า คือ มื้อแรกของปี
ในวันชิวอิก (วันแรกของปีใหม่ของชาวจีน) คนจีนจะกินเจเป็นอาหารมื้อแรก ซึ่งถือว่าเป็นมื้ออาหารแรกของปี โดยมีเชื่อว่าจะได้บุญเหมือนกับกินเจตลอดทั้งปี

4.   ทำพิธีรับ "ไฉ่ สิ่ง เอี้ยะ"
"ไฉ่ สิ่ง เอี้ยะ" เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและเป็นเทพพิทักษ์ทรัพย์ จึงมักจะมีการทำพิธีรับเทพซึ่งเปรียบได้กับการทำพิธีรับโชคลาภ โดยทั่วไปมักจะทำพิธีในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนไปจนถึงตีหนึ่งของวันซาจั๊บ

5.   ห้ามกวาดบ้าน 
ในวันขึ้นปีใหม่ของจีนจะไม่มีการกวาดบ้านจนกว่าจะถึง "วันชิวสี่" (วันชิวสี่ คือ วันที่สี่ของเทศกาลตรุษจีน โดยปกติ จะแบ่งเป็น วันจ่าย วันไหว้ วันเที่ยว และวันชิวสี่) เพราะถ้ากวาดบ้านในวันปีใหม่จะถือว่าเป็นการกวาดเอาสิ่งที่เป็นมงคลทิ้งไป แต่หากบ้านใครสกปรกมากจนก็สามารถแก้เคล็ดได้ด้วยการกวาดจากหน้าบ้านเข้าไปในบ้านแทน

6.   ติดตุ๊ยเลี้ยง หรือ คำอวยพรปีใหม่
สมัยก่อนคนจีนที่พอมีความรู้จะเขียน "ตุ๊ยเลี้ยง" โดยใช้หมึกดำหรือสีทองเขียนคำอวยพรลงบนกระดาษสีแดง หากไม่มีความรู้ด้านภาษาจีนก็สามารถไปจ้างมืออาชีพเขียนให้ได้ในย่านไชน่าทาวน์ หรือ เยาวราช ส่วนคำอวยพรที่นิยมเขียน ประกอบด้วยตัวอักษร 7 ตัว เขียนเป็นคำกลอน โดยมากจะอวยพรให้ "ทำมาค้าขึ้น หรือ ให้มั่งมีเงินทอง" จากนั้นจะนำมาติดตามสองข้างประตูบ้าน และต้องมีอีก 1 แผ่นสำหรับติดทางขวางตรงกลางทางเข้า-ออก

7.   ใส่เสื้อผ้าใหม่สีสันสดใส
ในวันมงคลเช่นนี้ชาวจีนนิยมใส่เสื้อผ้าใหม่ สีสันสดใส เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีแต่สิ่งดีๆ สิ่งใหม่ๆ เข้ามาในปีใหม่นี้ด้วย โดยการเลือกเสื้อสีสดก็เปรียบได้กับความสว่างสดใสและความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ซึ่งสีที่เป็นที่นิยมที่สุด ก็คือ "สีแดง" หมายถึง ความมงคล มั่งคั่ง

8.   ส้ม 4 ผล อวยพรผู้ใหญ่
ธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติในวันชิวอิก (วันแรกของปีใหม่จีน) คือ ทุกคนจะต้องนำส้ม 4 ผล ไปกราบขอพรผู้ใหญ่ โดยผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าบ้านเองก็จะเตรียมเมล็ดแตงโมย้อมสีแดงไว้รวมถึงลูกสมอจีนเอารอรับแขก และเมื่อมีผู้มาอวยพรพร้อมกับส้ม 4 ผล เจ้าบ้านก็จะรับส้มมา 2 ผล พร้อมกับนำส้มในบ้านตนเองไปวางคืนให้กับแขก 2 ผล

9.   รับอั่งเปา
วันตรุษจีนถือเป็นอีกวันสำหรับเด็กๆ ที่ต่างตั้งตารอคอยวันนี้มาตลอด เพราะเป็นวันที่จะได้รับซองแดงใส่เงินขวัญถุง จากผู้ใหญ่เพื่อให้โชคดีตลอดทั้งปี โดยมารยาทก่อนจะรับซองแดงต้องอย่าลืมกล่าวคำว่า "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้" เพื่ออวยพรผู้ใหญ่ก่อนเสมอ

10.   ไหว้เจ้าเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
นอกจากในวันซาจั๊บแล้ว ในวันชิวอิกนี้ก็ยังต้องมีการไหว้ไหว้บรรพบุรุษ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย และที่สำคัญก็ยังต้องไหว้เจ้าเพื่อขอให้เทพเจ้าช่วยดลบันดาลให้ชีวิตของคุณและครอบครัวประสบแต่ความสุข ความเจริญในชีวิต

เดินทางไหว้เจ้า พบปะเครือญาติแบบปลอดภัย ประกันภัยการเดินทาง ช่วยคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันภัยที่เดินทางรายเดี่ยวหรือเป็นหมู่คณะทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่มีกำหนดการเดินทางที่แน่นอน ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตลอดเวลา 24 ชั่วโมงในช่วงระยะเวลาเดินทางตามที่ผู้เอาประกันภัยแจ้งไว้ สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productpadetail/3 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

58
รถยนต์ใหม่ป้ายแดงเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะได้ครอบครองเป็นเจ้าของ แต่ก็มีผู้ขับขี่บางส่วนที่นิยมซื้อหารถยนต์มือสองมาไว้ใช้ เพราะนอกจากจะมีราคาถูกลงมากกว่าครึ่งแล้ว ยังมีตัวเลือกที่หลากหลาย และอาจได้รถที่รุ่นใหญ่ขึ้นหรือสมรรถนะที่ดีกว่าด้วย (ซื้อขายรถยนต์มือสองมีขั้นตอนอย่างไร? ใช้เอกสารอะไรบ้าง? https://www.smk.co.th/newsdetail/2785) และด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ค่ายรถยนต์มือสองหลายแห่งเลือกที่จะสร้างแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งซื้อขายรถยนต์มือสองโดยเฉพาะ จะมีแอปพลิเคชันไหนบ้าง

1.   CARSOME
 
แพลตฟอร์มซื้อ-ขายรถยนต์มือสองออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันมีสาขาอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ไทย และ สิงคโปร์ มีความต้องการจะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์มือสองในภูมิภาคให้เป็นดิจิทัล โดยการปรับโฉมและยกระดับประสบการณ์ในการซื้อและขายรถยนต์ นำเสนอบริการแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การตรวจสภาพรถยนต์, การโอนกรรมสิทธิ์ ไปจนถึงบริการทางด้านสินเชื่อ

การซื้อขายรถยนต์มือสองของ CARSOME สามารถใช้งานได้ง่ายๆ เพียงเข้าสู่เว็บไซต์ www.carsome.co.th คลิกไปที่ปุ่ม ซื้อรถ ก็จะมีรถที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันให้เลือกซื้อ พร้อมมุมมองแบบ 360 องศา ทั้งในห้องโดยสาร และภายนอกทั้งหมด โดยจะแสดงจุดสังเกตและประวัติการซ่อมแซม รวมถึงราคาเบ็ดเสร็จของรถที่ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงอื่นๆ สามารถลงทะเบียนทดลองขับรถได้ง่ายๆ ทุกที่ ทุกเวลา บนเว็บไซต์ ก่อนจะเดินทางไปทดลองขับจริงที่ศูนย์บริการ CARSOME หรือนัดให้ส่งรถมาทดลองขับที่บ้าน

นอกจากนี้ รถทั้งหมดของ CARSOME ผ่านการรับรองการตรวจสภาพถึง 175 จุด ทำให้สามารถมั่นใจได้ว่ารถยนต์ไม่เคยประสบอุบัติเหตุหนักจนโครงสร้างเสียหาย และไม่เคยผ่านน้ำท่วม พร้อมกับการรับประกัน 1 ปีเต็ม และการันตีคืนเงินภายใน 30 วัน

2.   CAR24
 
CARS24 แอปพลิเคชันสำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการ ‘ซื้อ-ขาย-เทิร์น’ รถมือสองออนไลน์ ได้รับความนิยมและความไว้ใจจากลูกค้าทั่วเอเชีย ช่วยให้การซื้อขายรถมือสองเป็นเรื่องง่ายและดีที่สุด โดยมีเป้าหมายหลักคือ การทำให้ลูกค้ามีอำนาจในการตัดสินใจสูงสุดในทุกขั้นตอนของการซื้อขายรถยนต์ และมีความสุขกับรถที่เลือกได้ตามต้องการ ให้ซื้อรถยนต์มือสองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา เลือกรถที่ถูกใจได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมบริการจัดส่งถึงบ้านหรือจะรับรถที่ศูนย์บริการของ CARS24 ก็ได้เช่นกัน

รถมือสองทุกคันของ CAR24 ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญฯ กว่า 150 จุด เพื่อให้แน่ใจว่า จะได้รถมือสองสภาพดี การันตีไม่ชนหนัก ไม่จมน้ำ ไม่กรอไมล์ และรถสวยเหมือนใหม่ทุกคัน พร้อมรับประกันหลังการขาย กรณีที่ไม่พอใจมีนโยบายคืนเงินเต็มจำนวนภายใน 7 วัน (นับจากวันที่มีการจัดส่งรถเป็นระยะเวลา 7 วัน) ทั้งนี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด และจะเป็นผู้ดำเนินการให้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การรวบรวมและจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ผ่านขั้นตอนออนไลน์ จนถึงการโอนทะเบียนรถ

3.   One2car

One2Car ศูนย์รวมรถใหม่ และรถมือสองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นเว็บไซต์รถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด และน่าเชื่อถือที่สุดของไทยในการหารถใหม่ และรถมือสอง ด้วยรถยนต์มากกว่า 30,000 คัน มีผู้ใช้งานมากถึง 1.6 ล้านคน และเปิดชมมากกว่า 40,000,000 หน้าในแต่ละเดือน
แอปพลิเคชัน One2Car ช่วยให้สามารถค้นหารถใหม่และรถมือสองได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการมากที่สุด ไม่เพียงแต่รายการรถที่มีอยู่จำนวนมากแต่ยังง่ายต่อการค้นหาผู้ขายที่น่าเชื่อถือ ผ่านการตรวจสอบผู้ขายแต่ละรายเพื่อให้ผู้ใช้อุ่นใจและปลอดภัย สามารถ แชต โทร หรือส่งข้อความ ถึงผู้ขายได้ทันที

4.   Taladrod.com
 
เว็บไซต์ Taladrod.com ช่วยให้ได้เห็นรถก่อนใครเพียงระบุรุ่นรถที่สนใจ ง่ายด้วยระบบแจ้งเตือนเข้าสู่มือถือไม่ต้องคอยเฝ้าดูหน้าเว็บอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังช่วยให้ซื้อขายได้ปลอดภัย เพียงตกลงราคา แพลตฟอร์มจะทำส่วนที่เหลือให้จนจบ ทั้งดำเนินการด้านเอกสารการโอนกรรมสิทธิ์จนผู้ซื้อได้รถและผู้ขายได้เงินถูกต้องครบถ้วน แล้วยังคัดกรองผู้ซื้อให้เหลือเฉพาะผู้ที่สนใจจริงๆ ช่วยให้ผู้ขายรับสายน้อยลง ได้ผู้ซื้อที่มีคุณภาพมากขึ้น หากยังไม่ได้ราคาที่พอใจก็สามารถนำรถขึ้นบนหน้าเว็บตลาดรถให้คนทั่วไปดูได้

5.   Chobrod.com
 
เว็บไซต์ดีไซน์ทันสมัย ใช้งานง่าย พร้อมด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ Chobrod.com เป็นตลาดรถยนต์มือสองออนไลน์ขนาดใหญ่ มีรถให้เลือกเยอะ ตรงใจที่ผู้ซื้อต้องการ และมีเจ้าหน้าที่คอยตอบคำถามทุกเรื่องที่สงสัย ช่วยให้การติดต่อระหว่างผู้ซื้อรถและผู้ขายรถ ทำได้ง่าย รวดเร็ว ในขั้นตอนเดียว

นอกจากนี้ Chobrod.com ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ที่ค่อยให้ความรู้ และแบ่งปันประสบการณ์ให้กับผู้ซื้อและผู้ขายทุกคนอย่างทั่วถึง ด้วยทีมงานที่พร้อมบริการรับฟังและช่วยแก้ปัญหาในหลากหลายช่องทาง ให้ทุกปัญหาได้รับการแก้ไขภายใน 30 นาที เพื่อให้ผู้ซื้อและผู้ชายได้รับการช่วยเหลือที่ดีที่สุด

เพราะเราเข้าใจ...ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ช่วยให้คุณจ่ายสบายด้วยเบี้ยเบาๆบรรเทาภาระในยามวิกฤต กับประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ประกันชั้น 1-3+ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

59
การได้เป็นเจ้าของรถยนต์หรูราคาแพง เป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะนอกจากจะเป็นความภาคภูมิใจในน้ำพักน้ำแรงของตัวเองแล้ว รถยนต์ราคาแพงจะมีความแข็งแกร่งและทนทานต่ออุบัติเหตุและการเฉี่ยวชนต่างๆ มากมาย แต่ที่สำคัญกว่านั้นมักมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่กว่า เพราะหากขับขี่ด้วยความประมาท แม้ผู้ขับขี่จะปลอดภัย แต่ก็อาจสร้างความเสียหายให้กับผู้ร่วมใช้ถนนได้อย่างมากมาย (เสี่ยเบนท์ลีย์ เดินขึ้นแท็กซี่หลังชนปาเจโร https://hilight.kapook.com/view/230084) แล้วรถยนต์หรูมียี่ห้อไหนบ้าง ราคาประมาณเท่าไร?

1.   Rolls-Royce (โรลส์-รอยซ์)
 
แบรนด์รถยนต์จากประเทศอังกฤษที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่ปี 1904 ก่อตั้งโดย Charles Rolls และ Henry Royce  (เฟดริก เฮนรี่ รอยซ์ และ ชาร์ล โรลส์)  ที่ต่างก็มีความสนใจในวิศวกรรมเครื่องกล และอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งคู่ จนร่วมกันทำแบรนด์ Rolls-Royce ขึ้นมา และจดทะเบียนในนาม Rolls-Royce Limited ผลิตรถยนต์ที่มีความหรูหราหลากหลายรุ่นเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะรุ่นที่มีชื่อเสียงอย่าง Phantom V ที่มีลูกค้าเป็น Queen Elizabeth และ บุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย นอกจากนี้ Roll-Royce Limited ยังมีสายการผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินที่ยังครองตลาดมาได้จนถึงปัจจุบันอีกด้วย

2.   Bugatti (บูกัตติ)
 
Bugatti เป็นแบรนด์ซูเปอร์คาร์และไฮเปร์คาร์ ที่มีต้นกำเนิดในฝรั่งเศส ที่ปัจจุบันก็มีอายุกว่า 110 ปี อยู่ภายใต้บริษัทที่ชื่อ Bugatti Rimac ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือ Volkswagen Group ก่อตั้งขึ้นในปี 1909 โดยคุณ Ettore Bugatti ถือเป็นแบรนด์ซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องสมรรถนะ และความเร็ว โดยมีรถยนต์ที่ทำความเร็วติดอันดับโลกอยู่หลายรุ่น อย่างเช่น รุ่น Veyron EB 16.4 ที่ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 408.47 กม./ชม. ทำสถิติรถ Production Car หรือรถที่มีขายให้สาธารณชนทั่วไป ที่เร็วที่สุดในโลก ปี 2005หรือรุ่น Veyron 16.4 Super Sport ที่ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 431.072 กม./ชม. ทำลายสถิติเร็วที่สุดในโลกปี 2010

3.   Pagani Huayra (ปากานี ฮูไอร่า)
 
Pagani Huayra เป็นไฮเปอร์คาร์แบรนด์อิตาเลียน โดยนายโฮราซิโอ ปากานี (Horacio Pagani) ชาวอาเจนติเนียน ได้ก่อตั้ง ปากานี โอโตโมบีลี (Pagani Automobili S.p.A.) ในปี 1992 และเปิดตัวไฮเปอร์คาร์อย่าง Pagani Zonda C12 ออกมาโดยใช้เครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.0 ลิตร ของ Mercedes-Benz แต่กลับมีพลังน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าเจ้าของเครื่องจนโด่งดังมาถึงปัจจุบัน ดีไซน์ของ Pagani Huayra มีสัดส่วนและเรือนร่างที่อลังการแบบไฮเปอร์คาร์แล้วยังมีรายละเอียดซับซ้อน ล้ำสมัย สามารถสะกดทุกสายตาให้จ้องมองได้ทุกครั้งที่ปรากฏตัว ตั้งแต่ไฟหน้า ช่องลมบนฝากระโปรง กระจกมองข้างทรงใบไม้ที่มีก้านลู่ลม ประตูกางเปิด-เข้าออกได้แบบปีกนก

4.   Koenigsegg (เคอนิกเส็กก์)
 
Koenigsegg ได้ถือกำเนิดขึ้นโดย Christian Von Koenigsegg (คริสเตียน ฟอน เคอนิกเส็กก์) ชายหนุ่มในวัยเพียง 22 ปี ผู้ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากความใฝ่ฝันในวัยเยาว์ที่อยากผลิตรถเป็นของตัวเอง ได้ตัดสินใจเปิด Koenigsegg Automotive AB บริษัทไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดน ซึ่งปัจจุบันสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Ängelholm โดยรถ Koenigsegg ทุกคันที่ผลิตที่โรงงานแห่งนี้ จะประทับตรา “Flying Ghost” อันเป็นสัญลักษณ์ของฝูงบินขับไล่ไอพ่นที่ 1 ของกองทัพอากาศสวีเดน

Koenigsegg ตั้งมั่นในปณิธานที่จะสร้างรถยนต์ที่มีความสมบูรณ์แบบ และทุกรายละเอียดองค์ประกอบของรถจะต้องทำงานร่วมกันอย่างลงตัวเพื่อประสิทธิภาพการขับขี่สูงสุด (Ultimate performance) ซึ่งทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิตโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ ไปจนถึงการตกแต่งภายในของ “Koenigsegg” ถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันด้วยมือ รถทุกคันจึงเปรียบดั่งงานศิลป์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ สร้างขึ้นตามมาตรฐานสูงสุด

5.   Lamborghini (ลัมโบร์กินี)
 
ลัมโบร์กินีกำเนิดขึ้นมาครั้งแรกในปี 1962 โดย เฟร์รุชชิโอ สัมโบร์กินี นักธุรกิจชาวอิตาลีผู้สร้างตัวจากเงินเพียงไม่กี่หมื่นลีร์ สู่นักธุรกิจระดับมัลติมิลเลียนแนร์ ผู้มีกิจการใหญ่โตในการอุตสาหกรรมรถแทรกเตอร์ และเครื่องปรับอากาศ โดยแบ่งเงินส่วนหนึ่งในการก่อตั้ง บริษัท AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายที่จะผลิตรถสปอร์ทเพื่อขายแข่งกับแบรนด์อย่าง Ferrari โดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันลัมโบร์กินีผลิตรถออกมาแล้ว 26 รุ่น โดยรุ่นแรกคือ Lamborghini350 GTV มีเครื่องยนต์ขนาด 3.5 ลิตร V12 280 แรงม้า เปิดตัวในปี 1963 และรุ่นล่าสุดออกมาในปี 2018 กับรุ่น LamborghiniUrus ซึ่งมีเครื่องยนต์ขนาด 3.9 ลิตร V8 660 แรงม้า

6.   Ferrari (เฟอร์รารี่)
 
เฟอร์รารี่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความเร็ว ความหรูหราและความรวย รวมถึงเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตชื่อดังที่ประสบความสำเร็จ และมีการจำหน่ายไปทั่วโลก มีสีที่เป็นเอกลักษณ์ คือสีแดง (Rosso Corsa) ซึ่งเป็นของรถแข่งอิตาลี เฟอร์รารี่ ถือเป็นค่ายรถที่ประสบความสำเร็จในกีฬาฟอร์มูล่าวันมากที่สุด ปัจจุบันกิจการของ Ferrari คือออกแบบและผลิตรถแข่ง เป็นจุดเริ่มต้นของรถสปอร์ต และทีมแข่งรถที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานมากว่า 4 ทศวรรษ

7.   Aston Martin (แอสตัน มาร์ติน)
 
ยานยนต์สปอร์ตหรูสัญชาติอังกฤษ ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1914 ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก ในเรื่องของการออกแบบที่สวยงาม รวมถึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ที่ประสบความสำเร็จในวงการรถแข่งสากล และยังเป็นที่รู้จักจากการเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่รู้จักกันทั่วโลกอย่าง James Bond (เจมส์ บอนด์) หรือพยัคฆ์ร้าย 007 ในฐานะรถยนต์คู่ใจของสายลับรหัส 007 มาแล้วมากกว่า 10 เรื่อง ด้วยรถยนต์คุณภาพเยี่ยมที่ถูกนำเสนออย่างต่อเนื่อง รวมถึงประสิทธิภาพการใช้งานอันดีเยี่ยม แม้ว่า Aston Martin จะขับผ่านอุปสรรคทางธุรกิจมากมาย ทั้งสงครามโลกถึงสองครั้ง การล้มละลาย รวมถึงการเปลี่ยนมือเจ้าของอีกหลายหน แต่ Aston Martin ก็ยังยืนหยัดเป็นตำนานและเป็นที่จดจำของคนทั่วโลก

ต่อให้มีรถยนต์ราคาแพงที่ช่วยการันตีความปลอดภัยให้คุณได้มากแค่ไหน ก็อาจหนีไม่พ้นจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ให้ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ ช่วยการันตีความเสี่ยงให้คุณ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com/

60
การเดินทางด้วยระบบขนส่งผู้โดยสารในปริมาณมากช่วงเทศกาล มักมีความแตกต่างกันออกไปตามความสะดวก ความจำเป็น และงบประมาณค่าเดินทางของผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางด้วยเครื่องบิน รถไฟ ทางเรือ หรือรถยนต์ส่วนตัว โดยเฉพาะรถโดยสารประจำทางข้ามจังหวัด ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนหลากหลายกลุ่มที่ต้องการเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือออกเดินทางท่องเที่ยว (ขึ้นรถสาธารณะอย่างไรให้ปลอดภัย https://www.smk.co.th/newsdetail/1584) สถานีขนส่งผู้โดยสารในกรุงเทพมหานคร จึงนับว่าเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญที่จะช่วยขนส่งผู้โดยสารให้กระจายออกไปทั่วถึงทุกภูมิภาคของประเทศ จะมีที่ไหนบ้าง แล้วเดินทางอย่างไร
 
สถานีขนส่งผู้โดยสาร คืออะไร?
สถานีขนส่งผู้โดยสาร (Bus Terminal) เป็นสถานที่ที่รถโดยสารจากหลาย ๆ สายมาจอดรวมในบริเวณเดียวกันและมีบริการต่าง ๆ จัดไว้ให้ เช่น ที่พักผู้โดยสาร ห้องสุขา ห้องอาหาร เป็นต้น ไว้สำหรับการบริการผู้โดยสาร มีการเก็บค่าใช้สถานีตามประเภทของรถโดยสารตามข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบก โดยกรมการขนส่งจะทำหน้าที่กำกับดูแลสถานีขนส่งต่าง ๆ ทั่วประเทศ

สถานีขนส่งผู้โดยสาร บขส. มีที่ไหนบ้าง?
ปัจจุบัน บริษัทขนส่ง จำกัด หรือ บขส. (http://www.transport.co.th/) มีสถานีขนส่งผู้โดยสารที่ได้รับใบอนุญาตประกอบการจากกรมการขนส่งทางบกจำนวน 7 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพมหานครจำนวน 3 แห่ง สถานีในส่วนภูมิภาค 4 แห่ง ได้แก่

1.   สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต 2
2.   สถานีขนส่งผู้โดยสารเอกมัย
3.   สถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ ถนนบรมราชชนนี
4.   สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุพรรณบุรี,
5.   สถานีขนส่งผู้โดยสาร อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ,
6.   สถานีขนส่งผู้โดยสาร อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์
7.   สถานีขนส่งผู้โดยสาร จังหวัดสุราษฏร์ธานี

นอกจากการบริการสถานีขนส่งผู้โดยสารจำนวน 7 แห่งแล้ว บริษัทฯยังมีที่ทำการสถานีเดินรถในส่วนภูมิภาคอีกจำนวน 113 สถานี อีกด้วย
 
เดินทางไปยังสถานีขนส่งหมอชิตอย่างไร?

สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ หมอชิต หรือสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ หมอชิต 2 หรือที่เรียกว่า สถานีขนส่งผู้โดยสารจตุจักร เป็นสถานีขนส่งในกรุงเทพฯ ที่ให้บริการรถประจำทางสายด่วน ไปยัง ภาคเหนือ ของประเทศไทย เช่น พิษณุโลก, สุโขทัย, และเชียงใหม่ สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิตจึงมักถูกเรียกว่า สถานีขนส่งผู้โดยสารเขตภาคเหนือ ในกรุงเทพมหานคร

ที่ตั้งของสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ หมอชิต อยู่ในเขตจตุจักร อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหมอชิต และสถานีรถไฟใต้ดินจตุจักรโดยใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 15 นาที หากมาจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือ MRT สามารถโดยสารรถประจำทางหรือแท็กซี่ไปยังสถานีขนส่งได้ มีรถโดยสารประจำทางหลายสายที่ผ่านสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสและสถานีรถไฟใต้ดินไปที่สถานีขนส่ง อย่างไรก็ตาม หากเดินทางด้วยรถแท็กซี่อาจจะสะดวกกว่าและมีราคาประมาณ 100 บาท หรือสามารถเช่ารถจักรยานยนต์รับข้าง เพื่อไปยังสถานีขนส่งได้เช่นกัน

เดินทางไปยังสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (สายใต้ใหม่) อย่างไร?

สถานีขนส่งกรุงเทพฯ (สายใต้ใหม่) เป็นที่รู้จักกันในชื่อ สายใต้ใหม่ ของผู้เดินทางทั่วไป ตั้งอยู่บนถนนบรมราชชนนี ซึ่งให้บริการรถโดยสารประจำทางไปยังภาคใต้ของประเทศไทย เช่น จังหวัดกระบี่,สุราษฎร์ธานี, ชุมพร, ระนอง, ภูเก็ต, และหาดใหญ่

วิธีเดินทางที่สะดวกที่สุด คือการเรียกรถแท็กซี่ แม้ว่าอาจมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ก็ยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วยการลดระยะทางให้สั้นลงด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เช่น นั่งรถไฟฟ้าบีทีเอส ไปลงสถานีสยาม และเปลี่ยนรถไฟฟ้าสายสีลม ไปลงยังสถานีบางหว้า และสามารถขึ้นรถบัส หรือรถแท็กซี่ ต่อไปยัง สถานีขนส่งกรุงเทพฯ (สายใต้ใหม่)
สำหรับรถโดยสารประจำทาง มีรถโดยสารสาย 28 (สายอำเภอไทรน้อย) หรือ 159 164 หรือ 177 หรือ 183 หรือ 201 หรือ 515 หรือ 539 หรือ 542 แนะนำให้ใช้สาย 515 เนื่องจากไม่มีป้ายหยุดรถโดยสารมากจึงสามารถใช้เวลาถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วขึ้น

เดินทางไปยังสถานีขนส่งภาคตะวันออกกรุงเทพฯ (เอกมัย) อย่างไร?

สถานีขนส่งภาคตะวันออกกรุงเทพฯ (เอกมัย) ตั้งอยู่บน ถนนสุขุมวิท และไม่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าเอกมัยมากนัก โดยใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟฟ้าเอกมัยไปยังสถานีขนส่งเอกมัยเพียง 5 นาที มีให้บริการรถโดยสาร และรถตู้ จาก กรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดทางภาคตะวันออก ซึ่งจะรวมเส้นทางจาก กรุงเทพฯ ไป ตราด , ระยอง, สระแก้ว, จันทบุรี, ชลบุรี และพัทยา

เนื่องจาก สถานีขนส่งสายตะวันออกเอกมัยตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองไปทางทิศตะวันออกเล็กน้อยห่างจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิประมาณ 50 นาที จึงสามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท และลงที่สถานีเอกมัย หรือจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังสถานีขนส่งสายตะวันออกเอกมัย – ขึ้นแอร์พอร์ตลิงค์ ไปยังสถานีมักกะสัน (สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพชรบุรี) เปลี่ยนเป็น MRT และจากสถานีเพชรบุรีไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสุขุมวิท (สถานีรถไฟฟ้าอโศก) จากนั้นเปลี่ยนเป็นขึ้น BTS อีกรอบ เพื่อไปยัง สถานีรถไฟฟ้าเอกมัยก็ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ หากเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ก็สามารถนั่ง MRT จากสถานี MRT หัวลำโพงไปยังสถานี MRT สุขุมวิท (สถานีรถไฟฟ้า BTS อโศก) ซึ่งต้องเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้า BTS จากนั้นเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้า BTS อโศกไปยังสถานีรถไฟฟ้าเอกมัยได้อีกด้วย

เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย ด้วยประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน แม้จะเป็นรถประเภทเดียวกัน มียี่ห้อ รุ่นรถ ปีเดียวกัน แต่อัตราเบี้ยจะแตกต่างกันตามโปรไฟล์ หรือปัจจัยความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคน สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com/

61
เดินทางออกต่างจังหวัดทีไร...เป็นต้องปวดหัวกับการจัดเตรียมของก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ทั้งการวางแผนท่องเที่ยว วางแผนการเดินทาง จุดจอดแวะพัก หรือแม้แต่อาหารการกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมกระเป๋าเดินทางให้มีเสื้อผ้าหรือของใช้ส่วนตัวที่เพียงพอต่อการใช้งานขณะเดินทาง ที่ต้องคาดการณ์ว่า จะต้องเลือกกระเป๋าเดินทางขนาดเท่าใด กี่ใบ หรือต้องใช้กระเป๋าเดินทางแบบไหน
 
วิธีเลือกขนาดของกระเป๋าเดินทาง

เลือกขนาดของกระเป๋าเดินทางให้เหมาะสมกับสิ่งของที่จะใส่และระยะเวลาที่จะไปเที่ยว ซึ่งกระเป๋าเดินทางใบใหญ่จะเหมาะกับการท่องเที่ยวเป็นระยะเวลานาน เพราะสามารถจุของได้มากกว่า ดังนี้

•   เดินทางประมาณ 1-3 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋าขนาด 18-20”
•   เดินทางประมาณ 4-6 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋าขนาด 24”
•   เดินทางประมาณ 7-10 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋าขนาด 28”

สำหรับกระเป๋าเป้แบบแบ็กแพ็กนั้น ควรใช้เกณฑ์ในการเลือกดังนี้

•   เดินทาง 1-2 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋าขนาด 10-30 ลิตร
•   เดินทางประมาณ 2-5 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋าขนาด 25-32 ลิตร ซึ่งขนาดนี้ถือว่าใหญ่สุดที่จะสามารถถือขึ้นเครื่องบินได้
•   หากเดินทางประมาณ 5-7 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋าขนาด 32-40 ลิตร
•   เดินทางประมาณ 8-14 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋าขนาด 40-70 ลิตร

นอกจากนี้ กระเป๋าที่จะถือขึ้นเครื่องบินนั้น ทางสายการบินจะมีการกำหนดขนาดและกำหนดน้ำหนักของกระเป๋าแตกต่างกันออกไปในแต่ละสายการบิน นักเดินทางจึงควรตรวจสอบรายละเอียดของแต่ละสายการบินให้แน่ชัดก่อนออกเดินทาง
 
สำรวจช่องใส่ของที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์

กระเป๋าเดินทางแบบผ้า จะมีช่องใส่ของเยอะกว่ากระเป๋าเดินทางแบบพลาสติกแข็ง เพราะลักษณะโครงสร้างของกระเป๋าแบบแข็งไม่เอื้อต่อการมีช่องใส่ของได้มากมายนัก รวมถึงช่องใส่ของด้านนอก จึงควรพิจารณาว่า มีสิ่งของที่จะใส่ลงไปในกระเป๋ามากเท่าไหร่ ชอบซื้อของชอปปิงเพิ่มหรือไม่ หรือเป็นคนที่ชอบจัดแจงสิ่งของให้เป็นระเบียบหรือไม่ เพื่อให้ตรงไลฟ์สไตล์ให้มากที่สุด

เลือกรูปทรงและสีของกระเป๋าที่ชอบ

เลือกรูปทรงกระเป๋าและสีที่ชื่นชอบ สำหรับสีกระเป๋านั้นหากเลือกสีที่โดดเด่นสะดุดตา จะช่วยให้มองหากระเป๋าตัวเองได้ง่ายขึ้นหากกระเป๋าถูกรวมอยู่กับกระเป๋าใบอื่นๆ และยังช่วยให้ไม่ถูกหยิบสลับสับเปลี่ยนไป ป้องกันการถูกขโมยได้ระดับหนึ่ง และสีกระเป๋าที่อ่อนจะทำให้กระเป๋าเปื้อนง่ายกว่า

เลือกกระเป๋าเดินทางที่มีตัวล็อกแน่นหนา

กระเป๋าเดินทางที่มีตัวล็อกแบบ "TSA Lock" ซึ่งเป็นระบบกุญแจล็อกกระเป๋าเดินทางที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงาน Transportation Security Administration ของสหรัฐอเมริกา (เรียกสั้นๆ ว่า TSA) มีไว้สำหรับเจ้าหน้าที่ศุลกากรในการตรวจสอบสัมภาระและสินค้า เพื่อความปลอดภัยของสินค้าในระหว่างการขนส่ง และช่วยป้องกันการขโมยหรือการเปิดกระเป๋าเดินทางของเราโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงปลอดภัยกว่ากระเป๋าที่ไม่มีตัวล็อกเลย
 
เลือกกระเป๋าจากรูปแบบการท่องเที่ยวและลักษณะการเดินทาง

นักท่องเที่ยวที่ชอบเดินทางต่างประเทศ นักท่องเที่ยวสายชิลล์ชอบเที่ยวตามเมืองต่างๆ นอนโรงแรม หรือนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ ชอบเดินเขาเข้าป่า กางเต็นท์หรือนอนโฮสเทล ต่างก็ต้องเลือกกระเป๋าที่เหมาะสมกับรูปแบบการท่องเที่ยวของตนเอง เพื่อความสะดวกสบายในการท่องเที่ยวให้มากที่สุด

หากในทริปมีการเดินทางหลายรูปแบบ แนะนำให้เลือกกระเป๋าถือที่มีน้ำหนักเบา สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย หรือกระเป๋าเป้สะพายหลังแบบมีล้อในตัว เพราะสามารถเลือกสะพายหรือใช้ล้อลากได้ อีกทั้งยังเหมาะกับการยกเก็บไว้ในช่องเก็บสัมภาระบนเครื่องบิน บนรถไฟ รวมถึงบนรถบัสอีกด้วย

หากเดินทางด้วยเครื่องบิน จะต้องรู้ไว้ก่อนเสมอว่าสายการบินมีการจำกัดน้ำหนักของกระเป๋า ทั้งกระเป๋าที่โหลดลงใต้เครื่องและกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่อง จึงควรเลือกกระเป๋าเดินทางที่สามารถถือได้ด้วยตนเอง สามารถยกขึ้นรถ เดินทางไปสนามบิน และเช็กอินได้อย่างสะดวก รวมถึงกระเป๋าใบที่ถือขึ้นเครื่อง ควรยกขึ้นเก็บบนช่องเก็บสัมภาระเหนือหัวได้อย่างสะดวกเช่นกัน

หากเดินทางด้วยเรือ กระเป๋ามักจะถูกกองรวมกันไว้ในท้องเรือ ฉะนั้นจึงควรเลือกกระเป๋าที่มีความแข็งแรง เมื่อถูกวางทับด้วยกระเป๋าใบอื่นๆ กระเป๋าจะไม่เปลี่ยนรูปและช่วยป้องกันของภายในกระเป๋าไม่ให้รับน้ำหนักมากเกินไป จนเกิดความเสียหายได้

สำหรับทริปมีการเดินเป็นส่วนมาก ควรเลือกกระเป๋าที่สามารถยกและเคลื่อนย้ายได้สะดวกในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเดินข้ามถนน การขึ้นบันได การขึ้นลิฟต์ การขึ้นรถเมล์ การขึ้นรถไฟ เป็นต้น จึงควรเลือกกระเป๋าเป้แบบแบ็กแพ็กเกอร์ หรือจะเป็นกระเป๋าแบ็กแพ็กเกอร์แบบมีล้อลากก็สะดวก

เลือกกระเป๋าเดินทางจากราคาของกระเป๋า และการรับประกัน

กระเป๋าเดินทางที่มีราคาสูงมักมีคุณภาพดีกว่า เพราะทำจากวัสดุที่มีคุณภาพมากกว่า แต่กระเป๋าที่มีราคาสูงจนเกินไป หรือมีลักษณะเป็นแฟชันสะดุดตา ก็อาจเป็นที่หมายตาของมิจฉาชีพ จึงควรเลือกกระเป๋าที่มีคุณภาพดีราคาเหมาะสม อย่าเลือกซื้อกระเป๋าที่ราคาถูกจนเกินไป เพราะกระเป๋าถือเป็นสิ่งที่ช่วยเก็บรักษาข้าวของเสื้อผ้าของเราไว้ กระเป๋าที่ราคาถูกอาจพังและต้องเสียเงินซื้อใหม่ การเลือกจ่ายเพิ่มอีกสักนิดแต่ได้กระเป๋าเดินทางที่มีอายุการใช้งานได้นานกว่า ถือเป็นเรื่องที่คุ้มค่า และควรอ่านเงื่อนไขการรับประกันก่อนซื้อทุกครั้ง

ประกันภัยการเดินทาง (TA) ช่วยคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันภัยที่เดินทางรายเดี่ยวหรือเป็นหมู่คณะทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ  การเดินทางเป็นหมู่คณะของกลุ่มบุคคลหรือบุคลากรในหน่วยงานเอกชน หรือ หน่วยงานราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค หรือทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีกำหนดการเดินทางที่แน่นอนโดยให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตลอดเวลา 24 ชั่วโมงในช่วงระยะเวลาเดินทางตามที่ผู้เอาประกันภัยแจ้งไว้ สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productpadetail/3 หรือ โทร.1596 Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com/

62
เทคโนโลยีและนวัตกรรมของรถยนต์รุ่นใหม่ในปัจจุบัน มักมีความก้าวหน้าล้ำสมัยมากกว่าในอดีต ทั้งระบบเชื่อมต่อ Wi-Fi Bluetooth หรือ GPS รวมไปถึงอุปกรณ์ที่เสริมความสะดวกสบายและเพิ่มเติมความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร อย่างกล้องมองถอยที่ติดมากับรถยนต์ ที่เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลังจะทำให้มองเห็นด้านหลังของรถมาแสดงผลที่หน้าจอ LCD พร้อมเส้นกะระยะมองถอย ซึ่งทำให้รถยนต์รุ่นเก่าที่ไม่มีกล้องมองถอยหันมาเลือกซื้อกล้องติดรถยนต์แบบมองหลังมาไว้ใช้แทน แต่การใช้กล้องมองถอยแทนกล้องติดรถยนต์อาจอันตรายกว่าที่คิด
 
กล้องติดรถยนต์ที่เป็นอุปกรณ์สำคัญในการช่วยเก็บหลักฐานและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องถนน ที่ปัจจุบันได้รับการพัฒนาฟังค์ชันต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น การตรวจจับความเคลื่อนไหวเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือแม้แต่กล้องมองหลังที่มีเสริมเข้ามาเพื่อจับภาพการเคลื่อนไหวของการจราจรและเหตุการณ์ต่างๆ จากทางด้านหลังรถ (เทคนิคเลือกกล้องติดรถยนต์ เก็บครบทุกหลักฐาน เป็นพยานทุกอุบัติเหตุ https://www.smk.co.th/newsdetail/2833) แต่หากเป็นรถยนต์รุ่นเก่าที่ไม่มีกล้องมองถอยในตัว ก็ไม่ควรซื้อกล้องมองหลังมาติดใช้แทนเช่น ด้วยเหตุผลดังนี้

1.   มุมของกล้องหลังไม่ครอบคลุมเพียงพอ

ด้วยกล้องหลังที่มักมีมุมมองที่แคบอยู่แล้ว หากต้องไปติดตั้งนอกตัวรถในตำแหน่งบนป้ายทะเบียนเพื่อมองถอยหลัง แทนที่จะได้บันทึกวิดีโอเพื่อเป็นหลักฐานเวลาเกิดเหตุ กลับบันทึกได้แต่พื้นถนน เพราะติดในตำแหน่งที่ต่ำมากเพื่อให้แสดงเส้นกะระยะถอยได้อย่างชัดเจน ซึ่งจำเป็นต้องติดกล้องหลังไว้นอกรถ และต้องกดมุมกล้องลงเพื่อถ่ายภาพมุมต่ำ
นอกจากนี้ กล้องติดรถที่ออกแบบให้ติดตั้งเพื่อเป็นกล้องมองถอยด้วย มักเป็นกล้องจีนราคาถูก แต่กล้องติดรถยนต์พรีเมี่ยมที่มีราคาแพง เช่น กล้องเกาหลี ไต้หวัน หรือกล้องจีนแบบคุณภาพสูงที่จับกลุ่มระดับกลาง-บน เช่น DDPAI(รุ่น X2 PRO) และ VIOFO (รุ่น A129 DUO) จะไม่ออกแบบกล้องหลังให้สามารถติดตั้งนอกรถ(กันน้ำ) เพื่อใช้เป็นกล้องมองถอย ทั้งที่จริงๆ ก็สามารถทำได้
 
2.   หน้าจอเล็ก มองเห็นไม่ชัดเจน

เนื่องจากกล้องติดรถยนต์มักมีวัตถุประสงค์เพื่อบันทึกภาพและกดดูภาพตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้การใช้งานจริง ถึงแม้จะเคยเห็นรีวิวจากร้านที่รับติดตั้งว่า ภาพที่ได้มีความคมชัด แต่ความเป็นจริง ร้านมัก Zoom ภาพเข้ามาในระยะที่ใกล้มาก ซึ่งเมื่อต้องขับรถเข้าเกียร์ถอยหลัง หากต้องจ่อหน้าเข้าหากล้องเพื่อมองกล้องหลังระหว่างถอย นอกจากจะไม่สะดวกแล้ว ยังอาจเกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย

3.   จุดติดตั้งกล้องห้อยลงมาเกะกะสายตา
หากการติดตั้งปกติเพื่อใช้บันทึกวิดีโอตามฟังก์ชันที่ควรจะเป็นของกล้องติดรถยนต์ จะสามารถติดซ่อนกล้องหน้าไว้หลังกระจกส่องหลังเพื่อให้มองเห็นตัวกล้องให้น้อยที่สุดได้ แต่การติดกล้องหน้าเพื่อให้มองเห็นเวลาถอย อาจจำเป็นต้องติดในตำแหน่งที่มองเห็นได้เต็มหน้าจอและต้องใกล้มากพอสำหรับการมองเห็นอีกด้วย

4.   สิ้นเปลืองค่าติดตั้ง
ในต่างประเทศ เช่น ยุโรป อเมริกา นิยมติดตั้งกล้องบันทึกในรถด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องเสียทั้งเงินและเวลาเพื่อไปจ้างร้านประดับยนต์ให้ติดตั้งให้ โดยอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ตั้งแต่ 500 – 1000 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายในการติดตั้ง ซึ่งหากสามารถติดตั้งได้เอง ก็จะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกมาก (ติดกล้องมองหลังเอง ไม่ต้องปอกสายเดิม ไม่ต้องเจาะรูรถ https://khaorot.com/car-care-and-maintenance/ติดกล้องมองหลังเอง-ไม่ต้องปอกสายเดิม-ไม่ต้องเจาะรูรถ-aid20210727175454083)

5.   อายุการใช้งานสั้นกว่า

หากเทียบอายุการใช้งานระหว่าง กล้องติดรถยนต์ กับ กล้องมองหลังที่ทำงานเฉพาะ (ไม่ใช่กล้องติดรถแต่เป็นกล้องที่ติดมากับตัวรถเลย) แน่นอนว่ากล้องมองหลังควรต้องมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าเนื่องจากเป็นกล้องที่ติดมาจากโรงงาน แต่กล้องติดรถยนต์ที่ต้องบันทึกวิดีโอขณะขับขี่ตลอดเวลาจะทำให้ต้องใช้งานเยอะกว่า และมีอายุการใช้งานที่สั้นลง

6.   ภาพไม่ชัดถ้าเทียบกับการจ่ายเงินเพื่อติดกล้องมองหลังโดยเฉพาะ

กล้องบันทึกวิดีโอแบบหน้า-หลังที่รองรับการติดตั้งเป็นกล้องมองถอย ส่วนใหญ่มักมีกล้องมองหลังที่ไม่มีความคมชัด ซึ่งนอกจากต้องเพ่งมองหน้าจอขนาดเล็กแล้ว ภาพที่แสดงผลยังขาดความชัดเจนอีกด้วย ซึ่งหากเทียบกับกล้องมองหลังที่ทำงานโดยเฉพาะ อาจสามารถจ่ายได้ในราคาที่ถูกกว่าแต่ได้ภาพที่ชัดเจนขึ้น เพิ่มความปลอดภัยได้จริงด้วยหน้าจอการแสดงผลขนาดมาตรฐาน

7.   ติดกล้องนอกรถ ทำให้เลนส์เบลอ มัว มีฝุ่น มีรอย

การนำกล้องหลังไปติดด้านนอกรถยนต์อาจดูเหมือนได้ภาพที่ชัดเจนมากกว่าแบบติดตั้งในรถเพราะบันทึกวิดีโอโดยไม่ผ่านกระจก แต่เมื่อใช้ไปนานๆ อาจสังเกตุว่าภาพจากกล้องหลังมีคุณภาพแย่ลง เพราะส่วนหนึ่งมาจากหน้าเลนส์สกปรก ทั้งจากน้ำฝน หมอก ควัน หรือฝ้ากระจก ซึ่งอาจส่งผลให้พลาดหลักฐานการบันทึกวิดีโอในเหตุการณ์สำคัญก็เป็นได้
 
การนำกล้องติดรถไปทำกล้องมองหลังที่ดูเหมือนได้ใช้ฟังก์ชันเสริมฟรีๆ แต่จริงๆ แล้วกลับต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่คุ้มค่าในอนาคต อาจต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกหน่อยเพื่อเลือกติดกล้องมองหลังที่ทำงานโดยเฉพาะ จะช่วยให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นและยังได้หน้าจอสำหรับมองถอยที่ใหญ่ชัดเจน ไม่ห้อยเกะกะบังทัศนวิสัยการขับขี่ และเห็นภาพขณะถอยได้ชัดเจนขณะงานจริงได้อีกด้วย

อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นเรื่องไม่คาดคิด ให้ระวังดีแค่ไหนอุบัติเหตุก็อาจเกิดขึ้นได้ ยิ่งเป็นการเดินทางในเมืองกรุงที่มีปัญหาจราจรบนท้องถนนทุกวัน ยิ่งต้องเตรียมตัวรับมือให้พร้อม เลือกทำประกันรถยนต์ ด้วยประกันภัยรถยนต์คนกรุง เป็นผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ หรือ โทร.1596  Line : @smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่  https://smkinsurance.blogspot.com

63
นับเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ของโลกในการลดใช้พลังงานที่อาจสร้างมลภาวะเป็นพิษในชั้นบรรยากาศที่อาจสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกจากภาวะโลกร้อน พลังงงานทดแทนจึงเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการพลังงานสะอาดของคนยุคใหม่ (4 รถยนต์พลังงานทางเลือก ทางเลือกใหม่เพื่อการเดินทางแห่งอนาคต https://www.smk.co.th/newsdetail/2968) หลายค่ายแบรนด์รถยนต์ยักษ์ใหญ่ต่างก็เร่งวิจัยและพัฒนารถยนต์พลังงานทางเลือกออกสู่ตลาด (Tesla เปิดตัว 2 รุ่น ราคาเริ่ม 1.75 ลบ. พร้อมส่งมอบไตรมาส 1 ปี'66 https://www.pptvhd36.com/automotive/news/186057) รวมถึงรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นอีกหนึ่งพลังงานทางเลือกสำหรับผู้ใช้รถ ก็เริ่มมีแผนการผลิตและออกขายสู่ตลาดเช่นกัน ความคืบหน้าจะเป็นอย่างไร สินมั่นคงประกันรถยนต์มีข้อมูลมาฝากค่ะ
 
รถยนต์พลังงานแสดงอาทิตย์รุ่นใหม่ วิ่งได้นานสุดถึง 7 เดือน

ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ไลต์เยียร์ (Lightyear) บริษัทสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้สร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการรถยนต์ทั่วโลกด้วยการเปิดตัวรถต้นแบบ "Lightyear 0" รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ "คันแรกของโลก" หรือก็คือ รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Electric Vehicle: SEV) ที่ใช้แสงอาทิตย์เป็นพลังงานหลัก และไฟฟ้าเป็นพลังงานสำรอง

แม้ว่าที่ผ่านมา จะมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลายแบรนด์เคยพยายามที่จะทดลองที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้ที่รถยนต์กันอยู่บ้าง แต่ก็ยังแตกต่างจาก ไลต์เยียร์ ที่มีการติดตั้ง "แผงโซลาร์เซลล์โค้งคู่" ที่เป็นทั้งเอกลักษณ์และลิขสิทธิ์ของแบรนด์ไลต์เยียร์เป็นแนวยาวตลอดทั้งคัน ตั้งแต่กระโปรงหน้ายาวไปจนถึงประโปรงหลัง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รถยนต์พลังงานแสดงอาทิตย์คันนี้สามารถวิ่งได้โดยไม่ต้องชาร์จเป็นระยะเวลานานนับเดือน

ก่อนหน้านี้ Lightyear 0 จะสามารถวิ่งได้สูงสุดถึง 625 กม. ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ขณะที่ "การชาร์จด้วยแสงอาทิตย์" จะทำให้รถวิ่งได้ราว 70 กม./วัน ซึ่งก็เพียงพอต่อการใช้งานของคนทั่วไปที่ประมาณ 35 กม./วัน ซึ่งจากการทดลองวิ่งของไลต์เยียร์รุ่นใหม่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ก็พบว่า สามารถวิ่งได้นานสุดโดยไม่ต้องชาร์จนานถึง 2 เดือน และเมื่อนำไปทดลองที่ประเทศ "โปรตุเกส" ซึ่งมีแดดดีตลอดทั้งปี ก็สามารถวิ่งได้นานสุดโดยไม่ต้องชาร์จถึง "7 เดือน" เท่ากับว่า รถยนต์คันนี้ "แทบไม่จำเป็นต้องชาร์จเลย" สำหรับการใช้งานทั่วไป
 
เดินเครื่องผลิตรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งราคาขาย 9.15 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทได้เริ่มเดินเครื่องการผลิต Lightyear 0 แล้ว ที่โรงงาน Valmet Automotive Oyj ในประเทศฟินแลนด์ โดยในช่วงเริ่มต้นนั้นสามารถผลิตได้เพียงสัปดาห์ละ 1 คัน แต่หากผ่านไปสักระยะในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า คาดว่าจะผลิตได้ถึงสัปดาห์ละ 5 คัน ซึ่งนอกจาก Lightyear 0 จะมีจุดเด่นที่พลังงานแสงอาทิตย์แล้ว ในส่วนของพลังงานไฟฟ้า ก็ยังเป็น EV ที่มีสมรรถนะดีเยี่ยมและยังประหยัดพลังงานอีกด้วย จากการทดสอบการวิ่งที่ความเร็ว 110 กม./ชม. พบว่า Lightyear 0 ใช้พลังงานเพียง 10.5 kWh ต่อระยะทาง 100 กม. นับเป็นรถสำหรับครอบครัวที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในตลาดตอนนี้ และแม้ตัวรถจะมีความยาวถึง  5 เมตร แต่มีน้ำหนักอยู่ที่ 1.575 ตัน หากนำไปวิ่งที่ความเร็วระดับที่วิ่งบนทางด่วน คือ 110 กม./ชม. Lightyear 0 สามารถวิ่งต่อเนื่องได้สูงสุดถึง 560 กม. เลยทีเดียว

รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์จากบริษัท ไลต์เยียร์ ตั้งราคาขายอยู่ที่คันละ 2.5 แสนยูโร หรือประมาณ 9.15 ล้านบาท และขณะนี้ มียอดคำสั่งซื้อ (พรีออเดอร์) เข้ามาแล้วประมาณ 150 คัน ซึ่งสาเหตุที่ต้องตั้งราคาสูงเนื่องจากมีจำนวนการผลิตน้อยและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เนื่องจากปกติแล้วแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงจะเป็นแผ่นเรียบตรง ในขณะที่แผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่โค้งจะทำให้มีประสิทธิภาพต่ำในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ดังนั้น การจะทำแผงโซลาร์เซลล์คุณภาพสูงให้มีความยาวเพียงพอและโค้งไปกับตัวรถได้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย
 
ที่จอดรถพลังงานแสงอาทิตย์ เริ่มเป็นที่จับตามองสำหรับอนาคต

ในต่างประเทศนอกจากจะให้ความสำคัญกับการคิดค้นเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์แล้ว ยังให้ความสำคัญกับที่จอดรถพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการช่วยลดโลกร้อนด้วยเช่นกัน เช่น Home Depot บริษัทค้าปลีกอุปกรณ์แต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความตั้งใจว่าภายในปี 2030 จะทำให้ห้างทุกสาขาใช้พลังงานหมุนเวียนเท่านั้น ซึ่งนอกเหนือจากในส่วนของโครงการต่างๆ ที่จะใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าที่สุด ยังมีการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในสาขาเพื่อทำทุกอย่างให้ดีขึ้นด้วย

ในอนาคตห้างสรรพสินค้ารวมถึงอาคารขนส่งสินค้าจะเป็นเป้าหมายใหญ่สำหรับการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสม จะเห็นได้จาก ห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่อย่าง Walmart, IKEA หรือ Amazon ก็เริ่มให้ความสนใจ และได้ขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนที่จอดรถ ซึ่งขณะนี้ถือเป็นโมเดลเริ่มต้นสำหรับคำตอบแรกๆ ที่อาจจะนำไปสู่โลกที่สะอาดขึ้น
 
หลังจากนี้ในอีกราว 10 ปีข้างหน้า น่าจะได้เห็นอาคารสถานที่ต่างๆ ติดตั้งแผงพลังงานโซลาร์เซลล์และจุดจอดชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงหลังคาที่จอดรถที่เคยไม่มีประโยชน์อะไรก็อาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกได้เช่นกัน

เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นเรื่องไม่คาดคิด ยิ่งเป็นการเดินทางในเมืองกรุงที่มีปัญหาจราจรบนท้องถนนทุกวัน ยิ่งต้องเตรียมตัวรับมือให้พร้อม เลือกทำประกันรถยนต์ ด้วยประกันภัยรถยนต์คนกรุง เป็นผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596  Line : @smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่  https://smkinsurance.blogspot.com

64
การเลือกซื้อประกันรถยนต์กับบริษัท นอกจากจะต้องดูแพคเกจประกันที่มีความเหมาะสมกับการใช้งานของผู้ขับขี่แล้ว ยังต้องดูถึงเงื่อนไขที่อยู่ในกรมธรรม์นั้นด้วยว่า ครอบคลุมในสิ่งที่เจ้าของรถยนต์ต้องการหรือไม่ และมีหลายกรณีที่บริษัทประกันไม่ยินยอมจ่ายค่าสินไหมรถยนต์และสามารถปฏิเสธความคุ้มครองที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งรวมไปถึงการแจ้งเคลมประกันเท็จ ที่อาจส่งผลให้บริษัทประกันปฏิเสธได้ด้วยเช่นกัน
 
ใช้รถแบบไหนที่ประกันไม่รับเคลม

1.   ใช้รถทำสิ่งผิดกฎหมาย เนื่องจากหากนำรถยนต์ไปใช้ทำสิ่งผิดกฎหมาย เช่น ขนอาวุธเถื่อน ขนยาเสพติด ถ้าเกิดอุบัติเหตุชนขึ้นมา บริษัทประกันจะไม่รับเคลม
2.   ใช้รถแข่งความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้รถยนต์แข่งความเร็วตามสนามแข่งที่ถูกกฎหมาย หรือแข่งความเร็วกันตามถนนแบบผิดกฎหมาย บริษัทประกันจะไม่รับเคลมความเสียหายทั้งสิ้น
3.   ขับรถยนต์ออกนอกเขตความคุ้มครอง การใช้รถยนต์นอกพื้นที่เขตความคุ้มครองของประกัน หากรถเกิดเหตุชนขึ้นมาจะไม่ได้รับความคุ้มครอง เช่น ทำประกันรถยนต์ไว้ในเขตประเทศไทย แต่เกิดอุบัติเหตุรถชนที่ต่างประเทศ บริษัทประกันจะไม่จ่ายค่าความเสียหาย
4.   เมาแล้วขับ ในทางกฎหมายจะถือว่าถ้าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมจะถือว่าเมาทันที หากเกิดเหตุชนแล้วพบว่าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินที่กฎหมายกำหนดจะไม่สามารถเคลมประกันภาคสมัครใจได้
5.   การใช้รถไปลากจูง โดยหากเจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ไปใช้ลากจูง เช่น นำรถส่วนบุคคลไปใช้ลากจูงรถอีกคันที่จอดเสียข้างทาง หากเกิดอุบัติเหตุรถชนได้รับความเสียหาย บริษัทประกันจะปฏิเสธการเคลมโดยทันที เพราะถือว่าผิดเงื่อนไขการใช้รถยนต์
6.   ใช้รถยนต์เพื่อก่อการร้าย หากรถยนต์มีร่องรอยความเสียหายเกิดขึ้น โดยตรวจสอบพบว่าได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปใช้เพื่อก่อการร้าย หรือจอดรถยนต์อยู่บริเวณพื้นที่ประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) จะไม่สามารถเคลมประกันรถยนต์ได้เช่นกัน
7.   ผู้ขับขี่ไม่มีใบขับขี่ หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่ หากผู้ขับขี่รถยนต์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรือเคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ไป รวมถึงการนำใบอนุญาตขับขี่รถจักจักรยานยนต์มาใช้แทนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ หากเกิดเหตุรถชนบริษัทประกันจะไม่จ่ายค่าความเสียหายให้ เท่ากับว่าเคลมประกันภัยรถยนต์ไม่ได้ (ไม่มีใบขับขี่ บริษัทประกันจะรับเคลมหรือไม่ https://www.oic.or.th/th/consumer/question/ไม่มีใบขับขี่-บริษัทประกันจะรับเคลมหรือไม่)
8.   รถชนกับรถบุคคลในครอบครัว กรณีที่รถชนกับรถบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ สามี ภรรยา บุตร บริษัทประกันภัยจะไม่จ่ายค่าความเสียให้รถคันคู่กรณี แต่ถ้าเจ้าของรถยนต์ต้องการนำรถยนต์ของตัวเองเข้าซ่อมจะต้องจ่ายค่า Excess เงื่อนไขละ 1,000 บาท เพราะเป็นการชนแบบไม่มีคู่กรณี
9.   ทำลายทรัพย์สินตนเอง ถ้าบริษัทประกันพบว่าเจ้าของรถจัดฉากทำลายรถยนต์ของตัวเองให้ได้รับความเสียหายเพื่อหวังเงินเคลมประกันภัย นอกจากจะเคลมประกันไม่ได้แล้ว ยังผิดกฎหมายอีกด้วย
10.   สลับตัวผู้ขับขี่เมื่อเกิดเหตุชน การสลับตัวผู้ขับขี่หลังจากที่เกิดเหตุชนเกิดขึ้นนอกจากจะเคลมประกันไม่ได้แล้ว ยังถือว่าผู้ขับขี่มีเจตนาทุจริต ถ้าบริษัทประกันสืบเจออาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย

แบบไหนถึงเรียกว่า แจ้งเคลมประกันเท็จ?
ปกติแล้วเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับรถยนต์ ทางบริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมรถยนต์ ค่ารักษาพยาบาล (ในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บ) รวมถึงความคุ้มครองกรณีรับผิด (เคลมประกันรถสินมั่นคงด้วยตัวเอง ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน https://www.smk.co.th/newsdetail/2869) ซึ่งการเคลมประกันภัยรถยนต์นั้น ผู้ขับขี่ควรมีจรรยาบรรณไม่แจ้งเคลมประกันเท็จ เนื่องจากหากทางบริษัทประกันได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่า เกิดการแจ้งเคลมประกันเท็จ ซึ่งผู้เคลมประกันรถยนต์เลือกที่จะแจ้งเคลมเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบและค่าเสียหายจากการซ่อมรถยนต์ของตัวเอง หรือแจ้งเคลมประกันเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก เนื่องจากอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในเรื่องของการแจ้งเคลม
 
ปัญหาที่เกิดขึ้นจะไม่ได้มีแค่เพียงบริษัทประกันปฏิเสธไม่ออกใบเคลม ประกันไม่อนุมัติซ่อม หรือโดนยกเลิกประกัน แต่อาจจะบานปลายจนถึงการถูกบริษัทประกันรถยนต์ฟ้องร้องเนื่องจากผู้ขับขี่จะมีความผิด และโทษในทางอาญา ที่ระบุว่า “ให้ความเท็จเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากประกันวินาศภัย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ” หรืออาจมีกรณีต่อเนื่องไปถึงการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่พนักงาน ส่งผลให้เกิดการเดือดร้อนต่อบุคคลที่ 3 หรือทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเกิดความเสียหาย จะถือว่ามีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
 
ทั้งการแจ้งเคลมเท็จและการแจ้งความเท็จนั้นมีสิทธิ์ที่ทางบริษัทอาจจะยื่นเรื่องคดีฉ้อโกงไปยังผู้เคลมหากได้มีการตรวจสอบแล้วไม่เป็นความจริง รวมทั้งเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายจากทางบริษัทประกัน หรือบุคคลที่ 3 ก็ถือจะนับเป็นคดีฉ้อโกงด้วย และแม้ว่าการทำประกันชั้น 1 จะสามารถแจ้งเคลมประกันรถยนต์ได้ทุกกรณี แต่หากเจ้าของรถทำผิดข้อยกเว้นความคุ้มครองตาม ก็อาจทำให้โดนปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมและยังถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอีกด้วย คุ้มครองครอบคลุมได้ตามใจ 3, 6, 12 เดือน ด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา ประเภท 1 จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพิ่มความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร.1596  Line : @smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่  https://smkinsurance.blogspot.com

65
แม้ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัว แต่ก็ยังมีบางวันที่พบฝนหลงฤดูตกลงสู่พื้นที่ประเทศไทย สร้างความลำบากในการเดินทางให้กับผู้คนที่ยังสัญจรบนท้องถนน ทั้งปัญหาน้ำท่วมขัง ปัญหาถนนลื่น หรือแม้แต่ปัญหาหลุมบ่อขรุขระ ตั้งแต่หลุมเล็ก ๆ หน้าปากซอย ไปจนถึงหลุมขนาดใหญ่ตามเส้นทางเข้าออกทั่วภูมิภาค แล้วหลุมถนนเกิดขึ้นจากอะไร? หากรถตกหลุม ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ และประกันจะยอมจ่ายค่าเสียหายหรือไม่
 
สาเหตุของการเกิดหลุมถนน
หลุมถนน สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากฝีมือมนุษย์ การใช้งานถนน ไปจนถึงการทรุดตัวของหน้าดินที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ หลุมจึงแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

1. หลุมบนถนนทั่วไป
เกิดจากแรงกระแทกของรถยนต์ ฝนฟ้าอากาศ และอายุการใช้งาน กว้างไม่เกิน 2 ฟุต และลึกไม่เกิน 2-3 นิ้ว พบเห็นได้ทั่วไปบนถนนยางมะตอยที่มีรถพลุกพล่าน

2. หลุมยุบ
มีความกว้างและลึก 1 เมตรขึ้นไป เกิดจากการทรุดตัวของชั้นดินใต้ถนน โดยปากหลุมจะขยายกว้างขึ้นจนกว่าจะเสถียร มักพบเห็นได้บนถนนยางมะตอยตามต่างจังหวัด ที่สร้างบนดินทราย หรือชั้นดินที่มีน้ำบาดาลขังอยู่
 
หลุมแบบไหนถึงเรียกว่าอันตราย
-   มีความลึกประมาณ 1 ส่วน 3 ของล้อรถ จะทำให้รถไต่ขึ้นจากปากหลุมได้ยากขึ้น โดยเฉพาะรถที่มีตัวเครื่องต่ำ และล้อเตี้ย
-   ปากหลุมตั้งฉาก  หรือไม่มีความลาดชันเพียงพอที่จะให้รถขับเคลื่อนขึ้นจากหลุมเองได้
-   ก้นหลุมเป็นโคลน หรือมีน้ำขัง ทำให้รถเร่งไม่ขึ้น ยิ่งพยายามเร่ง ล้อจะยิ่งบดให้พื้นหลุมลึกและลื่นขึ้น

ความเสียหายเมื่อรถตกหลุม
การที่รถตกหลุมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่รถกำลังวิ่งอยู่บนถนนด้วยความเร็วสูง จะทำให้ช่วงล่างของรถเกิดการกระแทกจนยาง โช๊ก และลูกหมากมีปัญหาได้ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาระยะยาวกับรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น รถบังคับรถยาก รถเลี้ยวไม่ค่อยไป หรือเครื่องยนต์มีเสียงแปลก ๆ คล้ายเสียงเหล็กกระทบกัน (ตกหลุมบ่อยๆ มีผลต่อรถหรือไม่ https://www.smk.co.th/newsdetail/259)
 
ขับรถระวัง ป้องกันหลุมถนน
หากต้องขับรถยนต์ผ่านหลุมแบบกะทันหัน ให้ควบคุมสติให้มั่น อย่าตกใจ และควรปฎิบัติตามหลักการนี้

-   ควรตรวจสอบลมยางบ่อย ๆ เพราะจะช่วยลดความเสียหายที่เกิดกับรถได้
-   จับพวงมาลัยให้แน่น และนิ่ง เพื่อไม่ให้รถเสียศูนย์
-   หากไม่สามารถขับเลี่ยงได้ ให้ชะลอรถก่อนขับผ่านหลุมด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ไม่ควรเร่งเครื่องแรง ๆ และห้ามเบรกตอนรถอยู่ในหลุม
-   หลีกเลี่ยงการขับผ่านหลุมที่มีน้ำท่วมขัง เพราะหลุมอาจลึกและชันกว่าที่เห็น

รถตกหลุมเสียหาย ใครรับผิดชอบ?
ตามกฎหมาย การบำรุงรักษาถนนเพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวกเป็นหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ หากประชาชนได้รับความเสียหายเพราะถนนชำรุดเป็นเหตุ หน่วยงานของรัฐจะต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากเกิดอุบัติเหตุเพราะสภาพถนนไม่พร้อมใช้งาน ก็สามารถเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับศาลปกครองได้ แต่จะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่า ถนนเส้นที่ประสบอุบัติเหตุอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานใด ซึ่งถนนหลวงแบ่งออกเป็น 5 ประเภทได้แก่

1.   ทางหลวงพิเศษ เป็นถนนที่ให้จราจรผ่านได้ตลอดรวดเร็วเป็นพิเศษ อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง
2.   ทางหลวงแผ่นดิน เป็นถนนสายหลักเชื่อมระหว่างภาค จังหวัด และอำเภอ ดูแลโดยกรมทางหลวงเช่นกัน
3.   ทางหลวงชนบท ถนนประเภทนี้มีตัวอักษรกำกับ 2 ตัว เช่น นบ หมายถึงนนทบุรี ดูแลโดยกรมทางหลวงชนบท
4.   ทางหลวงท้องถิ่น ถนนประเภทนี้มีตัวอักษรกำกับ 3 ตัว เช่น นบ.ถ. หมายถึงท้องถิ่นนนทบุรี ดูแลโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
5.   ทางหลวงสัมปทาน เป็นถนนที่เอกชนรับสัมปทานดูแล ดูแลโดยกรมทางหลวง

เมื่อเข้าสู่กระบวนการร้องขอความเป็นธรรม ศาลปกครองจะดำเนินการพิจารณาหลักฐานต่าง ๆ และหากต้นเหตุของอุบัติเหตุเกิดจากถนนที่ไม่พร้อมใช้งานจริง ศาลก็จะให้หน่วยงานที่ดูแลถนนเส้นนั้นเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหาย
 
รถตกหลุม เคลมประกันได้หรือไม่?

ช่วงล่างของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น ยางรถยนต์ ล้อแม็ก เพลาล้อ ปีกนก คันชัก หรือตัวถัง หากเกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เช่น ขับรถตกหลุม ก็สามารถเคลมประกันชั้น 1 ได้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่ผู้เอาประกันได้ทำไว้ ไม่ว่าอุบัติเหตุนั้นจะมีคู่กรณีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม โดยบริษัทประกันจะชดเชยค่าเสียหายตามจริงและอาจมีการหักค่าเสื่อมสภาพของอะไหล่ เนื่องจากชิ้นส่วนบางชิ้น เช่น ยางรถยนต์ จะมีการสึกหรอหรือเสื่อมสภาพจากการใช้งานมาอยู่ก่อนแล้ว การเคลมช่วงล่างในแต่ละครั้งจึงมีการพิจารณาค่าเสื่อมสภาพของอะไหล่แต่ละชิ้นเข้าไปประกอบด้วย

หลายครั้งเมื่อฝนตกหนัก ส่งผลให้ถนนหลายสายที่สภาพไม่ดีอยู่แล้วมีน้ำขังเป็นหลุมเป็นบ่อ และไม่สามารถเห็นได้ว่าหลุมนั้นลึกหรือไม่ จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ที่นอกจากอาจจะต้องเจ็บตัวแล้ว ยังต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลและค่าซ่อมแซมรถยนต์ส่วนที่เสียหายอีก คุ้มครองคุณให้ปลอดภัยด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา ประเภท 1 เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่อความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร.1596  Line : @smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่  https://smkinsurance.blogspot.com

66
รถยนต์ | Car / เทคนิคใช้ Google Map บนท้องถนน
« เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2022, 04:58:27 AM »
แม้ในปัจจุบันระบบขนส่งสาธารณะหลายสายของประเทศจะได้รับการพัฒนาไปจนเกือบจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปลายปีนี้ (เปิดเส้นทาง "รถไฟฟ้า" สายใหม่ปี 2022 เริ่มให้บริการปลายปี 65 https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1034183) แต่ด้วยค่าบริการและเส้นทางที่ยังไม่ครอบคลุมในหลายพื้นที่ อาจทำให้ประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงบริการได้มากนัก การใช้รถยนต์ส่วนตัวจึงนับว่ายังเป็นทางออกสำหรับใครหลายคน ส่งผลให้ปัญหาการจราจรในเขตเมืองยังคงไม่ได้รับการแก้ไขได้เท่าที่ควร เทคโนโลยีจึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ที่เดินทางบนท้องถนนได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Google Map แอปพลิเคชันที่แทบทุกคนจะต้องใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็ยังมีอีกหลายฟีเจอร์การทำงานของ Google Map ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้
 
1.   ดูเส้นทางโดยละเอียดได้
เมื่อเปิดใช้งาน Google Maps นอกจากจะสามารถเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุดและเร็วที่สุดได้แล้ว ยังสามารถดูเส้นทางอย่างละเอียดก่อนออกเดินทางได้อีกด้วย เนื่องจากในบางครั้งเส้นทางที่โปรแกรมนำทางไปอาจไม่เหมาะสำหรับการเดินทางของรถยนต์ขนาดใหญ่ โดยเมื่อกดดูเส้นทางทั้งหมดแล้ว ให้กดปุ่มที่เขียนว่า ‘ขั้นตอน’ เพื่อสำรวจดูเส้นทางอย่างละเอียด โดยโปรแกรมจะระบุว่าต้องเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ตรงไหนบ้าง

2.   แชร์โลเคชันหรือที่อยู่ได้ง่าย   
เพียงกดปุ่มที่ด้านซ้ายบนของแอป จะมีปุ่มเมนู (รูปขีดสามขีด) ให้กดเข้าไปและเลือก ‘การแชร์ตำแหน่ง’ กดเลือก ‘เริ่มต้นใช้งาน’ สามารถเลือกกำหนดเวลาการแชร์โลเคชันได้ เช่น จะแชร์สองชั่วโมงก็ตั้งเวลาเอาไว้ จากนั้นกดเลือกคนที่ต้องการแชร์โลเคชันไปให้ เมื่อเพื่อนกดยอมรับแล้วก็จะเห็นโลเคชันของกันและกันทั้งสองฝ่าย

3.   สามารถสำรวจหาปั๊มน้ำมันหรือร้านอื่นๆ ในเส้นทางได้
นอกจากจะเป็นตัวช่วยนำทางไปยังสถานที่ต่างๆ แล้ว Google Maps ยังมีฟีเจอร์ ‘สำรวจ (explore)’ ให้สามารถค้นหาสถานที่ที่ต้องการและอยู่ในเส้นทางได้อีกด้วย อย่างเช่น ร้านอาหาร, ร้านกาแฟ หรือปั๊มน้ำมัน โดยสามารถกดที่ปุ่มค้นหาได้ที่แว่นขยาย ในขณะที่อยู่ระหว่างใช้แอปพลิเคชันนำทาง

4.   ตั้งค่าเส้นทางให้เลี่ยงทางด่วน
นอกจากจะสามารถเลือกเส้นทางที่หลีกเลี่ยงทางด่วนได้แล้ว ขณะที่กดค้นหาเส้นทาง ยังสามารถกำหนดค่าให้ Google Map ค้นหาเส้นทางที่หลีกเลี่ยงเส้นทางตามที่ตั้งค่าไว้ได้ด้วย โดยหลังจากระบุจุดปลายทางที่จะไปแล้ว ตัวแอปฯ จะมีปุ่มสัญลักษณ์ จุดสามจุด ที่ด้านขวา ให้กดเข้าไปและเลือก ‘ตัวเลือกเส้นทาง (Route options)’ ก็จะสามารถตั้งค่าได้ตามต้องการ

 
5.   สามารถวัดระยะทางในจุดที่ต้องการได้
เมื่อต้องการวัดระยะทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง สามารถแตะค้างที่ตำแหน่งจุดเริ่มต้น จากนั้นให้แตะปุ่ม Dropped Pin ด้านล่างแล้วเลือก “Measure distance” จากนั้นเลื่อนหน้าจอเพื่อกำหนดว่าต้องการวัดระยะทางจนถึงตำแหน่งไหน สามารถแตะปุ่ม + ที่มุมขวาเพื่อเพิ่มตำแหน่งอื่น ๆ มากกว่าหนึ่งตำแหน่งได้ โดยระยะทางที่วัดได้จะถูกแสดงที่มุมซ้ายล่าง


6.   เพิ่มจุดหมายได้หลายตำแหน่ง
บางครั้งอาจจำเป็นจะต้องเดินทางไปในหลายจุดหมาย ผู้ขับขี่ต้องการกำหนดระยะเวลาและเส้นทางที่จะไปได้อย่างแม่นยำ ก็สามารถกดค้นหาสถานที่และเพิ่มจุดแวะที่ต้องการได้ โดยกำหนดตำแหน่งจุดเริ่มต้นแล้วแตะปุ่มรูปรถยนต์เพื่อสร้างเส้นทาง แต่ก่อนที่จะเข้าสู่โหมดนำทางให้เปิดเมนูมุมขวาบนแล้วเลือก Add stop หรือ เพิ่มจุดแวะ จากนั้นให้เลือกจุดหมายที่ต้องการ ซึ่งสามารถเพิ่มจุดหมายได้หลายตำแหน่งแบบไม่จำกัด โดยสามารถแตะที่จุดหมายค้างแล้วเลื่อนขึ้น-ลงเพื่อกำหนดลำดับก่อน-หลังได้

7.   เปิดแผนที่พร้อมภาพ STREET VIEW ในหน้าจอเดียว
หมดปัญหากับการขับรถหรือเดินไปถึงที่หมายตาม Maps แล้วพบว่า เป็นคนละสถานที่ตามต้องการ ด้วยฟีเจอร์ที่สามารถเปิดได้ทั้งแผนที่และภาพจาก Street View ให้ดูไปพร้อมกันได้ โดยเมื่อเข้าแอป Google Maps มาแล้วให้กดที่ปุ่มรูปสี่เหลี่ยมซ้อนกันตรงมุมขวาบน จากนั้นกดเลือกที่ Street View แล้วกลับออกมาที่หน้าจอเดิม (จะเห็นว่าตรงถนนมีเส้นสีฟ้าพาดอยู่) จากนั้นก็ค้นหาจุดหมายที่เราต้องการตามปกติ เมื่อได้แล้วก็แตะค้างเอาไว้ตรงจุดที่ต้องการจะไป จะมีภาพ Street View โผล่ขึ้นมาตรงมุมซ้ายล่าง เท่านี้ก็จะมีภาพของถนนบริเวณนั้นโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอครึ่งบน ในขณะที่หน้าจอครึ่งล่างเป็นแผนที่ตามปกติ และยังสามารถแตะค้างที่เส้นถนนบนแผนที่เพื่อไปยังบริเวณที่ต้องการก็ได้ หรือจะกดที่ลูกศรบน Street View เพื่อค่อย ๆ ขยับไปบนถนนเพื่อหาจุดหมายที่ต้องการได้
 
8.   ใช้สำหรับจำจุดจอดรถ
เป็นฟีเจอร์ที่เหมาะกับคนขี้ลืม เมื่อต้องไปเที่ยวตามสถานที่ที่ต้องจอดรถในลานกว้าง ๆ แล้วมักจะลืมทุกครั้งว่าจอดรถยนต์ไว้ตรงไหน โดยเมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่เปิด Google Maps ขึ้นมาแล้วแตะตรงจุดสีฟ้าซึ่งก็คือตำแหน่งปัจจุบันที่จอดรถไว้ จากนั้นก็กดที่ Save parking เมื่อถึงเวลาที่กลับมาที่จอดรถอีกครั้ง เพียงแค่เปิด Google Maps ดู ก็จะเจอกับเครื่องหมาย P อยู่บนแผนที่ ซึ่งเป็นจุดจอดรถที่ได้บันทึกเอาไว้ โดยฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะลานจอดรถนอกอาคารเท่านั้น หากเป็นการจอดรถในตึกแนะนำให้ถ่ายรูปเอาไว้แทนนะ ว่าจอดตรงชั้นไหนล็อคไหน) หากต้องการลบจุดจอดรถออกก็แตะไปที่ P แล้วกด Clear ได้เลย

ช่วยให้คุณหมดกังวล กับการเดินทางในเมืองกรุงที่มีปัญหาจราจรบนท้องถนนแทบทุกวัน เลือกทำประกันภัยรถยนต์คนกรุง ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี  ทั้งแบบรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางรถยนต์ (Roadside Assistance Service) สำหรับคุณโดยเฉพาะ สนใจรายละเอียดประกันภัย คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

67
แม้สถานการณ์น้ำมันโลกจะเริ่มขยับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ราคาน้ำมันก็ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจและการลดอัตราการผลิตของกลุ่มผู้ค้าน้ำมัน พลังงานทางเลือกสำหรับรถยนต์ จึงเป็นทางออกสำหรับราคาน้ำมันที่แพงขึ้น และยังเป็นตัวช่วยสำคัญในการลดมลภาวะให้กับโลกอีกด้วย ซึ่งนอกจากรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของผู้ขับขี่รถยนต์แล้ว ยังมีรถยนต์พลังงานทางเลือกอีกหลายประเภทที่ตอบโจทย์คนรักสิ่งแวดล้อมได้ มีอะไรบ้าง
 
1.   รถยนต์พลังงานไฟฟ้า

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกแรกที่หลายคนนึกถึง เพราะไม่เพียงมีมาตรการและส่วนลดหลายอย่างที่ดึงดูดให้คนใช้รถตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า แต่รถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีการปล่อยควันเสีย ส่งผลดีต่อสภาพอากาศ และประหยัดเงินค่าน้ำมันในกระเป๋าได้มากขึ้น (รถยนต์ EV ประหยัดเงินได้เท่าไหร่? ชาร์จไฟอย่างไรให้คุ้ม? https://www.smk.co.th/newsdetail/2923) เนื่องจากสามารถชาร์จพลังงานจากที่บ้านได้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าปกติก็ตาม (รถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท? ประเภทรถไฟฟ้าแบบไหนที่เหมาะ? https://www.smk.co.th/newsdetail/2873)

2.   รถยนต์พลังงานโซลาร์เซลล์

รถยนต์พลังงานโซลาร์เซลล์นับเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการใช้รถยนต์พลังงานสะอาด แต่ในปัจจุบันอาจจะมีผู้ผลิตน้อยกว่าพลังงานไฟฟ้า แต่จุดเด่นที่สำคัญ คือ การชาร์จพลังงานทำได้ไม่จำกัด โดยเฉพาะในวันที่มีแดดแรง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาให้แผงโซลาร์เซลล์มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้รถยนต์สามารถวิ่งได้ไกลขึ้น
ปัจจุบันรถยนต์พลังงานโซลาร์เซลล์เริ่มมีวางจำหน่ายแล้วในยุโรป โดยบริษัท Lightyear สตาร์ตอัปจากเนเธอร์แลนด์ ผู้พัฒนารถ EV พลังงานแสงอาทิตย์รายแรกของโลก ซึ่งกำลังจะเริ่มส่งมอบรถให้ลูกค้าได้ในปลายปี 2022 โดย Lightyear ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 และมุ่งมั่นพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่มีแผงโซลาร์เซลล์ติดตั้งมาบนฝากระโปรงรถและหลังคาซึ่งการได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ทั้งวัน ทำให้สามารถขับรถยนต์ได้ไกลถึง 70 กิโลเมตร
 
สำหรับรถ EV พลังงานโซลาร์เซลล์ที่บริษัทเปิดตัวคันแรกนั้นมีชื่อรุ่นว่า Lightyear 0 ซึ่งผลิตขึ้นที่ประเทศฟินแลนด์โดย Valmet Automotive มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 250,000 ยูโร หรือราว 9.1 ล้านบาท มีคุณสมบัติหลักๆ คือ นอกจากจะใช้พลังงานจากการชาร์จผ่านระบบไฟฟ้าปกติแล้ว ยังสามารถรับพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าให้กับรถได้อีกด้วย

Lightyear 0 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 60 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ที่ทำให้การชาร์จไฟฟ้าปกติ 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ไกล 625 กิโลเมตร (ตามมาตรฐานการวัด WLTP) แต่หากชาร์จผ่านแผงโซลาร์เซลล์เต็มวัน (ในสภาพที่ได้รับแดดเต็มที่) จะสามารถวิ่งได้สูงสุด 70 กิโลเมตร หรือหากเป็นสภาพอากาศแบบมีเมฆปกคลุมก็ยังได้รับพลังงานที่ทำให้รถยนต์สามารถวิ่งได้ไกลถึง 35 กิโลเมตรต่อวัน

3.   รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน

รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน หรือ Full Cell Electric Vehicles (FCEVs) เป็นการใช้พลังงานแบบเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel cell) โดยมีถังเก็บไฮโดรเจนซึ่งจะถูกป้อนเข้าเซลล์เชื้อเพลิงด้วยแรงดันสูงเพื่อไปผสมกับออกซิเจนทำให้เกิดปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีเพื่อป้อนให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าและนำไปใช้ในการขับเคลื่อนตัวรถ ซึ่งการใช้พลังงานในลักษณะนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยใช้พลังงานจากไฮโดรเจนมาช่วยในการสร้างพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าแทน

ในกระบวนการสร้างไฟฟ้าของ FCEVs จะไม่ปล่อยไอเสียที่เป็นพิษออกมาแม้แต่น้อย ผลที่ได้เพียงอย่างเดียวของกระบวนการทั้งหมด คือน้ำและความร้อนอันเป็นผลมาจากการผสมของอะตอมไฮโดรเจนและออกซิเจน ทำให้เกิดเป็นโมเลกุลของ H2O ซึ่งก็คือน้ำนั่นเอง
 
ปัจจุบัน รถยนต์ไฮไดรเจนที่ถูกจัดอันดับว่าวิ่งได้ไกลที่สุดคือ Hyundai Nexo (จากข้อมูลของเว็บ Carguide) ที่ภายในตัวรถมีถังเก็บไฮโดรเจนความจุ 156.5 ลิตร ทำให้รถวิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 660 กิโลเมตรต่อก๊าซหนึ่งถัง ในขณะที่ Tesla Model S ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าที่ดีที่สุดของ Tesla  สามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 637 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ซึ่งระยะทางไกล้เคียงกันอย่างมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น จำนวนผู้โดยสาร การเปิดหรือปิดเครื่องปรับอากาศ การใช้งานอุปกรณ์อื่น ๆ ในรถ น้ำหนักบรรทุกของ รูปแบบการขับขี่ รถวิ่งขึ้นถนนที่ลาดชันหรือจอดติดอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งตัวแปรเหล่านี้ จะทำให้ประสบการณ์การใช้งานของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน

สำหรับการเติมพลังงานของรถยนต์ไฮโดรเจน พบว่า จะใช้เวลาในการสูบก๊าซเข้าไปในถังเก็บ อยู่ที่ประมาณ 5-10 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่ใกล้เคียงกันกับรถที่เติมน้ำมัน ส่วน Supercharger ของ Tesla ใช้เวลา 15 นาที ในการชาร์จรถให้ได้แบตเตอรี่ที่ 60-70 เปอร์เซ็นต์ นั่นแปลว่า ถ้าไม่ใช่ Tesla Supercharger เป็นหัวชาร์จของแบรนด์อื่น อาจจะใช้เวลามากกว่านี้ และนั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมสถานีชาร์จถึงต้องมีมากกว่าสถานีเติมไฮโดรเจน เนื่องจากต้องใช้เวลาในการชาร์จมากกว่า

4.   รถยนต์พลังงานลม

รถยนต์พลังลม หรือ “air pod” ออกแบบโดยบริษัท MDI (Motor Development International) ที่ขับเคลื่อนด้วย “พลังงานลม” ทำให้ไม่เกิดมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีที่นั่งสำหรับผู้ใหญ่ 3 ที่และที่นั่งเด็กอีก 1 ที่ ควบคุมล้อด้านหน้าด้วย Joystick ผลิตและขายโดย Tata Motors บริษัทสัญชาติอินเดีย มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ $10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 316,625 บาท) โดยมีล้อหน้าเพียงล้อเดียว แต่ก็มีบางรุ่นที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มี 4 ล้อด้วย
 
รถยนต์ Air Pod สามารถทำความเร็วได้สูงสุดระหว่าง 45 ถึง 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และยังสามารถเดินทางได้ไกลถึง 225 กิโลเมตร สำหรับการเติมลมเต็มถังขนาด 46 แกลลอน 1 ครั้ง ซึ่งจะใช้เวลา 8 ชั่วโมงหรือ หากบริการผ่านสถานีเติมอากาศจะใช้เวลาเพียง 2 นาที เท่านั้น

อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นเรื่องไม่คาดคิด ต่อให้ใช้รถยนต์ประเภทใดอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นได้ เลือกทำประกันรถยนต์ที่ช่วยลดทุกความเสี่ยงภัยบนท้องถนน ประกันภัยรถยนต์คนกรุง ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี  ไม่ว่าจะรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางรถยนต์ (Roadside Assistance Service) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596  Line : @smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่  https://smkinsurance.blogspot.com

68
การตัดสินใจซื้อรถยนต์หนึ่งคันในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคือง ย่อมมีหลายปัจจัยให้ต้องคิดทบทวนรวมไปถึงอัตราผ่อนชำระในแต่ละเดือนที่อาจสร้างผลกระทบให้กับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (พักชำระหนี้รถยนต์สู้โควิด มีที่ไหนบ้าง? เช็กเลย!!! https://www.smk.co.th/newsdetail/1572) ซึ่งโดยปกติแล้ว การเช่าซื้อรถยนต์หรือผ่อนชำระกับไฟแนนซ์จะเป็นการคิดดอกเบี้ยในอัตราคงที่ (Flat Rate) ต่างจากการซื้อบ้านที่เป็นการคิดดอกเบี้ยตามอัตราเงินต้นที่คงเหลือ
 
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์ และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 (ฉบับใหม่) ให้คิดดอกเบี้ยแบบ “ลดต้น ลดดอก” มีผลบังคับใช้ในอีก 90 วัน นับแต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.   กำหนดสินเชื่อเช่าซื้อ รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์คิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก โดยคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวดตามกลไกตลาด โดยคำนวณเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี
-   กรณีรถยนต์ใหม่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 10 ต่อปี
-   กรณีรถยนต์ใช้แล้วต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี
-   กรณีรถจักรยานยนต์ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 23 ต่อปี
(คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาอาจปรับเปลี่ยนให้ลดลง หรือเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศในทุก 3 ปี)

2.   กรณีผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อรายงวด 3 งวดติดๆ กัน และผู้ให้เช่าซื้อมีหนังสือบอกกล่าวผู้เช่าซื้อให้ใช้ค่าเช่าซื้อรายงวดที่ค้างชำระนั้นภายในเวลาอย่างน้อย 30 วันนับแต่วันที่ผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือ และผู้เช่าซื้อละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าวนั้น ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้

3.   ก่อนนำรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ออกขายโดยวิธีประมูล หรือวิธีขายทอดตลาดที่เหมาะสม
-   ผู้ให้เช่าซื้อต้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน (ถ้ามี) ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน เพื่อให้ผู้เช่าซื้อใช้สิทธิซื้อก่อนภายในระยะเวลา 20 วัน ได้ตามมูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ
-   ผู้ให้เช่าซื้อต้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน (ถ้ามี) ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนวันประมูล หรือวันขายทอดตลาด พร้อมระบุชื่อผู้ทำการขาย วัน และสถานที่ที่ทำการขาย, ห้ามปรับลดราคาเว้นแต่จะได้มีหนังสือแจ้งราคาที่จะปรับลดนั้นให้ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันทราบก่อน, หากได้ราคาเกินกว่ามูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อต้องคืนเงินส่วนที่เกินให้แก่ผู้เช่าซื้อ แต่ถ้าได้ราคาน้อยกว่ามูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดในส่วนที่ขาด, ผู้ให้เช่าซื้อต้องไม่เข้าสู้ราคาไม่ว่าโดยวิธีประมูล หรือวิธีขายทอดตลาด

4.   กรณีผู้เช่าซื้อประสงค์จะขอชำระเงินค่าเช่าซื้อทั้งหมดในคราวเดียว เพื่อปิดบัญชีค่าเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องให้ส่วนลด
-   กรณีชำระค่างวดมาแล้วไม่เกิน 1 ใน 3 ของค่างวดเช่าซื้อที่ระบุไว้ในสัญญาให้ได้รับส่วนลดในอัตราไม่น้อยกว่า 60 % ของดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ
-   กรณีชำระค่างวดมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 แต่ไม่เกิน 2 ใน 3 ของค่างวดเช่าซื้อที่ระบุไว้ในสัญญาให้ได้รับส่วนลดในอัตราไม่น้อยกว่า 70 ของดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ
-   กรณีชำระค่างวดมาแล้วเกินกว่า 2 ใน 3 ของค่างวดเช่าซื้อที่ระบุไว้ในสัญญาให้ได้รับส่วนลดทั้งหมดของดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ

อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกต่างกับอัตราดอกเบี้ยคงที่อย่างไร?[/b]]อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกต่างกับอัตราดอกเบี้ยคงที่อย่างไร?

การซื้อรถยนต์แบบผ่อนชำระจะมีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบ “ลดต้นลดดอก” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า  Effective Rate หมายถึง ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณมาจากเงินต้น เมื่อเงินต้นลดลง ดอกเบี้ยก็จะลดลงตามไปด้วย  ซึ่งต่างจากวิธีการคิดดอกเบี้ยในอดีตที่คิดจากมูลค่าเงินต้นเต็มจำนวน หรือ Flat Rate  .ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกจะคิดจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวด โดยหลักการของการลดต้นลดดอก จะคิดดอกเบี้ยจากจำนวนเงินต้นที่เหลืออยู่ ยิ่งเงินต้นลดลง ดอกเบี้ยก็จะลดลงตาม ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากการคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกมากยิ่งขึ้นเมื่อมีการโปะชำระหรือจ่ายค่าผ่อนเพิ่ม จะทำให้ดอกเบี้ยถูกลง และร่นระยะเวลาผ่อนหนี้ให้หมดเร็วขึ้น

รถที่ผ่อนอยู่ คิดดอกเบี้ยแบบ“ลดต้น-ลดดอก” ได้ไหม?[/b]]รถที่ผ่อนอยู่ คิดดอกเบี้ยแบบ“ลดต้น-ลดดอก” ได้ไหม?

คนที่ซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์แล้วอยู่ระหว่างผ่อนชำระค่างวด ก่อนที่ประกาศราชกิจจาฯ มีผลบังคับใช้ จะไม่ได้รับสิทธิ์คิดดอกเบี้ยแบบลดต้น-ลดดอก ซึ่งโดยปกติแล้วสัญญาเก่าที่เกิดขึ้นก่อนที่กฎหมายจะบังคับใช้จะเป็นไปตามสัญญาที่ทำกันมาก่อน ซึ่งกฎหมายใหม่จะใช้กับสัญญาใหม่ที่ทำขึ้นหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สัญญาเช่าซื้อรถยนต์-รถจักรยานยนต์ ที่ทำขึ้นก่อนที่กฎหมายจะบังคับใช้ จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้เช่าซื้อและผู้ขายที่ทำสัญญากันว่าจะตกลงทำสัญญากันใหม่หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจตนาของทั้งคู่ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตามรายละเอียดของประกาศที่ระบุไว้ใน ข้อ 7 บรรดาสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ผู้ประกอบธุรกิจได้ทำกับผู้บริโภคตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2561 ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ให้คงใช้บังคับได้ต่อไป
 
เพราะเราเข้าใจ...ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ช่วยให้คุณจ่ายสบายด้วยเบี้ยเบาๆบรรเทาภาระในยามวิกฤต กับประกันรถยนต์ตามเวลา สู้ภัยโควิด-19 เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร.1596  Line : @smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่  https://smkinsurance.blogspot.com

69
“ใบขับขี่รถยนต์” นับเป็นเอกสารสำคัญสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ทุกประเภทต้องมีติดตัวไว้ทุกครั้งขณะขับรถตาม กฎหมาย (ทำใบขับขี่รถแต่ละประเภทต้องอายุเท่าไร? https://www.smk.co.th/newsdetail/2950) แต่มีหลายครั้งที่อาจหลงลืมนำติดตัวไปด้วยหรือใบอนุญาตขับรถยนต์อาจหมดอายุ และต้องได้รับโทษปรับหรือจำคุกหากถูกเรียกตรวจ หากไม่มีใบขับขี่รถยนต์ขณะขับขี่หรือใบขับขี่หมดอายุ จะต้องเสียค่าปรับอย่างไร เท่าไรบ้าง
 
ในทางกฎหมายแล้ว ได้กำหนดบทลงโทษกรณีไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์ไว้ใน พรบ. 2 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 บังคับใช้กับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ทั่วไป และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. 2522 บังคับใช้กับรถบรรทุก หรือรถขนาดใหญ่เพื่อการพาณิชย์ (https://www.dlt.go.th/th/dlt-knowledge/view.php?_did=114) ซึ่งได้กำหนดบทลงโทษไว้ดังนี้

1.   ไม่มีใบขับขี่รถยนต์
หากขับรถแต่ไม่มีใบขับขี่ จะถูกปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือจำคุก 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 64 ความว่า “ผู้ใดขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

2.   ไม่มีใบขับขี่ มอเตอร์ไซค์
ส่วนใหญ่ตามมาตรฐานของค่าปรับ ในพื้นที่ต่างจังหวัดหากขับรถมอเตอร์ไซค์โดยไม่มีใบขับขี่ จะถูกปรับอยู่ประมาณ 200 - 400 บาท แต่ในกรุงเทพและปริมณฑล ค่าปรับจะสูงกว่า เฉลี่ยอยู่ที่ 500 บาท

3.   ไม่แสดงใบขับขี่
ข้อกำหนดเรื่องอัตราค่าปรับที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ระบุว่า ผู้ขับขี่ที่ไม่ได้พกใบอนุญาตขับขี่ตัวจริง หรือใบสำเนา สามารถยื่นแสดงใบขับขี่ดิจิทัลแทนได้ แต่หากไม่มีหลักฐานใด ๆ ก็ตามที่จะแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ว่าเป็นผู้ที่ถือใบอนุญาตขับขี่จริง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1 พันบาท

4.   ขับรถขณะใบขับขี่หมดอายุ
การขับขี่ในระหว่างที่ใบขับขี่หมดอายุ ถูกพักใช้ ถูกเพิกถอน หรือถูกยึดใบอนุญาตขับขี่ จะต้องถูกระวางโทษปรับไม่เกิน 2 พันบาท ตามที่ระบุเอาไว้ในมาตรา 65

5.   ผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะไม่มีใบขับขี่
หากผู้ประกอบการยินยอมให้ผู้ไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตามที่ระบุเอาไว้ในมาตรา 56 ประกอบ มาตรา 60

6.   ประจำรถสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ได้กำหนดโทษไว้ตามมาตรา 151 ความว่า “ผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา 93 วรรคหนึ่ง (ห้ามมิให้ผู้ใดปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท แต่ถ้าผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหน้าที่ผู้ขับรถต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
 
การชำระค่าปรับใบขับขี่ 2565
มาตรา 141 ระบุเอาไว้ว่า เมื่อผู้ขับขี่ เจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถได้รับใบสั่งตามมาตรา 140 แล้ว ให้ชำระค่าปรับภายในเวลาที่กำหนดไว้ในใบสั่ง ด้วยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

1.   ชำระค่าปรับโดยการส่งธนาณัติหรือการส่งตั๋วแลกเงินของธนาคารโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนสั่งจ่ายให้แก่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยสำเนาใบสั่งไปยังสถานที่ที่ระบุไว้ในใบสั่ง หรือโดยวิธีการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเครดิต หรือวิธีการอื่น โดยผ่านธนาคารหรือหน่วยบริการรับชำระเงิน ตามจำนวนที่ระบุไว้ในใบสั่ง ทั้งนี้ ตามระเบียบที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนด

2.   ชำระค่าปรับที่สถานีตำรวจ โดยชำระตามจำนวนที่กำหนดไว้ในใบสั่งหรือตามจำนวนที่พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบ และในกรณีนี้ ให้พนักงานสอบสวนทุกท้องที่มีเขตอำนาจในการเปรียบเทียบปรับได้ทั่วราชอาณาจักร เมื่อผู้ได้รับใบสั่งได้ชำระค่าปรับครบถ้วนถูกต้องแล้ว ให้คดีเป็นอันเลิกกัน

ค้างชำระค่าปรับต้องทำอย่างไร?

หากเจ้าของรถยังไม่ยอมชำระค่าปรับตามเอกสารที่ส่งไป ทางเจ้าพนักงานจราจรจะแจ้งจำนวนค่าปรับที่ค้างชำระพร้อมหลักฐานไปยังนายทะเบียน และให้นายทะเบียนตรวจสอบข้อมูล และมีอำนาจในการดำเนินการต่อดังนี้

•   แจ้งให้ผู้มาติดต่อขอชำระภาษีประจำปีสำหรับรถคันนั้นไปชำระค่าปรับที่ค้างชำระภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
•   นายทะเบียนสามารถรับชำระภาษีประจำปีสำหรับรถคันนั้นไว้โดยออกหลักฐานชั่วคราวแทนการออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี โดยให้มีอายุสามสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนได้ออกให้
•   ในกรณีที่เจ้าของรถได้ชำระค่าปรับที่ค้างชำระครบถ้วนภายในระยะเวลาตามที่กำหนด ให้เจ้าของรถหรือตัวแทนนำหลักฐานแสดงการชำระค่าปรับที่ได้รับจากเจ้าพนักงานจราจร มาแสดงต่อนายทะเบียนเพื่อให้ออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปีสำหรับรถคันนั้น
•   กรณีที่เจ้าของรถหรือตัวแทนเจ้าของรถที่ได้รับหนังสือแจ้ง ประสงค์จะชำระค่าปรับในวันที่มาติดต่อขอชำระภาษีประจำปี ให้นายทะเบียนมีอำนาจรับชำระค่าปรับตามจำนวนที่ค้างชำระแทนได้ โดยให้นายทะเบียนรับชำระภาษีประจำปีสำหรับรถคันนั้นและออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปีให้เจ้าของรถหรือตัวแทนเจ้าของรถ
•   กรณีที่เจ้าของรถไม่ชำระค่าปรับที่ค้างชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้เจ้าพนักงานจราจรแจ้งนายทะเบียนให้งดการออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปีสำหรับรถคันนั้น และแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป
ค่าปรับใบขับขี่รถยนต์ 2565 เป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถยนต์ควรรู้และปฏิบัติตาม และต้องคอยตรวจสอบวันหมดอายุใบขับขี่อยู่เสมอ เพื่อที่เวลาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจจะได้มีหลักฐานแสดงว่า ได้รับอนุญาตให้ขับรถได้จริง เพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฎจราจร ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและการเสียค่าปรับได้
 
แต่ต่อให้ระวังดีแค่ไหนอุบัติเหตุก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการเดินทางในเมืองกรุงที่มีปัญหาจราจรบนท้องถนน เลือกทำประกันรถยนต์ ด้วยประกันภัยรถยนต์คนกรุง เป็นผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596  Line : @smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่  https://smkinsurance.blogspot.com

70
“วิทยุติดรถยนต์” หรือ “เครื่องเสียงในรถยนต์” เป็นอีกหนึ่งความบันเทิงที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนเมื่อยามต้องเจอกับสภาพการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนแบบไม่ขยับ (กทม. อ่วมรับวันจันทร์! ฝนตกหนัก น้ำท่วมขังหลายเส้นทาง https://www.tnnthailand.com/news/earth/126826/) และเตรียมขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐและเอกชน Work From Home หรือ กลับบ้านเร็วขึ้นช่วง 5-7 ต.ค.นี้ เพื่อรับกับมือเหตุ "ฝนตกหนัก" แล้ววิทยุติดรถยนต์ เครื่องเสียงติดรถยนต์ มีทั้งหมดกี่ประเภท ยี่ห้อไหนบ้าง
 
วิทยุติดรถยนต์ เครื่องเสียงติดรถยนต์ มี่กี่ประเภท?

เครื่องเสียงรถยนต์มีทั้งแบบกดปุ่มและแบบจอสัมผัสติดรถยนต์ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีชื่อเรียกแตกต่างกัน ได้แก่

1.   เครื่องเสียงติดรถยนต์ 1 DIN คือ ขนาดของตัวเล่น DVD ที่มีขนาด 178 × 50 mm เป็นเครื่องเสียงติดรถยนต์รุ่นเก่า ๆ ที่มีเครื่องเล่นเพียงอย่างเดียว ไม่มีจอสัมผัสหรือลูกเล่นอื่นๆ เพิ่มเติม
2.   เครื่องเสียงติดรถยนต์ 2 DIN คือ ขนาดของตัวเล่น DVD ขนาด 2 เท่าของ 1 DIN เป็นเครื่องเสียงติดรถยนต์ในรถรุ่นใหม่ๆ ที่มีจอทัชสกรีนและฟังค์ชันเสริมอื่นๆ เพิ่มเติม

วิทยุ/เครื่องเสียงติดรถยนต์ ประกอบด้วยอะไรบ้าง

1.   เครื่องเล่นวิทยุ เป็นอุปกรณ์ชิ้นแรกที่เชื่อมต่อไปยังระบบเครื่องเสียงต่างๆ ภายในรถยนต์ โดยสามารถทำรายการได้หลากหลาย เช่น ฟังวิทยุ ดูหนัง เล่นแผ่นซีดี เล่นเพลงจาก USB เชื่อมต่อบลูทูธกับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน หรือใช้ต่อภาพหน้าจอเป็นกล้องหลังรถก็ได้

2.   ปรีแอมป์ (Pre Amp) คือ อุปกรณ์ตัวแรกที่รับสัญญาณจากเครื่องเล่นวิทยุ มีหน้าที่ขยายสัญญาณในระดับต่ำ เพื่อให้มีระดับเสียงที่เหมาะสมมากขึ้น ทั้งยังทำหน้าที่ขยายสัญญาณพร้อมการปรับแต่งเสียงให้ลงตัวยิ่งขึ้น

3.   ครอสโอเวอร์ (Crossover) อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่จ่ายสัญญาณความถี่เสียง รวมไปถึงควบคุมและแบ่งแยกย่านความถี่ให้เหมาะสมกับลำโพงแต่ละประเภท และตัดความถี่เสียงที่ไม่ต้องการออกไป หรือ เรียกง่ายๆ ว่าเป็นเครื่องแบ่งความถี่เสียง ทั้งเสียงทุ้ม เสียงกลาง และเสียงแหลมนั่นเอง

4.   Power Amp (เพาเวอร์แอมป์) เครื่องขยายสัญญาณเสียง ทำหน้าที่เปลี่ยนหรือเพิ่มความกว้างของคลื่นเสียง หรือความดังของสัญญาณให้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีการแยกคลาส (Class) ให้เหมาะกับลำโพงแต่ละประเภทอีกด้วย ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม มักติดตั้งไว้ใต้เบาะนั่ง กระโปรงหลัง หรือติดตั้งแอมป์แร็คไว้รองรับกรณีใช้งานหลายเครื่อง

5.   ลำโพงหรือสปีคเกอร์ (Speaker) คือ ตัวแปลงสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นเสียง ซึ่งได้รับกำลังมาจากเครื่องเล่นวิทยุ และอุปกรณ์ขยายสัญญาณต่างๆ ก่อนหน้านี้ มีหลายประเภท หลายรุ่น ให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสม เช่น ลำโพงแกนร่วม ลำโพงแยกชิ้น ลำโพงเสียงสูง ลำโพงเสียงกลาง ลำโพงเสียงต่ำ ลำโพง 6×9 นิ้ว หรือลำโพงซับวูฟเฟอร์ ที่เน้นให้แต่เสียงทุ้ม เสียงเบสอย่างเดียว
 
เครื่องเสียงติดรถยนต์ ยี่ห้อไหนดี 2022

1.   Pioneer รุ่น AVH-Z5250BT

เครื่องเสียงรถยนต์รุ่น AVH-Z5250BT จาก PIONEER เป็นรุ่นที่ถือได้ว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากสามารถเล่นเพลงหรือวิดีโอได้ด้วยคุณภาพระดับพรีเมียม รองรับการเชื่อมต่อแบบบลูทูธได้ถึง 2 เครื่องพร้อมกัน เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ 6.8 นิ้ว เป็นเครื่องเสียงรถยนต์ 2 din ที่สามารถทำให้กดใช้งานปุ่มต่าง ๆ บนหน้าจอได้อย่างสะดวก และสามารถมองเห็นภาพบนหน้าจอได้อย่างคมชัดมากขึ้น ใครที่ชอบใช้แอพลิเคชันต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Youtube, Spotify, Apple Carplay หรือ Android Auto ก็สามารถใช้บนเครื่องเสียงติดรถยนต์รุ่น AVH-Z5250BT ได้เช่นกัน

2.   Worldtech รุ่น WT-A803

ด้วยฟังก์ชันฟังก์ชันการเล่นเพลง, วิดีโอ และ วิทยุ FM ซึ่งมาพร้อมกับการใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน WiFi ที่เชื่อมต่อจากโทรศัพท์ ของเครื่องเสียงติดรถยนต์ Worldtech รุ่น WT-A803 ซึ่งทำให้สามารถ ฟังเพลง ดูละคร ดูซีรีส์ ด้วยขนาดหน้าจอติดรถยนต์ที่กว้างถึง 7 นิ้ว ทำให้สามารถดูได้อย่างสบายตา หรือใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย หรือหากอยากจะใช้ดูแผนที่ GPS ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

3.   Alpine รุ่น iLX-W650E

ALPINE รุ่น iLX-W650E ถือเป็นหนึ่งใน เครื่องเสียงติดรถยนต์ ที่มีฟังก์ชันการรับคำสั่งด้วยเสียง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถออกคำสั่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์ หาเส้นทาง เขียนข้อความ บอกสภาพอากาศ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยไม่ต้องละสายตาจากท้องถนน นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันที่รองรับการทำงานร่วมกับ Apple CarPlay และ Android Auto ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ได้ง่ายดายมากขึ้น โดย ALPINE รุ่น iLX-W650E นี้ ยังมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 7 นิ้ว เรียกได้ว่าใช้ดูหนัง ซีรีส์ หรือละครต่าง ๆ ตอนฝนตกรถติดได้อย่างดี

4.   Kenwood รุ่น DMX1025BT

เครื่องเสียงรถ KENWOOD รุ่น DMX1025BT มีฟังก์ชันรองรับ Mirror Link เฉพาะแอนดรอยด์ ซึ่งทำให้สามารถควบคุมการทำงานต่าง ๆ ได้ผ่านหน้าจอโทรศัพท์ ตัวเครื่องยังสามารถอ่านไฟล์วิดีโอในความคมชัดระดับ Full HD และรองรับไฟล์เพลงได้อย่างหลากหลายไฟล์ ทั้ง .flac .wav (96 KHz/24 bit) โดยมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.8 นิ้ว
 
5.   Sony รุ่น DSX-A410BT

SONY รุ่น DSX-A410BT นอกจากจะมีขนาดเล็กะทัดรัดแล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อได้ทั้งแบบบลูทูธ, USB และ AUX IN ซึ่งทำให้สามารถเลือกใช้งานการเชื่อมต่อได้อย่างสะดวกสบาย เล่นไฟล์เสียงได้แบบคุณภาพสูง โดยไม่มีการบีบอัดเสียง นอกจากนี้เครื่องเสียงรถยนต์ SONY รุ่น DSX-A410BT ยังมีรีโมตควบคุมคำสั่ง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้สะดวกขึ้นและใช้งานในระยะไกลได้อีกด้วย
 
วิทยุในรถยนต์ หรือเครื่องเสียงติดรถยนต์ ถือเป็นอีกหนึ่งความบันเทิงที่ช่วยทำให้หายหงุดหงิดจากปัญหาการจราจรติดขัดได้ระหว่างการเดินทาง แต่ก็ควรขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างเต็มที่ ปลอดภัย และไม่ประมาท ยิ่งเป็นการเดินทางในเมืองกรุงที่มีปัญหาจราจรบนท้องถนน ยิ่งต้องเตรียมตัวรับมือให้พร้อม เลือกทำประกันรถยนต์ ด้วยประกันภัยรถยนต์คนกรุง ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596  Line : @smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่  https://smkinsurance.blogspot.com

71
เมื่อวิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด 19 การทำงานแบบ Work from Home เริ่มเข้ามาแทนที่การเข้าทำงานในออฟฟิศมากยิ่งขึ้น จนหลายแห่งมีนโยบาย Work from Anywhere ที่สามารถทำงานที่ไหน เมื่อไรก็ได้ ตราบเท่าที่มีผลงานตรงตามเป้าหมาย ทำให้จำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตัวไปทุกที่เพื่อความสะดวกในการทำงาน การทิ้งโน้ตบุ๊กไว้ในรถยนต์สามารถทำได้หรือไม่? แล้วมีสิ่งของอะไรบ้างที่ไม่ควรทิ้งไว้บนรถ
 
ควรเก็บโน้ตบุ๊กไว้ในรถยนต์ได้หรือไม่?
การเก็บโน้ตบุ๊กไว้ในรถยนต์นอกจากจะเสี่ยงต่อการถูกงัดหรือทุบกระจกรถเพื่อการโจรกรรมแล้ว หากต้องจอดตากแดดทิ้งไว้นานๆ ในรถยนต์ที่มีความร้อนพุ่งสูงขึ้น อาจส่งผลเสียต่ออุปกรณ์ต่างๆ ภายในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ไม่ว่าเป็น หน้าจอ แบตเตอรี่ หรือแม้แต่ตัวบอดี้ของโน้ตบุ๊กเอง จนอาจส่งผลทำให้เกิดการระเบิด หรือเกิดเพลิงไหม้ในรถยนต์ได้

เก็บรักษาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กได้อย่างไร?
การเก็บคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอย่างถูกวิธี นอกจากจะต้องห้ามทำตก ห้ามกระแทก ห้ามใช้งานหนักเกินกำลังของเครื่อง ห้ามปล่อยให้เครื่องอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิร้อนจัด และหมั่นเช็ดทำความสะอาดปัดฝุ่นอยู่เสมอแล้วนั้น ยังจะต้อง ดูแลรักษาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กด้วยวิธีดังนี้

•   เก็บใส่กระเป๋าโน้ตบุ๊กให้เรียบร้อย พร้อมตรวจสอบอุปกรณ์ที่ต้องใช้ เช่น ที่ชาร์จ อุปกรณ์เสริมต่างๆ ให้อยู่ครบพร้อมใช้งานเสมอ
•   หากกลัวเปียกน้ำ (อย่างช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือหน้าฝน) เพื่อความมั่นใจให้ใส่ลงในถุงพลาสติกซีลกันน้ำอย่างดี แล้วค่อยใส่กระเป๋าในโน้ตบุ๊กอีกที
•   ไม่ควรเปิดใช้โน้ตบุ๊กขณะที่กำลังขับรถอยู่ เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ ควรติดตั้งขายึดไว้ตรงคอนโซลรถแบบเดียวกับในรถตำรวจ (Cop Style Console) จะช่วยให้ใช้งานได้ปลอดภัยมากขึ้น แต่อาจมีค่าใช้จ่ายสูง
•   ปัจจุบันก็มีแท่นวางบนโน้ตบุ๊คบนตัก (Laptop Tray) หลายสไตล์ให้เลือกใช้ หรืออาจใช้ถาดตะแกรงที่วางเอกสารแทน จะช่วยระบายความร้อนให้กับโน้ตบุ๊กได้
•   ไม่ควรเก็บโน้ตบุ๊กไว้ที่กระโปรงหลัง เพราะอากาศร้อนบวกกับระยะเวลาในการเดินทาง จะทำให้คอมพิวเตอร์เกิดความร้อนจนแบตเตอรี่อาจเกิดเพลิงไหม้ได้
•   ไม่ควรวางไว้บนคอนโซลหน้า หรือคอนโซลหลัง เพราะเวลารถเบรกกะทันหันจะทำให้ตกหล่นเสียหายได้
•   ระหว่างขับรถ ควรวางโน้ตบุ๊กไว้ด้านขวาหลังเบาะคนขับจะได้ไม่เกะกะเวลาลงจากรถ ช่วยให้คนที่นั่งเบาะหลังสะดวกเวลาลงจากรถ สามารถลงด้านซ้ายได้
•   เมื่อต้องลงจากรถไปทำธุระไม่นาน อย่าประมาทเอาของมีค่าทิ้งไว้ในรถ โน้ตบุ๊กถือเป็นของมีค่าอย่างหนึ่งที่ถูกโจรกรรมบ่อยๆ ควรเอาใส่กระเป๋าคอมฯ และเก็บไว้ให้ลับสายตา แต่ถ้าต้องจอดรถทิ้งไว้กลางแจ้งนานๆ ควรหิ้วติดตัวไปด้วย จะได้ไม่เสี่ยงต่อความเสียหายที่เกิดจากความร้อนสะสมในรถ
 
ไม่ควรทิ้งสิ่งของอะไรไว้ในรถบ้าง?
สิ่งของบางอย่างไม่ควรเก็บไว้ในรถ เพราะจะส่งผลเสียทั้งกับสิ่งของนั้นและส่งผลเสียต่อตัวรถด้วย ได้แก่

1.   ไฟแช็ก เนื่องจากในไฟแช็กจะมีสารเคมีที่เป็นเชื้อเพลิงบรรจุอยู่ เมื่อถูกเก็บไว้ในรถที่ต้องจอดตากแดด จะทำให้สารเคมีเหล่านั้นเกิดการขยายตัวและระเบิดได้

2.   อุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่ อุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่ทุกชนิดเป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรทิ้งเอาไว้ในรถยนต์ ทั้ง โทรศัพท์ มือถือ พาวเวอร์แบงก์ แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก และอุปกรณ์อื่นๆ ที่มีแบตเตอรี่อยู่ภายใน เพราะแบตเตอรี่เป็นโลหะที่ไวต่อปฏิกิริยาทางเคมี ถ้าโดนความร้อนนานๆ จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพหรืออุปกรณ์เกิดความเสียหาย และยังเสี่ยงเกิดการลัดวงจรและระเบิดได้ด้วย

3.   สเปรย์กระป๋อง สเปรย์กระป๋องถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรเลี่ยงการเก็บไว้ในรถยนต์ เพราะในตัวกระป๋องจะมีสารเคมีและแก๊สอยู่ ถ้าโดนความร้อนมากๆ แก๊สและสารเคมีเหล่านั้นจะขยายตัว ทำให้เกิดประกายไฟและระเบิดขึ้นได้

4.   ขวดหรือกระป๋องเครื่องดื่ม ไม่ควรทิ้งเครื่องดื่มทุกชนิดไว้บนรถ ทั้ง น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ไปจนถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเมื่อทิ้งขวดหรือกระป๋องไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้ขวดหรือกระป๋องเกิดการระเบิด และทำให้รถเปื้อนได้ง่ายๆ รวมถึงความร้อนจะทำให้รสชาติของเครื่องดื่มเหล่านั้นเปลี่ยนไปด้วย

5.   ยา ควรเก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้อง ถ้าต้องเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงมาก จะทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง

6.   ยางลบ ในยางลบจะมีสารกลุ่ม Plasticizers อยู่ ซึ่งมีคุณสมบัติในการทำละลายพลาสติก เมื่อโดนความร้อนตัวยางลบจะคายสารกลุ่มนี้ออกมา ทำให้คอนโซนหรือส่วนอื่นๆ ในรถเกิดความเสียหาย

7.   น้ำแข็งแห้ง เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรเอาไว้ในรถ และเก็บแยกไปไว้ส่วนอื่นที่ไม่ใช่ห้องโดยสารเพื่อความปลอดภัย เพราะเมื่อน้ำแข็งแห้งเกิดการระเหิดจะก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องโดยสารหมดสติได้
 
เพิ่มความคุ้มครองให้คุณจากทุกเหตุการณ์ไม่คาดคิด เลือก ประกันภัยรถยนต์คนกรุง จากสินมั่นคงประกันภัย เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปี คุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี ไม่ว่าจะรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางรถยนต์ (Roadside Assistance Service)

สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่  https://smkinsurance.blogspot.com/

72
บ่อยครั้งที่อุบัติเหตุมักเกิดขึ้นจากความประมาทของผู้ขับขี่และผู้ร่วมใช้รถใช้ถนน แต่ส่วนหนึ่งที่เป็นปัญหานอกจากความประมาทแล้ว คือ ความไม่พร้อมของผู้ขับ ที่บางคนอาจอ่อนประสบการณ์บนท้องถนน หรือแม้แต่มีอายุไม่ถึงตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แล้วอายุเท่าไร จึงจะสามารถทำใบขับขี่รถยนต์แต่ละประเภทได้ตามกฎหมาย หรือหากฝ่าฝืนจะมีโทษอย่างไรบ้าง 

ทำใบขับขี่ได้ ต้องอายุเท่าไร?

กฎหมายว่าด้วยการทำใบขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นใบขับขี่รถยนต์ ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ หรือใบขับขี่รถสาธารณะ ผู้ขับขี่ต้องมีอายุตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ดังนี้

1.   ใบขับขี่รถยนต์
•   ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล (ชั่วคราว) ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป
•   ใบขับขี่รถยนต์สาธารณะ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปีบริบูรณ์

2.   ใบขับขี่รถจักรยานยนต์
•   ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ ความจุไม่เกิน 110 ซีซี.  ต้องมีอายุ 15 ปีขึ้นไป
•   ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล (ชั่วคราว) ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป
•   ใบขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์

3.   ทำใบขับขี่ อายุเท่าไหร่ สำหรับรถประเภทอื่น ๆ
•   ใบขับขี่รถบดถนน รถแทรกเตอร์ และรถชนิดอื่น ๆ ตามมาตรา 43 ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์
เมื่อเยาวชนขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาต
•   ถูกเรียกตรวจใบขับขี่ ถ้าไม่มีใบขับขี่ก็ถูกปรับตามกฎหมายกำหนด
•   ถูกตรวจสอบรถยนต์ อาจจะถูกจับเรื่องไม่ได้ต่ออายุ พ.ร.บ. เพิ่มเติมด้วย ซึ่งนำมาซึ่งความผิดอื่น ๆ จากตัวรถ เช่น การดัดแปลงตัวรถ ซึ่งผู้เยาว์อาจเกิดความสับสนเมื่อต้องตอบคำถามเกี่ยวกับกฎหมาย
•   เมื่อเกิดอุบัติเหตุ พ่อแม่ ต้องรับผิดเพราะเป็นผู้พิทักษ์ของผู้เยาว์ ส่วนเจ้าของรถตัวจริงหากไม่ใช่ผู้ปกครองก็ต้องมารับผิดชอบเรื่องความเสียหาย (แต่หากบริษัทประกันภัยตรวจสอบได้ว่าคนขับรถเป็นผู้เยาว์ ไม่มีใบขับขี่ ก็อาจจะมีผลต่อสัญญาเคลมประกัน เพราะถือว่าทำผิดต่อกฎหมาย)
 
ไม่มีใบขับขี่ โดนชน แจ้งเคลมได้ไหม?
ประเทศไทยมีการกำหนดกฎหมายเกี่ยวกับอายุของผู้เยาว์ที่อนุญาตให้มีใบขับขี่เพื่อขับรถยนต์ออกถนนใหญ่เองได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีเต็ม แต่ในความเป็นจริงพบว่า เด็กบางคนมีรูปร่างสูงใหญ่หรือมีร่างกายที่เอื้อต่อการเหยียบคันเร่ง หยิบจับปุ่มต่าง ๆ บังคับพวงมาลัยได้ตั้งแต่อายุน้อยกว่า 15 ปี แต่หากอายุไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนด จะไม่สามารถขอรับใบขับขี่ได้

หากเกิดเหตุที่เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี นำรถออกไปขับบนท้องถนนโดยที่ยังไม่มีใบขับขี่ แม้ว่ารถยนต์ทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ไว้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนเป็นเหตุให้รถคู่กรณีเสียหาย หรือแม้แต่รถของผู้เอาประกันเองก็ตาม ทางบริษัทฯ ประกันอาจจะพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่คู่กรณีทุกความคุ้มครอง ไม่ว่าจะมีคนเจ็บ หรือข้าวของในรถยนต์เสียหาย รถยนต์บุบพังเสียหาย จะได้รับความคุ้มครองทั้งหมด  แต่ตัวเจ้าของรถผู้เอาประกัน อาจต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าซ่อมรถหรือค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด เนื่องจากการทำสัญญากับบริษัทประกันภัยรถยนต์ จะต้องนำรถยนต์ไปใช้งานอย่างถูกกฎหมายเท่านั้น ซึ่งในที่นี้เมื่อผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่จะทำให้กลายเป็นทำผิดกฎหมายไปโดยปริยาย และผู้ปกครองจะมีโทษทางกฎหมายตามไปด้วย ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 829 ว่า

“บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริต ก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น”

แนวทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการเอาใจใส่ดูแลจากพ่อแม่ผู้ปกครอง พาไปสอบใบอนุญาตขับขี่ให้ถูกต้องตามกฎหมายเมื่อถึงวัยอันควร เพราะเมื่อผู้ขับขี่มีอายุถึงวัยอายุ 20 ปีบริบูรณ์นั่นหมายถึงมีความเป็นผู้ใหญ่เพียงพอในการตัดสินใจต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องถนน มีสติสัมปชัญญะในการแก้ไขปัญหา ควบคุมอารมณ์ ได้ และรู้ถึงกฎหมายจราจรเป็นอย่างดีอีกด้วย
 
อย่างไรก็ตามในการทำใบขับขี่ จะต้องมีการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย เข้ารับการอบรม ทดสอบข้อเขียน และทดสอบขับรถ หรือภาคปฏิบัติ อย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกรมขนส่งทางบก (จองคิวต่อใบขับขี่ออนไลน์ 2564 (2 ปี เป็น 5 ปี) ใช้อะไรบ้าง? ต้องอบรมไหม? https://www.smk.co.th/newsdetail/1686) และเพื่อให้คุณขับขี่ได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เลือกทำประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance และสามารถติดตามอ่านข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com/

73
ด้วยสภาพอากาศฝนตกหนักที่ยังคงมีอยู่ในทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ (อ่วมกันต่อ ! กรมอุตุฯ ชี้ ฝนจะตกหนักต่อเนื่องถึง 9 ก.ย. ทุกภาค แนะระวังน้ำท่วม https://hilight.kapook.com/view/226957) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำจนเป็นเหตุให้การเดินทางของประชาชนได้รับความลำบาก มีรถจักรยานยนต์และรถยนต์ขนาดเล็กได้รับความเสียหายเครื่องยนต์ดับกลางทาง (ขับรถลุยน้ำท่วม แล้วรถดับ ทำอย่างไร ? https://www.smk.co.th/newsdetail/2947) แล้วในกรุงเทพมหานครพื้นที่ใดบ้างที่เป็นจุดเสี่ยงน้ำท่วมขังบนพื้นผิวจราจร
 
กรมทางหลวง ได้ให้ข้อมูล 26 จุดเฝ้าระวังน้ำท่วมขังบนผิวจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดังนี้
•   จุดที่ 1 ทล 31 วิภาวดีรังสิต (กองพันทหารราบที่ 1)
•   จุดที่ 2 ทล 31 วิภาวดีรังสิต (หน้าการบินไทย)
•   จุดที่ 3 ทล 31 วิภาวดีรังสิต (ร.ร.หอวัง)
•   จุดที่ 4 ทล 31 วิภาวดีรังสิต (แยกหลักสี่)
•   จุดที่ 5 ทล 304 แจ้งวัฒนะ (ซอย 10) 
•   จุดที่ 6 ทล 304 แจ้งวัฒนะ (วงเวียนบางเขน)
•   จุดที่ 7 ทล 304 สุวินทวงศ์ (แยกพรสุดา)   
•   จุดที่ 8 ทล 304 สุวินทวงศ์ (แยกนิมิตรใหม่)
•   จุดที่ 9 ทล 3312 ลำลูกกา (ช่วงปากทางลำลูกกา) 
•   จุดที่ 10 ทล 9 กาญจนาภิเษก (หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต) 
•   จุดที่ 11 ทล 302 งามวงศ์วาน (ใต้ด่วนงามวงศ์วาน)
•   จุดที่ 12 ทล 306 ติวานนท์ (อุโมงค์ปากเกร็ด) 
•   จุดที่ 13 ทล 304 แจ้งวัฒนะ (หน้าห้างไทวัสดุ) 
•   จุดที่ 14 ทล 1 พหลโยธิน (หน้าตลาดสี่มุมเมือง) 
•   จุดที่ 15 ทล 1 พหลโยธิน (บริเวณหน้าโลตัสรังสิต) 
•   จุดที่ 16 ทล 1 พหลโยธิน (บริเวณหน้าไทวัสดุ - พลัมคอนโด) 
•   จุดที่ 17 ทล 1 พหลโยธิน (บริเวณหน้า ม.กรุงเทพ) 
•   จุดที่ 18 ทล 1 พหลโยธิน (บริเวณหน้า ศูนย์มิตซูบิชิ) 
•   จุดที่ 19 ทล 3 สุขุมวิท (ซอยลาซาล-ซอยแบริ่ง) 
•   จุดที่ 20 ทล 3 สุขุมวิท (แยกปู่เจ้าสมิงพราย)
•   จุดที่ 21 ทล 3344 ศรีนครินทร์ (ช่วงหน้าวัดศรีเอี่ยม) 
•   จุดที่ 22 ทล 3344 ศรีนครินทร์ (ซอยแบริ่ง - ซอยลาซาล)
•   จุดที่ 23 ทล 34 เทพรัตน (ช่วงต่างระดับวัดสลุด)
•   จุดที่ 24 ทล 34 เทพรัตน (ช่วงซอยรัตนโกสินทร์ 200 ปี) 
•   จุดที่ 25 ทล 3413 บายพาสบางบ่อ (ช่วงบายพาสบางบ่อ) 
•   จุดที่ 26 ทล 3117 ปานวิถี (ช่วงหมู่บ้านเสรี)
 
นอกจากนี้ ข้อมูลจากการสำรวจของสำนักการระบายน้ำ ยังระบุถึงพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากเมื่อเกิดฝนตกหนักในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร 12 จุด ทั่วกรุงเทพฯ ดังนี้

1.   เขตบางซื่อ ถนนประชาราษฎร์สาย 2 บริเวณแยกเตาปูน
2.   เขตราชเทวี ถนนพญาไท บริเวณหน้ากรมปศุสัตว์
3.   เขตราชเทวี ถนนศรีอยุธยา บริเวณหน้า สน.พญาไท
4.   เขตดุสิต ถนนราชวิถี บริเวณหน้าราชภัฏสวนดุสิตและเชิงสะพานกรุงธนบุรี
5.   เขตสาทร ถนนจันทน์ ช่วงจากซอยบำเพ็ญกุศล ถึงที่ทำการไปรษณีย์ยานนาวา
6.   เขตจตุจักร ถนนรัชดาภิเษก บริเวณหน้าธนาคารกรุงเทพ
7.   เขตหลักสี่ ถนนแจ้งวัฒนะ ช่วงจากคลองประปา ถึงคลองเปรมประชากร
8.   เขตสาทร ถนนสวนพลู ช่วงจากถนนสาทรใต้ ถึงถนนนางลิ้นจี่
9.   เขตสาทร ถนนสาธุประดิษฐ์ บริเวณแยกตัดถนนจันทน์
10.   เขตบางขุนเทียน ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล ช่วงจากถนนพระรามที่ 2 ถึงคลองสะแกงาม
11.   เขตบางแค ถนนเพชรเกษม ช่วงจากคลองทวีวัฒนา ถึงคลองราชมนตรี

ทำไมกรุงเทพฯ เกิดน้ำท่วมขังบ่อย

สาเหตุของน้ำท่วมขังในเขตกรุงเทพมหานครประกอบไปด้วยหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น

1.   ประชากรเพิ่มขึ้นหนาแน่น
เนื่องจากประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร มีปริมาณหนาแน่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยจากสถิติล่าสุดปี 2564 จากสำนักทะเบียนกลาง พบว่า มีผู้อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร 5,527,994 คน (ไม่นับรวมประชากรแฝง) เกิดการขยายตัวของที่อยู่อาศัย มีการถมที่ดินเพื่อสร้างตึกรามบ้านช่อง อาคาร หมู่บ้าน ทำให้เส้นทางระบายน้ำอาจถูกกลบทับกลายเป็นเส้นทางจราจรทดแทน ปริมาณต้นไม้ในเขตเมืองมีจำนวนลดน้อยลงจนเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดน้ำท่วมขัง

2.   ขยะอุดตันท่อระบายน้ำ
เนื่องจากกรุงเทพมหานครมีปริมาณขยะมูลฝอยมากกว่าหนึ่งหมื่นตันต่อวัน และปัญหาจากการไม่คัดแยกขยะในครัวเรือน รวมทั้งการทิ้งขยะไม่ลงถัง ส่งผลให้ปลายทางของขยะที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมอาจไหลลงสู่แม่น้ำลำคลองหรือทะเล ทำให้ขยะสะสมติดอยู่ตามท่อระบายน้ำ เมื่อเกิดฝนตกในปริมาณมากทำให้การระบายน้ำไม่สามารถระบายได้ทัน

3.   ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา พร้อมปัญหาดินทรุดต่ำกว่าระดับน้ำทะเล
ตามลักษณะภูมิศาสตร์ของกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นที่ลุ่มต่ำหรือเป็นแอ่งกระทะในบางแห่ง ทำให้ไม่สามารถระบายน้ำเองได้ จำเป็นต้องใช้วิธีสูบน้ำออกทะเลแทน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากพื้นดินทรุดลงจากการก่อสร้างและการใช้น้ำบาดาลในปริมาณมาก เพราะในแต่ละปีระดับพื้นดินของกรุงเทพฯ จะลดลงไปประมาณ 1 เซนติเมตรต่อปี ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น 3 มิลลิเมตรทุกปี และพื้นที่ส่วนใหญ่ยังมีลักษณะลาดเทจากด้านตะวันตกลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเมื่อฝนตกหนักเส้นทางของน้ำจะถูกบังคับเส้นทางการระบายน้ำให้ไหลไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นส่วนใหญ่
 
หลีกเลี่ยงทุกภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้กับรถคุณ ให้ประกันภัยรถยนต์คนกรุง เบี้ยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ประกันรถยนต์ชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท คุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี  ไม่ว่าจะรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางรถยนต์ (Roadside Assistance Service) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596 Line : smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข่าวสารสาระดีๆ ได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com/

74
“ฤดูฝน” แม้จะสร้างความชุ่มฉ่ำและเป็นแหล่งน้ำทางธรรมชาติให้กับเกษตรกร แต่กลับเป็นปัญหาใหญ่ของคนเมืองหลวงอย่างในกรุงเทพมหานคร ที่หลายจุดกลายเป็นพื้นที่รับน้ำแบบแอ่งกระทะ ประกอบกับขาดการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ มีเศษขยะมากมายอุดตันตามท่อระบายน้ำ และมีปริมาณน้ำฝนมากจากร่องมรสุมที่มีกำลังแรงเลื่อนผ่าน (กรมอุตุฯ เตือน 5-9 ก.ย. 65 มรสุมแรงขึ้น ส่งผลฝนตกหนักมาก ระวังน้ำท่วมฉับพลัน https://hilight.kapook.com/view/226878) ส่งผลให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน และเกิดน้ำท่วมขังบนท้องถนนอย่างต่อเนื่องจนเป็นเหตุให้มีรถยนต์หลายคันต้องดับลงกลางทาง แล้วต้องทำอย่างไร? หากเกิดเหตุรถยนต์ดับระหว่างขับรถลุยน้ำท่วม
 
ขับรถลุยน้ำท่วมแล้วรถดับ เกิดจากอะไร?

สาเหตุของรถดับ เมื่อต้องขับรถลุยน้ำท่วม เกิดจาก 2 สาเหตุหลักคือ

1.   ระบบไฟฟ้าในรถเปียกน้ำ  ทำให้กล่องควบคุมระบบไฟฟ้าหรือ ECU (Electronic Control Unit) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการควบคุมการสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ได้รับความเสียหายหรือเกิดการลัดวงจรทำให้เครื่องดับ

2.   น้ำเข้าระบบกรองอากาศ (ท่อไอดีของเครื่องยนต์) ทำให้น้ำเข้าห้องเผาไหม้เครื่องยนต์ส่งผลให้หัวฉีดเชื่อเพลิงได้รับความเสียหายหรือในบางกรณีอาจเกิดจากน้ำเข้าก้านวัดระดับน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ทำให้เครื่องยนต์ดับ

รถดับที่แช่อยู่ในน้ำส่งผลเสียอย่างไร?

การทำงานของรถนั้นเป็นการหล่อลื่นด้วยน้ำมัน รวมทั้งอาศัยการอัดอากาศให้เกิดแรงดันทำให้เครื่องยนต์ทำงาน หากต้องขับรถที่เครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงอยู่ เข้าไปเจอกับน้ำที่เข้าเครื่องมาจากช่องกรองอากาศ ความเย็นของน้ำและค่าความหนืดของน้ำที่ไหลเข้าไปยังห้องเผาไหม้ (ลูกสูบ) ในเครื่องยนต์เบนซิน จะทำให้รถยนต์ดับจากการที่มีน้ำเข้าไปในระบบกรองอากาศและเกิดอาการน็อคทันที
 
นอกจากเครื่องยนต์จะเสียหายแล้ว ยังมีระบบเบรก ระบบเพลา ระบบลูกหมากต่างๆ ที่มีลูกยางห่อหุ้มอยู่อาจมีน้ำเข้าไปขัง รวมถึงระบบเกียร์ในเฟืองท้าย สายพานและหัวเทียนในรถมอเตอร์ไซค์ที่จำเป็นต้องล้างด้วยน้ำมันเพื่อเอาน้ำออกให้หมด รวมถึงอุปกรณ์ในห้องโดยสารที่มีระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ที่อาศัยกล่องควบคุมระบบไฟฟ้าหรือ ECU (Electronic Control Unit) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการควบคุมการสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ แบตเตอรี่ และประตูที่อาจเกิดสนิมขึ้นได้ด้วย


ขับรถลุยน้ำท่วม แล้วรถดับ ควรทำอย่างไร?

หากจำเป็นต้องขับรถเข้าไปในเส้นทางที่มีฝนตกหนักและน้ำท่วมสูง (ขับรถลุยน้ำท่วมสูง หรือน้ำป่าหลากอย่างไรให้ปลอดภัย https://www.smk.co.th/newsdetail/1648) จนเป็นสาเหตุทำให้รถยนต์ดับ ควรปฏิบัติดังนี้

1.   ระดับน้ำท่วมสูงถึงพื้นรถยนต์ แต่ไม่ถึงระดับของเบาะนั่ง
การที่ล้อและอุปกรณ์ช่วงล่างต่างๆ ถูกแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดสนิมใต้ท้องรถได้ ควรตรวจเช็กระบบเบรกของทั้ง 4 ล้อ และผ้าเบรกให้เรียบร้อยหลังนำรถขึ้นจากน้ำ พร้อมตรวจสอบไดสตาร์ต ว่าได้รับความเสียหายมากน้อยแค่ไหน เพราะถึงแม้จะถูกออกแบบมาให้มีความทนทาน แต่ไดสตาร์ทที่ได้รับความเสียหายจากน้ำเข้า ก็สามารถก่อปัญหาแก่รถในระยะยาวได้

นอกจากนี้ หากพื้นพรมรถเปียกชื้น แสดงว่าน้ำมีการซึมเข้ามาภายในรถ ให้ถอดนำพรมไปซักและตากแดดเพื่อป้องกันกลิ่นอับชื้น และล้างภายนอกรถให้สะอาดโดยเฉพาะใต้ท้องรถและซุ้มล้อต่างๆ เพื่อล้างคราบโคลนสิ่งสกปรกต่างๆ ที่ติดอยู่ภายใน

2.   ระดับน้ำท่วมสูงถึงเบาะที่นั่ง
ในกรณีที่น้ำท่วมสูงถึงเบาะนั่ง เมื่อนำรถขึ้นจากน้ำแล้ว ห้ามสตาร์ตรถหรือบิดกุญแจไปที่ ON โดยเด็ดขาด เพราะระดับความสูงของน้ำจะสร้างความเสียหายภายในห้องเครื่องยนต์ จึงควรถอดแบตเตอร์รี่ออกในทันที และตรวจสอบอุปกรณ์อื่นๆ เช่น พัดลมระบายความร้อน ซึ่งสำคัญมากสำหรับการถ่ายเทความร้อนของห้องเครื่อง หรือกล่อง ECU ที่เป็นสมองกลไฟฟ้าควบคุมเครื่องยนต์  ที่สำคัญคือการไล่ความชื้นออกจากระบบเกียร์ ระบบของเหลว ระบบหล่อลื่นต่างๆ ของรถ และทั้งตัวรถ

3.   ระดับน้ำท่วมสูงถึงคอนโซลหน้า หรือมิดหลังคา
น้ำท่วมในระดับนี้เป็นระดับที่สร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้อย่างมาก เมื่อนำรถขึ้นจากน้ำแล้วห้ามสตาร์ตรถ หรือบิดกุญแจไปที่ ON โดยเด็ดขาดเช่นเดียวกับระดับที่ 2 เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายและระบบไฟฟ้าลัดวงจรได้ ควรรีบถอดแบตเตอรี่ออกในทันที หรือหากพบว่ามีน้ำเข้าควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ทันทีด้วยเช่นกัน

จากนั้นให้รีบนำรถส่งช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจเช็กของเหลวทุกอย่างภายในรถ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก น้ำหล่อเย็น หรือสารหล่อลื่นอย่างจาระบี รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่แผงหน้าปัทม์และคอนโซลต้องถอดออกมาทำความสะอาดและเป่าแห้งทั้งหมด ทั้งนี้ รถจมน้ำส่วนใหญ่ หลังจากแก้ไขปัญหาจากที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ก็อาจไม่สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติดังเดิม
 
อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด แม้จะระมัดระวังได้ดีแค่ไหน แต่อุบัติเหตุก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการเดินทางในเมืองกรุงที่นอกจากจะต้องเจอกับปัญหาจราจรบนท้องถนนแล้ว ยังต้องรับมือกับภัยธรรมชาติอีกด้วย เลือกทำประกันรถยนต์คนกรุง เบี้ยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท เบี้ยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง คุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596 Line : smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข่าวสารสาระดีๆ ได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com/

75
“แอร์รถยนต์” เป็นอุปกรณ์ในรถยนต์ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารมากที่สุดเนื่องจากต้องสูดอากาศที่ผ่านออกมาจากแอร์รถยนต์ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในรถ แต่หลายครั้ง “แอร์รถยนต์” กลับถูกละเลยที่จะดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีและพร้อมใช้งานโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่อผู้โดยสารทุกคน แล้วการล้างแอร์รถยนต์มีแบบไหนบ้าง? ควรต้องล้างแอร์รถยนต์เมื่อไร? แล้วมีที่ไหนให้บริการบ้าง? 

ควรล้างแอร์รถยนต์เมื่อไร?

ช่วงหน้าฝนที่มีความชื้นมากกว่าฤดูอื่นๆ อาจประสบปัญหาแอร์รถยนต์มีกลิ่นอับ จนอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้ (แก้ปัญหาแอร์เหม็นอับ https://www.smk.co.th/newsdetail/266) จึงควรล้างแอร์ทุก ๆ 1 ปี หรือประมาณระยะทาง 20,000 กิโลเมตร โดยผู้ขับขี่อาจล้างแอร์รถยนต์ก่อนกำหนดหากรถยนต์มีอาการดังนี้

1.   แอร์ไม่เย็น อาจเกิดจากท่อแอร์รั่ว มีรอยแตก หรือน้ำยาแอร์น้อยเกินไป
2.   แอร์มีกลิ่นอับ อาจเกิดจากความชื้นที่สะสมตลอดการใช้งาน
3.   แอร์เสียงดังผิดปกติ อาจเกิดจากมอเตอร์แอร์หรือคอมเพรสเซอร์มีปัญหา
4.   มีน้ำหยดในห้องโดยสาร อาจเกิดจากท่อแอร์ตัน
 
ล้างแอร์รถยนต์มีแบบไหนบ้าง?

1. ล้างตู้แอร์แบบถอดตู้
เป็นการล้างแอร์รถยนต์แบบถอดตู้แอร์ โดยเริ่มจากขันนอตใต้คอนโซล แล้วถอดนอตพัดลมแอร์ และปลั๊กสายไฟ จากนั้นถอดตู้แอร์และพัดลมออกมา และนำเอาคอยล์เย็นออกมาล้างตามซอกตามมุมต่างๆ โดยวิธีนี้จะต้องเติมน้ำยาแอร์เข้าไปใหม่ เปลี่ยนดรายเออร์กับวาล์วความดัน ซึ่งก็คือการเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ทั้งระบบจึงเหมาะสำหรับรถที่ระบบแอร์ผ่านการใช้งานมานาน

2. ล้างแอร์แบบไม่ถอดตู้
เหมาะกับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ หรือรถยนต์ที่ดูแลแอร์รถยนต์อยู่เป็นประจำ เนื่องจากเป็นการล้างแอร์ที่สะดวก รวดเร็ว โดยช่างแอร์รถยนต์จะฉีดโฟมล้างคอยล์แอร์เย็นเข้าไปให้ทั่ว รอโฟมละลายประมาณ 15-20 นาที จากนั้นจึงใช้แปรงสีฟันปัดเศษฝุ่นที่ตกค้าง และฉีดน้ำเข้าไปเพื่อทำความสะอาดในขั้นตอนสุดท้าย น้ำจะไหลมาทางท่อน้ำทิ้ง

3. ล้างแบบฉีดสเปรย์ทำความสะอาดตู้แอร์
การล้างแอร์ด้วยวิธีนี้ไม่ต้องรื้อตู้แอร์ให้ยุ่งยาก แค่ใช้สเปรย์ทำความสะอาดฉีดให้ทั่วคอยล์เย็นแล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จนโฟมละลายหมดจากนั้นคราบน้ำยาจะค่อยๆ ไหลออกมาพร้อมกับน้ำแอร์ตามท่อน้ำทิ้ง เหมาะสำหรับรถที่วิ่งในเมือง ฝุ่นเยอะ อาจต้องล้างแอร์ด้วยวิธีนี้ประมาณ 2-3 ครั้งต่อเดือน
 
ล้างแอร์รถยนต์ที่ไหนดี?

1.   บริการล้างแอร์รถยนต์ FIT AUTO
ล้างแอร์ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย มีอบโอโซน จองบริการล่วงหน้าได้ ด้วยสิทธิบัตรเฉพาะ Air Klean ซึ่งเป็นการใช้กล้อง Micro Cam เพื่อตรวจสอบสภาพของตู้แอร์ด้วยระบบที่มีมาตรฐาน สะอาด และปลอดภัย พร้อมมีบริการอบโอโซน ช่วยกำจัดกลิ่นอับชื้นและเพิ่มความสดชื่นให้กับแอร์รถยนต์ สามารถจองบริการล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชันได้ง่าย ๆ ไม่ต้องเสียเวลารอคิวที่สาขา

2.   บริการล้างแอร์รถยนต์ B-Quik
เป็นการล้างแบบไม่ถอดตู้แอร์ โดยใช้กล้อง Micro Cam ตามมาตรฐานของ Air Klean ทำให้สามารถตรวจสอบการทำความสะอาดผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ได้ทั้งก่อนและหลังล้างแอร์ มาพร้อมบริการอบโอโซนสำหรับรถญี่ปุ่นและรถยุโรป นอกจากนี้ ยังมีหลายสาขาทั่วประเทศ และที่สำคัญคือ มีการรับประกัน 30 วัน หากเกิดปัญหาตู้แอร์รั่วอีกด้วย

3.   บริการล้างแอร์รถยนต์ Quick Lane
ศูนย์บริการยางและรถยนต์แบบเร่งด่วนสัญชาติอเมริกันที่มีสาขาทั่วโลก มาพร้อมบริการบำรุงรักษารถยนต์อย่างครบวงจร โดยบริการล้างแอร์รถยนต์ของที่นี่เป็นแบบไม่ถอดตู้แอร์ ใช้เครื่องล้างแอร์ระบบอัตโนมัติที่มีคุณภาพ ช่วยทำความสะอาดและขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ อีกทั้งยังมีบริการอบโอโซน ทำให้แอร์รถยนต์กลับมามอบอากาศที่สดชื่นได้อีกครั้ง พร้อมสาขาให้เลือกใช้บริการทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด

4.   บริการล้างแอร์รถยนต์ Air Pro
การล้างแอร์รถยนต์รูปแบบใหม่ ด้วยช่างผู้ชำนาญการด้านแอร์รถยนต์มากว่า 20 ปี ด้งบระบบล้างแอร์ที่มีมาตรฐาน SOP (Standard Operating Procedure) และใช้น้ำยาล้างแอร์ที่ผ่านการรับรองด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีการรายงานผลทั้งก่อนและหลังล้างแอร์ พร้อมบริการแบบเดลิเวอรี่ถึงหน้าบ้าน โดยใช้เวลาเพียง 60 นาทีเท่านั้น

5.   บริการล้างแอร์รถยนต์ Energy Auto Service
ศูนย์บริการล้างแอร์รถยนต์ที่มีมาตรฐานและครบวงจร มาพร้อมกับโปรแกรมการล้างแอร์รถยนต์ 2 ระบบ ได้แก่ การล้างแอร์ด้วยระบบน้ำร้อน ซึ่งเป็นแบบไม่ต้องถอดตู้แอร์ โดยใช้กล้องส่องดูทั้งก่อนและหลังทำความสะอาด ส่วนอีกระบบหนึ่งคือ การล้างแอร์ด้วยเครื่อง BIO ที่มาพร้อมกับน้ำยาล้างที่ทำจากธรรมชาติ จึงไม่มีสารเคมีตกค้าง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ดูแลแอร์รถยนต์อย่างไร?

เพื่อให้แอร์รถยนต์ใช้งานได้นานๆ จึงควรมีเทคนิคในการดูแลแอร์รถยนต์ ดังนี้
•   หลังสตาร์ทรถ ให้เปิดพัดลมแอร์ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที เพื่อไล่ลมร้อน จากนั้นจึงค่อยกดปุ่มคอมเพรสเซอร์แอร์สำหรับทำความเย็น
•   ก่อนดับเครื่องยนต์ ให้กดปุ่มปิดคอมเพรสเซอร์แอร์ก่อน และเปิดแต่พัดลมทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที เพื่อไล่ความชื้น
•   หากไม่ได้ใช้รถยนต์นานๆ ให้เปิดหน้าต่างรถยนต์ทุกบาน เพื่อให้อากาศถ่ายเทและไล่ความชื้นภายในรถ
 
เพิ่มความคุ้มครองให้คุณจากเหตุไม่คาดคิด เลือกประกันภัยรถยนต์คนกรุงจากสินมั่นคงประกันภัย เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปี คุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี ไม่ว่าจะรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางรถยนต์ (Roadside Assistance Service) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/266 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com/

76
ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจากสาเหตุใด อาจส่งผลทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือรุนแรงถึงขั้นผู้ประสบเหตุหยุดหายใจ และมีแนวโน้มถึงขั้นเสียชีวิต (ใส่เครื่องประดับที่มีทองแดงจะถูกฟ้าผ่าหรือไม่? https://www.smk.co.th/newsdetail/2792) การช่วยผู้ประสบเหตุให้ฟื้นคืนชีพ หรือการทำ CPR เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่หยุดหายใจกลับมาฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง แล้วการทำ CPR ที่ถูกต้องมีวิธีการอย่างไร? และควรทำภายในเวลากี่นาที เพื่อป้องกันไม่ให้สมองขาดออกซิเจน
 
CPR คืออะไร? ควรทำภายในเวลากี่นาที?

CPR หรือ Cardiopulmonary resuscitation เป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยที่กำลังจะหยุดหายใจ หรือหัวใจกำลังจะหยุดเต้นในเบื้องต้น จากอุบัติเหตุ เช่น จมน้ำ หัวใจวาย หรือสำลักควันไฟจากที่ที่เกิดไฟไหม้ ให้กลับมาหายใจหรือมีลมหายใจไหลเวียนได้ตามปกติ เพื่อที่จะช่วยชีวิตคนป่วยให้ปลอดภัยผ่านวิกฤตไปได้ ก่อนรถพยาบาลจะมาถึง และส่งถึงมือหมอได้อย่างทันท่วงที ความสำคัญของการทำ CPR อยู่ที่การปั๊มหัวใจ ที่ต้องทำให้ถูกต้อง และทันเวลา เพราะหากสมองขาดออกซิเจนไปเกิน 4 นาที สมองอาจเสียหายได้
 
การช่วยฟื้นคืนชีพ ควรปฏิบัติอย่างไรในขั้นตอนแรก

1.   ตรวจดูความปลอดภัยบริเวณรอบๆ ตัวผู้ป่วย เช่น มีของแหลมคม มีกระแสไฟฟ้า มีน้ำมัน มีไฟ หรือสิ่งอันตรายอื่นๆ หรือไม่ ถ้าดูไม่ปลอดภัย อย่าเพิ่งเข้าไป ให้เรียกกู้ภัยมาช่วยเหลือ

2.   หากสถานที่รอบๆ ผู้ป่วยปลอดภัยดี ให้เข้าไปหาผู้ป่วยทำการยืนยันว่าผู้ป่วยหมดสติจริง โดยการตีที่ไหล่แล้วเรียกด้วยเสียงดัง 4-5 ครั้ง หากผู้ป่วยยังรู้สึกตัวอยู่ หายใจเองได้ ให้จับนอนตะแคง รอการช่วยเหลือ โทร 1669 ไม่ควรทำ CPR ขณะที่ผู้ป่วยยังมีสติ

3.   หากไม่ได้สติ ไม่ลืมตาจริงๆ และหยุดหายใจ ให้รีบโทรหา 1669 เช่นกัน แจ้งทีมงานว่าผู้ป่วยไม่ได้สติ หยุดหายใจ ให้นำเครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ หรือ AED มาด้วย

4.   เริ่มทำการกดหน้าอก โดยจับผู้ป่วยนอนหงาย นั่งคุกเข่าข้างผู้ป่วย วางสันมือข้างหนึ่งตรงครึ่งล่างกระดูกหน้าอก (ตำแหน่งตรงกลางระหว่างหน้าอก ระดับเดียวกับหัวนมพอดี) และวางมืออีกข้างทับประสานกันไว้ เริ่มการกดหน้าอกด้วยความลึกอย่างน้อย 5 เซนติเมตร ในอัตราเร็ว 100-120 ครั้งต่อนาที โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

•   กดให้ลึก หมายถึงกดหน้าอกจากหน้าอกโดยปกติให้ลึกลงไป 2 ถึง 2.4 นิ้ว
•   กดให้ร้อย หมายถึงอัตราความเร็วในการกด 100 ถึง 120 ครั้งต่อ 1 นาที
•   ปล่อยให้สุด หมายถึงเมื่อกดหน้าอกยุบลงไป 2ถึง 2.4 นิ้วแล้วให้ปล่อยให้อกกลับมาฟูเหมือนปกติทุกครั้งก่อนกดใหม่
•   อย่าหยุดกด หมายถึงอย่าทำการหยุดการกดหน้าอกจนกว่าจะมีทีมมาช่วยเหลือหรือผู้ช่วยนั้นไม่สามารถกดต่อได้เนื่องจากเหนื่อยล้า

5.   สามารถปั๊มหัวใจตามจังหวะเพลง “สุขกันเถอะเรา” ของสุนทราภรณ์, “Staying Alive” ของ Bee Gees หรือ “Imperial March” เพลงธีมของ Darth Vader ในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ได้

6.   ควรทำ CPR ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าทีมแพทย์ หรือหน่วยกู้ภัยจะมา หากไม่เคยเข้ารับการฝึกทำ CPR มาก่อน ให้กดหน้าอกเพียงอย่างเดียวไปเรื่อย ๆ หากเคยทำ CPR แล้ว อาจกดหน้าอกสลับกับการเป่าปากช่วยหายใจได้ โดยกดหน้าอก 30 ครั้ง สลับมาเป่าปากช่วยหายใจ 2 ครั้ง

7.   ในกรณีที่มีคนอยู่ด้วยหลายคน สามารถสลับให้คนอื่นมาช่วยปั๊มหัวใจแทนได้
 
เมื่อไรควรหยุดทำ CPR?

ควรทำ CPR ไปเรื่อย ๆ จนกว่าทีมกู้ภัย หรือหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จะมา แล้วเข้าช่วยเหลือด้วยเครื่อง AED อีกครั้ง ก่อนนำส่งโรงพยาบาล ระหว่างการทำ CPR เราควรเรียกคนมาช่วย รีบโทร. 1669 / 1745 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่เร็วที่สุด หากสามารถนำส่งโรงพยาบาลด้วยตัวเองได้ ก็สามารถทำ CPR ระหว่างนำส่งโรงพยาบาลได้เช่นกัน

CPR ในเด็ก ทำอย่างไร?

ในกรณีที่เป็นเด็ก การทำ CPR จะคล้ายกับผู้ใหญ่ แต่ของเด็กจะเน้นการเรื่องทางเดินหายใจเป็นหลัก เพราะส่วนใหญ่การเสียชีวิตในเด็กจะมาจากทางเดินหายใจอุดตัน เช่น การกินอาหารติดคอ หรือมีสิ่งแปลกปลอมอุดหลอดลม ซึ่งการช่วยชีวิตในขั้นตอนแรกให้ดูว่ามีอะไรอุดในลำคอ หรือในปากหรือไม่ ถ้าเห็นสิ่งแปลกปลอมที่เอาออกได้ให้เอาออก แต่ถ้าไม่เห็นหรือไม่มั่นใจ “ห้าม” เอานิ้วล้วงเข้าไปในปากเด็กเพราะ อาจจะทำให้สิ่งแปลกปลอมนั้นเข้าไปลึกยิ่งขึ้น
 
CPR ในเด็กและผู้ใหญ่ต่างกันอย่างไร?

การทำ CPR ในเด็กและผู้ใหญ่มีความแตกต่างกันเนื่องจาก วิธีการกด ความลึก จะต้องดูจากอายุและขนาดร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น

1.   เด็ก จะใช้วิธีดูความหนาของลำตัวและกดเพียง 1 ใน 3 ของลำตัวเด็กเท่านั้น
2.   ทารก ให้ใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางทำการกดบริเวณตำแหน่งคือ กึ่งกลางอกส่วนล่าง
3.   สุภาพสตรี ให้วัดจากลิ้นปี่ขึ้นมา 2 นิ้ว

เมื่อได้ตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว ให้ใช้ฝ่ามือทั้งสองฝั่งประสานทับกัน แล้วเลือกใช้บริเวณส้นมือวางไปตรงตำแหน่งที่ระบุไว้ แขนทั้งสองข้างเหยียดตึงไม่งอข้อศอก รวมน้ำหนักจากลำตัวมาสู่หัวไหล่ และกดพุ่งตรงบริเวณจุดที่มาร์กไว้ โดยที่จะไม่ใช้ข้อมือหรือข้อศอกเป็นตัวกด แต่จะใช้กำลังทั้งตัวในการกดลงไป ขณะที่นั่งให้ผู้ช่วยเหลือคุกเข่าบริเวณข้างลำตัวผู้ป่วย โดยการนั่งไม่นั่งทับบนส้นเท้า กางหัวเข่าออกให้ได้หลัก แล้วกดลงบริเวณที่มาร์กจุดไว้
 
อุบัติเหตุ มักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด หรือจากความประมาทของบุคคลอื่น ให้ประกันรถยนต์ตามเวลา สู้ภัยโควิด-19 เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่อความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/premotor หรือ โทร.1596 Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com/

77
แม้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็กลับมาสูงขึ้นอีกครั้งเนื่องจากราคาน้ำมันดิบในดูไบซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าน้ำมันของประเทศไทยกลับมาพุ่งสูงขึ้น (ทำไมอยู่ดี ๆ น้ำมันขึ้นราคาอีกแล้ว https://www.youtube.com/watch?v=9JB8tVDzVRk) หลายครอบครัวจึงเริ่มมองหารถยนต์พลังงานทางเลือก รวมทั้งเทคนิควิธีต่างๆ ที่จะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและเงินในกระเป๋าให้ได้มากที่สุด (เคล็ดลับขับรถประหยัดน้ำมัน ในวันที่น้ำมันราคาแพง https://www.smk.co.th/newsdetail/2920) และอีกหนึ่งวิธีการคือการใช้แต้มบัตรเครดิตหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของบัตรเครดิตเป็นส่วนลดค่าใช้จ่าย แล้วบัตรเครดิตของธนาคารไหนที่ให้เครดิตเงินคืนหรือมอบส่วนลดที่คุ้มค่าที่สุด สามารถเติมได้ที่ปั๊มน้ำมันยี่ห้อไหนบ้าง
 
ปั๊มน้ำมันเชลล์

1.   บัตรเครดิตเติมน้ำมัน Citi Bank

สิทธิประโยชน์ บัตรเครดิต Citi Reward รับคะแนนสะสมซิตี้ รีวอร์ด 5 เท่า เมื่อมีการใช้จ่ายผ่านบัตรในหมวดร้านอาหาร หมวดท่องเที่ยว และหมวดการใช้จ่ายด้วยสกุลเงินต่างประเทศ และยังสามารถรับเครดิตเงินคืน 2% ที่ปั๊มน้ำมันเชลล์ทุกสาขาทั่วประเทศ เมื่อมียอดใช้จ่ายครบทุก 800 บาท/เซลล์สลิป

2.   บัตรเครดิตเติมน้ำมัน SCB M Live
เพียงเติมน้ำมันที่ปั๊ม Shell ครบ 800 บาท/เซลล์สลิป ก็จะได้รับเครดิตเงินคืน 2% โดยจำกัดไม่เกิน 1,600 บาท/เซลล์สลิป หรือไม่เกิน 4,800 บาท/รอบบัญชี นอกจากนี้ เมื่อใช้จ่ายครบ 25 บาท จะได้รับคะแนน 1 M Point พร้อมสิทธิพิเศษทั่วโลกอีกมากมาย และฟรีค่าธรรมเนียม 1 ปีแรกอีกด้วย

ปั๊มน้ำมันบางจาก

1.   บัตรเครดิตเติมน้ำมันกรุงศรีฯ
สิทธิประโยชน์ สำหรับบัตรเครดิต กรุงศรี ทุกประเภท, บัตรเครดิต เอไอเอ วีซ่า, บัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัม และบัตรเครดิต สยามทาคาชิมายะ เพียงเติมน้ำมันบางจากครบทุก 800 บาท/สลิป สามารถรับเครดิตเงินคืน 2% และสำหรับบัตรเครดิต กรุงศรี ซิกเนเจอร์ รับเครดิตเงินคืนเพิ่มจาก 2%* เป็น 3%*

2.   บัตรเครดิตเติมน้ำมัน KTC - Bangchak Visa Platinum
ได้รับสิทธิประโยชน์เป็นส่วนลดน้ำมัน 1% จากยอดชำระไม่เกิน 3,000 บาท/เซลล์สลิป โดยจะคืนเข้าบัญชีเครดิตในเดือนถัดไป และทุก ๆ การใช้จ่าย 25 บาท จะได้รับคะแนน 1 KTC FOREVER เพื่อสะสมและนำไปแลกสินค้าหรือบริการกับร้านที่ร่วมรายการได้ ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปีตลอดชีพ

ปั๊มน้ำมัน ปตท.

1.   บัตรเครดิตเติมน้ำมัน PTT Blue Credit Card
ทุก ๆ การเติมน้ำมัน 1 ลิตร จะได้รับคะแนนสะสม 2 ต่อ ทั้ง Blue Point และ K Point ซึ่งจะเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด พร้อมสามารถนำคะแนนสะสม 500 คะแนน ไปแลกเป็นส่วนลดเติมน้ำมันมูลค่า 100 บาท และสิทธิพิเศษสำหรับร้านค้าภายในปั๊มอย่าง Café Amazon อีกด้วย

ปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์

1.   บัตรเครดิตเติมน้ำมัน ยูโอบี
เพียงเติมน้ำมันรถครบ 800 บาท ต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 10% เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสมผ่านบัตรผ่านบัตรเครดิตยูโอบี ในหมวดอื่นๆ ตามเงื่อนไข และแลกรับเครดิตเงินคืน 15% เมื่อใช้คะแนนสะสมทุก 800 คะแนน เพียงส่ง SMS เพื่อเข้าร่วมรายการ พิมพ์ CX2 วรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 10 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4545111 (โดยบัตรเครดิตยูโอบี โยโล่ แพลทินัม และบัตรเครดิต TMRW ไม่ร่วมรายการแลกคะแนนสะสม)
 
ปั๊มน้ำมันเอสโซ่

1.   บัตรเครดิตเติมน้ำมัน Tesco Lotus Platinum Beyond
จะได้รับเครดิตเงินคืน 3% เข้าบัญชีบัตรเครดิตทันที โดยไม่ต้องลงทะเบียนหรือแลกคะแนนสะสมในบัตร แต่จะมีเงื่อนไขคือ เครดิตเงินคืนนั้นจะคิดเฉพาะยอดการเติมน้ำมันที่ปั๊ม Esso สูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท/เซลล์สลิป และไม่เกิน 6 ครั้ง/รอบบัญชี พร้อมสิทธิพิเศษบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง

ปั๊มน้ำมัน PT

1.   บัตรเครดิตเติมน้ำมัน เคทีซี เจซีบี
เมื่อ ชำระค่าน้ำมัน ตั้งแต่ 800 บาทขึ้นไปที่ปั๊มน้ำมัน PT ด้วยบัตรเครดิต KTC JCB รับส่วนลด 40 บาท โดยจะต้องแจ้งสิทธิ์ก่อนใช้บริการ และลงทะเบียนรับสิทธิ์ที่ *793*389*ตามด้วยหมายเลขบัตรฯ 6 หลักแรก และ 4 หลักสุดท้าย # จากนั้นกดโทรออกต่อหน้าพนักงาน เมื่อได้รับข้อความส่วนลดที่ผ่านทาง SMS จะต้องชำระค่าบริการด้วยบัตรฯ ที่ได้ลงทะเบียนรับสิทธิ์

ปั๊มน้ำมัน SUSCO

1.   บัตรเครดิตเติมน้ำมัน KTC Mastercard
ด้วยการใช้คะแนน KTC FOREVER 1,000 คะแนน แลกรับส่วนลดค่าน้ำมัน 100 บาท แลกคะแนนและรับ e-Coupon ผ่านแอป KTC Mobile ได้ทันที โดย e-Coupon ส่วนลดค่าน้ำมัน มูลค่า 100 บาท ที่ได้รับ จะมีอายุการใช้งาน 30 วัน นับจากวันที่ทำรายการแลกคะแนนผ่านแอป ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้เมื่อมียอดใช้จ่ายในการเติมน้ำมันที่ปั๊ม SUSCO ขั้นต่ำที่ 100 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป และจำกัดยอดส่วนลดค่าน้ำมันสูงสุดเท่ายอดใช้จ่ายต่อเซลล์สลิปนั้นๆ โดยจะต้องกดใช้คูปองก็ต่อเมื่อชำระเงินต่อหน้าพนักงานให้บริการที่สถานีเท่านั้น (หากกดยืนยันการใช้คูปองแล้ว จะไม่สามารถยกเลิกการทำรายการได้)

สถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ

1.   บัตรเครดิตเติมน้ำมัน กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์
บัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า แพลทินัม และเอ็กซ์ยู บัตรเครดิต ดิจิทัล ใช้คะแนนแลกรับเครดิตเงินคืน 10%* เฉพาะวันจันทร์ – วันพฤหัสบดี ทุกสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า แพลทินัม และเอ็กซ์ยู บัตรเครดิต ดิจิทัล ตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป ในหมวด Gasoline รับสิทธิ์แลกคะแนน 1,000 คะแนนเป็นเครดิตเงินคืน 100 บาท (ไม่จำกัดการแลกคะแนน) โดยสามารถกดแลกคะแนนเป็นเงินคืน ผ่านหน้าโปรโมชันบนแอป UCHOOSE จะได้รับเครดิตเงินคืน 100 บาท ภายในวันถัดไป หลังจากทำรายการสำเร็จ ระบบจะส่งข้อความยืนยันการหักคะแนน

2.   บัตรเครดิตเติมน้ำมัน Bangkok Bank Visa Platinum (เฉพาะบางจาก, Esso หรือ Caltex)
เพียงเติมน้ำมันที่ปั๊มบางจาก, Esso หรือ Caltex ครบ 800 บาท/เซลล์สลิป จะได้รับเครดิตเงินคืนสูงถึง 10% ซึ่งยอดใช้จ่ายการเติมน้ำมันจะต้องไม่เกิน 4,800 บาท/เดือน นอกจากนี้ ทุก ๆ การใช้จ่าย 25 บาท ยังได้คะแนนสะสม เพื่อนำไปแลกไมล์จากสายการบินชั้นนำหรือแลกของรางวัลอื่น ๆ
 
ช่วยคุณประหยัดทุกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน เลือกได้ตามใจ จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพิ่มความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร.1596 Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com/

78
เมื่อกระแสนิยมของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV เริ่มเป็นที่พูดถึงกันมากขึ้นไปตามราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น (น้ำมันแพงเพราะอะไร? เปิดสาเหตุน้ำมันแพง 2565 https://www.smk.co.th/newsdetail/2876)  จนอาจทำให้เกิดความกังวลว่า ในความจริงแล้ว รถยนต์พลังงานไฟฟ้า จะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริงหรือไม่ แล้วควรต้องชาร์จไฟอย่างไรให้คุ้มค่ากับเงินค่าไฟที่สุด (เตรียมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน รองรับรถยนต์ EV https://www.smk.co.th/newsdetail/1696)
 
ประเภทของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

การชาร์จไฟฟ้า “รถยนต์ EV” มีหลายวิธี และมีราคาที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. การชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge)

เป็นการชาร์จไฟฟ้าจากตัวเต้ารับโดยตรง โดยขนาดมิเตอร์ขั้นต่ำที่แนะนำคือ 30(100)A และเต้ารับต้องติดตั้งใหม่เฉพาะการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยเป็นการใช้ไฟบ้านที่เป็นกระแสสลับ (AC) ซึ่งความเร็วชาร์จไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 7.4 kW ต่อ 1 ชม. ใช้ระยะเวลาในการชาร์จเต็มประมาณ 12-16 ชม. มีค่าชาร์จอยู่ที่ 4.2 บาท ต่อ 1 kWh

2. การชาร์จแบบรวดเร็ว (Double Speed Charge)

เป็นการชาร์จจากเครื่องชาร์จ EV Charger เป็นตู้ชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) ที่ช่วยให้ชาร์จพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่รถให้เต็มเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งความเร็วชาร์จไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 22 kW ต่อ 1 ชม. โดยเหลือเวลาชาร์จประมาณ 6-8 ชม. มีค่าชาร์จอยู่ที่ 5.5 บาท ต่อ 1 kWh

3. การชาร์จแบบด่วน (Quick Charge)

เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) เข้าแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า จาก 0-80% ได้ภายในเวลา 40-60 นาที ซึ่งความเร็วชาร์จไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 50 kW ต่อ 1 ชม. มีค่าชาร์จอยู่ที่ 6.5 บาท ต่อ 1 kWh
เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างรถยนต์เติมน้ำมันกับรถยนต์ EV
การคำนวณอัตราค่าพลังงานน้ำมัน มีรายละเอียดดังนี้

•   ราคาน้ำมันอัตราเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 40 บาท/ลิตร
•   รถยนต์กินน้ำมันเฉลี่ยในปริมาณ 16 km/ลิตร
•   ทุก 1 กิโลเมตร จึงเสียค่าน้ำมัน 2.5 บาท
•   หากโดยทั่วไปใช้รถยนต์เดือนละ 2,000 km 
•   จะเสียค่าน้ำมันตกเดือนละ 5,000 บาท

ในขณะที่ การคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าของการชาร์จรถยนต์ EV มีรายละเอียดดังนี้

•   ค่าไฟบ้านปกติหน่วยละ 4.5888  บาท รวมค่า FT
•   เปลี่ยนมาใช้ EV แล้วชาร์จไฟที่บ้านในอัตรา TOU ของไฟฟ้านครหลวง (https://www.mea.or.th/profile/109/111) หลัง 4 ทุ่มจะเหลือหน่วยละ 2.804 บาท รวมค่า FT
•   รถยนต์ EV โดยเฉลี่ยกินไฟประมาณ 5 km/หน่วยไฟฟ้า
•   ให้วิ่งในอัตราเดียวกันเดือนละ 2,000 km ทุก 1 km จึงเสียค่าไฟ 0.5608  บาท
•   จะเสียค่าไฟในอัตราเดือนละ 1,121  บาท
การใช้รถยนต์ EV จึงสามารถประหยัดค่าน้ำมันไปได้ถึงเดือนละ 3,787 บาท เลยทีเดียว

ชาร์จไฟรถยนต์ EV อย่างไรให้คุ้ม?

1. การชาร์จไฟที่บ้านจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายค่าใช้จ่ายในการชาร์จได้มาก เนื่องจากสามารถชาร์จไฟในเวลากลางคืน ทำให้อัตราค่าไฟที่บ้านเป็นแบบ TOU ที่ช่วงกลางคืนมีราคาถูก (หลัง 4 ทุ่มถึง 9 โมงเช้า)

2. ชาร์จไฟตาม Charging Station ที่ให้บริการฟรีมีอยู่หลายที่ แต่อาจต้องเสียเวลานั่งรอครั้งละประมาณ 30 นาทีเป็นต้นไป
อุปกรณ์ติดตั้งระบบชาร์จรถไฟฟ้า EV ที่บ้าน

สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อรถไฟฟ้า EV มาใช้งาน จำเป็นต้องเข้าใจระบบไฟฟ้าภายในบ้านก่อนติดตั้ง เพื่อความปลอดภัยและป้องกันปัญหาที่ตามมา โดยต้องคำนึงถึงอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้

1. ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า

โดยปกติขนาดมิเตอร์ของบ้านพักอาศัยทั่วไปจะใช้เป็น 15(45) 1 เฟส(1P) หมายถึงมิเตอร์ ขนาด 15 แอมป์(A) และสามารถใช้ไฟได้มากถึง 45(A) สำหรับคนที่ต้องการชาร์จรถไฟฟ้าในบ้าน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) แนะนำให้เปลี่ยนขนาดมิเตอร์เป็น 30(100) ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ป้องกันการใช้ไฟฟ้าที่มากเกินไป

2. สายเมน และลูกเซอร์กิต (MCB)

สำหรับสายเมนของเดิมใช้ขนาด 16 ตร.มม. ต้องปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 25 ตร.มม. และเปลี่ยนลูกเซอร์กิต (MCB) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันร่วมกับตู้ MDB ที่เดิมรองรับได้สูงสุด 45(A) เปลี่ยนเป็น 100(A) เพื่อให้ขนาดมิเตอร์ ขนาดสายเมน และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) มีความสอดคล้องกัน

3. ตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB)

ตรวจสอบภายในตู้ว่ามีช่องว่างสำรองเพื่อติดตั้ง Circuit Breaker อีก 1 ช่องหรือไม่ เพราะการชาร์จไฟของรถไฟฟ้า EV จะต้องมีส่วนตัว และแยกใช้งานกับเครื่องไฟฟ้าอื่น ๆ หรือถ้าหากภายในตู้หลักไม่มีช่องว่าง ต้องเพิ่มตู้ควบคุมย่อยอีก 1 จุด

4. เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD)

เครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติที่จะตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าออกมีค่าไม่เท่ากัน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไฟฟ้าลัดวงจร และเกิดเพลิงไหม้ได้ในอนาคต กรณีที่สายชาร์จไฟฟ้ามีระบบตัดไฟภายในตัวอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องติดตั้งเพิ่ม

5. เต้ารับ (EV Socket)

สำหรับการเสียบชาร์จรถไฟฟ้าจะเป็นชนิด 3 รู (มีสายต่อหลักดิน) ต้องทนกระแสไฟฟ้าได้ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 16(A) โดยรูปทรงอาจจะปรับตามรูปแบบปลั๊กของรถไฟฟ้า EV แต่ละรุ่น

ก่อนที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จำเป็นจะต้องศึกษารายละเอียดของตัวรถยนต์ด้วย ว่าแบตเตอรี่ของรถยนต์ขนาดเท่าไร? On Board รับพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดเท่าไหร่? ซึ่งมีผลกับความเร็วในการชาร์จ และค่าไฟบ้าน นอกจากนี้ ค่าไฟฟ้าของแต่ละจังหวัดก็ยังมีอัตราไม่เท่ากัน จึงควรตรวจสอบกับการไฟฟ้าในพื้นที่อีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมด้วย
ประกันภัยรถยนต์คนกรุง ประกันรถยนต์ชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท เบี้ยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปี คุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี ไม่ว่าจะรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางรถยนต์ (Roadside Assistance Service) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ https://smkinsurance.blogspot.com/ โทร.1596 Line : @smkinsurance

79
เมื่อถึงทุกเทศกาลวันหยุดยาว มักเป็นโอกาสดีของครอบครัวที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดต่างๆ หรือแม้แต่การเดินทางเพื่อกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ซึ่งในแต่ละครั้งก็อาจจำเป็นจะต้องพาสมาชิกในครอบครัวพร้อมข้าวของเครื่องใช้ติดไปด้วยจำนวนมาก หลายครอบครัวจึงกำลังมองหารถยนต์อเนกประสงค์แบบครอบครัว 7 ที่นั่ง ไว้เป็นพาหนะของครอบครัว (5 รถพับเบาะเรียบได้ ขนของก็ดี นอนพักก็ได้ https://www.smk.co.th/newsdetail/2891) แล้วในปี 2022 นี้ รถยนต์ครอบครัว 7 ที่นั่งแบบไหนที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการและหาซื้อมาใช้

1.   Toyota Veloz
 
รถครอบครัวแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง เจเนอเรชั่นใหม่ นำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย มาพร้อมกับดีไซน์สปอร์ตและโฉบเฉี่ยว ด้วยรูปลักษณ์หน้าใหม่ตั้งแต่หน้าจรดท้ายโดดเด่นด้วยกระจังขนาดใหญ่รูปทรงหกเหลี่ยม ด้านในเป็นลวดลายแบบรังผึ้งสีดำ ชุดไฟหน้าเป็นแบบ LED ทั้งระบบ ไฟเลี้ยวแบบ Sequential ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ในรุ่นท็อป ห้องโดยสารออกแบบให้กว้างเทียบเท่ารถระดับ C-segment สามารถปรับพับเบาะแถวที่ 2 และแถวที่ 3 ได้ถึง 7 รูปแบบ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ให้กำลัง 106 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ CVT พร้อม Sequential Shift ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ ด้านความประหยัดทาง Toyota เคลมไว้ว่าจะมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันสูงสุดถึง 17.9 กิโลเมตร/ ลิตร

ราคาจำหน่าย
•   Toyota Veloz Premium ราคา 875,000 บาท
•   Toyota Veloz Smart ราคา 795,000 บาท

2.    Mitsubishi Xpander

มาพร้อมกับดีไซน์อันล้ำสมัย โดยใช้กระจังหน้าแบบ Advanced Dynamic Shield ดูโฉบเฉี่ยวมีเอกลักษณ์ ไฟหน้า LED และไฟท้าย LED L-ILLUMINATION TUBE ดีไซน์สปอร์ต พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ทำให้สอดรับกับเส้นสายรอบ ๆ ตัวรถ ภายในมีความกว้างขวาง โปร่งโล่งสบาย ครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ทั้ง ระบบเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศที่มีแผงควบคุมสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง แบบอิสระ ให้ความเย็นทั่วห้องโดยสาร

ราคาจำหน่าย
•   GLS LTD    789,000 บาท
•   GT      863,000 บาท
•   Cross      919,000 บาท

3.   Honda BR-V
 
ยนตกรรมแอคทีฟสปอร์ต ครอสโอเวอร์แบบ 7 ที่นั่ง มีการปรับเปลี่ยนทั้งภายนอกและภายใน โดยโดดเด่นด้วยกระจังหน้ารูปแบบใหม่ มาในดีไซน์ที่ดูสปอร์ตขึ้น และกันชนหลังดีไซน์ใหม่ ทำให้มันดูแข็งแกร่ง ในทุกมิติ ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟหรี่ LED และไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน (DRL) แบบ LED เพิ่มความปลอดภัยด้วยไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่ และกระจกมองข้าง พร้อมไฟเลี้ยวในตัว

ใช้ขุมพลังจาก เครื่องยนต์เบนซิน รหัส L15Z1 ความจุ 1.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง แบบ i-VTEC ทำกำลังสูงสุดถึง 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที ด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ซึ่งตอบสนองไวและให้ความนุ่มนวลในทุก ๆ การขับขี่ โดยมีความจุน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 48.5 ลิตร สามารถรองรับน้ำมันได้สูงสุดถึง E85 

ภายในดีไซน์แบบสปอร์ต โดยผสานพื้นที่ใช้สอยไว้อย่างลงตัว มาพร้อมอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ แบบครบครัน มีทั้ง กุญแจ Honda Smart Key พร้อมปุ่มสตาร์ท, เบาะนั่งปรับพับได้, หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับระบบ iOS และ Android, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติทั้ง ตอนหน้า และตอนหลัง

ราคาจำหน่าย
•   V (5 ที่นั่ง)   765,000 บาท
•   SV (7 ที่นั่ง)   835,000 บาท

4.   Suzuki XL7

รถครอบครัวในสไตล์ Crossover ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Suzuki Ertiga มาในรูปลักษณ์สปอร์ตและดุดัน พร้อมปรับความสูงของตัวรถขึ้น 20 มม. เพื่อให้สามารถลุยถนนผิวขรุขระได้ ห้องโดยสารเป็นแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง เบาะนั่งแถว 2 ปรับพับได้แบบ 60:40 ส่วนเบาะแถวที่ 3 ปรับพับแบบ 50:50 มากับเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกสบาย อาทิ หน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์ขนาด 10 นิ้ว ช่องเชื่อมต่อ USB และ HDMI ที่บริเวณคอนโซลหน้า และช่องจ่ายไฟสำรอง 12V มากถึง 3 ตำแหน่ง รวมถึงระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติด้านหน้าและด้านหลัง ขุมพลังขับเคลื่อนเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร 105 แรงม้า แรงบิด 138 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดไปยังคู่ล้อหน้า

ราคาจำหน่าย
•   Suzuki Eritiga รุ่น GL ราคา 659,000 บาท
•   Suzuki Eritiga รุ่น GX ราคา 725,000 บาท

5.   Isuzu MU-X
 
รถครอบครัวที่อยู่ในกระแสรถยนต์เมืองไทยมาตลอด ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่จากรุ่นเดิม การออกแบบภายนอกดูหรูและสปอร์ต ภายในมาพร้อมความกว้างขวาง เบาะนั่งตัดเย็บด้วยวัสดุพิเศษ มาพร้อมเทคโนโลยี COOLMAX ช่วยลดการสะสมความร้อน เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า ฝั่งคนขับปรับได้ 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มดันหลังด้วยไฟฟ้า และเบาะฝั่งผู้โดยสารปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อมปรับพับได้หลากหลายรูปแบบตามการใช้งาน ในด้านระบบความปลอดภัยเสริมด้วยเทคโนโลยี ADAS มาพร้อมกล้องหน้าคู่อัจฉริยะ 3D Imaging Stereo Camera

สำหรับขุมพลังมีให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซล 1.9 ลิตร ที่ให้กำลัง 150 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร ให้กำลัง 190 แรงม้า มาพร้อมแรงบิด 450 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบ Rev Tronic และมีระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ กับขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้เลือก

ราคาจำหน่าย
•   Isuzu MU-X รุ่น 1.9 Ddi Active ราคา 1,119,000 บาท
•   Isuzu MU-X รุ่น 1.9 Ddi Luxury ราคา 1,314,000 บาท
•   Isuzu MU-X รุ่น 1.9 Ddi Elegant ราคา 1,359,000 บาท
•   Isuzu MU-X รุ่น 3.0 Ddi Elegant ราคา 1,404,000 บาท
•   Isuzu MU-X รุ่น 1.9 Ddi Ultimate ราคา 1,454,000 บาท
•   Isuzu MU-X รุ่น 3.0 Ddi Ultimate ราคา 1,499,000 บาท
•   Isuzu MU-X รุ่น 3.0 Ddi Ultimate 4WD ราคา 1,599,000 บาท

"การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ https://smkinsurance.blogspot.com/ โทร.1596 Line : @smkinsurance

80
แม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะเริ่มมีแนวโน้มลดลงแต่ประเทศไทยก็ยังจำเป็นจะต้องตรึงราคาน้ำมันไว้ เพื่อนำเงินส่วนเกินไปอุดหนุนกองทุนน้ำมันที่ขาดทุนจากการนำไปอุ้มราคาน้ำมันดีเซล (ทำไมราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง แล้วของไทยไม่ลดลง https://www.ryt9.com/s/prg/3307823)  ทำให้ราคาน้ำมันยังไม่สามารถลดลงไปต่ำกว่าที่ควรจะเป็นได้ จึงเกิดกระแสโปรโมตอุปกรณ์ประหยัดน้ำมันออกมามากมาย แต่กลับไม่มีงานวิจัยยืนยันผลของอุปกรณ์ที่ชัดเจน (นวัตกรรมลวงโลก สายรัดประหยัดน้ำมัน https://hilight.kapook.com/view/225236) ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต้องออกมาให้ข้อมูลเรื่องแนวทางการประหยัดน้ำมันที่ถูกวิธี เพราะนอกจากจะช่วยลดรายจ่ายเรื่องการเดินทางแล้ว ยังเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมไม่ให้เกิดการใช้ทรัพย์กรธรรมชาติแบบสิ้นเปลืองอีกด้วย (น้ำมันแพงเพราะอะไร? เปิดสาเหตุน้ำมันแพง 2565 https://www.smk.co.th/newsdetail/2876) มีวิธีขับรถที่จะช่วยประหยัดน้ำมัน มาแนะนำดังนี้ค่ะ

1. เลือกรถยนต์ให้เหมาะกับการใช้งาน
ควรเลือกรถยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานในชีวิตประจำวันและพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล จะทำให้ได้ทั้งประสิทธิภาพในการขับและประหยัดน้ำมันมากขึ้น

2. ไม่จำเป็นต้องสตาร์ตรถทิ้งไว้เพื่ออุ่นเครื่องยนต์
การติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 2 นาที จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากถึง 40 ซีซี. จึงไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องยนต์ขณะที่รถจอดอยู่กับที่ เพียงแค่ขับรถเคลื่อนออกไปเบาๆ 1-2 กิโลเมตร เครื่องยนต์จะอุ่นเองโดยไม่จำเป็นต้องสตาร์ตทิ้งไว้ และหลังไฟเตือนต่าง ๆ บนหน้าปัดดับลงแล้ว ก็สามารถเคลื่อนรถออกไปได้อย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ เร่งเครื่องยนต์ทีละน้อยโดยไม่ใช้รอบสูง จะทำให้เครื่องยนต์อุ่นตัวได้เร็วขึ้น     
                                             
3. ไม่เหยียบเบรกกะทันหัน
การเหยียบเบรกกะทันหันหรือบ่อยเกินความจำเป็น จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันสูงถึง 40% และยังส่งผลเสียต่อตัวเครื่องยนต์อีกด้วย เบรกมีผลต่อการกินน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะทุกครั้งที่เหยียบเบรก ความเร็วจะลด หากต้องการไปต่อก็จำเป็นจะต้องเพิ่มความเร็วหรือเร่งเครื่องขึ้น จึงควรประเมินสถานการณ์ข้างหน้าก่อนเหยียบเบรกทุกครั้ง

4.   หลีกเลี่ยงการเร่งคันเร่งทันที หรือ การเร่งเครื่องยนต์บ่อยๆ
การเร่งเครื่องยนต์ขณะเกียร์ว่าง 10 ครั้งจะส่งผลให้รถสิ้นเปลืองน้ำมัน 100 ซีซี. การย่ำคันเร่ง หรือการเหยียบคันเร่งแล้วปล่อย จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก และพบว่าการเร่งเครื่องยนต์กะทันหันและการเบรกอย่างรุนแรง จะเพิ่มอัตราการบริโภคน้ำมันถึง 40 เปอร์เซ็นต์  และเพิ่มปริมาณการปล่อยสารพิษถึง 5 เท่า

5.   ขับรถด้วยความเร็วคงที่ ไม่ช้าเกินไปหรือเร็วมากเกิน
การรักษาความเร็วให้คงที่และไม่เกินป้ายจำกัดความเร็ว หรือใช้ความเร็วที่สม่ำเสมอ 60 - 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยให้รถประหยัดน้ำมัน และลดความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายบนท้องถนน ซึ่งการขับรถที่ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะทำให้รถกินน้ำมันน้อยลงถึง 10–15 เปอร์เซ็นต์

6.   หลีกเลี่ยงการขับขี่รถยนต์บนท้องถนนในช่วงเวลาฝนตก เนื่องจากสภาพการจราจรมักติดขัดมากกว่าปกติในช่วงฝนตก

7.   ลดการใช้เครื่องปรับอากาศในรถยนต์ในช่วงที่มีอากาศเย็น ซึ่งหากปิดแอร์ในรถเป็นเวลา 30 นาที ก็จะสามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง  10-15 %

8.   วางแผนเส้นทางเสมอก่อนการเดินทาง
การวางแผนเส้นทางการเดินทางด้วยระบบแผนที่นำทาง (Navigation System) เช่น Google Map เป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะเวลาขับรถระยะทางไกล การมีระบบนำทางที่วางใจได้เป็นวิธีหนึ่งในการช่วยให้ไปถึงที่หมายได้ โดยไม่ขับรถออกนอกเส้นทางหรือหลงทาง

9.   ตรวจเช็กความดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ
ยางที่มีลมอ่อนเกินไป ทำให้ผู้ขับขี่บังคับรถได้ยากขึ้น รถยนต์กินน้ำมันมากขึ้น และยางมีอายุการใช้งานสั้นลง การเติมแรงดันลมยางที่เหมาะสมจะช่วยลดความต้านทานการหมุนของล้อ เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ และยังช่วยประหยัดน้ำมันได้มากกว่า ในขณะเดียวกันหากลมยางแข็งเกินไป รถอาจเกาะถนนไม่ดี และยางก็อาจมีอายุการใช้งานสั้นด้วยเช่นกัน

10.   ตรวจเช็กเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ
เช่น ปริมาณน้ำยาทำความเย็น ความสกปรกของคอยล์ร้อนคอยล์เย็น และไส้กรอง  เพื่อให้ระบบทำงานมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะกับสภาพอากาศ ซึ่งหากปรับอุณหภูมิต่ำจนเกินไป อาจทำให้คอมเพรสเซอร์ก็จะทำงานหนักมากขึ้น เป็นภาระให้เครื่องยนต์ ส่งผลต่ออัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นไปด้วย
เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถก็จะช่วยทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงานน้ำมันได้เป็นอย่างดี เพิ่มความคุ้มครองให้กับรถยนต์ของท่าน จากเหตุการณ์ไม่คาดคิด เลือกประกันตามไมล์2 คืนไมล์ คืนเงิน ประกันชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท ประกันรถยนต์สำหรับคนขับน้อย มีความเสี่ยง พร้อมรับเบี้ยประกันคืนสูงสุดได้ถึง 15%  เมื่อขับได้ตามระยะทางที่ลดลงตามเงื่อนไขที่กำหนด สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/2 หรือ https://smkinsurance.blogspot.com/ โทร.1596 Line : @smkinsurance

81
เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังก้าวข้ามสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากปัญหาด้านพลังงานน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้น (น้ำมันแพงเพราะอะไร? เปิดสาเหตุน้ำมันแพง 2565 https://www.smk.co.th/newsdetail/2876) ทำให้กระแสการซื้อขายยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อทั้งอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้ขายปลีกหรือดีลเลอร์ สถานีบริการ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาครัฐ ธนาคาร และวงการประกันภัย แล้วธุรกิจใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
 
ที่ผ่านมา มีการจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาเพื่อรองรับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น และผลักดันให้เกิดการใช้รถยนต์ EV ในประเทศไทยอย่างแพร่หลายและเข้าถึงง่าย คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบรรเทาภาวะโลกร้อน จึงมีธุรกิจเกิดขึ้นมากมายที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า EV ที่น่าสนใจ ดังนี้

1.   ARUN PLUS ผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร[/b]]1.   ARUN PLUS ผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร

บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ธุรกิจ EV Value Chain ของ กลุ่ม ปตท. เป็นผู้ที่คอยดูภาพรวมและพัฒนาด้านการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า ที่จะเอื้อให้คนไทยเข้าถึง EV ได้อย่างสะดวกมากขึ้น

2.   on-ion ผู้ให้บริการชาร์จรถไฟฟ้า[/b]]2.   on-ion ผู้ให้บริการชาร์จรถไฟฟ้า
 
การชาร์จแบตเตอรี่เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ARUN PLUS จึงมีการขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ ออน-ไอออน (on-ion EV Charging Station) ในศูนย์การค้า โรงแรม อาคารสำนักงานต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อรองรับรถยนต์ EV ทั้งแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และแบบแบตเตอรี่ (BEV) โดยการใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน “on-ion” รวมไปถึงจำหน่ายและให้บริการติดตั้ง PTT EV Charger ในที่พักอาศัยด้วย

3.   E-Bus ระบบขนส่งสาธารณะพลังงานไฟฟ้า

           E-Bus หรือรถโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้าสำหรับรับ-ส่งพนักงานและผู้มาติดต่อภายในศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ (EnCo) ของกลุ่ม ปตท. โดยตัวถังและโครงสร้างของรถผลิตจากอลูมิเนียมขึ้นรูปพิเศษที่ผลิตในประเทศไทย เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พร้อมระบบความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

4.   EVme แพลตฟอร์มสำหรับคนอยากทดลองใช้ EV
 
EVme ดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ให้บริการเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ช่วยอำนวยความสะดวกให้สามารถเช่ารถยนต์ EV ขับแบบระยะสั้นและระยะยาวได้ภายในแอปฯ เดียว ซึ่งมีรถไฟฟ้าที่ขายอยู่ในตลาดไทยให้บริการครบทุกโมเดล และยังมีบริการข้อมูลเกี่ยวกับสถานีชาร์จและสถานีซ่อมบำรุง EV อีกด้วย

5.   Swap & Go ทางเลือกสลับแบตฯ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า

          Swap & Go สถานีให้บริการสลับแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบไม่ต้องรอชาร์จ เป็นทางเลือกใหม่ที่สะดวกสบาย ขับไปต่อได้อย่างต่อเนื่อง การใช้งานทันสมัย ง่าย และสะดวก ผ่านแอปพลิเคชัน Swap & Go เมื่อไปถึงตู้ชาร์จก็สามารถสแกน QR Code แล้วสลับแบตฯ ใหม่ที่พร้อมใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที โดยในปัจจุบันมีสถานีบริการ Swap & Go เปิดให้บริการแล้วจำนวน 22 แห่ง ครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ

6.   HORIZON PLUS ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

          ARUN PLUS และฟ็อกซ์คอนน์ เทคโนโลยี กรุ๊ป (Foxconn) ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุน “HORIZON PLUS” ขึ้น เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ด้วยบริการครบวงจร ทั้งการออกแบบ วางระบบการผลิต การบริหาร Supply Chain และการให้บริการที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายที่จะก่อตั้งโรงงานผลิต EV บนพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อผลิตรถไฟฟ้า 4 ล้อ (รถยนต์นั่งส่วนบุคคล) ออกสู่ตลาดในปี 2567 ให้ได้ 50,000 คัน/ปี
คนไทยตัดสินใจซื้อรถยนต์ EV เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่า!
วิจัยกรุงศรีได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2021 เพื่อศึกษาความต้องการ อุปสรรค และพฤติกรรมในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (รถยนต์ไฟฟ้า: ความต้องการและโอกาสที่กำลังมาถึง https://www.krungsri.com/th/research/research-intelligence/ev-survey-22) แล้วพบว่า
 
•   คนที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าตัดสินใจซื้อเนื่องจากค่าใช้จ่ายถูกกว่า ดีต่อสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
•   อุปสรรคสำคัญของการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ สถานีชาร์จไฟที่ยังมีจำนวนไม่ครอบคลุม ระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งที่สั้น ระยะเวลาการชาร์จที่นาน และราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ยังสูงกว่ารถ ICE
•   มากกว่าร้อยละ 80 วางแผนจะซื้อรถยนต์ใน 5 ปีข้างหน้า
•   รถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV เป็นรถที่ผู้บริโภคให้ความสนใจสูงสุด
•   ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าจะเริ่มเกิดขึ้นในปี 2022-23 และจะเร่งตัวขึ้นในปี 2024 เป็นต้นไป
•   ลักษณะของรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นที่ต้องการขยับลงมาที่รถขนาดเล็กและมีราคาถูกลง ผู้บริโภคยังมองรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสินค้าชนิดใหม่ จึงทำให้ความภักดีต่อแบรนด์ลดน้อยลง

ด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมรถยนต์ ทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องหาทางปรับตัวและหาช่องทางใหม่ๆ จึงจะช่วยให้สามารถแข่งขันต่อไปได้ รวมถึงจำเป็นต้องมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ควบคู่กับแนวคิดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม EV ให้เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทยด้วย

คุ้มครองคุณได้มากกว่าแม้ในวันน้ำมันแพง! "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 Line : @smkinsurance หรือ https://smkinsurance.blogspot.com/

82
ภายหลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถดำรงชีวิตและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้ใกล้เคียงกับปกติ หลายคนเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ โดยอาจมีการเช่ารถยนต์เพื่อท่องเที่ยว หรือใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเพื่อเรียนหรือทำงาน (อบรมต่ออายุใบขับขี่ทางออนไลน์ รู้ผลทันที ไม่เสียเวลา ช่วงโควิด-19 https://www.smk.co.th/newsdetail/1579) แล้วปัจจุบัน (2565) การทำใบขับขี่สากลจะมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง? ต้องใช้เอกสารอะไร? และใบขับขี่สากลจะสามารถใช้ได้กี่ประเทศ

ใบขับขี่สากลคืออะไร?

ใบขับขี่สากล มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ใบขับขี่ระหว่างประเทศ” เป็นเอกสารที่ใช้ในการยืนยันตัวตนเพื่อให้ผู้ถือสามารถขับขี่รถได้ในประเทศ หรือ ดินแดนที่ไม่ใช่ประเทศบ้านเกิด การท่องเที่ยวในต่างประเทศ การไปทำงาน หรือ ไปเรียนในต่างประเทศ นอกจากจะใช้ระบบขนส่งสาธารณะของประเทศนั้นๆ แล้ว ในบางพื้นที่ การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะอาจไม่สะดวก เท่ากับการขับรถไปเอง ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่มีใบขับขี่ของประเทศไทย จะสามารถขับรถได้ แต่จำเป็นต้องมี ใบขับขี่สากล หรือ ใบขับขี่ระหว่างประเทศ และควรจะเรียนรู้กฎหมาย หรือ ข้อกำหนดในแต่ละประเทศด้วย

ขอใบขับขี่สากลมีขั้นตอนอย่างไร?

การติดต่อขอทำใบขับขี่สากลในปัจจุบัน จะต้องทำการจองคิวล่วงหน้าผ่านการจองคิวออนไลน์ในแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือผ่านเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th ก่อนไปติดต่อทำใบขับขี่ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และลดขั้นตอนในการทำใบขับขี่ โดยสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 หรือสำนักงานขนส่งจังหวัดทุกจังหวัด โดยมีขั้นตอนที่กรมขนส่งทางบก ดังนี้
 
1.   ตรวจสอบเอกสาร และออกคำขอ
2.   ชำระค่าธรรมเนียม ( ปิดรับชำระเงิน 15.30 น. ) / จัดทำต้นขั้วใบขับขี่ / จ่ายใบขับขี่

กรณีไม่สามารถมาดำเนินการด้วยตนเอง ให้เตรียมหลักฐานเพิ่มเติม ดังนี้
1.   สำเนาเอกสารตามข้อ 1-3 พร้อมลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง
2.   หนังสือมอบอำนาจ (ฉบับจริง) พร้อมติดอากรแสตมป์ 10 บาท
3.   รูปถ่าย 2 นิ้ว (4 x 6 ซม.) จำนวน 2 รูป (เป็นรูปถ่ายที่ไม่เคลือบมัน ประทับตราราชการติด) ซึ่งเป็นรูปถ่ายครึ่งตัวหน้าตรง ไม่สวมหมวกหรือแว่นตาสีเข้ม และไม่ใส่ผ้าคลุมใบหน้าหรือผ้าโพกศีรษะ เว้นแต่ผู้ซึ่งมีความจำเป็นตามศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมของศาสนาของตน และถ่ายก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน 6 เดือน
4.   บัตรประชาชนผู้รับมอบอำนาจ (ฉบับจริง) ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
5.   สำเนาหลักฐานการแก้ไขชื่อ-สกุล คำนำหน้า ยศ ในกรณีที่เอกสารตามข้อ 1-3 ไม่ตรงกัน พร้อมลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง

ขอใบขับขี่สากลใช้เอกสารอะไรบ้าง?

1.   หนังสือเดินทาง เล่มที่ใช้ในการเดินทาง ประวัติหน้าที่แก้ไข (ฉบับจริง)  ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
2.   บัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับจริง)  ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
3.   ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล(ชนิด 5 ปี)หรือตลอดชีพ ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล(ชนิด 5 ปี)ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ หรือตลอดชีพ ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ (ฉบับจริง) ใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถตามกฎหมายว่าด้วยกรมการขนส่งทางบก ซึ่งยังไม่หมดอายุหรือใบแทนใบอนุญาตดังกล่าว ***(ฉบับจริง)***แล้วแต่กรณี
4.   รูปถ่าย 2 นิ้ว (4 x 6 ซม.) จำนวน 2 รูป (เป็นรูปถ่ายที่ไม่เคลือบมัน ประทับตราราชการติด) ซึ่งเป็นรูปถ่ายครึ่งตัวหน้าตรง ไม่สวมหมวกหรือแว่นตาสีเข้ม และไม่ใส่ผ้าคลุมใบหน้าหรือผ้าโพกศีรษะ เว้นแต่ผู้ซึ่งมีความจำเป็นตามศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมของศาสนาของตน และถ่ายก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน 6 เดือน
5.   ค่าธรรมเนียม 505 บาท
หมายเหตุ เอกสารหลักฐานตามข้อ 1-3 ต้องถูกต้องตรงกัน
 
กรณีเป็นชาวต่างชาติ
•   ใบอนุญาตขับรถ (ต้องไม่ใช่ชนิดชั่วคราว)
•   หนังสือเดินทาง (พร้อมฉบับจริง ต้องไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยว, เล่นกีฬา หรือเดินทางผ่านเมือง)
•   ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบอนุญาตทำงาน  (Work Permit) หรือใบอนุญาตทำงานอิเล็กทรอนิกส์   (Digital Work Permit)   ที่ยังไม่สิ้นอายุ หรือหลักฐานที่แสดงว่าเป็นผู้ได้รับการตรวจลงตราพิเศษ (Smart Visa) ที่รับรองโดยสถานทูต หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศตามอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ
•   รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 รูป (ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน)

ใบขับขี่สากลใช้ได้กี่ประเทศ

การที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาเวียนนา 1968 ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป กรมการขนส่งทางบกสามารถดำเนินการออกใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญาเวียนนา 1968 เพิ่มเติมจากใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญาเจนีวา 1949 เดิมที่มีผลบังคับใช้อยู่แล้ว ซึ่งมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้

•   ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศตามอนุสัญญาเจนีวา 1949 มีอายุ 1 ปี นำไปใช้ได้ใน 101 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้  เป็นต้น
•   ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศตามอนุสัญญาเวียนนา 1968 มีอายุ 3 ปี นับแต่วันออกใบอนุญาต หรือไม่เกินกว่าอายุของใบอนุญาตขับรถภายในประเทศที่ผู้ถือมีอยู่ นำไปใช้ได้ใน 84 ประเทศทั่วโลก เช่น บาห์เรน บราซิล เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น
•   สำหรับประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาทั้งสองฉบับ เช่น สหราชอาณาจักร อิตาลี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน รวมถึงประเทศไทย สามารถใช้ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศที่ออกตามอนุสัญญาเวียนนา 1968 เพียงฉบับเดียวได้   
•   สำหรับผู้ที่ต้องการขอรับใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศ สามารถแจ้งรายชื่อประเทศที่ต้องการนำใบอนุญาตขับรถไปใช้ต่อเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบความเกี่ยวข้องในการร่วมเป็นภาคีตามอนุสัญญา และออกใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศให้ได้อย่างถูกต้องตามแบบที่กำหนด

แม้ใบขับขี่สากลจะสามารถนำไปใช้ได้ในหลากหลายประเทศ แต่อาจจะต้องมีความระมัดระวังต่อกฎหมายจราจรของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกันออกไป เช่น บางประเทศที่ขับรถด้วยพวงมาลัยข้างซ้าย , ขับรถชิดขวา , การจำกัดความเร็ว หรือผู้ร่วมทางที่ควรระวังเป็นพิเศษ เช่น ทางม้าลายและจักรยาน เป็นต้น ช่วยคุ้มครองให้คุณทุกการเดินทางทั้งแบบรายเดี่ยวหรือเป็นหมู่คณะ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ด้วยประกันภัยการเดินทาง (TA) ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลระยะสั้นที่มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางของผู้เอาประกันภัยซึ่งอยู่ระหว่างการท่องเที่ยว สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productpadetail/3 หรือ https://smkinsurance.blogspot.com/

83
ภายหลังจากที่ได้มีเริ่มบังคับใช้ใบสั่งแบบใหม่ ให้สามารถจ่ายค่าปรับผ่านธนาคาร หรือสถานีตำรวจได้แล้วนั้น  ล่าสุด กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) จะเริ่มบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมายจราจร และไม่มาชำระค่าปรับภายในระยะเวลาที่กำหนด ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป พร้อมเปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถตรวจสอบใบสั่งค้างจ่ายได้ง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์ รายละเอียดจะเป็นอย่างไร
 
โดนใบสั่ง ไม่จ่ายค่าปรับ ส่งหมายจับถึงบ้าน

เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ที่กระทำความผิดตามกฎหมายจราจรแล้วไม่ไปชำระค่าปรับจำนวนมาก และยังคงมีพฤติการณ์ที่ฝ่าฝืนกฎหมายจราจรซ้ำ ๆ เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนและเกิดปัญหาการจราจรอย่างต่อเนื่อง กองบัญชาการตำรวจนครบาล จึงได้กำหนดมาตรการในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อส่งเสริมให้ผู้ขับขี่มีวินัยจราจร ช่วยลดปัญหาอุบัติเหตุ และปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานคร เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้

1.   เจ้าพนักงานจราจรออกใบสั่งให้กับผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ทั้งแบบ 1. ความผิดซึ่งหน้า 2.ความผิดที่ตรวจจับด้วยกล้องตรวจจับการกระทำความผิด ระยะเวลาเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยออกใบสั่งใน 3 รูปแบบ ได้แก่
•   การเขียนใบสั่งเล่ม
•   ใบสั่งจากภาพกล้องวงจรปิดส่งไปทางไปรษณีย์
•   ใบสั่งจากเครื่อง E-TICKET

2.   กรณีผู้กระทำความผิดไม่มาชำระค่าปรับ เมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในใบสั่งแต่ละประเภท เจ้าพนักงานจราจรจะออกหนังสือแจ้งการไม่ปฏิบัติตามใบสั่ง (ใบเตือน) โดยจัดส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับภายใน 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดชำระค่าปรับในใบสั่ง โดยให้ถือว่าเจ้าของ/ผู้ครอบครอง ได้รับแจ้งเมื่อพ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันส่ง และต้องชำระค่าปรับภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ซึ่งในขั้นตอนที่ 1. และ 2. ผู้กระทำความผิดสามารถเลือกชำระค่าปรับได้ที่
•   สถานีตำรวจทุกสถานีทั่วประเทศ
•   ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ของธนาคารกรุงไทย
•   เคาน์เตอร์เซอร์วิสที่มีสัญลักษณ์ PTM
•   ทางไปรษณีย์

3.   กรณีพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในใบเตือน และผู้กระทำความผิดยังไม่มาชำระค่าปรับ นอกจากการส่งข้อมูลไปยังกรมการขนส่งทางบกเพื่อดำเนินการตามมาตรการงดออกเครื่องหมายการเสียภาษีประจำปีแล้ว พนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพื่อให้มาชำระค่าปรับ หากไม่มาพบตามหมายเรียกทั้ง 2 ครั้ง พนักงานสอบสวนจะยื่นคำร้องขออนุมัติศาลในเขตพื้นที่เพื่อออกหมายจับ

4.   กรณีถูกออกหมายเรียกหรือหมายจับ ผู้ต้องหาจะถูกแจ้งข้อกล่าวหา ตามข้อหาที่ผู้ต้องหากระทำผิดตามใบสั่ง และความผิดข้อหาตามมาตรา 155 “ผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม ม.141 (ชำระค่าปรับในเวลาที่กำหนดในใบสั่ง) โดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งในขั้นตอนนี้ผู้ต้องหาต้องเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนด้วยตนเอง ณ สถานีตำรวจที่ออกหมายเรียก หมายจับ ไม่สามารถชำระผ่านช่องทางต่างๆ ตามข้อ 2 ได้

5.   ผลของการถูกออกหมายจับในคดีอาญา เมื่อถูกออกหมายจับแล้ว จะถูกบันทึกในระบบฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
•   เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวบุคคลที่มีหมายจับได้ทั่วราชอาณาจักร โดยใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมฐานข้อมูล
•   หากบุคคลที่มีหมายจับเดินทางออกนอกประเทศจะถูกจับ และเกิดความยากลำบากในเรื่องการเดินทาง
•   ถูกบันทึกในทะเบียนประวัติซึ่งอาจส่งผลต่อการประกอบอาชีพการทำงาน กรณีที่หน่วยงานสอบถามประวัติคดีอาญาว่าเป็นบุคคลที่มีหมายจับ
•   เกิดความยากลำบากและความน่าเชื่อถือในการทำนิติกรรม

6.   กรณีผู้ต้องหามาพบพนักงานสอบสวนด้วยตนเองหรือถูกจับกุม และยินยอมเปรียบเทียบปรับให้คดีอาญาเลิกกัน

7.   ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว สามารถตรวจสอบย้อนหลังใบสั่งที่ยังไม่หมดอายุความ (ระยะเวลา 1 ปี) โดยเน้นกรณีกระทำผิดซ้ำบ่อยครั้งก่อน
ใบสั่งหายตรวจสอบออนไลน์ได้แล้ว!

กรณีที่ใบสั่งหาย สามารถตรวจสอบออนไลน์ได้ ผ่านเว็บไซต์ ptm.police.go.th ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งวิธีตรวจสอบใบสั่งออนไลน์ มีดังนี้

1.   ลงทะเบียนผู้ใช้งานเว็บไซต์ ptm.police.go.th โดยใช้หมายเลขบัตรประชาชน / หมายเลขใบขับขี่หรือหมายเลขทะเบียนรถ

2.   ดำเนินการเข้าสู่ระบบด้วยหมายเลขบัตรประชาชน และรหัสผ่านที่ตั้งไว้

3.   ค้นหาใบสั่งโดยระบุวันที่กระทำผิด จากนั้นกดปุ่ม “ค้นหา”

4.   หน้าจอจะปรากฎรายการใบสั่งที่เคยได้รับ โดยสามารถคลิกดูรายละเอียดของใบสั่งแต่ละฉบับได้ (กรณีได้รับใบสั่งมากกว่า 1 คัน จะปรากฎรายการทั้งหมดภายใต้ชื่อผู้ครองครองคนเดียวกัน)

5.   ดำเนินการชำระค่าปรับออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT หรือชำระที่สถานีตำรวจ, ธนาคารกรุงไทย, สาขาของไปรษณีย์ไทย, ตู้ ATM ธนาคารกรุงไทยหรือตู้บุญเติม

สามารถสอบถามข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร (บก.02) หมายเลขโทรศัพท์ 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือทาง Facebook และ Twitter 1197

ช่วยดูแลความปลอดภัยให้คุณและรถ พร้อมอัตราเบี้ยพิเศษสำหรับผู้ขับขี่ที่มีโปรไฟล์ดี ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ https://smkinsurance.blogspot.com/ Line : @smkinsureance

84
รถยนต์ EV หรือ รถยนต์ไฟฟ้า กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้คนยุคโควิด และเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ในวันน้ำมันแพง (รถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท? ประเภทรถไฟฟ้าแบบไหนที่เหมาะ? https://www.smk.co.th/newsdetail/2873) และล่าสุดเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศโครงสร้างการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์-รถจักรยานยนต์ใหม่ โดยมีภาษีสรรพสามิตอัตราพิเศษสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า EV ลดลงจากเดิม 

ราชกิจจาประกาศลดอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจาก 8% ลดลงเหลือ 2%

ภายหลังจากที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศกฎกระทรวง เรื่องกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 23) พ.ศ. 2565 ได้กล่าวถึง โครงสร้างการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์-รถจักรยานยนต์ใหม่ ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การรื้ออัตราโครงสร้างภาษีเดิมทั้งหมด และจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไปอย่างไรก็ตาม ภายใต้ประกาศนี้ยังกล่าวถึงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอัตราพิเศษสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่ลดลงจาก 8% เหลือ 2% และมีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ธันวาคม 2568 ด้วย (ประกาศราชกิจจานุเบกษาฉบับเต็ม http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2565/A/037/T_0001.PDF)
ตามประกาศนี้ จะส่งผลให้รถยนต์ EV ที่เข้าร่วมโครงการกับรัฐบาล และลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับกรมสรรพสามิตว่าต้องทำตามเงื่อนไขต่างๆ และมีแผนผลิตคืนในประเทศหลังจากปี 2567 จะได้ภาษีสรรพสามิต EV อัตราพิเศษทันที

MG และ GWM ประกาศลดราคาอีกครั้ง!

ในช่วงที่ผ่านมา 2 ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากจีน ทั้ง MG และ GWM สามารถลดค่าใช้จ่ายจากภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (0%) และรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจำนวน 150,000 บาทต่อคัน (ในกรณีที่แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้ามีความจุเกิน 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง) แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการขายได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากลูกค้าส่วนหนึ่งยังคงรอประกาศเรื่องลดภาษีสรรพสามิต EV เพื่อจะได้ส่วนลดเต็มเพดานในกลุ่มรถยนต์ EV เพื่อให้สามารถซื้อได้ในราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท
 
ภายหลังราชกิจจานุเบกษาประกาศปรับลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีอัตราการเสียภาษีเดิมอยู่ที่ 8% ลดลงเหลือ 2% อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าลดลงเพิ่มเติมจากก่อนหน้า ส่งผลให้รถยนต์ MG ZS EV รุ่น X ที่มีราคาอยู่ 1,269,000 บาท ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล 150,000 บาทต่อคัน หากรวมกับภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ก็จะช่วยลดภาษีลงได้อีก 96,000 บาท ทำให้ราคาขายจะเหลือเพียง 1,023,000 บาท ลดลงไปได้ถึง 246,000 บาท
 
ในขณะที่ GWM ซึ่งได้ประกาศปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้าในรุ่น ORA Good Cat ไปแล้วในระยะที่ 1 (เฟสแรก) จำนวน 7 หมื่น – 1.5 แสนบาท ได้ออกประกาศปรับราคาจำหน่าย ORA Good Cat ในระยะที่ 2 (เฟส 2) อีกครั้ง จำนวนทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่

•   ORA Good Cat รุ่น 400 TECH จากราคาเดิม 828,500 บาท เป็นราคาใหม่ 763,000 บาท
•   ORA Good Cat รุ่น 400 PRO จากราคาเดิม 898,500 บาท เป็นราคาใหม่ 828,500 บาท
•   ORA Good Cat รุ่น 500 ULTRA จากราคาเดิม 1,038,500 บาท เป็นราคาใหม่ 959,000 บาท

หลังจากที่มีการประกาศการลดภาษีสรรพสามิตอย่างเป็นทางการแล้ว ขั้นตอนต่อไป บริษัทฯ ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ EV จะต้องยื่นเอกสารเพื่อแสดงความประสงค์ในการเข้าร่วมโครงการและรับสิทธิประโยชน์เพื่อขอส่วนลดดังกล่าว พร้อมขออนุมัติราคาขายปลีกที่ลดลงอย่างเป็นทางการจากกรมสรรพสามิต หลังจากได้รับการอนุมัติแล้ว แต่ละบริษัทจึงจะสามารถจำหน่ายรถยนต์ไนราคาที่ปรับลดลงได้ และจะส่งมอบรถให้กับลูกค้าในลำดับต่อไป โดยจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินการประมาณ 3-4 สัปดาห์ แต่หากผู้ซื้อประสงค์จะรับมอบรถก่อนการอนุมัติราคาที่ลดลงอย่างเป็นทางการจากกรมสรรพสามิต อาจจะได้รับสิทธิประโยชน์จากราคาในปัจจุบันที่ไม่รวมภาษีสรรพสามิตที่ได้ลดลง
 
การเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการใช้และการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเฟส 2 ของบริษัทฯ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ EV ในครั้งนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้นถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่จะผลักดันประเทศไทยสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าได้ในที่สุด เป็นอีกหนึ่งทางเลือกด้านพลังงานที่สำคัญสำหรับผู้บริโภคในยุควิกฤตน้ำมันแพง
ให้ประกันรถยนต์ตามเวลาช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤตน้ำมันแพง เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน จ่ายสบาย เพื่อความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ https://smkinsurance.blogspot.com/ Line : @smkinsurance

85
หลายครั้งที่ผู้ขับขี่รถยนต์ต้องเลือกใช้บริการจากอู่ซ่อมรถยนต์ที่มีช่างผู้ชำนาญการเฉพาะที่ไว้ใจได้ เนื่องจากมีราคาย่อมเยา จับต้องได้ มากกว่าการเลือกใช้บริการที่ศูนย์บริการซึ่งอาจทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่แพงกว่า แต่ก็ต้องปวดหัวกับประเภทของอะไหล่รถยนต์ที่ช่างเสนอมาให้เลือกใช้ ว่าต้องการอะไหล่รถยนต์มีประเภทไหนกันบ้าง? (11 อะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนเมื่อครบกำหนด https://www.smk.co.th/newsdetail/331)

ประเภทของอะไหล่รถยนต์

ประเภทของอะไหล่รถยนต์ตามภาษาเรียกของช่างและคนทั่วไป สามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้

1. อะไหล่แท้

คืออะไหล่ที่มาจากบริษัทรถยนต์โดยตรงทำให้มีราคาสูง มีคุณสมบัติและคุณภาพที่ได้มาตรฐานจากบริษัทรถยนต์เป็นของใหม่ มีกล่องหรือหีบห่อที่เป็นโลโก้เดียวกับรถยนต์ สามารถเบิกจากศูนย์บริการได้ แต่การสั่งผ่านร้านอะไหล่อาจเจออะไหล่ปลอมที่ทั้งตัวอะไหล่และกล่องบรรจุ อะไหล่แท้จึงควรซื้อจากศูนย์หรือร้านอะไหล่ใหญ่ๆ ที่ไว้ใจได้

2. อะไหล่เทียมแท้

เป็นอะไหล่ใหม่แกะกล่อง แต่เป็นยี่ห้ออิสระที่มีราคาถูกกว่าอะไหล่ของแท้ราว 15-40% แล้วแต่ประเภทของอะไหล่ โดยร้านที่จำหน่ายมักอ้างว่าเป็นบริษัทเดียวกับที่ผลิตให้บริษัทรถยนต์ มีบางยี่ห้อที่ผลิตให้กับบริษัทรถยนต์จริง แต่ก็มีหลายยี่ห้อที่ไม่ใช่ จำเป็นต้องหาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพราะอะไหล่ OEM ที่ผลิตให้กับโรงงานประกอบรถยนต์นั้นจะมีเพียงไม่กี่ยี่ห้อ แล้วแต่ประเภทว่าเป็นอะไหล่ส่วนไหนของเครื่องยนต์

3. อะไหล่เทียม

คืออะไหล่ที่ลอกเลียนเลียบแบบอะไหล่แท้และอะไหล่เทียบโดยใช้วิธีการปลอมสินค้า ผลิตขึ้นจากโรงงานที่ขาดความสามารถในการทำการผลิตแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ ส่วนมากจะปลอมอะไหล่ยี่ห้อที่ได้รับการยอมรับหรือยี่ห้อขายดีในตลาด แต่เป็นอะไหล่คุณภาพต่ำ มีข้อจำกัดเรื่องราคาและเทคโนโลยีการผลิต ทำให้ได้อะไหล่ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพมากนัก เน้นราคาถูกไว้ก่อน ซึ่งอายุการใช้งานจะสั้นมาก และบางครั้งอาจจะส่งผลให้เกิดความเสียหายมากขึ้นกว่าปกติ

4. อะไหล่เทียบ

คืออะไหล่ที่สามารถใช้ร่วมกันได้ในรถยนต์ที่ผลิตขึ้นจากต่างบริษัทหรือต่างยี่ห้อได้ ตัวอย่างเช่น รถญี่ปุ่นและรถเกาหลีมีปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์หัวฉีดที่มีขนาดเท่ากัน รวมถึงลักษณะคล้ายกันจึงใช้ทดแทนกันได้ มากกว่านั้นการเลือกอะไหล่เทียบมาใช้แทนอะไหล่แท้ก็เป็นการช่วยลดค่าใช้จ่าย และสามารถให้ประสิทธิภาพในการทำงานที่เท่าๆ กัน ซึ่งอะไหล่แท้บางยี่ห้อจะมีราคาแพงมาก ก็สามารถเลือกยี่ห้อถูกกว่ามาใช้แทนแต่มีคุณภาพจัดอยู่ในระดับอะไหล่แท้ได้

5. อะไหล่มือสอง

คืออะไหล่ที่ถอดจากรถรุ่นเดียวกัน มาได้จากทั้งในและต่างประเทศ และอะไหล่บางชนิดก็สามารถใช้ได้และดีกว่าอะไหล่เทียมบางยี่ห้อ แต่ต้องมีทักษะ ความรู้ และความเชี่ยวชาญในการเลือกซื้อ ควรหาอะไหล่มือสองจากร้านที่สามารถตรวจสอบที่มาของอะไหล่ได้จะดีที่สุด เนื่องจากชิ้นส่วนต่างๆ ภายในรถยนต์จะมีความแตกต่างกันไปในรายละเอียดการเลือกซื้อและพิจารณาเลือกชิ้นส่วน

อะไหล่รถยนต์แต่ละประเภทราคาเท่าไร?

เมื่อเลือกประเภทของอะไหล่ที่ต้องการเลือกใช้เพื่อเปลี่ยนชิ้นส่วนของรถยนต์ที่เสียหายจนไม่สามารถซ่อมได้แล้ว ก็ควรหาข้อมูลเรื่องราคาของอะไหล่แต่ละยี่ห้อเพื่อเปรียบเทียบกันด้วย (ร้านอะไหล่รถยนต์ออนไลน์ คลิก https://www.milework.com) ดังนี้
 
1. กระบอกสูบ (Cylinders) ราคาประมาณ 300,000 บาท

กระบอกสูบเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของเครื่องยนต์ ทำหน้าที่เป็นช่องทางขึ้น-ลงของลูกสูบเพื่อจุดระเบิดเครื่องยนต์ ราคาโดยประมาณของกระบอกสูบจะอยู่ที่ 2-3 แสนบาท ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หากต้องเปลี่ยนกระบอกสูบขึ้นมาจริงๆ เจ้าของรถส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจขายรถคันนั้นและหาซื้อรถคันใหม่แทน

2. แบตเตอรี่ ไฮบริด ราคาประมาณ 180,000 บาท

แบตเตอรี่สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริดคืออุปกรณ์สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง เพราะเป็นแหล่งรวมพลังงานเกือบทั้งหมดในการขับเคลื่อน และรถยนต์รุ่นที่เป็นไฮบริดจะราคาสูงขึ้นกว่ารุ่นเครื่องยนต์ปกติในหลักแสนบาท เพราะราคาแบตเตอรี่ไฮบริดซึ่งเป็นลิเธียมไอออนราคาสูงถึงประมาณ 180,000 บาท ส่งผลให้ค่ายรถที่ผลิตรถประเภทนี้ออกมาขาย ส่วนใหญ่จะมีการรับประกันแบตเตอรี่เป็นระยะเวลา 5-10 ปี

3. ชุดเกียร์ (Transmission) ราคาประมาณ 150,000 บาท

ระบบส่งกำลังหรือ “เกียร์” ถือเป็นชุดอะไหล่ที่มีราคาแพงลำดับต้นๆ ในรถยนต์บางรุ่นบางยี่ห้อชุดเกียร์อัตโนมัติหากเปลี่ยนที่ศูนย์บริการจะมีราคาสูงระดับ 2 แสนบาท แต่หากคิดเฉลี่ยทุกยี่ห้อออกมาแล้ว ประมาณราคาอยู่ที่ 150,000 บาท ซึ่งโดยปกติแล้วรถยนต์ 1 คัน อาจไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์เลยก็ได้ตลอดอายุการใช้งาน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้เกียร์รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับรถบางรุ่นและบางคันเท่านั้น

4. ชุดช่วงล่าง (Suspension) ราคาประมาณ 105,000 บาท

อีกหนึ่งส่วนสำคัญของรถยนต์คือช่วงล่าง ซึ่งตอบสนองได้ทั้งความนุ่มนวลในการขับขี่ ระบบเบรก ระบบสมดุลของรถ ส่งผลด้านความปลอดภัย โดยชุดช่วงล่างจะมีส่วนประกอบสำคัญหลายชิ้น และสามารถแยกซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่แต่ละชิ้นได้ แต่หากต้องเปลี่ยนช่วงล่างยกชุด ราคาจะประมาณอยู่ที่ 105,000 บาท

5. เพลาลูกเบี้ยว (Camshaft) ราคาประมาณ 50,000 บาท

Camshaft หรือในภาษาไทยเรียกอะไหล่ชิ้นนี้ว่า “เพลาลูกเบี้ยว” ทำหน้าที่ปิดเปิดลิ้นไอเสีย และเคลื่อนที่ด้วยเฟืองที่ขบกับเฟืองของเพลาข้อเหวี่ยง เมื่อการใช้งานผ่านไปเพลาลูกเบี้ยวจะมีเศษสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตัน ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องถือเป็นการรักษาอะไหล่ชิ้นนี้ไปในตัว แต่หากเพลาลูกเบี้ยวแตก ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งชิ้น ซึ่งราคาของตัวเพลาอาจไม่แพงมาก แต่ขั้นตอนในการเปลี่ยนค่อนข้างยุ่งยาก เมื่อรวมค่าแรงแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท
 
ดูแลรถคุณให้ปลอดภัย ด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา ช่วยให้คุณจ่ายสบายด้วยเบี้ยเบาๆ บรรเทาภาระในยามวิกฤต เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง เบี้ยเริ่มต้นที่ 969 บาทต่อปี สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/premotor Line : @smkinsurance หรือ https://smkinsurance.blogspot.com/

86
“ถุงลมนิรภัย” นับเป็นอุปกรณ์พื้นฐานเพื่อป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนที่รถยนต์ทุกคันต้องมี แต่ก็มีรถยนต์บางคันที่มีถุงลมนิรภัยที่ไม่ได้มาตรฐาน และจำเป็นจะต้องได้รับการเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด (เช็กด่วน! รถรุ่นไหนใช้ถุงลมนิรภัยไม่ได้มาตรฐาน https://www.smk.co.th/newsdetail/2893) แต่ก็อาจเกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วถุงลมนิรภัยมีหลักการทำงานอย่างไร? มีวันหมดอายุหรือเสื่อมสภาพได้หรือไม่?

ถุงลมนิรภัยทำงานอย่างไร?

“ถุงลมนิรภัย” มีลักษณะคล้ายกับถุงลมที่บรรจุลมอยู่ด้านในและพองออกมาจากด้านหน้าตัวรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ วัตถุดิบที่นำมาใช้ทำถุงลมนิรภัยจะทำมาจากถุงไนลอนหรือโพลีเอไมด์ โดยอากาศที่บรรจุอยู่ภายในจะมีแก๊สไนโตรเจนบรรจุไว้อยู่ประมาณ 60-70 ลิตร หลังเกิดการกระแทกที่รุนแรงจากด้านนอกเข้ามาที่ตัวรถ แรงกระแทกจะไปโดนตัวลูกบอลเหล็กด้านในเพื่อสั่งให้ถุงลมนิรภัยทำงานและพองตัวออกมาอย่างรวดเร็ว และแก๊สที่ถูกเก็บในรูปของของแข็งที่ชื่อ โซเดียมเอไซด์ จะเกิดปฏิกิริยาสลายตัวกลายเป็นโลหะโซเดียมและแก๊สไนโตรเจนในที่สุด

การทำงานของถุงลมนิรภัย จะไม่ได้ถูกตั้งค่าให้มีการทำงานทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เพราะผู้ผลิตแต่ละรุ่นจะมีการกำหนดการทำงานที่ชัดเจนแตกต่างกันออกไป โดยหลักการทำงานของถุงลมนิรภัยส่วนใหญ่จะถูกตั้งค่าให้ทำงานเมื่อมีการชนด้านหน้าอย่างรุนแรงและในรัศมีที่กำหนดเท่านั้น แต่หากไม่อยู่ในรัศมีและแรงกระแทกไม่ถึงค่าที่กำหนดถุงลมนิรภัยจะไม่ทำงาน เพราะการป้องกันความปลอดภัยในเบื้องต้นจะอาศัยโครงสร้างของตัวรถและชุดเข็มขัดนิรภัยที่เพียงพอต่อการป้องกันในสภาพความเร็วต่ำอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยชุดถุงลมนิรภัยเพิ่มอีก

ถุงลมนิรภัยจะทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ความเร็วเท่าไร?

ทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ถุงลมนิรภัยจะทำงานที่ความเร็วดังนี้
 
•   คู่กรณีเป็นฝ่ายชนเข้ามาด้วยความเร็วและเกิดความเสียหายต่อตัวรถจนผิดรูป เช่น ชนกับเสาไฟฟ้าหรือชนด้านหลังรถบรรทุก ความเร็วจะต้องมากกว่า 20 กิโลเมตร/ชม. ที่จะทำให้ถุงลมนิรภัยพองตัว
•   การทำงานของถุงลมนิรภัยจะพองตัวเมื่อรถยนต์ชนกับเสาที่ความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตร/ชม.
•   การชนกับรถที่จอดอยู่กับที่ ชนกับกำแพง ชนคอนกรีต หรือชนนอกศูนย์กลางด้านหน้า ความเร็วของรถยนต์ต้องมากกว่า 40 – 50 กิโลเมตร ต่อชม. จึงจะทำให้ถุงลมนิรภัยพองตัว

การทำให้ถุงลมนิรภัยทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด ควรปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้เหมาะสม และควรคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง เพราะเข็มขัดนิรภัยจะลิงก์การทำงานกับถุงลมนิรภัย ทำให้ร่างกายผู้โดยสารอยู่ในมุมองศาที่ถูกต้อง และเกิดการบาดเจ็บน้อยลง นอกจากนี้ห้ามวางสิ่งของบนแป้นถุงลมนิรภัย และห้ามติดสติกเกอร์บนแป้นถุงลมนิรภัยโดยเด็ดขาด เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ถุงลมนิรภัยอาจจะไม่ระเบิดออกมา จนอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงจากแรงกระแทกของรถยนต์ได้

ถุงลมนิรภัยหมดอายุได้หรือไม่?

ผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ถุงลมนิรภัยควรเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 7 ปี และในอนาคตมีแนวโน้มที่จะบังคับให้บริษัทรถยนต์ระบุอายุการใช้งานของถุงลมหรือติดป้ายวันหมดอายุของถุงลมไว้ในที่ที่มองเห็น เพื่อป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับถุงลมหมดอายุที่เริ่มมีมากขึ้นบนถนน

การตรวจสอบการทำงานของถุงลมนิรภัย โดยเฉพาะในรถที่มีอายุการใช้งานมากหน่อย วัสดุอุปกรณ์อาจเสื่อมไปตามกาลเวลา ซึ่งเมื่อระบบถุงลมนิรภัยทำงานผิดปกติจะมีไฟเตือนถุงลมนิรภัยแสดงขึ้น ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เนื่องจากระบบตรวจเช็กการทำงานถุงลมนิรภัย จะต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เฉพาะทางซึ่งส่วนใหญ่จะมีอยู่ในศูนย์บริการของค่ายรถยนต์หรือช่างผู้ชำนาญการเท่านั้น 

ก่อนขับขี่ทุกครั้งควรศึกษาการใช้งานหรือการทำงานของระบบรักษาปลอดภัยในรถยนต์อย่างถี่ถ้วน ควรคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ตั้งระยะห่างของที่นั่งคนขับให้ห่างจากพวงมาลัยและคอนโซลหน้าที่เหมาะสมกับความสูงของคนขับ และควรนำเด็กไปนั่งด้านหลังหรือไม่ควรนำสิ่งของไปวางไว้บนฝาครอบถุงลมนิรภัยเพื่อความปลอดภัย
 
ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่มความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/premotor หรือ https://smkinsurance.blogspot.com/

87
หนึ่งในอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยสำหรับรถยนต์นอกจากจะเป็นการคาดเข็มขัดนิรภัยตามกฎหมายกำหนดแล้ว ยังรวมไปถึงถุงลมนิรภัยที่ถูกจัดเก็บไว้ใต้คอนโซลหน้ารถ แต่ก็พบว่า มีถุงลมนิรภัยบางยี่ห้อที่เป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่จนอาจเป็นอันตรายจนถึงแก่ สภาองค์กรของผู้บริโภคได้แถลงข่าวเรียกร้องให้บริษัทรถยนต์เร่งเปลี่ยน "ถุงลมนิรภัย Takata" ที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตได้ หลังพบว่ายังมีรถยนต์ในไทยที่มีการใช้งานกว่า 6 แสนคัน

ถุงลมนิรภัย คืออะไร?

ถุงลมนิรภัย เป็นอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยของรถยนต์ ทำหน้าที่เสมือนเป็นหมอนรองผู้โดยสารที่ประกอบไปด้วยวัสดุห่อหุ้มที่มีความยืดหยุ่น ถูกออกแบบมาเพื่อการขยายตัวอย่างรวดเร็วเมื่อรถยนต์เกิดอุบัติเหตุ มีลักษณะคล้ายกับลูกบอลอากาศขนาดใหญ่ที่โผล่พ้นออกมาจากพื้นที่ที่มีการพับเก็บไว้อย่างดีในบริเวณคอนโซลรถ

จุดประสงค์ของการมีถุงลมนิรภัยก็เพื่อป้องกันผู้โดยสารจากการกระแทกกับวัตถุภายในรถยนต์ เช่น พวงมาลัย และหน้าต่าง ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่มีถุงลมนิรภัยรองรับ เมื่อผู้โดยสารเกิดกระแทกกับวัตถุภายในของรถยนต์โดยตรงจะมีโอกาสบาดเจ็บได้มากกว่า และเปอร์เซ็นต์การเสียชีวิตก็มีมากกว่ารถยนต์ที่ไม่มีถุงลมนิรภัย

ถุงลมนิรภัยอยู่ส่วนไหนของรถยนต์

ตำแหน่งของถุงลมนิรภัยในรถยนต์แต่ละรุ่นจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหากเป็นรถยนต์ทั่วไปจะมีถุงลมนิรภัยขั้นต่ำอยู่ที่ 2 ตำแหน่งบริเวณคอนโซลหน้า แต่หากเป็นรถยนต์ที่มีราคาแพงขึ้นมา อาจมีถุงลมนิรภัย 4-6 ตำแหน่ง หรือในบางรุ่นอาจมีมากถึง 8 ตำแหน่ง เช่น

•   ถุงลมด้านหน้า (Front Airbag) จะติดตั้งอยู่บนโครงด้านหน้าขวาและซ้าย ช่วยป้องกันคนขับรถและคนนั่งข้างคนขับ
•   ถุงลมด้านข้าง (Side Airbag) จะติดตั้งอยู่ที่แผงประตูหรือที่ตัวเบาะนั่ง
•   ม่านถุงลม (Curtain Airbag) จะช่วยป้องกันการชนจากด้านข้างในระดับปานกลางถึงรุนแรง ถุงลมแบบม่านจะพองตัวออกมา พร้อมการดึงกลับของเข็มขัดนิรภัย มักจะติดตั้งในรถยนต์ที่มีราคาแพง
•   ถุงลมป้องกันเข่าและขา (Knee Airbag) จะซ่อนอยู่ใต้คอนโซลด้านผู้ขับขี่บริเวณหัวเข่า ช่วยป้องกันขา และหัวเข่า ไม่ให้ไปชนเข้ากับคอนโซล ด้านล่างใต้พวงมาลัย รวมทั้งสะโพก และเข่า
•   ถุงลมที่พื้นใต้เท้า (Carpet Airbag) ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้ ทำหน้าที่ช่วยผ่อนแรงบริเวณเท้าที่จะไปกระแทกกับพื้น และผนังกั้นระหว่างห้องโดยสาร และห้องเครื่องให้เบาลง

ถุงลมนิรภัย อุปกรณ์ช่วยชีวิต หรือระเบิดเวลา!

เหตุการณ์การเสียชีวิตได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีผู้ใช้งานเสียชีวิตและบาดเจ็บจากถุงลมนิรภัยระเบิด (ย้อนรอยคดีถุงลมนิรภัยมรณะ Takata จนต้องเรียกคืนรถเกือบ 100 ล้านคัน และบริษัทล้มละลาย https://www.magcarzine.com/takata-airbag-007/) และได้ทำการสอบสวนจนพบถึงสาเหตุว่า เกิดจากถุงลมนิรภัยบกพร่อง ซึ่งเป็นถุงลมนิรภัยที่ผลิตโดยบริษัท ทาคาตะ ผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก และมีลูกค้าเป็นค่ายรถยนต์ชั้นนำจำนวนมาก สาเหตุเป็นเพราะความชื้นที่สูงอาจส่งผลกระทบต่อสารเคมีแอมโมเนียมไนเตรตที่ใช้ผลิต และทำให้ถุงลมปล่อยแรงระเบิด และเศษชิ้นส่วนที่เป็นอันตรายต่อผู้โดยสาร แทนที่จะปกป้องผู้โดยสาร

สำหรับประเทศไทย ได้มีการขายรถหลายยี่ห้อ หลายรุ่น รวมแล้ว รถกว่า 1.7 ล้านคันในไทยติดตั้งถุงลมนิรภัยดังกล่าว และได้มีการเรียกคืนเพื่อเปลี่ยนถุงลมไปแล้ว แต่ก็พบว่า ยังมีรถอีกจำนวนหลายแสนคันที่ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัยกว่า 6 แสนคัน

อันตรายของถุงลมนิรภัยไม่ได้มาตรฐาน

ที่ผ่านมาในประเทศไทย เคยมีกรณีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ซึ่งจากการชันสูตรยืนยันได้ว่าเป็นการเสียชีวิตจากชิ้นส่วนที่กระเด็นออกมาจากถุงลมนิรภัย พบบาดแผลผู้เสียชีวิตฉีกขาดเป็นวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3.5 ซม. บริเวณกลางหน้าอกด้านบน ลึกไปจนถึงกระดูกสันหลังช่วงคอ และพบชิ้นส่วนโลหะฝังตัวในกระดูกสันหลัง โดยสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากชิ้นส่วนโลหะดังกล่าวที่ทะลุบริเวณคอและหน้าอกส่วนบน ทั้งนี้ ชิ้นส่วนโลหะดังกล่าวมีลักษณะเข้าได้กับชิ้นส่วนของถุงลมนิรภัย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นยี่ห้อ "ทาคาตะ"

เรียกคืนเปลี่ยนชิ้นส่วนถุงลมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ที่ผ่านมา กรมการขนส่งทางบก ได้มีการเรียกคืนรถยนต์บางส่วนเพื่อเข้ารับบริการเปลี่ยนชิ้นส่วนถุงลมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งค่าอะไหล่ และค่าแรงในการเปลี่ยนอะไหล่ จำนวนทั้งสิ้น 1,725,816 คัน และสามารถแก้ไขชุดถุงลมนิรภัยไปได้จำนวน 1,045,336 คัน คิดเป็นร้อยละ 60.6 แต่ยังคงเหลือรถอีกจำนวน 680,480 คัน ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนถุงลมนิรภัยจาก 8 บริษัทรถยนต์ ได้แก่ ฮอนด้า บีเอ็มดับเบิลยู นิสสัน โตโยต้า มิตซูบิชิ มาสด้า เชฟโรเลต และฟอร์ด ที่ได้มีการขายรถยนต์รุ่นต่างๆ ที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยอันตรายยี่ห้อดังกล่าวในประเทศไทยมากว่าสิบปี

สำหรับผู้เป็นเจ้าของหรือใช้งานรถยนต์ทั้ง 8 ยี่ห้อ ดังกล่าว สามารถเช็ครุ่นรถ และปีที่ผลิตได้ว่า เข้าข่ายเป็นอันตรายจากถุงลมนิรภัยหรือไม่ ที่เว็บไซต์ www.checkairbag.com หรือ https://bit.ly/3M31Hso จากนั้นคลิกเลือกยี่ห้อรถยนต์ และนำตัวเลขตัวถังของรถค้นหา หากเข้าข่ายที่ต้องเปลี่ยนให้ติดต่อกับศูนย์บริการรถยนต์ที่คุณใช้อยู่ และนำรถเข้ารับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัยกับศูนย์บริการฯ ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
 
คุ้มครองให้ปลอดภัยทั้งคุณและรถ ประกันภัยรถยนต์คนกรุง ประกันรถยนต์ชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท เบี้ยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปี คุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 https://smkinsurance.blogspot.com/

88
มีหลายครั้งที่จำเป็นจะต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวเพื่อขนย้ายสิ่งของเป็นจำนวนมาก แต่รถยนต์บางรุ่นถึงแม้จะพับเบาะได้ แต่ก็ไม่ตอบโจทย์ความต้องการสำหรับสิ่งของบางชิ้นที่มีรูปทรงหรือขนาดแตกต่างกัน และบางครั้งก็อาจจำเป็นจะต้องจอดรถเพื่อแวะพักนอนระหว่างทางหากต้องเดินทางไกล แล้วรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นไหน ยี่ห้อไหนบ้าง ที่ขนของได้จุ และพับเบาะนอนเรียบได้

1.   Isuzu MU-X 2022

Isuzu MU-X 2022 ใหม่ มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน ได้แก่ ไฟหน้าแบบ Bi-Beam LED พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ, ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า, หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay/Android Auto, ระบบนำทาง, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ, กุญแจ Isuzu Genius Entry และปุ่ม Push Start

เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง Coolmax สีน้ำตาล Saddle Brown แบบสปอร์ตกึ่ง Bucket Seat เบาะนั่งคนขับ ปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทาง เบาะนั่งแถวที่ 2 แยกพับอิสระ 60 : 40 ปรับเอนได้ พับได้แบบจังหวะเดียว One Motion เบาะนั่งแถวที่ 3 แยกพับอิสระ 50 : 50 ปรับเอนได้ พับได้ราบเรียบ และมีจุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX

2.   Subaru XV Eyesight 2022

ซูบารุ เอ็กซ์วี อายไซต์ ใหม่ ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยี “Eyesight” ที่ช่วยลดอัตราบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้ถึง 85% และลดอุบัติเหตุลงถึง 61% ประกอบไปด้วย 6 ฟังก์ชัน ได้แก่ ระบบเตือนผู้ขับขี่เมื่อระบบตรวจจับความเสี่ยงจากการชนด้านหน้าและช่วยเบรกเพื่อลดความรุนแรงหรือหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ, ระบบปรับความเร็วอัตโนมัติเพื่อรักษาระยะที่ปลอดภัยจากรถคันหน้า, ระบบแจ้งเตือนผู้ขับขี่ด้วยเสียงเมื่อรถด้านหน้าออกตัว, ระบบเตือนผู้ขับขี่ด้วยเสียง และไฟกะพริบ จำกัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อตรวจพบวัตถุด้านหน้าในขณะรถหยุดนิ่ง และระบบเตือนคนขับด้วยเสียง ไฟกะพริบเมื่อรถส่ายไปมา หรือออกนอกเลน

ภายนอกของ Subaru XV Eyesight ใหม่ มีการปรับปรุงภายนอก ได้แก่ ไฟหน้า LED ปรับระดับอัตโนมัติ, กระจกมองข้างปรับมุมอัตโนมัติเมื่อถอยหลัง, กระจังหน้ารูปทรงใหม่ และล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว ขณะที่ห้องโดยสารติดตั้งเบาะปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางฝั่งผู้ขับขี่ พร้อมระบบจดจำตำแหน่งเบาะ, กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา และหน้าจอมัลติฟังก์ชันดิสเพลย์ขนาด 6.3 นิ้ว

3.   MAZDA CX-3

การปรับโฉมใหม่ของ New Mazda CX-3 Collection ยังคงเน้นการออกแบบภายนอกและภายในด้วยแนวทาง โคโดะ ดีไซน์ ที่มีความสง่างามและได้รับการยอมรับมาแล้วทั่วโลก สิ่งที่ได้เหมือนกันทุกรุ่นย่อยคือ ขุมพลัง Skyactiv-G ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ที่ให้สมรรถนะสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 204 นิวตัน-เมตร ที่ 2,800 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ Skyactiv-Drive 6 สปีด พร้อมแมนนวลโหมด Activmatic ให้อัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุด 16.4 กม./ลิตร รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุด E85 พนักพิงเบาะนั่งด้านหลังแบบพับได้ แยกพับอิสระซ้าย-ขวา 60:40 ช่วยเพิ่มพื้นที่กว้าง รองรับสัมภาระขนาดใหญ่

4.   HONDA CITY HATCHBACK

HONDA CITY HATCHBACK 2021 ออกแบบภายนอกด้วยดีไซด์ที่ดูทันสมัย ไฟหน้าพร้อมกระจังหน้าแบบ Gloss Black ไฟหน้าดีไซด์ใหม่แบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟตัดหมอก การออกแบบด้านหน้าโดดเด่นสไตล์สปอร์ตกับกระจังหน้าสีดำเงาที่กินพื้นที่เข้าสู่ไฟหน้าเพิ่มความดุดัน และกระจังหน้าลายตาข่าย 2 ชั้น เพิ่มความดิบในรูปลักษณ์ 5 ประตู ที่โฉบเฉี่ยว ภายในด้วยสีดำสไตล์พรีเมียม พร้อมมิติห้องโดยสารที่กว้างขวาง ออกแบบเพื่อการใช้งาน และยังออกแบบขนาด และตำแหน่งของเบาะที่สอดคล้องกับสรีระ และท่านั่งที่สบายมาขึ้นกว่าเดิม

คอนโซลหน้าตกแต่งด้วยวัสดุแบบ Piano Black พร้อมมิติการออกแบบกึ่งคลาสสิค ผสานความสปอร์ตแบบรถยนต์รุ่นใหม่ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 8 นิ้ว ที่อยู่ตำแหน่งพอดีสายตา หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ให้ความโดดเด่นเต็มอารมณ์สปอร์ตด้วยเบาะหนังสีดำตกแต่งด้วยแถบสีแดง ดูดุดันสวยงาม พร้อมการออกแบบพิเศษ เพิ่มการรับสรีระของผู้นั่งในทุกตำแหน่ง เพื่อรองรับกระชับหลังลดการปวดเมื่อยเมื่อเดินทางไกล ตามสไตล์รถยนต์ 5 ประตู กับการออกแบบให้เบาะหลังสามารถพับได้ 60:40 ด้วยเบาะนั่ง อัลตราซีท ที่สามารถปรับพื้นที่ได้ 4 โหมด ปรับเบาะหลังได้อย่างอิสระ

5.   Toyota Veloz

All-new Toyota Veloz 2022 ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Smart และ Premium ตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถครอบครัวขนาดเล็ก ราคาจำหน่ายเข้าถึงได้ง่าย รวมไปถึงลูกค้ากลุ่ม SME ที่ต้องการความอเนกประสงค์มากกว่ารถเก๋ง แต่ไม่ต้องการข้ามไปถึงรถกระบะที่มีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ เพิ่มภาษาไทยบนหน้าจอ MID และระบบความบันเทิง รวมถึงการเพิ่มตัวถังสีแดง Dark Red Mica Metallic

เบาะนั่งแถวที่ 2 ของ Veloz สามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้า-หลังเพื่อเพิ่มพื้นที่วางขา และปรับพับแยกได้แบบ 60:40 ส่วนเบาะแถวที่ 3 สามารถปรับพับแยกแบบ 50:50 โดยหนึ่งในไฮไลท์ของการปรับเบาะใน Veloz ใหม่ ก็คือการปรับให้เป็น “Day Bed” ด้วยการพับเบาะนั่งแถวสองแบบเอนราบ และให้ผู้โดยสารตอนหลังขยับไปนั่งเบาะแถวสามแทน ทำให้มีพื้นที่วางขายาวพิเศษคล้ายกับเก้าอี้ Recliners ตามบ้าน

สำหรับลูกค้ากลุ่ม SME ที่ซื้อไปใช้งานบรรทุกสินค้าที่มีน้ำหนักไม่มากนัก ก็สามารถพับเบาะนั่งแถวสองและสามให้ราบลง เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารให้มากที่สุดทั้งในด้านความกว้างและความสูง สามารถวางกระถางต้นไม้ หรือบรรทุกจักรยานได้ หรือจะขนออเดอร์ไปส่งให้ลูกค้าก็ทำได้เช่นกัน

คุ้มครองคุณทุกการขับขี่ ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20

89
นอกจากจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก “ราคาน้ำมัน” พุ่งสูงขึ้น (น้ำมันแพงเพราะอะไร? เปิดสาเหตุน้ำมันแพง 2565 https://www.smk.co.th/newsdetail/2876) ผู้ใช้รถทุกคนยังต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถยนต์รวมถึงค่าประกันรถยนต์ที่ต้องจ่ายอยู่เป็นประจำทุกปี ทำให้หลายคนเริ่มมองหาทางเลือกใหม่สำหรับการเดินทาง ทั้งการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV หรือแม้แต่การเลือกเช่ารถสำหรับขับรายเดือน เพื่อลดค่าใช้จ่ายจุกจิก แล้วการเช่ารถขับรายเดือนคืออะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร

เช่ารถขับรายเดือน คืออะไร?

เช่ารถรายเดือน คือ การให้บริการเช่ารถยนต์ระยะกลาง ตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 12 เดือน  ซึ่งจะแตกต่างจากการเช่ารถรายวัน ตรงที่มีระยะเวลาในการเช่านานกว่าและมีราคาที่ถูกกว่าถึง 50% โดยการเช่ารถรายเดือน จะเหมาะกับผู้ที่อยากใช้รถยนต์ที่อยู่ระหว่างการนำรถยนต์เข้าซ่อมแซม หรือนักท่องเที่ยวเช่าไว้ใช้เพื่อการเดินทางท่องเที่ยว หรือเพื่อทำธุระต่างๆ หรือแม้แต่การใช้งานรถยนต์ในชีวิตประจำวัน

เทรนด์เช่ารถขับของคนเมือง

องค์กรชั้นนำในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่งนิยมเช่ารถยนต์ในระยะยาวมากกว่าซื้อรถยนต์มาครอบครอง ในประเทศไทย มีองค์กรหลายแห่งมีการลดการซื้อรถยนต์ลงอย่างต่อเนื่อง จากเดิมเคยซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในองค์กรสูงถึง 90% แต่ตัวเลขปัจจุบันกลับลดลงเหลือ 50% ในเวลาประมาณ 7-8 ปี และมีโอกาสจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือ 20-30% ในขณะที่หน่วยงานราชการของไทย มีการเช่ารถยนต์สำหรับใช้ในหน่วยงาน 100% แล้ว และพบว่า เทรนด์การเช่ารถยนต์ระยะยาวจะค่อยๆ เข้ามามีบทบาทกับ “บุคคลทั่วไป” มากขึ้นเรื่อย ๆ อาจมาในรูปของการเช่ารถยนต์ระยะสั้น และจะค่อย ๆ เปลี่ยนรูปแบบเป็นการเช่าระยะยาวเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันในที่สุด

(เช่ารถที่ไหนดี? : 8 บริษัทรถเช่าที่มีสาขาในกรุงเทพมากที่สุด https://www.ecocar.co.th/blog/read/48)

เหตุผลที่คนเริ่มไม่อยากซื้อรถ

เหตุผลที่คนรุ่นใหม่เริ่มไม่อยากซื้อรถไว้ครอบครองมีหลากหลายมุมด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น

-   ไม่ต้องการครองสินทรัพย์ด้อยค่า
-   ไม่ต้องการจ่ายเงินก้อนใหญ่ แต่นำเงินดังกล่าวไปใช้ในการลงทุน หรือดำเนินธุรกิจต่างๆ แทน
-   ไม่ต้องการแบกรับค่าใช้จ่ายที่ตามมา เช่น ค่าประกันภัย ค่าบำรุงรักษา ค่าซ่อมแซม
-   ลดความกังวลกับราคาเมื่อต้องขายต่อ

ข้อดีของการเช่ารถรายเดือน

1.   ไม่ต้องเสียเงินก้อนโตในการซื้อรถ เนื่องจากจะมีทั้งค่าดาวน์รถ ค่าผ่อนที่บวกดอกเบี้ย ค่าประกัน และค่าดำเนินการต่างๆ ซึ่งต้องเตรียมเงินส่วนนี้ไว้ให้พร้อม และพร้อมรับกับรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ไม่ต้องเตรียมเงินก้อนสำหรับการดูแลรักษารถยนต์

2.   ใช้เท่าไร จ่ายเท่านั้น การเป็นเจ้าของรถยนต์หนึ่งคันทำให้ต้องอยู่กับรถคันเดิมไปอีกนาน ไม่สามารถเปลี่ยนได้ในเวลาอันรวดเร็วหากต้องการใช้รถรุ่นใหม่ๆ และยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในระยะยาว หากเปลี่ยนไปใช้รถเช่า จะสามารถกำหนดเวลาที่ต้องการใช้รถยนต์ได้ จ่ายเท่าจำนวนเดือนที่ใช้ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินกับช่วงเวลาที่ไม่ต้องการใช้รถ
 
3.   รู้งบประมาณล่วงหน้า เนื่องจากสามารถวางแผนการใช้รถและวางแผนงบการเงินได้จากการรู้ราคาค่าเช่าล่วงหน้า เพราะสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายได้ว่า ต้องเช่ารถกี่เดือนและต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเท่าไหร่ และหากเช่ารถในระยะเวลาที่นานขึ้น ก็จะทำให้ได้ค่าเช่ารถในราคาที่ถูกลงด้วย

4.   ไม่ต้องกังวลเรื่องการดูแลรักษา หากต้องเป็นเจ้าของรถ อาจจะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายไปกับการบำรุงรักษา ทั้งการเปลี่ยนถ่ายของเหลว การเช็กรถตามระยะ การซ่อมรถเมื่อมีอะไหล่หรืออุปกรณ์เสียหาย แต่การเช่ารถ ผู้ให้บริการจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลรักษารถให้ทั้งหมด ช่วยให้หมดความกังวลไปได้แต่ก็ต้องตรวจสอบสัญญาเช่าให้ถี่ถ้วนว่า ครอบคลุมการดูแลรถในส่วนใดบ้าง เพื่อความมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ดีในระหว่างที่เช่ารถใช้

5.   ได้รถรุ่นใหม่ไว้ใช้งาน เนื่องจากหากเป็นการเช่ารถรายเดือน จะได้รถรุ่นใหม่อัพเดตตามต้องการ ต่างกับรถยนต์ที่ซื้อใช้งานเองมักตกรุ่นไปตามกาลเวลา การเช่ารถใช้แบบรายเดือน เมื่อครบกำหนดระยะเวลาคืนรถเช่า และต้องการเช่ารถอีกครั้ง ก็สามารถเลือกรุ่นอื่นได้ เพื่อให้ตรงตามความต้องการในการใช้งานได้เลย

ข้อควรระวังในการเช่ารถและการรับส่งรถ

-   เก็บหลักฐานการชำระเงินและหมายเลขโทรศัพท์ผู้ให้บริการไว้กับตัว อาจถ่ายรูปเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือ และควรเตรียมสำเนาบัตรประชาชนของผู้เช่ารถ และใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ไปด้วย

-   เมื่อคุณไปถึงสถานที่รับรถ พนักงานส่งมอบรถจะแจ้งให้ทราบถึงสภาพรถและตำหนิของรถก่อนส่งมอบรถให้ ควรถ่ายรูปตำหนิบนรถเป็นหลักฐานไว้ในโทรศัพท์มือถือ จุดที่คนมักจะมองข้ามคือบริเวณกระจกมองข้างทั้งสองฝั่งของรถ ซึ่งมักจะมีตำหนิ และโปรดตรวจสอบความสะอาดปลอดภัยภายในห้องโดยสาร สภาพเครื่องปรับอากาศ และช่องบรรทุกสัมภาระก่อนรับมอบรถ

-   พนักงานจะแสดงให้เห็นว่าน้ำมันในรถเต็มถังเมื่อส่งมอบรถให้ และต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังเมื่อถึงเวลาต้องคืนรถ อย่าลืมถามด้วยว่ารถที่เช่าเติมน้ำมันประเภทอะไร และสถานีบริการน้ำมันที่อยู่ใกล้จุดคืนรถอยู่ที่ใด

-   ทำการตรวจสอบเอกสารและลงชื่อใบสัญญาเช่า (โปรดอ่านรายละเอียดใบสัญญาเช่ารถ) หรือบางกรณีอาจต้องชำระเงินเพิ่มหรือเงินมัดจำ (ถ้ามี กรุณาขอหลักฐานการจ่ายค่ามัดจำ) จากนั้น พนักงานจะส่งมอบกุญแจรถพร้อมใบเสร็จและสำเนาใบสัญญาเช่ารถ ก็จะสามารถใช้รถได้ทันที

-   ทดลองขับและออกตัวรถช้าๆ และสังเกตว่ารถเช่านั้นวิ่งได้ในสภาพดี หากมีปัญหาในการขับขี่ให้รีบโทรศัพท์แจ้งผู้ให้บริการทันที

-   กรุณาขับขี่รถด้วยความไม่ประมาทและเคารพกฎจราจร หากเกิดเหตุให้โทรแจ้งผู้ให้บริการทราบทันทีเช่นกัน

-   กรุณาทำการตรวจสอบล็อกรถทุกครั้งที่จอดรถ และลงจากรถไม่ว่าจะอยู่ที่ใด

-   เมื่อใกล้ถึงเวลาส่งมอบรถ โปรดโทรศัพท์แจ้งผู้ให้บริการเพื่อทำการนัดเวลาและสถานที่ส่งมอบรถ ถามชื่อพนักงานที่จะมารับมอบรถคืน จากนั้นเติมน้ำมันให้เต็มถัง และควรเผื่อเวลาสำหรับการเดินทางไปยังจุดคืนรถและเผื่อเวลารถติดด้วย

-   เมื่อแน่ใจว่าพบพนักงานจากผู้ให้บริการที่ถูกต้องแล้ว พนักงานจะตรวจสอบสภาพรถเมื่อส่งมอบคืน หากรถมีตำหนิใหม่นอกเหนือจากรอยตำหนิเดิม พนักงานอาจขอเรียกเก็บค่าซ่อมแซม รวมถึงหากห้องโดยสารหรือตัวรถสกปรก พนักงานอาจขอเรียกเก็บค่าทำความสะอาดได้

-   เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย โปรดเรียกรับเอกสารหรือเงินมัดจำคืน (ถ้ามี) และตรวจสอบสัมภาระและสิ่งของมีค่าภายในตัวรถ ก่อนส่งมอบรถคืนพร้อมกุญแจรถ

เพราะเราเข้าใจ...ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ช่วยให้คุณจ่ายสบายด้วยเบี้ยเบาๆบรรเทาภาระในยามวิกฤต กับประกันรถยนต์ตามเวลา สู้ภัยโควิด-19 เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง เบี้ยเริ่มต้นที่ 4,545 บาท คุ้มครองนาน 6 เดือน (ซ่อมอู่) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020

90
หลายครั้งที่ต้องขับรถอยู่บนท้องถนนแล้วต้องพบเจอกับรถบรรทุกหลากหลายรูปแบบ และต้องคอยสังเกตรหัสสัญญาณไฟต่างๆ จากรถบรรทุก (รหัสสัญญาณไฟของรถบรรทุก https://www.smk.co.th/newsdetail/184) เพื่อระแวดระวังอุบัติเหตุและภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากรถบรรทุกได้อีกด้วย แล้วรถบรรทุกตามกฎหมายของประเทศไทยมีแบบไหนบ้าง? สินมั่นคงประกันรถยนต์ มีข้อมูลมาฝากค่ะ

กรมการขนส่งทางบก (https://www.dlt.go.th/) ได้ให้คำนิยามของรถบรรทุกไว้ว่า เป็นรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของเพื่อค่าสินจ้างหรือเพื่อธุรกิจการค้าของตนเองโดยจะต้องมีน้ำหนักรวมไม่เกิน 1600 กิโลกรัม ซึ่งได้กำหนดลักษณะการใช้รถในการขนสิ่งของหรือสัตว์ โดยแยกรถบรรทุกออกเป็นทั้งหมด 9 ประเภท ดังนี้

1. รถกระบะบรรทุก
มีลักษณะเป็นกระบะ จะมีหลังคาหรือไม่มีก็ได้ หรือจะมีเครื่องทุ่นแรง ไว้เพื่อช่วยสำหรับยกสิ่งของได้ รวมถึงรถที่ใช้ในการบรรทุกไม่มีด้านข้างหรือด้านท้าย ใช้ใบขับขี่ชนิดที่ 2 (บ.2 , ท.2) เพื่อขับรถบรรทุก สิบล้อ,หกล้อ,รถบัส,รถเมล์,รถตู้ และรถยนต์

2. รถตู้บรรทุก
มีลักษณะเป็นตู้ทึบ และมีหลังคาและตัวถังที่บรรทุกระหว่างผู้โดยสารและผู้ขับเป็นตอนเดียว โดยจะมีประตูบานใหญ่ไว้สำหรับให้ผู้โดยสารขึ้นลง หรือจะเลือกเปิดท้ายก็ได้ ใช้ใบขับขี่ชนิดที่ 2 (บ.2 , ท.2) เพื่อขับรถบรรทุก สิบล้อ,หกล้อ,รถบัส,รถเมล์,รถตู้ และรถยนต์

3. รถบรรทุกของเหลว
เป็นรถที่ใช้ในการบรรทุกของเหลวตามความเหมาะสมและจะต้องเป็นประเภทที่มีความปลอดภัยสูง ใช้ใบขับขี่ชนิดที่ 4 (บ.4, ท.4) เพื่อขับรถขนส่งวัตถุอันตราย

4. รถบรรทุกวัสดุอันตราย
เป็นรถที่ใช้ในการบรรทุกเฉพาะเพื่อใช้ในการบรรทุกวัสดุอันตราย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง สารเคมี วัตถุระเบิด วัสดุไวไฟ ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะและมีป้ายเตือนอย่างชัดเจน ใช้ใบขับขี่ชนิดที่ 4 (บ.4, ท.4) เพื่อขับรถขนส่งวัตถุอันตราย

5. รถบรรทุกเฉพาะกิจ
เป็นรถที่ใช้ในการบรรทุกที่มีลักษณะพิเศษ เพื่อใช้ในการเฉพาะ เช่น รถบรรทุกเครื่องดื่ม รถผสมซีเมนต์ รถขยะมูลฝอย รถราดยาง หรือรถเครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ ใช้ใบขับขี่ชนิดที่ 4 (บ.4, ท.4) สามารถขับรถที่ใช้เพื่อการขนส่งวัตถุอันตราย

6. รถพ่วง
เป็นรถที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง จึงต้องอาศัยรถอื่นลากจูงโดยจะมีโครงรถที่มีเพลาล้อที่สมบูรณ์ในตัวเอง ใช้ใบขับขี่ชนิดที่ 3 (บ.3 , ท.3) สามารถขับได้ทั้งรถสิบล้อพ่วงและรถหัวลาก

7. รถกึ่งพ่วง
เป็นรถที่ไม่มีแรงขับเคลื่อนในตัวเอง จึงต้องใช้หัวรถลาก โดยน้ำหนักของรถบางส่วนจะต้องเฉลี่ยลงบนเพลาล้อของคันลากจูง ใช้ใบขับขี่ชนิดที่ 3 (บ.3 , ท.3) สามารถขับได้ทั้งรถสิบล้อพ่วงและรถหัวลาก

8. รถกึ่งพ่วงบรรทุกวัสดุยาง
เป็นรถที่ไว้ใช้ในการขนสิ่งของที่ยาว โดยจะมีโครงโลหะที่สามารถปรับตัวได้ตามช่วงล้อลากจูง ใช้ใบขับขี่ชนิดที่ 3 (บ.3 , ท.3) สามารถขับได้ทั้งรถสิบล้อพ่วงและรถหัวลาก

9. รถลากจูง
เป็นรถที่เป็นลักษณะสำหรับใช้ลากรถพ่วง รถกึ่งพ่วง เพราะรถเหล่านั้นจะไม่สามารถที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองจึงต้องอาศัยรถประเภทนี้ในการลากจูง ใช้ใบขับขี่ชนิดที่ 2 (บ.2 , ท.2) เพื่อขับรถบรรทุก สิบล้อ,หกล้อ,รถบัส,รถเมล์,รถตู้ และรถยนต์

รถบรรทุกติดเวลา คืออะไร?
เนื่องด้วยการจราจรที่แออัดในเขตกรุงเทพ กรมทางหลวงจึงต้องกำหนดเวลาห้ามรถบรรทุกวิ่ง เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรในช่วงเวลาเร่งรีบ ติดเวลา จึงหมายถึง ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดห้ามรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปวิ่งในเวลาดังกล่าว โดยจะแบ่งตามประเภทของรถบรรทุก ยิ่งคันใหญ่เวลาที่ติดก็จะมากตามไปด้วยตามขนาดของรถ

ปัจจุบันรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป ติดเวลา ไม่สามารถวิ่งในเขตกรุงเทพได้ในเวลาดังนี้

1.   ถนนในกรุงเทพ
•   รถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป ห้ามเวลา 06:00 – 09:00 น. และเวลา 16:00 – 20:00 น. เว้นวันหยุดราชการ
•   รถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ห้ามเวลา 06:00 -10:00 น. และ 15:00 – 21:00 น. เว้นวันหยุดราชการ
•   รถบรรทุกถังขนก๊าซ,วัตถุไวไฟ ตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป และรถพ่วง ห้ามเวลา 06:00 – 22:00 น. ทุกวัน เว้นวันอาทิตย์
•   รถบรรทุกอื่น เช่น บรรทุกซุง,เสาเข็ม ห้ามเวลา 06:00 – 21:00 น.
2.   บนทางด่วน
•   รถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป ห้ามเวลา 06:00 – 09:00 น. และ 16:00 – 20:00 น.
•   รถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ห้ามเวลา 06:00 – 09:00 น. และ 15:00 – 21:00 น.
•   รถบรรทุกสารเคมี ห้ามเวลา 06:00 – 10:00 น. และ 15:00 – 22:00 น.
3.   รถบรรทุกที่ไม่ติดเวลาต้องมีน้ำหนักรถไม่เกิน 2,200 กก. หรือ 2.2 ตัน จึงจะสามารถวิ่งในเขตกรุงเทพฯได้โดยไม่ติดเวลา ซึ่งจะมีเพียงรถบรรทุก 4 ล้อเท้านั้นที่จะน้ำหนักไม่เกิน 2,200 กก.

ถนน 16 สายที่รถบรรทุกวิ่งได้ไม่ติดเวลา

แม้ในเวลาปกติจะมีการกำหนดเวลาการใช้งานของรถบรรทุก แต่ก็มีถนนบางเส้น รถบรรทุกจะได้รับการยกเว้น ให้สามารถวิ่งได้ตลอดเวลา ได้แก่
 
1.   ถนนอาจณรงค์ ตั้งแต่ท่าเรือคลองเตย ถึงทางด่วนเฉลิมมหานคร
2.   ถนนเกษมราษฎร์ ตั้งแต่ท่าเรือคลองเตยถึงทางด่วนเฉลิมมหานคร
3.   ถนนสุวินทวงศ์ จากแยกถนนรามอินทราถึงสุดเขตกรุงเทพฯ
4.   ถนนร่มเกล้า ที่มาจากทางนิมิตรใหม่ ให้ไปกลับรถมาแล้วตรงมาที่แยกนิมิตรใหม่
5.   ถนนนิมิตรใหม่ ตั้งแต่ทางแยก ถนนสุวินทวงศ์ ถึงสุดเขตกรุงเทพฯ
6.   ถนนอ่อนนุช ตั้งแต่แยกร่มเกล้าถึงทางแยกถนนอ่อนนุช -บางพลี
7.   ถนนอ่อนนุช (ลาดกระบัง)-บางพลี ทางแยก ถนนอ่อนนุช ถึงสุดเขต กทม.
8.   ถนนเจ้าคุณทหาร
9.   ถนนบางนา-ตราด ตั้งแต่แยก ถนนสุขุมวิท ถึงสุดเขต กรุงเทพฯ
10.   ถนนสุขุมวิท ตั้งแต่ทางแยกบางนา-ตราด ถึงสุดเขตกรุงเทพฯ
11.   วงแหวนรอบนอก กาญจนาภิเษก ตลอดสาย
12.   ถนนพระราม 2 (ธนบุรีปากท่อ) ทางแยกสุขสวัสดิ์-สุดเขต กทม.
13.   ถนนสุขสวัสดิ์ ตั้งแต่แยกถนนพระราม 2 ถึงสุดเขต กทม.
14.   ถนนบรมราชชนนี ตั้งแต่แยกวงแหวนรอบนอก กาญจนา ถึงสุดเขต กทม.
15.   ถนนพุทธมณฑลสาย 2 ตั้งแต่แยก ถนนบรมราชชนนีถึงทางแยกถนนเพชรเกษม
16.   ถนนเพชรเกษมแยกทางแยกวงแหวนกาญจนาภิเษก ถึงสุดเขต กทม.

ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) กรมธรรม์ที่กฎหมายบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ บังคับให้รถยนต์ทุกคันต้องจัดทำประกันภัย เพื่อคุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายของเจ้าของรถสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สิน การบาดเจ็บทางร่างกาย และ/หรือ เสียชีวิต สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/16 หรือ  โทร.1596 Line : @smkinsurance

91
จากสถานการณ์โควิด 19 ที่ส่งผลให้หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต้องมีมาตรการ Social Distancing รักษาระยะห่างและจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ รวมถึงการเปิดให้บริการด้านใบขับขี่ของกรมขนส่งทางบกทั้งการจองคิวใบขับขี่รถยนต์ทั้งแบบ 2 ปี และ 5 ปี (อบรมสอบใบขับขี่ออนไลน์ 2564 (5 ปี เป็น 5 ปี) จองคิวยังไง? https://www.smk.co.th/newsdetail/1687) และการอบรมสอบใบขับขี่ (อบรมต่ออายุใบขับขี่ทางออนไลน์ รู้ผลทันที https://www.smk.co.th/newsdetail/1579) ที่ต้องปรับเปลี่ยนการให้บริการไปอยู่ในระบบออนไลน์ ปัจจุบันนี้จึงมีผู้ให้บริการแนวข้อสอบใบขับขี่รถยนต์ผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ที่ต้องการสอบขอใบอนุญาตขับขี่ได้ฝึกซ้อมก่อนวันสอบจริงในรูปแบบ PDF แต่ก็มีหลายเว็บไซต์ที่เปิดให้บริการฝึกทำข้อสอบใบขับขี่รถยนต์ฟรี ผ่านเว็บไซต์ พร้อมแนวข้อสอบเบื้องต้น มีที่ไหนกันบ้าง สินมั่นคงประกันรถยนต์มีข้อมูลมาบอกค่ะ
 
1. ข้อสอบใบขับขี่.blogspot.com (https://xn--22caa8gab2ixab7b7bwkvcc.blogspot.com/)

เว็บไซต์ที่รวบรวมแนวข้อสอบใบขับขี่ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้เตรียมตัวสอบใบขับขี่ อาทิเช่น ใบขับขี่รถยนต์ ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ แนวทางการสอบภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ และความรู้ข่าวสารเกี่ยวกับกฎหมายจราจรที่สำคัญ และใบขับขี่ชนิดอื่นๆ เช่น ใบขับขี่รถบรรทุก และรถลากจูง เป็นต้น พร้อมด้วยแบบทดสอบออนไลน์ปีย้อนหลัง ให้ฝึกทำพร้อมเฉลย

2. TDl https://www.testdrivinglicence.com/
เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับแบบทดสอบใบขับขี่ เป็นสื่อหรือตัวอย่างแนวข้อสอบให้ทบทวนก่อนไปลงสนามจริง สามารถเลือกทำแบบทดสอบของแต่ละหมวดหรือจะทำแบบทดสอบแบบร่วมทุกหมวดได้ หลังทำข้อสอบเสร็จมีการประเมินผลว่าสอบผ่านหรือไม่ คิดเป็น % ของข้อสอบ ซึ่งตามที่กรมขนส่งทางบกกำหนดไว้คือ 90% ของข้อสอบ พร้อมรูปภาพเครื่องหมายจราจรให้ศึกษา และเลือกอ่านข้อสอบในรูปแบบไฟล์ Pdf

3. https://thaidriveexam.com/
โปรแกรมฝึกทำแบบทดสอบใบขับขี่ออนไลน์ ทั้งแบบรถจักรยานยนต์ และแบบรถยนต์ พร้อมเฉลย รวมถึงแบ่งข้อสอบออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ให้ฝึกทำ หรืออาจเลือกข้อสอบแบบสุ่มได้

โปรไฟล์ดีมีค่าเป็นส่วนลด ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

92
สินมั่นคงประกันภัย พร้อมช่วยยกระดับการให้บริการกับลูกค้าประกันภัยรถยนต์ทุกท่าน ให้สามารถเคลมประกันรถยนต์ ทั้งเคลมสดและเคลมแห้งได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ผ่านหลากหลายช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น ทางเว็บไซต์ https://www.smk.co.th/motorclaim แอปพลิเคชัน SMK aLL และปักหมุดจุดเกิดเหตุผ่าน Line @smkinsurance (เคลมสด เคลมแห้ง และ เคลมประกันภัยรถยนต์ คืออะไร คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/61)

เคลมประกันรถสินมั่นคงผ่านเว็บไซต์ SMK

1.   คลิกที่ลิงก์ https://www.smk.co.th/motorclaim
2.   กรอกข้อมูลเลขทะเบียนรถ จังหวัดที่จดทะเบียน เลขกรมธรรม์ ชื่อผู้แจ้ง เบอร์ติดต่อ และสถานที่เกิดเหตุ
3.   กดปุ่ม “แจ้งเคลม” และรอเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ

เคลมประกันรถสินมั่นคงผ่านแอปพลิเคชัน SMKaLL

1.   เปิดแอปพลิเคชัน SMK aLL หรือดาวน์โหลดได้ที่ลิงก์ http://onelink.to/bxzca5 แล้วกดที่ปุ่ม “แจ้งเคลม”
2.   ที่หน้าแจ้งเคลม กดที่ปุ่ม “รถยนต์”
3.   เลือก “ทำเคลมด้วยตนเอง”
4.   จะพบข้อมูลกรมธรรม์ของคุณ หากไม่พบ ให้กด “ระบุกรมธรรม์”
5.   ใส่ข้อมูลรายละเอียดการแจ้งเคลม เช่น ผู้แจงเคลมเป็นผู้ขับขี่หรือไม่ และชื่อสกุลผู้แจ้ง พร้อมเบอร์โทรผู้แจ้ง
6.   ถ่ายรูปรายการความเสียหายและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น รูปป้ายทะเบียนรถพร้อมผู้ขับขี่ รูปใบขับขี่ รูปความเสียหายอื่นๆ หรือกดเพิ่มรูปถ่ายภาพความเสียหาย
7.   กดปุ่ม “แจ้งเคลม” จะปรากฏรายการแจ้งเคลมที่อยู่ระหว่างดำเนินการ
8.   ลูกค้าจะได้รับใบรับแจ้งเคลมผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อเป็นหลักฐานในการแจ้งเคลม สามารถเลือกดาวน์โหลดเก็บไว้ในเครื่อง สั่งพิมพ์ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ หรือให้ส่งหลักฐานทางอีเมล
9.   รอเจ้าหน้าที่ดำเนินการออกเลขเคลมและประสานงานติดต่อกลับอีกครั้ง
   
ดาวน์โหลด และลงทะเบียน SMK aLL ได้แล้ววันนี้ ทั้ง IOS และ Android คลิก http://onelink.to/bxzca5

93
น้ำมันแพง!!! น้ำมันขึ้นราคา!!! ปัญหาปวดหัวที่คนใช้รถทุกคนต้องเจอในยุคโควิด 19 ในช่วงระยะเวลา 1-2 ปีมานี้ จนต้องหันมาเริ่มศึกษาข้อมูลการใช้พลังงานทางเลือกสำหรับรถยนต์เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของการเดินทาง (รถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท? ประเภทรถไฟฟ้าแบบไหนที่เหมาะ? https://www.smk.co.th/newsdetail/2873) แต่ก็อาจสงสัยว่า แท้จริงแล้ว ที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น มีสาเหตุมาจากอะไร? แล้วต้องปฏิบัติตัวอย่างไรหากสถานการณ์ราคาน้ำมันรุนแรงขึ้น สินมั่นคงประกันรถยนต์มีข้อมูลมาฝากครับ

จากสถิติราคาน้ำมันในช่วงไตรมาสแรกของ 2565 เปรียบเทียบกับราคาน้ำมันในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 พบว่า ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และ ดีเซล มีการปรับขึ้นในราคาถึงลิตรละ 4-10 บาท ดังนี้

-   แก๊สโซฮอล์ 95 ปรับขึ้นลิตรละ 10.10 บาท
-   แก๊สโซฮอล์ 91 ปรับขึ้นลิตรละ 10.10 บาท
-   แก๊สโซฮอล์ E20 ปรับขึ้นลิตรละ 10.50 บาท
-   แก๊สโซฮอล์ E85 ปรับขึ้นลิตรละ 7.40 บาท
-   ดีเซล B7 ปรับขึ้นลิตรละ 4.15 บาท
-   ดีเซล B10 ปรับขึ้นลิตรละ 7.15 บาท
-   ดีเซล B20 ปรับขึ้นลิตรละ 7.40 บาท
-   ดีเซลพรีเมี่ยม ปรับขึ้นลิตรละ 5.70 บาท

เท่ากับว่า หากจะต้องเติมน้ำมันเต็มถังในความจุถังที่ 50-100 ลิตร จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นในราคาถึง 200-1000 บาท ต่อถังเลยทีเดียว (เช็กราคาน้ำมันวันนี้ https://ทองคำราคา.com/ราคาน้ำมันวันนี้)

สาเหตุราคาน้ำมันแพงมาจากราคาน้ำมันดิบ

สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นมาจากปัจจัยภายนอกประเทศ นั่นก็คือ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำสถิติการซื้อขายล่วงหน้าพุ่งสูงสุดไปแตะระดับ 139 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สูงสุดในรอบ 14 ปีจากที่เคยทำไว้เมื่อปี 2551 ที่ 147 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ประเทศไทยซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันได้รับผลกระทบโดยตรงและต้องใช้น้ำมันราคาแพงตามไปด้วย

แม้ประเทศไทยจะสามารถขุดเจาะน้ำมันเพื่อใช้ในประเทศได้ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการทำให้จำเป็นต้องนำเข้าเป็นหลัก จากข้อมูลความต้องการน้ำมันดิบเฉลี่ยของปี 2564 พบว่า ประเทศไทยมีความต้องการใช้น้ำมันดิบเพื่อกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 951,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ไทยมีกำลังการผลิตได้เพียง 100,000 บาร์เรลต่อวัน เท่านั้น

สาเหตุที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้น

สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น มาจาก

1.   ปัญหาจากกลุ่มประเทศโอเปกซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ได้ลดกำลังการผลิตน้ำมันลงถึง 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ในปี 2020) ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมันดิบ แต่ปัจจุบันกลุ่มโอเปกก็ได้มีการทยอยผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของโลก

2.   ปัญหาจากสถานการณ์โควิด 19 ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 2 ปี ทำให้เศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกสะดุดลง แม้จะเริ่มกลับขึ้นมาฟื้นตัวในช่วงนี้ แต่ความต้องการบริโภคน้ำมันก็ยังสูงเกินกว่ากำลังการผลิต เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น

3.   ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย - ยูเครน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายสำคัญของโลก ผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้มีการออกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเงินต่อรัสเซียจากนานาประเทศ ปัญหาคอขวดของน้ำมันดิบจากเดิมที่เริ่มทุเลาลงบ้างจากสถานการณ์การระบาดของโควิด จึงกลับมาสร้างแรงกดดันให้ปัญหานี้รุนแรงและเรื้อรังนานขึ้น

มาตรการรัฐช่วยลดภาระราคาน้ำมัน

เมื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกแพงขึ้น หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหา คือ การใช้กองทุนน้ำมันเป็นกลไกสำคัญเพื่อช่วยพยุงราคาไว้ ทำให้ราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการในประเทศไม่สูงมากเกินไป หรือที่เรียกว่า “กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” เป็นกลไกที่ช่วยลดผลกระทบให้กับประชาชน โดยเงินกองทุนจะจ่ายชดเชยราคาบางส่วนให้กับผู้ค้าน้ำมันเพื่อตรึงราคาน้ำมันไว้ เมื่อราคาน้ำมันตลาดโลกลดลงจนไม่ต้องชดเชยราคาขายปลีก เงินที่เคยจ่ายชดเชยก็จะถูกเก็บเข้ากองทุน ไว้ใช้รับมือกับภาวะน้ำมันแพงรอบใหม่

รับมืออย่างไร...ในวันที่น้ำมันแพง

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ด้วยการหันมาใช้พลังงานทางเลือก อาจช่วยลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลืองลงได้ และยังได้ช่วยรักสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น

1.   ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถแท็กซี่ หรือรถไฟฟ้า
2.   ตรวจเช็กสภาพรถยนต์ ลมยาง ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ
3.   ทางเดียวกันไปด้วยกัน แต่ต้องใส่หน้ากากอนามัย ลดความเสี่ยงโควิด
4.   ปั่นจักรยานแทนการใช้รถยนต์ ลดการใช้พลังงาน ลดมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อม
5.   เดินเท้าหรือขึ้นบันไดในระยะทางสั้นๆ ประหยัดพลังงาน ได้ออกกำลังกาย และสร้างสุขภาพที่ดี

เพราะเราเข้าใจ...ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ช่วยให้คุณจ่ายสบายด้วยเบี้ยเบาๆบรรเทาภาระในยามวิกฤต กับประกันรถยนต์ตามเวลา สู้ภัยโควิด-19 เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

94
อู่ซ่อมรถในประเทศไทยมีให้พบเห็นอยู่มากมายหลายระดับ รวมถึงประเภทของอู่ซ่อมรถยนต์ที่ก็มีความเชี่ยวชาญของช่างแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น อู่ซ่อมหม้อน้ำ อู่ซ่อมกระจกรถยนต์ หรืออู่ซ่อมทั่วไป การหาอู่ซ่อมรถยนต์ที่ดีจึงเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจสำหรับผู้ขับรถทุกคน เพราะอู่ซ่อมรถที่ใกล้ที่สุดอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสมอไป (ค้นหาอู่และศูนย์บริการของประกันรถยนต์ได้อย่างไร https://www.smk.co.th/newsdetail/82) สินมั่นคงประกันรถยนต์จึงมีเคล็ดลับดีๆ ในการเลือกอู่ซ่อมรถยนต์มาฝาก เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกอู่ซ่อมรถเมื่อต้องนำรถยนต์เข้าส่งซ่อม 

เลือกซ่อมห้าง หรือ ซ่อมอู่?

การเลือกทำประกันรถยนต์นั้น จะมีเงื่อนไขของเบี้ยประกันที่ระบุว่า จะเลือกใช้ซ่อมกับศูนย์บริการ (ซ่อมห้าง) หรือเลือกซ่อมกับอู่รถยนต์ทั่วไป ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป (นำรถเข้าซ่อมที่ศูนย์ซ่อมหรืออู่ซ่อมควรเตรียมตัวอย่างไร https://www.smk.co.th/newsdetail/179) รายละเอียดดังนี้

1.   ซ่อมห้าง หรือซ่อมกับศูนย์บริการ

ข้อดี

-   ได้อะไหล่แท้ สามารถตรวจสอบได้ และมีมาตรฐานสูง
-   มีช่างผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากรถยนต์แต่ละแบรนด์มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต่างกัน การซ่อมรถจึงจำเป็นต้องใช้ช่างซ่อมที่มีความเข้าใจในลักษณะของรถแต่ละแบบเป็นอย่างดี ซึ่งศูนย์บริการจะมีช่างที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอยู่ที่ศูนย์ด้วย
-   เคลมได้แน่นอน (หากมีประกันรถยนต์ซ่อมศูนย์ https://www.smk.co.th/productmotordetail/1) เนื่องจากสามารถตรวจสอบได้ทุกรายการซ่อม และมีการรับประกันจากทางศูนย์ หากนำรถออกจากศูนย์ไปแล้วเกิดปัญหาจากการซ่อม ก็สามารถนำรถยนต์กลับมาเคลมได้

ข้อเสีย

-   มีราคาสูง เนื่องจากต้องมีค่าบริการของศูนย์รวมถึงมีการเก็บเบี้ยประกันที่ราคาสูง และในการซ่อมบางกรณีอาจมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วย
-   หาศูนย์ซ่อมยาก ศูนย์ซ่อมรถที่ได้มาตรฐานมักจะตั้งอยู่ในบริเวณที่มีผู้คนอาศัยอยู่เยอะ อย่างเช่นย่านใจกลางเมือง หรือในพื้นที่ใหญ่ ๆ แต่ไม่ได้กระจายตัวไปยังเขตเล็ก ๆ ของเมืองมาก จึงมีปัญหาเรื่องการเดินทาง
-   ต้องใช้ระยะเวลารอซ่อมนานกว่า เนื่องจากต้องหากเป็นกรณีเร่งด่วนมาก ๆ อาจไม่สามารถทำได้ เพราะต้องทำทุกอย่างตามระบบตั้งแต่เริ่มส่งเข้าศูนย์ซ่อมจนถึงตอนรับรถออกจากศูนย์ซ่อม

2.   ซ่อมอู่

ข้อดี

-   มีอู่ทางเลือกมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นอู่ซ่อมรถแถวบ้าน หรืออู่ซ่อมรถตามสถานบริการน้ำมัน ที่เข้าไปใช้บริการได้สะดวกกว่า ในช่วงเวลาที่ต้องการหาที่ซ่อมรถแบบเร่งด่วน
-   เบี้ยประกันถูกกว่า ประกันรถยนต์แบบซ่อมอู่ จะมีราคาเบี้ยประกันที่ราคาถูกกว่า เหมาะสำหรับคนที่มีงบสำหรับประกันรถยนต์ในจำนวนจำกัด
-   ไม่ต้องต่อคิวรอซ่อมนาน เนื่องจากช่างซ่อมรถที่อู่จะสามารถดำเนินการให้ได้ในทันที หากเป็นรถยนต์ที่มีปัญหาหรือเสียหายเพียงเล็กน้อยอาจใช้เวลาซ่อมเพียงไม่กี่วัน
-   สามารถเลือกอะไหล่ได้ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ ก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้อะไหล่เกรดไหน แบรนด์อะไร อะไหล่แท้ อะไหล่เทียบ หรืออะไหล่เทียม

ข้อเสีย

-   หากไม่ใช่อู่ที่คุ้นเคย อาจเกิดปัญหาได้ เพราะบางอู่ซ่อมอาจเมินเฉย ไม่จริงใจในการแก้ปัญหา จึงควรเช็กข้อมูลของอู่ให้ดีก่อนตัดสินใจ
-   ความเสี่ยงจากอะไหล่ปลอม เนื่องจากช่างอาจจะย้อมแมวเอาอะไหล่เทียมมาเปลี่ยนให้ แล้วคิดราคาซ่อมในราคาเดียวกับการใช้อะไหล่จริง
-   ไม่มีการรับรองมาตรฐาน อู่ซ่อมรถแต่ละอู่จะมีแนวทางการซ่อมที่แตกต่างกัน ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าได้ช่างที่ดี ตรงกับความต้องการ

ซ่อมอู่แบบไหน? รถไม่พัง

1.   มีทีมงานที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ สังเกตได้จากวิธีการให้ข้อมูลและตอบคำถามของหัวหน้าช่าง อาจจะพาคนที่มีความรู้เรื่องการซ่อมรถหรือเคยซ่อมรถบ่อยๆ ไปด้วย เพื่อช่วยตรวจสอบจากการพูดคุยว่าอู่ซ่อมรถยนต์นั้นมีทีมงานที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์จริงหรือไม่
2.   มีใจบริการ ซึ่งสามารถสัมผัสได้จากการพูดคุยกับช่างว่ามีใจบริการและพร้อมต้อนรับเราหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยสอบถามทางโทรศัพท์หรือการเข้าไปสอบถามข้อมูลที่อู่โดยตรง โดยอู่ซ่อมรถที่ดีมักจะใส่ใจความต้องการของลูกค้า และพยายามหาทางแก้ไขที่ตรงใจได้มากที่สุด พร้อมยินดีตอบคำถามด้วยข้อมูลที่ชัดเจนทุกข้อตามต้องการ
3.   เสนอราคาก่อนซ่อมได้อย่างยุติธรรม โดยเฉพาะหากต้องการจะซ่อมรถจากอู่ซ่อมรถยนต์ในเครือบริษัทประกัน ที่จะต้องมีการประเมินราคาเพื่อส่งให้บริษัทประกันอนุมัติก่อนทำการซ่อม อู่ซ่อมรถควรประเมินราคามาให้ดูอย่างละเอียด แยกเป็นทั้งค่าแรงและค่าอะไหล่ พร้อมกับอิงจากราคาอู่กลางที่ได้มาตรฐาน
4.   มีการรับประกันงานซ่อม ควรรับประกันงานซ่อมขั้นต่ำ 6 เดือน ซึ่งถ้าหากพบว่าภายในระยะเวลานี้พบความผิดปกติใดที่เกี่ยวกับงานซ่อม ควรสามารถนำรถเข้าตรวจเช็กและเข้าแก้ไขได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
5.   จัดพื้นที่เป็นสัดส่วน ไม่ดูยุ่งเหยิงหรือสกปรกจนเกินไป เป็นสัญญาณว่า อู่ซ่อมรถอาจมีความไม่เป็นมืออาชีพในการซ่อมรถ

การเลือกอู่ซ่อมรถยนต์เป็นสิ่งที่เจ้าของรถยนต์ทุกคันต้องให้ความใส่ใจเพื่อให้ได้อู่ซ่อมรถยนต์ที่ดี มีมาตรฐาน หรืออาจเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ในเครือบริษัทประกันภัยเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับเจ้าของรถทุกคัน (ค้นหาอู่ซ่อมรถในเครือ คลิก https://www.smk.co.th/garage) แล้วเลือกคุ้มครองรถยนต์ด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน เลือกได้ตามใจ จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่อความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurane

95
เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นกับมาตรการลดหย่อนภาษีรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย จาก มติ ครม. เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมการใช้และการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ (ไขข้อสงสัย! อยากซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ต้องเตรียมตัวเสียภาษีเท่าไร https://www.bangkokbiznews.com/business/989298) แต่หลายคนอาจสงสัย ว่าทำไมรถยนต์ไฟฟ้ามีหลากหลายชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่ละประเภทมีคุณสมบัติอย่างไร

รถยนต์ไฟฟ้า คืออะไร?

รถยนต์ไฟฟ้า คือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่เก็บอยู่ในแบตเตอรี่หรืออุปกรณ์เก็บพลังงานไฟฟ้ารูปแบบอื่นๆ เป็นนวัตกรรมที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว 100% ในการขับเคลื่อนแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล และสามารถชาร์จไฟได้อย่างสม่ำเสมอเมื่อแบตเตอรี่หมด โดยรถยนต์ไฟฟ้านี้จะมีองค์ประกอบหลักสำหรับการขับเคลื่อนคือ แบตเตอรี่ อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า และมอเตอร์ไฟฟ้า
ขั้นตอนการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้า จะมีจุดเริ่มต้นจากแบตเตอรี่ที่เป็นแหล่งเก็บพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง ส่งต่อกระแสไฟมายังตัวแปลงกระแสไฟฟ้า และจะดึงพลังงานจากแบตเตอรี่ไปเปลี่ยนเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ ส่งต่อไปยังตัวมอเตอร์เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนรถยนต์

ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า

•   ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น ทั้งค่าซ่อมบำรุง และค่าพลังงานที่ไฟฟ้าจะมีราคาน้อยกว่าพลังงานเชื้อเพลิง
•   สามารถตอบสนองต่อการขับขี่ให้มีอัตราเร่งได้ดั่งใจเพราะมอเตอร์ไฟฟ้าสั่งการให้เกิดการขับเคลื่อนได้ทันที มีอัตราเร่งที่เรียบและรวดเร็ว
•   ไม่มีการปล่อยไอเสียจึงไม่สร้างมลภาวะให้แก่โลกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ประเภทของรถยนต์ไฟฟ้า

ยานยนต์ไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกันคือ

1. ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทไฮบริด หรือ HEV (Hybrid electric vehicle)

รถยนต์ไฮบริด เป็นยานยนต์ไฟฟ้าแบบลูกผสม (Hybrid) มีทั้งเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไปและมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่ทำงานร่วมกัน จึงมีความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำกว่ายานยนต์ปกติ รวมทั้งยังสามารถนำพลังงานที่เหลือหรือไม่ใช้ประโยชน์เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ได้  แต่ไม่มีช่องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟฟ้า
รูปแบบการทำงานของรถยนต์ไฮบริด (HEV) นั้น รถยนต์หยุดเคลื่อนที่หรือมีการแตะเบรก จะมีมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่เป็น Generator เปลี่ยนพลังงานจลน์ส่งพลังงานไฟฟ้ากลับคืนเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ โดยเรียกกระบวนการนี้ว่า Regenerative Braking ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียวค่อนข้างมาก โดยมีตัวอย่าง รถยนต์ Hybrid ที่มีการวางจำหน่ายในประเทศไทย ดังนี้

•   Toyota Camry Hybrid, Toyota C-HR Hybrid, Toyota Alphard Hybrid, Toyota CHR Hybrid Toyota Prius, Toyota Altis Hybrid
•   Honda Accord Hybrid, Honda HRV e: HEV
•   Nissan X-Trail Hybrid

2.   ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV, Plug-in Hybrid Electric Vehicle)

รถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริด หรือ PHEV มีความคล้ายคลึงกับรถยนต์ไฮบริด (Hybrid, HEV) แต่จะแตกต่างกันตรงที่รถยนต์ประเภทนี้ สามารถชาร์จไฟฟ้าจากภายนอกได้ ซึ่งก็อาจจะใช้เป็น EV Charger หรือ สายชาร์จที่แถมมากับตัวรถก็ได้ ในการใช้งาน จึงทำให้รถยนต์ประเภทนี้สามารถที่จะขับเคลื่อนด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้โดยไม่ต้องใช้น้ำมันแต่จะสามารถใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ในระยะทางสั้นๆ ในด้านสมรรถนะในการขับขี่ มอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยทำให้รถประเภทนี้นั้นออกตัวได้เร็วกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ด้วยการอัดประจุไฟฟ้าจากภายนอกและนำมาเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ ทำให้ PHEV สามารถวิ่งได้ในระยะทางที่ไกลกว่า HEV โดยมีตัวอย่าง รุ่นรถยนต์ Plug-in Hybrid ที่มีการวางจำหน่ายในประเทศไทย ได้แก่

•   Mercedes plug-in hybrid
•   BMW plug-in hybrid
•   Audi plug-in hybrid

3.   ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV, Battery Electric Vehicle)

รถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยไอเสียออกมาเลย เนื่องจากเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และใช้พลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งมาจากการเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าอย่างเดียว  ไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศจากยานยนต์โดยตรง ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว จึงส่งผลให้รถประเภทนี้จำเป็นต้องมีแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่มากกว่ารถประเภทอื่นๆ โดยมีตัวอย่าง รุ่นรถยนต์ Battery Electric Vehicle ที่มีการวางจำหน่ายในประเทศไทยได้แก่
 
•   Tesla
•   Nissan Leaf
•   MG ZS EV
•   Hyundai IONIQ EV,
•   BMW i3, Kia Soul EV, BYD E6, Audi e-tron
 
4.   ยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV, Fuel Cell Electric Vehicle)

รถยนต์ไฟฟ้าที่มีเซลล์เชื้อเพลิงเป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้พลังงานมาจากเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) โดยเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจากภายนอก โดยก๊าซไฮโดรเจนจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศที่เซลล์เชื้อเพลิง ทำให้ได้พลังงานส่งไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อใช้ในการขับเคลื่อน โดยรถประเภทนี้จะต้องมีการเติมพลังงานไฮโดรเจน ที่สถานีให้บริการ มีความจุพลังงานจำเพาะที่สูงกว่าแบตเตอรี่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เชื่อว่าเป็นคำตอบที่แท้จริงของพลังงานสะอาดในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัดอย่างสถานีเชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Hydrogen Fuel Station) มีน้อยมาก เหมือนที่รถ BEV มี Charging Station น้อยเมื่อเทียบกับหลายปีก่อน (สำรวจสถานีชาร์จรถไฟฟ้า แหล่งพลังงานแห่งใหม่ของคนกรุง https://www.smk.co.th/newsdetail/1541)

ถึงแม้ EV ทั้ง 4 ประเภทจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน แต่ทุกประเภทล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ลดการใช้เชื้อเพลิงประเภทฟอสซิล และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดภาวะโลกร้อน คุ้มครองรถคุณให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

96
แม้กรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ (กรมอุตุฯ ประกาศประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อน https://www.sanook.com/news/8525510/) แต่ในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู ก็อาจทำให้มีฝนตกหนักสลับกับอากาศร้อนบ้างในบางพื้นที่ การจะนำรถยนต์ไปใช้บริการที่คาร์แคร์หรือร้านล้างรถ (เคล็ดลับการหาร้านล้างรถอย่างมืออาชีพ https://www.smk.co.th/newsdetail/109) ก็อาจทำให้ต้องหงุดหงิดที่ต้องจ่ายเงินค่าล้างรถใหม่อีกครั้ง เมื่อต้องออกมาเจอกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป จนต้องตัดสินใจลงมือล้างรถด้วยตัวเอง มีเทคนิควิธีการอย่างไร สินมั่นคงประกันรถยนต์มีข้อมูลมาฝากค่ะ
 
เตรียมพร้อมก่อนล้างรถ

ควรนำรถไปจอดในที่ร่ม ไม่ควรล้างรถกลางแดด เพราะการล้างรถกลางแจ้ง จะทำให้ผิวรถยนต์ร้อนและแห้งเร็วเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดคราบน้ำบนผิวรถ ทำให้ล้างทำความสะอาดยากขึ้นและเสียเวลา (รู้ไหมก่อนล้างรถคันโปรดเอง มีข้อห้ามอย่างไรบ้าง
https://www.smk.co.th/newsdetail/130)

เตรียมอุปกรณ์ล้างรถให้พร้อม

•   ใช้ถังน้ำ 2 ใบ สำหรับใส่น้ำยาล้างรถ และสำหรับซักผ้าหรือล้างฟองน้ำ
•   ฟองน้ำ หรือ ผ้าล้างรถ ควรเตรียมไว้สัก 2 ผืน สำหรับล้างผิวรถยนต์กับสำหรับล้างล้อรถยนต์
•   แปรงพลาสติกสำหรับขัด ถ้ายางรถยนต์สกปรกมาก ๆ ให้ใช้แปรงพลาสติกขัดทำความสะอาดได้
•   ผ้าไมโครไฟเบอร์ ควรเตรียมไว้สักประมาณ 3 ผืน สำหรับใช้เช็ดแต่ละส่วน แยกผ้าเช็ดผิวรถ ไม่ให้ปนกับผ้าเช็ดล้อรถ เพราะอาจจะทำให้เกิดรอยขนแมวที่ผิวรถยนต์ได้
•   ผสมน้ำยาล้างรถกับน้ำเปล่าในปริมาณที่พอเหมาะ และเตรียมถังน้ำเปล่าสำหรับล้างฟองน้ำให้พร้อม

ขั้นตอนการล้างรถยนต์

1.   ฉีดน้ำเพื่อขจัดคราบสกปรกก่อน การฉีดน้ำก็เพื่อทำการขจัดคราบสกปรก ซึ่งจะช่วยให้ฝุ่นหรือสิ่งสปรกที่อยู่บนผิวรถยนต์ อ่อนตัวลง โดยฉีดน้ำทั้งคันไล่จากบนหลังคารถ ลงมาด้านข้างของรถ
2.   ล้างส่วนล้อรถยนต์ก่อน คนส่วนใหญ่มักคิดว่าควรเริ่มล้างที่ตัวรถ แต่ล้อรถมักเป็นส่วนที่สกปรกที่สุด จึงควรล้างส่วนล้อรถยนต์ให้สะอาดเสียก่อน เพื่อสิ่งสกปรกออกจากล้อจะได้ไม่กระเด็นไปโดนส่วนผิวรถที่ทำความสะอาดแล้ว ที่สำคัญหากล้างล้อรถยนต์เป็นลำดับสุดท้าย ขณะที่กำลังล้างล้อรถยนต์ จะทำให้ผิวรถแห้ง และทำให้เกิดคราบน้ำบนผิวรถได้
3.   เริ่มล้างรถจากบนหลังคารถ ลงมาด้านข้างของรถ ก่อนเริ่มขัดผิวรถ ให้แช่ผ้าหรือฟองน้ำล้างรถในน้ำยาที่ผสมไว้แล้วก่อน แล้วค่อยนำมาขัดทำความสะอาดผิว ไม่ควรออกแรงขัดมากเกินไป เพราะจะทำให้รถยนต์เกิดรอยขีดข่วนหรือทำให้สีรถยนต์เสียหายได้
4.   ล้างสิ่งสกปรกออกจากฟองน้ำ หรือผ้าที่ใช้ขณะล้างรถบ่อย ๆ ผ้าล้างรถไมโครไฟเบอร์ เป็นที่นิยมมากกว่าฟองน้ำ เนื่องจากโอกาสที่จะเกิดรอยขีดข่วน หรือรอยขนแมวบนรถยนต์ ได้น้อยกว่า เพราะฟองน้ำล้างรถอาจจะมีเศษฝุ่นเม็ดทรายเล็ก ๆ ติดอยู่ตามตามรูพรุนของฟองน้ำได้ แต่ถ้าใช้ฟองน้ำ ก็ควรล้างทำความสะอาดฟองน้ำบ่อย ๆ
5.   หลังจากล้างน้ำยาแต่ละส่วนเสร็จ ให้ฉีดน้ำล้างน้ำยาล้างรถออกให้หมด ไม่ควรปล่อยให้น้ำยาล้างรถแห้งเองบนผิวรถ เพราะถ้าปล่อยให้แห้งเองจะทำให้เกิดคราบน้ำบนผิวรถ ควรทำแบบนี้ทุกครั้ง เมื่อล้างเสร็จทั้งคันแล้ว ให้ล้างน้ำเปล่าซ้ำอีกครั้ง
6.   ควรให้รถเปียกทั้งคันขณะล้างรถ ขณะที่ล้างควรให้ผิวรถยนต์ทั้งคันเปียกน้ำ เพื่อป้องกันการเกิดคราบน้ำบนผิวรถ
7.   ล้างช่วงล่างเป็นลำดับสุดท้าย และใช้ ฟองน้ำ หรือ ผ้าล้างรถยนต์ แยกกันต่างหาก ไม่ใช้ปนกัน
8.   เช็ดรถให้แห้งด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ ควรใช้ผ้าหลายผืนในการเช็ดรถ จะช่วยลดโอกาสที่ผิวรถจะเกิดรอยขีดข่วนได้ และควรเช็ดทุกผิวรถให้แห้ง เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและการเกิดคราบน้ำ เช็ดผิวโดยไล่จากด้านบนหลังคารถยนต์ลงมาด้านล่างรถยนต์ และเช็ดล้อเป็นลำดับสุดท้าย เป็นอันเสร็จขั้นตอนการล้างรถ

 ช่วยดูแลรถคุณทุกความเสี่ยงบนท้องถนน ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

97
ในยุคที่สถานการณ์โควิด 19 กลับมาแพร่ระบาดอีกระลอก มาตรการต่างๆ ถูกหยิบยกขึ้นมาเพิ่มระดับความเข้มข้นอีกครั้ง ทั้งนโยบายให้ทำงานที่บ้าน งดเว้นการรวมกลุ่มกัน และการเว้นระยะห่างทางสังคม สินมั่นคงประกันภัย พร้อมช่วยยกระดับการให้บริการกับลูกค้าประกันภัยรถยนต์ทุกท่าน ให้สามารถเคลมประกันรถยนต์ (เคลมแห้ง) ได้ง่ายๆ ด้วยตัวเองแล้วผ่านแอปพลิเคชัน SMK aLL (เคลมสด เคลมแห้ง และ เคลมประกันภัยรถยนต์ คืออะไร คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/61)

เคลมประกันรถสินมั่นคงด้วยตนเอง

1.   เปิดแอปพลิเคชัน SMK aLL หรือดาวน์โหลดได้ที่ลิงก์ http://onelink.to/bxzca5 แล้วกดที่ปุ่ม “แจ้งเคลม”
2.   ที่หน้าแจ้งเคลม กดที่ปุ่ม “รถยนต์”
3.   เลือก “ทำเคลมด้วยตันเอง”
4.   จะพบข้อมูลกรมธรรม์ที่ถือครองอยู่ หากไม่พบ ให้กด “ระบุกรมธรรม์”
5.   ใส่ข้อมูลรายละเอียดการแจ้งเคลม เช่น ผู้แจงเคลมเป็นผู้ขับขี่หรือไม่ และชื่อสกุลผู้แจ้ง พร้อมเบอร์โทรผู้แจ้ง
6.   ถ่ายรูปรายการความเสียหายและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น รูปป้ายทะเบียนรถพร้อมผู้ขับขี่ รูปใบขับขี่ รูปความเสียหายอื่นๆ หรือกดเพิ่มรูปถ่ายภาพความเสียหาย
7.   กดปุ่ม “แจ้งเคลม” จะปรากฏรายการแจ้งเคลมที่อยู่ระหว่างดำเนินการ
8.   ลูกค้าจะได้รับใบรับแจ้งเคลมผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อเป็นหลักฐานในการแจ้งเคลม สามารถเลือกดาวน์โหลดเก็บไว้ในเครื่อง สั่งพิมพ์ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ หรือให้ส่งหลักฐานทางอีเมล
9.   รอเจ้าหน้าที่ดำเนินการออกเลขเคลมและประสานงานติดต่อกลับอีกครั้ง

ดาวน์โหลด ติดตั้ง และลงทะเบียน SMK aLL แอปพลิเคชันจากสินมั่นคงประกันภัย ช่วยเปลี่ยนการทำประกันให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ ทั้ง IOS และ Android คลิก http://onelink.to/bxzca5 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คลิก www.smk.co.th โทร. 1596 หรือ Line : @smkinsurance

สินมั่นคงประกันภัย ...เราประกัน คุณมั่นใจ...

98
หลายครั้งที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน แล้วต้องกังวลกับการโทรเรียกประกันให้มาที่จุดเกิดเหตุ ที่เรียกว่า “เคลมสด” (เคลมสด เคลมแห้ง และ เคลมประกันภัยรถยนต์ คืออะไร คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/61) และต้องคอยโทรถามทางกับเจ้าหน้าที่เคลมว่าจริงๆ แล้วจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณใดของท้องถนน

สินมั่นคงประกันภัย เข้าใจความกังวลใจของลูกค้าประกันภัยรถยนต์ทุกท่าน และพร้อมพัฒนาบริการให้สามารถแจ้งเคลมประกันรถยนต์ (เคลมสด) ได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน SMK aLL พร้อมปักหมุดที่จุดเกิดเหตุ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเดินทางไปยังที่หมายได้ตรงจุดและรวดเร็วที่สุด

แจ้งเคลมประกันรถยนต์สินมั่นคงผ่านแอป SMK aLL

1.   เปิดแอปพลิเคชัน SMK aLL หรือดาวน์โหลดได้ที่ลิงก์ http://onelink.to/bxzca5 แล้วกดที่ปุ่ม “แจ้งเคลม”
2.   ที่หน้าแจ้งเคลม กดที่ปุ่ม “รถยนต์”
3.   เลือก “แจ้งอุบัติเหตุ (อยู่ในที่เกิดเหตุ)”
4.   จะพบข้อมูลกรมธรรม์ที่ถือครองอยู่ หากไม่พบ ให้กด “ระบุกรมธรรม์”
5.   ใส่ข้อมูลรายละเอียดการแจ้งเคลม เช่น ผู้แจงเคลมเป็นผู้ขับขี่หรือไม่ และชื่อสกุลผู้แจ้ง พร้อมเบอร์โทรผู้แจ้ง รายละเอียดคู่กรณี และลักษณะการเกิดเหตุ จากนั้นกด “ถัดไป”
6.   ปักหมุดสถานที่เกิดเหตุ ตรวจสอบตำแหน่งที่ปักหมุดให้ถูกต้อง หลังจากนั้นให้กด “เลือกตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบัน”
7.   เพิ่มรายละเอียดและภาพถ่ายจุดสังเกต แล้วกด “แจ้งเคลม”
8.   ระบบจะขึ้นสถานะว่า “ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการ กรุณารอสักครู่” จากนั้นให้กดปิด
9.   รอเจ้าหน้าที่ดำเนินการออกเลขเคลมและออกเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ

ดาวน์โหลด ติดตั้ง และลงทะเบียน SMK aLL แอปพลิเคชันจากสินมั่นคงประกันภัย ช่วยเปลี่ยนการทำประกันให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ ทั้ง IOS และ Android คลิก http://onelink.to/bxzca5 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คลิก www.smk.co.th โทร. 1596 หรือ Line : @smkinsurance

99
ในบางครั้งที่จำเป็นจะต้องนำรถยนต์ไปจอดทิ้งไว้กลางแจ้งหรือที่สาธารณะ แต่เมื่อกลับมาก็อาจทำให้เจ้าของรถยนต์ต้องปวดหัวกับริ้วรอยต่างๆ บนตัวรถ หรือแม้แต่ความเสียหายต่างๆ ของรถยนต์ที่อาจเกิดขึ้นได้จากสัตว์ขาจรที่แวะเวียนมาสร้างรอยไว้บนรถโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งแมลงติดหน้ารถ หรือรอยแมวข่วน (การป้องกันดูแลสีรถยนต์ คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/208) แล้วจะมีสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่สามารถทำร้ายรถได้อีกหรือไม่ จะมีวิธีป้องกันหรือแก้ไขริ้วรอยต่างๆ ได้อย่างไร 

1. สุนัข
ถือเป็นสัตว์ที่อยู่ใกล้ตัวมนุษย์และเป็นต้นเหตุอันอันต้นๆ ที่สร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ ด้วยการ “ฉี่ตามล้อรถ” สาเหตุก็เพื่อประกาศอาณาเขตระหว่างเพื่อนสุนัขด้วยกัน โดยฉี่ของสุนัขนี้มีคุณสมบัติเป็นกรด ซึ่งเมื่อเจอกับสารที่เคลือบล้อรถจะกัดกร่อนทำให้มีรอยด่างได้ โดยเฉพาะกับล้อขัดเงาหรือเคลือบสีทั้งแบบเต็มวงหรือเฉพาะขอบล้อ ซึ่งไม่ได้เกิดจากฉี่แค่ครั้งเดียว แต่ต้องใช้เวลา

วิธีป้องกันมีอยู่หลายรูปแบบ เช่น หาที่บังล้อ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นไม้ หรือขวดน้ำ, หาสเปรย์กันสุนัขฉีด หรือถ้าพบเห็นให้รีบล้างออกทันที

2. แมว
ปัญหาที่แมวสร้างความเสียให้กับรถได้บ่อยๆ คือการฝนเล็บบนสีรถ หรือกระโดดเหยียบย่ำไปมาบนหลังคา ฝากระโปรง สิ่งที่ตามมาคือริ้วรอยบนพื้นผิวรถ

วิธีป้องกันตามภูมิปัญญาชาวบ้าน คือนำมะกรูดมาผ่าซีกหรือจะปอกเปลือกใส่ตะกร้าหรือภาชนะเล็กๆ วางไว้บนหลังคารถหรือจุดที่แมวชอบขึ้นไปนอน
 
3. นก
ผลกระทบที่ผู้ใช้รถต้องเจอจากนกคือ ‘ขี้นก’ ซึ่งหลีกเลี่ยงค่อนข้างยาก ขี้นกมีฤทธิ์เป็นกรดถ้าปล่อยทิ้งไว้นานๆ ไม่ขจัดออกแต่เนิ่น จะกัดผิวหรือสีรถให้เป็นจุดด่างๆ

วิธีป้องกันเบื้องต้นคือการ ‘เคลือบแก้ว’ ซึ่งสามารถชะลอการเกิดความเสียหายได้ และควรรีบใช้น้ำสะอาดราดหรือฉีดล้างออก เนื่องจากมีชั้นฟิล์มใสเหนือผิวของรถจากการเซ็ตตัวของน้ำยาเคลือบแก้ว ซึ่งมีคุณสมบัติในเรื่องของความแข็งและความลื่น รวมถึงมีประสิทธิภาพในการต่อต้านการยึดเกาะผิวที่ผสมเข้าไป ส่วนเรื่องการทิ้งรอยด่างเป็นคราบบนผิวรถก็จะเกิดได้ยากขึ้นกว่าเดิม
 
4. มด
สาเหตุการมาของมดส่วนมากคงไม่พ้นการรับประทานอาหารบนรถยนต์ส่วนตัวขณะขับรถ เนื่องจากมดเป็นสัตว์ที่ไวต่อกลิ่นของอาหารมาก สามารถกำจัดมดบนรถได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือต้องดูแลความสะอาดให้รถปราศจากเศษอาหารที่ตกตามพื้นในรถยนต์ รวมถึงไม่วางภาชนะที่มีอาหารหรือคราบเศษอาหารอยู่ทิ้งไว้บนรถ เพราะอาจเป็นแหล่งอาหารที่ดึงดูดมดให้มารวมกลุ่มกัน

วิธีแก้ไข ให้นำรถจอดทิ้งไว้กลางแดดพร้อมกับเปิดประตูออกทุกบาน ทิ้งไว้เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง ความร้อนจะทำให้มดย้ายออกมาจากตัวรถได้เอง

5. แมลงสาบ
การทิ้งเศษอาหารหรือภาชนะใส่อาหารไว้บนรถจำนวนมาก จะส่งกลิ่นให้แมลงสาบแวะมาเยี่ยมเยียนในรถได้ แต่ถ้าต้องกินอาหารบนรถ โดยเฉพาะรถคันที่มีเด็กนั่งด้วยก็ควรต้องทำความสะอาดอย่างละเอียดทุกครั้ง รวมถึงแมลงสาบยังชื่นชอบสิ่งแวดล้อมที่ชื้นแฉะอีกด้วย การต้องมาพบเจอแมลงสาบในพื้นที่แคบๆ อย่างในรถเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ หากแมลงสาบไต่ขึ้นแขนขึ้นขาขณะขับรถอาจทำให้ตกใจและเผลอหลับตาจนเกิดอุบัติเหตุได้

วิธีป้องกันคือหลีกเลี่ยงการนำอาหารขึ้นไปกินบนรถ เพราะแมลงสาบกับอาหารเป็นของคู่กัน เมื่อทำอาหารหกหรือหล่นในรถให้รีบเช็ดทำความสะอาดทันที โดยเฉพาะบริเวณพรม, ช่องว่างระหว่างเบาะที่นั่ง, และช่องวางของข้างประตู รวมทั้งหลีกเลี่ยงการจอดรถใกล้กับถังขยะหรือฝาท่อน้ำทิ้ง

6. หนู
หนูสามารถสร้างผลกระทบให้กับรถได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการกัดสายไฟหรือแทะชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งหนูมักจะเข้ามาในรถได้เพราะกลิ่นจากเศษขนมหรืออาหารโดยตรง และมักเข้ามาหลบในเครื่องยนต์เพราะเงียบและปลอดภัย

วิธีป้องกันและแก้ไข คือ ทำความสะอาดในห้องโดยสารและห้องเครื่อง  ไม่ควรสะสมสิ่งของไว้ในรถ ควรจัดเก็บและหมั่นทำความห้องโดยสารอย่างสม่ำเสมอ และนำลูกเหม็นใส่ตาข่ายมัดวางไว้ตามจุดต่างๆ ในรถ หากจะใช้รถต้องหยิบออกก่อนเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ จากนั้นให้ปิดใต้ท้องรถให้สนิทโดยใช้แผ่นปิดใต้ท้องรถ หรือไล่เช็กแผ่นใต้ท้องรถดูว่าติดจุดยึดครบทุกจุด หรือหากขาดก็ควรเปลี่ยนทันที

7. งู
มักพบเจอในช่วงหน้าฝน และเข้าไปอาศัยซุกตัวอยู่ในห้องเครื่อง ซึ่งเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ก็อาจจะสร้างความเสียหายต่อชิ้นส่วนรถยนต์ได้ หากเป็นงูตัวใหญ่ไปนอนขดที่ใบพัดหม้อน้ำก็อาจทำให้ใบพัดหม้อแตกเสียหาย

วิธีป้องกันเบื้องต้น คือ นำกลิ่นฉุนไปวางไว้ตามจุดต่างๆ ของรถยนต์ เพราะงูไม่ชื่นชอบกลิ่นฉุน เช่น นำผ้าชุบน้ำมันเครื่องเก่าไปวางตามจุดต่างๆ ในโรงจอดรถ หรือใช้กำมะถันไล่งู โดยอาจนำผงกำมะถันมาผสมกับน้ำหรือยาเส้น แล้วนำไปเทราดไว้รอบๆ บริเวณที่จอดรถ หรือเทตามขอบบริเวณโรงจอดรถ

ที่สำคัญหากพบงูอยู่ในห้องเครื่องหรือในตัวรถ อย่าจับเองเป็นอันขาด แม้งูไม่มีพิษก็สามารถกัดจนทำให้เกิดอันตรายหรือเสียเลือดมากได้เช่นกัน เมื่อพบเห็นงูควรโทรแจ้งที่เบอร์ 199 สายด่วนกู้ภัย เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมาจับงูแล้วนำไปปล่อยสู่ธรรมชาติได้

8. แมลง
แมลงที่บินมาชนรถถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับสีรถได้ เพราะแมลงมีฤทธิ์เป็นกรด หากทำความสะอาดพื้นผิวรถไม่ถูกต้อง คราบจากแมลงที่บินมาชนรถจะกัดสีรถ ไม่ควรทิ้งคราบแมลงบนรถนานจนเกินไป เพราะจะทำความสะอาดยากยิ่งขึ้น หากทำความสะอาดทันที เพียงใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับขจัดรอยน้ำมันและคราบแมลง ทำความสะอาดด้วยผ้านุ่มๆ และออกแรงขัดอีกเล็กน้อยก็สามารถขจัดคราบแมลงได้ง่ายๆ (น้ำยาขัดสีรถ ยี่ห้อไหนดี 2021 ที่ลบรอยได้อย่างหมดจด https://car.kapook.com/view246620.html)

ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์หรือบุคคลภายนอก รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

100
“รถสไลด์” คืออีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับผู้ต้องประสบเหตุไม่คาดคิดบนท้องถนนเมื่อเกิดเหตุให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายรถออกจากสถานที่ใดได้ (รถเสียบนทางด่วนควรทำอย่างไรดี https://www.smk.co.th/newsdetail/294) แต่รถสไลด์ก็มีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ แต่ละรูปแบบมีค่าใช้จ่าย ราคา และค่าบริการรถสไลด์อย่างไร และการเลือกใช้รถสไลด์ควรพิจารณาจากปัจจัยใดบ้าง

รถสไลด์คืออะไร?

รถสไลด์ หรือ รถยก เป็นรถที่ได้รับการออกแบบดัดแปลงเป็นพิเศษ โดยอาจจะมีลักษณะเป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่สามารถนำรถยนต์ของลูกค้าทั้งคันขึ้นไปวางได้ และจะมีระบบล็อคแบบพิเศษเพื่อไม่ให้รถยนต์เคลื่อนไหวขณะทำการเคลื่อนย้าย ซึ่งการขนย้ายลักษณะนี้จะมีความปลอดภัยสูง เพราะช่วงล่างของรถยนต์จะไม่สัมผัสกับผิวถนนขณะทำการเคลื่อนย้ายด้วยการนำรถทั้งคันมาบรรทุกไว้ด้านหลัง แล้วบรรทุกไปตลอดทางโดยที่ไม่จำเป็นต้องลาก จะมีการลากเฉพาะตอนนำรถขึ้นกับลงเพื่อบรรทุกเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นรถที่ให้ความปลอดภัยในการเคลื่อนย้ายรถยนต์หรือรถที่ขับเคลื่อนด้วย 4 ล้อได้ดีที่สุด เพราะช่วยหลีกเลี่ยงการสึกหรอช่วงล่างของรถยนต์ได้

รถลากคืออะไร?

รถลาก เป็นรถขนย้ายที่ทำการเคลื่อนย้ายรถยนต์แบบลากจูง โดยอุปกรณ์ที่ใช้ลากจูงรถจะเป็นอุปกรณ์หลากหลายที่มีความแข็งแรงและความหยืดหยุ่นสูงอย่างลวดสลิง ผู้ให้บริการขนย้ายรถแบบลากต้องมีความรู้ว่ารถยนต์ของลูกค้าขับเคลื่อนด้วยล้อใดเป็นหลัก เพราะการจัดวางรถยนต์จะขึ้นอยู่กับการขับเคลื่อนของตัวรถว่าเป็นล้อหน้า หรือล้อหลัง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดกับช่วงล่างของตัวรถ

รถสไลด์ (รถยก) กับรถลาก ต่างกันอย่างไร?

ทั้งรถลาก และรถสไลด์ มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันทั้งลักษณะการขนย้ายรถ และประเภทของรถขนย้าย รวมถึงค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน โดยส่วนมากรถลากจะมีราคาเริ่มต้นที่ 1,000 บาท ด้วยความที่มีการทำงานที่ง่ายกว่า และเหมาะสมในสถานการณ์ที่ตัวรถยนต์ของลูกค้ากับศูนย์บริการซ่อมอยู่ในระยะทางที่ไม่ไกลกันมากนัก ส่วนรถสไลด์จะมีอัตราค่าบริการที่สูงกว่าโดยจะเริ่มต้นที่ 1,000 ถึง 3,000 และจะมีการคำนวณเพิ่มไปตามระยะทางที่ขนย้ายไปจนถึงศูนย์ให้บริการ

ข้อดีของรถสไลด์

1. มีความปลอดภัยสูง
รถสไลด์จะช่วยเรื่องการขนย้ายรถยนต์หรือรถที่ขับเคลื่อนด้วย 4 ล้อได้ดี มีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นการเคลื่อนย้ายโดยยกรถทั้งคันมาบรรทุกไว้ด้านหลัง พร้อมมีระบบล็อกติดเอาไว้อย่างแน่นหนาตลอดระยะทาง ไม่ต้องลากไปกับพื้นถนนที่อาจทำให้เกิดการสึกหรอของเครื่องยนต์ช่วงล่างได้

2. สามารถเคลื่อนย้ายได้แม้รถเกิดความเสียหายหนัก
ในกรณีที่รถยนต์หรือรถที่ขับเคลื่อนด้วย 4 ล้อเกิดความเสียหายหนักจากอุบัติเหตุ หรือรถเกิดสตาร์ตไม่ติด รถสไลด์ถือเป็นตัวเลือกที่ดีในการขนย้ายรถไปที่อู่หรือศูนย์เพื่อทำการซ่อมแซม เพราะขนย้ายง่าย และไม่สร้างความเสียหายเพิ่มเติมในระหว่างทางขนส่ง เนื่องจากยกรถทั้งคันขึ้นมาบรรทุกไว้ด้านหลัง

3. ใช้งานระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถขนส่งรถยนต์หรือรถที่ขับเคลื่อนด้วย 4 ล้อในระยะทางไกลได้เป็นอย่างดี เพราะการเคลื่อนย้ายรถในระยะทางที่ไกลหากลากไปก็อาจทำให้เครื่องยนต์ของตัวรถเกิดอาการสึกหรอ หรือเสื่อมสภาพได้นั่นเอง

เลือกใช้บริการรถขนย้ายแบบไหนดี? 

เมื่อเกิดเหตุการณ์รถเสียบนท้องถนน หากรถยนต์ยังสามารถเคลื่อนตัวได้ ล้อและกลไกต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ยังพอสามารถเคลื่อนย้ายได้ และได้ตรวจเช็กดูแล้วว่าศูนย์ให้บริการมีระยะทางไม่ไกลมากนัก ควรเลือกใช้เป็นบริการรถลาก เนื่องจากเป็นการขนย้ายที่ง่าย และประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า แต่หากประเมินดูแล้วว่ารถยนต์มีความเสียหายค่อนข้างหนักโดยเฉพาะช่วงล่าง จะเหมาะกับการเลือกใช้รถสไลด์มากที่สุด เพราะด้วยกลไกทำงานของการขนย้ายที่มีการยกรถทั้งคัน ทำให้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์มากกว่าเดิม

เช็กราคารถสไลด์ รถยก รถลาก

การให้บริการรถยก รถลาก หรือรถสไลด์ จะมีค่าบริการของแต่ละที่ในอัตราที่ไม่แตกต่างกันมากนัก โดยเป็นอัตราเดียวกันทั้งประเทศ ดังนี้

1. อัตราค่าบริการยกรถสไลด์
- เริ่มต้นที่ 1,500 บาท เป็นอัตรารถเปล่าระยะทางเดินทางไป ไม่เกิน 15 กม. หากเกิน คิดเพิ่มอัตรา กม. ละ 20 บาท
- ภายหลังจากยกรถแล้ว ระยะทางไปถึงปลายทางไม่เกิน 15 กม. หากเกิน คิดอัตรา กม. ละ 25 บาท

2. อัตราค่าบริการยกรถช้อนล้อรวมล้อเสริม
- ยกรถทั่วไปในลานจอดโล่ง เริ่มต้น1,300 บาท ระยะทางรถเปล่าไม่เกิน 15 กม. ยกส่งปลายทางไม่เกิน 15 กม. (ระยะทางเกินจากนี้ควรใช้เป็นรถสไลด์)
- ยกรถบนลานจอด บนห้าง ชั้นใต้ดิน เริ่มต้น 1,500 บาท ระยะทางรถเปล่าไม่เกิน 15กม. ยกส่งปลายทางไม่เกิน 15 กม. (ระยะทางเกินจากนี้ควรใช้เป็นรถสไลด์)
- ไม่รวมล้อเสริม 300 บาท กรณีไม่สามารถปลดล็อกเกียร์หรือเบรกมือได้ (รถเคลื่อนที่ไม่ได้เลย)

อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นเรื่องไม่คาดคิด ต่อให้ระมัดระวังเพียงใดอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางในเมืองกรุงที่มีปัญหาจราจรบนท้องถนนหนาแน่น จึงต้องเตรียมตัวรับมือให้พร้อมเสมอ เลือกทำประกันรถยนต์คนกรุง ประกันรถยนต์ชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปี คุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี  ไม่ว่าจะรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางรถยนต์ (Roadside Assistance Service) (https://www.smk.co.th/upload/FAQ/rosdside_assistance.pdf) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

หน้า: 1 [2] 3 4