ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - นากาตะ มูซาชิ

หน้า: [1]
1
ชนาธิป สรงกระสินธ์ ดาวเตะทีมชาติไทยที่เดินทางไปค้าแข้งกับ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ทีมดังในศึกเจลีก ออกมาโพสต์ตื่นเต้นที่จะได้ดวลฝีเท้ากับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง สโมสรยักษ์ใหญ่ในลีกเอิง ฝรั่งเศส ที่มีโปรแกรมทัวร์พรีซีซั่นที่ประเทศญี่ปุ่น

โดย มิดฟิลด์วัย 28 ปี ได้โพสต์ภาพเมื่อครั้งอดีตสมัยสมัยที่เจ้าตัวยังเป็นดาวรุ่ง และมีโอกาสดวลฝีเท้ากับ ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะระดับโลก ในรายการ ช้าง แชมเปี้ยนส์ คัพ เอฟซี บาร์เซโลน่า เอเชี่ยน ทัวร์ 2013 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อปี 2013

ซึ่งแม้กาลเวลาจะผ่านมาแล้วถึง 9 ปี แต่ ชนาธิป ไม่เคยลืมถึงการที่ได้มีโอกาสลงเล่นในสนามเดียวกันกับ แข้งขวัญใจที่ตอนนั้นยังค้าแข้งอยู่กับ บาร์เซโลน่า ก่อนที่จะโพสต์ภาพความประทับใจอีกครั้ง

สำหรับ เปแอสเช มีโปรแกรมจะเดินทางมาทัวร์พรีซีซั่นในเอเชียในรายการ JAPAN TOUR 2022 โดยจะพบกับ 3 ทีมดังในเจลีก ทั้ง คาวาซากิ ฟรอนตาเล่, อุราวะ เรดส์ ไดมอนด์ และ กัมบะ โอซาก้า ระหว่างวันที่ 20 - 25 กรกฎาคมนี้


เครดิต https://samjai.blog.fc2.com

2


สวย ใส เซ็กซี่ขึ้นเรื่อยๆ สำหรับ บลู จิรารัตน์ ล่าสุดเห็นภาพแล้วต้องบอกว่าทำแฟนคลับหลายคนใจละลาย เพราะเจ้าตัวผอมลงหุ่นแซ่บขึ้นเยอะ

ต้องบอกว่าไม่ว่าจะมาในลุคไหนก็ละลายใจหนุ่มๆ ได้ตลอด สำหรับ บลู จิรารัตน์ ยิ่งร้อนๆ แบบนี้ก็ไม่ลืมปล่อยภาพชุดว่ายน้ำมาให้แฟนคลับได้ใจหวิวกัน แต่ปัจจุบันต้องบอกว่า บลู หุ่นแซ่บขึ้นมาก โดยเมิ่อไม่นานมานี่เจ้าตัวโพสต์ข้อความว่า “ฟื้นแล้วค่า มาทันที เอว 23 ขาตะเกียบ รอชม set บิกินนี่สวยๆ นะคะ” งานนี้หลังจากหุ่นเข้าที่น้องบลูก็ทยอยอวดความแซ่บ ซึ่งหลายคนเห็นแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผอมลงแถมสวยขึ้นอีกด้วย

สำหรับในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บลู จิรารัตน์ เป็นนางแบบสายแซ่บที่ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็เป็นที่สนใจตลอด โดยผ่านงานในวงการมาแล้วมากมาย ทั้งงานถ่ายแบบ รีวิวสินค้า ทั้งยังได้ร่วมงานกับนิตยสารชั้นนำมากมาย

เครดิต jav69xxx.weebly

3
สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แห่งศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เพิ่งบรรลุข้อตกลงคว้าตัว ลิซานโดร มาร์ติเนซ เซ็นเตอร์แบ็คจาก อาแจ็กซ์ ร่วมทัพอย่างเป็นทางการใน ตลาดซื้อขายนักเตะ ซัมเมอร์นี้ภายใต้มูลค่าราว 57 ล้านปอนด์

ปราการหลังวัย 24 ปีนับเป็นนักเตะใหม่รายที่ 3 ของ เอริค เทน ฮาก ในตลาดรอบนี้ต่อจาก ไทเรลล์ มาลาเชีย และ คริสเตียน เอริคเซน

แต่ส่วนสูง 175 เซ็นติเมตรของแข้ง อาร์เจนไตน์ กลายเป็นประเด็นในสื่อเมื่อตัวเลขส่วนสูงของเจ้าตัวไม่อาจเทียบได้กับปราการหลังชั้นนำในลีกเมืองผู้ดีโดยแข้งอย่าง แฮร์รี แม็กไกวร์ มีส่วนสูง 194 ซม., ราฟาเอล วาราน ที่ 191 ซม., วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ ที่ 187 ซม. หรือ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ สังกัด ลิเวอร์พูล ที่ 193 ซม. เป็นต้น


"ผมคิดว่าเขาไม่ใช่กองหลังที่สูงที่สุดแต่เขาก็ทำได้ดีในการป้องกันลูกกลางอากาศ" เทน ฮาก กล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าว "ผมคิดว่าเขาไร้ปัญหาในเรื่องนั้น แน่นอนว่าคุณต้องการความสมดุล เขามีจังหวะในการตัดบอลที่ดี นั่นเป็นหนึ่งในจุดเด่นของเจ้าตัว"

"เขายังนำพาความเกรี้ยวกราดตามแบบฉบับแข้งอเมริกาใต้ ไปจนถึงการคุมเกมและสปิริตมาสู่ทีม ผมคิดว่าเขาลงตัวเป็นอย่างดีกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และวิธีที่เราจะเล่นต่อจากนี้"

"ผมวิเคราะห์การเล่นของ ยูไนเต็ด เมื่อปีที่แล้วในการแนวรับที่ด้านซ้าย ความที่เขาถนัดซ้ายจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการครอบครองบอลและการป้องกันของเรา เราไม่ใช่เพียงแค่ดึงเขามาร่วมทัพเพื่อความแข็งแกร่งของนักเตะโดยรวมแต่เป็นเพื่อความแข็งแกร่งของทีม"

เครดิต jav69xxx.weebly

4
รถยนต์ป้ายแดง คือรถยนต์ที่ติดตั้งป้ายทะเบียนสีแดง ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ใหม่ที่เพิ่งออกจากศูนย์บริการและยังอยู่ในระหว่างรอการจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเพื่อรับป้ายขาว

“ป้ายแดง” เป็นป้ายทะเบียนพิเศษ ที่กรมการขนส่งทางบกออกให้แก่บริษัทตัวแทนจำหน่ายรถ นำไปติดตั้งชั่วคราวเพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงว่ารถยนต์คันนั้น ๆ สามารถวิ่งใช้งานบนท้องถนนได้

แต่รถป้ายแดงก็มีข้อจำกัดและเงื่อนไขในการใช้งานที่แตกต่างจากป้ายขาวอยู่พอสมควร ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้มาก่อน วันนี้เราได้รวมรวบข้อควรรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับรถป้ายแดงว่ามีข้อจำกัดใดบ้าง เพื่อเป็นแนวทางให้เจ้าของรถใหม่ได้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้องและไม่โดนปรับนั่นเอง

รถป้ายแดงต้องจดบันทึกการใช้รถในสมุดคู่มือ
รถป้ายแดงทุกคันนอกจากจะได้ป้ายทะเบียนสีแดงแล้ว ยังมีสมุดคู่มือประจำตัวรถป้ายแดงที่เอาไว้สำหรับบันทึกชื่อผู้ขับขี่, ยี่ห้อรถ, หมายเลขตัวถังหรือเครื่องยนต์ของรถ, ระยะเวลาการใช้รถ และสถานที่ที่จะไป เพื่อใช้ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากมีการเรียกตรวจ ซึ่งสมุดคู่มือนี้ควรพกติดไว้ในรถเสมอ


รถยนต์ป้ายแดงวิ่งกลางคืนได้ไหม
ตามที่กฎหมายระบุไว้ รถป้ายแดงจะสามารถวิ่งบนท้องถนนได้ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. (ปัจจุบันได้มีการอนุโลมให้ไม่เกิน 20.00 น. เนื่องจากปัญหาการจราจรที่ติดขัด) สาเหตุหนึ่งเพราะว่าป้ายสีแดงมองเห็นได้ไม่ชัดในที่มืด และสามารถนำรถไปกระทำผิดกฎหมายได้ง่าย หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท แต่ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางนอกเหนือเวลาดังกล่าว ให้บันทึกข้อมูลในสมุดคู่มือรถป้ายแดง หากถูกเรียกตรวจเจ้าหน้าที่จะใช้ดุลยพินิจพิจารณาเหตุอันสมควรในการใช้รถอีกครั้งหนึ่ง



แนะนำโดย : วาไรตี้ https://ultraboostadidas.us

5
ไขข้อสงสัยระหว่างขุมพลัง เครื่องยนต์ดีเซล กับ เครื่องยนต์เบนซิน ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร มีจุดเด่นและข้อด้อยอะไรบ้าง ห้ามพลาด !

แม้ว่าค่ายรถยนต์ในปัจจุบันจะมีการพัฒนาและผลิตรถยนต์ขุมพลังทางเลือกใหม่ออกมามากมาย แต่เครื่องยนต์สันดาปภายในรูปแบบ เครื่องยนต์ดีเซล และ เครื่องยนต์เบนซิน ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังมองหารถใหม่ หรือมีความสงสัยว่าเครื่องยนต์ทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน

เครื่องยนต์ดีเซล เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่อาศัยการจุดระเบิดโดยหลักการอัดอากาศ และฉีดเชื้อเพลิงด้วยความดันสูงจนเชื้อเพลิงนั้นสามารถติดไฟได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหัวเทียนในการจุดระเบิด ซึ่งหลักการทำงานนั้นเมื่ออากาศถูกอัดตัวจะมีความร้อนที่สะสมสูงขึ้น  และเมื่อได้รับเชื้อเพลิงจากการฉีดจ่ายอย่างรวดเร็วและแรงจากหัวฉีดแรงดันสูง จึงเกิดการระเบิดภายในและเผาไหม้ภายในกระบอกสูบ ส่งเป็นกำลังหรือแรงผลักไปยัง ลูกสูบ ก้านสูบ เพลาข้อเหวี่ยง จนเป็นกลายพละกำลังในการขับเคลื่อนตัวรถ

เครื่องยนต์เบนซิน หรือที่เรียกกันว่าเครื่องยนต์แก๊สโซลีน และที่เรียกแบบนี้ก็เป็นเพราะการใช้เชื้อเพลิง น้ำมันเบนซิน , โซฮอล, แก๊ส หรือแม้แต่เอทานอล เป็นส่วนผสมในกระบวนการจุดระเบิด ร่วมกับอากาศ และไฟจุดระเบิด โดยมีหัวเทียนเป็นตัวจุดประกายไฟ และมีหัวฉีดเป็นตัวจ่ายเชื้อเพลิง โดยการทำงานจะเป็นแบบ 4 จังหวะ คือ จังหวะ ดูด อัด ระเบิด และคาย จัวหวะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในกระบอก จึงเรียกว่าสันดาปภายใน เครื่องยนต์เบนซินนี้จะทำงานแบบวนไปเรียกว่า กลวัตร (Cycle) พลังงานภายในที่ได้จะถูกส่งต่อไปยังชิ้นส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ลูกสูบ ก้านสูบ ต่อไปจนถึงเพลาข้อเหวี่ยง จนทำให้เกิดกำลังในการขับเคลื่อน


แนะนำโดย : วาไรตี้ https://nlnikestore.com

6
กรมการขนส่งทางบก เปิดให้บริการจองคิวต่อใบขับขี่ และทำใบขับขี่ได้แล้ว พร้อมงานด้านทะเบียนและภาษีรถ โดยเน้นมาตรการสาธารณสุข ลดขั้นตอน จำกัดจำนวนคน

จากมาตรการผ่อนคลายควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid 19 ที่ทางรัฐบาลได้เริ่มอนุญาตให้ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือสถานที่ต่าง ๆ ที่หยุดให้บริการไปก่อนหน้านี้สามารถกลับมาเปิดทำการได้ตามปกติ

ล่าสุด กรมการขนส่งทางบก เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ผ่อนคลายพร้อมเปิดให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถ การดำเนินการด้านทะเบียนและภาษีรถ ตามที่ ศบค. ได้ออกมาตรการผ่อนคลายให้สามารถใช้อาคารหรือสถานที่เพื่อการจัดการเรียนการสอน การสอบ การฝึกอบรม หรือการทำกิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมากได้ โดยให้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด

โดยกรมการขนส่งทางบกได้ให้สำนักงานขนส่งทุกแห่ง เปิดให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถในส่วนที่ไม่ต้องมีการอบรมในสำนักงาน ซึ่งผู้เข้ารับบริการต้องจองคิวล่วงหน้าผ่านทางแอปพลิเคชัน แต่ยังคงคุมเข้มงดการอบรมที่สำนักงานขนส่ง สำหรับการขอรับและต่ออายุใบอนุญาตขับรถ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถทุกชนิด เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ

ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการต่ออายุใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ สามารถเข้าอบรมผ่านระบบ e-Learning ได้ทาง dlt-elearning.com แทนการเข้าอบรมในสำนักงาน
ในส่วนการให้บริการด้านทะเบียนและภาษีรถที่สำนักงานขนส่งนั้น เปิดให้บริการปกติ หากการดำเนินการทางทะเบียนที่มีกำหนดระยะเวลาทางกฎหมายตรงกับช่วงที่งดให้บริการ เช่น โอนรถ แจ้งย้ายรถ การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ หรือแจ้งเลิกใช้รถ กรมการขนส่งทางบกได้ขยายระยะเวลาให้สามารถมาดำเนินการได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 โดยเจ้าของรถไม่ต้องชำระค่าปรับ

นอกจากนี้ การตรวจสภาพรถจะมีการยกเว้นการตรวจสภาพรถยนต์ที่ใช้รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน (รถแท็กซี่) ที่ถึงกำหนดตรวจสภาพเพื่อเสียภาษีประจำปี  หรือครบกำหนดระยะเวลาการตรวจสภาพตามรอบ 3 เดือน หรือ 4 เดือน หรือ 6 เดือน แล้วแต่กรณี ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 แต่ไม่รวมถึงกรณีการตรวจสภาพเพื่อขยายอายุการใช้งานจาก 9 ปี เป็น 12 ปี ซึ่งต้องนำรถเข้าตรวจสภาพตามเดิม

อย่างไรก็ตาม การให้บริการของสำนักงานขนส่งทุกแห่งต้องดำเนินการตามมาตรการด้านสาธารณสุข (D-M-H-T-T-A) เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายของโรค Covid 19 อย่างเคร่งครัด โดยจำกัดจำนวนผู้เข้ารับบริการในแต่ละวัน ด้วยการจองคิวล่วงหน้าในระบบจองคิวผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือเว็บไซต์



แนะนำโดย : วาไรตี้ https://katespadewallet.us

7
รถยนต์ ในปัจจุบันมีความซับซ้อนในเรื่องเครื่องยนต์กลไกและระบบการใช้งานต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้ผู้ขับขี่หลายคนต้องทำความเข้าใจและหมั่นสังเกตอาการผิดปกติเบื้องต้นที่อาจเกิดขึ้นกับรถของตัวเองได้ เพราะเมื่อใช้งานไปเป็นเวลานาน สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ความเสื่อมสภาพของชุดอุปกรณ์หรืออะไหล่บางชิ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับรถของเรา รวมถึงอาการ "รถกระตุก" ที่หลายคนอาจเคยเจอนั่นเอง 

รถกระตุกเกิดจากอะไร

เชื่อว่าผู้ขับขี่หลายคนคงเคยประสบปัญหาขณะขับรถ เช่น พอเริ่มเบาเครื่องชะลอความเร็วลง รอบเครื่องตก เครื่องยนต์ก็เกิดอาการกระตุกและสะดุด เหมือนจะดับ หรือตอนกำลังออกรถแล้วรู้สึกว่ารถกระตุก เป็นต้น ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

1. ปลั๊กหัวเทียนหลวม
ปลั๊กหัวเทียนหลวม จะเป็นสาเหตุแรก ๆ ที่ทำให้รถเกิดอาการกระตุก หรือเครื่องสะดุด เพราะถ้าเสียบไม่แน่น จะทำให้เกิดกระแสไฟไม่สม่ำเสมอ จนหัวเทียนไม่มีไฟไปจุดระเบิดในแต่ละรอบของลูกสูบ

 วิธีแก้ไขเบื้องต้น ทำได้โดยการขยับเสียบปลั๊กหัวเทียนให้แน่น แต่ถ้าไม่แน่นเพราะปลายสายเป็นโลหะ ให้ใช้คีมบีบเพื่อให้ตัวโลหะล็อกแน่นขึ้น และถ้าเกิดตรวจเช็กดูแล้วว่าสายหรือบริเวณปลั๊กหัวเทียนขาดชำรุด สามารถแก้ไขด้วยการเอาเทปพันสายไฟ พันรอบปลั๊กหัวเทียนหรือสายให้แน่นหนาสัก 2 รอบ จากนั้นลองสตาร์ตดูว่าเครื่องติดหรือไม่ หากใช้งานได้ปกติควรนำเข้าอู่หรือศูนย์บริการเพื่อทำการปรับเปลี่ยนใส่ของใหม่ และเพื่อความมั่นในใจการขับขี่ครั้งหน้า

2. หัวเทียนเสื่อมสภาพ
หัวเทียนเสื่อมสภาพ หรือที่เรียกกันว่าหัวเทียนบอด ซึ่งเมื่อหัวเทียนเสื่อมสภาพนั้น อย่างแรกจะเกิดอาการสตาร์ตไม่ติดหรือติดยาก และเมื่อสตาร์ตติดแล้วเดินเครื่องไปสักระยะ เครื่องยนต์จะมีอาการสั่น กระตุก อืด เร่งไม่ขึ้น นั่นเป็นเพราะหัวเทียนจุดประกายไฟได้ยาก และจุดระเบิดไม่สม่ำเสมอ

วิธีแก้ไขเบื้องต้น ให้ลองถอดหัวเทียนออกมาตรวจเช็กดูว่ามีคราบเขม่าดำหรือมีคราบน้ำมันติดอยู่ที่ขั้วของหัวเทียนหรือไม่ พร้อมกับดูที่เขี้ยวหัวเทียนว่าสึกกร่อนจนเป็นลักษณะโค้งไม่มีเหลี่ยมคมหรือเปล่า หากถอดออกมาแล้วมีอาการข้างต้นให้รีบเปลี่ยนใหม่และให้เปลี่ยนพร้อมกันทั้งชุด เพื่อหัวเทียนจะได้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีเท่า ๆ กัน

3. หัวฉีดสกปรก
หัวฉีดสกปรก หรือหัวฉีดเริ่มอุดตัน มักเป็นสาเหตุที่พบได้ค่อนข้างบ่อย เพราะเมื่อหัวฉีดอุดตันจะทำให้การฉีดเชื้อเพลิงไม่สะดวก น้ำมันเชื้อเพลิงหรือแก๊สที่ถูกฉีดออกไปจะไม่เพียงพอกับสัดส่วนการจุดระเบิด ส่วนมากจะเกิดกับรถที่ผ่านการใช้งานมานาน

ซึ่งเมื่อเกิดการอุดตันจะส่งผลทำให้กำลังตกเร่งไม่ขึ้น เครื่องยนต์เดินไม่เรียบ ถ้าปล่อยไว้นานมีโอกาสที่จะทำให้รถพังได้ แต่ที่แน่ ๆ รถจะกินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้หัวฉีดอุดตันหรือสกปรกนั้นมาจากสิ่งที่เจือปนอยู่ในน้ำมัน เช่น น้ำ สนิมที่ก้นถัง รวมถึงเศษชิ้นส่วนที่หมดสภาพ ไม่ว่าจะเป็นยางท่อน้ำมัน ท่ออะลูมิเนียมและอื่น ๆ ที่ถึงแม้จะมีไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงกั้นเป็นด่านแรก แต่ก็ไม่ได้ 100% จนทำให้สิ่งสกปรกไปเกาะติดอยู่ที่หัวฉีด และทำให้เกิดการอุดตันนั่นเอง 

วิธีแก้ไขเบื้องต้นสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยเติมสารล้างหัวฉีดที่หาซื้อได้ตามศูนย์บริการหรือปั๊มน้ำมันทั่วไป ลงในถังน้ำมันเชื้อเพลิงตามสัดส่วนที่กำหนด ซึ่งปกติจะผสมในปริมาตร 1 ขวด ต่อน้ำมัน 1 ถัง หรืออย่างน้อยครึ่งถัง โดยสารล้างหัวฉีดดังกล่าวจะผสมเข้าไปกับน้ำมันเชื้อเพลิง พอเครื่องยนต์ทำงานก็จะเข้าไปทำความสะอาดที่หัวฉีด แล้วล้างคราบสกปรกโดยทันที และถูกขจัดไปพร้อมกับการจุดระเบิด หรืออีกวิธีคือ การนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อถอดหัวฉีดออกมาทำความสะอาดทั้งระบบ เพื่อที่จะทำให้เครื่องยนต์ของคุณกลับมามีกำลังและเดินเรียบเหมือนใหม่ไปได้นาน ๆ

4. ไส้กรองอากาศสกปรก


อีกสาเหตุที่พบบ่อยของอาการรถกระตุกนั้น มาจากที่ไส้กรองอากาศสกปรก หรือมีฝุ่นจับตัวกันอย่างหนาแน่น ทำให้อากาศไม่สามารถเข้าไปที่ห้องเผาไหม้ได้ ส่งผลทำให้เครื่องยนต์กระตุกหรือสั่นได้

วิธีแก้ไขเบื้องต้น คือ ถอดไส้กรองอากาศออกมาเป่าไล่ฝุ่น แต่ถ้าสกปรกมากแนะนำให้เปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ดีที่สุด โดยทั่วไปอายุการใช้งานของไส้กรองอากาศควรจะต้องเปลี่ยนทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร

5. กรองน้ำมันเชื้อเพลิงตัน
กรองน้ำมันเชื้อเพลิงมีหน้าที่กรองและดักจับสิ่งสกปรก ทั้งฝุ่นผง เศษโลหะ ที่มาพร้อมกับน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนใหญ่จะใช้กระดาษกรองพับเป็นครีบเพื่อกรองสิ่งสกปรกไม่ให้หลุดรอดเข้าไปเป็นอันตรายกับชิ้นส่วนในระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็นปั๊มติ๊กในหัวฉีดในเครื่องเบนซิน และปั๊มหัวฉีดในเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งถ้าเมื่อกรองน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตัน อาจส่งผลเสียทำให้เครื่องยนต์มีอาการสะดุด กระตุก เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงมาไม่ทันความต้องการของเครื่องยนต์

วิธีแก้ไขเบื้องต้น ให้ถอดกรองน้ำมันเชื้อเพลิงออกมาเปลี่ยนใหม่ หรือให้ช่างผู้ชำนาญปรับเปลี่ยนให้ โดยสามารถตรวจเช็กตามระยะที่กำหนดไว้ในคู่มือ ซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดให้เปลี่ยนในระยะ 40,000-80,000 กิโลเมตร

6. ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เครื่องมีอาการผิดปกติคือ ลิ้นปีกผีเสื้อเกิดการสกปรก อันเกิดจากผงฝุ่นที่เล็ดลอดผ่านเข้ามาตามท่ออากาศ เพราะกรองอากาศหมดสภาพ ซึ่งผงฝุ่นเหล่านี้จะไปสะสมทำให้ตัวเซ็นเซอร์ซึ่งเป็นตัวส่งสัญญาณไปกล่อง ECU ผิดเพี้ยน

วิธีแก้ไขเบื้องต้น คือ การถอดเอาตัวเรือนลิ้นเร่งหรือลิ้นปีกผีเสื้อออกมาล้างทำความสะอาด โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดล้างลิ้นปีกผีเสื้อฉีดพ่นเอาสิ่งสกปรกออก หรือหากดูแล้วมีคราบติดมากก็สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแบบเดียวกับที่ใช้กับรถล้างออกได้ ส่วนการถอด-ประกอบนั้นสามารถหาดูได้ในคู่มือประจำรถ เพราะรถแต่ละรุ่นมีวิธีถอด-ประกอบไม่เหมือนกัน ดังนั้นทำตามคู่มือปลอดภัยสุด



ข้อมูลจาก : วาไรตี้ https://storenikesfr.org

8
กรมการขนส่งทางบก เตือนเจ้าของรถหลีกเลี่ยงการขูด ลบ หรือติดสติ๊กเกอร์ปิดบังป้ายทะเบียนรถ เพราะมีความผิดตามกฎหมาย เผยหากอยากได้เลขทะเบียนรถถูกใจสามารถจองได้ด้วยตนเองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ความเชื่อหนึ่งที่มีอิทธิพลกับผู้ใช้รถยนต์ก็คือเรื่องของตัวเลขบนป้ายทะเบียน เจ้าของรถหลายคนมีความพยายามดัดแปลง เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือนำสติ๊กเกอร์มาปิดบังหมายเลขทะเบียนรถ เพื่อหวังให้เกิดความเป็นสิริมงคลหรือเพื่อแก้เคล็ดตามความเชื่อของแต่ละบุคคลนั้น ล่าสุดกรมการขนส่งทางบกได้ออกมาเตือนว่าการกระทำดังกล่าวนั้นมีความผิดตามกฎหมาย รวมไปถึงการใช้แผ่นป้ายทะเบียนที่มีลวดลายกราฟิกแบบป้ายทะเบียนประมูลด้วยเช่นกัน

จากกรณีที่มีเจ้าของรถบางรายแก้ไข ดัดแปลง แผ่นป้ายทะเบียนรถทั้งหมดหรือบางส่วน การเขียนแก้ไขตัวเลขด้วยลายมือให้เป็นเลขอื่นตามความเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงการนำวัสดุ เช่น แผ่นทองคำเปลวหรือแผ่นสติ๊กเกอร์ ติดทับจนบดบังตัวอักษรหรือตัวเลขบนแผ่นป้ายทะเบียนรถ และการใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถสกรีนลวดลายกราฟิกเลียนแบบแผ่นป้ายทะเบียนประมูล ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นแผ่นป้ายทะเบียนประมูล และการใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถที่ทางราชการไม่ได้ออกให้

การกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท และหากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถปลอม หมายเลขทะเบียนรถไม่ตรงกับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี ไม่ตรงกับสำเนาใบคู่มือจดทะเบียนรถ และรายละเอียดของตัวรถ ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นเกิดความสับสนและไม่สามารถระบุหมายเลขทะเบียนรถได้ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานปลอมแปลงเอกสารราชการ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 10,000 บาท

นอกจากนี้สำหรับเจ้าของรถที่แผ่นป้ายทะเบียนรถชำรุด ตัวอักษรหรือตัวเลขลบเลือนจากการใช้งาน รวมถึงสูญหาย แนะนำให้เจ้าของรถเร่งดำเนินการขอรับแผ่นป้ายทะเบียนรถใหม่ทดแทนของเดิมให้ถูกต้องตามกฎหมาย ได้ที่สำนักงานขนส่งที่รถนั้นจดทะเบียน ซึ่งจะได้รับแผ่นป้ายทะเบียนรถใหม่ภายใน 15 วันทำการ ส่วนใครที่ต้องการหมายเลขทะเบียนรถใหม่ที่ถูกใจ สามารถจองหมายเลขได้ด้วยตนเอง ผ่านเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก tabienrod.com ในวันและเวลาราชการ


แนะนำโดย : วาไรตี้ https://adidastubular.us


9
เผยโฉม Honda Passport 2022 รถยนต์ SUV รุ่นใหญ่จากค่าย Honda ที่ปรับดีไซน์ใหม่แข็งแกร่ง สปอร์ต ดุดันมากกว่าเดิม เพิ่มเติมรุ่นใหม่ TrailSport สำหรับสายลุย


Honda เปิดตัว Honda Passport 2022 รถยนต์ SUV รุ่นใหญ่ของค่ายที่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกา มีขนาดใหญ่กว่า Honda CR-V ที่จำหน่ายในบ้านเรา โดย Honda Passport โฉมใหม่ มาพร้อมกับการออกแบบภายนอกใหม่ทั้งหมด ปรับลุคให้ดูดุดัน แข็งแกร่งมากขึ้น ผสมผสานกลิ่นไอความเป็นออฟโรด ที่ทนทานและคล่องตัวสูงด้วยรุ่นใหม่อย่าง TrailSport

Honda Passport 2022 ดีไซน์ภายนอก
Honda Passport 2022 มีการปรับรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ให้ดูทนทานและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยส่วนหน้าใหม่ที่ดูดุดัน กระจังหน้าขนาดใหญ่พร้อมช่องดักอากาศประดับด้วยโลโก้ Honda และชื่อรุ่น TrailSport สำหรับรุ่นใหม่เท่านั้น สอดรับกับแผงกันชนหน้าสีดำขนาดใหญ่ ฝากระโปรงแบบใหม่ บังโคลนสีดำ ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Light เส้นสายตัวรถเน้นความเรียบง่ายแต่ดูบึกบึน ไฟท้ายเป็นแบบ LED กันชนหลังแบบใหม่พร้อมท่อไอเสียที่ใหญ่ขึ้น ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สำหรับรุ่น TrailSport ขนาด 20 นิ้ว สำหรับรุ่น Elite และ EX-L

Honda Passport 2022 ดีไซน์ภายใน
Honda Passport 2022 ออกแบบภายในได้อย่างเรียบง่าย หรูหรา และดูสปอร์ต สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีมาให้ถือว่าครบครัน ด้านระบบความบันเทิงติดตั้งหน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 8 นิ้ว เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น ลำโพงระดับเสียงคุณภาพ รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน เบาะที่นั่งในรุ่น TrailSport จะมีชื่อรุ่นปักอยู่ที่หมอนรองศีรษะพร้อมกับการเดินตะเข็บด้วยด้ายสีส้ม

Honda Passport 2022 สมรรถนะเครื่องยนต์
Honda Passport 2022 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.5 ลิตร I-VTEC ให้พละกำลังสูงสุด 283 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 355 นิวตันเมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด พร้อมด้วยระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ และ 4 ล้อ แบบ i-VTM4 ซึ่งจะถูกติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น TrailSport และ Elite ส่วนในรุ่น EX-L สามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้ด้วยเช่นกัน

Honda Passport 2022 เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย
Honda Passport 2022 จะติดตั้งระบบ Honda Sensing มาเป็นระบบพื้นฐานที่มีฟังก์ชันด้านความปลอดภัย เช่น ระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกเลน (RDM), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKAS), ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนน (CMBS), ระบบควบคุมและปรับความเร็วอัตโนมัติ (ACC), ระบบเตือนด้านหลังขณะถอย, ระบบตรวจจับสัญญาณจราจร และเสริมด้วยระบบแจ้งเตือนให้ตรวจสอบเบาะนั่งด้านหลังเมื่อลงจากรถ ป้องกันการลืมเด็ก สัตว์เลี้ยง หรือสิ่งของต่าง ๆ, ระบบเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะที่นั่งด้านหลัง

Honda Passport 2022 ราคาจำหน่าย
Honda Passport 2022 ยังไม่มีการเปิดเผยในเรื่องของราคาอย่างเป็นทางการออกมา และจะเริ่มวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาช่วงปลายปีนี้ โดยจะมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่

Honda Passport 2022 รุ่น TrailSport

Honda Passport 2022 รุ่น Elite

Honda Passport 2022 รุ่น EX-L

สำหรับประเทศไทยนั้น Honda ยังไม่มีแผนการที่จะนำรถยนต์ SUV รุ่นใหญ่ Honda Passport 2022 เข้ามาทำตลาดในบ้านเรา ซึ่งถ้าหากในอนาคตมีการนำเข้ามาจำหน่ายจริง คาดว่าคงจะได้รับความสนใจไม่น้อยและน่าจะสู้กับเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง Mazda CX-5, MG GS และ Toyota Collora Cross ได้อย่างสนุก



แนะนำโดย : วาไรตี้ https://01podcast.com

10
ปัญหากระจกรถเป็นฝ้าในช่วงหน้าฝน อุปสรรคกวนใจของผู้ใช้รถหลายคน ลองมาดูเคล็ดลับวิธีไล่ฝ้าที่กระจกรถยนต์เพื่อทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ดียิ่งขึ้น และเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนกัน

เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้ว สิ่งสำคัญลำดับแรกที่ผู้ใช้รถต้องทำก็คือ การตรวจเช็กอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ยางรถยนต์ หรือยางปัดน้ำฝน ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน รวมไปถึงการขับขี่ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพราะด้วยพื้นถนนค่อนข้างลื่น รวมถึงทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ไม่ดีนัก ซึ่งอีกสิ่งหนึ่งที่ส่งผลต่อการมองเห็นคือ ฝ้าที่กระจกรถ นั่นเอง

สาเหตุของการเกิดฝ้าที่กระจกรถยนต์
ฝ้าที่กระจกรถยนต์ เกิดจากการที่อุณหภูมิความชื้นภายในและภายนอกตัวรถมีความแตกต่างกันมากเกินไป พบได้บ่อยในช่วงฤดูหนาวและฤดูฝน การเกิดฝ้าที่กระจกรถยนต์ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ

ฝ้าที่เกิดบริเวณกระจกด้านนอกตัวรถ สาเหตุเพราะอุณหภูมิในรถเย็นกว่าอากาศภายนอก

ฝ้าที่เกิดบริเวณกระจกด้านในตัวรถ สาเหตุเพราะอุณหภูมิในรถอุ่นกว่าอากาศภายนอก

วิธีแก้ไขเมื่อเกิดฝ้าที่กระจกรถยนต์
ฝ้าที่เกิดขึ้นบนกระจกรถ มีวิธีการแก้ไขที่ไม่แตกต่างกันเท่าไร แต่ก็มีบางวิธีที่ใช้ได้เฉพาะกับฝ้าที่เกิดภายนอกตัวรถเท่านั้น เช่น การใช้ที่ปัดน้ำฝน เราลองมาดูวิธีการกำจัดฝ้าที่เกิดขึ้นตามจุดต่าง ๆ บนตัวรถกัน

ฝ้าที่กระจกรถภายนอก


หากเกิดฝ้าที่กระจกรถด้านนอกโดยเฉพาะบานหน้า เราสามารถที่จะใช้ที่ปัดน้ำฝนสัก 3-4 ครั้ง ฝ้าที่เกิดขึ้นก็จะจางลง แต่ถ้าหากยังไม่ดีขึ้นสามารถใช้น้ำฉีดกระจกร่วมด้วย

ฝ้าที่กระจกรถด้านข้าง

เพียงแค่เปิดกระจกรถยนต์ลงจนสุดแล้วปิดขึ้นมาตามเดิม ฝ้าที่เกิดขึ้นก็จะหายไป เพราะตัวกระจกจะถูกเสียดสีกับขอบยางที่ประตูขณะเลื่อนขึ้น-ลง ซึ่งขอบยางนี้เองที่เปรียบเสมือนยางปัดน้ำฝนที่ช่วยขจัดฝ้าให้ออกไปได้

ฝ้าที่กระจกด้านหลัง

หากเราลองสังเกตดี ๆ ในรถยนต์ทุกคันจะมีเส้นสีดำพาดผ่านอยู่ที่กระจกรถด้านหลัง ซึ่งเส้นนี้จะมีคุณสมบัติแผ่ความร้อนช่วยไล่ฝ้าที่เกิดขึ้นบนกระจกให้หายไปได้ เพียงแค่กดปุ่มควบคุมที่ถูกติดตั้งบริเวณคอนโซลกลาง หรือบริเวณอื่น ๆ ตามแต่รุ่นของรถนั้น ๆ

ฝ้าที่กระจกรถภายใน
ฝ้าชนิดนี้ส่วนใหญ่แล้วจะพบได้ในหน้าหนาวเป็นหลัก แต่ในหน้าฝนก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งวิธีการแก้ไขนั้นสามารถทำได้โดยใช้ผ้าสะอาดเช็ดจากภายในตัวรถ หรือปรับทิศทางของแอร์ให้ไม่พัดเข้าหากระจก ถ้าหากยังไม่ดีขึ้นให้ปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารให้ลดต่ำลงจนมีความใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายนอก หรืออาจเปิดกระจกเพียงเล็กน้อยเพื่อให้อากาศจากภายนอกเข้ามา จะช่วยให้อุณหภูมิทั้งภายนอกและภายในมีความใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตาม ถ้าลองทำตามวิธีดังกล่าวแล้วยังไม่ดีขึ้น ยังคงเกิดฝ้าที่กระจกรถยนต์ เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่น ควรขับรถไปจอดข้างทาง ปั๊มน้ำมัน หรือจุดพักรถ เพื่อรอให้ฝ้าจางลงก่อน เพราะอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุนอกจากการขับรถเร็วแล้ว ทัศนวิสัยที่ไม่ดีก็เป็นปัจจัยของการเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน


ข้อมูลจาก : วาไรตี้ https://elaviadorsv.net

11
Toyota Corolla Cross 2022 ใหม่ เปิดตัวพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น กับรูปลักษณ์ที่ต่างจากเวอร์ชั่นที่ขายในไทย ราคาเริ่มต้น 1,999,000 เยน หรือประมาณ 5.9 แสนบาท



Toyota Motor ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดตัว All-New Toyota Corolla Cross 2022 JDM สเปก (Japanese Domestic Market) รถยนต์ที่มีจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น โดย Toyota Corolla Cross 2022 รุ่นนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนกับเวอร์ชั่นที่ขายอยู่ทั่วโลก ทั้งในเรื่องรูปร่างหน้าตา ออปชั่นต่าง ๆ

Toyota Corolla Cross 2022 ดีไซน์ภายนอก
Toyota Corolla Cross 2022 สเปกญี่ปุ่น สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม TNGA GA-C เหมือนกับ C-HR และ Corolla Altis พร้อมถูกวางให้เป็นรถสำหรับครอบครัว ด้านรายละเอียดของตัวรถนั้นจะมีการปรับรายละเอียดให้เข้ากับตลาดญี่ปุ่น เริ่มจากกระจังหน้าที่ปรับดีไซน์ใหม่ จากเดิมที่กระจังหน้าขนาดใหญ่ ปรับให้เล็กลง พร้อมเพิ่มช่องระบายอากาศที่เป็นแบบเรียวยาวขนาดเล็ก โลโก้จากเดิมที่เป็นสามห่วง ก็เปลี่ยนเป็นรูปตัว C ที่มีความหมายว่ามาจากรถยนต์ในตระกูล Corolla

Toyota Corolla Cross 2022 ดีไซน์ภายในห้องโดยสาร

ภายในของ Toyota Corolla Cross 2022 เวอร์ชั่นญี่ปุ่น ยังเป็นรถแบบ 5 ที่นั่ง เบาะนั่งฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง จอแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT จะมีทั้งขนาด 4.2 นิ้ว และ 7 นิ้ว พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS หน้าจออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 7-9 นิ้ว รองรับ Apple Car Play Bluetooth และ USB ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone ปรับอุณหภูมิด้านซ้าย-ขวาอย่างอิสระ พร้อมช่องระบายอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ระบบ Push Start แท่นชาร์จไร้สาย Wireless Charger

นอกจากนี้ในส่วนชุดไฟหน้าก็ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ เป็นแบบโปรเจกเตอร์ LED พร้อมไฟ DRL ที่เป็น LED มาพร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-Me-Home ส่วนกันชนหน้าปรับดีไซน์ให้มีช่องรับลมขนาดใหญ่ พร้อมกับคิ้วขอบกันชนหน้าสีเทาเงิน และไฟตัดหมอกโปรเจกเตอร์ LED ดวงกลม ไว้ที่ปลายกันชนทั้ง 2 ข้าง ด้านท้ายรถปรับดีไซน์ของชุดไฟท้ายและกันชนท้ายใหม่ รวมถึงดิฟฟิวเซอร์ท้ายเติมความหรูหราด้วยการตกแต่งวัสดุโครเมียม ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยลวดลายใหม่ที่มีขนาด 17-18 นิ้ว ขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นย่อย

พนักพิงเบาะนั่งด้านหลังปรับเอนได้ 6 องศา เบาะนั่งด้านหลังแยกพับได้แบบ 60:40 พนักวางแขนด้านหลัง พร้อมที่วางแก้วน้ำ ช่องต่อ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ ด้านพื้นที่ห้องสัมภาระท้ายมีความจุ 487 ลิตร มาพร้อมความสูงจากพื้นถึงพื้นห้องสัมภาระท้าย 720 มม. ประตูท้ายไฟฟ้าเป็นแบบ Kick Sensor

แต่สิ่งที่เพิ่มเติมของ Toyota Corolla Cross 2022 ในประเทศญี่ปุ่น จะได้รับหลังคาพาโนรามิกมูนรูฟ เบาะคู่หน้าสามารถปรับอุณหภูมิได้ เบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Hold ช่องเสียบปลั๊กไฟแบบ AC100V / 1500W ที่จะต่อไฟออกไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอกตัวรถได้

Toyota Corolla Cross 2022 สมรรถนะเครื่องยนต์
Toyota Corolla Cross สเปกญี่ปุ่น จะมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร Dual VVT-i ที่ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า แรงบิด 177 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ Super CVT-i เป็นแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร Hybrid ที่จะมีมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor และแบตเตอรี่แบบ Ni-MH เพิ่มเข้ามา ซึ่งให้กำลังรวมสูงสุด 122 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ E-CVT โดยจะมีทั้งแบบรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และรุ่น E-Four

          ด้านระบบกันสะเทือนช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีมที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ มีน้ำหนักเบา ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ E-Four จะมาพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบดับเบิลวิชโบน หรือปีกนกอิสระ 2 ชั้น รวมถึงออกแบบจุดยึดระบบกันสะเทือนใหม่ที่ช่วยยกระดับการขับขี่ให้มีความสบายมากยิ่งขึ้น

Toyota Corolla Cross 2022 มีกี่สี
Toyota Corolla Cross 2022 มีสีให้เลือกทั้งหมด 8 สี ได้แก่ สีขาว Platinum White Pearl Mica, สีเทา Cement Grey Metallic, สีบรอนซ์เงิน Silver Metallic, สีดำ Attitude Black Mica, สีดำ (พิเศษ) Sparkling Black Pearl Crystal Shine, สีแดง Sensual Red Mica, สีบรอนซ์ทอง Avant-Garde Bronze Metallic และสีน้ำเงิน Dark Blue Mica Metallic ส่วนสีภายในห้องโดยสารจะมีเฉพาะโทนสีดำเท่านั้น



แนะนำโดย : วาไรตี้ https://donneralacmegantic.com

12
เรียกได้ว่าต้นไม้ด่างยังเป็นที่ต้องการของนักสะสมอย่างต่อเนื่อง ด้วยสีสันที่แปลกตา ลวดลายของใบอันสวยงาม อย่าง กล้วยด่าง ที่ตอนนี้กลายเป็นต้นไม้อีกหนึ่งชนิดที่มาแรงไม่แพ้กัน แถมราคาในตลาดตอนนี้บางต้นทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์ใบด่าง ราคาก็แตะที่หลักหมื่นถึงหลักล้านกันเลยทีเดียว
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมกล้วยด่างมีราคาแพง แล้วแตกต่างจากกล้วยทั่วไปยังไง ถ้าอยากจะปลูกกล้วยด่างบ้าง ควรเลือกสายพันธุ์ไหนดี ที่นำมาขายแล้วได้ราคา ตามไปดูกันเลย

ทำไมกล้วยด่างมีราคาสูง

จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่กล้วยด่างเท่านั้นที่มีราคาแพง แต่ต้นไม้ใบด่างชนิดอื่น ๆ ที่นิยมปลูกและเป็นที่ต้องการของนักสะสมในตอนนี้อย่าง ยางอินเดีย มอนสเตอร่า ฟิโลเดนดรอน คล้า ก็มีราคาสูงไม่แพ้กัน นั่นเป็นเพราะว่าลายด่างของต้นไม้เหล่านี้มักจะเกิดเองตามธรรมชาติ ค่อนข้างหายาก และขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น แสงแดด ปุ๋ย ดิน อากาศ พันธุกรรมของต้นไม้ แม้ต้นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จะเป็นไม้ด่าง แต่หน่อที่แตกใหม่ออกมาก็อาจจะมีลักษณะไม่เหมือนกัน นอกจากนี้หากเป็นต้นที่ให้ทรงสวย ลายแปลก และมีเอกลักษณ์ ก็จะทำให้ราคาของต้นไม้สูงขึ้นอีก ยกเว้นต้นไม้ใบด่างที่ขยายพันธุ์ง่าย โตเร็ว และมีใบด่างตามลักษณะสายพันธุ์เดิมอยู่แล้ว เช่น พลูด่าง สาวน้อยประแป้ง ก็จะมีราคาต่ำลงมา

กล้วยด่างมีสายพันธุ์อะไรบ้าง

1. กล้วยฟลอริดาด่าง
กล้วยฟลอริดาด่าง หรือกล้วยด่าง (Aureo-striata, Yellow-striped Heliconia) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heliconia indica Lam. ‘Striata’ มีถิ่นกำเนิดในฮาวายและหมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ จัดอยู่ในวงศ์ Heliconiaceae เป็นไม้ล้มลุก ความสูงประมาณ 3-6 เมตร ไม่มีเนื้อไม้ ส่วนที่อยู่เหนือดินเป็นลำต้นเทียมเกิดจากกาบใบซ้อนกันจนแน่น ใบเดี่ยวรูปช้อน ปลายใบแหลมยาวมีติ่ง โคนใบมน ขอบเรียบ ใบสีเขียวมีด่างสีขาวหรือสีเหลืองตามแนวเส้นใบ ช่อดอกตั้ง แกนดอกสีเขียว มีกาบรองดอกสีเขียว 4-7 อัน เรียงเป็นสองแถวในแนวตั้งระนาบเดียวกัน และมีลายเป็นเส้นสีขาวหรือสีเหลืองตามทางยาว จะออกดอกมากในช่วงที่มีอากาศเย็น ให้หน่อด่าง มีผลโค้งงอปลายสอบเรียว เปลือกด่างขาวเขียวหรือชมพู รสชาติอมเปรี้ยว ไม่มีเมล็ด นิยมขยายพันธุ์ด้วยการแยกกอและเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ปลูกได้ในดินทุกชนิด แต่เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ชอบน้ำมากและแสงแดดรำไร

2. กล้วยน้ำว้าด่าง
กล้วยน้ำว้าด่าง (Kluai Namwa Dang) ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Musa (ABB) 'Namwa Dang' เป็นสายพันธุ์กล้วยที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีการกระจายพันธุ์ไปยังเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ลักษณะเด่นคือ ลำต้นค่อนข้างสั้น มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นเทียมมีกาบใบหุ้มแน่นหนา แตกเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ออกเรียงสลับ สีเขียวด่างขาว รูปขอบขนาน ปลายใบมน ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว ช่อดอกห้อยลง มีใบประดับหุ้มขนาดใหญ่ ผลมีเนื้อและมีหลายเมล็ด นิยมขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ เนื่องจากเนื้อผลดิบของกล้วยสายพันธุ์นี้มีแป้งมาก ส่วนใหญ่จะนำมาทำให้สุกด้วยความร้อนก่อนรับประทาน เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีขึ้น

กล้วยด่าง ต้นไม้สีสวย ลายแปลก น่าปลูกประดับบ้าน แถมสร้างรายได้ไม่เบา
100,764อ่าน

996
ทำความรู้จัก กล้วยด่าง และสายพันธุ์ที่นิยมปลูก พร้อมลักษณะเด่นและวิธีเพาะพันธุ์ไว้ปลูกประดับบ้าน จัดสวน และปลูกขายก็ได้

กล้วยด่าง
เรียกได้ว่าต้นไม้ด่างยังเป็นที่ต้องการของนักสะสมอย่างต่อเนื่อง ด้วยสีสันที่แปลกตา ลวดลายของใบอันสวยงาม อย่าง กล้วยด่าง ที่ตอนนี้กลายเป็นต้นไม้อีกหนึ่งชนิดที่มาแรงไม่แพ้กัน แถมราคาในตลาดตอนนี้บางต้นทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์ใบด่าง ราคาก็แตะที่หลักหมื่นถึงหลักล้านกันเลยทีเดียว

หนุ่มเจอหน่อกล้วยด่าง ยิ่งกว่าถูกหวย ขายได้ 7 หมื่น อึ้งหนัก ปกติขายหน่อละ 50
หนุ่มควักเงินสด 10 ล้าน ซื้อกล้วยด่างแดงอินโด จ่ายแค่นี้ แต่กำไรอื้อซ่าชัวร์
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมกล้วยด่างมีราคาแพง แล้วแตกต่างจากกล้วยทั่วไปยังไง ถ้าอยากจะปลูกกล้วยด่างบ้าง ควรเลือกสายพันธุ์ไหนดี ที่นำมาขายแล้วได้ราคา ตามไปดูกันเลย

ทำไมกล้วยด่างมีราคาสูง
จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่กล้วยด่างเท่านั้นที่มีราคาแพง แต่ต้นไม้ใบด่างชนิดอื่น ๆ ที่นิยมปลูกและเป็นที่ต้องการของนักสะสมในตอนนี้อย่าง ยางอินเดีย มอนสเตอร่า ฟิโลเดนดรอน คล้า ก็มีราคาสูงไม่แพ้กัน นั่นเป็นเพราะว่าลายด่างของต้นไม้เหล่านี้มักจะเกิดเองตามธรรมชาติ ค่อนข้างหายาก และขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น แสงแดด ปุ๋ย ดิน อากาศ พันธุกรรมของต้นไม้ แม้ต้นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จะเป็นไม้ด่าง แต่หน่อที่แตกใหม่ออกมาก็อาจจะมีลักษณะไม่เหมือนกัน นอกจากนี้หากเป็นต้นที่ให้ทรงสวย ลายแปลก และมีเอกลักษณ์ ก็จะทำให้ราคาของต้นไม้สูงขึ้นอีก ยกเว้นต้นไม้ใบด่างที่ขยายพันธุ์ง่าย โตเร็ว และมีใบด่างตามลักษณะสายพันธุ์เดิมอยู่แล้ว เช่น พลูด่าง สาวน้อยประแป้ง ก็จะมีราคาต่ำลงมา

อ่านเพิ่มเติม : 12 ต้นไม้จัดสวนใบด่าง ชอบแดด ทนร้อน โตไว ดูแลง่าย !

กล้วยด่างมีสายพันธุ์อะไรบ้าง
กล้วยด่าง
กล้วยด่างมีหลายสายพันธุ์ด้วยกัน ส่วนกล้วยด่างที่นิยมปลูกมี 5 สายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่

1. กล้วยฟลอริดาด่าง
กล้วยฟลอริดาด่าง หรือกล้วยด่าง (Aureo-striata, Yellow-striped Heliconia) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heliconia indica Lam. ‘Striata’ มีถิ่นกำเนิดในฮาวายและหมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ จัดอยู่ในวงศ์ Heliconiaceae เป็นไม้ล้มลุก ความสูงประมาณ 3-6 เมตร ไม่มีเนื้อไม้ ส่วนที่อยู่เหนือดินเป็นลำต้นเทียมเกิดจากกาบใบซ้อนกันจนแน่น ใบเดี่ยวรูปช้อน ปลายใบแหลมยาวมีติ่ง โคนใบมน ขอบเรียบ ใบสีเขียวมีด่างสีขาวหรือสีเหลืองตามแนวเส้นใบ ช่อดอกตั้ง แกนดอกสีเขียว มีกาบรองดอกสีเขียว 4-7 อัน เรียงเป็นสองแถวในแนวตั้งระนาบเดียวกัน และมีลายเป็นเส้นสีขาวหรือสีเหลืองตามทางยาว จะออกดอกมากในช่วงที่มีอากาศเย็น ให้หน่อด่าง มีผลโค้งงอปลายสอบเรียว เปลือกด่างขาวเขียวหรือชมพู รสชาติอมเปรี้ยว ไม่มีเมล็ด นิยมขยายพันธุ์ด้วยการแยกกอและเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ปลูกได้ในดินทุกชนิด แต่เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ชอบน้ำมากและแสงแดดรำไร

2. กล้วยน้ำว้าด่าง
กล้วยน้ำว้าด่าง (Kluai Namwa Dang) ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Musa (ABB) 'Namwa Dang' เป็นสายพันธุ์กล้วยที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีการกระจายพันธุ์ไปยังเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ลักษณะเด่นคือ ลำต้นค่อนข้างสั้น มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นเทียมมีกาบใบหุ้มแน่นหนา แตกเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ออกเรียงสลับ สีเขียวด่างขาว รูปขอบขนาน ปลายใบมน ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว ช่อดอกห้อยลง มีใบประดับหุ้มขนาดใหญ่ ผลมีเนื้อและมีหลายเมล็ด นิยมขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ เนื่องจากเนื้อผลดิบของกล้วยสายพันธุ์นี้มีแป้งมาก ส่วนใหญ่จะนำมาทำให้สุกด้วยความร้อนก่อนรับประทาน เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีขึ้น

3. กล้วยตานีด่าง
กล้วยตานีด่าง (Kluai Tani Dang) ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Musa balbisiana Colla จัดอยู่ในวงศ์ Musaceae กล้วยด่างที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสูงประมาณ 4 เมตร กาบด้านนอกสีเขียวเข้ม มีริ้วด่างขาว มีปื้นดำที่คอใบเล็กน้อย กาบด้านในสีเขียว หน่ออ่อนสีเขียวเข้ม ไม่มีประ ก้านใบสีเขียวเข้ม ครีบก้านในสีเขียวขอบดำ โคนใบมนและเท่ากันทั้งซ้าย-ขวา ก้านช่อดอกไม่มีขน ปลายมนโค้งลง ไม่ม้วนงอ ใบประดับสีน้ำตาลอมแดง เรียงเหลื่อมซ้อนกันชัดเจน โคนใบด้านในสีเหลืองซีด ปลายใบด้านในสีชมพู มีผลขนาดเล็กป้อมสั้น ปลายผลมีจุกยาว ออก 7-8 หวีต่อเครือ 1 หวี มีประมาณ 8-10 ผล ผลดิบจะมีสีเขียวเข้มลายริ้วด่างขาว เมื่อผลสุกเนื้อจะมีสีขาว มีเมล็ดมาก ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและแยกหน่อ สามารถปลูกได้ทั้งบริเวณกลางแจ้งและแดดรำไร เจริญเติบโตได้ดีในดินเหนียวปนทราย ชอบความชื้นปานกลาง

4. กล้วยเทพพนมด่าง
กล้วยเทพพนม (Praying Hands Bananas) จัดอยู่ในวงศ์ Musaceae มีถิ่นกำเนิดในประเทศฟิลิปปินส์ ลำต้นสูงประมาณ 3-5 เมตร ไม่มีเนื้อไม้ ส่วนที่อยู่เหนือดินเป็นลำต้นเทียมเกิดจากกาบซ้อนทับกัน กาบใบด้านนอกเป็นสีเขียว โคนกาบและกาบด้านในเป็นสีชมพู ใบสีเขียวมีลายด่างสีขาวหรือสีเหลืองขึ้นตามเส้นใบ ทางใบยาวประมาณ 3.5 เมตร แผ่นใบกว้าง ปลีสีม่วงอมเทา ด้านล่างสีแดงเข้ม ออกผลติดกันลักษณะคล้ายการพนมมือ 1 หวี มีประมาณ 16-17 ผล แต่ละผลมีเหลี่ยมชัดเจน สีเขียวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อสุก รสหวาน ไม่มีเมล็ด นิยมขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ ปลูกง่าย เติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี

5. กล้วยแดงอินโดด่าง

กล้วยแดงอินโดด่าง จัดอยู่ในวงศ์ Musaceae ไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูงประมาณ 3 เมตร ไม่มีเนื้อไม้ แตกต่างจากสายพันธุ์อื่น ๆ ตรงที่กาบใบจะสีน้ำตาลแกมแดงเข้ม ซ้อนทับกันแน่นเป็นลำต้นเทียม ใบเดี่ยวรูปขอบขนาน ปลายแหลมมีติ่ง โคนมน แผ่นใบด้านบนสีน้ำตาลเข้มแกมแดง ลายด่างสีเขียวตามแกนใบหรือเส้นใบ บางต้นอาจจะเป็นลายด่างขาวหรือสีชมพูอ่อน ปลีมีกาบรองดอก 4-8 อัน สีเขียวอ่อน ขอบสีแดง กลีบเลี้ยงสีเขียวจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อแก่ ขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ด แยกกอ และเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนระบายน้ำได้ดี แสงแดดรำไร ชอบน้ำปานกลาง

ราคากล้วยด่างแต่ละสายพันธุ์ก็ขึ้นอยู่กับทรง ลาย และขนาดของต้น มีตั้งแต่หลักพัน หลักหมื่น ไปจนถึงหลักแสน ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจควรเปรียบเทียบราคาจากหลาย ๆ ร้านก่อน



ข้อมูลจาก : วาไรตี้ https://freemoviewatch.org

13
          ความเครียดเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย ทั้งยังทำให้สุขภาพกายและสุขภาพใจย่ำแย่ในระยะยาว เลยอยากจะชวนทุกคนมาปลูกต้นไม้ในบ้าน ด้วยเหล่าต้นไม้ที่สามารถช่วยเปลี่ยนมลพิษในบ้านให้เป็นอากาศสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งยังช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้ด้วย นอกเหนือจากนี้การปลูกต้นไม้ในบ้านยังทำให้บรรยากาศในบ้านดูสวยงามน่าอยู่ขึ้นด้วย


1. ว่านหางจระเข้
 
          เหตุผลที่ควรปลูกว่านหางจระเข้ไว้ในบ้าน นอกจากจะสามารถนำเนื้อเจลใส ๆ มารักษาแผลผิวหนังผุพองได้แล้ว ยังช่วยลดความเครียด และฟอกอากาศได้ด้วย โดยสังเกตจากจุดสีน้ำตาลบนใบของว่านหางจระเข้ ปลูกโดยการแยกหน่อจากต้นที่สมบูรณ์มาปลูกลงในกระถางดินร่วนใส่ปุ๋ยคอกผสมขุยมะพร้าว ดูแลรดน้ำเล็กน้อย-ปานกลาง ตั้งกระถางให้โดนแดดรำไร เพื่อป้องกันความชื้นที่อาจทำให้เกิดเชื้อรา

2. เดหลี
 
          ดอกไม้รูปสวยแถมยังมีคุณสมบัติเพียบพร้อม เพราะช่วยฟอกสารท็อกซิน (Toxin) ให้เป็นอากาศสะอาดได้ วิธีการปลูกเริ่มจากนำดินร่วน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน เศษไม้ผุ 1 ส่วน และปุ๋ยคอกอีก 1 ส่วน มาผสมกันแล้วเทใส่กระถางก่อนนำกอเดหลีมาปลูก ตั้งให้โดนแดดรำไร ดูแลรดน้ำปานกลางและบำรุงด้วยปุ๋ยน้ำเดือนละ 2 ครั้ง
 
3. ลิ้นมังกร
 
          ต้นไม้ปลูกในบ้านที่ช่วยดูดซับทั้งสารคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มออกซิเจนในตอนกลางคืน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนำไปตั้งไว้ในห้องนอน อีกทั้งยังเป็นต้นไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในมุมอับ เพราะไม่ต้องการแสงมากหรือรดน้ำบ่อย ปลูกโดยการนำใบลิ้นมังกรจากต้นที่สมบูรณ์ 1 ใบ มาปักลงในกระถางที่มีดินร่วน 1 ส่วน ผสมกับทราย 0.5 ส่วน และทั้งขุยมะพร้าวอีก 2 ส่วน ดูแลรดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะวันละ 1 ครั้ง ตั้งกระถางให้โดนแดดรำไรก็พอ

4. ปาล์มไผ่
 
          หนึ่งในท็อป 10 ต้นไม้ปลูกในบ้านที่ช่วยฟอกอากาศได้ดีเยี่ยม จากความสามารถในการกำจัดสารเบนซีน (Benzene) และสารไตรคลอโรเอทิลีน (Trichloroethylene) ดูแลง่าย ๆ โดยการตั้งให้โดนแดดโดยตรง รดน้ำบ่อย ๆ และสามารถปลูกได้โดยใช้หน่อที่มีรากติดปลูกลงในกระถางใส่ดินร่วน 2 ส่วน ผสมกับปุ๋ยหมัก 1 ส่วน ทราย 1 ส่วน และเศษใบไม้อีก 1 ส่วน

5. มะลิ
 
          ดอกไม้กลิ่นหอมที่ช่วยดูดซับสารพิษและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ปลูกโดยการนำต้นกล้ามะลิที่แข็งแรงสมบูรณ์มาปลูกลงในกระถางดินร่วนผสมปุ๋ยคอก รดน้ำปานกลางวันละ 2 ครั้ง ทั้งเช้า-เย็น และตั้งกระถางในที่ที่มีแดดรำไร

6. เศรษฐีเรือนนอกและเศรษฐีเรือนใน
 
          ต้นไม้ปลูกในบ้านที่ดูแลง่าย ทั้งยังช่วยดูดซับสารพิษในอากาศได้หลายชนิด ได้แก่ สารเบนซีน (Benzene) สารฟอลมัลดีไฮด์ (Formaldehyde) สารคาร์บอนมอนออกไซด์ (Carbon Monoxide) และสารไซลีน (Xylene) โดยนำต้นอ่อนมาปลูกในดินร่วนปนทราย รดน้ำปานกลาง และตั้งกระถางให้โดนแดดรำไร

7. พลูด่าง
 
          อีกหนึ่งต้นไม้ปลูกในบ้านที่ช่วยดูดซับฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde) เหมาะกับแขวนไว้ในห้องนั่งเล่นและห้องครัว โดยตัดต้นปักในแจกันใส่น้ำหรือปลูกในดินร่วนผสมแกลบ ขุยมะพร้าว และเศษใบไม้ ในอัตราส่วนที่เท่ากัน ตั้งกระถางให้โดนแดดบ้าง เพราะพลูด่างเป็นพืชที่ชอบความชื้นมากหากปลูกในดินควรรดน้ำทุกวัน

8. หนวดปลาดุกแคระ
 
          ด้วยลักษณะต้นที่ค่อนข้างเล็กและเลี้ยงง่าย จะปลูกลงกระถางวางไว้มุมบ้านหรือตั้งประดับโต๊ะก็ได้ โดยการนำกอที่สมบูรณ์มาปลูกลงในกระถางดินร่วนปนทราย ดูแลด้วยการรดน้ำปานกลางอย่าให้แฉะจนเกินไป เพราะเป็นพืชที่ไม่ชอบความชื้น ดังนั้นควรตั้งกระถางไว้กลางแจ้งหรือที่ที่มีแดดรำไร

9. เฟิร์นเงิน
 
          ต้นไม้ที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ทั้งในที่อับแสง มีความชื้นสูง และอุณหภูมิต่ำ ทั้งยังช่วยลดความร้อนบริเวณรอบ ๆ ได้อีกด้วย โดยแยกกอจากต้นที่สมบูรณ์มาปลูกด้วยดินร่วน เศษใบไม้ผุ ทรายละเอียด ปุ๋ยคอก ในกระถางที่รองก้นด้วยหินหรือถ่าน รดน้ำที่โคนต้นอย่าให้แฉะจนเกินไป

10. บอนสี
 
          เป็นอีกหนึ่งต้นไม้ที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดและฟอกอากาศได้ โดยให้นำหัวบอนปลูกลงในกระถางที่มีดินดำหน้านาตากแดดผสมกับใบมะขามเน่าเปื่อย ในอัตราส่วน 1:3 ดูแลรดน้ำที่โคนต้นให้พอชุ่มแต่อย่าแฉะจนเกินไป และตั้งกระถางให้โดนแดดรำไรเพื่อรักษาความชื้นให้สมดุล

          เพราะความเครียดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคร้ายและสภาวะต่าง ๆ ที่ทำร้ายสุขภาพร่างกายรวมไปถึงจิตใจ ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ความเครียดเข้ามาเกาะกุมในจิตใจ มาปลูกต้นไม้ในบ้านกันเยอะ ๆ นะคะ



ข้อมูลจาก : วาไรตี้ https://feedmelols.com

14
ต้นไม้ในห้องน้ำดีอย่างไร

          -  การปลูกต้นไม้ ไม่ว่าจะปลูกไว้ที่ใด แน่นอนว่าจะต้องช่วยซึมซับสารพิษในอากาศได้ โดยมีการดูดซับก๊าสคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และ ปล่อยก๊าสออกซิเจนออกมา ถือเป็นการช่วยปรับมลภาวะต่าง ๆ ที่เป็นพิษ ให้สดชื่นขึ้น ด้วยวิธีธรรมชาติอย่างแท้จริง

          - เพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มความสดชื่น สบายตา การมีต้นไม้อยู่ในห้องน้ำ ขณะที่เข้าไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งอาบน้ำ แปรงฟัน หรือ ขับถ่าย จะช่วยทำให้คุณรู้สึกสดชื่น และมีพลังมากขึ้น การมองเห็นสีเขียวที่เย็นตาจะช่วยทำให้ผ่อนคลาย สมองปลอดโปร่งอีกด้วย

ต้นไม้ที่นิยมปลูกในห้องน้ำ

1. พลูด่าง

ลักษณะ

        เป็นไม้เลื้อยตระกูลเดียวกับพลูด่าง มีใบเป็นรูปหัวใจ มีสีเขียวสดแซมด้วยสีเหลืองนวล เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่ายและเติบโตได้เร็ว แค่ตัดกิ่งแล้วนำมาเสียบไว้ในแจกันใส่น้ำ ก็เจริญเติบโตได้แล้ว  เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่ายและเติบโตได้เร็ว โดยไม่ต้องดูแลรักษามาก

ประโยชน์

        มีความเชื่อว่าราชินีหินอ่อน คือไม้มงคลชนิดหนึ่ง ที่หากปลูกเอาไว้ในบ้านจะช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับคนในบ้าน ทำให้มีผู้คนสนอกสนใจรักใคร่และให้ความเป็นมิตร อีกทั้งหากปลูกเอาไว้ในบ้านจะช่วยให้มีบารมี มีคนเกรงอกเกรงใจ และมีเพื่อนฝูงมิตรสหายรักใคร่

การดูแลรักษา

        แม้จะเป็นต้นไม้ที่สามารถอยู่ในร่มเงา และความชื้นได้ดี แต่การปลูกราชินีหินอ่อนให้มีความสวยงามนั้น ต้องปล่อยให้ใบของมันได้รับแสงแดดอ่อน ๆ บ้าง โดยอาจจะปลูกไว้ใกล้หน้าต่างที่แสงแดดส่องถึง หรือ เพียงแค่นำไปรับแสงแดดนาน ๆ ครั้ง สีของราชินีหินอ่อนก็จะสดอยู่เสมอ การรดน้ำควรรดอาทิตย์ละครั้ง และหากต้องการใส่ปุ๋ย ให้เลือกใส่ปุ๋ยหมัก

2.เขียวหมื่นปี

ลักษณะ

          เป็นว่านชนิดหนึ่ง ลำต้นตั้งตรง มีใบยาวเรียว บางชนิดอาจแซมด้วยลายสีเทาเงิน ให้สีเขียวเข้มสดใสตลอดทั้งปี โดยเป็นไม้ประดับที่ชอบความชื้น และสามารถอยู่ในที่แสงน้อยได้ อีกทั้งยังมีขนาดเล็ก ไม่เกะกะพื้นที่ด้วย

ประโยชน์

          เป็นว่านคงกระพันชาตรี ที่เชื่อกันว่าปลูกไว้จะอายุยืนยาว อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ รักษาแผลได้ โดยให้นำใบเขียวหมื่นปีมาตำให้ละเอียด แล้วผสมกับเหล้าขาว จากนั้นนำไปพอกไว้ที่แผลสด แล้วเอาผ้ารัดไว้ จะทำให้แผลสมานเร็วขึ้น

การดูแลรักษา

          เขียวหมื่นปีสามารถปลูกได้ทั้งในดินปนทราย ดินร่วนซุย หรือปลูกในน้ำก็ได้ โดยเป็นพืชที่ชอบความขื้นจึงควรหมั่นรดน้ำ ไม่จำเป็นต้องมีแสงแดดส่องถึง แต่ถ้าไม่ได้โดนแดดเป็นเวลานาน สามารถนำออกไปรับแดดได้นาน ๆ ครั้ง

3. เฟิร์นบอสตัน

ลักษณะ

          เป็นพืชตระกูลเฟิร์นชนิดหนึ่งที่มีพุ่มสวยงาม มีใบคล้ายใบมะขาม ปลายใบไม่มีแฉก มีสีเขียวสด มีคุณสมบัติพิเศษในการดูดสารพิษ และ ดูดความชื้นได้ดี

ประโยชน์

          สามารถดูดสารพิษได้ดีมาก นอกจากนี้ยังเป็นพืชที่ชอบความขื้น จึงดูดความขื้นได้มาก เหมาะกับห้องที่มีความเปียกชื้น เนื่องจากจะช่วยสร้างความสมดุลให้กับห้อง

การดูแลรักษา

          ควรหมั่นรดน้ำให้ชุ่มชื่นอยู่เสมอ แต่อย่าให้แฉะจนเกินไป เพราะจะทำให้เฟิร์นดูดซับน้ำเอาไว้มากจนเฉาได้ หากต้องการใส่ปุ๋ยให้ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกฉีดพ่นละอองเบา ๆ เดือนละครั้งก็เพียงพอ ควรให้เฟิร์นได้รับแดดจากหน้าต่าง หรือ ช่องรับแสงบ้าง เพื่อให้ไม่ให้ใบแห้ง และกลายเป็นสีเหลือง

4. เฟิร์นก้างปลา

ลักษณะ

5. ออมเงิน ออมทอง

ลักษณะ

          เป็นต้นไม้พันธุ์เล็กในตระกูลไม้เลื้อย มีโคนใบเว้าลึก ปลายเรียวแหลม ตรงกลางใบเป็นสีขาวหรือเหลือง ไล่ออกมาเป็นสีเขียวบริเวณขอบ

ประโยชน์

          เชื่อกันว่าเป็นไม้มงคลที่เสริมดวงเรื่องการประหยัดเก็บออม อีกทั้งยังเป็นการปลูกไว้เพื่อเตือนใจว่า เมื่อเห็นต้นออมเงิน ออมทองแล้ว ให้ระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้นด้วย โดยเทคนิคคือให้เริ่มต้นปลูกครั้งแรกในวันอังคาร และหันทิศทางการปลูกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จะช่วยเสริมพลังได้มากกว่าทิศอื่น ๆ

การดูแลรักษา

          จำเป็นต้องปลูกตามช่องแสงแดด หรือ ตรงหน้าต่าง เพื่อให้ได้รับแสงแดดเต็มที่ สามารถดูดซับน้ำและความชื้นได้มาก จึงต้องหมั่นรดน้ำบ่อย ใช้ดินที่มีความชื้นสูง ถ้าต้องการใส่ปุ๋ยให้ใส่เดือนละครั้ง


          เฟิร์นก้างปลาเป็นพืชตระกูลเดียวกับเฟิร์นบอสตัน มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แตกต่างกันตรงที่เฟิร์นก้างปลาจะมีปลายใบแยกออกเป็นแฉก ๆ

ประโยชน์

          สามารถดูดสารพิษได้ดีเช่นเดียวกับเฟิร์นบอสตัน และดูดความขื้นได้มาก ช่วยสร้างความสมดุลให้กับห้องที่มีอากาศชื้น และทำให้มลภาวะต่าง ๆ ของห้องน้อยลงได้

การดูแลรักษา

          ดูแลรักษาเช่นเดียวกันกับเฟิร์นบอสตัน หมั่นรดน้ำอยู่เสมอโดยอย่าให้ชุ่มจนเกินไป ใส่ปุ๋ยได้เดือนละครั้งด้วยการพ่นละอองปุ๋ยหมัก ปล่อยให้ได้รับแสงแดดบ้าง เพื่อไม่ให้ใบกลายเป็นสีเหลืองแห้ง หากโดนแดดจัดใบจะเป็นสีเขียวอ่อน หากโดนแดดน้อยสีของใบจะเข้มขึ้น




แนะนำโดย : วาไรตี้ https://alvareznolting.com

15
รวมปัญหา ต้นไม้ปลูกในบ้าน มีโรคอะไรบ้างที่ควรระวัง มีอาการหรือวิธีสังเกตอย่างไร และมีวิธีแก้ไขช่วยให้ต้นไม้กลับมาสวย สดชื่นได้ยังไง ตามไปดูข้อมูลที่เรานำมาฝากกันในวันนี้เลย

รวมปัญหา ต้นไม้ปลูกในบ้าน มีโรคอะไรบ้างที่ควรระวัง มีอาการหรือวิธีสังเกตอย่างไร และมีวิธีแก้ไขช่วยให้ต้นไม้กลับมาสวย สดชื่นได้ยังไง ตามไปดูข้อมูลที่เรานำมาฝากกันในวันนี้เลย

1. ใบเหลือง
สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ต้นไม้ใบเหลือง เป็นเพราะรดน้ำมากเกินไป ความชื้นในดินสูง หรือดินแน่น ระบายน้ำยาก วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นคือ ตัดใบส่วนนั้นทิ้งไป จากนั้นเว้นการรดน้ำไปสักระยะ แล้วค่อยกลับมารดน้ำใหม่เมื่อดินแห้ง เช็กง่าย ๆ โดยใช้นิ้วกดลงไปในดินประมาณ 1 นิ้ว หากหน้าดินแห้งก็รดน้ำได้ แต่ถ้าดินยังแฉะก็ควรรอก่อน ส่วนในกรณีที่ดินแน่นเกินไปให้นำมาผสมวัสดุอื่น ๆ เช่น ขุยมะพร้าว ใบก้ามปู หรือรองก้นกระถางด้วยกาบมะพร้าวก่อนนำมาปลูก เพื่อเพิ่มช่องอากาศและช่วยให้ดินระบายน้ำได้ดีขึ้น

2. ใบไหม้
สาเหตุที่ทำให้ใบไหม้ส่วนใหญ่มักจะมาจากต้นไม้โดนแสงแดดแรง ๆ หรืออากาศร้อนเกินไป โดยเฉพาะแดดช่วงบ่าย ดังนั้นหากสังเกตว่าใบเริ่มแห้งหรือเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ควรย้ายต้นไม้ไปวางไว้ในที่ที่มีแดดรำไร พร้อมกับตัดใบไหม้ส่วนนั้นทิ้งไป อีกหนึ่งสาเหตุอาจจะเป็นเพราะใส่ปุ๋ยมากเกินไป เบื้องต้นควรงดใส่ปุ๋ยไปสักระยะประมาณ 1-2 เดือน แล้วรดน้ำตามปกติ เพื่อให้น้ำเจือจางและค่อย ๆ ชะสารเคมีออกไป แต่ถ้าเป็นพวกเชื้อราให้แยกต้นไม้ออกมาวางนอกบ้าน ตัดใบที่ขึ้นราทิ้ง แล้วพ่นด้วยสเปรย์ฆ่าเชื้อรา แล้วรอดูผลสักระยะ หากไม่มีราขึ้นซ้ำก็สามารถย้ายกระถางไปปลูกในบ้านได้

3. ใบซีด
เนื่องจากแสงแดดเป็นอาหารอย่างหนึ่งของต้นไม้และใช้ในการสร้างคลอโรฟิลล์ ถ้าใบของต้นไม้เริ่มสีซีดผิดปกติ เป็นเพราะไม่ได้รับแสงแดดที่เพียงพอ เช่น วางในมุมอับที่แสงเข้าไม่ถึง แต่ก่อนจะย้ายต้นไม้ไปรับแดด ควรเช็กก่อนว่าต้นไม้ของเราเหมาะกับแสงแดดแบบไหน เพราะบางชนิดก็ชอบแสงแดดโดยตรง ทนอากาศร้อนได้ดี ในขณะที่ต้นไม้บางชนิดชอบแสงแดดรำไร อากาศเย็น หรือความชื้นสูง ถ้านำไปวางไว้ที่แดดแรง ๆ อาจจะทำให้เกิดปัญหาใบเหี่ยวหรือใบไหม้ตามมาได้

4. ใบหงิก
หากใบหงิกงอ ผิวไม่เรียบ ขอบใบม้วน โดยเฉพาะส่วนที่เป็นใบอ่อนหรือใบใกล้ยอดลำต้น นอกจากนี้หากลำต้นแคระแกร็นหรือมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับต้นปกติ อาจจะเกิดจากไวรัส ขาดสารอาหาร และมีแมลงมารบกวน หากเจออาการแบบนี้ให้รีบแยกต้นไม้ที่เป็นโรคออกมา แล้วตัดส่วนที่มีปัญหาทิ้งไป

5. ใบมีจุด
ปัญหานี้มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ส่วนใหญ่มาจากพวกฟังไจ (Fungi) และจุดจะมีลักษณะแตกต่างกันไป เช่น สีน้ำตาล สีแดง หรือสีดำ และจะค่อย ๆ กัดกินใบไปทีละนิดจนเป็นวงกว้าง ดังนั้นหากเจอแล้วควรรีบตัดใบส่วนนั้นทิ้งไป ก็จะช่วยให้ต้นไม้ฟื้นตัวเร็วขึ้น และรดน้ำเฉพาะบริเวณโคนต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อกระจาย

6. ใบร่วง
ถ้าใบร่วง 1-2 ใบถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าร่วงเยอะจนผิดสังเกต แสดงว่าต้นไม้กำลังอ่อนแอ และมีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น สภาพแวดล้อมหรืออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงเร็ว ใช้กระถางขนาดเล็กเกินไป ทำให้รากขยายยาก ลำต้นเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้อาจจะเป็นเพราะรดน้ำน้อยหรือมากเกินไป

7. ต้นไม้โตช้า
ถึงแม้ว่าอัตราการเจริญเติบโตของต้นไม้แต่ละชนิดไม่เท่ากัน แต่หากสังเกตว่าต้นไม้ของเราโตช้าเกินไปจนผิดปกติ ผ่านไปหลายสัปดาห์แทบจะไม่เห็นความแตกต่างหรือแตกยอดใหม่เลย ก็เป็นไปได้ว่าต้นไม้โดนเชื้อราหรือแมลงรบกวน เช่น บั่วรา (Fungus Gnat) และหากเห็นแมลงตัวเล็ก ๆ บินรอบต้นไม้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีตัวอ่อนอยู่ในดิน ส่วนใหญ่จะเกาะอยู่บริเวณรากคอยแย่งอาหารจากต้นไม้ของเรา ทั้งนี้ ควรรีบแยกต้นไม้ที่เป็นโรคออกมา แล้วจัดการเปลี่ยนดิน ตัดรากที่มีตัวอ่อนทิ้งไป จากนั้นค่อยนำไปปลูกในดินใหม่และกระถางที่สะอาด

8. ลำต้นยืดหรือเอียง
อีกหนึ่งปัญหาที่คนปลูกต้นไม้ในบ้านมักจะเจอบ่อย ๆ และนั่นแปลว่า ต้นไม้ได้รับแสงแดดน้อยเกินไป ลำต้นเลยเอียงเข้าหาแสง ฉะนั้นลองหาที่ตั้งกระถางใหม่ ให้เป็นที่ที่มีแสงสว่างและมีแสงแดดเพียงพอ เช่น บนระเบียงหรือริมหน้าต่าง แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรเปลี่ยนที่ปลูกต้นไม้บ่อย ๆ เพราะต้นไม้ต้องใช้เวลาในการปรับตัว และทำให้ต้นไม้โตช้าลง

9. ออกดอกน้อย
สำหรับต้นไม้ปลูกในร่มที่ผลิใบเยอะ แต่ออกดอกน้อยหรือตั้งแต่ปลูกมายังไม่เคยเห็นดอกเลยสักครั้ง มีสาเหตุจากปุ๋ยที่นำมาใส่มีส่วนของไนโตรเจน (N) มากเกินไป หากอยากจะเห็นดอกบ้าง ควรเลือกสูตรปุ๋ยที่เน้นฟอสฟอรัส (Phosphorus หรือ P) ช่วยเร่งการสร้างดอก อีกทั้งยังช่วยให้รากแข็งแรง ดูดซึมอาหารได้ดีขึ้นด้วย

คราวนี้ก็ได้ทราบกันไปแล้วว่าอาการแต่ละอย่างมีสาเหตุจากอะไร และจะแก้ไขอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเปลี่ยนกระถาง ย้ายที่วางต้นไม้ หรือปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่น ๆ แต่ละครั้งควรเว้นระยะห่างประมาณ 5-7 วัน เพื่อให้เวลาต้นไม้ปรับตัวด้วยนะคะ




แนะนำโดย : วาไรตี้ https://socialpurgatory.com

16
ความสวยงามที่โดดเด่นและเตะตาทำให้ "บอนสี" กลายเป็นต้นไม้อีกหนึ่งชนิดที่คนนิยมนำมาปลูกจัดสวนและตกแต่งบ้าน แถมยังสามารถเพาะพันธุ์ขายหารายได้เพิ่มได้อีกด้วย วันนี้กระปุกดอทคอมเลยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับต้นบอนสีมาฝาก ทั้งลักษณะทั่วไป ความหมาย จุดสังเกตบอนสีที่ดี ไปจนถึงวิธีการปลูกบอนสีในกระถางและปลูกลงแปลงเพื่อขยายพันธุ์ พร้อมการดูแล

บอนสี หรือ บอนฝรั่ง (Fancy Leaf Caladium) เป็นไม้ประดับจัดอยู่ในสกุล Caladium วงศ์ Araceae มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Caladium Bicolor มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ ยุโรป อินเดีย และอินโดนีเซีย สันนิษฐานว่ามีการนำเข้ามาปลูกในสมัยสุโขทัยและสมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 5

บอนสีมีลักษณะทั่วไปคือ เป็นไม้ประดับล้มลุกอวบน้ำ มีหัวอยู่ใต้ดินไว้เก็บสะสมอาหาร แตกใบเป็นกอ มีก้านใบสูงยาวเหนือพื้นดิน ใบใหญ่แผ่กว้าง รูปทรงและสีสันของใบมีหลายแบบขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ อาทิ ใบรูปหัวใจ ใบทรงกลม ใบหอก และอื่น ๆ แถมแต่ละชนิดก็มีสีสันและลวดลายที่โดดเด่นและสวยงามแตกต่างกันไป ด้วยเหตุนี้เลยทำให้บอนสีได้รับการขนานนามว่าเป็นราชินีแห่งไม้ประดับ หรือ Queen of The Tears Plant อีกทั้งยังมีดอกลักษณะคล้ายดอกหน้าวัว มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อกันว่า บอนสี เป็นต้นไม้มงคล หากบ้านใดนำไปปลูกก็จะช่วยนำความสุข-ความเจริญมาให้

บอนสีแบ่งประเภทตามลักษณะของใบ มีทั้งหมด 4 ประเภทด้วยกัน คือ

- บอนใบไทย (Thai-Native Leaf Caladium) : บอนสีไทยโบราณ ลักษณะใบเป็นรูปหัวใจ หูใบยาว เว้าลึกเกือบถึงสะดือ (ส่วนปลายก้านใบที่จรดกับเส้นกลางใบ) ก้านใบอยู่กึ่งกลางใบ มีทั้งปลายใบแหลมและปลายใบมนขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ใบแผ่กว้าง มีขนาดใหญ่ สีสันสวยงาม ใบดกและไม่ทิ้งใบ

- บอนใบกลม (Round-Leaf Caladium) : สายพันธุ์บอนสีที่พัฒนามาจากบอนใบไทย ลักษณะใบกลมหรือรี หูใบสั้น ปลายใบมน และก้านใบกลมอยู่กึ่งกลางใบ คล้ายกับใบบัว

- บอนใบยาว (Long- Leaf Caladium) : ลักษณะใบทรงหัวใจคล้ายกับบอนใบไทยเช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ใบของบอนสีใบยาวจะเรียวยาวและมีปลายใบแหลมกว่า หูใบยาวฉีกถึงสะดือ และสามารถแยกได้อีก 3 ลักษณะย่อยคือ บอนใบยาวธรรมดา บอนใบยาวรูปหอก และบอนใบยาวรูปใบไผ่

- บอนใบกาบ (Sheath-Leaf Caladium) : ลักษณะคล้ายกับบอนใบไทย แต่บอนใบกาบจะมีก้านใบที่แผ่แบนตั้งแต่โคนใบไปถึงแข้ง (ใบขนาดเล็กที่ยื่นออกจากกาบใบ อยู่กึ่งกลางของก้านหรือต่ำกว่าใบจริงเล็กน้อย)

นอกจากนี้ยังมีการแบ่งประเภทบอนสีตามลักษณะของสีสัน ได้แก่ บอนไม่กัดสี ใช้เรียกบอนที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปจากต้นกำเนิดสายพันธุ์ ส่วนบอนกัดสี เป็นบอนที่มีการเปลี่ยนแปลงของสีสันเมื่อโตเต็มวัย เช่น เปลี่ยนจากใบอ่อนสีเขียวเป็นใบสีแดงหรือมีจุดแต้มเพิ่ม สำหรับบอนป้าย คือบอนที่มีแถบแดงพาดบนใบพื้นเขียว และบอนด่าง หรือบอนที่มีสีอื่น เช่น ขาว ขาวอมแดง หรือสีเหลือง เป็นด่างอยู่บนพื้นใบเขียว

ฟอร์มต้นบอนสีที่ดี ได้แก่ ความสม่ำเสมอของรูปใบบอน ควรเป็นทรงสีเดียวกันทั้งต้น เช่น หากเป็นใบบอนกลม ควรกลมทุกใบ หากเป็นสายพันธุ์บอนที่มีใบดก เช่น บอนใบไทยหรือบอนใบยาว ควรมี 12 ใบขึ้นไป มีความดก ไม่ทิ้งใบ และใบควรมีสีเดียวกันสม่ำเสมอ ไม่แตกต่างกัน มีก้านใบที่อวบ แข็งแรง สมดุลกับขนาดของใบบอน เรียงเป็นระเบียบ โคนกาบใบไม่เกาะกันหรือแบะออก ดูสวยงาม และมีความแปลกที่เป็นเอกลักษณ์ของสายพันธุ์ ราคาต้นบอนสี มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น ขึ้นอยู่กับขนาด ทรง ลวดลาย สีของใบ และตลาดขาย ซึ่งในปัจจุบันสามารถเพาะขายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น อเมริกา ยุโรป และเอเชียอย่าง อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

สำหรับต้นพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์บอนสี ควรเป็นต้นบอนสีขนาดใหญ่ อายุ 10 เดือนขึ้นไป และมีความสมบูรณ์เต็มที่ โดยทำการขุดหัวบอนเมื่อต้นทิ้งใบ แล้วนำมาทำความสะอาด เก็บไว้ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่มีแสงแดด ทิ้งไว้ประมาณ 3 เดือน ก่อนจะนำมาเพาะอีกครั้งช่วงเข้าฤดูฝนหรือประมาณเดือนพฤษภาคม


แนะนำโดย วาไรตี้ https://lonrhohotels.com

17

สำหรับใครที่เดินทางผ่านไปแถวอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในถนนเส้นพหลโยธิน กม.ที่ 56 จะต้องเห็นและสะดุดตากับสิ่งก่อสร้างที่หนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับโบสถ์คริสต์ในทวีปยุโรปเลย

เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ แท้จริงแล้วนี่คือ Cafe Amazon สาขาใหม่ที่เพิ่งจะเปิดให้บริการได้ไม่นานนัก ที่นี่ถูกออกแบบได้อย่างงดงาม มีมุมให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูปกันมากมาย

โดยจะเน้นตกแต่งด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ตามธีมรักษ์โลกของทางร้าน ให้ความรู้สึกที่สดชื่นเหมาะแก่การพักผ่อน ใครที่จะต้องเดินทางผ่านถนนพหลโยธิน กม.ที่ 56 ช่วงนี้ลองแวะไปเยี่ยมชมกันครับ ได้ทั้งพักผ่อนและรูปภาพสวยๆ แน่นอน




แนะนำโดย : วาไรตี้ https://10to10indelhi.com

18

วันนี้ NAKATA จะพาทุกคนไปชมวิหารพญาเต่า หนึ่งเดียวของประเทศไทยที่วัดบึงตาต้า จังหวัดระยอง

วิหารแห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่าวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ประดิษฐานบนหลังพญาเต่าขนาดใหญ่สุดตระการตา ถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดอันซีนของเมืองระยองเลย


วิหารแห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่าวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ประดิษฐานบนหลังพญาเต่าขนาดใหญ่สุดตระการตา ถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดอันซีนของเมืองระยองเลย


นอกจากนี้ภายในวัดยังมีทั้งวัตถุมงคล พญาหมูพลิกแผ่นดิน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกมากมายให้นักท่องเที่ยวได้มาสักการะขอพรกัน ใครไปเที่ยวระยองในช่วงนี้อย่าลืมแวะไปเที่ยวกันครับ


แนะนำโดย : วาไรตี้ https://infinitopuntocero.com

19
ปัญหาที่พบบ่อยในช่วงฤดูฝน คือ ตากผ้าไม่แห้งสนิทหรือสวมใส่เสื้อผ้าที่เปียกขึ้นเป็นเวลานาน รวมถึงการสวมหน้ากากผ้าที่เปียกขึ้นจนเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราและกลิ่นอับชื้น

อ. ดร. พญ.กรวลี มีศิลปวิกกัย โรงพยาบาลจุฬากรณ์ สภากาชาดไทย แนะนำว่า หากเสื้อผ้าหรือหน้ากากผ้าเปียกขึ้นควรซักทำความสะอาดทันที หรือหากยังไม่สะดวก ให้นำผ้าที่เปียกขึ้นไปผึ่งให้แห้งก่อน ในกรณีที่ผ้าขึ้นราและสามารถเปลี่ยนทดแทนได้ ควรทิ้งและเปลี่ยนชิ้นใหม่

วิธีทำความสะอาดเชื้อราและกลิ่นอับชื้นบนเสื้อผ้า

แช่ผ้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น น้ำยาซักผ้าที่มีส่วนผสมของเปอร์ออกไซด์ฟีนอลิก หรือไฮโปคลอไรด์ ในอัตราส่วนตามที่ฉลากระบุไว้ แช่ผ้าไว้นาน 5-15 นาที หรือใช้น้ำส้มสายชู ในอัตราส่วน 480-720 มิลลิลิตรต่อน้ำ 1-2 ลิตร แช่ผ้าไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง และนำไปซักตามปกติ
ซักผ้าให้สะอาดตามปกติแล้วนำไปต้มในน้ำเดือดนาน 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
ทั้งนี้ควรสังเกตป้ายสัญลักษณ์การดูแลผ้าประกอบการทำความสะอาดด้วย

คำแนะนำผู้ใช้หน้ากากผ้า

เปลี่ยนหน้ากากผ้าทุกวันหรือเปลี่ยนเมื่อรู้สึกเปียกชื้นในระหว่างวัน
ใช้สบู่หรือน้ำยาซักผ้า แล้วนำไปตากแดดหรือใช้เครื่องอบให้แห้งก่อนนำกลับมาใช้อีกครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของผ้าที่ใช้ทำหน้ากาก
ควรพกหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าสำรองติดตัวไว้เสมอ เพื่อให้สามารถเปลี่ยนได้ทันที
คำแนะนำจากแพทย์

วิธีป้องกันการเกิดเชื้อราและกลิ่นอับชื้นในเสื้อผ้าหรือหน้ากากผ้า คือ แนะนำให้เมื่อกลับถึงบ้านแล้วควรแยกเสื้อผ้าที่ขึ้นหรือเปียกแขวนผึ่งให้แห้งก่อนนำไปใส่ตะกร้าซักแต่ไม่ควรแขวนทิ้งไว้นานเพราะอาจเกิดเชื้อราบนเสื้อผ้าได้ หากนำมาสวมใส่อาจเสี่ยง

ต่อการเกิดโรคผิวหนังจากเชื้อรา เช่น โรคกลาก เกลื้อน เป็นต้น

แนะนำโดย : วาไรตี้ https://therallyshow.org/

20
เมื่อคนเราเหนื่อยล้าหรือเจอกับปัญหาหนัก ๆ วูบหนึ่งมันจะมีอารมณ์อยากทิ้งทุกสิ่งแล้วหนีไปเลย ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน และหลายคนก็เลือกที่จะเดินออกมาจากความฝันความตั้งใจที่มี ขณะที่บางคนยังอดทนและสู้ต่อแม้ว่าหนทางนั้นจะยังอีกยาวไกล แบบนี้แล้วเรามาให้กำลังใจตัวเองด้วยเหตุผลแสนจะธรรมดาแต่ทำให้มีกำลังใจลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง

1. ถ้าคุณเหนื่อย
คำว่าเหนื่อยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเหนื่อยกายแต่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงเหนื่อยใจด้วย และถ้าสองอย่างนี้มาพร้อม ๆ กัน ก็ต้องมีท้อกันบ้าง ถ้าเป็นแบบนี้แล้ววิธีแก้ไขที่ง่ายที่สุด คือสำรวจตัวเองก่อนว่า ที่ผ่านมาร่างกายของคุณพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ เชื่อไหมว่าการนอนให้ได้ 8 ชั่วโมงเต็มนั้นจะช่วยให้คุณกลับฟื้นคืนพลังทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างรวดเร็ว หรือแม้กระทั่งการงีบหลับสัก 15 นาทีก็ช่วยได้ เพราะร่างกายที่เหนื่อยล้า จะทำให้จิตใจอ่อนล้าตาม ดังนั้นถ้าคุณรู้สึกเหนื่อย ควรหาเวลาพักผ่อน และการนอนคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด

2. ถ้าคุณรู้สึกท้อ
บางครั้งคุณจะรู้สึกว่าปัญหาที่แก้ไขเหมือนจะมีไม่รู้จักจบสิ้น อุปสรรคก็เยอะเสียจนไม่รู้ว่าจะก้าวข้ามได้หมดไหม มันทำให้คุณรู้สึกท้อใจและอยากจะเดินหนีไปให้ไกล เรื่องแบบนี้เกิดได้ในทุกออฟฟิศ ซึ่งวิธีรับมือกับความรู้สึกท้อที่ดีที่สุด คือ การกลับมารับมือกับความคิดด้านลบของตนเองเพื่อให้สุขภาพจิตของคุณดีขึ้น เริ่มต้นด้วยการเดินหรือวิ่งก็ช่วยคลายเครียดได้ แม้กระทั่งการเขียนบันทึกในแต่ละวันเพื่อระบายความรู้สึก พยายามมองในด้านบวกของปัญหาที่เกิดขึ้นว่าเป็นวิธีที่จะทำให้คุณนั้นเติบโตขึ้นด้วยประสบการณ์ จงจำไว้ว่าการวิ่งหนีปัญหานั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น

3. ถ้าคุณรู้สึกสับสน
มันจะมีทุกช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ที่คุณจะรู้สึกสับสนกับตนเองว่าจะเลือกทางเดินชีวิตแบบไหนดี บอกเลยว่าคุณไม่ใช่คนเดียวที่เจอกับปัญหาแบบนี้ แล้วถ้าความรู้สึกแบบนั้นจะทำให้คุณเครียดกับการใช้ชีวิต ก็ขอให้แก้ไขด้วยการกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่ กลับไปยังเป้าหมายที่คุณวางไว้ กลับไปทำความเข้าใจกับตนเองก่อนว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการ จากนั้นก็มองยาว ๆ ว่าสิ่งที่คุณต้องการนั้น จะต้องเดินทางไหนถึงจะไปสู่ความสำเร็จได้ จากนั้นก็ค่อย ๆ ก้าวไปทีละก้าว อย่าใจร้อน อย่าหาทางลัด เพราะไม่มีทางลัดสู่ความสำเร็จ และคุณจะถึงเป้าหมายได้ต้องมีความอดทน

4. ถ้าคุณติดหล่มความรับผิดชอบ
หลายครั้งที่คุณต้องแบกรับความปัญหา แบกรับความรับผิดชอบในชีวิตของคนอื่น และทำให้คุณรู้สึกหนักบนสองบ่า จนอยากจะปลดเปลื้องมันทิ้งซะ ถ้าเป็นแบบนั้นจงหาหนทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ จัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ จากนั้นคุณจะรู้ว่าต้องทำอะไรก่อนและหลัง ถ้าบางเรื่องคุณไม่มีความจำเป็นใด ๆ เลยที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวด้วย หรือต้องเข้าไปช่วยเหลือคนที่ไม่เคยคิดจะช่วยตัวเองเลย คุณจะปล่อยมือจากคนเหล่านั้น หรือปัญหาเหล่านั้นซะ มิเช่นนั้นแล้ว มันจะกลายเป็นติ่งที่คุณต้องรับผิดชอบไปตลอดชีวิต

5. ถ้าคุณรู้สึกเสียใจ
เมื่อทำอะไรผิด ก็คอยแต่โทษตัวเอง คุณจะไม่มีทางเดินทางสู่อนาคตที่สดใสได้เลย ความรู้สึกเสียใจ หรือนั่งโทษแต่ตัวเอง ไม่ได้ทำอะไรให้ชีวิตดีขึ้น หนทางที่ดีที่สุด จงคิดให้ได้ว่าอะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป มานั่งเสียใจย้อนหลังนั้นไม่มีประโยชน์ แต่จงเอาข้อผิดพลาดมาแก้ไขเพื่อให้อนาคตที่จะมาถึง เกิดสิ่งที่ดีกว่าขึ้นมา จำไว้ว่าจงให้ความสำคัญกับสิ่งที่คุณเปลี่ยนแปลงได้ในปัจจุบันคือตัวเอง และอนาคตที่ดีกว่าจะตามมา

แนะนำโดย : วาไรตี้ https://periferiafilmes.com/

21
หากย้อนกลับไปหลายร้อยปีก่อน โรคร้ายที่คร่าชีวิตมนุษยชาติไปหลายล้านคนมาจากโรคติดเชื้อเสียส่วนใหญ่ เนื่องจากยังไม่มียาปฏิชีวนะที่ดีและการแพทย์ที่เจริญเพียงพอ แต่ในปัจจุบัน สิ่งที่คร่ามนุษย์ทั่วโลกนาทีละ 34 คน หรือคิดเป็น 18 ล้านคนต่อปี นั้นมาจาก “พฤติกรรมการกิน” ของคนในปัจจุบันที่จะนำไปสู่ โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของผู้คนทั่วโลกนั่นเอง

แม้จะดูอันตรายแต่ข่าวดีคือ แค่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้มากแล้วเช่นกัน

มาถึงคำถามสำคัญที่ทุกคนอยากรู้ แล้วเราจะทานอะไรได้บ้าง ไก่ทอดกินได้ไหม ทำกับข้าวด้วยน้ำมันหมูหรือน้ำมันพืชดี ต้องกินแต่สลัดทุกวันเลยรึเปล่า มาหาคำตอบจากบทความตอนนี้กัน

นพ.ทินกฤต ศศิประภา แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจ และอนุสาขาหัตถการปฏิบัติรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด ศูนย์โรคหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลนวเวช กล่าวว่า ก่อนจะอธิบายเรื่องอาหารที่ดีต่อหัวใจ ขออธิบายให้ชัดเจนก่อนว่า การรับประทานอาหารเพื่อหัวใจที่ดี กับการรับประทานอาหารเพื่อลดน้ำหนักนั้นเป็นคนละเรื่องกัน การลดน้ำหนักนั้นต้องลดปริมาณที่ทานเพื่อลดแคลอรี่ต่อวันที่ได้รับ แต่การรับประทานอาหารให้ดีต่อหัวใจนั้นเน้นไปที่คุณภาพอาหารที่ทานเสียมากกว่า

หลักการในการรับประทานอาหารที่ดีต่อหัวใจ ก็คือ การรับประทานอาหารเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน เป็นต้น ซึ่งประกอบไปด้วย

- เน้นรับประทานที่มีการใยสูง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืช และถั่ว (ไม่อบเกลือ)
- หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม เนื่องจากความเค็มในอาหารเกิดจากโซเดียม (Sodium) การรับประทานโซเดียมในปริมาณมากจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงตามมาได้
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์ (Trans fatty acid) ซึ่งเป็นไขมันที่ส่งผลเสียต่อหลอดเลือดมากที่สุด ยกตัวอย่าง ได้แก่ อาหารที่มีส่วนผสมของมาการีน (เช่น เบเกอรี่ต่างๆ) อาหารทอด เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) เช่น เนื้อสัตว์ (เช่นหมู เนื้อวัว) น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว ชีส ไอศกรีม แต่ให้รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวแทน(Unsaturated fatty acid) เช่น น้ำมันพืช เนื้อปลา เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีความหวานสูง ๆ เช่น น้ำอัดลม น้ำ energy drinks ต่างๆ เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์และเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการผลิตมาก่อน เช่น เบคอน ไส้กรอก ฮอตดอก เป็นต้น

แนะนำโดย : วาไรตี้ https://bloodthemovie.com/

22
 - อาการปวดหน่วงๆ บริเวณศีรษะ หน้าผาก หัวตา โหนกแก้ม รอบดวงตา  หรือมีน้ำมูกเป็นหนองข้น อาจสันนิษฐานได้ว่า ไซนัสอักเสบ หากปล่อยไว้จนอาการลามไปถึงกระดูก อาจทำให้การอักเสบกระจายไปสู่สมอง ส่งผลให้การรักษายากขึ้น และเสียชีวิตได้ในที่สุด
 - การว่ายน้ำในสระที่ใส่คลอรีน หรือสารเคมีเพื่อฆ่าเชื้อโรค หากสำลักน้ำอาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุภายในไซนัส ทำให้ไซนัสอักเสบได้
 - หากพบว่ามีอาการไซนัสอักเสบติดต่อกันนานเกิน 10 วัน ควรรีบพบแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี  โดยแพทย์จะซักประวัติการเจ็บป่วย ตรวจร่างกาย หรือตรวจเพิ่มเติมด้วยการส่องกล้อง การทำ MRI หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

ไซนัส (Sinus) คือ โพรงอากาศที่อยู่ในกะโหลกศีรษะบนใบหน้ารอบๆ จมูก มีรูเปิดติดต่อกับช่องจมูก ภายในไซนัสมีเยื่อบุ ต่อเป็นผืนเดียวกันกับเยื่อบุภายในช่องจมูก ทำหน้าที่ปรับอากาศที่เราหายใจเข้าไป โดยผ่านบริเวณจมูก ช่วยถ่ายเทความร้อนและความชื้นจากหลอดเลือดบนผิวเยื่อบุให้เหมาะสมกับร่างกาย  ซึ่งไซนัสมี 4 คู่ ได้แก่

 - บริเวณโหนกแก้ม 2 ข้าง  (maxillary sinus)
 - ระหว่างลูกตา บริเวณหัวตา 2 ข้าง (ethmoid sinus)
 - บริเวณหน้าผากใกล้กับหัวคิ้ว 2 ข้าง (frontal sinus)
 - อยู่ในกะโหลกศีรษะ ใกล้ฐานสมอง (sphenoid sinus)

ไซนัสอักเสบ
พญ. อุบลรัตน์ ปิตาสวัสดิ์ แพทย์ผู้ชำนาญการสาขาโสต ศอ นาสิกวิทยา โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ สมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า เมื่อเป็นหวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือภูมิแพ้ จะทำให้เยื่อบุภายในช่องจมูกเกิดการบวม ส่งผลให้โพรงไซนัสที่ติดต่อกับจมูกตีบตัน เกิดน้ำมูกคั่งภายในโพรงจมูก เป็นสภาวะเหมาะแก่การเติบโตของเชื้อโรค จนเยื่อบุอักเสบและเป็นหนอง เกิดภาวะไซนัสอักเสบขึ้นได้ 

นอกจากนี้ภาวะติดเชื้อที่รากฟัน สามารถทำให้ไซนัสอักเสบได้เช่นกัน เนื่องจากกระดูกที่คั่นระหว่างรากฟันกับไซนัสบางมาก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ซึ่งกระดูกจะบางลงตามอายุ

ไซนัสอักเสบ แบ่งเป็น 2 ชนิด
- ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน (acute sinusitis) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา ทำให้เกิดการอักเสบ มีเสมหะมากขึ้น คัดจมูก รู้สึกไม่สบายที่แก้ม หน้าผาก หรือรอบดวงตา และปวดศีรษะ   ส่วนใหญ่สามารถรักษาหายภายใน  3 สัปดาห์ และเป็นน้อยกว่าปีละ 4 ครั้ง
- ไซนัสอักเสบเรื้อรัง (chronic sinusitis) เป็นภาวะเรื้อรังนานกว่า 12 สัปดาห์ และเป็นมากกว่าปีละ 4 ครั้ง 
 
สัญญาณอันตราย อาการไซนัสอักเสบ
- ปวดหน่วงๆ ตามบริเวณไซนัสอักเสบ เช่น หน้าผาก หัวตา โหนกแก้ม หรือรอบๆ ดวงตา 
- ปวดศีรษะ  มักเป็นมากช่วงเช้าหรือบ่าย โดยเฉพาะเมื่อก้มศีรษะ หรือเปลี่ยนท่า
- น้ำมูกเป็นหนองข้นสีเขียวหรือเหลือง เวลาสูดจมูกแรงๆ รู้สึกน้ำมูกไหลลงคอ 
- คัดแน่นจมูก  หายใจมีกลิ่นเหม็นคาว
- ปวดหู หูอื้อ 
- เจ็บคอ
- มีไข้
- อ่อนเพลีย

ปัจจัยเสี่ยงไซนัสอักเสบ
- ผู้ป่วยไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และภูมิแพ้ ทำให้เยื่อเมือกบวม ซึ่งอาจอุดตันโพรงไซนัส
- ผู้มีความผิดปกติของช่องจมูก เช่น ผนังกั้นระหว่างช่องจมูกคด ช่องจมูกแคบกว่าปกติ ทำให้เกิดการอักเสบจากการติดเชื้อง่ายขึ้น
- ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำหรืออยู่ในเขตมลภาวะเป็นพิษ ส่งผลให้ภูมิต้านทานลดลง
- การว่ายน้ำในสระที่ใส่คลอรีน หรือสารเคมีเพื่อฆ่าเชื้อโรค หากสำลักน้ำอาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุภายในไซนัส
- ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้อากาศ

การวินิจฉัยโรคไซนัสอักเสบ
แพทย์จะซักประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย โดยการส่องดูหนองหรือมูกที่ด้านหลังของคอ ร่วมกับการกดบริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม หัวตา  รวมถึงการตรวจพิเศษ ดังนี้
- การตรวจด้วยการส่องกล้อง (nasal endoscopy)
- การตรวจด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก (MRI)
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)  กรณีที่ต้องการรายละเอียด เพื่อทำการผ่าตัด หรือในผู้ป่วยที่มีโรคแทรกซ้อน

การรักษาโรคไซนัสอักเสบ
- ยาปฏิชีวนะ
การใช้ยารักษาไซนัส จะใช้ต่อเมื่อเกิดกรณีติดเชื้อแบคทีเรีย
ส่วนกรณีที่เกิดจากเชื้อไวรัสไม่จำเป็นต้องใช้ยา
แต่หากไซนัสอักเสบเกิดจากเชื้อราซึ่งพบน้อยมาก กรณีนี้ต้องใช้กระบวนการผ่าตัดเพื่อนำก้อนเชื้อราออก
- ยาแก้แพ้ เพื่อลดภาวะภูมิแพ้ที่ส่งผลให้เกิดไซนัสอักเสบได้
- ยาพ่นจมูก (Nasal steroid spray) ยาพ่นจมูกที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ช่วยลดอาการบวมของเนื้อเยื่อและการแพ้อากาศ และยังช่วยป้องกันการงอกของริดสีดวงจมูกหลังการผ่าตัดไซนัส 
- ยาลดน้ำมูก (Decongestant) ช่วยให้หลอดเลือดในเนื้อเยื่อจมูกชั้นในหดตัว ส่งผลให้อาหารคัดจมูกและน้ำมูกไหลน้อยลง
- ใช้น้ำเกลือล้างจมูก เพื่อล้างเมือกจากโพรงจมูกและไซนัส
- การรักษาโดยการผ่าตัด
ก่อนทำผ่าตัดจำเป็นต้องทำการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการผ่าตัดและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น  เหมาะกับการรักษาไซนัสที่เกิดจากความผิดปกติของโพรงจมูก หรือเนื้อเยื่อที่เจริญเติบโตไปปิดกั้นโพรงไซนัส

การป้องกันการเกิดไซนัสอักเสบ
- หลีกเลี่ยงโรคไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ โดยการฉีดวัคซีน
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วยไข้หวัด หรือติดเชื้อทางเดินหายใจ
- งดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีมลพิษ
- อยู่ในสถานที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี
- ใช้เครื่องกรองอากาศ หากนอกบริเวณบ้านมีมลพิษ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- พักผ่อนให้พอ 
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่าให้จมูกแห้ง

ภาวะเเทรกซ้อนจากไซนัสอักเสบ
- ผลกระทบต่อเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบนและล่าง ทำให้เกิดการอักเสบต่อเยื่อบุลำคอ  กล่องเสียง และหลอดลม  ส่งผลให้เสี่ยงภาวะหอบหืด
- ภาวะไซนัสอักเสบลุกลามไปตา ทำให้เนื้อเยื่อรอบๆ ดวงตาอักเสบ เกิดอาการปวดตา  ตาบวม ตาเเดง ลูกตาโปน  การมองเห็นลดลง อาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น
- ภาวะไซนัสอักเสบลามไปสมอง ส่งผลต่อการมองเห็น  ปวดศีรษะ  มีไข้ หากการอักเสบมากขึ้น อาจมีไข้สูง เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือลุกลามไปยังเนื้อสมอง จนรุนแรงถึงชีวิตได้
- ภาวะไซนัสอักเสบลามไปกระดูก อาจส่งผลให้การอักเสบกระจายไปสู่สมอง ส่งผลให้การรักษายากขึ้น และเสียชีวิตในที่สุด

แม้ไซนัสอักเสบจะมีอาการไม่รุนแรงในเบื้องต้น สามารถรักษาให้หายได้โดยใช้เวลาไม่นาน แต่หากปล่อยให้การอักเสบต่อเนื่องจนเรื้อรังอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ ใกล้เคียง สร้างความซับซ้อนและความยุ่งยากในการรักษา และอาจส่งผลถึงชีวิตได้ในที่สุด

ดังนั้น หากพบว่ามีอาการต่างๆ ของภาวะไซนัสอักเสบติดต่อกันนานเกิน 10 วัน สันนิษฐานได้ว่าอาจเป็นไซนัสอักเสบแบบเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี

แนะนำโดย : วาไรตี้ https://reebokshoesonlineoutlet.com/

23
หากได้ยินคำว่า “ไขมัน” บรรดาผู้รักสุขภาพทั้งหลายคงจะรู้สึกหงุดหงิดใจกันไม่น้อย เพราะต้องคอยเผาผลาญไขมันส่วนเกินออกอยู่เสมอ แต่รู้หรือไม่ว่า มากกว่าความน่าหงุดหงิดของคือความน่ากลัวของ “ไขมันในเลือด” ที่อาจส่งผลถึงชีวิต
"ไขมันในเลือดสูง" สาเหตุโรคอันตรายอะไรบ้าง?
นพ.นพดล นินเนินนนท์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ  โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (WMC) ระบุว่า ในร่างกายของคนเรานั้น จะมีไขมันทั้งหมด 2 ชนิดด้วยกัน คือ คอเลสเตอรอล และ ไตรกลีเซอไรด์   

 - คอเลสเตอรอล คือ ไขมันที่เกิดได้จากภายในร่างกาย โดยการสังเคราะห์จากตับหรือลำไส้ และเกิดได้จากอาหารที่รับประทาน อาทิ อาหารที่มีรสจัด หวาน มัน เค็ม ขนมกรุบกรอบ ครีมเทียม และนมเนย ที่หากร่างกายได้รับคอเลสเตอรอลมากเกินไป จะส่งผลให้เส้นเลือดแข็งตัว และหลอดเลือดตีบตัน

 - ไตรกลีเซอไรด์ คืออีกหนึ่งไขมันที่ร่างกายสร้างขึ้นมาจากอาหารที่มีน้ำตาลหรือแป้ง ซึ่งเป็นไขมันที่มีความสำคัญต่อร่างกาย แต่หากไตรกลีเซอไรด์มีระดับสูงขึ้นอาจเกิดจาก โรคอ้วน โรคเบาหวาน การดื่มสุรา และการทานยาฮอร์โมน หรือ สเตียรอยด์ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดหลอดเลือดตีบ เลือดไหลเวียนไม่สะดวกจนเลี้ยงหัวใจและอวัยวะอื่นๆ ไม่เพียงพอ เสี่ยงเกิดอัมพฤกษ์อัมพาต ได้อีกด้วย

สาเหตุการเกิดภาวะไขมันในเลือด
 - ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้ระบบเผาผลาญไขมันลดลง
 - รับประทานอาหารผิดหลักโภชนาการ
 - โรคของต่อมไร้ท่อ เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ โรคตับ และโรคไตบางชนิด เป็นต้น
 - การใช้ยาประเภท สเตียรอยด์ ยาคุมกำเนิด เป็นต้น
 - การดื่มแอลกอฮอล์

ผู้ที่ควรตรวจระดับไขมันในเลือด
 - ผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป
 - ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
 - ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
 - ผู้สูบบุหรี่
 - ผู้ดื่มแอลกอฮอล์

ซึ่งในทางที่เหมาะสมนั้น การตรวจร่างกายควรเกิดขึ้นเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป และควรตรวจซ้ำทุกๆ 1-3 ปี เพื่อตรวจสอบความเสี่ยงในการเกิดโรคและการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอยู่เสมอ เพราะสุขภาพคือสิ่งที่เมื่อเกิดความสูญเสีย 1 ครั้ง จะส่งผลยาวนานเกินกว่าที่จะกู้คืนได้ ดังนั้น เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างทันท่วงที ตรวจสุขภาพทุกปี เช็คสุขภาพให้ดีก่อนมีความเสี่ยง

แนะนำโดย : วาไรตี้ https://lakecumberlandrvpark.com/

24
แม้ว่าแอลกอฮอล์จะเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เป็นตับแข็ง แต่ยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้เป็นโรคนี้ได้อีก

อ. พญ.ศุภมาส เชิญอักษร สาขาวิชาโรคทางเดินอาหารและตับ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงอาการตับแข็ง และสาเหตุที่ของโรคเอาไว้ ดังนี้

โรคตับแข็ง คืออะไร?
 - เป็นโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง เช่น ไวรัสตับอักเสบบี และซี
 - ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากและเป็นเวลานาน
 - เป็นโรคทางพันธุกรรม เช่น Wilson disease (ความผิดปกติของตับที่ไม่สามารถขับทองแดงออกจากร่างกายได้ทำให้มีการสะสมทองแดงมากเกินไป), Hemochromatosis (ภาวะธาตุเหล็กในร่างกายเกินซึ่งอาจจะเป็นจากโรคทางพันธุกรรมทำให้ไม่สามารถขับธาตุเหล็กออกจากร่างกายได้หรือเป็นจากการได้รับธาตุเหล็กเกินโดยเฉพาะในคนไทยที่มีโรคเลือดจางธาลัสซีเมียรุนแรงจนต้องได้รับผลิตภัณฑ์เลือดอยู่บ่อยๆ), cystic fibrosis, alpha one antitrypsin deficiency, glycogen storage disease
 - มีภาวะไขมันคั่งตับ มักพบในคนอ้วน หรือคนไข้เบาหวาน
 - เป็นโรคแพ้ภูมิตนเองที่เกิดกับตับ เช่น autoimmune hepatitis, primary biliary cholangitis, primary sclerosing cholangitis
 - เป็นโรคท่อทางเดินน้ำดีฝ่อตั้งแต่แรกเกิด (Biliary atresia)
 - ได้รับยาบางชนิด หรือสมุนไพรบางอย่างที่มีผลต่อตับ
 - มีภาวะหัวใจด้านขวาล้มเหลวเรื้อรัง
 - มีการอุดกั้นของหลอดเลือดดำทางออกของตับ
 - ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งพบในถึง 1 ใน 4 ของผู้ป่วย

อาการของโรคตับแข็ง
โดยส่วนมากในช่วงแรกของการเกิดโรคแทบไม่พบอาการหรือมีแสดงอาการน้อยมากโดยอาการแสดงก็ไม่จำเพาะเจาะจง เช่น
 - อ่อนเพลีย
 - เบื่ออาหาร
 - นอนไม่หลับ
 - คันตามตัว 

ต่อเมื่อการทำงานของตับแย่ลงก็จะมาด้วยภาวะแทรกซ้อน เช่น
 - ตัวตาเหลืองหรือดีซ่าน
 - ท้องมาน
 - เท้าหรือตัวบวม
 - อาเจียนเป็นเลือด
 - น้ำหนักลดจากการมีมะเร็งตับ

วิธีป้องกันโรคตัวแข็ง
 - รักษาโรคที่เป็นอยู่ ที่เป็นสาเหตุของอาการตับแข็ง เช่น รักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี หรือซี ที่เป็นอยู่ กินยากดภูมิคุ้มกัน กินยาขับธาตุเหล็ก หรือทองแดง เป็นต้น
 - ลดการดื่มแอลกอฮอล์
 - ฉีดวัคซีนที่จำเป็น โดยเฉพาะวัคซีนสำหรับป้องกันไวรัสตับเสบเอ และบี
 - ตรวจคัดกรองมะเร็งตับ
 - ระวังการใช้ยาที่ผ่านการทำลายยาที่ตับ เช่น พาราเซตามอล (ไม่กินติดต่อกันเกิน 5 วัน)

แนะนำโดย : วาไรตี้ https://tomkrcha.com/

25
อุจจาระเป็นของเสียที่เหลือจากการย่อยของระบบทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่จะมีกลิ่นเหม็นจากการหมักของแบคทีเรียในลำไส้ สีของอุจจาระนั้นมีความแตกต่างกันตามชนิดของอาหารและยาที่รับประทาน อย่างไรก็ตามสีของอุจจาระอาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพได้ เช่น ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร การอุดตันในท่อน้ำดีหรือปัญหาการดูดซึมสารอาหารของลำไส้ เป็นต้น

อ. นพ.สุกิจ ภัทรเจียรพันธุ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า สีของอุจจาระที่แตกต่างกัน เกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
สี "อุจจาระ" บอกสุขภาพ เสี่ยงโรคหรือไม่
1. สีน้ำตาล เป็นอุจจาระสีปกติ
2. สีเหลือง เป็นอุจจาระสีปกติ แต่หากอุจจาระเป็นสีเหลืองมันและมีกลิ่นเหม็นมาก อาจเป็นสัญญาณของภาวะการดูดซึมสารอาหารของร่างกายผิดปกติ
3. สีเขียว อาจเกิดจากโรคท้องร่วง การรับประทานผักใบเขียวเป็นปริมาณมาก หรือยาฆ่าเชื้อบางชนิด
4. สีดำ อาจเป็นสัญญาณของการมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหารส่วนต้น คือ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้นซึ่งอาจเกิดจากเนื้องอก การอักเสบ หรือภาวะหลอดเลือดโป่งพองนอกจากนี้การรับประทานธาตุเหล็กก็ทำให้เกิดอุจจาระสีดำได้
5. สีแดง ส่วนใหญ่เกิดจากการมีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนล่าง คือ ลำไส้เล็กส่วนปลาย ลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก รวมถึงริดสีดวงทวารแต่บางครั้งอาจเกิดจากการบริโภคอาหารที่มีสีแดง เช่น บีทรูท น้ำมะเขือเทศ หรือแครนเบอร์รี
6. สีอ่อนหรือสีซีด ให้ระมัดระวังว่าอาจเกิดจากการอุดตันในท่อน้ำดี ทำให้ไม่มีน้ำดีในอุจจาระจนทำให้เป็นสีขาวซีด แต่สามารถเกิดจากการรับประทานยาบางชนิดได้ เช่น ยาลดกรดอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ หรือยารักษาโรคท้องร่วง

หากพบว่าสีของอุจจาระเปลี่ยนไป สามารถหยุดบริโภคอาหารหรือยาที่สงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุ ประมาณ 2-3 วัน เพื่อดูว่าสีของอุจจาระกลับมาปกติหรือไม่ แต่หากไม่แน่ใจหรือมีอาการอื่นในระบบทางเดินอาหารร่วม ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

แนะนำโดย : วาไรตี้ https://sheitan-lefilm.com/

26
อาหารกระป๋องไม่ได้มีแต่โทษต่อร่างกายอย่างเดียวเสมอไป หากกินให้ถูกวิธี เราก็ได้รับประโยชน์ดีๆ จากปลากระป๋องได้เหมือนกัน
อาหารกระป๋องส่วนใหญ่จะถูกมองว่าไม่ค่อยมีคุณค่าทางสารอาหาร แต่อันที่จริงแล้วสำหรับ “ปลากระป๋อง” คุณค่าทางสารอาหารที่มีอยู่ในเนื้อปลายังคงอยู่ และถือเป็นหนึ่งในอาหารที่มอบสารอาหารให้กับร่างกายได้ดีในยามฉุกเฉิน

แต่ปลากระป๋องก็มีทั้งประโยชน์และโทษในตัวของมันเอง ดังนั้น หากเราเลือกกินอย่างถูกวิธี เราก็จะเลือกส่วนที่เป็นประโยชน์มาใช้กับร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ส่วนประกอบของปลากระป๋อง
 - ปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาโอ ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล
 - ซอสมะเขือเทศ
 - น้ำมันปลา
 - น้ำเกลือ
เป็นต้น

คุณค่าทางสารอาหารของปลากระป๋อง
 - โปรตีน
เนื้อปลากระป๋องเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และบำรุงร่างกายในส่วนที่สึกหรอ

 - โอเมก้า-3
จากปลาทะเล บำรุงสมอง ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

 - ทอรีน
ช่วยในการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และเกล็ดเลือด หากเด็กได้รับทอรีนไม่เพียงพอ  อาจจะมีผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองได้ โดยเฉพาะเด็กที่ดื่มนมวัว

นอกจากนี้ ทอรีนยังช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด ช่วยขับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีออกจากร่างกาย ช่วยป้องกันตับอักเสบ ช่วยควบคุมน้ำตาลในรายที่เป็นเบาหวาน ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้คล่อง และช่วยป้องกันอาการซึมเศร้า

 - กรดลิโนเลอิก
ลดการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด บำรุงสมอง ป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะ

นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอย่าง ไขมัน แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม สังกะสีทองแดง แมงกานีส วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค วิตามินบี 6 วิตามินบี 9 และ วิตามินบี 12 โดยสารอาหารหลายๆ อย่างนี้ช่วยบำรุงกระดูก
และการที่ปลากระป๋อง เป็นปลาที่เราสามารถได้ทั้งกระดูก ทำให้ได้รับสารอาหารมากกว่าการกินเนื้อปลาเพียงอย่างเดียวอีกด้วย


  - ไลโคปีน
จากซอสมะเขือเทศที่ผ่านความร้อน ต้านอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งของโรคกระดูกพรุน

อันตรายจากปลากระป๋อง
แม้ว่าปลากระป๋องจะมีสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพไม่ใช่น้อย แต่พบว่าการปรุงรสในปลากระป๋องทำให้มีปริมาณโซเดียมสูง โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าปลากระป๋องขนาด 85 กรัม 1 กระป๋อง มีโซเดียมสูงถึง 300 มิลลิกรัม หรือคิดเป็น 1 ใน 7 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ถ้ากินมากเกินไปนี่ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงโรคไตและโรคเรื้อรังหลายอย่าง

นอกจากนี้ยังอาจมีอันตรายจาก “ฮีสทามีน” ที่เกิดขึ้นจากแบคทีเรียย่อยกรดอะมิโนในตัวปลา ระหว่างการขนส่งและจัดเก็บปลาทะเล ซึ่งบางครั้งความเย็นอาจไม่มากพอ โดยพบบ่อยในปลาทูน่า ปลาโอแถบ ปลาซาร์ดีน และปลาแมคเคอเรล ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของปลากระป๋อง

วิไลลักษณ์ ศรีสุระ นักโภชนาการชำนาญพิเศษ สำนักโภชนาการ กรมอนามัย ระบุว่า การรับประทานเนื้อปลาที่มีปริมาณฮีสทามีนสูงกว่า 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ทำให้เกิดผลกระทบกับสุขภาพได้ โดยเฉพาะกับผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเสี่ยง

"คนที่ควรระวัง คือ คนที่แพ้อาการทะเล ผู้สูงอายุ และเด็ก ซึ่งวัยนี้ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกินปลากระป๋อง รวมทั้งคนที่เป็นภูมิแพ้อาหารทะเลบางอย่างก็ต้องระวัง ส่วนอาการแพ้ก็ขึ้นอยู่กับการบริโภคมากๆ มีทั้งผื่นขึ้น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ถ่ายท้องร่วมด้วย"

กินปลากระป๋องอย่างไรให้ได้ประโยชน์ และปลอดภัย
ไม่กินมากหรือบ่อยครั้งจนเกินไป ควรเลือกเป็นโปรตีนในยามที่จำเป็น โดยไม่ควรรับประทานเกิน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
ไม่เลือกกินปลาชนิดเดียวกันซ้ำๆ ควรเปลี่ยนชนิดของปลาบ้าง
ไม่ปรุงรสเค็มเพิ่มมากจนเกินไป หรือไม่ต้องปรุงเค็มเพิ่ม เพราะมีปริมาณโซเดียมค่อนข้างสูงอยู่แล้ว
เพิ่มผักอื่นๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางสารอาหารในการปรุงเพิ่มได้
เลือกกระป๋องของปลากระป๋องที่มีสภาพสมบูรณ์ ไม่บุบ เบี้ยว ไม่มีรูรั่ว หรือมีสนิมขึ้น และสังเกตวันหมดอายุก่อนรับประทาน
หากรู้สึกว่ารสชาติ สี กลิ่น ไม่เหมือนปกติ ไม่ควรรับประทาน

แนะนำโดย : วาไรตี้ https://rodionovo.com/

27
“แล้วตอนนี้ยังเชื่อใจใครอีกไหม หลังจากเจอมาแบบนั้น”

เป็นการปิดฉากเกมเอาตัวรอดที่ทำให้คนดูจุกอกไม่น้อยเลยสำหรับ Squid Game หลังต้องเอาใจช่วยตัวละครในดวงใจเพื่อให้เล่นเกมผ่านด่านมรณะทั้ง 6 ด่าน เพราะไม่ใช่แค่ต้องใช้พละกำลัง ไหวพริบ และความเก๋าเกมเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ mind game ว่าคนไหนเป็นมิตรหรือศัตรู

ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจนี่แหละเป็นไม้ตายสำคัญที่ทำให้ Squid Game มีสีสัน ถ้าเลือกเชื่อใจถูกคนก็อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ถ้าไว้ใจผิดคนชีวิตก็อาจตุ้บด้วยกระสุนปืน หรือถ้ารอดก็อาจจะเป็นปมฝังใจถึงขนาดเป็นโรคกลัวการไว้ใจผู้อื่น (Pistanthrophobia) ได้เลยนะ

กลไกของอาการ Pistanthrophobia

ตามชื่อภาษาไทยโรคนี้ก็คือ โรคกลัวการไว้ใจคนอื่น แน่นอนว่าสาเหตุของอาการนี้ต้องมาจากการถูกคนที่รักหักหลังจนไม่อยากเชื่อใจใครอีกเลย โดยสถานะคนรักนี้ไม่ได้หมายถึงความสัมพันธ์แบบแฟนเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงเพื่อนสนิทหรือคนใกล้ชิดที่ปู้ยี้ปู้ยำความไว้ใจของเราจนแหลกเหลว

นอกจากนี้ Pistanthrophobia สามารถเกิดจากภาวะ self esteem ต่ำหรือความน้อยเนื้อต่ำใจในคุณค่าของตัวเอง ที่คิดว่าเราไม่ดี ไม่เก่งจนรักษาใครไว้ไม่ได้ และนำไปสู่บั้นปลายเดียวกันนั่นก็คือการหลีกหนีจากความสัมพันธ์นั่นเอง

รู้ได้ยังไงว่าเข้าข่าย Pistanthrophobia

ขึ้นชื่อว่าความกลัว อธิบายง่ายๆอาการของโรคนี้ก็เหมือนพฤติกรรมของ ตัวเอกสาว "คังแซบยอก" และ "ซองกีฮุน" พระเอกตอนท้ายเรื่องนั่นแหละ ปฏิเสธผู้คน ไม่ยอมเข้าหา วิตกกังวลจนหลบไปปลีกวิเวกคนเดียว และเผลอๆก็มีอาการตื่นตระหนก สั่นกลัว หัวใจเต้นแรงตอนเจอคนอื่นอีกด้วย

Pistanthrophobia แก้ได้ด้วย Forgiveness

มีตัวละครหลายตัวใน Squid Game ที่ถูกทรยศหักหลังหรือโดนบดขยี้ความไว้ใจแหลกเป็นผง จนกลายเป็นความโมโหและไม่อยากยุ่มย่ามกับใคร(ซึ่งรวมถึงชีวิตจริง) อาการเหล่านี้สามารถแก้ได้ด้วยการให้อภัยทั้ง ยกโทษให้กับตัวเอง และ ยกโทษให้กับคนอื่น

เรียนรู้ความผิดพลาดให้เป็นบทเรียนของหน้าหนึ่งในชีวิต การที่เราโดนหักหลังจากความไว้ใจและทำให้คนอื่นเสียใจจากความผิดพลาดของเรา ไม่ได้ทำให้คุณค่าของเราลดลงเลยสักนิด ต้องก้าวเข้าหาความสัมพันธ์ต่อไปนะเพราะนี่คือการยกโทษให้กับตัวเอง

เมื่อยอมรับโทษของตัวเองแล้ว ก็ไม่ควรจะเสียอารมณ์โกรธให้กับคนที่ทำร้ายความรู้สึกเรา แม้เขาคนนั้นเคยเป็นคนรักที่กลายเป็นศัตรูจิตใจไปเรียบร้อยก็ตาม ขอแนะนำให้ปล่อยวางซะเถอะ มนุษย์เราทุกคนมีด้านดีและด้านร้าย อย่าให้ความผิดพลาดของเขากลายเป็นหลุมดำในใจอีก ยกโทษให้กับคนนั้นซะเพื่อจะได้ก้าวไปเป็นคนใหม่ซะที

เพราะชีวิตแค่โดนทำร้ายแต่สุดท้ายมันต้องไม่โดนทำลาย เราเข้าใจว่ามันคงเจ็บปวดมากที่หลังของคุณโดนหักเป็นสองท่อน เราเลยอยากให้รู้จักกับโรค Pistanthrophobia นี้ เผื่อในวันข้างหน้าโดนจังๆ ขึ้นมาก็จะได้รู้จักวิธีรับมือ และนี่ก็อาจเป็นสารลับอีกฉบับของ Squid Game ที่อยากบอกเราให้ "เชื่อมั่นในมิตรภาพและน้ำใจของมนุษย์ต่อไป"

แนะนำโดย : วาไรตี้ https://sabanbajramovic.com/

28
นพ.นันทพล พงศ์รัตนามาน อาจารย์ที่ปรึกษา แผนกศัลยศาสตร์หลอดเลือด ร.พ.พระมงกุฎเกล้า หรือ หมอท็อป แนะวิธีสังเกตอาการเหล่านี้ว่า อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่บอกว่า “ลำไส้” ของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว

สุขภาพของลำไส้เกี่ยวข้องกับระบบอื่นๆ ในร่างกายของเรามากมายกว่าที่เราคิด ทั้งฮอร์โมน กล้ามเนื้อ อารมณ์ การนอน ถ้าระบบลำไส้เริ่มรวน ทำงานผิดปกติ ก็จะส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานอื่นๆ ของร่างกายด้วย จนบางทีเราอาจมองข้ามไปว่าสาเหตุมาจากลำไส้

สาเหตุที่ลำไส้เราเริ่มมีปัญหา เริ่มมาจากอาหารการกิน ที่ส่วนใหญ่แล้วมาจากแป้ง และน้ำตาล ที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวที่มีปริมาณสูงมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ระบบย่อยเกิดความผิดปกติ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ และแบคทีเรียที่ดีต่อลำไส้ของเราที่มีอยู่อาจจะลดน้อยลง แบคทีเรียที่ไม่ดีต่อลำไส้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ก็ส่งผลต่อระบบลำไส้ของเราได้ด้วยเช่นกัน

5 สัญญาณอันตราย "ลำไส้" อาจกำลังมีปัญหา

1.ปวดท้อง ท้องอืด เป็นๆ หายๆ
หากมีอาการปวดท้อง ท้องอืด และมีอาการแบบนี้อยู่เรื่อยๆ เป็นๆ หายๆ อาจจะนึกว่าตัวเองเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ แต่อันที่จริงแล้วอาจจะไม่ได้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเสมอไป อาการปวดท้อง ท้องอืด เป็นๆ หายๆ เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่มาแสดงอาการที่ลำไส้ของเรา เช่น การรับประทานอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล คาร์โบไฮเดรตสูงมากเกินไป อาหารที่มีการปรุงแต่งมากเกินไป ทำให้การย่อยอาหารผิดปกติ อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ เสี่ยงต่อภาวะกรดไหลย้อน ท้องอืดมากกว่าปกติ

ดังนั้นการรับประทานอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง หรือเลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ปรุงแต่งอาหารน้อยๆ ก็จะช่วยลดอาการปวดท้อง ท้องอืด เป็นๆ หายๆ ได้บ้าง

2.น้ำหนักขึ้น-ลดลงมากผิดปกติ
น้ำหนักมากขึ้น หรือลดลงผิดปกติทั้งๆ ที่ไม่ได้กินมากหรือน้อยลงไปกว่าเดิม กิจวัตรประจำวันเหมือนเดิมทุกอย่าง อาจมีสาเหตุมาจากการพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม ในกรณีที่น้ำหนักมากขึ้นผิดปกติ อาจบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูงมากเกินไป การดูดซึมของลำไส้แย่ลง กินแล้วลำไส้ไม่ได้ดูดซึมสารอาหารดีๆ ไปใช้กับร่างกาย แต่ขับถ่ายออกหมด ทำให้เกิดภาวะหิวสารอาหาร และสารอาหารที่ร่างกายมักโหยหาในภาวะนี้คือคาร์โบไฮเดรต อาหารหวานๆ นั่นเอง

ในรายที่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาจเกิดจากแบคทีเรียในลำไส้ผิดปกติ ทำให้การดูดซึมสารอาหารแย่ลงเช่นกัน ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะขาดสารอาหารในระยะยาวได้ จนอาจเสี่ยงโลหิตจางได้เลยทีเดียว เพราะขาดธาตุเหล็กจากการดูดซึมที่ไม่ดี

3.มีปัญหาการนอน
ระบบลำไส้อาจทำให้ระบบการทำงานของฮอร์โมนบางชนิดในร่างกายผิดปกติได้ เช่น ฮอร์โมนซีโรโทนิน ที่ควบคุมเวลาในการนอนหลับของร่างกาย หากฮอร์โมนชนิดนี้มีความผิดปกติ มากไปหรือน้อยไป ก็ทำให้การนอนหลับของเรายากมากขึ้น นอนไม่ค่อยหลับ นอนหลับไม่สนิท เป็นต้น

4.เกิดภาวะทนทานอาหารไม่ได้
ภาวะทนทานอาหารไม่ได้ (Food Tolerance) หมายถึงภาวะที่เราไม่สามารถรับอาหารเข้าร่างกายได้ ร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารชนิดนั้นได้ ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารนั้นๆ เข้าไปใช้ในร่างกายได้ มีแก๊สจากการย่อยอาหารมาก ทำให้ท้องเสียเรื้อรัง ท้องอืด มวนท้อง แน่นท้อง ไม่สบายท้อง ปวดท้อง คลื่นไส้ โดยเกิดจากในลำไส้มีแบคทีเรียที่ไม่ดีต่อร่างกายมากเกินไป แบคทีเรียที่ดีต่อร่างกายมีน้อยเกินไป ทำให้ลำไส้ไม่สามารถย่อยอาหารที่เรากินเข้าไปได้ ไม่ว่าอาหารเหล่านั้นจะดีและมีประโยชน์มากแค่ไหนก็ตาม

สามารถแก้ปัญหาได้โดยการ พยายามรับประทานอาหารที่มีพรีไบโอติกจากธรรมชาติ เช่น โยเกิร์ต กิมจิ คีเฟอร์ ถั่วหมัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มโปรไบโอติก หรือแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกายให้กับลำไส้

5.ผิวหนังอักเสบ
เมื่อลำไส้อยู่ในภาวะอักเสบ ลำไส้จะเกิดรูเล็กๆ ที่เรามองไม่เห็น ทำให้สารอาหาร หรือโปรตีนที่เรากินเข้าไปรั่วออกมา โปรตีนที่รั่วออกมาจะไปทำปฎิกิริยากับผิวหนัง จนทำให้เกิดอาการแพ้ได้ อาจทำให้เกิดผดผื่นแดง ดังนั้นใครที่ผื่นผิวหนังบ่อยๆ อาจต้องดูด้วยว่ามีปัญหาลำไส้ร่วมด้วยหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม เพื่อความถูกต้องในการรักษา เมื่อมีอาการผิดปกติ ควรเข้ารับการตรวจกับแพทย์อย่างละเอียด เพื่อหาวิธีรักษาที่ตรงจุดต่อไป

แนะนำโดย : วาไรตี้ https://7h58cesamedila-lefilm.com/

29
สาวๆ เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางคนกินเยอะกินไม่หยุดแต่ร่างกายกลับไม่อ้วน ในขณะที่บางคนควบคุมการกินเป็นอย่างดี แต่ร่างกายกลับมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือน้ำหนักยังคงอยู่ที่เดิม นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายที่มีการเผาผลาญดี ช่วยให้มีรูปร่างที่ดีนั่นเอง จะกินมากกินน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องหุ่น วันนี้เราจึงนำเคล็ดลับง่ายๆ ที่ช่วยเติมอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายมาฝากสาวๆ ให้ได้นำไปใช้เพื่อดูแลสุขภาพร่างกายและการมีหุ่นสวยกันค่ะ

1.กินมื้อเช้าทุกวัน
ไม่ว่าสาวๆ จะอยู่ในช่วงของการลดน้ำหนักหรือไม่ก็ตาม อาหารเช้ายังคงถือเป็นมื้อที่สำคัญและขาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะผลจากการอดมื้อเช้านั้น ทำให้ร่างกายเกิดการลดระบบเผาผลาญลง และทำให้สมองหลั่งสารเคมีที่ชื่อว่า นิวโรเปปไทด์ วาย (Neuropeptide Y) ซึ่งสารชนิดนี้จะส่งสัญญาณให้ร่างกายรู้สึกหิวและมีความอยากอาหารมากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยังรบกวนสมาธิในการทำงานอีกด้วย นั่นเพราะสมองไม่มีน้ำตาลกลูโคสจากอาหารเพื่อไปเลี้ยงสมอง และยังทำให้ร่างกายรู้สึกอยากกินของหวานมากกว่าเดิมอีกด้วย จึงไม่แปลกที่จะทำให้ร่างกายมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ

2.เข้านอนเร็วอย่างสม่ำเสมอ
เหตุผลที่การเข้านอนเร็วอย่างสม่ำเสมอมีส่วนช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย นั่นเพราะว่าโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจะมีระบบเป็นนาฬิกาชีวภาพ คอยทำหน้าที่ในการควบคุมการหลั่งฮอร์โมน เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกาย พร้อมทั้งควบคุมรอบการหลับและตื่นในแต่ละวัน ทั้งนี้ช่วงเวลาของการเข้านอนที่ดีที่สุดก็คือช่วง 3 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม เพราะเป็นช่วงเวลาของระบบภูมิต้านทานโรคจะทำงานได้ดีที่สุด อีกทั้งยังสะสมพลังงานสำรองเพื่อซ่อมแซมส่วนสึกหรอในร่างกาย และยังช่วยสกัดอาการหิวยามดึก รวมทั้งร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเล็ปตินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่มและเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น

3.หมั่นดื่มน้ำให้มากๆ
การดื่มน้ำวันละ 8-12 แก้ว ในแก้วขนาด 8 ออนซ์นั้น จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญสูงขึ้นกว่าคนที่ดื่มน้ำวันละ 4 แก้ว ซึ่งผลการศึกษาของนักวิจัยประจำ Virginia Tech แห่งเมืองแบล็กส์เบิร์ก รัฐเวอร์จิเนีย ระบุไว้ว่า การดื่มน้ำในแก้วขนาด 8 ออนซ์ วันละ 8-12 แก้ว โดยหลังตื่นนอนก่อนอาหารเช้าจะดื่มประมาณ 5 แก้ว จะช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่องและโล่งสบาย ทั้งนี้ควรทำคู่กับการออกกำลังกาย เพราะจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานได้ดียิ่งขึ้น

4.เติมสารแอลคาร์นิทีนให้ร่างกาย
ในส่วนของสารแอลคาร์นิทีนนั้น ส่วนใหญ่จะพบในเนื้อสัตว์ ถั่ว นม และอะโวคาโด ซึ่งตราบใดที่ต้องการให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญที่ดี จำเป็นที่จะต้องเติมสารชนิดนี้ในร่างกาย ทั้งนี้สารแอลคาร์นิทีนจัดเป็นสารที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกายของเราเองจากกรดอะมิโน 2 ตัว นั่นก็คือ ไลซีนและเมไทโอนีน เป็นกรดที่ผลิตที่ตับ โดยจะถูกนำไปเก็บไว้ในกล้ามเนื้อตามแขน ขา สมอง และหัวใจ ช่วยเพิ่มกระบวนการในการดึงไขมันออกมาเผาผลาญให้เป็นพลังงานในร่างกายต่อไป

5.ออกกำลังกายแบบผสม
สำหรับการออกกำลังกายแบบผสมนั้นก็คือ การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอพร้อมทั้งการเล่นเวทเทรนนิ่ง ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอจะมีทั้งการเดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน เต้นรำ หรือว่ายน้ำ เป็นวิธีออกกำลังกายที่ช่วยเผาผลาญไขมัน แต่ก็ต้องออกกำลังกายให้อยู่ในระดับที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วระดับหนึ่งเพื่อให้เลือดสูบฉีด ร่างกายจึงจะดึงไขมันมาใช้ ส่วนการเล่นเวทเทรนนิ่งจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มอัตราการเผาผลาญเมตาบอลิซึมได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ควรออกกำลังกายทั้งสองรูปแบบจึงจะสามารถกระตุ้นปฏิกิริยานี้ได้

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ 5 เคล็ดลับสำคัญที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานภายในร่างกาย จะเห็นได้ว่าแต่ละวิธีสามารถทำตามได้ง่ายๆ เพียงแต่อาจจะต้องอาศัยความมีวินัยในตัวเองมากขึ้น ดังนั้นสาวๆ คนไหนที่มีความสุขกับการกิน และไม่อยากกังวลกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาวิธีที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญในร่างกายมาปรับใช้กันค่ะ

แนะนำโดย : วาไรตี้ https://iloartworks.org/

30
ปกติแล้ว คุณใช้วิธีใดบ้างเมื่อต้องการจะลดหรือควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย? ลดอาหาร? ควบคุมแคลอรี่? งดอาหารที่ชอบ? และอีกสารพัดวิธีที่จะสรรหาทำ แต่หลายๆ คนกลับลืมนึกถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีไหน แต่ละวิธีที่คุณเลือกก็ล้วนเกี่ยวข้องกับ “ระบบเผาผลาญ” ของร่างกายคุณทั้งสิ้น

กระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกายนั้นมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกายหลายประการ หลักๆ คือ การเปลี่ยนอาหารที่คุณกินเข้าไปให้กลายเป็นพลังงาน และนำพลังงานนั้นไปใช้กับกิจกรรมที่คุณทำระหว่างวัน โดยพลังงานจะค่อยๆ เผาผลาญจนหมดไปกับกิจกรรมที่คุณทำนั่นเอง ถ้าระบบเผาผลาญของคุณทำงานเป็นปกติดี ร่างกายจะเผาผลาญพลังงาน (ได้ดี) แม้ในขณะที่กำลังนอนหลับ! แต่ถ้าระบบเผาผลาญคุณมีปัญหา ร่างกายคุณก็จะเผาผลาญพลังงานได้น้อยลงและช้าลง

ระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายเรานี้อาจเสื่อมลงได้โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่เมื่อระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติ จะเกิดสัญญาณเตือนต่อร่างกาย เช่น ผมร่วง ผิวแห้ง เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย และน้ำหนักขึ้น หรือมีปัญหาในการลดน้ำหนัก การทำงานที่ผิดปกติของระบบเผาผลาญเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด แต่เราสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารบางอย่าง เพื่อช่วยให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายดีขึ้น

Amy Goodson ผู้เขียนหนังสือ The Sports Nutrition Playbook นักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมอาหาร และ Lauren Harris-Pincus ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ NutritionStarringYOU.com ผู้เขียน The Everything Easy Pre-Diabetes Cookbook อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมน้ำหนักและภาวะก่อนเป็นเบาหวาน มีคำแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินที่แย่ๆ ที่สุด ที่จะทำให้ระบบเผาผลาญพังโดยไม่รู้ตัว ดังนี้

ได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ

โปรตีน เป็นสารอาหารประเภทหนึ่งที่สำคัญต่อระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย จากข้อมูลของ Nutrition & Metabolism พบว่า การบริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูง มีความสัมพันธ์โดยตรงกับอัตราการเผาผลาญที่ดีขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเราต้องให้ความสำคัญกับการบริโภคโปรตีนให้มาก ไม่ใช่แค่กินให้มาก แต่ให้กินให้เพียงพอ เราอาจจะต้องคำนวณปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมสำหรับร่างกายระหว่างมื้ออาหารกับของว่าง เพราะควรจะได้โปรตีนไปส่งเสริมการทำงานของระบบเผาผลาญ และเพื่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่สึกหรอของร่างกายด้วย

นักโภชนาการจึงแนะนำให้กำหนดปริมาณการรับโปรตีนสำหรับอาหารทุกมื้อ เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับโปรตีนเพียงพอตลอดทั้งวัน เช่น บริโภคโปรตีนอย่างน้อย 20-25 กรัม (3-4 ออนซ์) ต่อมื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมื้อเช้า

งดอาหารเช้า

หลายคนงดอาหารเช้าเป็นนิสัยไปแล้ว โดยอาจจะอ้างเหตุผลว่าไม่ว่างกินมื้อเช้า ไม่หิว แค่กาแฟแก้วเดียวก็พอ หรือบางคนกำลังพยายามควบคุมอาหาร ควบคุมแคลอรี่ จึงตัดสินใจงดอาหารมื้อแรกของวัน ไม่ว่าจะคุณจะอ้างเหตุผลอะไรก็ตาม คุณต้องคิดใหม่เดี๋ยวนี้ เพราะที่คุณคิดอยู่นั้นมันผิดมหันต์! คุณต้องคิดว่าการเผาผลาญก็คือไฟ แต่ไฟจะจุดติดได้อย่างไรถ้าไม่มีเชื้อเพลิง ซึ่งอาหารเช้านี่แหละคือเชื้อเพลิงสำหรับการเริ่มต้นการทำงานของระบบเผาผลาญ หากคุณต้องการปรับการทำงานของระบบเผาผลาญ คุณต้องเปลี่ยนกิจวัตรการกินอาหารเช้าของคุณ

ประโยชน์ของการกินมื้อเช้า ก็เพื่อจุดไฟให้กับระบบเผาผลาญได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ฉะนั้น จะดีมากถ้าคุณเลือกเชื้อเพลิงชั้นดีให้กับร่างกายตั้งแต่มื้อเช้า เช่น อาหารเช้าที่อุดมด้วยไฟเบอร์ โปรตีนไม่ติดมัน ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ และพวกผักผลไม้

กินมื้อดึก

ร่างกายคนเราต้องการอาหาร เพราะในอาหารมีพลังงานที่นำมาใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน การที่เรากินอาหารมื้อต่างๆ ในช่วงกลางวัน ก็เพื่อให้ร่างกายกระฉับกระเฉงมีแรงทำงานทำการ ซึ่งโดยปกติแล้ว ร่างกายจะคำนวณพลังงานที่ต้องการให้เหมาะสมกับกิจกรรมระหว่างวัน คนที่ทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก ก็ย่อมต้องการอาหารและพลังงานมากขึ้น เช่นเดียวกันกับเวลานอน ร่างกายไม่ได้จำเป็นต้องใช้พลังงานมากมายสำหรับการนอนหลับ เราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรับพลังงานหรือกินอาหารแคลอรี่สูงในช่วงที่ใกล้เข้านอน

ดังนั้น แค่พลังงานที่รับจากการกินอาหารในเวลากลางวันแล้วยังเผาผลาญไม่หมด หรืออาหารที่เรากินในมื้อเย็นก็เพียงพอสำหรับกิจกรรมการนอนแล้ว ขณะเดียวกัน ระบบย่อยอาหารก็จะทำงานช้าลงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการนอน ในคนที่งดอาหารเช้า กินมื้อระหว่างวันน้อย แต่มาเน้นหนักในมื้อเย็น ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานช่วงก่อนนอนมากเกินไป ซึ่งมันขัดกับการทำงานตามธรรมชาติของระบบย่อยอาหารที่ควรจะทำงานน้อยลงในขณะที่เรานอนหลับ ดังนั้น เพื่อให้ระบบเผาผลาญของเราทำงานสมดุลตามธรรมชาติ นักโภชนาการแนะนำให้กินมื้อเช้าที่บำรุงร่างกาย กินมื้อกลางวันเป็นมื้อใหญ่ ส่วนมื้อเย็นให้เป็นมื้อที่เล็กลง และงดมื้อดึก!

เมินอาหารที่มีไฟเบอร์

เราต่างรู้ดีว่าผักผลไม้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่หลายคนก็เลือกที่จะไม่กินเพราะรู้สึกว่ามันไม่อร่อย ผักและผลไม้เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์หรือใยอาหาร ซึ่งเป็นส่วนช่วยที่สำคัญในการดูแลระบบเผาผลาญของร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ กล่าวคือในกระบวนการย่อยอาหาร ไฟเบอร์จะเพิ่มอัตราและความสามารถในการเผาผลาญพลังงานให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ ไฟเบอร์ช่วยให้เราอิ่มท้องนาน จึงควบคุมระดับพลังงานได้ค่อนข้างคงที่ตลอดวัน ไม่เพียงเท่านั้น ไฟเบอร์ยังช่วยลดโอกาสเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็งด้วย

อดอาหารหรือควบคุมแคลอรี่ไม่ถูกวิธี

การจำกัดพลังงานจากอาหารหรือแคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวัน (กินให้น้อยกว่าที่ใช้) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่…ถ้าเราได้รับพลังงานน้อยเกินไป จะส่งผลให้ระบบเผาผลาญพังได้ พูดง่ายๆ ก็คือ การควบคุมแคลอรี่เป็นสิ่งสำคัญในการลดน้ำหนัก แต่ร่างกายเราก็จำเป็นต้องรับแคลอรี่เพื่อไปเผาผลาญแคลอรี่เช่นเดียวกัน หากเราได้รับแคลอรี่น้อยเกินไปมากๆ (อดอาหารหรือคุมแคลอรี่ไม่ถูกวิธี) ร่างกายจะเข้าใจว่าเรากำลังอยู่ในภาวะขาดแคลนอาหาร และจะชะลอการเผาผลาญเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอ

กินอาหารแปรรูปเป็นประจำ

การทำงานของระบบเผาผลาญของคนเรา จะขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารและประเภทของอาหารที่กินเข้าไป อย่างไรก็ดี นักโภชนาการกล่าวว่าอาหารแปรรูปทั้งหลายไม่ดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย เพราะอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูปเป็นอาหารที่ย่อยเร็ว ที่สำคัญคือไม่มีใยอาหาร ระบบเผาผลาญจึงทำงานได้ไม่เต็มที่ ฉะนั้น เราจึงควรจำกัดการบริโภคอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูปไม่ให้มากเกินไป ถ้าต้องการของว่าง หรือขนมมาเคี้ยวเล่น (ถ้าเลือกได้) แนะนำให้เลือกอาหารที่มีส่วนผสมของใยอาหาร เช่น ธัญพืชเต็มเมล็ด ถั่ว หรือผลไม้จะดีกว่า

แนะนำโดย : วาไรตี้ https://hermes-events.org/

31
ทุกคนรู้ดีว่าการจะมีสุขภาพที่ดีได้นั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากพฤติกรรมสุขภาพของตัวเราเองนี่แหละ โดยเฉพาะพฤติกรรมการกินอาหาร เพราะจริงๆ เราก็รู้ว่าอาหารอะไรที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งเราก็เป็นคนเลือกเองว่าจะกินหรือไม่กิน เช่น ถ้าเมนูไม่ถูกใจ รสชาติไม่ถูกปาก เราก็ไม่กินทั้งๆ ที่รู้ว่ามีประโยชน์ ในขณะเดียวกัน หากเป็นเมนูโปรด ต่อให้มันเป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ถึงจะถูกเรียกว่า “อาหารขยะ” เราก็ไม่สนใจ ก็จะกินอยู่ดี

อย่างไรก็ดี สังคมปัจจุบันขับเคลื่อนด้วย “เทรนด์” ความนิยมใดๆ ก็ตามที่เป็นกระแส ย่อมทำให้เกิดความอยากรู้ อยากลอง อยากทันกระแส จะได้คุยกับคนอื่นรู้เรื่อง เทรนด์ในการกินอาหารก็เช่นกัน ในยุคนี้หลายๆ คนหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเองมากขึ้น นอกจากการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นการเผาผลาญพลังงานจากอาหารที่กินเข้าไป คนก็กลับไปมองที่ต้นทางตั้งแต่การกิน ว่าก็ต้องกินอะไรที่มันดีต่อสุขภาพด้วย ทำให้เทรนด์การกินอาหารบางอย่างที่เชื่อกันว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ กลายเป็นที่นิยมในชั่วข้ามคืนได้ไม่ยากเลย แม้ว่าบางคนจะลองกินเล่นๆ ตามเทรนด์ก็ตาม

ถึงกระนั้นในยุคนี้ คนไม่ได้แค่ใส่ใจแค่สุขภาพร่างกายที่ดีของตนเองจากการกินอาหารเท่านั้น พวกเขามีมุมมองที่กว้างขึ้น อย่างการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม พวกเขาเชื่อว่าหากมนุษย์ช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมจนเราได้ธรรมชาติที่ดีกลับมา มนุษย์ก็จะได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อยู่ในธรรมชาติที่ดี ซึ่งมันก็จะส่งผลกลับมาที่สุขภาพที่ดีของมนุษย์ด้วยเช่นกัน ฉะนั้น การเลือกกินอาหารของคนยุคนี้ จึงอาจไม่ได้กินเพราะมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีให้ตัวเองเท่านั้นอีกต่อไป แต่เป็นการเลือกทางที่ดีให้กับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และโลกด้วย

โปรตีนทางเลือกคืออะไร

“โปรตีนทางเลือก” คือ อาหารประเภทโปรตีนที่ไม่ได้มาจากกระบวนการปศุสัตว์ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เป็นการกินอาหารที่หลีกเลี่ยงโปรตีนจากสัตว์นั่นเอง โดยหันไปหาแหล่งอาหารอื่นที่ให้สารอาหารประเภทโปรตีนไม่ต่างกัน ทุกวันนี้ การสร้างอาหารโปรตีนทางเลือกหรือจากสิ่งมีชีวิตอื่นทดแทนในรูปแบบของเนื้อสัตว์เทียม มีความใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงๆ ทั้งรสชาติและเนื้อสัมผัส เนื่องจากพัฒนาการด้านเทคโนโลยีทางอาหาร มีส่วนช่วยให้คนหันมากินโปรตีนทดแทนนี้ได้ง่ายขึ้น เพราะมันแทบไม่ต่างจากเนื้อสัตว์เลย

โปรตีน เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพูดในแง่ของการดูแลสุขภาพ ในอดีต ส่วนใหญ่เราจะกินโปรตีนจากสัตว์ แม้ว่าจะมีพืชบางอย่างที่ให้โปรตีนสูงไม่ต่างกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารสชาติและเนื้อสัมผัสมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กินพืชก็คือกินผัก ไม่ได้มีใครคิดว่ามันมีสารอาหารประเภทโปรตีนสูง ต่อมาเมื่อแนวคิดเรื่องการทารุณกรรมสัตว์เริ่มแพร่หลาย หลายคนก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจบรรดาสัตว์ที่ต้องถูกฆ่าเพื่อนำมาเป็นอาหารของมนุษย์ จึงเริ่มมีการมองหาแหล่งอาหารโปรตีนอื่นที่น่าจะนำมาใช้ทดแทนการกินโปรตีนจากสัตว์ได้

โปรตีนทางเลือก หรือ Alternative Protein จึงเป็นวิถีการยึดหลักการบริโภคโปรตีนจากพืช หรือโปรตีนจากแหล่งอื่น ซึ่งก็รวมเอาการกินแบบมังสวิรัติเข้าไปด้วย อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าโปรตีนจากพืชนั้นอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับโปรตีนที่ได้จากสัตว์ แต่ทั้งโปรตีนจากพืชและโปรตีนจากสัตว์ต่างก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกันไป เช่น โปรตีนจากพืชจะไม่มีคอเลสเตอรอล ไม่ก่อให้เกิดโรค ขณะที่โปรตีนจากสัตว์บางประเภทมีคอเลสเตอรอลสูง สามารถก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้ แถมยังเป็นการทำร้ายสัตว์ด้วย

ดังนั้น เมื่อจะทำโปรตีนทดแทน จึงต้องมีการนำเอาความรู้ด้านเทคโนโลยีทางอาหารมาพัฒนาปรับปรุงให้โปรตีนที่ได้จากพืชสามารถให้ประโยชน์เทียบเท่ากับโปรตีนจากสัตว์

เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพของมนุษย์ และเพื่อสภาพแวดล้อมที่ดีของโลก

สำหรับประโยชน์ในด้านสุขภาพของมนุษย์ การกินอาหารที่เป็น “โปรตีนทางเลือก” เป็นวิถีสำหรับคนรักสุขภาพที่ไม่ต้องการกินเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องการโปรตีนในปริมาณที่ครบถ้วนในแต่ละวัน เพราะโปรตีนจากสัตว์นั้นจะมีปริมาณแคลอรี่ที่สูงกว่าพืช เนื้อสัตว์บางประเภทย่อยยากกว่า ต่างจากอาหารในกลุ่มโปรตีนทางเลือกที่จะใช้วัตถุดิบจากพืช (Plant-Based Protein) โปรตีนสูง และมีปริมาณแคลอรี่ที่ต่ำกว่าการกินเนื้อสัตว์ในปริมาณเท่ากัน อย่างการกินเฉพาะอาหารที่ทำมาจากพืชแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่โปรตีนสูงเทียบเท่าการกินเนื้อสัตว์

การกินอาหารโปรตีนทางเลือกจากพืช เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดาโปรตีนทางเลือก เนื่องจากดีต่อสุขภาพตรงที่เราเน้นกินผัก ผลไม้ และธัญพืชเป็นหลัก นำไปผ่านกระบวนการแปรรูปให้น้อยที่สุด เพื่อลดการใช้ทรัพยากรพลังงาน แต่ยังคงได้รับสารอาหารครบถ้วนทั้งจากโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อสุขภาพ อย่างไรก็ดี เทรนด์การกินอาหารโปรตีนทางเลือกจากพืช ณ เวลานี้แตกต่างไปเล็กน้อย เพราะมีความพยายามจะทำให้การกินพืชเหล่านั้นเหมือนกับการกินเนื้อสัตว์มากที่สุด

ส่วนประโยชน์ด้านสภาพแวดล้อมที่ดีของโลก เนื่องมาจากกระบวนการผลิตอาหารสร้างผลกระทบและความเสียหายให้กับสิ่งแวดล้อมค่อนข้างมาก เช่น กระบวนการผลิตอาหารและเกษตรกรรม มีผลต่อปริมาณแก๊สเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมา จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่ากระบวนการเหล่านี้ปล่อยแก๊สเรือนกระจกมากถึง 1 ใน 4 ของปริมาณแก๊สเรือนกระจกทั้งหมด การทำปศุสัตว์ ปล่อยแก๊สมีเทนเป็นจำนวนมาก จากกระบวนการย่อยอาหารและการขับถ่ายของสัตว์ ซึ่งจริงๆ แล้วแก๊สมีเทนทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกได้รุนแรงกว่าแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เสียอีก

ยังไม่หมดเท่านั้น การทำการเกษตรเพื่อนำผลผลิตไปใช้ในการเลี้ยงสัตว์ ก็ยังต้องอาศัยทรัพยากรน้ำและดินเป็นจำนวนมากเช่นกัน ดังนั้น คงจะดีไม่น้อยถ้าเราสามารถลดการใช้ทรัพยากรเหล่านี้ลง ในขณะที่ไม่ได้กระทบต่อการกินอาหารของคนเราเท่าไรนัก ก็จะถือเป็นการช่วยรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้อีกทางหนึ่ง

รวมถึงผู้บริโภคบางส่วนหันมาบริโภคโปรตีนทางเลือก เพราะตระหนักถึงความมั่นคงทางอาหารของโลกที่ลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดแคลนอาหารได้ในอนาคต การมองหาแหล่งโปรตีนอื่นๆ เพื่อมาทดแทน จึงมีส่วนช่วยให้ความมั่นคงทางอาหารมั่นคงกว่า ช่วยลดการเลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่ากินเนื้อลง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้โปรตีนทางเลือกจากธรรมชาติ จะกลายเป็น Future food หรืออาหารแห่งอนาคตในอีกไม่ช้า

โปรตีนทางเลือก มีแหล่งที่มาของการสร้างโปรตีนทดแทนจากอะไรบ้าง

ในปัจจุบัน มีแหล่งอาหารที่สามารถสร้างโปรตีนทดแทนได้จากหลายแหล่ง เช่น

โปรตีนจากพืช (Plant-based Protein) เป็นที่นิยมที่สุดในบรรดาโปรตีนทางเลือก เป็นการนำพืชโปรตีนสูง เช่น ถั่วเหลือง เห็ด ข้าวสาลีและธัญพืชต่างๆ มาแปรรูปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ผลิตให้ออกมามีลักษณะคล้ายกับเนื้อสัตว์มากที่สุด คือ มีเส้นใย มีกล้ามเนื้อ มีชั้นไขมันแทรกในชิ้นเนื้อ บางเทคโนโลยีมีการแต่งกลิ่นเลียนแบบเนื้อสัตว์เข้าไปด้วย ทำให้มีเนื้อสัมผัสและความชุ่มลิ้นคล้ายกับการกินเนื้อสัตว์จริงๆ

ถึงอย่างนั้น หากต้องการได้ประโยชน์สูงสุดจากโปรตีนจากพืช แนะนำให้กินแบบที่ผ่านกระบวนการผลิตน้อยที่สุดจะดีกว่า เช่น ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี (ข้าวกล้อง ลูกเดือย) เน้นการกินพืชมีหัว (มันเทศ มันฝรั่ง เผือก) ผักสามารถกินได้ทุกชนิด แต่ควรเลือกให้หลากหลาย เพื่อให้ได้ทั้งวิตามินและแร่ธาตุ ส่วนผลไม้หลีกเลี่ยงที่มีรสชาติหวานหรือมีน้ำตาลสูง แต่โปรตีนจากพืชที่ผ่านกระบวนการผลิตให้เหมือนเนื้อสัตว์ก็ไม่ได้แย่ เพราะทำให้ง่ายต่อการกินสำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบกินพืชผัก เพียงแต่ประโยชน์อาจจะถูกลดทอนหรือมีสารปรุงแต่งเข้ามาเพิ่มเติม

โปรตีนจากสาหร่าย (Algae-based Protein) สาหร่ายเป็นหนึ่งในแหล่งโปรตีนทดแทนที่ให้ปริมาณโปรตีนสูงสาหร่ายที่นิยมนำมาผลิตเป็นเนื้อสัตว์เทียม เช่น สาหร่ายทะเล แพลงตอนพืช สามารถนำมาเป็นส่วนผสมในการผลิตเนื้อเทียม นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ จึงมีการนำสาหร่ายมาสกัดเพื่อเป็นอาหารเสริมอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดอาหารเพื่อสุขภาพมานานแล้ว

โปรตีนจากแมลง (Insect-based Protein) เป็นโปรตีนทดแทนที่สกัดมาจากแมลงที่มีโปรตีนสูง เช่น ตั๊กแตน ตัวอ่อนด้วง จิ้งหรีด แมลงหลายชนิดมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะโปรตีนจากแมลงมีปริมาณโปรตีนสูงมาก (อาจสูงกว่าโปรตีนจากสัตว์บางชนิดด้วยซ้ำ) หากนำแมลงมาแปรรูปให้อยู่ในรูปของโปรตีนผง โปรตีนผงปริมาณ 100 กรัม จะให้โปรตีนสูงถึง 70-80 กรัม ในขณะที่เนื้อสัตว์ อาจให้โปรตีนที่ 30-40 กรัมเท่านั้น นอกจากนี้ผงโปรตีนแปรรูปจากแมลงยังอาจมีสารอาหารอื่นๆ

โปรตีนจากเชื้อราหรือจุลินทรีย์ที่เกิดตามธรรมชาติ เรียกว่า มัยคอโปรตีน (Mycoprotein) พอเอ่ยถึงเชื้อราหรือจุลินทรีย์อาจทำให้หลายคนร้องยี้ ถึงอย่างนั้นต้องไม่ลืมว่าโยเกิร์ตหรือชีสที่เรากินกันอย่างเอร็ดอร่อยนั้นก็ได้จากการหมักบ่มลักษณะนี้เช่นกัน โดยโปรตีนชนิดนี้จะได้จากการการหมักบ่มจุลินทรีย์เกรดอาหารซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่กินได้ จากนั้นนำไปผ่านกระบวนการเพาะเลี้ยงให้ได้เส้นใยที่คล้ายกล้ามเนื้อของสัตว์ ก่อนจะนำมาขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อทั้งแบบเนื้อบดและเนื้อชิ้น เมื่อออกมาจะได้มัยคอโปรตีนที่เหมือนกับเนื้อสัตว์จริงๆ มากทีเดียว

เนื้อที่ถูกพัฒนาขึ้นจากเซลล์ของสัตว์ (Lab-grown หรือ Cultured meat) เนื้อเทียมที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเพาะเซลล์ให้โตจากห้องปฏิบัติการ เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้นในการผลิตเนื้อสัตว์เทียมให้เหมือนกับเนื้อสัตว์จริงมากขึ้นไปอีก โดยมันเป็นเนื้อที่ถูกพัฒนาขึ้นจากเซลล์ของสัตว์จริงๆ จึงได้เป็นเนื้อที่มีไขมัน กล้ามเนื้อ และเนื้อแดงของสัตว์ ความต่างคือไม่ได้มาจากการเลี้ยงและฆ่าสัตว์ด้วยวิธีเดิม ซึ่งเนื้อเทียมรูปแบบนี้ต้นทุนการผลิตยังสูงมากในปัจจุบัน

ตลาดโปรตีนทางเลือก เป็นที่นิยมมากแค่ไหน

จากความนิยมโปรตีนทางเลือกที่เพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดโปรตีนทางเลือกเป็นที่นิยมมากขึ้น และเริ่มมีการแข่งขันกันคึกคักด้วย โดย ศูนย์วิจัยกสิกร ประเมินว่าในปี 2021 นี้ ตลาดโปรตีนทางเลือกในไทยที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ น่าจะมีมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 8 เปอร์เซ็นต์ต่อปีใน 3 ปีข้างหน้า

ขณะที่ KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ก็ประเมินว่าขนาดของตลาดโปรตีนทางเลือก จะเติบโตขึ้นเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของการบริโภคโปรตีนทั้งหมดในตลาดโลก ภายในปี 2050 ซึ่งคิดเป็นโอกาสทางธุรกิจมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับอุตสาหกรรมโปรตีนรูปแบบใหม่นี้

เพราะแรงขับเคลื่อนหลักๆ ที่ทำให้ตลาดโปรตีนทางเลือกเติบโตขึ้นมากในหมู่ผู้บริโภคทั่วโลก ก็มาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ตื่นตัวกับกระแสรักสุขภาพ โดยเฉพาะคนวัยหนุ่มสาว วัยทำงาน วัยผู้ใหญ่ ที่กังวลต่ออันตรายจากการบริโภคเนื้อสัตว์ เช่น การปนเปื้อน รวมถึงโรคในสัตว์ การรักษาหุ่น และปัญหาการบริโภคเนื้อสัตว์ จึงต้องเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การตระหนักถึงการบริโภคที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทารุณกรรมสัตว์ รวมถึงความกังวลต่อปัญหาความมั่นคงทางอาหารเนื่องจากจำนวนประชากรโลกสูงขึ้น

อรรถรสในการกินอาจไม่เหมือนแต่ถ้าไม่ซีเรียสก็ไม่แย่

ปัจจุบันอาหารที่เป็นโปรตีนทางเลือกถูกพัฒนาให้ดูน่ากินมากยิ่งขึ้น โดยมักจะมาในรูปแบบที่มีความใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงๆ มากที่สุด สามารถนำไปประกอบอาหารได้แบบเดียวกับเนื้อสัตว์และได้โปรตีนไม่ต่างกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนก็คิดว่ามันแทนกันไม่ได้อยู่ดี การกินเนื้อสัตว์ปลอมที่ทำจากพืชไม่อาจทำให้การกินเนื้อหมู เนื้อไก่เหมือนการกินเนื้อสัตว์จริงๆ ถึงจะพัฒนาให้เหมือนมาก มันก็ไม่ใช่อยู่ดี และก็แยกออกด้วยว่าไม่ใช่เนื้อสัตว์จริงๆ

อย่างไรก็ดี เรื่องของโปรตีนทางเลือกนี้ มันก็เป็นแค่ “ทางเลือก” หนึ่งของคนที่ต้องการจะลด ละ เลิกเนื้อสัตว์ เพียงแต่อยากให้คงสภาพคล้ายเนื้อสัตว์ไว้ เพราะมันคงยากกว่าถ้าให้หันไปกินโปรตีนจากพืชโดยตรงทันที เพราะฉะนั้น หากใครไม่สะดวกใจ หรือคิดว่าอย่างไรการกินพืชที่ทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ก็ไม่ใช่อยู่ดี หรือลองแล้วรู้สึกไม่ชอบก็ไม่ว่ากัน แน่นอนว่ามันคงไม่ได้ถูกปากทุกคน ใครที่อยากกินเนื้อสัตว์จริงๆ ก็ยังหากินได้ มันไม่ได้ถูกแทนที่ไปหมดแล้ว



แนะนำโดย : วาไรตี้ https://writing-paper.net/

หน้า: [1]