ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - แบม

หน้า: [1]
1


ปัจจุบันนวัตกรรมในงานก่อสร้างโรงงาน ได้ถูกพัฒนาจนกลายเป็น “โรงงานสำเร็จรูป” ที่ช่วยลดขั้นตอนของการก่อสร้างให้เร็วมากยิ่งขึ้น วันนี้ V.K.B จะมาเปรียบเทียบระหว่าง ‘โรงงานสำเร็จรูปหรือสร้างโรงงาน’ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนคุ้มค่าต่อการลงทุนมากกว่ากัน
 

โรงงานสำเร็จรูปคืออะไร ?


การก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูป ต้องออกแบบโครงสร้างหลัก ตั้งแต่คาน, เสา และโครงหลังคา จากนั้นบริษัทที่รับก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูป ก็จะเริ่มทำการผลิตโครงสร้าง และนำวัสดุไปติดตั้งหน้างาน ซึ่งลักษณะของโรงงานจะมีความโปร่งและค่อนข้างกว้าง

ข้อดี
  • ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ราคาของโรงงานสำเร็จรูปถือว่าประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะถูกกำหนดเงื่อนไขการก่อสร้างในหลายด้าน
  • ก่อสร้างเสร็จเร็วมากขึ้น มีการก่อสร้างที่สะดวกและรวดเร็ว เนื่องจากมีรายละเอียดของอาคารน้อยกว่ารูปแบบของโรงงานที่ก่อสร้างตามปกติ

ข้อเสีย
  • ข้อจำกัดของการออกแบบ การออกแบบให้ตอบโจทย์กับการใช้งาน ค่อนข้างมีข้อจำกัด เพราะโรงงานสำเร็จรูปมักจะมีการออกแบบที่เรียบง่ายต่อการก่อสร้าง
  • ผู้ติดตั้งต้องมีความเชี่ยวชาญ ต้องมีการขึ้นโครงสร้างในรูปแบบ PEB ที่มีการติดตั้งโครงสร้างหลักก่อน ซึ่งขั้นตอนค่อนข้างละเอียดอ่อน จำเป็นต้องใช้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ

ความแตกต่างระหว่าง โรงงานสำเร็จรูป กับ สร้างโรงงาน
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง “โรงงานสำเร็จรูป กับ สร้างโรงงาน” โรงงานรูปแบบใดจะตอบโจทย์การใช้งานสำหรับคุณมากที่สุด

โครงสร้างของโรงงาน


โครงสร้างมีหน้าที่ในการรองรับน้ำหนักทั้งหมดของตัวอาคาร จึงทำให้โครงต้องมีความแข็งแรง ซึ่งวิธีในการทำโครงสร้างของโรงงานทั้ง 2 แบบ มีดังนี้

โรงงานสำเร็จรูป
นิยมใช้วิธี PEB (Pre-Engineered Building) เป็นโครงสร้างที่มีความละเอียดในการออกแบบ เพราะการนำไปประกอบจะต้องมีรอยต่อที่ลงตัว เพื่อช่วยลดระยะเวลาในการทำงาน แต่วิธีในการติดตั้งโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูปจะต้องมีมาตรฐาน และต้องคอยดูแลข้อต่อที่ยึดสกรูไม่ให้เกิดการกัดกร่อน ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับใครที่มีงบประมาณจำกัด และอยากให้การก่อสร้างเสร็จไวที่สุด
สร้างโรงงาน
การสร้างโรงงานจะมีความยืดหยุ่นในการออกแบบ โดยเราสามารถทำการจัดสรรพื้นที่ได้ตามความต้องการ การเลือกใช้โครงสร้างจะขึ้นอยู่กับผู้ออกแบบ ว่าจะเลือกใช้โครงสร้างใดระหว่าง PEB (Pre-Engineered Building) การเชื่อมต่อโครงเหล็กด้วยวิธียิงสกูล หรือ Conventional Steel Building การเชื่อมต่อโครงเหล็กด้วยความร้อน
 
งบประมาณ


  • โรงงานสำเร็จรูป มีการคิดราคาแบบเบื้องต้น คือ ราคาต่อตารางเมตร การติดตั้งโครงสร้าง ทำฐานราก และวางระบบไฟฟ้า ซึ่งจะมีการคิดแยกกันในแต่ละส่วน หลังจากนั้นก็นำราคาทั้งหมดมารวมกันเป็นราคาสุทธิ
  • สร้างโรงงาน จะมีขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนกว่า สามารถพูดคุยกับทางผู้รับเหมาได้ เพื่อทำการประเมินราคาแบบเบื้องต้น

การออกแบบ


โรงงานแต่ละประเภท จะมีวัตถุประสงค์ของการทำงานแตกต่างกัน ซึ่งแต่ละโรงงานก็จะมีการจัดวางพื้นที่ให้เหมาะสมกับเครื่องจักร และคนงาน แต่ถ้าหากเป็นโรงงานจัดเก็บสินค้า หรือ โกดังสินค้า การออกแบบภายในจะเน้นให้มีพื้นที่โล่ง

ซึ่งเบื้องหลังการออกแบบโรงงานสำเร็จรูป มีรายละเอียดมากกว่าการก่อสร้างโรงงานปกติ เพราะสถาปนิกและวิศวกรต้องใช้เวลาในการจัดวางชิ้นส่วนต่างๆ ให้ลงตัวกับโครงสร้าง เพื่อการนำไปติดตั้งหน้างานได้อย่างสะดวก แต่ทั้งนี้ก็มีข้อจำกัดในการออกแบบ เพราะไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ให้เป็นไปตามแบบที่คุณต้องการได้ทั้งหมด

ส่วนการออกแบบสร้างโรงงานแบบปกติ สถาปนิกสามารถออกแบบให้ตอบโจทย์กับความต้องการของคุณได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาในการออกแบบเพื่อให้ถูกต้องตามมาตรฐาน และกฎหมาย จากนั้นจึงนำแบบแปลนไปปรึกษารู้รับเหมาเพื่อประเมินราคา
 
การก่อสร้าง



การก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูป

หากมีการยินยอมในการก่อสร้าง ทางบริษัทรับเหมาก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการทันที โดยใช้ระยะเวลาในการสร้างเพียงแค่ไม่กี่เดือน เพราะบางกระบวนการ ช่วยลดระยะเวลาของการทำงานได้ อย่างเช่น เริ่มเตรียมโครงสร้างก่อนนำไปติดตั้งที่หน้างาน ซึ่งระหว่างนั้นต้องมีวิศวกรช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัย
การก่อสร้างโรงงาน
การก่อสร้างโรงงานในลักษณะที่ขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน  ส่งผลให้ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างนานกว่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบของอาคาร แต่ถ้าเทียบกับระยะเวลาที่รอคอยก็ถือว่าคุ้มค่า
 

โรงงานแบบไหนคุ้มค่ากับคุณมากที่สุด?
ความคุ้มค่าของการสร้างโรงงานขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น งบประมาณ หรือระยะเวลาในการก่อสร้าง ถ้าต้องการโรงงานที่ประหยัดงบ ควรเลือก ‘โรงงานสำเร็จรูป’
แต่ถ้าผู้ประกอบการไม่มีข้อจำกัดเรื่องของงบประมาณ อยากเน้นการออกแบบให้ตรงกับการใช้งาน  ‘การสร้างโรงงาน’ ตอบโจทย์สำหรับคุณ ถึงแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายมากกว่า แต่ก็ทำให้คุณสามารถระบุสิ่งที่ต้องการได้
 
 
สร้างโรงงานให้ได้คุณภาพ ต้องที่ V.K.B

V.K.B  เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี มีการออกแบบ ก่อสร้าง และให้คำแนะนำ หรือบริหารโครงการ จากทีมที่เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่างานที่ออกมาจะเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ และ มีคุณภาพ
งานก่อสร้าง สามารถไว้ใจได้ด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsource ที่มีคุณภาพ พร้อมให้บริการคุณได้อย่างเต็มที่

  • งานก่อสร้าง สามารถไว้ใจได้ด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsource ที่มีคุณภาพ พร้อมให้บริการคุณได้อย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่จะช่วยให้การออกแบบได้ตอบโจทย์ตามสไตล์ที่ทันสมัยของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และบริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบได้อีกด้วย

 

สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 081-735-6625 , 097-445-4146 , 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com

2


สำหรับใครที่อยากจะสร้างโรงงานขนาดเล็ก แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มอย่างไร วันนี้ V.K.B จะพาคุณมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ความสำคัญของโรงงานที่ได้มาตรฐาน เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ประกอบการที่เริ่มต้นสร้างโรงงาน
 
สามารถอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ อยาก ออกแบบโรงงานขนาดเล็ก ต้องเริ่มอย่างไร?

โรงงานที่มีประสิทธิภาพควรให้ความสำคัญเรื่องใดบ้าง?


ภายในโรงงานนอกจากจะต้องมีการออกแบบที่ตรงตามมาตรฐานแล้ว ยังต้องมีการวางแผนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อช่วยสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจ ดังนี้

  • ผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน โรงงานที่ได้รับมาตรฐาน ต้องมีการจัดวางเครื่องจักรให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพราะจะช่วยอำนวยความสะดวกในการผลิตสินค้า
  • ลดต้นทุนของสินค้า ช่วยให้คุณสามารถควบคุมวัตถุดิบ และลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นระหว่างการผลิต ไม่ทำให้ต้นทุนของสินค้าเพิ่มขึ้น
  • ทำงานสะดวกมากขึ้น การออกแบบเพื่อจัดแบ่งพื้นที่ภายใน ให้เหมาะสมกับขั้นตอนการผลิต จะช่วยให้การทำงานผ่านไปได้อย่างราบรื่น

การ ออกแบบโรงงานขนาดเล็ก ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
ผู้ประกอบการต้องทำตามกฎหมาย พ.ร.บ โรงงาน ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมไม่ให้พนักงาน, บุคคลที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียง และสิ่งแวดล้อมได้รับผลกระทบ
 
รู้จักกับประเภทของโรงงานที่แบ่งตามกฎหมาย


โรงงานแต่ละขนาดจะมีการจัดประเภท เพื่อกำหนดว่าโรงงานของคุณจัดอยู่ในขั้นตอนที่ต้องดำเนินเรื่องขอใบอนุญาตหรือไม่ โดยจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ

  • ประเภทที่1 เป็นโรงงานที่มีเครื่องจักรไม่เกิน 20 แรงม้า และมีพนักงานไม่ถึง 20 คน ถือว่าไม่ได้เป็นโรงงานตามที่กฎหมายได้กำหนดเอาไว้
  • ประเภทที่2 เมื่อไหร่ที่เริ่มดำเนินการก่อสร้างไม่ต้องขอใบอนุญาต แต่ต้องทำการจ่ายค่าธรรมเนียมรายปี โดยมีเครื่องจักรเกิน 75 แรงม้า และมีพนักงานไม่เกิน 75 คน ซึ่งโรงงานจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • ประเภทที่3 เป็นประเภทที่ต้องมีการขอใบอนุญาตก่อสร้างโรงงาน (ร.ง.3) และยื่นเอกสารในการประกอบกิจการ (ร.ง.4 ) เพราะต้องมีการควบคุมมลพิษที่จะเกิดขึ้น


จัดสรรเงินทุนที่ใช้ในการก่อสร้าง


  • ที่ดิน ควรศึกษาว่าพื้นที่ตั้งโรงงานเป็นแบบเช่าหรือซื้อ เพื่อจะได้คำนวณหาค่าใช้จ่ายว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่
  • จ้างผู้ออกแบบ ผู้ออกแบบจะมีใบวิชาชีพเฉพาะ เพื่อเอาไว้รับรองในกรณีที่ขออนุญาตและทำให้คุณได้รับแบบที่ถูกต้องตามมาตรฐาน
  • จ้างผู้รับเหมา จะเข้าสู่ขั้นตอนในการสร้างโรงงานที่ผู้รับเหมาเป็นฝ่ายรับผิดชอบ มีการประเมินค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าวัสดุกับค่าแรง

การจัดวางระบบที่ไม่ควรลืม


เมื่อรู้วิธีการจัดสรรพื้นที่ของโรงงานแล้ว สิ่งต่อมาคือ การจัดวางระบบไฟฟ้า, ระบบน้ำ และระบบระบายอากาศ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องจักร และพนักงานให้ดียิ่งขึ้น 
 
การวางผังโรงงาน

การวางผังโรงงาน (Plant Layout) มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการ “ออกแบบโรงงานขนาดเล็ก” เพราะการจัดวางพื้นที่ต่างๆ ให้ลงตัวกับการทำงาน จะส่งผลให้การผลิตมีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน และเกิดประโยชน์สูงสุด

  • มีสภาพแวดล้อมที่ดี การวางผังที่ดีจะช่วยจัดการกับสิ่งรบกวน แถมยังถูกสุขลักษณะกับพนักงาน
  • ใช้พื้นที่ให้เกิดความคุ้มค่า การจัดวางพื้นที่ทั้งหมดให้มีความลงตัว จะช่วยให้การทำงานสะดวกและราบรื่น
  • ทำงานได้มีประสิทธิภาพ การทำงานของพนักงานจะสามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม และลดระยะเวลาในการทำงาน จากการจัดพื้นที่ให้มีความลงตัว
  • ลดอุบัติเหตุ หากมีการจัดวางเครื่องจักรให้อยู่ในระยะห่างที่เหมาะสม จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงได้

 
 
ออกแบบโรงงานที่ได้มาตรฐาน ต้องที่ V.K.B.!!
V.K.B เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่ให้บริการมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี มีทีมผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ สามารถให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านการก่อสร้างทุกรูปแบบ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ให้บริการตั้งแต่การก่อสร้าง ออกแบบ ให้คำปรึกษาในการบริหารโครงการ โดยที่ดูแลคุณตั้งแต่ต้น จนถึงวันที่ส่งมอบงาน จึงทำให้เป็นบริษัทที่ได้รับความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจจากลูกค้า ควบคู่กับหนังสือรับรองผลงานจากผู้ว่าจ้าง ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่า ผลงานที่สร้างออกมาเป็นไปตามความต้องการของลูกค้าอย่างแน่นอน
 
 
 
สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 081-735-6625 , 097-445-4146 , 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com

3


“สร้างบ้านต้องตอกเสาเข็มไหม?” เป็นอีกหนึ่งคำถามสำหรับคนที่กำลังจะสร้างบ้านใหม่เกิดข้อสงสัยกัน วันนี้ V.K.B จึงอยากจะพาคุณมาทำความรู้จักกับเสาเข็มให้มากยิ่งขึ้นว่า เสาเข็มมีทั้งหมดกี่แบบ และพื้นที่แบบใดไม่ต้องติดตั้งเสาเข็มก็ได้ ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านบทความนี้กันเลย!
 

อยากสร้างบ้านต้องเริ่มอย่างไร?


สำหรับใครที่อยากจะสร้างบ้าน เพื่อให้ตอบโจทย์กับการอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น สามารถเริ่มต้นได้ด้วยวิธีดังนี้

  • ตั้งงบประมาณในการก่อสร้าง การตั้งงบประมาณจะเป็นการป้องกัน ไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงเกินไป จนสร้างความเดือดร้อนให้กับเราในอนาคต
  • ระบุความต้องการ บ้านจะต้องตอบโจทย์กับผู้อยู่อาศัย เช่น จำนวนสมาชิกมีกี่คน, ห้องครัว, ห้องรับประทานอาหาร กับ ห้องรับแขกควรใหญ่ขนาดไหน และห้องนอนกับห้องน้ำควรมีจำนวนกี่ห้อง เป็นต้น
  • หาข้อมูลเกี่ยวกับแบบบ้านที่ต้องการ คุณสามารถค้นหาแบบบ้านทางอินเทอร์เน็ตได้ ว่าต้องการให้ดีไซน์เป็นไปในทิศทางใด แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นไปปรึกษากับสถาปนิก ทำให้ฟังก์ชันการใช้งานของตัวบ้าน ตอบโจทย์การอยู่อาศัยมากที่สุด
  • ติดต่อผู้รับเหมาก่อสร้าง ต้องทำเรื่องติดต่อผู้รับเหมาให้ทำการประเมินพื้นที่หน้างาน ว่าควรใช้เสาเข็มแบบใด เพื่อให้บ้านตรงตามแบบที่ต้องการ โดยที่บ้านของเรามีความแข็งแรงและปลอดภัย

สร้างบ้านต้องตอกเสาเข็มไหม และต้องใช้แบบไหน?


เสาเข็ม คือ วัสดุก่อสร้างที่มีความสำคัญในการช่วยรองรับน้ำหนักของตัวบ้าน และกระจายน้ำหนักเหล่านั้นลงสู่พื้นดิน เพื่อทำให้โครงสร้างมีความแข็งแรง ซึ่งเสาเข็มมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ

  • เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง (Prestressed Concrete Pile) เป็นเสาเข็มคอนกรีตสำเร็จรูป โดยทำจากปูนซีเมนต์ที่สามารถแข็งตัวได้อย่างรวดเร็ว ควบคู่กับโครงเหล็กอัดแรงสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับน้ำหนัก
  • เสาเข็มเจาะ (Bored Pile) ใช้กับสิ่งปลูกสร้างหรืออาคารที่มีพื้นที่อย่างจำกัด เพราะไม่ต้องการให้เกิดแรงสั่นสะเทือนต่อพื้นที่ใกล้เคียงมากที่สุด
  • เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง (Prestressed Concrete Spun Pile) ใช้กับประเภทอาคารที่มีความสูง เพราะคอนกรีตอัดแรงมีความหนาแน่นสูงมากกว่าคอนกรีตหล่อทั่วไป ทำให้ช่วยรองรับน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม

>>อ่านบทความ เสาเข็ม มีกี่ประเภท? เพิ่มเติมได้ที่นี่<<

พื้นที่แบบใดที่ไม่ต้องใช้เสาเข็มมารองรับ


‘ฐานราก’ มีหน้าที่ในการรองรับน้ำหนักทั้งหมดของสิ่งปลูกสร้าง โดยลักษณะฐานรากจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ

  • ฐานรากตื้น (Shallow Foundation) เป็นรากฐานที่ไม่ต้องมีเสาเข็มมาช่วยรองรับน้ำหนัก เพราะเนื้อดินในบริเวณที่ก่อสร้างมีความหนาแน่น และแข็งแรงเพียงพอต่อการรองรับน้ำหนัก
  • ฐานรากลึก (Deep Foundation) ต้องมีการตอกเสาเข็ม เพราะเนื้อดินมีความหนาแน่นต่ำ ทำให้มีโอกาสที่ดินจะเคลื่อนตัวได้ง่าย การตอกเสาเข็มจะช่วยให้ฐานรากถ่ายน้ำหนักลงดินได้ง่ายมากขึ้น

ราคาของเสาเข็ม


การติดตั้งเสาเข็มเป็นงานที่ละเอียดอ่อน เพราะเกี่ยวกับความแข็งแรงของสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งการลงเสาเข็มจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบคือ

  • เสาเข็มแบบตอก นำเสาเข็มสำเร็จรูปมาตอกลงไปในดิน โดยกระบวนการในการลงเสาเข็มไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยาก จึงทำให้มีราคาที่ถูกกว่าแบบเจาะ
  • เสาเข็มแบบเจาะ มีกระบวนการลงเสาเข็มที่ซับซ้อนมากกว่า เพราะจะต้องเริ่มจากการเจาะดินก่อนแล้วถึงจะหล่อเสาขึ้นมา ทำให้มีราคาที่สูงมากกว่าแบบตอก
สรุปแล้วการสร้างบ้านจำเป็นต้องตอกเสาเข็มหรือไม่?
เสาเข็มเป็นสิ่งสำคัญกับโครงสร้างบ้าน ซึ่งการเลือกใช้เสาเข็มจะขึ้นอยู่กับสภาพของดินในพื้นที่ โดยอาคารที่มีการใช้เสาเข็มจะช่วยป้องกันการทรุดตัวของโครงสร้างบ้าน ไม่ให้เกิดการพังถล่มลงมา
 
 
อยากจะสร้างบ้านที่ได้มาตรฐาน ต้องที่ V.K.B

V.K.B  เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี มีการออกแบบ ก่อสร้าง และให้คำแนะนำ หรือบริหารโครงการ จากทีมที่เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่างานที่ออกมาจะเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ และ มีคุณภาพ

  • งานก่อสร้าง สามารถไว้ใจได้ด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsource ที่มีคุณภาพ พร้อมให้บริการคุณได้อย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่จะช่วยให้การออกแบบได้ตอบโจทย์ตามสไตล์ที่ทันสมัยของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และบริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบได้อีกด้วย

 

สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 081-735-6625 , 097-445-4146 , 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com

4







อลูมิเนียมคอมโพสิตยี่ห้อไหนดี คำถามที่เชื่อว่าช่างมือใหม่หลายคน ก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่าก่อนที่เราจะลงทุนตกแต่งอาคารหรือโรงงานสักหลัง ควรมีจุดสังเกตหรือข้อแตกต่างอะไรบ้างในการเลือก อลูมิเนียมคอมโพสิตที่ดีควรมีลักษณะเป็นแบบไหน? แล้วเราจะมีวิธีการเลือกอลูมิเนียมคอมโพสิต อย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งาน

นิยามจุดเด่นของแผ่นอลูมิเนียมคอมโพสิต (Aluminum Composite) หรือแคลดดิ้ง (Cladding) คือ ความแข็งแรงและความสวยงาม ที่มาควบคู่กับ น้ำหนักเบา คือ นวัตกรรมการออกแบบโครงสร้าง และสถาปัตยกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ทั้งภายในและภายนอกอาคาร แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับอลูมิเนียมคอมโพสิต เพิ่มเติมกันก่อนดีกว่า
 
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ อลูมิเนียมคอมโพสิตยี่ห้อไหนดี ที่คุณไม่ควรพลาด

อลูมิเนียมคอมโพสิต คืออะไร? ทำไมอาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่นิยมใช้


อลูมิเนียมคอมโพสิต เป็นวัสดุโครงสร้างผนังเบา ส่วนมากการผลิตอลูมิเนียมคอมโพสิต จะมีลักษณะภายนอกเคลือบด้วยวัสดุที่มีความแข็งแรง ทนทาน แต่ไส้ในจะมีความยืดหยุ่น สามารถออกแบบได้ง่าย วิธีการเลือกต้องคำนึงถึงรูปแบบของวัสดุแกนกลาง

โดยแบ่งไส้กลางตามการใช้งานได้ 2 ประเภท คือ ไส้กลางแบบ Polyethylene (PE) หรือไส้กลางแบบ Fire Resistant (Fr)

อลูมิเนียมคอมโพสิต แบบไส้กลาง PE

นิยมใช้กับงานภายนอกอาคารที่ต้องการความสวยงาม เนื่องจาก Polyethylene เป็นสารที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับงานแสดงสินค้านอกอาคาร หรือป้ายโฆษณาต่างๆ เป็นต้น

อลูมิเนียมคอมโพสิต แบบไส้กลาง FR

นิยมใช้กับงานภายในอาคาร มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ป้องกันการติดไฟ มีความยืดหยุ่นและแข็งแรงกว่า แต่ก็ต้องแลกมากับราคาที่สูงกว่าเล็กน้อย เหมาะสำหรับงานตกแต่งภายในอาคาร ที่ต้องการความแข็งแรง และปลอดภัยมากเป็นพิเศษ เช่น โกดังเก็บสินค้า หรือโรงงาน เป็นต้น
 

อลูมิเนียมคอมโพสิตยี่ห้อไหนดี กว่ากัน แค่ความแข็งแรงอย่างเดียวจะพอไหม

แผ่นอลูมิเนียมคอมโพสิตที่ได้มาตรฐาน จะมีคุณสมบัติทนต่อแรงเสียดทาน และการโค้งงอ จึงไม่แปลกที่วัสดุชนิดนี้ กลายมาเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติพิเศษต่อไปนี้

1.มีความแข็งแรง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานหลาย 10 ปี
2.ราคาไม่สูง และใช้เวลาติดตั้งที่ไม่นาน
3.มีน้ำหนักเบา ช่วยลดภาระในการรับน้ำหนักของโครงสร้าง ได้เป็นอย่างดี
4.ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ  พร้อมตอบโจทย์การใช้งานทั้งภายนอกและภายใน
5.มีการวัสดุเคลือบสารชนิดพิเศษ ป้องกันการเกิดสนิม และเชื้อราได้เป็นอย่างดี
6.เป็นวัสดุที่มีความสวยงาม มีสีให้เลือกใช้งานที่หลากหลาย
7.อลูมิเนียมคอมโพสิต มีความยืดหยุ่นสูง สามารถนำไปใช้กับงานได้หลายประเภท
8.มีส่วนผสมของสาร ที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อน และไม่ติดไฟ
9.ป้องกันเสียง และรองรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี
 
ควรตรวจสอบมาตรฐานและคุณภาพก่อนคิดว่าจะเลือกซื้ออลูมิเนียมคอมโพสิตยี่ห้อไหนดี
1. เลือกใช้เกรด Aluminum Series ที่ทนทาน เช่น 3105 H16
2. ขอตรวจสอบใบ Certificate ของสินค้าที่ได้รับการรับประกันคุณภาพสากล ISO-9002
3. ทดสอบความแข็งแรง ด้วยการเจาะร่องหน้าพื้นผิวสินค้า
4. มาตรฐานความหนาของอลูมิเนียมคอมโพสิต นิยมใช้ที่ 4 มม.
5.สามารถใช้สารบิวทาโนน ในการตรวจสอบพื้นผิวชั้นในของอลูมิเนียมคอมโพสิตได้ เทคนิคดูแลรักษา อลูมิเนียมคอมโพสิต ให้เหมือนใหม่อยู่เสมอ


ข้อแนะนำในการดูแลรักษา
1. ควรใช้ผ้าสะอาดชุดน้ำเช็ดเบาๆ ไปในทิศทางเดียวกัน
2. ทำความสะอาดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อคงความสวยงามของแผ่นอลูมิเนียม
3. ควรใช้น้ำเย็นในการกำจัดคราบสิ่งสกปรก

ข้อควรระมัดระวังในการดูแลรักษา
1. ไม่ควรใช้น้ำยาหรือสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เพราะอาจจะทำให้เกิดความเสียหายกันพื้นผิว และสีของแผ่นอลูมิเนียมได้
2. หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุที่ มีความคมหรือแข็งในการขัดพื้นผิวโดยตรง
 
อลูมิเนียมคอมโพสิตยี่ห้อที่ดี ควรมีทีมผู้เชียวชาญคอยให้คำปรึกษาตั้งแต่ก่อนการติดตั้ง

นอกจากสินค้าต้องผ่านหลักเกณฑ์มาตรฐานสากลแล้ว ความเชี่ยวชาญของทีมงานก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญ ที่ช่วยเราตัดสินใจในการเลือกติดตั้งอลูมิเนียมคอมโพสิตได้

ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกรวบรวมมาให้คุณแล้วที่ Bitec Enterprise ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุก่อสร้าง มีประสบการณ์การติดตั้งอลูมิเนียมคอมโพสิตทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Alutech Aluminium Composites, Aluminium Cieling & Sunscreen เรามีให้ครบ จบในที่เดียว และเมื่อติดตั้งเสร็จแล้วเรายินดีให้คำปรึกษา ด้านการดูแลและการรักษาอลูมิเนียมคอมโพสิต ให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุดอีกด้วย



ติดต่อสอบถามข้อมูล และข้อสงสัยต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook: BITEC Enterprise Ltd.
E-mail: info@bitecenterprise.com
Line: @Bitecenterprise
Tel: 02-717-1155

5


อลูมิเนียมคอมโพสิต นวัตกรรมใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะมีคุณสมบัติที่สามารถใช้งาน ทั้งภายนอกและภายใน วันนี้ Bitec Enterprise จะมาไขข้อข้องใจ พร้อมคำแนะนำดีๆ เพื่อให้คุณเข้าใจวัสดุชนิดนี้มากขึ้น



อลูมิเนียมคอมโพสิต คือ
อลูมิเนียมคอมโพสิต (Aluminum Composite) คือ วัสดุก่อสร้างที่จัดอยู่ในกลุ่มโครงสร้างผนังเบา มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า แคลดดิ้ง (Cladding) วัสดุชนิดนี้ได้พัฒนาจากการนำวัสดุต่างชนิดมาประกอบกัน จนทำให้เกิดเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรง และทนทานมากยิ่งขึ้น หากคุณกำลังมองหาวัสดุคุณภาพดี มีประโยชน์รอบด้านก็ปักหมุดวัสดุชนิดนี้ เอาไว้ในลิสต์ของคุณได้เลย!
 
อลูมิเนียมคอมโพสิต มีกี่ชนิด
สำหรับ อลูมิเนียมคอมโพสิต คือ จะแบ่งตามชนิดของ ไส้แกนกลาง คือ ไส้กลางวัสดุ PE และ ไส้กลางทนไฟ (FR) ส่วน การเคลือบสี มี 6 ชนิดด้วยกัน

1. อลูมิเนียมคอมโพสิตเคลือบ PVDF
มีไส้แกนกลางเป็น Polyethylene (PE) และเคลือบสีแบบ PVDF เป็นสารที่มีความทนทาน มีอายุการใช้งานยาวนาน นิยมนำไปใช้กับงานตกแต่งภายนอก โดยการเคลือบ PVDF มี 2 แบบหลักๆ ได้แก่

  • Traditional PVDF (พีวีดีเอฟ มาตรฐาน) ทนทานต่อกรด และ ด่าง
  • Nanometer PVDF (นาโน พีวีดีเอฟ) ป้องกันพื้นผิวจากสภาพแวดล้อมเป็นพิษ ทนต่อกรด และ ด่าง

2. อลูมิเนียมคอมโพสิตเคลือบ Polyester (PE)
มีไส้แกนกลางเป็น Polyethylene (PE) ความหนา 3 มม. ผลิตได้ทั้งสีแบบเงา และ แบบด้าน ทนทานสารเคมี และรังสี UV นิยมใช้งานเกี่ยวกับป้ายโฆษณา รวมถึงการตกแต่งภายใน

3. อลูมิเนียมคอมโพสิต FEVE
เป็นการเคลือบ – อบด้วย สีโพลียูรีเทน มากกว่า 1 ครั้งขึ้นไป ทำให้มีสีสันสวยงาม ให้ความเงางามถึง 80% มีคุณสมบัติทนต่อสารเคมี สามารถใช้งานในสภาพอากาศต่างๆ ได้ยาวนานถึง 10 ปี

4. อลูมิเนียมคอมโพสิต SPECTRA COLOR COATING
เป็นการเคลือบสีแบบ PVDF ผสมกับ ผงมุก มีจุดเด่นทำให้มองเห็นได้ตั้งแต่ 2 สีขึ้นไป ผ่านการสะท้อนแสง นิยมนำไปใช้กับงานที่ต้องการความหรูหรา เช่น โรงแรม หรือ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

5. อลูมิเนียมคอมโพสิต SPECIAL COLOR COATING
สามารถเลือกความหนาของชั้นอลูมิเนียมได้ ตั้งเเต่ 0.3 – 0.50 มม. สามารถเลือกชนิดของไส้แกนกลาง และสั่งทำสีพิเศษได้ตามต้องการ ดังนี้

  • ลายขนแมว (Brushed Panels) เกิดขึ้นจากผิวอลูมินัม ที่ผ่านกระบวนการผลิตเฉพาะ
  • ลายหินแกรนิต (Granite Panels) เป็นการเคลือบผิวอลูมินัม ด้วยฟิล์มที่มีลวดลาย
  • ลายกระจก (Mirror Finished Panels) เป็นการเคลือบผิวแบบขัดเงา ผ่านกระบวนการ Anodize Oxidation ทำให้พื้นผิวมีความเงาสะท้อน คล้ายกระจก
  • ลาย 2 สีบนแผ่นเดียว (Two Colors in One Sheet) เป็นการเคลือบผิวอลูมินัม ที่สามารถสร้างสีที่ต่างกัน 2 สี ให้อยู่บนพื้นผิวเดียวกัน
  • ลายไม้ (Wooden Color) เป็นการเคลือบสี และออกแบบลวดลายเลียนแบบผิวไม้ธรรมชาติ
  • ลายเมทัลลิก (Metalic Color) เป็นการเคลือบเงาให้เหมือนพื้นผิวโลหะ
  • ลายโซลิด (Solid Color) เป็นการเคลือบสีแบบด้าน และเคลือบเงาแต่ไม่ผสม Metalic มีเฉดสีให้เลือกหลากหลาย


 
คุณสมบัติของ อลูมิเนียมคอมโพสิต คือ
อลูมิเนียมคอมโพสิต เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษหลายด้าน ทั้งในด้านความสวยงามจากพื้นผิว ความแข็งแรง และความทนทานต่อสภาพแวดล้อม นอกเหนือจากนี้ยังมีคุณสมบัติในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ที่ทำให้อลูมิเนียมคอมโพสิต กลายมาเป็นหนึ่งในวัสดุก่อสร้างที่

  • มีประสิทธิภาพสูง
  • มีน้ำหนักเบา
  • ใช้งานได้ยาวนานกว่า 10 ปี
  • กันความร้อนและรังสี UV
  • มีความยืดหยุ่นสูง
  • ติดตั้งง่าย ราคาไม่สูง
  • เก็บเสียงได้ดี
  • มีหลายสีให้เลือก

 

 
เหมาะกับการใช้งานแบบไหน

อลูมิเนียมคอมโพสิต เป็นวัสดุก่อสร้างรูปแบบใหม่ ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ มาดูกันว่างานก่อสร้างส่วนใหญ่ มักเลือกวัสดุนี้ไปใช้งานอะไรกันบ้าง

  • นิยมใช้หุ้มปิดผิวทั้งอาคารสูง สามารถใช้ติดสลับกับกระจก เพิ่มลูกเล่นที่ทันสมัย
  • นำไปทำเป็นผนัง, ฉาก, กำแพง ทั้งภายนอก และภายใน
  • ปิดพื้นผิวต่างๆ เช่น เสากลม เสาเหลี่ยม ปิดบริเวณฝ้าเพดาน และ Facade อาคารได้
  • ปรับแต่ง งานแสดงสินค้า งานป้ายโฆษณา และตกแต่งโชว์รูม ให้ดูน่าสนใจมากขึ้น
  • ใช้งานผสมกับผนังอิฐมวลเบา ทำผนังกั้นห้อง กั้นระเบียง และงานตกแต่งภายใน
  • นำไปผลิตเฟอร์นิเจอร์ เช่น ชั้นวางสินค้า ตู้วางเอกสาร เคาน์เตอร์ โต๊ะ เป็นต้น
 
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าหลายท่านน่าจะเข้าใจวัสดุชนิดมากยิ่งขึ้น ทั้งการแบ่งชนิดต่างๆ คุณสมบัติพิเศษ รวมถึงลักษณะการใช้งาน หวังว่าบทความนี้จะเป็นโยชน์ สำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับ อลูมิเนียมคอมโพสิต และสามารถเป็นแนวทางให้คุณได้เลือกใช้งานอย่างเหมาะสม
 


ติดต่อสอบถามข้อมูล และข้อสงสัยต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook: BITEC Enterprise Ltd.
E-mail: info@bitecenterprise.com
Line: @Bitecenterprise
Tel: 02-717-1155

6


สำหรับใครที่อยากจะจัดบ้านให้เป็นระเบียบ “ชั้นวางของ” ถือเป็นอีกหนึ่งในไอเทมที่ควรมี แต่ ชั้นวางของ ก็มีหลายรูปแบบ แล้วจะเลือกแบบไหนถึงจะเหมาะกับการใช้งาน วันนี้ โกลบอลเฮ้าส์ จะมาแนะนำ ชั้นวางของ แต่ละแบบ ว่าแบบไหนเหมาะกับการใช้งานอย่างไร อย่ารอช้าไปอ่านบทความกันเลย!!

สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ ลักษณะของ ชั้นวางของ มีแบบไหนบ้าง ? แบบไหนเหมาะกับคุณ

ทำไมต้องใช้ชั้นวางของ?


"ชั้นวางของ" หรือชั้นเก็บของ นอกจากจะช่วยในการจัดระเบียบสิ่งของให้ง่ายต่อการหยิบใช้งานแล้ว ยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กับบ้านอีกด้วย เพราะว่าสามารถประยุกต์ และประกอบเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ หรือพื้นที่ต่างๆภายในบ้านได้

ชั้นวางของ มีกี่แบบกันนะ?


ชั้นวางของ นั้นมีกันหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป
  • แบบโต๊ะ - มีลักษณะเหมือนโต๊ะทั่วไป แต่จะมี ชั้นวางของ เพิ่มเข้ามาที่ด้านล่าง ทำให้สามารถวางของได้หลายช่อง
  • แบบเข้ามุม - ชั้นวางของจะเข้ากับมุมห้อง หรือ มุมโต๊ะได้พอดี ช่วยให้ประหยัดพื้นที่ในการวาง เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นที่จำกัด
  • แบบมีล้อเลื่อน - ชั้นวางของรูปแบบนี้ ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย และการทำความสะอาด
  • แบบชั้นลอย - ชั้นวางของแบบลอย ติดตั้งโดยใช้สกรูในการยึด เหมาะสำหรับการวางของที่เน้นโชว์ มีน้ำหนักเบา
  • แบบตู้ - มีให้เลือกหลายขนาด เหมาะสำหรับใช้เก็บของอเนกประสงค์ ช่วยเพิ่มความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการจัดเก็บสิ่งของ

จะเลือก ชั้นวางของ อย่างไรให้เหมาะสม?


การเลือกชั้นวางของ หรือ ชั้นเก็บของ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของสถานที่ ที่จะนำไปใช้งาน รวมถึงลักษณะการใช้งาน โดยส่วนใหญ่มีด้วยกัน 3 ประเภทหลักๆ คือ
  • ชั้นวางของทั่วไป รับน้ำหนักได้ปานกลาง และมีขนาดกะทัดรัด นิยมนำไปใช้งานในบ้าน หอพัก หรือคอนโด เพราะมีหลายรูปแบบให้เลือก
  • ชั้นวางของสำนักงาน นิยมเลือกชั้นวางของ ที่สามารถวางของได้หลายชั้น เพื่อสะดวกต่อการใช้งาน เช่น ชั้นวางของ ที่มีล้อเลื่อน 3 ชั้น หรือ ชั้นวางล้อเลื่อน 4 ชั้น
  • ชั้นวางของอุตสาหกรรม ชั้นวางรูปแบบนี้จะต้องมีความแข็งแรง ทนทาน รับน้ำหนักได้มาก ส่วนใหญ่จะเลือกวัสดุทำด้วยเหล็ก หรือสแตนเลส และมักจะเป็นชั้นวางแบบยึดติดผนัง

เลือกชั้นวางของอย่างไร ให้ตอบโจทย์การใช้งาน


  • เลือกจากของที่จะนำมาวาง เพราะสิ่งของแต่ละชนิดมีขนาด รูปทรง น้ำหนักที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องเลือกชั้นวางของที่สามารถรับน้ำหนัก และเหมาะในการวางสิ่งของเหล่านั้น
  • เลือกจากตำแหน่งการวาง ต้องดูว่าตำแหน่งที่จะวางชั้นวางของอยู่ส่วนไหนของบ้าน และมีพื้นที่ขนาดไหนในการวาง เช่น หากมีพื้นที่จำกัด เลือกชั้นวางเข้ามุมก็จะตอบโจทย์การใช้งาน
  • เลือกจากลักษณะการใช้งาน ต้องดูว่าชั้นวางของที่คุณต้องการ เน้นใช้งานแบบไหน เช่น หากใช้สำหรับตั้งโชว์ ก็อาจจะเลือก ชั้นวางแบบตู้ ที่สามารถมองเห็นของด้านในได้ หรือหากเคลื่อนย้ายบ่อยๆ ก็อาจจะเลือกชั้นวางของแบบมีล้อเลื่อน

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับชั้นวางของ โกลบอลเฮ้าส์ ช่วยคุณได้

เลือก ชั้นวางของ ให้ตอบโจทย์การใช้งานทุกรูปแบบ ได้ที่ โกลบอลเฮ้าส์ หรือเข้าไปเลือกดูสินค้าเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ Global House และถ้าใครอยากจะเข้าไปดูสินค้าจริง ไปลองสัมผัส ลองเลือก ก็สามารถไปที่ Global House ทุกสาขาทั่วประเทศ ได้เลย ซึ่งจะมีพนักงานที่พร้อมให้บริการตอบคำถาม และช่วยแนะนำสินค้า

นอกจากนั้นยังมี บริการติดตั้ง และบริการทำความสะอาด ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณ และถ้าใครที่ไม่อยากออกมาช้อปเอง ก็สามารถช้อปออนไลน์ได้ง่ายๆ แถมยังมาพร้อมกับโปรโมชันสุดคุ้ม และ สิทธิพิเศษในการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) นอกจากสินค้านี้แล้ว โกลบอลเฮ้าส์ ก็ยังมีสินค้าเกี่ยวกับบ้านอีกมากมายที่ขนมาให้คุณได้เลือกแบบครบครัน!!!
 
Global House จัดจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้าน ให้คุณครบจบในที่เดียว

เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชันใหม่ๆ ทั้งสินค้าวัสดุก่อสร้าง หรือสินค้าตกแต่งบ้าน สามารถติดตามและสั่งซื้อสินค้า Global House ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook: Global House โกลบอลเฮ้าส์
Line@: @globalhouse
Instagram: globalhouse_official
YouTube: Global House โกลบอลเฮ้าส์
TikTok: globalhouseofficial
Twitter: @globalhouseth

7


ตู้เย็นถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทุกบ้านควรมี ถ้าหากไม่มีตู้เย็นก็อาจทำให้อาหารเสียง่ายขึ้น แต่ในบางครั้งของในตู้เย็นก็เยอะจนเต็มตู้เย็น ส่งผลให้ของในตู้เย็นเสียง่ายขึ้น ดังนั้นเพื่อเพิ่มพื้นที่การใช้งาน วันนี้ โกลบอลเฮ้าส์ จะมาแนะนำ ตู้เย็น 2 ประตู ที่ตอบโจทย์การใช้งานของคุณ สำหรับใครที่ชอบตู้เย็นคุ้มๆ บอกเลยว่าไม่ควรพลาดบทความนี้!!
 

จุดเด่นของตู้เย็น 2 ประตู


ตู้เย็น 2 ประตูค่อนข้างแตกต่างจากตู้เย็นประตูเดียว โดยตู้เย็นแบบสองประตูจะมีจุดเด่นตรงที่
  • แบ่งสัดส่วนชัดเจน ตู้เย็นจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ "ส่วนบน" ที่เป็นช่องแช่แข็ง และ "ส่วนล่าง" ที่เป็นช่องแช่เย็น
  • สามารถใส่ของได้จำนวนมาก เพราะว่าส่วนของช่องแช่แข็งแยกออกจากกัน ทำให้มีพื้นที่ในการแช่ของ และสามารถจัดของภายในตู้เย็นให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น
  • ช่องแช่แข็งเย็นไว มีระบบที่ช่วยละลายน้ำแข็งแบบอัตโนมัติ
  • กระจายความเย็นได้ทั่วถึง เนื่องจากสามารถวางของได้เยอะ จึงทำให้ความเย็นกระจายได้ทั่วถึง มีระบบการทำงานเงียบมากขึ้น และ ประหยัดไฟยิ่งขึ้น

วิธีการเลือกซื้อ ตู้เย็น 2 ประตู ต้องเลือกอย่างไร?
ตู้เย็นแบบสองประตู ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยขนาดที่กำลังพอดี และมีราคาไม่สูงมาก จึงเหมาะมากสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกประมาณ 4 - 5 คน และ สำหรับใครที่ลังเล ไม่รู้จะเลือกซื้อตู้เย็นอย่างไรดี โกลบอลเฮ้าส์ จะมาแนะนำวิธีเลือกซื้อตู้เย็นให้ตอบโจทย์การใช้งาน

เลือกขนาดความจุของตู้เย็นให้เหมาะสม


การเลือกขนาดของตู้เย็น ต้องเลือกให้เหมาะกับจำนวนสมาชิกในบ้าน ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เก็บของในตู้เย็นได้ไม่เพียงพอ ดังนั้นขนาดของตู้เย็นที่เหมาะสมจึงควรเลือกดังต่อไปนี้
  • ตู้เย็นขนาดเล็ก 7 - 13 คิว : เหมาะสำหรับบ้านที่มีสมาชิก 1 - 2 คน สามารถจุของในตู้เย็นได้ประมาณ 200 - 380 ลิตร
  • ตู้เย็นขนาดกลาง 12 - 18 คิว : เหมาะสำหรับบ้านที่มีสมาชิก 3 - 4 คน สามารถจุของในตู้เย็นได้ 350 - 530 ลิตร
  • ตู้เย็นขนาดใหญ่ ไม่ต่ำกว่า 15 คิว : จะเหมาะสำหรับบ้านที่มีสมาชิกจำนวน 5 คนขึ้นไป ซึ่งสามารถจุของในตู้เย็นได้ประมาณ 440 ลิตรขึ้นไป

เลือกประเภทของตู้เย็นที่ต้องการ


ตู้เย็นในปัจจุบันจะมีระบบในการทำความเย็นด้วยกัน 2 แบบ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของคอมเพรสเซอร์
  • Compressor Normal จะใช้ระบบในการหมุนเพื่อทำรอบความเย็น ซึ่งตู้เย็นที่ใช้คอมเพรสเซอร์แบบนี้ จะหมุนด้วยความเร็วเท่าเดิมตลอด สามารถทำความเย็นได้ค่อนข้างดี แต่อาจจะกินไฟมาก
  • Compressor Inverter จะลดรอบหมุนลงเมื่อตู้เย็นทำความเย็นถึงระดับที่กำหนด และจะกลับมาทำรอบการหมุนเหมือนเดิมเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้อุณหภูมิคงที่ และช่วยประหยัดพลังงานได้ดีกว่า

เลือกตู้เย็นที่มีฉลากประหยัดไฟ และการรับประกัน


เพื่อเป็นการประหยัดค่าไฟ ควรจะเลือกตู้เย็นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 และการเลือกตู้เย็นระบบอินเวอร์เตอร์ ก็จะยิ่งช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้น สิ่งสำคัญ คือ ต้องเลือกตู้เย็นที่มีการรับประกัน เพื่อป้องกันความเสียหายและง่ายต่อการซ่อมแซม
 
ตู้เย็น 2 ประตู รุ่นไหนดีรุ่นไหนปัง!!


ใครที่ไม่รู้จะเลือกตู้เย็นรุ่นไหนดี โกลบอลเฮ้าส์ จะมาแนะนำตู้เย็นสองประตูรุ่นฮิต รุ่นไหนมีอะไรดีมาดูกันเลย
  • SAMSUNG รุ่น RT20HAR1DSA/ST - ตู้เย็นขนาด 7.4 คิว ที่มาพร้อมกับระบบอินเวอร์เตอร์แบบดิจิตอล สามารถปรับความเร็วได้ถึง 7 ระดับ และมาพร้อมกับระบบ All-Around Cooling ส่งความเย็นได้อย่างทั่วถึง
  • LG รุ่น GN-C702SGGU - ตู้เย็นขนาด 18.1 คิว มาพร้อมกับระบบ LGE Linear Cooling ช่วยคงความสดของอาหารได้ยาวนานขึ้น มี Door Cooling ช่วยกระจายความเย็นสม่ำเสมอ
  • HITACHI รุ่น RVG550PDX GBK - ตู้เย็นขนาด 19.4 คิว มาพร้อมกับระบบการทำงานแบบ Inverter รวมถึง Dual Fan Cooling สามารถทำความเย็นแยกกัน ระหว่างช่องแช่เย็น และช่องแช่แข็ง


หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับตู้เย็น 2 ประตู โกลบอลเฮ้าส์ ช่วยคุณได้

นอกจาก ตู้เย็น 2 ประตู รุ่นที่ได้แนะนำไปแล้ว คุณยังสามารถเลือกซื้อได้ที่ โกลบอลเฮ้าส์ หรือเข้าไปเลือกดูสินค้าเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ Global House และถ้าใครอยากจะเข้าไปดูสินค้าจริง ไปลองสัมผัส ลองเลือก ก็สามารถไปที่ Global House ทุกสาขาทั่วประเทศ ได้เลย ซึ่งจะมีพนักงานที่พร้อมให้บริการตอบคำถาม และช่วยแนะนำสินค้า

นอกจากนั้นยังมี บริการติดตั้ง และบริการทำความสะอาด ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณ และถ้าใครที่ไม่อยากออกมาช้อปเอง ก็สามารถช้อปออนไลน์ได้ง่ายๆ แถมยังมาพร้อมกับโปรโมชันสุดคุ้ม และ สิทธิพิเศษในการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) นอกจากสินค้านี้แล้ว โกลบอลเฮ้าส์ ก็ยังมีสินค้าเกี่ยวกับบ้านอีกมากมายที่ขนมาให้คุณได้เลือกแบบครบครัน!!!
 
Global House จัดจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้าน ให้คุณครบจบในที่เดียว




เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชันใหม่ๆ ทั้งสินค้าวัสดุก่อสร้าง หรือสินค้าตกแต่งบ้าน สามารถติดตามและสั่งซื้อสินค้า Global House ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook: Global House โกลบอลเฮ้าส์
Line@: @globalhouse
Instagram: globalhouse_official
YouTube: Global House โกลบอลเฮ้าส์
TikTok: globalhouseofficial
Twitter: @globalhouseth


8


แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์เป็นที่นิยมกันมาก ในเรื่องการประหยัดไฟ แต่ถ้าเป็นเรื่องของความเย็น หลายคนมักจะบอกว่าแอร์ธรรมดาเย็นฉ่ำกว่า เลยทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นว่า ควรซื้อแอร์แบบไหนดี ? วันนี้ โกลบอลเฮ้าส์ จะมาไขข้อสงสัยว่าทำไม แอร์อินเวอร์เตอร์ไม่เย็น หรือ เย็นช้ากว่าแอร์ธรรมดา พร้อมบอกทริคการทำให้แอร์เย็นฉ่ำ และประหยัดค่าไฟมากกว่าเดิม
 

มาทำความรู้จัก “แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์” กันดีกว่า


ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) เป็นระบบที่จะทำงานโดยอาศัยรอบการหมุนของคอมเพรสเซอร์ เพื่อแลกเปลี่ยนกระแสไฟฟ้า กับ มอเตอร์ของเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนั้นๆ ทำให้การทำงานคงที่

ส่วน “แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์” คอมเพรสเซอร์จะปรับอุณหภูมิในห้องให้ค่อยๆ ลดลง แล้วตัดการทำงาน เมื่ออุณหภูมิของห้องถึงจุดที่ตั้งค่าไว้ และจะกลับมาทำงานอีกครั้ง เพื่อรักษาอุณหภูมิของห้องให้คงที่
 
ทำไม? แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ไม่เย็น เหมือนกับแอร์ระบบธรรมดา


นั่นก็เพราะรอบการหมุนของคอมเพรสเซอร์แอร์ลดลง เพื่อปรับอุณหภูมิให้คงที่ หากอุณหภูมิภายในห้องเพิ่มสูงขึ้น แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์จะทำการปรับรอบการหมุน จึงทำความเย็นได้เย็นเร็วกว่าแอร์แบบปกติ แต่จะไม่เย็นฉ่ำเหมือนกับแอร์แบบธรรมดา เนื่องจากแอร์แบบปกติ จะทำความเย็นต่ำกว่าอุณหภูมิที่ตั้งเอาไว้ จึงทำให้รู้สึกเย็นฉ่ำกว่านั่นเอง
 
ทริคการเปิดแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์อย่างไร ให้แอร์เย็นฉ่ำ!!
ให้ปรับอุณหภูมิของแอร์ลดลงกว่าอุณหภูมิที่ต้องการ เช่น ถ้าปกติเปิดแอร์ 25 องศา ก็อาจจะลดให้เหลือประมาณ 23 องศา เวลาที่คอมเพรสเซอร์ลดรอบการทำงานลง ก็จะทำให้ห้องรักษาอุณหภูมิอยู่ที่ 23 องศา
 
อยากเปิดแอร์นานๆ แต่อยากประหยัดไฟ ต้องทำอย่างไร?


วันนี้ โกลบอลเฮ้าส์ เลยจะมาแนะนำทริคที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าไฟได้มากยิ่งขึ้น แม้จะใช้แอร์เป็นเวลานานตลอดทั้งวัน
  • ระบายความร้อนก่อนเปิดแอร์
  • เพิ่มอุณหภูมิขึ้นเล็กน้อย ประมาณ 1 – 2 องศา
  • เปิดพัดลมช่วยได้
  • เลือกขนาด BTU ของแอร์ให้เหมาะกับขนาดของห้อง
  • งดการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ
  • ล้างแอร์ช่วยได้

หมดปัญหา แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ไม่เย็น ต้องเลือกแอร์ให้ดี!!


อีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยให้ประหยัดไฟนั่นก็คือ การเลือกแอร์ที่ดี และมีคุณภาพ ดังนั้นจึงอยากจะมาแนะนำแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์รุ่นฮิต ที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าไฟได้มากยิ่งขึ้น จะมีแอร์รุ่นไหนบ้างไปดูกันเลย

  • MITSUBISHI HEAVY DUTY รุ่น BTU SRK10YVS-W1 (9,000 BTU) เป็นรุ่นที่มีเทคโนโลยี Jet Flow ช่วยเรื่องการกระจายความเย็น มาพร้อม 3D Auto มีมอเตอร์ในการปรับทิศทางถึง 3 ตัว
  • HITACHI รุ่น RAS-PH13CMT (12,000 BTU) แอร์รุ่นนี้มาพร้อมกับโหมด Air Sleep Timer แอร์จะทำการเพิ่มอุณหภูมิขณะหลับ ประมาณ 2 องศา
  • SAMSUNG รุ่น AR15TYHZCWKNST (15,000 BTU) มีเทคโนโลยี Digital Inverter Boost ทำความเย็นได้เร็วขึ้นถึง 43%

 
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ โกลบอลเฮ้าส์ ช่วยคุณได้

ใครที่กำลังสนใจจะเลือกซื้อ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ สามารถเลือกซื้อได้ที่ โกลบอลเฮ้าส์ หรือเข้าไปเลือกดูสินค้าเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ Global House และถ้าใครอยากจะเข้าไปดูสินค้าจริง ไปลองสัมผัส ลองเลือก ก็สามารถไปที่ Global House ทุกสาขาทั่วประเทศ ได้เลย ซึ่งจะมีพนักงานที่พร้อมให้บริการตอบคำถาม และช่วยแนะนำสินค้า

นอกจากนั้นยังมี บริการติดตั้ง ล้าง รื้อถอน เครื่องปรับอากาศ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณ และถ้าใครที่ไม่อยากออกมาช้อปเอง ก็สามารถช้อปออนไลน์ได้ง่ายๆ แถมยังมาพร้อมกับโปรโมชันสุดคุ้ม และ สิทธิพิเศษในการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) นอกจากสินค้านี้แล้ว โกลบอลเฮ้าส์ ก็ยังมีสินค้าเกี่ยวกับบ้านอีกมากมายที่ขนมาให้คุณได้เลือกแบบครบครัน!!!
 
Global House จัดจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้าน ให้คุณครบจบในที่เดียว



เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชันใหม่ๆ ทั้งสินค้าวัสดุก่อสร้าง หรือสินค้าตกแต่งบ้าน สามารถติดตามและสั่งซื้อสินค้า Global House ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook: Global House โกลบอลเฮ้าส์
Line@: @globalhouse
Instagram: globalhouse_official
YouTube: Global House โกลบอลเฮ้าส์
TikTok: globalhouseofficial
Twitter: @globalhouseth

9


แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ เป็นระบบของแอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานมากกว่าแอร์ระบบธรรมดา ในเรื่องของการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องของ "การประหยัดไฟ" แต่บางคนอาจจะเคยได้ยินว่า แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ มีค่าใช้จ่ายในการล้างแอร์แพงกว่า ใครที่กำลังสงสัยเรื่องนี้อยู่ วันนี้ โกลบอลเฮ้าส์ จะมาตอบข้อสงสัยเรื่องนี้ให้กับคุณ
 

แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ คืออะไร?


แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ ระบบการทำงานจะใช้กระแสไฟฟ้าแบบสลับ ในการปรับแรงดันของวงจรภายใน หากอุณหภูมิเย็นเกินกว่าอุณหภูมิที่คุณตั้งค่าไว้ คอมเพรสเซอร์จะลดความเร็วในการหมุนลง  ทำให้การใช้ไฟฟ้าลดลงประมาณ 30 - 40 % จึงทำให้ประหยัดไฟมากกว่าแอร์ระบบธรรมดา
 
การทำงานของแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ และแอร์ระบบธรรมดา


การทำงานของแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ ถือได้ว่าตอบโจทย์เรื่องการประหยัดไฟมากกว่า รวมถึงเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ ก็มีความแตกต่างกันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ

  • การใช้งานไฟฟ้าลดลง เนื่องจากเป็นกระแสไฟแบบสลับ ต่างจากแอร์ระบบธรรมดาที่เป็นกระแสตรง
  • ทำความเย็นได้ยาวนานกว่า ระบบแอร์อินเวอร์เตอร์ จะลดรอบการทำงานของคอมเพรสเซอร์ เพื่อรักษาอุณหภูมิ แต่แอร์ระบบธรรมดาจะ
  • ทำงานด้วยความเย็นคงที่ หากปิดแอร์ตัวเครื่องก็จะหยุดทำงานทันที
  • การควบคุมอุณหภูมิ จะสม่ำเสมอมากกว่า อุณหภูมิไม่สวิงเหมือนแอร์ระบบธรรมดา
  • ทำงานได้เงียบกว่า ไม่เหมือนแอร์ระบบธรรมดา ที่เสียงของคอมเพรสเซอร์จะดังขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่แอร์ทำงานหนักๆ
  • ห้องเย็นไวขึ้น เพราะแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์จะทำรอบได้เร็วมากขึ้น ทำให้ห้องเย็นได้ไวกว่าแอร์ระบบธรรมดา

จุดเด่นของแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์กับแอร์ระบบธรรมดา
  • จุดเด่นของแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ ช่วยประหยัดค่าไฟ และทำความเย็นได้รวดเร็วมากกว่าแอร์ระบบธรรมดา
  • จุดเด่นของแอร์ระบบธรรมดา ทำความเย็นที่เย็นฉ่ำมากกว่า เพราะอุณหภูมิจะค่อยๆ ลดลงต่ำกว่าระดับที่ตั้งไว้ประมาณ 1-2 องศา และมีราคาถูก

การล้างแอร์ระบบแอร์อินเวอร์เตอร์ และแอร์ระบบธรรมดา แพงกว่ากันจริงหรือไม่?


เพราะแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ มีแผงวงจร PCB (แผงวงจรพิมพ์) มากกว่าแอร์ระบบธรรมดา โดยจะมีแผงวงจรตรงด้านนอกเพิ่มเข้ามา จึงทำให้การล้างแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ มีขั้นตอนที่ยากกว่า ซึ่งหากล้างไม่ดีอาจทำให้แผงวงจรด้านนอกเสีย จนต้องเปลี่ยนบอร์ดใหม่ได้
 
แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์รุ่นที่แนะนำ


  • HITACHI รุ่น RAS-PH10CNT แอร์ขนาด 9,000 BTU แอร์ระบบ Inverter ที่มาพร้อมกับระบบ 2-Stage Filtration System Plus Stainless Pre Filter X Anti Virus Plus Filter ที่ช่วยในการยับยั้งแบคทีเรีย และไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้มากถึง 99%
  • MITSUBISHI HEAVY DUTY รุ่น DXK13YW-W1 แอร์ขนาด 12,000 BTU มาพร้อมกับโหมด Jet Flow ที่ช่วยทำให้แอร์ทำความเย็นได้รวดเร็ว
  • SAMSUNG รุ่น AR18AYECBWKNST แอร์ขนาด 18,000 BTU มีระบบ Wind-Free TM Cooling ทำให้ใช้พลังงานน้อยกว่าโหมด Fast Cooling ถึง 77%

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอร์อินเวอร์เตอร์ โกลบอลเฮ้าส์ ช่วยคุณได้

ใครที่กำลังสนใจจะเลือกซื้อ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ สามารถเลือกซื้อได้ที่ โกลบอลเฮ้าส์ หรือเข้าไปเลือกดูสินค้าเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ Global House และถ้าใครอยากจะเข้าไปดูสินค้าจริง ไปลองสัมผัส ลองเลือก ก็สามารถไปที่ Global House ทุกสาขาทั่วประเทศ ได้เลย ซึ่งจะมีพนักงานที่พร้อมให้บริการตอบคำถาม และช่วยแนะนำสินค้า

นอกจากนั้นยังมี บริการติดตั้ง ล้าง รื้อถอน เครื่องปรับอากาศ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณ และถ้าใครที่ไม่อยากออกมาช้อปเอง ก็สามารถช้อปออนไลน์ได้ง่ายๆ แถมยังมาพร้อมกับโปรโมชันสุดคุ้ม และ สิทธิพิเศษในการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) นอกจากสินค้านี้แล้ว โกลบอลเฮ้าส์ ก็ยังมีสินค้าเกี่ยวกับบ้านอีกมากมายที่ขนมาให้คุณได้เลือกแบบครบครัน!!!
 
Global House จัดจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้าน ให้คุณครบจบในที่เดียว

เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชันใหม่ๆ ทั้งสินค้าวัสดุก่อสร้าง หรือสินค้าตกแต่งบ้าน สามารถติดตามและสั่งซื้อสินค้า Global House ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook: Global House โกลบอลเฮ้าส์
Line@: @globalhouse
Instagram: globalhouse_official
YouTube: Global House โกลบอลเฮ้าส์
TikTok: globalhouseofficial
Twitter: @globalhouseth

10

ใครที่มีพื้นที่สนามหญ้าหน้าบ้านแล้วไม่ได้ใช้งาน วันนี้ โกลบอลเฮ้าส์ นำเอาวิธีการ แต่งสนามหญ้าหน้าบ้าน มาฝากกัน!! ซึ่งการตกแต่งสนามหญ้าให้สวยงาม และจัดสรรพื้นที่ดีๆ อาจจะทำให้สนามหญ้าที่ไม่ค่อยได้ใช้งานกลายเป็นอีกหนึ่งมุมโปรด ที่คุณสามารถใช้พักผ่อน ใช้ทำงาน หรือใช้ทำกิจกรรมได้มากยิ่งขึ้น
 

ข้อควรรู้ก่อน แต่งสนามหญ้าหน้าบ้าน?


การแต่งสนามหญ้าหน้าบ้าน ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลายๆ ด้าน เพื่อให้การตกแต่งนั้น ออกมาตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด

  • วัตถุประสงค์การใช้งาน ก่อนอื่นควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์การใช้งาน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และทำให้คุณสามารถเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมได้อีกด้วย
  • ดูแบบแปลน และขนาดของพื้นที่ การคำนึงถึงแปลนของสนามหญ้า และขนาดของพื้นที่โดยรวมก่อนทำการตกแต่ง จะช่วยให้คุณเลือกเฟอร์นิเจอร์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
  • เลือกเฟอร์นิเจอร์ ให้เข้ากับบรรยากาศ การจะเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เข้ากับสถานที่ ขึ้นอยู่กับ Mood & Tone เช่น ถ้าต้องการบรรยากาศชิลๆ ก็ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์เป็นสีเอิร์ธโทน อย่าง โต๊ะไม้ แล้วอาจจะตกแต่งด้วยของประดับเล็กๆ เพื่อเพิ่มลูกเล่นให้กับมุมทำงาน
  • การจัดวางให้เป็นสัดส่วน ควรที่จะแบ่งพื้นที่ใช้ชัดเจนว่ามุมไหนจะวางเฟอร์นิเจอร์ หรือมุมไหนจะวางของตกแต่ง จะทำให้ง่ายต่อการใช้งาน และง่ายต่อการดูแลรักษามากยิ่งขึ้น
  • เลือกผู้ออกแบบให้เหมาะสมกับสไตล์ที่ชอบ หากคุณอยากจะรีโนเวทสนามหญ้าให้สวยงาม อาจจะหานักออกแบบสวนมาออกแบบมุมที่ต้องการ หรือถ้าอยากประหยัดงบประมาณ อาจลองหาภาพตัวอย่าง แล้วปรับแต่งให้เป็นแบบในที่คุณชอบก็ได้เช่นกัน
  • เลือกเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งสนามหญ้าหน้าบ้าน ให้ตอบโจทย์การใช้งาน
    การเลือกเฟอร์นิเจอร์ และ ของตกแต่งสนามหญ้าหน้าบ้าน ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน วันนี้ โกลบอลเฮ้าส์ ขอมาแนะนำ เฟอร์นิเจอร์สนาม เพื่อช่วยทำให้สนามหน้าบ้าน กลายมาเป็นมุมสำหรับพักผ่อน สามารถใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น

โต๊ะสนาม และเก้าอี้สนาม


สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศห้องทำงาน การหาโต๊ะเล็กๆ สักตัวจะทำให้มุมหน้าบ้านดูมีลูกเล่นมากยิ่งขึ้น ไม่ควรเลือกโต๊ะที่มีขนาดใหญ่ แต่ควรเลือกโต๊ะที่มีความแข็งแรงอย่าง โต๊ะเหล็ก

เมื่อมีโต๊ะแล้วก็ต้องมีเก้าอี้ด้วย อาจจะเลือกเป็น เก้าอี้เหล็ก ให้เข้ากับโต๊ะก็จะทำให้ Mood & Tone ไปในทิศทางเดียวกัน สำหรับใครที่มีพื้นที่จำกัด อาจจะเลือกเป็น เก้าอี้ยาว หรือ ม้านั่งสนาม ก็ได้ เพราะช่วยประหยัดพื้นที่ และสามารถนั่งได้หลายคน

ชุดโต๊ะสนาม


สำหรับใครที่อยากจะได้โต๊ะกับเก้าอี้เหมือนกันทั้งเซต ก็อาจจะเลือกเป็น ชุดโต๊ะสนาม ไปเลย เพราะในชุดโต๊ะสนามมีครบทั้งโต๊ะ และเก้าอี้ โดยชุดโต๊ะสนามส่วนใหญ่จะเป็น 2 ที่นั่ง หรือ 4 ที่นั่ง ถือเป็นจำนวนที่เหมาะกับการนำมาจัดแต่ง บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านได้เป็นอย่างดี

ชิงช้าสนาม


หากต้องการตกแต่งสนามหญ้า ให้กลายเป็นมุมพักผ่อน อาจเลือกใช้ ชิงช้าสนาม ก็ได้ มีให้เลือกทั้งแบบ ชิงช้าสนามที่มีหลังคา และแบบที่เป็น ชิงช้าทรงรังนก การตกแต่งด้วยชิงช้าจะทำให้การแต่งสนามหญ้าหน้าบ้านมีลูกเล่นมากยิ่งขึ้น

ร่มสนาม และของตกแต่งสวน


ถ้าต้องการจัดมุมสำหรับนั่งเล่น หรือไม่อยากให้มุมหน้าบ้านดูร้อนจนเกินไป ก็อาจจะหา ร่มสนาม มาใช้ เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันแสงแดดได้แล้ว ก็ยังสามารถใช้งานในช่วงหน้าฝนได้อีกด้วย

เพิ่มความน่าสนใจให้สนามหญ้าของคุณด้วยการหา ของตกแต่งสวนเล็กๆ มาประดับเพิ่มเติม หรือเลือก น้ำพุแต่งสวน เพื่อเพิ่มความร่มรื่น โดยติดตั้งเข้ากับ ปั๊มน้ำพุ หรือ ปั๊มน้ำตู้ปลา ส่วนใครที่มีพื้นที่จำกัด ก็อาจจะหา หญ้าเทียม มาตกแต่งได้ เช่น นำ ดอกไม้ต้นไม้ปลอม มาวางประดับไว้บนโต๊ะสนาม ก็จะทำให้สวนดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

นอกจากนี้เรื่องของแสงสว่างก็เป็นสิ่งสำคัญ สร้างบรรยากาศยามค่ำคืน ด้วยการติดตั้ง ไฟตกแต่งสวน หรือ โคมไฟใช้ภายนอก นอกจากนี้แสงสว่างยังช่วยในเรื่องของความปลอดภัยได้อีกด้วย


หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับของแต่งสวน โกลบอลเฮ้าส์ ช่วยคุณได้

นอกจากเฟอร์นิเจอร์ที่ได้แนะนำไปเบื้องต้นแล้วยังมี เฟอร์นิเจอร์สนาม อีกหลายชิ้นที่คุณสามารถเลือกไปแต่งบ้านได้ ซึ่งสามารถเลือกซื้อได้ที่ โกลบอลเฮ้าส์ หรือเข้าไปเลือกดูสินค้าเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ Global House และถ้าใครอยากจะเข้าไปดูสินค้าจริง ไปลองสัมผัส ลองเลือก ก็สามารถไปที่ Global House ทุกสาขาทั่วประเทศ ได้เลย ซึ่งจะมีพนักงานที่พร้อมให้บริการตอบคำถาม และช่วยแนะนำสินค้า

นอกจากนั้นยังมี บริการติดตั้ง และบริการทำความสะอาด ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณ และถ้าใครที่ไม่อยากออกมาช้อปเอง ก็สามารถช้อปออนไลน์ได้ง่ายๆ แถมยังมาพร้อมกับโปรโมชันสุดคุ้ม และ สิทธิพิเศษในการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) นอกจากสินค้านี้แล้ว โกลบอลเฮ้าส์ ก็ยังมีสินค้าเกี่ยวกับบ้านอีกมากมายที่ขนมาให้คุณได้เลือกแบบครบครัน!!!



เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชันใหม่ๆ ทั้งสินค้าวัสดุก่อสร้าง หรือสินค้าตกแต่งบ้าน สามารถติดตามและสั่งซื้อสินค้า Global House ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook: Global House โกลบอลเฮ้าส์
Line@: @globalhouse
Instagram: globalhouse_official
YouTube: Global House โกลบอลเฮ้าส์
TikTok: globalhouseofficial
Twitter: @globalhouseth

11


สำหรับใครที่กำลังมีแพลนจะติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น หนึ่งในสิ่งที่ทำให้หลายๆ คนเกิดความสงสัย คือ เครื่องทำน้ำอุ่น หม้อต้มแบบไหนดี และแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร แบบไหนที่คุ้มค่ามากกว่ากัน? วันนี้ โกลบอลเฮ้าส์ จะมาแนะนำหม้อต้มแต่ละแบบในเครื่องทำน้ำอุ่น ที่ทำให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อที่ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด
 

หม้อต้มของเครื่องทําน้ำอุ่น มีกี่ประเภท และเลือกแบบไหนดี?


ในปัจจุบันหม้อต้มจะมีด้วยกัน 3 แบบหลักๆ ได้แก่ หม้อต้ม Grilon, หม้อต้มทองแดง และหม้อต้มขดลวดทองแดง ซึ่งแต่ละแบบจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. หม้อต้ม Grilon
เป็นหม้อต้มที่สามารถทนความร้อนได้ถึง 260 องศาเซลเซียส เมื่อเกิดการอุดตันจากสิ่งสกปรก  สามารถถอดออกมาล้างทำความสะอาดได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหม้อต้มใหม่ แต่ควรระวังหากความร้อนสูง เพราะอาจจะทำให้หม้อต้มละลายได้

2.หม้อต้มทองแดง
เป็นหม้อต้มที่สามารถทำความร้อนได้ดี และรวดเร็ว มีความทนทานสูง ถึงแม้ว่าจะต้มน้ำด้วยอุณหภูมิที่สูงก็ไม่ทำให้หม้อต้มละลาย แต่อาจเกิดตะกรันขึ้นได้ง่าย

3.หม้อต้มขดลวดทองแดง
เป็นหม้อต้มที่ทำความร้อนโดยการใช้ขดลวดทองแดง สามารถทำความร้อนได้ในระยะเวลาสั้น แต่ไม่สามารถถอดออกมาล้างทำความสะอาดได้ เหมือนกับหม้อต้มพลาสติก
 
วิธีเลือกประเภทหม้อต้มของเครื่องทำน้ำอุ่น


การเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นให้เหมาะสมกับการใช้งาน มีปัจจัยหลายที่ช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
  • ลักษณะในการใช้งาน หากคุณเป็นคนที่ชอบอาบน้ำอุ่น หรือต้องการเครื่องทำน้ำอุ่นที่ร้อนไว แนะนำให้เลือกหม้อต้มทองแดง หรือหม้อต้มขดลวดทองแดง
  • ความประหยัดไฟ เครื่องทำน้ำอุ่นแต่ละรุ่นจะมีกำลังไฟแตกต่างกัน ดังนั้นควรเลือกที่มีฉลากประหยัดไฟ ก็จะช่วยประหยัดค่าไฟได้มากกว่า
  • ความทนทาน และความปลอดภัย หากต้องการเครื่องทำน้ำอุ่นที่สามารถใช้งานได้ยาวนาน ก็อาจจะเลือกหม้อต้มทองแดง เพราะมีคุณสมบัติในการใช้งานที่ทนทานมากกว่าหม้อต้มประเภทอื่น
  • ราคา และการรับประกัน คุณควรตั้งงบประมาณ และพิจารณาถึงการรับประกันของเครื่องทำน้ำอุ่นยี่ห้อนั้นๆ

หม้อต้มของเครื่องทำน้ำอุ่นแบบไหนดี แบบไหนเหมาะกับคุณ

1.หม้อต้ม Grilon


  • เครื่องทำน้ำอุ่นกำลังไฟ 4,500 วัตต์ เป็นหม้อต้ม Grilon สามารถทำความร้อนได้ดี และมีความแข็งแรง
  • ในตัวเครื่องมีฮีตเตอร์ 2 ชุด ทำให้น้ำมีอุณหภูมิสม่ำเสมอ
  • มาพร้อมระบบที่ช่วยตัดไฟอัตโนมัติ เมื่ออุณหภูมิสูงเกินกว่า 55 องศา

2.หม้อต้มทองแดง


  • เครื่องทำน้ำอุ่นหม้อต้มทองแดง กำลังไฟ 4,500 วัตต์
  • สามารถทนความร้อนได้สูงถึง 65 องศา
  • มาพร้อมระบบ Flow & Reed Switch ควบคุมการไหลของน้ำ
  • มีระบบ linear Temperature Control ตัวช่วยควบคุมอุณหภูมิ
  • มีระบบตัดไฟรั่วภายใน 0.1 วินาที
  • มีชุดเทอร์โมสตัท ช่วยตัดการทำงานหากอุณหภูมิสูงเกินไป

3.หม้อต้มขดลวดทองแดง


  • เครื่องทำน้ำอุ่นหม้อต้มขดลวดทองแดง กำลังไฟ 3,800 วัตต์
  • มีระบบ Whirl Water Flow ช่วยให้การหมุนเวียนของน้ำทำงานได้ดียิ่งขึ้น
  • สามารถปรับอุณหภูมิได้หลายระดับ มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงดันน้ำ
  • มีระบบ ELCB ช่วยป้องกันไฟฟ้ารั่ว และน้ำเข้าตัวเครื่อง รวมถึงยังมีระบบ Safeguard ที่จะช่วยตรวจเช็คสายดินอัตโนมัติ
  • การเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นให้ดี ควรเลือกให้เหมาะกัการใช้งาน และคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย เพื่อการใช้งานที่ยาวนาน


หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องทำน้ำอุ่น และหม้อต้ม โกลบอลเฮ้าส์ ช่วยคุณได้

นอกจาก เครื่องทำน้ำอุ่น ที่เราได้แนะนำไปเบื้องต้นไปแล้ว ก็ยังมีรุ่นอื่นๆ อีกมากมายให้คุณได้เลือกซื้อได้ที่ โกลบอลเฮ้าส์ คุณสามารถเข้าไปเลือกดูสินค้าเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ Global House และถ้าใครอยากจะเข้าไปดูสินค้าจริง ไปลองสัมผัส ลองเลือก ก็สามารถไปที่ Global House ทุกสาขาทั่วประเทศ ได้เลย ซึ่งจะมีพนักงานที่พร้อมให้บริการตอบคำถาม และช่วยแนะนำสินค้า

นอกจากนั้นยังมี บริการติดตั้งเครื่องน้ำอุ่น-น้ำร้อน ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณ และถ้าใครที่ไม่อยากออกมาช้อปเอง ก็สามารถช้อปออนไลน์ได้ง่ายๆ แถมยังมาพร้อมกับโปรโมชันสุดคุ้ม และ สิทธิพิเศษในการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) นอกจากสินค้านี้แล้ว โกลบอลเฮ้าส์ ก็ยังมีสินค้าเกี่ยวกับบ้านอีกมากมายที่ขนมาให้คุณได้เลือกแบบครบครัน!!!
 
Global House จัดจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้าน ให้คุณครบจบในที่เดียว



เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชันใหม่ๆ ทั้งสินค้าวัสดุก่อสร้าง หรือสินค้าตกแต่งบ้าน สามารถติดตามและสั่งซื้อสินค้า Global House ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook: Global House โกลบอลเฮ้าส์
Line@: @globalhouse
Instagram: globalhouse_official
YouTube: Global House โกลบอลเฮ้าส์
TikTok: globalhouseofficial
Twitter: @globalhouseth


12


ในสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว แอร์ หรือเครื่องปรับอากาศ นับว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้ายอดนิยมที่ขาดไม่ได้เลย แต่การเลือกแอร์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายประเภท เช่น แอร์แขวนกับแอร์ติดผนัง เพื่อที่คุณจะได้สามารถเลือกซื้อแอร์ให้เหมาะกับการใช้งาน โกลบอลเฮ้าส์ จะมาบอกความแตกต่างของแอร์ทั้งสองประเภทนี้ และให้คำแนะนำในการเลือกซื้อ ทั้งสำหรับนำไปใช้งานที่บ้าน หรือใช้งานที่ออฟฟิศ


แอร์แขวนกับแอร์ติดผนัง ต่างกันอย่างไร?
แอร์แบบติดผนัง เป็นแอร์ที่คนนิยมนำไปใช้งานตามบ้านเรือนทั่วไป ส่วน แอร์แบบแขวน ก็เป็นแอร์ที่นิยมนำมาใช้งานตามห้องที่มีคนจำนวนมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือห้องประชุมขนาดใหญ่ เป็นต้น


แอร์แขวน
แอร์แขวน (Ceiling Type) ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ และมีขนาด BTU มากกว่าแอร์ติดผนัง ทำให้สามารถกระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึง เหมาะกับห้องที่มีขนาดใหญ่
  • จุดเด่น คือ สามารถกระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากมี BTU ขนาดใหญ่
  • จุดด้อย คือ เนื่องจากมีมอเตอร์ในการทำงานขนาดใหญ่ เลยทำให้เกิดเสียงดังเวลาแอร์ทำงาน นอกจากนี้ยังมีราคาแพงกว่าแอร์ติดผนังด้วย

แอร์ติดผนัง
แอร์ติดผนัง (Wall Type) มักจะมีขนาดของ BTU ไม่เกิน 24,000 BTU โดยจะติดตั้งเข้ากับผนัง เหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง
  • จุดเด่น คือ มีตัวเลือกที่หลากหลายมากกว่าทั้ง ขนาด BTU รูปลักษณ์ของแอร์ และฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ
  • จุดด้อย คือ หากใช้งานในห้องขนาดใหญ่ อาจทำให้ความเย็นส่งไปได้ไม่ทั่วถึง

 
เทคนิคการเลือกซื้อแอร์แขวน และแอร์ติดผนัง


เมื่อรู้วิธีการติดตั้งของแอร์แขวน กับ แอร์ติดผนัง และขนาดของแอร์เบื้องต้นแล้ว อย่าลืมศึกษาวิธีในการเลือกซื้อ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้คุณสามารถเลือกซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น
  • ห้องที่จะทำการติดตั้งแอร์เป็นห้องลักษณะอย่างไร ถ้าเป็นห้องที่มีขนาดเล็กไปจนถึงห้องขนาดกลาง แนะนำให้เลือกแอร์แบบติดผนัง แต่ถ้าคุณต้องการนำไปใช้งานในห้องขนาดใหญ่ แนะนำให้เลือกแอร์แบบแขวนจะตอบโจทย์มากกว่า
  • ขนาดของห้องในการติดตั้งแอร์ ถ้าขนาดของห้องมีขนาดเล็ก (9 - 24 ตร.ม.) ก็อาจจะเลือกแอร์ขนาด 9,000 BTU - 18,000 BTU แต่ถ้าเป็นห้องขนาดใหญ่ (24 ตร.ม. ขึ้นไป) แนะนำให้เลือกแอร์ที่มี BTU สูงๆ อย่างเช่น 24,000 BTU ขึ้นไป ก็จะกระจายความเย็นได้ดีกว่า
  • เวลาในการใช้งาน และฟังก์ชันต่างๆ หากคุณใช้งานแอร์ตลอดทั้งวัน แนะนำให้เลือกแอร์ที่มีขนาด BTU สูงๆ เพราะมีมอเตอร์ในการทำงานใหญ่กว่า ทำให้เหมาะกับการใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน

แนะนำ แอร์แขวนกับแอร์ติดผนัง รุ่นไหนดี!!
วันนี้เราจะมาแนะนำแอร์รุ่นฮิต ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายมากขึ้น พร้อมแนะนำรุ่นที่เหมาะกับคุณ จะมีแอร์รุ่นไหนบ้างมาดูกันเลย

แอร์แขวน 2


  • มีขนาด 36,061 BTU เหมาะกับห้องขนาดใหญ่ ออฟฟิศ หรือห้างสรรพสินค้า
  • สามารถกระจายความเย็นได้ 4 ทิศทาง
  • คอมเพรสเซอร์เป็นแบบ Inverter ทำงานเงียบ และกระจายความเย็นได้ดี
  • แผงฟิลเตอร์มีคุณภาพสูง และมีระบบที่ช่วยทำงานได้ต่อเนื่อง



  • มีขนาด 36,301 BTU เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่
  • ให้ความเย็นกระจายได้อย่างรวดเร็ว และทั่วถึง
  • มาพร้อมกับน้ำยาแอร์ R - 410 และฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
  • วัสดุทำด้วยโลหะ พลาสติก ที่มีความแข็งแรง และมีประกัน 5 ปี

แอร์ติดผนัง 2


  • มีขนาด 9,000 BTU ซึ่งเหมาะกับห้องขนาดเล็ก
  • มีฟังก์ชัน Digital Inverter Boost ช่วยทำความเย็นได้เร็วขึ้นถึง 43%
  • มาพร้อมกับใบพัดขนาดใหญ่ และช่องลมที่กว้างขึ้น สามารถกระจายความเย็นได้ถึง 15 เมตร
  • มีระบบการทำงานเงียบ แถมยังลดการใช้พลังงานถึง 73%
  • มีโหมด Auto Clean เป็น แอร์ที่สามารถล้างตัวเอง ได้ ทำให้สะดวกต่อการทำความสะอาด
  • มีโหมด Good Sleep ช่วยควบคุมอุณหภูมิขณะหลับได้ดี


  • มีขนาด 12,000 BTU เหมาะกับห้องขนาดเล็กไปจนถึงห้องขนาดกลาง
  • มีแผ่นกรองแบบ Cold Catalyst Filter ที่ช่วยในการฆ่าเชื้อโรคในอากาศ
  • มีการปรับทิศทางลมแบบ 3D Air Flow
  • มีระบบ Self - Cleaning ซึ่งเป็น ระบบทำความสะอาดตัวเอง (แอร์ล้างตัวเอง) ที่จะช่วยป้องกันกลิ่นอันไม่พึงประสงค์

การเลือกซื้อแอร์ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขนาด BTU ของแอร์ รวมถึงขนาดของห้องนอกจากนี้ควรเลือกแอร์ที่ดี มีมาตรฐาน มีการรับประกัน และบริการหลังการขาย เพื่อได้แอร์ที่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
 
 
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอร์ โกลบอลเฮ้าส์ ช่วยคุณได้

นอกจาก แอร์ รุ่นที่เราได้แนะนำไปแล้ว โกลบอลเฮ้าส์ก็ยังมีแอร์รุ่นอื่นๆ อีกมากมายให้คุณได้เลือก ซึ่งเรามีดีไซน์ และขนาดของแอร์ให้คุณได้เลือกหลากหลายรุ่น หลากหลายแบรนด์ จะแบบไหนก็สามารถเลือกซื้อได้ที่ โกลบอลเฮ้าส์

คุณสามารถเข้าไปเลือกดูสินค้าเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ Global House และถ้าใครอยากจะเข้าไปดูสินค้าจริง ไปลองสัมผัส ลองเลือก ก็สามารถไปที่ Global House ทุกสาขาทั่วประเทศ ได้เลย ซึ่งจะมีพนักงานที่พร้อมให้บริการตอบคำถาม และช่วยแนะนำสินค้า

นอกจากนั้นยังมี บริการติดตั้ง ล้าง รื้อถอน เครื่องปรับอากาศ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณ และถ้าใครที่ไม่อยากออกมาช้อปเอง ก็สามารถช้อปออนไลน์ได้ง่ายๆ แถมยังมาพร้อมกับโปรโมชันสุดคุ้ม และ สิทธิพิเศษในการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) นอกจากสินค้านี้แล้ว โกลบอลเฮ้าส์ ก็ยังมีสินค้าเกี่ยวกับบ้านอีกมากมายที่ขนมาให้คุณได้เลือกแบบครบครัน!!!
 
Global House จัดจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้าน ให้คุณครบจบในที่เดียว



เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชันใหม่ๆ ทั้งสินค้าวัสดุก่อสร้าง หรือสินค้าตกแต่งบ้าน สามารถติดตามและสั่งซื้อสินค้า Global House ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook: Global House โกลบอลเฮ้าส์
Line@: @globalhouse
Instagram: globalhouse_official
YouTube: Global House โกลบอลเฮ้าส์
TikTok: globalhouseofficial
Twitter: @globalhouseth

13

"เครื่องอบผ้า" เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกในช่วงเวลาที่เร่งรีบ เครื่องอบผ้าจึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ ที่หลายคนเลือกใช้งาน วันนี้ โกลบอลเฮ้าส์ จะพาคุณมาทำความรู้จักเครื่องอบผ้าให้มากยิ่งขึ้น พร้อมแนะนำวิธีในการเลือกซื้อเครื่องอบผ้า ที่จะช่วยให้คุณได้เครื่องอบผ้าที่ตอบโจทย์การใช้งาน และคุ้มค่าที่สุด
 
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ เครื่องอบผ้า มีกี่แบบ? เลือกซื้ออย่างไรดี ให้เหมาะสม
 
มาทำความรู้จัก เครื่องอบผ้า คืออะไร?


เครื่องอบผ้า เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แก้ปัญหาผ้าไม่แห้ง โดยใช้ความร้อนในการอบผ้า ทำให้ผ้าแห้งไว และไร้กลิ่นอับจากเชื้อรา ซึ่งจะแตกต่างจากการใช้เครื่องซักผ้าโหมดปั่นแห้ง ที่จะต้องมีการนำผ้าไปตากแดดให้แห้งอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดกลิ่นอับ
 
ประโยชน์ของเครื่องอบผ้า


  • ช่วยให้ผ้าแห้งไว เครื่องอบผ้าสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ ใช้เวลาในการอบเพียง 25 - 40 นาที เท่านั้น
  • ช่วยลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ เครื่องอบผ้าสามารถอบผ้าได้แห้งสนิท ทำให้หมดกังวลเรื่องปัญหากลิ่นผ้าอับชื้น
  • สามารถใช้อบผ้าชิ้นใหญ่ๆ ได้ เครื่องอบผ้ามักจะมีขนาดใหญ่ และสามารถปรับอุณหภูมิให้เหมาะกับผ้าประเภทต่างๆ ได้
  • ถนอมเนื้อผ้า และสีของผ้าได้มากกว่า ถ้าไม่อยากให้สีของผ้าซีดจาง ขอแนะนำให้ใช้เครื่องอบผ้า เพราะนอกจากจะทำให้ผ้าแห้งไวแล้ว ยังช่วยถนอมเนื้อผ้าให้สีสด นุ่ม และเป็นทรงได้ดีกว่าการนำผ้าไปตากแดด
  • เหมาะสำหรับคนที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ อย่างเช่น คนที่อาศัยอยู่คอนโด หรือหอพัก ที่มีพื้นที่ในการตากผ้าน้อย
  • สามารถกำจัดเชื้อโรคได้ ความร้อนจากเครื่องอบผ้าสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ และช่วยลดการสะสมเชื้อโรคได้

เครื่องอบผ้า มีกี่แบบ?
เครื่องอบผ้าในปัจจุบันมีหลายประเภทให้เลือกใช้ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่

เครื่องอบผ้าแบบท่อลมร้อน (Vented Dryer)


เครื่องอบผ้าประเภทนี้ จะมีการต่อท่อลมร้อน และท่อไอน้ำออกไปด้านนอกอาคาร เพื่อเป็นการระบายอากาศภายใน เหมาะสำหรับบ้านที่สามารถเจาะผนัง และต่อท่อออกไปด้านนอกอาคารได้ ข้อดีของเครื่องอบผ้ารูปแบบนี้คือ จะทำให้ผ้าแห้งได้ไว มีราคาถูก ดูแลทำความสะอาดได้ง่าย ส่วนข้อเสีย คือ ต้องมีการเจาะผนังเพื่อติดตั้งท่อระบายความร้อน

เครื่องอบผ้าแบบควบแน่น (Condenser Dryer)


เครื่องอบผ้าแบบควบแน่น (Condenser Dryer) เป็นเครื่องอบผ้าที่ติดตั้งง่าย และเป็นที่นิยมมากที่สุด โดยการทำงานจะอาศัยการควบแน่นของความชื้นในระหว่างอบเสื้อผ้า ที่จะควบแน่นกันจนเป็นน้ำซึ่งอยู่ในที่ภาชนะเก็บน้ำ

ข้อดีของเครื่องอบผ้ารูปแบบนี้ เหมาะสำหรับใครที่ไม่สามารถเจาะผนัง เพื่อระบายความร้อนออกนอกอาคารได้ ตัวเครื่องมีระบบการทำงานที่เงียบ แต่มีข้อเสีย คือ ผ้าที่ได้จะแห้งไม่สนิท และต้องคอยเอาน้ำที่อยู่ในภาชนะเก็บน้ำไปเททิ้งอยู่เสมอ

เครื่องอบผ้าแบบปั๊มความร้อน (Heat Pump Dryer)


เครื่องอบผ้าประเภทนี้ มีลักษณะการทำงาน โดยอาศัยการแลกเปลี่ยนอากาศจากภายนอกเข้ามา เพื่อทำให้อากาศภายในร้อนขึ้น จนเกิดการควบแน่นเป็นไอน้ำ ข้อดี คือ ช่วยประหยัดพลังงานได้ดี ระบบการทำงานเงียบ อีกทั้งยังช่วยในการถนอมผ้าได้มากกว่า เพราะเป็นเทคโนโลยีปั๊มความร้อน แต่ก็มีข้อเสีย คือ ดูแลรักษาค่อนข้างยาก และมีราคาที่สูงกว่าเครื่องอบผ้าแบบอื่น

เครื่องอบผ้าแบบพกพา (Portable Venting)


เครื่องอบผ้าแบบพกพา มีลักษณะเป็นถุงกระโจม เวลาจะใช้งานจะต่อท่อจากตัวเครื่องเข้าไปในกระโจม เพื่ออบผ้า ข้อดี คือ สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย และมีขนาดไม่ใหญ่มาก ส่วนข้อเสีย คือ ไม่สามารถทำความร้อนได้มากเท่าเครื่องอบผ้ารูปแบบอื่นๆ

  • BENKA รุ่นDFSG-01 เครื่องอบผ้าพกพาขนาด 35 x 50 x 150 ซม. สีเขียว เป็นรุ่นที่สามารถพกพาได้ ระบบลมร้อนในการอบผ้าปรับได้หลายระดับ และหมุนได้ 360 องศา ตั้งเวลาได้สูงสุด 180 นาที
  • SAKU รุ่นCL-801 เครื่องอบผ้าพกพาสีส้ม เป็นรุ่นที่พัดลมในการทำความร้อนมีความเร็วสูง และสามารถปล่อยลมร้อนได้ถึง 360 องศา ตัวถุงกระโจมทำจากวัสดุเก็บความร้อนได้ดี ช่วยประหยัดพลังงาน รักษาเนื้อผ้า และฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้

วิธีเลือกซื้อเครื่องอบผ้า เลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์การใช้งาน


เมื่อรู้จักประเภทของเครื่องอบผ้าแบบต่างๆ กันไปแล้ว คุณยังจำเป็นจะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น

  • มีฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์กับความต้องการ
  • เครื่องอบผ้ามีขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งาน
  • การตั้งงบประมาณในการซื้อให้เหมาะสมกับการใช้งาน
  • มีบริการหลังการขาย และการรับประกันสินค้า
ซึ่งเครื่องอบผ้าที่ดี ควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน และเหมาะสมกับปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะการเลือกเครื่องอบผ้าที่มีการรับประกันสินค้า เพื่อป้องกันอันตราย ทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่น
 
 
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องอบผ้า โกลบอลเฮ้าส์ ช่วยคุณได้

เครื่องอบผ้า นับว่าเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคุณในช่วงหน้าฝนเลยก็ว่าได้ ซึ่งที่โกลบอลเฮ้าส์ มีเครื่องอบผ้า หลากหลายประเภท จากหลากหลายแบรนด์ดังคุณภาพ โดยคุณสามารถเข้าไปเลือกดูสินค้าเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ Global House และถ้าใครอยากสัมผัส กับสินค้าจริง ก็สามารถไปที่ Global House ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยจะมีพนักงานคอยแนะนำสินค้า พร้อมให้บริการตอบคำถามทุกข้อสงสัย

นอกจากนั้นยังมี บริการติดตั้ง และบริการทำความสะอาดเครื่องซักผ้า ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณ และถ้าใครที่ไม่อยากออกมาช้อปเอง ก็สามารถช้อปออนไลน์ได้ง่ายๆ แถมยังมาพร้อมกับโปรโมชันสุดคุ้ม และ สิทธิพิเศษในการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) นอกจากสินค้านี้แล้ว โกลบอลเฮ้าส์ ก็ยังมีสินค้าเกี่ยวกับบ้านอีกมากมายที่ขนมาให้คุณได้เลือกแบบครบครัน!!!

Global House จัดจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้าน ให้คุณครบจบในที่เดียว



เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชันใหม่ๆ ทั้งสินค้าวัสดุก่อสร้าง หรือสินค้าตกแต่งบ้าน สามารถติดตามและสั่งซื้อสินค้า Global House ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook: Global House โกลบอลเฮ้าส์
Line@: @globalhouse
Instagram: globalhouse_official
YouTube: Global House โกลบอลเฮ้าส์
TikTok: globalhouseofficial
Twitter: @globalhouseth


14

กลับมาครั้งนี้ของ GoPro 11 ในโหมด Time Lapse กับระบบพรีเซ็ตที่ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น และหนึ่งในนั้นคือ Star Trails หรือ โหมด ถ่าย ดาว GoPro 11 วันนี้ทาง Aquapro จะมาบอกเคล็ดลับวิธีการตั้งค่ากล้องง่ายๆ พร้อมแชร์ทริคการถ่ายดาวยังไงให้ปังกับ GoPro 11
 
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ GoPro 11 ถ่ายดาว ยังไงให้ปัง กับเรา Aquapro!

GoPro 11 ถ่ายดาว ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง?

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นถ่ายดาวกับกล้อง GoPro 11 อุปกรณ์หลักๆที่ต้องเตรียม จะมีอะไรบ้างไปดูกัน!

  • กล้อง GoPro
  • ขาตั้งกล้อง
  • Tripod Mount
  • แบตเตอรี่สำรอง (ถ้ามี)
  • โทรศัพท์มือถือ
  • ไฟฉาย

GoPro 11 ถ่ายดาว หามุมอย่างไรให้ออกมาปัง!


หลายๆ คนอาจคิดว่าการถ่ายดาวเป็นเรื่องยาก แต่จริงๆ แล้วไม่ยากอย่างที่คิด ในหัวข้อนี้ Aquapro จะมาแนะนำตัวช่วยที่ทำให้การถ่ายดาวไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป! ซึ่งตัวช่วยนี้ก็คือ แอปพลิเคชัน Star Walk 2 การใช้งานก็ง่ายๆ เพียงเข้ามาที่หน้าแอป จากนั้นชูหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นไปบนท้องฟ้า ตัวแอปจะทำการจำลองลักษณะวัตถุบนท้องฟ้าที่อยู่ในบริเวณนั้นแบบเรียลไทม์
 
แนะนำโหมดถ่ายดาว และ วิธีตั้งค่าใน GoPro 11


หลังจากที่รู้จักอุปกรณ์ และตัวช่วยสำหรับถ่ายดวงดาวแล้ว หัวข้อนี้จะเป็นการแนะนำโหมดถ่ายดาวใน GoPro 11 พร้อมบอกวิธีการตั้งค่าเบื้องต้นใน Time Lapse
  • เลือกโหมด Time Lapse แล้วกดเข้าไปที่เมนู Star Trails หรือ โหมดถ่ายดาว
  • Trails Length สามารถตั้งค่าได้ 3 ระดับ ได้แก่ Short, Long และ Max ถ้าต้องการเก็บภาพดวงดาวในลักษณะเน้นเส้นของดาว แนะนำให้ใช้โหมด Long และ Max
  • Resolution การตั้งค่าความละเอียดมาตรฐานอยู่ที่ 4K แต่สามารถปรับความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 5.3K หรือ 5K ได้
  • Speed Shutter ควรตั้งค่า Speed Shutter ให้สูงประมาณ 30s เพื่อเปิดรูรับแสงจากภายนอก และต้องใช้อุปกรณ์เสริมในการช่วยถ่ายอย่างขาตั้งกล้อง เนื่องจากมือของเราไม่สามารถรับ Speed Shutter ที่ต่ำกว่า 1/50 ได้
  • ISO MIN และ ISO MAX การตั้งค่า ISO MIN ควรปรับให้น้อยที่สุด เพื่อลดการเกิดสัญญาณรบกวน หรือ Noise ส่วน ISO MAX แนะนำว่าให้ตั้งค่าประมาณ 500 ขึ้นไป

ทริคการถ่ายดาวใน GoPro 11

แนะนำเทคนิคการถ่ายดาวใน GoPro 11 เพื่อให้ภาพถ่ายดาวของคุณดูเป็นมืออาชีพยิ่งขึ้น!
  • หากต้องการถ่ายดาวควรเลือกวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง หรือ เป็นที่สูงจะช่วยให้สามารถเก็บภาพท้องฟ้าได้อย่างครอบคลุม
  • ควรเลือกถ่ายในที่มืด หรือไม่มีแสงไฟรบกวนจะยิ่งทำให้เห็นดาวได้ชัดเจน
  • หากเลือกถ่ายช่วงเดือนที่มีแสงพระจันทร์สว่างเกินไป จะทำให้บดบังแสงของดวงดาว และอาจส่งผลให้ถ่ายดาวไม่ติด
  • การถ่ายดาวทุกๆ ครั้ง ควรเช็กเรื่องของเวลา สถานที่ และทิศทางของดาวให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสดีๆ
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับเทคนิคการถ่ายดาวจาก GoPro 11 ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ หวังว่าจะเป็นแนวทางให้กับมือใหม่ที่ต้องการฝึกถ่ายดาวจากกล้อง GoPro เตรียมตัวก่อนออกทริปโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ แต่ทั้งนี้การถ่ายดาวก็มีข้อควรระวังเกี่ยวกับสถานที่ที่จะไป รวมถึงทิศทางในการถ่ายด้วย

 
สนใจกล้อง GoPro 11 เลือกซื้อได้ที่ Aquapro
แนะนำกล้องขนาดจิ๋วแต่คุณภาพแจ๋วอย่าง GoPro 11 สุดยอดกล้องแอคชั่นแคมมากความสามารถ ไม่ว่าจะถ่ายออกทริป ถ่าย Vlog หรือ ถ่ายดาว ก็ทำได้! หากสนใจสามารถเลือกซื้อ GoPro 11 พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้มได้ที่ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ พร้อมอุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์มากมาย และมีของแถมแบบจุกๆ

นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว ทางเรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และเทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติม ถ้าไม่อยากพลาดอย่าลืมไปติดตาม GoPro Club กันนะ!
 


ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro

15


สำหรับใครที่เคยเล่นกล้อง GoPro จะรู้ว่ามีฟังก์ชันมากมายที่เหมาะสำหรับการถ่ายกิจกรรมในลักษณะ Adventure โดยเฉพาะรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาอย่าง Gopro 11 และ GoPro 11 mini แล้ว หากใครที่ยังลังเลว่าจะซื้อรุ่นไหนดีระหว่าง GoPro 11 vs Gopro 11 mini วันนี้ทาง Aquapro จะพาทุกคนไปเปรียบเทียบดีไซน์ และ สเปคกล้องของทั้ง 2 รุ่นว่าจะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
 
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ GoPro 11 vs GoPro 11 mini เลือกตัวไหนดี เปรียบเทียบกันให้เห็นชัดๆ

Body ของ GoPro 11 vs GoPro 11 mini


เริ่มต้นกันที่ดีไซน์ของ GoPro 11 และ GoPro 11 mini จะมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร แต่ก่อนที่จะไปเปรียบเทียบในเรื่องของสเปค และ ฟังก์ชัน หัวข้อนี้ทาง Aquapro จะพาทุกคนไปดูความแตกต่างในเรื่องของการดีไซน์ จะมีอะไรบ้างเราไปดูพร้อมกันเลย!

ปุ่มควบคุมการทำงาน และ แบตเตอรี่
GoPro 11 เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปุ่มด้านข้างของกล้อง คือ ปุ่ม เปิด/ปิด ส่วนปุ่มด้านบนสามารถทำงานได้ 2 แบบ คือ ถ้ากด 1 ครั้งจะทำการบันทึก เมื่อกดค้างจะกลายเป็นปุ่มเปลี่ยนโหมด ส่วนเรื่องแบตเตอรี่เป็น Enduro Battery มีความจุอยู่ที่ 1720 mAh

ส่วนการดีไซน์ของ GoPro 11 mini กล้องรุ่นนี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ไม่มีหน้าจอแสดงผลทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านบนมีหน้าจอ LCD เล็กๆ สำหรับแสดงโหมดการใช้งาน กล้องโกโปรรุ่นนี้จะถูกควบคุมผ่านทาง GoPro’s Quik app เป็นหลัก ใช้ Enduro Battery แบบ Build in มีความจุอยู่ที่ 1520 mAh

วิธีการใช้งานของ Mini และ Gopro 11
หากใครที่เคยใช้กล้องโกโปรมาก่อน รับรองว่าใช้งานง่าย เพระา GoPro 11 มีวิธีการใช้งานไม่แตกต่างจากเดิม แถมในรุ่นนี้ยังมี Easy Mode สำหรับมือใหม่มาให้โดยเฉพาะ ส่วนทางด้าน GoPro 11 mini มีวิธีการใช้งานแตกต่างจาก GoPro รุ่นก่อนๆ เล็กน้อย เพราะต้องเข้าไปตั้งค่าความละเอียด ค่าเฟรมเรท รวมถึงเลนส์ที่ต้องการล่วงหน้าผ่านทาง GoPro’s Quik app

สรุปพาร์ทการออกแบบ
โดยรวมแล้วกล้องทั้ง 2 รุ่นนี้ มีความแตกต่างกันในด้านของดีไซน์ รวมถึงโหมดควบคุมการใช้งาน อย่าง GoPro 11 จะมีปุ่มการใช้งานเหมือนกับโกโปรรุ่นก่อน คือ มีปุ่มเปิด/ปิดอยู่ด้านข้าง ส่วนปุ่มชัตเตอร์อยู่ด้านบน แต่ใน GoPro 11 mini การเปิด/ปิด รวมถึงการตั้งค่าโหมดต่างๆ จะถูกควบคุมผ่านทาง Quik app เป็นหลัก
 
ความแตกต่างของสเปคกล้องทั้ง 2 รุ่น


GoPro 11 vs GoPro 11 mini ทั้ง 2 รุ่นมีขนาดเซนเซอร์เท่ากันอยู่ที่ 1/1.9 นิ้ว พร้อมชิพประมวลผล GP2 Processor GoPro 11 mini มีจุดเด่นที่เหมือนกับ GoPro 11 ในเรื่องของความละเอียดวิดีโอ 5.3K 60fps มีระบบกันสั่น HyperSmooth 5.0 Horizon Lock 360 องศา และ โปรไฟล์สี 10-bit color depth

แต่ก็มีความแตกต่างในเรื่องของสเปคการใช้งาน โดย GoPro 11 mini ถูกตัดโหมดถ่ายภาพออก แล้วเปลี่ยนเป็นการครอบภาพจากวิดีโอแทน ซึ่งมีความละเอียดอยู่ที่ 24.7 ล้านพิกเซล ไม่มีโหมด Hindsight, ไม่มีโหมด Scheduled Capture, ไม่มีโหมด Looping Video, ไม่มีโหมด Webcam และ GPS ที่ติดมากับตัวเครื่อง
 
ความต่างในแง่ราคา ตัวไหนคุ้มค่ากว่ากัน
นอกเหนือจากเรื่องของคุณสมบัติแล้ว สิ่งที่ทำให้คุณตัดสินใจในการเลือกซื้อได้ คือ เรื่องของราคา เริ่มต้นกันที่ GoPro 11 มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 18,500 บาท ส่วน GoPro 11 mini มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 15,000 บาท ซึ่งคุณสมบัติของทั้ง 2 รุ่น ทำได้ดีแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ด้านการใช้งาน
 
GoPro 11 และ GoPro 11 mini แต่ละรุ่น เหมาะกับใคร?


สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ, ถ่าย Vlog หรือ บันทึกวิดีโอระหว่างเดินทางบอกเลยว่า GoPro 11 ตอบโจทย์สุดๆ เพราะ GoPro 11 มีจุดเด่นความละเอียดด้านการถ่ายภาพ 27 ล้านพิกเซล และ ระบบกันสั่น HyperSmooth 5.0 รวมถึงการตั้งค่าพรีเซ็ตต่างๆ ที่ทำให้ทุกการใช้งานของคุณสนุกมากยิ่งขึ้น

ส่วน GoPro 11 mini มีฟังก์ชันคล้ายกับ GoPro 11 แต่ในรุ่นนี้สร้างมาเพื่อตอบโจทย์สาย Activity โดยเฉพาะกิจกรรมในรูปแบบ Extreme Sports เพราะมีขนาดเล็ก กะทัดรัด เหมาะแก่การพกพาไปในที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวก
 
 
เลือกซื้อ GoPro 11 พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้ม ต้องที่ Aquapro
พบกับการเปิดตัวของ GoPro 11 mini ได้เร็วๆ นี้ ที่ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ และ อุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์มากมาย ที่พร้อมให้คุณเลือกกล้อง Action Cam ในสไตล์ที่ใช่ และสำหรับใครที่กำลังมองหา GoPro 11 ทางร้านของเรามีโปรโมชั่นสุดคุ้ม พร้อมของแถมอีกเพียบ!
นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม GoPro Club สำหรับแนะนำข่าวสาร รวมถึงเทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับกล้องโกโปร อย่าลืมกดติดตาม เพื่อไม่ให้พลาดทุกการอัปเดตของกล้องโกโปร
 
 
 
ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro

16


กลับมาอีกครั้งกับการ รีวิว GoPro 11 mini กล้องแอคชั่นแคมน้องใหม่มาแรงจากค่าย GoPro ด้วยฟีเจอร์การใช้งานที่สร้างมาเพื่อการถ่ายแนวแอคชั่นโดยเฉพาะ สำหรับใครที่มอง GoPro 11 mini ไว้เป็นตัวเลือก แน่นอนว่า Aquapro ไม่พลาดที่จะนำมารีวิว ตั้งแต่การดีไซน์ ไปจนถึงการใช้งานในโหมดต่างๆ
 
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ รีวิว GoPro 11 mini สาย Action Camera ห้ามพลาด!

รีวิว GoPro 11 mini ดีไซน์เป็นอย่างไร?


GoPro 11 mini มีรูปทรงที่เรียบง่าย ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ในด้านการดีไซน์ของกล้องรุ่นนี้จะเป็นอย่างไร และมีความทนทานแค่ไหน Aquapro ได้รวบรวมข้อมูลไว้ในหัวข้อนี้แล้ว!

ปุ่มควบคุมการทำงาน
รูปทรงภายนอกของ GoPro Hero 11 mini มีขนาดเล็ก และ เบากว่า GoPro 11 โดยปุ่มควบคุมการใช้งานของกล้องรุ่นนี้ มีทั้งหมด 2 ปุ่ม ปุ่มด้านบนสามารถใช้งานได้ 2 แบบ คือ แตะเพื่อเลือกโหมด หรือ กดค้างเพื่อทำการบันทึก

ส่วนปุ่มด้านหน้าใช้สำหรับกดเพื่อยืนยันคำสั่ง และ เป็นปุ่ม Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ควบคุมการใช้งานผ่านทาง GoPro’s Quik app เป็นหลัก

GoPro 11 mini เหมาะสำหรับการใช้งานในรูปแบบไหน?
กล้อง GoPro 11 mini ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย และกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมที่มีความท้าทาย นอกจากพกพาง่ายแล้ว ยังทนทานต่อแรงกระแทก เนื่องจากทำด้วยวัสดุที่มีความแข็งแรงสูง และสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 10 เมตร!
 
เหตุผลที่ GoPro 11 mini ไม่มีจอ
เมื่อดูภาพรวมดีไซน์ของ GoPro 11 mini สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนในรุ่นนี้ คือ ถูกตัดหน้าจอ LCD ด้านหน้าและด้านหลังออกเหมาะแก่การติดตั้งเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ติดตั้งบนหมวกกันน็อค, สายรัดอก หรือ สายรัดข้อมือ เป็นต้น ข้อดีของการไม่มีหน้าจอ คือ ไม่กินแบตเตอรี่ สามารถใช้งานได้นานสูงสุดถึง 2 ชั่วโมง!
 
วิธีการใช้งาน GoPro 11 mini


รีวิวการใช้งานของ GoPro 11 mini ถึงแม้ว่ารูปทรงของกล้องจะเปลี่ยนไป แต่วิธีใช้ไม่แตกต่างจากเดิม คุณสามารถเชื่อมต่อกล้องเข้ากับ GoPro Quik App เพื่อทำการเปิดเครื่อง จากนั้นทำการตั้งค่าความละเอียด ค่าเฟรมเรม และอื่นๆ ก่อนเริ่มต้นใช้งาน

นอกจากนี้ GoPro 11 mini ยังมีเลนส์ Cover แบบ Hydrophobic Glass ช่วยลดการเกิดแสง Ghosting และ Flare เมื่อถ่ายในที่ย้อนแสง
 
รีวิวการใช้งานในโหมดต่างๆ
เมื่อรู้วิธีการใช้งานคร่าวๆ กันไปแล้ว ในหัวข้อนี้เราจะมารีวิวการใช้งานโหมดต่างๆ และสเปคของกล้อง GoPro 11 mini คุณสมบัติการใช้งานจะเจ๋งอย่างที่เขาว่าจริงไหม? มาพิสูจน์ด้วยการใช้งานจริงในหัวข้อนี้กัน

โหมดถ่ายวิดีโอ


คุณสมบัติของ GoPro 11 mini เหมือนกับ GoPro 11 ทำให้การใช้งานของทั้งคู่ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก ทั้งขนาดเซนเซอร์ 1/1.9 นิ้ว และใช้ชิพ GP2 Processor และโปรไฟล์สี 10-bit color depth

การถ่ายวิดีโอมีความละเอียด 5K 60fps, 4K 120fps และ 2.7K 240fps รุ่น Mini ไม่มีโหมดถ่ายภาพ แต่สามารถครอบรูปภาพจากวิดีโอได้ที่ความละเอียด 24.7 ล้านพิกเซล

โหมดกันสั่น
คุณสมบัติสุดพิเศษของ GoPro ในปีนี้ ขอบอกเลยว่าถูกใจสายลุยสุดๆ นั่นก็คือ HyperSmooth 5.0 และ Horizon Lock 360°

โหมด Slow Motion


โหมด Slow Motion 8x ใน GoPro 11 mini ความสามารถของการถ่ายวิดีโอในโหมดนี้ ช่วยทำให้เกิดการเคลื่อนไหวช้าๆ และช่วยแสดงให้เห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน

Timelapse และ Timewarp
ในรุ่นนี้มีโหมด Timelapse และ Timewarp 3.0 มาพร้อมความละเอียด 5.3K 60fps และโหมดพรีเซตช่วยถ่าย ได้แก่ Star Trails​, Light Painting และ Vehicle Light Trails
 
GoPro 11 mini เหมาะกับใคร


สำหรับกล้องรุ่นล่าสุดอย่าง GoPro Hero 11 Mini ที่ทางเราได้รีวิวไปนั้น หลายๆ คนคงเห็นแล้วว่าเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทาง หรือ ทำกิจกรรมแบบโลดโผน เพราะทาง GoPro ได้พัฒนากล้องรุ่นนี้ให้เหมาะสำหรับสาย Activity โดยเฉพาะ

ทั้งนี้ยังมีบางโหมดที่ถูกตัดออกไป ยกตัวอย่างเช่น การถ่ายภาพ, Live Streaming หรือ จอหน้าสำหรับการเซลฟี่ แนะนำว่าไม่เหมาะสำหรับสาย Content Creator
 
 
เลือกซื้อ GoPro 11 mini พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษที่ Aquapro
กล้องรุ่นจิ๋วที่มาพร้อมประสิทธิภาพแบบขั้นเทพ ในเวลานี้ต้องยกให้ GoPro 11 mini น้องใหม่มาแรงจากค่าย GoPro สำหรับใครที่สนใจสามารถสั่งซื้อ พร้อมรับโปรโมชั่นสุดพิเศษได้ที่ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ และ กล้อง Action Cam พร้อมอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อีกมากมาย ให้คุณได้เลือกใช้ตรงตามไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้หากใครที่ต้องการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกล้องโกโปร ขอแนะนำกลุ่ม GoPro Club พร้อมแชร์ทริคมากมายให้คุณได้เลือกใช้งาน
 
 
 
ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro

17


หลังจากที่ GoPro 11 เปิดตัวได้ไม่นาน เมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ก็ถึงเวลา เปิดตัว GoPro 11 mini สร้างมาเพื่อตอบโจทย์สาย Activity โดยเฉพาะ ดังนั้นการดีไซน์ และสเปคด้านการใช้งานเป็นอย่างไร มาดูรายละเอียดไปพร้อมๆ กันกับ Aquapro ได้เลย!!
 
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ เปิดตัว GoPro 11 mini กล้องตัวใหม่จากค่าย Mentagram

ดีไซน์ภายนอก GoPro 11 mini เป็นอย่างไร?


ทาง Mentagram ได้ทำการ เปิดตัว GoPro 11 mini ซึ่งการเปิดตัวของแต่ละรุ่นทางโกโปรไม่เคยทำให้ผิดหวัง เพราะจะมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เซอร์ไพร์สอยู่ตลอด แต่ก่อนที่จะไปดูเรื่องของสเปคการใช้งาน ไปดูกันก่อนดีกว่าว่าGoPro11 mini จะมีดีไซน์แตกต่างจากเดิมอย่างไร

ด้านรูปทรงภายนอก
กล้องโกโปร 11 มินิ เป็นเวอร์ชันที่มีขนาดเล็กลง และมีน้ำหนักเบากว่าโกโปร 11 อยู่ที่ 133 กรัม ไม่มีหน้าจอแสดงผล ถ้าสังเกตจะเห็นว่ามี Mount สำหรับยึดกล้องติดกับฐาน และด้านหลัง การออกแบบที่ติด Mount ในลักษณะนี้แน่นอนว่าสามารถยึดติดกับ Chesty mount หรือ นำไปเชื่อมต่อกับขาตั้งกล้อง เพื่อทำ Activity ต่างๆ ได้สบายๆ

ปุ่มควบคุมการทำงาน
โกโปร 11 มินิจะมีปุ่มด้านบนสามารถใช้งานได้ 2 แบบ คือ แตะเพื่อเลือกโหมด หรือ กดค้างเพื่อทำการบันทึก ส่วนปุ่มด้านหน้าใช้สำหรับกดเพื่อยืนยันคำสั่ง ส่วนโหมดอื่นๆ สามารถควบคุมการทำงานผ่านทาง GoPro’s Quik app

เปิดตัว GoPro 11 mini พร้อมบอกสเปค


ทางเราได้เตรียมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสเปคของโกโปร 11 มินิ มาไว้ให้คุณแล้ว! เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจก่อนเลือกซื้อ

  • แบตเตอรี่ รุ่นนี้ใช้ Enduro Battery มีขนาดความจุอยู่ที่ 1520 mAh
  • หน่วยประมวลผล GoPro11 mini ใช้หน่วยประมวลผล GP2 Processer ขนาดเซนเซอร์ 1/1.9 นิ้ว
  • ความละเอียดวิดีโอ รองรับความละเอียดสูงสุดที่ 5K 60fps, 4K 120fps และ 2.7K 240fps
  • ระดับสี ระดับความลึกของเฉดสีอยู่ที่ 10-bit color depth
  • HyperSmooth 5.0 รุ่นนี้มีระบบกันสั่นเทียบเท่ากับโกโปร 11 และโหมด Horizon Lock 360 องศา
  • มุมมองภาพ โหมดวิดีโอมีเลนส์ให้เลือกเหมือนกับรุ่น 11 ได้แก่ Hyperview, Superview, Timelapse และ Timewarp
  • Timelapse – Timewape 3.0 มีความละเอียดอยู่ที่ 5.3K 30fps และมีพรีเซตให้การถ่าย Night Mode ได้แก่ Star Trails​, Light Painting และ Vehicle Light Trails
  • ความสามารถกันน้ำ กันน้ำได้ที่ความลึก 10 เมตร หากไม่มีอุปกรณ์กันน้ำ สามารถกันได้ลึก 5 เมตร
  • ปุ่มควบคุมการใช้งาน โกโปรรุ่นนี้สามารถควบคุมการใช้งานง่ายๆ ผ่านทาง GoPro’s Quik app
  • Max Lens Mod ได้มุมมองภาพกว้างขึ้นถึง 155 องศา

มีอะไรแตกต่างจาก GoPro 11 บ้าง?


เมื่อพูดถึงด้านความแตกต่างของ GoPro11 mini และ GoPro11 มีความแตกต่างในด้านของดีไซน์ และมีคุณสมบัติการใช้งานบางอย่าง หากเป็นเรื่องของดีไซน์จะแตกต่างกันในเรื่องของ รูปทรง ขนาด หน้าจอทัชสกรีน และแบตเตอรี่ Build in ที่ติดมากับตัวเครื่อง
รวมถึงปุ่มควบคุมการทำงาน การตั้งค่าต่างๆ ภายในกล้องที่ส่วนใหญ่จะทำผ่าน Quik app โดยตรง ถัดมาเป็นเรื่องสเปคการใช้งาน ส่วนใหญ่การทำงานจะคล้ายกับ GoPro11 แต่ก็มีบางฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ตัดโหมดถ่ายภาพออก
  • ไม่มีโหมด Hindsight
  • ไม่มี Scheduled Capture
  • ไม่มีโหมด Looping Video
  • ไม่มีโหมด Web Cam
  • ไม่มี GPS
GoPro 11 mini มีความสามารถด้านการใช้งานใกล้เคียงกับ GoPro11 ถ้าใครที่เป็นสายออกทริป หรือสาย Activity แบบลุยๆ ขอบอกเลยว่ารุ่นนี้ตอบโจทย์อย่างแน่นอน!!
 
 
หลังการ เปิดตัว GoPro 11 mini รอชมรีวิว ได้ที่ Aquapro
สำหรับใครที่เคยใช้งานกล้องโกโปรมาก่อน กล้องรุ่นนี้เหมาะกับคุณอย่างแน่นอน เพราะมีระบบการทำงานใกล้เคียงกับรุ่นก่อน แถมรองรับการใช้งานที่สะดวกมากยิ่งขึ้น และถ้าหากใครที่กำลังรอ GoPro 11 mini สามารถติดตามข้อมูลอัปเดตได้ที่ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมอุปกรณ์เสริมมากมาย ที่เกี่ยวกับกล้อง Action Cam ในบทความหน้าเราจะมาทำการรีวิว GoPro 11 mini คุณสมบัติการใช้งานจะตอบโจทย์สาย Activity มากแค่ไหน สาวกโกโปรต้องห้ามพลาด!!
 
 
 
ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro

18

ปัจจุบันการ เสริมหน้าอก เป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากเทคนิคการผ่าตัดพัฒนามากขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่าทุกการศัลยกรรมอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาในภายหลัง สำหรับสาวๆ คนไหนที่เสริมหน้าอกแล้วเกิดปัญหา Rippling หรือ ซิลิโคนเป็นคลื่นริ้ว หากพบเจอปัญหานี้แน่นอนว่าจะทำให้คุณหมดความมั่นใจ แต่วันนี้ทาง Bujeong Clinic จะมาเผยสาเหตุ พร้อมบอกเคล็ดลับการดูแลสำหรับคนเสริมหน้าอก เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับสาวๆ รับรองว่าวิธีรับมือง่ายนิดเดียว!
 

Rippling หรือ รอยคลื่น คืออะไร


ภาวะ Rippling หรือ นมเป็นคลื่น คือ การเกิดรอยย่นบริเวณขอบถุงซิลิโคน เมื่อสัมผัสแล้วรู้สึกได้ถึงความขรุขระของผิว ไม่เรียบเนียน ปัญหานี้เกิดขึ้นจากความไม่พอดีของโพรง กับขนาดซิลิโคน เมื่อระยะเวลาผ่านไป หากมีการหดรัดของโพรงมากขึ้น จะส่งผลให้โพรงบีบซิลิโคนจนเกิดเป็นคลื่นริ้ว
 
สาเหตุของการเกิดรอยย่น Rippling


นอกเหนือจากโครงสร้างของผิวหน้าอกบางแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ผู้เสริมหน้าอกต้องทำความเข้าใจ ดังนี้

  • เกิดจากสภาพร่างกายของผู้เข้ารับบริการ เช่น ผิวหน้าอกบาง เนื้อหน้าอกน้อย
  • เลือกใช้ซิลิโคนที่มีขนาดใหญ่เกินไป
  • ขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัด เช่น การใส่ซิลิโคนแบบเหนือกล้ามเนื้อในผู้ที่มีผิวหน้าอกบาง
  • มีการเลาะโพรงหน้าอกแคบเกินไป ทำให้โพรงเกิดการบีบรัดซิลิโคนจนเป็นริ้ว
  • คุณภาพของซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมหน้าอกไม่ผ่านมาตรฐานการรับรอง
  • เนื้อสัมผัสของผิวซิลิโคน

มีวิธีป้องกัน และ แก้ไขอย่างไร?


อย่างที่บอกไปว่าการเกิด Rippling นั้นไม่มีอันตราย แต่อาจทำให้เกิดไม่มั่นใจเวลาใส่เสื้อผ้า ซึ่งในหัวข้อนี้ทางเราได้รวบรวมเคล็ดลับการป้องกัน และ วิธีแก้ไข เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่เกิดความกังวลใจกับปัญหา ซิลิโคนเป็นคลื่น

  • เลือกซิลิโคนที่มีขนาดเหมาะสมกับสรีระร่างกาย
  • สำหรับผู้ที่มีผิวหน้าอกบาง ควรเลือกใช้เทคนิคเสริมซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อแบบ Dual Plane
  • แผลผ่าตัดต้องไม่เล็กจนเกินไป
  • หากเกิดคลื่นริ้วเพียงเล็กน้อย สามารถแก้ไขด้วยวิธีการเพิ่มน้ำหนัก
  • หากเกิดคลื่นริ้วมาก และไม่สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ ศัลยแพทย์จะแนะนำให้เพิ่มขนาดหน้าด้วยการเสริมหน้าอก แบบ Hybrid หรือการเติมไขมันของตนเองเข้าไป
  • หมั่นนวดหน้าอกเป็นประจำเพื่อขยายโพรงหน้าอก
  • เลือกใช้ซิลิโคนที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหาร และยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) รวมถึงคลินิกเสริมความงามที่เลือกใช้บริการ ก็ต้องผ่านมาตรฐานการรับรองด้วยเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เกิดขึ้น อย่างเช่น คนไข้มีโครงสร้างผิวบาง และใส่ซิลิโคนอยู่เหนือกล้ามเนื้อ ต้องได้รับการแก้ไขโดยเปลี่ยนมาใส่ซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อแทน
 
ข้อแนะนำหลังเสริมหน้าอก


ในกรณีที่เสริมหน้าอกไประยะหนึ่งแล้วเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็น การคลำแล้วเจอขอบซิลิโคน หรือ สังเกตเห็นซิลิโคนเป็นริ้วชัดเจน ปัญหาเหล่านี้เราสามารถแก้ไขได้ โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวิเคราะห์ถึงสาเหตุ เพื่อการผ่าตัดแก้ไขที่ง่ายยิ่งขึ้น
 

เสริมหน้าอก กับ Bujeong Clinic รับรองความปลอดภัย ซิลิโคนไม่เป็นคลื่น!

Bujeong Clinic (ศูนย์ศัลยกรรมพูจองคลินิก) เป็นคลินิกเสริมความงาม ที่ให้บริการศัลยกรรม และ หัตถการ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ มาตรฐานความปลอดภัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งแพทย์ไทย และ แพทย์เกาหลี ที่มากด้วยประสบการณ์ ที่พร้อมจะเนรมิตให้คุณสวยแบบที่ต้องการ นอกจากนั้นแล้วพูจองคลินิกยังมีสาขาให้เลือกมากมายถึง 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัด เพราะความสวยไม่รอใคร อยากสวยเลือกทำที่ Bujeong Clinic !

มั่นใจ ปลอดภัย และ ได้มาตรฐาน พูจองคลินิกส่งตรงความงาม แบบฉบับเกาหลี

 
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic สำหรับเสริมความงาม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong Clinic – พูจอง คลินิก
Line : @Bujeong-Clinic
Tel : 088-050-1111
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic Surgery Center สำหรับศัลยกรรม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong surgery center
Line : @bujeongsurgery
Tel : 061-042-2999

19

การหาข้อมูล หรือดูรีวิวก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรม ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะใครๆ ก็อยากได้ผลลัพธ์ที่ดี สำหรับสาวๆ คนไหนที่มีแพลน ทำจมูก เร็วๆ นี้ อาจเกิดคำถามว่า ฉีดยาชาเสริมจมูกเจ็บไหม ? วันนี้ Bujeong Clinic มาพร้อมกับคำตอบเกี่ยวกับการฉีดยาชาก่อน เสริมจมูก เพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมตัวสำหรับสาวๆ ที่ต้องการหาข้อมูลก่อนตัดสินใจเสริมจมูก 
 
สามารถอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ ตอบคำถามยอดฮิต! ฉีดยาชาเสริมจมูกเจ็บไหม

ทำไมถึงต้องฉีดยาชา ก่อนทำจมูก


เนื่องจากการศัลยกรรมจมูกเป็นการผ่าตัดขนาดเล็ก จึงจำเป็นต้องใช้ยาชาเฉพาะทาง ซึ่งการเลือกใช้ประเภทของยาชาจะขึ้นอยู่กับความซับซ้อนในการผ่าตัด และความชำนาญของศัลยแพทย์ โดยแบ่งการฉีดออกเป็น 2 วิธีหลักๆ คือ การฉีดเฉพาะจุด กับ การฉีดที่ตอของเส้นประสาท

ทำไมจึงไม่นิยมดมยาสลบในการทำจมูก?
เหตุผลที่การศัลยกรรมจมูกไม่นิยมดมยาสลบในขณะผ่าตัด เพราะเป็นการผ่าตัดเล็กจึงไม่จำเป็นต้องเสี่ยงใช้วีธีการดมยาสลบ ที่อาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อของร่างกาย หากใช้กับผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยาสลบ หรือแพ้ยาชนิดอื่นๆ อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

ขั้นตอน ฉีดยาชา ทำจมูก
เมื่อเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัด แพทย์จะทำการฉีดยาชาไปยังบริเวณเนื้อเยื่อจมูก โดยใช้เวลาเพียง 3-5 นาทีเท่านั้น
 
ฉีดยาชา ทำจมูก ออกฤทธิ์อย่างไร อยู่ได้นานเท่าไหร่


หลังจากฉีดยาชาเข้าไปยังบริเวณที่ทำการผ่าตัดจะใช้เวลา 1-2 นาที หลังจากนั้นจะออกฤทธิ์ได้สูงสุด 3 ชั่วโมง โดยฤทธิ์ของยาอย่างที่รู้กันดีว่า ใช้เพื่อระงับการส่งความรู้สึกไปยังเส้นประสาท แต่ผู้เข้ารับการผ่าตัดยังคงมีสติ และรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวอยู่ 
 
ฉีดยาชาเสริมจมูกเจ็บไหม ?
การฉีดยาชาเสริมจมูก คุณจะรู้สึกเจ็บขณะฉีดเพียงไม่กี่นาที เพราะยาชามีฤทธิ์เป็นกรดสูงกว่าร่างกาย จึงทำให้รู้สึกเจ็บเฉพาะตอนเดินยา ทั้งนี้การบรรเทาความเจ็บจากการฉีดยาชา สามารถบรรเทาอาการเจ็บได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้

ควร ฉีดยาชา ทำจมูก อย่างไรให้เจ็บน้อยที่สุด


  • เนื่องจากตัวยามีฤทธิ์เป็นกรดมากกว่ากรดบนผิวหนัง หากต้องการบรรเทาอาการเจ็บขณะฉีด ต้องใช้ bicarbonate ที่มีฤทธิ์เป็นด่างผสมในยาชา
  • บรรเทาอาการเจ็บด้วยการฉีดบล็อกที่ตอเส้นประสาทก่อน แล้วจึงทำการฉีดส่วนที่เหลือของจมูก

  • การฉีดเฉพาะจุดมีเทคนิคที่ทำให้การฉีดลดความเจ็บลงได้ คือ การค่อยๆ ฉีดให้ยาชากระจายนำปลายเข็ม แล้วจึงฉีดในจุดต่อๆ ไป

  • ถ้าต้องการลดความเจ็บในเข็มแรก ต้องอาศัย Pinch Technique วิธีนี้จะช่วยลดการสัมผัสกับปลายเส้นประสาท และลดความเจ็บปวดจากปลายเข็ม
  • การเดินยาช้าๆ ในขณะฉีด
  • ใช้เข็มขนาดเล็กสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บลงได้

ข้อดีของการ ฉีดยาชา ทำจมูก
ข้อดีของการฉีดยาชาในการเสริมจมูกนั้น แม้ว่าจะส่งผลให้บริเวณที่ผ่าตัดไม่มีความรู้สึก แต่ในยาชามีสาร adrenaline ที่มีส่วนช่วยห้ามเลือดในการผ่าตัด ถ้าหากฉีดยาเข้าไปในชั้นผิวหนังที่ถูกต้อง ฤทธิ์ของยาชาจะทำให้ชั้นต่างๆ ของผิวหนังแยกออกจากกัน ยิ่งช่วยทำให้การผ่าตัดเป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้น
 
ผลข้างเคียง


ถึงแม้ว่าคุณสมบัติของยาชา จะมีความปลอดภัยอยู่ในระดับที่สูง เมื่อเทียบกับวิธีการระงับความรู้สึกในรูปแบบอื่นๆ แต่ก็อาจส่งผลเสียให้กับคนไข้ได้ ซึ่งผลข้างเคียงจะแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ

ผลข้างเคียงทั่วไป

  • มีเลือดออก มีรอยฟกช้ำ และอาจรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยบริเวณที่รักษา
  • รู้สึกปวด หรือ ไม่สบายตัวในบริเวณที่ถูกฉีดยาชา
  • รู้สึกเจ็บบริเวณที่ทำการรักษา

ผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

  • หัวใจเต้นเร็ว สายตาพร่ามัว
  • เจ็บหรือแน่นบริเวณหน้าอก
  • กล้ามเนื้อกระตุก
  • มีอาการแพ้ยา เช่น มีผดผื่นคัน หน้าบวม หายใจติดขัด ไปจนถึงภาวะชักหรือหัวใจหยุดเต้น

 
มองหาคลินิกเสริมจมูกคุณภาพ ส่งตรงจากเกาหลี ต้องที่ Bujeong Clinic

Bujeong Clinic (ศูนย์ศัลยกรรมพูจองคลินิก) เป็นคลินิกเสริมความงาม ที่ให้บริการศัลยกรรม และ หัตถการ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ มาตรฐานความปลอดภัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งแพทย์ไทย และ แพทย์เกาหลี ที่มากด้วยประสบการณ์ ที่พร้อมจะเนรมิตให้คุณสวยแบบที่ต้องการ นอกจากนั้นแล้วพูจองคลินิกยังมีสาขาให้เลือกมากมายถึง 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัด เพราะความสวยไม่รอใคร อยากสวยเลือกทำที่ Bujeong Clinic !

มั่นใจ ปลอดภัย และ ได้มาตรฐาน พูจองคลินิกส่งตรงความงาม แบบฉบับเกาหลี

 
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic สำหรับเสริมความงาม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong Clinic – พูจอง คลินิก
Line : @Bujeong-Clinic
Tel : 088-050-1111
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic Surgery Center สำหรับศัลยกรรม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong surgery center
Line : @bujeongsurgery
Tel : 061-042-2999

20


สำหรับคนที่มีฐานจมูกใหญ่การเสริมจมูกด้วยซิลิโคน แม้ว่าจะทำให้สันจมูกดูโด่งขึ้น แต่ทรงที่ได้อาจจะยังดูไม่เป็นธรรมชาติ คุณสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยเทคนิคการ เหลาฐานจมูก หากใครที่สนใจ วันนี้ทาง Bujeong Clinic ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเหลาฐานจมูกมาไว้ให้คุณแล้วในบทความนี้!
 
สามารถอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ เหลาฐานจมูก คืออะไร? เหมาะกับใคร พูจองมีคำตอบ

เหลาฐานจมูก คืออะไร?


การ เหลาจมูก คือ วิธีการปรับฐานจมูกที่กางออกมาให้แคบลง โดยการผ่าตัดเลื่อยกระดูกฐานจมูกด้านในให้เล็กลง และปรับให้เหมาะสมกับสันกระดูกของจมูกด้านนอก เทคนิคการเหลาฐานจมูก อาจจะฟังดูคล้ายกับการตอกฐานจมูก แต่จริงๆ แล้วทั้ง 2 เทคนิคนี้มีความแตกต่างกัน

เพราะการเหลาฐานจมูกจะทำด้วยวิธีการผ่าตัด แล้วเลื่อยกระดูกฐานจมูกด้านในให้เล็กลง แล้วปรับให้เข้ากับรูปหน้า โดยการแก้ไขจมูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ นั่นก็คือ

  • การแก้ไขภาวะปกติ คือ การแก้ไขโครงสร้างของจมูกที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด อย่างเช่น ฐานกระดูกจมูกไม่เท่ากัน, จมูกเอียง หรือ มีปุ่มกระดูกนูนกลางจมูก (ฮัมพ์)

  • การแก้ไขภาวะแทรกซ้อน คือ การแก้ไขจมูกในผู้ที่เคยผ่านการเสริมจมูกมาแล้ว และเกิดปัญหาซิลิโคนทะลุ, ซิลิโคนเอียง หรือ เกิดการอักเสบ เป็นต้น

การเหลาจมูกช่วยอะไร?

สำหรับใครที่มีปัญหาจมูกใหญ่ ฐานจมูกกว้าง คุณสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ด้วยการผ่าตัดเลื่อยฐานกระดูก และปรับให้เหมาะสมกับรูปหน้า ถ้าหากต้องการปรับแก้โครงสร้างจมูกจำเป็นต้องอาศัยเทคนิค เหลาฐานจมูก ก่อนทำการเสริมจมูก ซึ่งเทคนิคดังกล่าวจะเหมาะกับจมูกลักษณะใดบ้างตามไปดูกัน!


การ เหลาฐานจมูก เหมาะกับใคร

1. กระดูกฐานจมูกกว้าง เกิดจากกระดูกโครงสร้างของจมูกใหญ่ทั้ง 2 ข้าง สามารถทำได้ด้วยวิธีผ่าตัดเลื่อยฐานจมูก หากทำร่วมกับการตอกตัดฐานจมูก ยิ่งทำให้รูปทรงของจมูกดูเรียวเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

2. จมูกมีฮัมพ์ สำหรับคนที่มีฮัมพ์จมูกลักษณะนี้จะมีโครงสร้างคดเอียง และมีปลายจมูกงุ้ม วิธีแก้ไขสามารถทำได้ด้วยการเหลากระดูกที่นูนออกมา ในกรณีที่มีฮัมพ์เล็กสามารถปรับแก้ด้วยการ เหลาจมูก เพื่อให้ฐานจมูกดูเรียบขึ้นได้ แต่สำหรับคนที่มีฮัมพ์ขนาดใหญ่ แนะนำว่าควรแก้ไขด้วยการตอกตัดฐานจมูกร่วมด้วย

3. สันจมูกกว้าง การที่มีสันจมูกกว้างจะทำให้สันจมูกดูไม่โดดเด่น ในกรณีนี้สามารถผ่าตัดลดกระดูกจมูกให้เล็กลงหรือเหลาฐานจมูก เพื่อปรับโครงสร้างของจมูกให้เข้ากับรูปหน้ามากที่สุด

4. สันจมูกดูต่ำกว่าความสูงของสันจมูกจริง ปัญหาสันจมูกต่ำจะทำให้รูปทรงของจมูกดูแบน เมื่อเสริมซิลิโคนเข้าไปอาจทำให้รูปทรงของจมูกดูใหญ่ขึ้น การแก้ไขสามารถใช้วิธีตะไบกระดูก เพื่อช่วยลดความหนา และใช้วิธีผ่าตัดเหลาฐานจมูกร่วมด้วย
 
เหลาจมูก เจ็บไหม มีผลข้างเคียงอย่างไร?


การเหลาฐานจมูกเป็นขั้นตอนที่ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ เพราะมีการใช้ยาชาหรือดมยาสลบขณะผ่าตัด เหมือนกับการศัลยกรรมจมูกทั่วๆ ไป นอกจากนี้การศัลยกรรมเหลาฐานจมูก อาจมีผลข้างเคียงหลังผ่าตัดที่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนี้

  • เกิดอาการเลือดออกในจมูก

  • มีอาการบวมช้ำมากกว่าการเสริมจมูกทั่วไป เนื่องจากกระดูกบริเวณแกนจมูกเคลื่อนที่


ปรับทรงจมูกให้สวย ด้วยเทคนิคเหลาฐานจมูก ที่ Bujeong Clinic

Bujeong Clinic (ศูนย์ศัลยกรรมพูจองคลินิก) เป็นคลินิกเสริมความงาม ที่ให้บริการศัลยกรรม และ หัตถการ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ มาตรฐานความปลอดภัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งแพทย์ไทย และ แพทย์เกาหลี ที่มากด้วยประสบการณ์ ที่พร้อมจะเนรมิตให้คุณสวยแบบที่ต้องการ  นอกจากนั้นแล้วพูจองคลินิกยังมีสาขาให้เลือกมากมายถึง 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัด เพราะความสวยไม่รอใคร อยากสวยเลือกทำที่ Bujeong Clinic !

มั่นใจ ปลอดภัย และ ได้มาตรฐาน พูจองคลินิกส่งตรงความงาม แบบฉบับเกาหลี

 
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic สำหรับเสริมความงาม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong Clinic – พูจอง คลินิก
Line : @Bujeong-Clinic
Tel : 088-050-1111
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic Surgery Center สำหรับศัลยกรรม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong surgery center
Line : @bujeongsurgery
Tel : 061-042-2999


21


สำหรับใครที่ทำจมูกแล้วต้องการตัวช่วยที่ทำให้จมูกของคุณเข้ารูป ได้ทรงสวย การตอกฐานจมูกถือเป็นเทคนิคที่ช่วยปรับรูปทรง และทำให้จมูกดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น วันนี้ทาง Bujeong Clinic ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการตอกฐานจมูก เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ สำหรับผู้ที่ต้องการปรับลุคความสวยนอกเหนือจากการเสริมจมูกด้วยซิลิโคน


ตอกฐานจมูกคืออะไร

“การตอกฐานจมูก” เทคนิคนี้เป็นวิธีการทำให้ฐานสองข้างของสันจมูกเท่ากัน ดูเรียว และ ได้รูปมากขึ้น เป็นการปรับแต่งรูปทรงของจมูก เพื่อเสริมซิลิโคนเข้าไปได้ง่ายยิ่งขึ้น

ตอกฐานจมูกช่วยอะไรบ้าง?
การเสริมซิลิโคนเป็นเพียงการเพิ่มความโด่งของสันจมูกเท่านั้น ถ้าหากต้องการทำให้จมูกของคุณเข้ารับกับใบหน้า การตอกฐานจมูกจะเป็นเทคนิคที่ช่วยทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

  • ช่วยให้การศัลยกรรมจมูกได้ทรงสวย การ ตอกฐานจมูก คือ วิธีการที่แพทย์สามารถดีไซน์รูปทรงและความกว้างของสันจมูกให้ฐานมีความเท่ากันทั้งสองข้าง

  • ช่วยลดการเบี้ยวเอียง และลอยของซิลิโคนได้ หากใครที่กำลังประสบปัญหาฐานจมูกไม่เท่ากัน ขอแนะนำการตอกฐานจมูกสำหรับทุกๆ เคสที่มีการเสริมจมูก เทคนิคนี้จะช่วยลดการเบี้ยว เอียง และลอยของซิลิโคนได้

  • ช่วยลดขนาดตรงสันจมูกฮัมพ์ใหญ่ ก่อนเสริมใส่ซิลิโคน การตอกฐานจมูกจะช่วยปรับสันจมูกให้เล็ก และเรียบตรง เมื่อเสริมซิลิโคนจะทำให้จมูกมีทรงสโลปสวย เข้ากับใบหน้า

  • ช่วยปรับแต่ง และลดขนาดของแกนจมูก สำหรับเคสที่กระดูกบริเวณแกนจมูกนูนออกมามากเกินไป การตอกฐานจมูกจะช่วยบีบให้ฐานจมูกแคบลง

  • ช่วยปรับโครงสร้างจมูกได้หลายแบบ เทคนิคการตอกฐานจมูก สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างได้หลายลักษณะ เพื่อให้ได้สัดส่วนตามที่ต้องการ เช่น จมูกฮัมพ์ใหญ่ จมูกโก่งงุ้ม จมูกเบี้ยว เอียง แกนคด

ตอกฐานจมูก คือ มีกี่แบบ


สำหรับการตอกฐานจมูกสามารถเลือกทำได้ทั้ง 3 เทคนิค ไม่ว่าจะเป็นการทำจมูกแบบกึ่งเปิด (Semi-open) เทคนิคเปิด (Open) หรือ เทคนิคปิด (Closed) ซึ่งการผ่าตัดทั้ง 3 เทคนิคสามารถทำได้ ดังนี้

1. การผ่าตัดแบบกึ่งเปิด (Semi-Open Nose Recon)
การผ่าตัดด้วยวิธีการนี้ แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลผ่านรูจมูกทั้ง 2 ข้าง แล้วเข้าไปปรับโครงสร้างของจมูกในทุกๆ ส่วนให้เป็นไปตามรูปทรงที่ต้องการ

2. การผ่าตัดจมูกแบบเปิด (Open Nose Recon)
การผ่าตัดด้วยวิธีการนี้ แพทย์จะทำการผ่าเปิดแผลให้เห็นโครงสร้างจมูกทั้งหมด จากนั้นจึงสอดอุปกรณ์เข้าไปตัดแต่งกระดูกส่วนเกิน ด้วยการตอกฐานให้แคบลงและกรอฐานจมูกให้เรียบ ซึ่งวิธีแบบเปิดเหมาะกับเคสที่มีฮัมพ์ขนาดใหญ่ มีแกนคด และมีฐานจมูกกว้าง

3. การผ่าตัดจมูกแบบปิด (Closed Nose Recon)
แพทย์จะผ่าเปิดแผลขนาดพียง 2 มิลลิเมตร ข้างใดข้างหนึ่งของสันจมูก แล้วทำการสอดเครื่องมือขนาดเล็กเข้าไปตอกฐานจมูก วิธีการนี้เหมาะสำหรับคนที่มีฐานจมูกกว้าง แต่ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาแกนจมูกคด

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับฐานจมูกทั้งนี้ก่อนการศัลยกรรมจมูก แพทย์จะวิเคราะห์เลือกใช้รูปแบบการผ่าตัด และตอกฐานจมูกซึ่งสามารถทำได้ 2 แบบ คือ

1. การตอกฐานจากด้านนอก (บริเวณ 2 ข้างของสันจมูก)
วิธีการนี้จะใช้เครื่องมือเพื่อปรับฐานจมูกที่กว้าง ไม่ได้รูป ให้หุบแคบลง และมีขนาดเท่ากันมากขึ้น ก่อนใส่ซิลิโคน ซึ่งจะมีแผลขนาด 2-3 มิลลิเมตร ข้างสันจมูกทั้ง 2 ข้าง แล้วค่อยๆ จางให้ไป

2. การตอกฐานจากด้านในรูจมูก
วิธีการนี้จะใช้เครื่องมือสอดเข้าไป บริเวณแผลเดียวกับการเสริมจมูก และทำการตกแต่งฐานจมูกก่อนใส่ซิลิโคน วิธีนี้จะช่วยไม่ให้มีแผลเป็นด้านนอก และลดความบวมช้ำของใบหน้า

การตอกฐานจมูก เหมาะกับใคร


ก่อนตัดสินใจตอกฐานจมูก สิ่งที่ควรรู้ คือ ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมในลักษณะนี้ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในภายหลัง โดยการตอกฐานจมูกเหมาะกับคนที่มีจมูกในลักษณะต่างๆ ดังนี้

  • ฮัมพ์จมูกใหญ่

  • ฐานข้างจมูกไม่เท่ากัน

  • ฐานข้างจมูกใหญ่

  • ฐานจมูกเอียง

  • ฐานจมูกกว้าง ไม่ได้รูป
 

การเตรียมตัวก่อนและหลังทำ ตอกฐานจมูก


การเตรียมตัวก่อนและหลังทำเสริมจมูกตอกฐาน มีวิธีการเตรียมตัวก็คล้ายกับการทำศัลยกรรมทั่วไป ได้แก่

  • ปรึกษาแพทย์ เข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการประเมินว่า ควรใช้เทคนิคอะไรในการปรับรูปทรงจมูก

  • แจ้งข้อมูลการแพ้ยา แพ้อาหาร หากคนไข้มีประวัติการแพ้ยา หรือแพ้อาหาร ควรแจ้งแพทย์ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ใช้ประจำ

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และ สูบบุหรี่ ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง และงดดื่มกาแฟ งดสูบบุหรี่ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน

  • งดวิตามิน หรือ ยาที่มีผลต่อการทำงานของเลือด ควรงดทานวิตามินและยาอย่างน้อย 1 เดือนก่อนและหลังการผ่าตัด เนื่องจากวิตามินเหล่านี้จะส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ทำให้แผลเกิดการบวมช้ำ

  • ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ก่อนเข้ารับการผ่าตัด ควรดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง และพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเข้ารับการผ่าตัด


ตอกฐานจมูกให้สวยละมุน แบบสาวเกาหลี ต้องที่ Bujeong Clinic

Bujeong Clinic (ศูนย์ศัลยกรรมพูจองคลินิก) เป็นคลินิกเสริมความงาม ที่ให้บริการศัลยกรรม และ หัตถการ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ มาตรฐานความปลอดภัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งแพทย์ไทย และ แพทย์เกาหลี ที่มากด้วยประสบการณ์ ที่พร้อมจะเนรมิตให้คุณสวยแบบที่ต้องการ  นอกจากนั้นแล้วพูจองคลินิกยังมีสาขาให้เลือกมากมายถึง 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัด เพราะความสวยไม่รอใคร อยากสวยเลือกทำที่ Bujeong Clinic !

มั่นใจ ปลอดภัย และ ได้มาตรฐาน พูจองคลินิกส่งตรงความงาม แบบฉบับเกาหลี



สามารถติดตาม Bujeong Clinic สำหรับเสริมความงาม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong Clinic – พูจอง คลินิก
Line : @Bujeong-Clinic
Tel : 088-050-1111
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic Surgery Center สำหรับศัลยกรรม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong surgery center
Line : @bujeongsurgery
Tel : 061-042-2999

22


ปัจจุบันมีเทคนิคด้านการศัลยกรรมที่พัฒนามากขึ้น ทำให้การผ่าตัดเสริมจมูกเป็นไปได้โดยง่าย และเกิดแผลขนาดเล็ก จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนทุกเพศและทุกวัย ปัจจุบันคนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดอายุน้อยกว่า 20 ปีลงเรื่อยๆ วันนี้ทาง Bujeong Clinic จะมาตอบคำถามว่า อายุ 18 ทําจมูกได้ไหม พร้อมแนะนำช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการเสริมจมูก


อายุ 18 ทําจมูกได้ไหม ?


สำหรับวัยรุ่นที่อยากทำจมูก คำถามที่มักเกิดขึ้น คือ อายุ 18 ทําจมูกได้ไหม ? คำตอบ คือ “ได้” เพราะอายุ 18 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่ และเป็นช่วงที่กระดูกอ่อนบริเวณจมูกไม่มีการเติบโตไปมากกว่านี้ แต่คนที่เสริมจมูกก่อนอายุ 18-20 ปี ร่างกายและเนื้อเยื่อบริเวณจมูก ยังโตไม่เต็มที่ อาจทำให้รูปทรงของจมูกเกิดการเปลี่ยนแปลง และมีโอกาสสูงที่เราจะต้องแก้ไขจมูกในอนาคต
 
ศัลยกรรมในช่วงอายุน้อย ส่งผลเสียอย่างไร?


หลังจากที่ทราบกันไปแล้วว่า อายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถศัลยกรรมได้ แต่การศัลยกรรมก่อนอายุ 18 ปี จะเกิดผลเสียตามมามากมาย จะมีอะไรอีกบ้างตามไปดูกัน!

  • อวัยวะเติบโตไม่เต็มที่ การทำศัลยกรรมด้วยการผ่าตัดเสริมอวัยวะที่ต้องใช้วัสดุใส่เข้าไปในร่างกาย ซึ่งวัสดุดังกล่าวจะเข้าไปกดทับเนื้อเยื่อและกระดูกบริเวณนั้น ทำให้เจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ตามช่วงอายุ

  • รูปทรงไม่สวยงาม ช่วงอายุ 12-17 ปี เป็นวัยที่ร่างกายเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถ้าทำศัลยกรรมในช่วงที่ร่างกายโตไม่เต็มที่ เมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้รูปทรงมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลง เพราะวัสดุที่เสริมเข้าไปไม่สามารถเจริญเติบโตตามร่างกายได้

  • เจ็บตัวหลายรอบ การทำศัลยกรรมตอนที่ร่างกายยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดการปรับแก้ เพื่อให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ

  • เสียเวลาและค่าใช้จ่ายมาก เมื่อมีการศัลยกรรมหลายรอบส่งผลให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะต้องมีการนำวัสดุที่เสริมครั้งแรกออก ก่อนทำการใส่วัสดุใหม่เพื่อเสริมเข้าไปแทนที่

เสริมจมูกได้ตอนอายุเท่าไหร่


จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมจมูก หรือ การผ่าตัดเพื่อลดขนาดจมูก สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18-20 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายเติบโตเต็มที่ ทำให้รูปทรงของจมูกที่เสริมมีลักษณะเข้ากับใบหน้าได้ดี

ถ้าหากใครที่มีแพลนเสริมจมูก นอกจากเรื่องของอายุแล้ว ยังมีข้อสังเกตอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องพิจารณาว่าคุณจัดอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถเสริมจมูกได้หรือไม่

  • คนไข้ควรมีอายุ 18-20 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่เนื้อเยื่อ และกระดูกของจมูกเจริญเติบโตเต็มที่

  • ไม่ได้อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ หรือ ให้นมบุตร

  • ไม่แนะนำในผู้ที่ใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด มีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน หรือ โรคหลอดเลือดผิดปกติต่าง ๆ เช่น เส้นเลือดตีบ

  • ไม่แนะนำในผู้ที่มีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อการผ่าตัด เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น

  • หากเป็นหวัด หรือมีแผลติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อนเสริมจมูก

  • ไม่แนะนำในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี (HIV)

  • สำหรับผู้ที่จัดฟันควรจัดฟันให้เสร็จก่อน เพราะการจัดฟันแนวฟันจะถูกบีบให้เล็กลง มีส่วนทำให้จมูกดูโด่งขึ้น

การทำจมูกยังต้องพิจารณาทั้งรูปหน้า และ รูปทรงจมูก ที่สำคัญควรเลือกแพทย์และคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อระหว่างการเข้ารับการศัลยกรรม


เสริมจมูกทรงสวย ตามแบบฉบับเกาหลี ต้องที่ Bujeong Clinic

Bujeong Clinic (ศูนย์ศัลยกรรมพูจองคลินิก) เป็นคลินิกเสริมความงาม ที่ให้บริการศัลยกรรม และ หัตถการ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ มาตรฐานความปลอดภัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งแพทย์ไทย และ แพทย์เกาหลี ที่มากด้วยประสบการณ์ ที่พร้อมจะเนรมิตให้คุณสวยแบบที่ต้องการ  นอกจากนั้นแล้วพูจองคลินิกยังมีสาขาให้เลือกมากมายถึง 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัด เพราะความสวยไม่รอใคร อยากสวยเลือกทำที่ Bujeong Clinic !

มั่นใจ ปลอดภัย และ ได้มาตรฐาน พูจองคลินิกส่งตรงความงาม แบบฉบับเกาหลี



สามารถติดตาม Bujeong Clinic สำหรับเสริมความงาม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong Clinic – พูจอง คลินิก
Line : @Bujeong-Clinic
Tel : 088-050-1111
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic Surgery Center สำหรับศัลยกรรม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong surgery center
Line : @bujeongsurgery
Tel : 061-042-2999

23


อาการหลักๆ ที่คนส่วนใหญ่มักพบเจอหลังเสริมจมูก คือ เสริมจมูกแล้ว บวมตรงระหว่างคิ้ว อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ วันนี้ทาง Bujeong Clinic จะมาบอกอาการหลังเสริมจมูกที่คนส่วนใหญ่มักพบเจอ พร้อมแชร์เทคนิคเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเองหลังผ่าตัด จะมีอะไรบ้างไปดูกัน!
 

อาการหลังเสริมจมูก ที่มักพบเจอ
หลายๆ คนที่เพิ่งเสริมจมูกมักจะมีผลข้างเคียงหลังผ่าตัดแตกต่างกันออกไป สำหรับคนที่เพิ่งเสริมจมูกควรสังเกตตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ แล้วถ้าหากเกิดอาการเหล่านี้ควรรับมืออย่างไรไปดูกันเลย!

ผลข้างเคียงทั่วไปหลังเสริมจมูก


  • อาการบวมหลังเสริมจมูก การผ่าตัดเสริมจมูก คือ การนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย ส่งผลให้เกิดอาการบวมช้ำ ซึ่งจะเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 วันแรกหลังผ่าตัด

  • เจ็บแผลที่จมูก อาการเสริมจมูก คือ การผ่าตัดทำให้เนื้อเยื่อเกิดบาดแผล จึงทำให้มีอาการเจ็บบริเวณแผลเล็กน้อย แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อจมูกปรับตัวได้


  • มีอาการตึงหลังทำจมูก เนื่องจากผิวหนังถูกซิลิโคนดันจนตึง โดยเฉพาะบริเวณปลายจมูก แต่อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเนื้อเยื้อบริเวณดังกล่าวปรับตัวเข้ากับซิลิโคน

  • มีกลิ่นแปลกๆ ในจมูก หลังจากเสริมจมูกอาจได้กลิ่นแปลกๆ ในจมูก เช่น กลิ่นเลือด กลิ่นน้ำเหลือง หรือกลิ่นยา แต่กลิ่นเหล่านี้จะหายไปเองหลังจากที่แผลหายสนิท

  • อาการคันแผลหลังทำจมูก อาการนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่แผลในจมูกหายใหม่ๆ หรือเริ่มตกสะเก็ด ซึ่งเป็นผลข้างเคียงทั่วไปที่สามารถเกิดขึ้นได้

ผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตราย


  • จมูกเบี้ยว ปัญหานี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น จมูกเดิมมีฐานเบี้ยวอยู่แล้ว หรือแพทย์ทำการวางซิลิโคนผิดตำแหน่ง ถ้าหากใครที่เกิดอาการเหล่านี้ คุณสามารถเข้าพบแพทย์ เพื่อทำการแก้ไขปรับรูปทรงจมูกได้

  • ซิลิโคนลอย อาการนี้อาจเกิดจากการวางซิลิโคนตื้นเกินไป ไม่ได้วางในชั้นเยื้อหุ้มกระดูก ทำให้ซิลิโคนจมูกมีการขยับได้ง่าย หากปล่อยไว้อาจทำให้ซิลิโคนทะลุได้

  • ซิลิโคนทะลุ อาการนี้มักพบบ่อยสำหรับคนที่เนื้อจมูกน้อย หรือ คนที่เสริมจมูกปลายพุ่งเกินกว่าที่เนื้อจมูกจะรับได้

  • อาการแพ้ซิลิโคนจมูก เนื่องจากซิลิโคนบางชนิดมีการผสมสารเคมี หลังจากเสริมจมูกหากใครมีสิวเม็ดเล็กๆ ขึ้น และมีอาการบวมแดงบริเวณจมูก หากเกิดอาการดังกล่าวแล้วปล่อยไว้ อาจทำให้จมูกอักเสบและทะลุได้

อาการจมูกอักเสบหลังเสริมจมูก เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การรับประทานอาหารแสลง, เกิดจากการสัมผัสแผลบ่อย หรือ เกิดจากการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนและกอร์เท็กซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน

เสริมจมูกแล้ว บวมตรงระหว่างคิ้ว เกิดจากอะไร?


สำหรับใครที่ เสริมจมูกแล้ว บวมตรงระหว่างคิ้ว หลังผ่าตัด ถือเป็นอาการทั่วไปที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าหากผ่านไป 7-14 วันแล้วยังไม่ยุบ หรือมีอาการบวมอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อบริเวณจมูก นอกจากนี้การติดเชื้อยังสามารถแบ่งได้หลายระดับ หากคุณอยู่ในภาวะที่สุ่มเสี่ยงสามารถสังเกตอาการของตัวเองได้ ดังนี้

  • จมูกที่ติดเชื้อไม่รุนแรง จะมีอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งระยะนี้ให้รีบเข้ามาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการแก้ไข

  • จมูกติดเชื้อระดับปานกลาง เริ่มมีน้ำเหลืองหรือเลือดไหลออกจากรอยแผลผ่าตัด ร่วมกับมีอาการบวมแดงและปวดบริเวณแผล

  • จมูกติดเชื้อระดับรุนแรง สีผิวหนังบริเวณจมูกจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือสีดำ เนื้อจมูกเปลี่ยนรูป เนื่องจากซิลิโคนกินเนื้อจมูก ทำให้เนื้อจมูกยุบ เน่า และทะลุ เป็นต้น

การดูแลตัวเองเบื้องต้น หลังเสริมจมูก

1. การนอนยกหัวสูงหรือใช้หมอนรองคอหนุนให้สูงขึ้น และงดการนอนตะแคง 1 เดือน เพื่อไม่ทำให้เกิดเลือดคั่งบริเวณจมูก และช่วยประคองไม่ทำให้รูปทรงจมูกบิดเบี้ยว

2. ช่วง 1-3 วันแรกประคบบริเวณที่เกิดอาการบวม รอยฟกช้ำ ด้วยเจลแพ็ค ประคบอย่างต่อเนื่องประมาณ 48 ชั่วโมง และวันที่ 3 ให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่น เพื่อบรรเทาอาการบวมและรอยฟกช้ำ

3. หลังจากการผ่าตัดเสริมจมูก แน่นอนว่าต้องงดล้างหน้าในช่วง 3-4 วันแรก ดังนั้นการทำความสะอาดใบหน้าสามารถทำได้ด้วยการใช้กระดาษซับมัน และใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดให้ทั่วใบหน้า และหลีกเลี่ยงบริเวณจมูก


วิธีแก้ไขอาการ เสริมจมูกแล้ว บวมตรงระหว่างคิ้ว

ถึงแม้ว่า อาการบวมระหว่างคิ้วหลังเสริมจมูก จะเป็นอาการทั่วไปที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่เสริมจมูก แต่ทั้งนี้ก็ควรมีวิธีดูแลตัวเบื้องต้น เพื่อให้อาการบวมดังกล่าวสามารถดีขึ้นได้นั่นก็คือ การประคบเย็นช่วง 1-3 วันแรกหลังผ่าตัด หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์ ให้ใช้ประคบอุ่นบริเวณที่มีอาการบวมตรงระหว่างคิ้ว และปลายจมูกเพื่อช่วยลดอาการบวม และลดรอยฟกช้ำ


 
เลือกคลินิกเสริมจมูกคุณภาพ แถมได้ทรงสวย ต้อง Bujeong Clinic

Bujeong Clinic (ศูนย์ศัลยกรรมพูจองคลินิก) เป็นคลินิกเสริมความงาม ที่ให้บริการศัลยกรรม และ หัตถการ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ มาตรฐานความปลอดภัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งแพทย์ไทย และ แพทย์เกาหลี ที่มากด้วยประสบการณ์ ที่พร้อมจะเนรมิตให้คุณสวยแบบที่ต้องการ  นอกจากนั้นแล้วพูจองคลินิกยังมีสาขาให้เลือกมากมายถึง 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัด เพราะความสวยไม่รอใคร อยากสวยเลือกทำที่ Bujeong Clinic !

มั่นใจ ปลอดภัย และ ได้มาตรฐาน พูจองคลินิกส่งตรงความงาม แบบฉบับเกาหลี

 
 

สามารถติดตาม Bujeong Clinic สำหรับเสริมความงาม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong Clinic – พูจอง คลินิก
Line : @Bujeong-Clinic
Tel : 088-050-1111
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic Surgery Center สำหรับศัลยกรรม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong surgery center
Line : @bujeongsurgery
Tel : 061-042-2999

24


สาวๆที่กำลังมองหาตัวช่วยสำคัญในการเมคอัพผิวให้สวยดูเป็นธรรมชาติและลดขั้นตอนในการเตรียมผิว แน่นอนว่าในเวลาที่เร่งรีบ คุชชั่น เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มากที่สุด! ทั้งให้การปกปิด มอบผิวสวยดูเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังพกพาง่าย สำหรับใครที่เคยใช้แต่รองพื้น หากคุณได้ใช้ คุชชั่นจองแซมมุล แล้วล่ะก็ จะต้องตกหลุมรักคุชชั่นตัวนี้อย่างแน่นอน >< เพราะนอกจากจะสามารถมอบผิวสวยได้ไม่แพ้การใช้รองพื้นปัญหาคราบ วอก หนา โบ๊ะ จะหมดไป เพราะมีหลายสูตรให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของสภาพผิว


สาวก คุชชั่นจองแซมมุล แบบเราจึงมีตัวที่ใช้ซ้ำประจำใจอย่าง Masterclass Radiant Cushion และอัปเดตของใหม่ด้วย Skin Nuder Cover Layer Cushion ที่เป็น Cushion 2022 ตัวใหม่มาแรงที่ฮ็อตสุดๆ สาวกจองแซมมุลต้องมีทั้ง 2 รุ่นแล้วล่ะค่ะ! แล้วคุชชั่นสองรุ่นนี้เหมือนหรือต่างกันยังไง รุ่นไหนเหมาะกับผิวแบบไหน แล้วให้งานผิวออกมาอย่างไรกันนะ?  แจนได้รวบรวมคำตอบของ คุชชั่นจองแซมมุล ทั้งสองรุ่นมาให้ที่นี่แล้วค่ะ ^^

มาดูกันเลยว่า คุชชั่นจองแซมมุล รุ่นไหนปัง!


: คุณสมบัติ :
  • Masterclass Radiant Cushion : คุชชั่นที่มอบการปกปิดให้ผิวแบบ Full Coverage โดยมี Radiant Mool Ampoule ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยคงความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนานกว่า 24 ชั่วโมง พร้อมให้ผลลัพธ์แบบผิวฉ่ำโกลว์แบบสุขภาพดี ไม่เป็นคราบ สามารถป้องกันรังสี UV ได้ ด้วย SPF 50+ PA+++
  • Skin Nuder Cover Layer Cushion : คุชชั่น Soft Matte โดยเนื้อคุชชั่นจะเป็นแป้งผสมเอสเซนส์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและให้สัมผัสที่อ่อนโยนกับผิว จึงเป็นสูตรคุมมันแต่ไม่ทำให้ผิวแห้ง อีกทั้งยังบางเบา ปกปิดสูง ติดทนยาวนาน สามารถป้องกันรังสี UV ได้ ด้วย SPF 50+ PA+++


: เนื้อสัมผัส :
คุชชั่นจองแซมมุล ทั้งสองรุ่นนี้ มีเนื้อสัมผัสละเอียด เกลี่ยง่าย บางเบา แต่ปกปิด แทปแล้วกลืนไปกับผิว แทบไม่ต้องแตะแทปซ้ำหลายครั้ง ผิวก็ดูเรียบเนียน ไม่หนา ไม่หนักหน้า อีกทั้งยังติดทน สามารถให้งานผิวที่ดูสุขภาพดีเป็นธรรมชาติ โดยที่รู้สึกสบายผิวและไม่แห้งตึงได้ตลอดทั้งวันเลยล่ะค่ะ ><

:  เฉดสี  :
  • Masterclass Radiant Cushion : มี 3 เฉดสี ได้แก่ Ivory, Vanilla และ Sand  (แจนใช้เฉดสี Vanilla จะช่วยทำให้ผิวผ่องขึ้น แต่ยังดูเป็นธรรมชาติ)
  • Skin Nuder Cover Layer Cushion :  มี 4 เฉดสี ได้แก่ Fair light, N-light, Light และ Medium (แจนใช้เฉดสี Medium ปัจจุบันเฉดสีนี้ใช้แล้วสีจะเข้มกว่าผิวจริงเล็กน้อย เพราะช่วงที่เลือกซื้อผิวคล้ำกว่านี้ค่ะ ><)


: แพ็กเกจจิ้งและพัฟ :
  • Masterclass Radiant Cushion : ตลับดีไซน์ด้วยสีโรสโกลด์เหลือบทอง เมื่อโดนแสงจะมีประกายระยิบระยับ บ่งบอกถึงความฉ่ำโกลว์ของงานผิวที่จะได้จากคุชชั่นรุ่นนี้ ตัวพัฟเป็นพัฟปลายแหลมที่สามารถเก็บรายละเอียดตามซอกมุมของผิวบนใบหน้า ขนาดพัฟพอดีมือ สามารถควบคุมน้ำหนักมือได้ง่ายตามแรงกดของนิ้ว และให้สัมผัสที่นุ่มไม่บาดผิวอีกด้วย
  • Skin Nuder Cover Layer Cushion : ตลับดีไซน์ด้วยสีโทนนู้ด ดูสะอาดตา สไตล์มินิมอล  บริเวณฝามีความเล่นแสง โดยด้านข้างจะเป็นซิลิโคนที่มีผิวสัมผัสแบบด้าน สมกับเป็นคุชชั่นเนื้อแมตต์คุมมันตามแบบฉบับ Cushion 2022 คุชชั่นรุ่นนี้ในตอนเปิดตัวจะมีสติกเกอร์ลวดลายดอกเดซี่มาให้ในกล่อง สำหรับติดประดับตกแต่งเป็นกิมมิค เพิ่มความปุ๊กปิ๊กน่ารักน่าใช้ให้กับแพ็กเกจจิ้งขึ้นไปอีก ตัวพัฟมีลักษณะเป็น Smooth Fit Puff เมื่อแทปลงบนผิวจะช่วยให้เนื้อคุชชั่นจองแซมมุลยึดเกาะผิวได้ดีมากยิ่งขึ้น


: วิธีใช้ :
การใช้คุชชั่นจองแซมมุลแห่งปี Cushion 2022 ของทั้งสองรุ่นเหมือนกันเลย
โดย “เน้นการใช้พัฟค่อยๆแทปลงบนผิวหน้า”

1. กดพัฟลงบนฟองน้ำให้คุชชั่นจองแซมมุลซึมลงพัฟ
2. นำพัฟมาแตะที่ถาด MIX&MATCH เพื่อควบคุมปริมาณ
3. ค่อยๆแตะ โดยไล่มาตั้งแต่โหนกแก้มลงมาที่คางและโหนกแก้มอีกด้านนึงลงมาที่คางเช่นกัน
4. แทปบริเวณอื่นเพื่อให้สีผิวเนียนเรียบสีสม่ำเสมอ


: คุชชั่นจองแซมมุล รุ่นไหนเหมาะกับใคร? :
  • Masterclass Radiant Cushion : สาวๆที่ชอบงานผิวฉ่ำๆ บอกเลยว่าคุชชั่นจองแซมมุลตลับนี้ตอบโจทย์เป็นที่สุด! เพราะเนื้อคุชชั่นรุ่นนี้มีความฉ่ำโกลว์ เล่นแสง ให้ผิวที่ดูสุขภาพดีเป็นธรรมชาติ แม้เนื้อคุชชั่นจะบางเบา แต่ให้การปกปิดขั้นสุด เพียงแค่แทปลงบริเวณที่มีปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว รอยแดง เส้นเลือด หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ คุชชั่นจองแซมมุลรุ่นนี้ก็เอาอยู่ แต่สำหรับรอยดำ สิวหัวเปิดหรือริ้วรอยต่างๆ อาจจะต้องใช้คอนซีลเลอร์ช่วยเพื่อเพิ่มความเรียบเนียนให้ผิว หรือถ้าต้องการปกปิดเฉพาะจุดก็สามารถแตะแทปเพิ่มเฉพาะจุดได้ อีกทั้งเนื้อคุชชั่นยังติดทนยาวนาน สีไม่ดรอประหว่างวันอีกด้วย และสำหรับใครที่มีสภาพผิวแห้งหรือผิวผสมค่อนไปทางแห้งจะต้องถูกใจคุชชั่นจองแซมมุลตลับนี้แน่นอน!
  • Skin Nuder Cover Layer Cushion : ยกให้เป็นลูกรักของสาวๆที่มีผิวมัน ไปจนถึงผิวผสมเลยล่ะค่ะ เพราะคุชชั่นจองแซมมุลตลับนี้สามารถควบคุมมันได้ดี ให้ฟินิชลุคแบบ Semi matte แต่ไม่ทำให้ผิวแห้ง ให้การปกปิดขั้นสุด ไม่ว่าจะรอยสิว กระ รูขุมขนกว้างหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ คุชชั่นรุ่นนี้ก็สามารถปกปิดได้อย่างเรียบเนียน ไม่เป็นคราบ สามารถแต่งไปได้ทุกที่ในสภาพอากาศของเมืองไทย สีไม่ดรอประหว่างวัน และไม่ค่อยติดแมสด้วยค่ะ!


สรุปว่า คุชชั่นจองแซมมุลทั้งสองรุ่นนี้เหมือนกันตรงที่ใช้แล้วปกปิดได้ดี สีไม่ดรอป ติดทนยาวนานอยู่ได้ตลอดทั้งวันโดยที่ผิวไม่แห้ง โดยมีวิธีการใช้หรือขั้นตอนต่างๆที่เหมือนกัน ให้ผลลัพธ์เป็นไปตามคำเคลมของแบรนด์ทั้งสองรุ่นเลย แต่สำหรับใครที่ชอบงานผิวฉ่ำวาว เล่นแสง ดูโกลว์เกาหลีเกาใจ Masterclass Radiant Cushion (ราคา 1,950 บาท) ตอบโจทย์เป็นที่สุด! ส่วนใครที่ชอบงานผิวเนียนเป๊ะ ฟินิชลุคแบบแมตต์ต้องรุ่นนี้เลยค่ะ Skin Nuder Cover Layer Cushion (ราคา 1,500 บาท) ซึ่งราคาต่างกันหลักร้อยแต่มีรีฟิลให้มาทั้งคู่ (ถือว่าคุ้มมากกก เพราะตลับนึงได้ยาวนาน ยิ่งตัว Masterclass Radiant Cushion กว่าจะเปลี่ยนก็ลืมไปแล้วว่าเก็บรีฟิลไว้ที่ไหน ><)

ในส่วนของแพ็กเกจ มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่มีขนาดเหมาะแก่การพกพาทั้งคู่ น้ำหนักเบา หยิบมาใช้ได้สะดวก ไม่ว่าจะแต่งหน้าในวันสบายๆ หรือแต่งหน้าเพื่อออกงานสำคัญ ก็สามารถให้งานผิวที่ดูสุขภาพดีเป็นธรรมชาติ ไม่หนักหน้า ช่วยให้สาวๆสามารถแต่งหน้าได้ทุกวันทุกโอกาส จึงขอยก คุชชั่นจองแซมมุล ให้เป็น Cushion 2022 ที่ควรมีติดโต๊ะเครื่องแป้งในปีนี้เลยค่ะ!

สนใจเนื้อหาเต็มอ่านได้ที่ : https://bit.ly/3CrDV70

25


ใบ กํา กับ ภาษี คือ เจ้าของกิจการต้องรู้กับเรา Narinthong!

คุณเคยสังเกตไหม? เมื่อเราไปจ่ายค่าบริการต่างๆ เช่น ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์ หรือค่าบริการอื่นๆ มักจะได้เอกสารใบเล็กๆ กลับมาด้วยเสมอ จริงๆ แล้วเอกสารที่มาพร้อมกับการจ่ายค่าบริการต่างๆ คือ "ใบกำกับภาษี" (Tax Invoice)
สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจมือใหม่ รวมถึงผู้เข้ารับบริการ หากคุณกำลังเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับใบกำกับภาษี วันนี้ทาง นรินทร์ทอง ได้รวบรวมข้อมูลของใบกำกับภาษีมาไว้ในบทความนี้แล้ว ซึ่งรายละเอียดจะมีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย!!


ใบ กํา กับ ภาษี คือ อะไร?


ใบ กำ กับ ภาษี คือ เอกสารสำคัญที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้จัดทำ และออกเอกสารให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ เพื่อเป็นการยืนยันว่าเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้ามาแล้ว

มีความสำคัญอย่างไร
การออกใบกำกับภาษี คือ เอกสารที่ผู้ประกอบการ จะต้องออกให้กับผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ เพื่อใช้เป็นหลักฐานสำหรับการแสดงมูลค่าของสินค้าหรือบริการ และจำนวนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยผู้ประกอบการจะต้องออกใบกำกับภาษีออกเป็น 2 ฉบับ ได้แก่

  • ต้นฉบับ ผู้ประกอบการจะต้องออกให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ

  • สำเนา ผู้ประกอบการจะต้องเก็บไว้ใช้เป็นหลักฐานในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มรายเดือน ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องเก็บเอกสารเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี

ผู้ออกใบกำกับภาษี คือใคร?
ผู้มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษี คือ ผู้ประกอบการกิจการที่จดทะเบียนเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และจะต้องมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีจากการประกอบกิจการ โดยผู้ประกอบกิจการมีหน้าที่ยื่นคำขอ และจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากรภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่กิจการมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท

เกี่ยวข้องกับการทำบัญชีอย่างไร
ปกติแล้วธุรกิจที่เริ่มมีการจัดตั้งอยู่ในรูปแบบบริษัท สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องรู้ คือ การจัดเตรียมเอกสารและข้อมูลทางบัญชีต่างๆ เพื่อเป็นหลักฐานแสดงต่อกรมสรรพากรในการหักค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริง มีทั้งรูปแบบบุคคลธรรมดา และ นิติบุคคล

ใช้ได้ภายในกี่เดือน
อายุของใบกำกับภาษีสามารถนำมาใช้หักกับภาษีขาย (Output VAT) ได้ไม่เกิน 6 เดือน โดยเริ่มนับตั้งแต่เดือนถัดจากเดือนที่ออกใบกำกับภาษี แต่ถ้าหากคุณมีภาษีซื้อ (Input VAT) แล้วไม่ได้นำมาหักภาษีจะต้องมีสาเหตุ ดังนี้

  • เหตุจำเป็น ซึ่งเกิดขึ้นตามประเพณีทางการค้า

  • เหตุสุดวิสัย

  • ได้รับใบกำกับภาษีในเดือนภาษีอื่น ที่ไม่ใช่เดือนตามที่ระบุไว้ในใบกำกับภาษี

ใบ กำ กับ ภาษี คือ มีกี่รูปแบบ?
หลังจากที่ได้รู้จักความสำคัญของใบกำกับภาษีกันไปแล้ว ในหัวข้อนี้ก่อนที่จะไปพูดถึงรายละเอียดต่างๆ เราจะมาอธิบายความหมายของคำว่า "e-Tax Invoice" คืออะไร? แล้วแตกต่างจาก ใบกำกับภาษีเขียนด้วยมือ อย่างไร?


Tax Invoice กับ e-Tax Invoice ต่างกันอย่างไร?
e-Tax Invoice หรือ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นรูปแบบที่กรมสรรพากรได้พัฒนาขึ้นมาแทนการออกใบรับ/ใบกำกับภาษีแบบกระดาษ เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก หรือผู้ที่เริ่มต้นทำธุรกิจ อย่างเช่น ร้านค้าออนไลน์ และมีการใช้งานที่สะดวกรวดเร็วกว่า

ใบกำกับภาษี มีกี่ประเภท
สำหรับการออกใบกำกับภาษีนั้นจะมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆ คือ ใบกำกับภาษีอย่างย่อ และ ใบกำกับภาษีรูปแบบเต็ม โดยทั้ง 2 ประเภทจะมีข้อแตกต่างกันในด้านการใช้งาน ดังนี้

1. ใบกำกับภาษีอย่างย่อ
ใบกำกับภาษีอย่างย่อ คือ เอกสารหลักฐานสำคัญในอีกรูปแบบหนึ่ง สำหรับ "กิจการค้าปลีก" ที่มีการจด VAT เพื่อเอาไว้เป็นหลักฐานแสดงมูลค้าสินค้า และบริการนั้นๆ อย่างเช่น กิจการแผงลอย, กิจการขายของชำ, กิจการขายยา, ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม ฯลฯ


2. ใบกำกับภาษีรูปแบบเต็ม
ใบกำกับภาษีรูปแบบเต็ม คือ เอกสารที่ผู้ประกอบการสามารถออกเอกสารได้ก็ต่อเมื่อมีการร้องขอ ซึ่งใบกำกับภาษีรูปแบบเต็มผู้ซื้อสามารถนำไปใช้เป็นภาษีซื้อได้ ที่สำคัญต้องมีรายละเอียดครบถ้วน ตรงตามที่ใบกำกับภาษี (ม.86/4) กำหนด ซึ่งประกอบไปด้วย 7 ส่วน ดังนี้



1. ในเอกสารจะต้องมีคำว่า “ใบกำกับภาษี” ในที่ที่เห็นได้เด่นชัด
2. ต้องมีการระบุ ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวภาษีอากร ของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ออกใบกำกับภาษี
3. ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ของผู้ซื้อสินค้า หรือ ผู้รับบริการ
4. หมายเลขลำดับของใบกำกับภาษี และหมายเลขของเล่ม (ถ้ามี)
5. ชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้า หรือ ของบริการ
6. จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่คำนวณจากมูลค่าของสินค้า หรือ ของบริการที่แสดงอย่างชัดเจน
7. วัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี

การขอคืนภาษี จะต้องมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง?
สิ่งสำคัญต่อมาที่ผู้ประกอบการต้องรู้ก็คือ "การขอคืนภาษี" ในหัวข้อนี้จะเป็นการบอกรายละเอียดคร่าวๆ เกี่ยวกับเงื่อนไขของการขอคืนภาษี โดยจะมีอะไรบ้างไปดูกัน!

  • การขอคืนภาษีเป็นสิทธิ์ที่ผู้เสียภาษีสามารถทำได้

  • ช่วงเวลาการขอคืนภาษี

  • ขั้นตอนการตรวจสอบการขอคืนภาษี

  • กรมสรรพากรคืนเงินภาษีล่าช้า คิดดอกเบี้ยได้

  • เลือกช่องทางการรับเงินคืนภาษีได้

  • สามารถตรวจสอบสถานะการคืนเงินภาษี ผ่านทางกรมสรรพากรได้

สรุปเรื่องใบกำกับภาษี ที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้!


สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ "ใบกำกับภาษี" ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือผู้ใช้บริการ ก็จำเป็นต้องรู้ข้อมูลเหล่านี้ เพื่อไม่ให้เสียผลประโยชน์ และสามารถมั่นใจได้ว่าทำถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร เพียงเท่านี้การออกใบกำกับภาษีก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ถ้าหากคุณคือผู้ประกอบการที่ต้องการคำปรึกษา เราขอแนะนำ นรินทร์ทอง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการบัญชี และภาษี ที่พร้อมให้คำปรึกษา และวางระบบการจัดทำใบกำกับภาษี รับรองว่าเอกสารทางการบัญชีของคุณจะไม่ยุ่งยากอีกต่อไป!
 
 
อยากทำใบกำกับภาษี นรินทร์ทองการบัญชี พร้อมให้คำปรึกษา
สำหรับใครที่สนใจจดทะเบียนบริษัท ยื่นภาษีอากร หรือทำบัญชีบริษัท ต้องเลือกทำกับ บริษัท นรินทร์ทอง จำกัด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านบัญชี และภาษี รวมไปถึงการจดทะเบียนนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบ บริษัท หรือห้างหุ้นส่วน ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี ทำให้มั่นใจได้เลยว่าหากเลือกใช้บริการกับเรา จะทำให้ธุรกิจของคุณพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดแน่นอน อยากเติบโตในธุรกิจเลือก Narinthong !!

  • บริการส่งภาษีอากร

  • บริการจดทะเบียบบริษัท

  • บริการทำเงินเดือนพนักงาน

  • บริการรับทำบัญชี

นรินทร์ทองอยากให้ธุรกิจของคุณพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด

 
 
ใครมีข้อสงสัย ต้องการคำปรึกษา นรินทร์ทอง สามารถติดต่อสอบถามได้ที่
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : narinthong.ac@gmail.com
Tel : 081-626-6872, 02-404-2339

26


สำนักงานบัญชี คือ สำนักงานที่เปิดให้บริการในด้านการจัดทำบัญชี และ ภาษี หากใครที่กำลังดำเนินธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แล้วจำเป็นต้องจัดทำบัญชี ซึ่งในบทความนี้ นรินทร์ทอง จะพาคุณไปดูว่า สำนักงานบัญชีเปิดให้บริการในด้านใดบ้าง และผู้ประกอบธุรกิจประเภทใดที่ควรจ้างสำนักงานบัญชี ในบทความนี้มีคำตอบ!!
 

สำนักงาน บัญชี คือ อะไร


สำนักงาน บัญชี คือ สำนักงานที่เปิดให้บริการในด้านการจัดทำบัญชี ภาษี และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับงานบัญชี รวมไปถึงให้คำแนะนำด้านการจดทะเบียนบริษัท ทั้งในรูปแบบบุคคลธรรมดา คณะบุคคล และ นิติบุคคล
 
ให้บริการอะไรบ้าง
สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจก่อนเลือกจ้าง สำนักงาน บัญชี จำเป็นต้องรู้ว่าผู้ให้บริการรายนั้นเปิดให้บริการในด้านใดบ้าง เพื่อความถูกต้อง และ ความคุ้มค่าที่ผู้ว่าจ้างสมควรได้รับ โดยหน้าที่การให้บริการมีดังนี้

1. สิ่งที่ต้องทำเพราะกฎหมายบังคับ
1.1 ยื่นแบบภาษี และ ประกันสังคมรายเดือน
1.2 ทำบัญชี และ ปิดงบการเงินประจำปี
1.3 ยื่นงบการเงิน และ ภาษีประจำปี

2. สิ่งที่กฎหมายไม่ได้บังคับ แต่ทำเพื่อประโยชน์ต่อการบริหารงานของธุรกิจ
ในหัวข้อด้านล่างนี้ ไม่ได้ถูกบังคับใช้ทางกฎหมาย แต่ผู้ประกอบกิจการสามารถเลือกจ้างสำนักงานบัญชีให้ดำเนินงานเหล่านี้ได้ เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานของกิจการ
2.1 งานบัญชีบริหาร
2.2 งานให้คำปรึกษาด้านบัญชี-ภาษีอากร

3. การปิดบัญชีทั่วไป หากต้องการให้ทำบัญชีรายเดือน ทางสำนักงานบัญชีจะรวบรวมเอกสารของแต่ละเดือน เพื่อทำการบันทึกข้อมูล ได้แก่ งบทางการเงิน, งบกระทบยอดเงินฝากธนาคาร, รายรับ, รายจ่าย รวมไปถึงให้คำปรึกษาเเรื่องการบัญชี และ ภาษี
 
ใครควรจ้างสำนักงานบัญชี
หลายๆ คนอาจเกิดคำถามว่า ในปัจจุบันเมื่อมีโปรแกรมบัญชีแล้ว การจ้างสำนักงานบัญชียังจำเป็นอยู่ไหม? คำตอบคือ ยังจำเป็นอยู่!! เพราะการใช้โปรแกรมทางบัญชี เป็นเพียงการจัดทำบัญชีในรูปแบบเบื้องต้นเท่านั้น ดังนั้นการทำบัญชีควรอาศัยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ และมีความรู้ในเรื่องของบัญชีและภาษีโดยตรง


3.1 ควรตัดสินใจจ้างทำบัญชีเมื่อไหร่?
การเลือกจ้างสำนักงานบัญชีเป็นการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับผู้ว่าจ้าง โดยผู้ประกอบการธุรกิจ หรือ เจ้าของบริษัท จะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมว่าธุรกิจของตนนั้น ควรตัดสินใจจ้างทำบัญชีเมื่อไหร่ ซึ่งแนวทางในการพิจารณาข้อมูลต่างๆ มีรายละเอียดดังนี้

ขนาดกิจการ
  • ธุรกิจขนาดเล็ก หากเป็นกิจการขนาดเล็กที่มีเจ้าของเพียงคนเดียว หรือ เป็นธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี และไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แนะนำว่ายังไม่จำเป็นต้องจ้างสำนักงานบัญชี

  • ธุรกิจขนาดกลาง หากเป็นกิจการขนาดกลางขึ้นไป มีการจดทะเบียนบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนในรูปแบบนิติบุคคล สามารถจ้างสำนักงานบัญชีได้

ค่าใช้จ่าย
  • ธุรกิจเปิดใหม่ หากผู้ประกอบการมีธุรกิจที่ยังไม่ได้ทำการจดทะเบียนนิติบุคคล หรือ มีรายได้เข้ามาไม่มาก แนะนำให้ทำแค่รายการบันทึกรายรับ รายจ่าย และ ยื่นภาษีบุคคลธรรมดาด้วยตัวเอง เพื่อประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่าย

  • ธุรกิจที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคล เมื่อมีการจดทะเบียนเกิดขึ้น ตามหลักแล้วควรจ้างทำบัญชี แต่ถ้าหากไม่พร้อมในเรื่องของค่าใช้จ่าย แนะนำว่าควรจ้างเฉพาะช่วงที่ต้องการปิดงบ สอบบัญชี และ ยื่นเสียภาษีเท่านั้น

  • ธุรกิจที่มีความพร้อมเรื่องเงินทุน ถ้าหากเป็นธุรกิจในลักษณะนี้ ควรจ้างสำนักงานบัญชีให้จัดการเรื่องบัญชี และภาษีทั้งหมด ซึ่งจะช่วยในการแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการได้

แนวโน้มการเติบโตในอนาคต
ถ้าหากคาดการณ์แล้วว่า แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในอนาคตจะเพิ่มสูงขึ้น หรือมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว แนะนำว่าควรจ้างบริษัทบัญชีที่เป็นผู้สอบบัญชีมาช่วยทำในส่วนนี้ เพราะการมีที่ปรึกษาทางการบัญชีที่ดี จะช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้เติบโตในอนาคตได้อย่างมั่นคง


3.2 ประโยชน์ในการจ้างสำนักงานบัญชี

  • ลดความผิดพลาดของการทำบัญชี และ ยื่นภาษี

  • ได้ที่ปรึกษาส่วนตัว

  • มีการอัปเดตกฎหมายทางบัญชี และภาษี

เลือกทำบัญชีกับเราดีอย่างไร


ในปัจจุบันการทำบัญชีมีทางเลือกมากมายสำหรับผู้ประกอบการ ทั้งการทำบัญชีผ่านโปรแกรมด้วยตนเอง หรือการว่าจ้างสำนักงานบัญชีต่างๆ แต่การทำบัญชีกับ นรินทร์ทอง ดีกว่าอย่างไร? เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจให้แก่ผู้ประกอบการ ทางเราได้รวบรวมข้อดีต่างๆ เอาไว้ ดังนี้

  • มีความรู้ทางด้านบัญชี-ภาษี-ธุรกิจ

  • มีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมาย

  • มีตัวตน และ มีหลักแหล่งชัดเจน

  • มีความตรงไปตรงมา

  • ติดต่อได้ง่าย


ถ้าหากคุณกำลังมองหาสำนักงานบัญชีที่มีประสิทธิภาพ ให้ นรินทร์ทอง เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ เพราะเราเปิดให้บริการมามากกว่า 20 ปี รับรองว่าธุรกิจของคุณจะเติบโตแบบก้าวกระโดด และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง!!
 
 
เลือกสำนักงานบัญชีที่น่าเชื่อถือ เลือกนรินทร์ทองการบัญชี และกฎหมาย

สำหรับใครที่สนใจจดทะเบียนบริษัท ยื่นภาษีอากร หรือทำบัญชีบริษัท ต้องเลือกทำกับ บริษัท นรินทร์ทอง จำกัด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านบัญชี และภาษี รวมไปถึงการจดทะเบียนนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบ บริษัท หรือห้างหุ้นส่วน ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี ทำให้มั่นใจได้เลยว่าหากเลือกใช้บริการกับเรา จะทำให้ธุรกิจของคุณพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดแน่นอน อยากเติบโตในธุรกิจเลือก Narinthong !!

  • บริการส่งภาษีอากร

  • บริการจดทะเบียบบริษัท

  • บริการทำเงินเดือนพนักงาน

  • บริการรับทำบัญชี

นรินทร์ทองอยากให้ธุรกิจของคุณพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด

 
 
ใครมีข้อสงสัย ต้องการคำปรึกษา นรินทร์ทอง สามารถติดต่อสอบถามได้ที่
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : narinthong.ac@gmail.com
Tel : 081-626-6872, 02-404-2339

27


เฌอร่าบอร์ด กับ สมาร์ทบอร์ด เป็นนวัตกรรมการก่อสร้างแบบแห้ง ที่นิยมนำมาใช้กับงานติดตั้งฝ้าเพดาน ผนัง และ พื้น ใช้สำหรับภายในและภายนอก สำหรับใครกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นเฌอร่าบอร์ด และสมาร์ทบอร์ด เพื่อนำไปใช้ในงานก่อสร้าง วันนี้ทาง MTcement จะชวนคุณไปไขข้อสงสัยระหว่างเฌอร่าบอร์ดกับสมาร์ทบอร์ด ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร? แล้วแต่ละแบบเหมาะกับการใช้งานแบบไหน? ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย!
 

เฌอร่าบอร์ด คือ


เฌอร่าบอร์ด (Shera board) คือ ผลิตขึ้นจากไฟเบอร์ซีเมนต์ ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับติดตั้งหรือตกแต่งอาคาร ที่อยู่อาศัย ทั้งภายในและภายนอก ที่สำคัญตอนนี้ทาง MTcement มี "เฌอร่าบอร์ดรุ่นใหม่" มาแนะนำด้วยนะ! โดยวัสดุ เฌอร่า บอร์ด โปร คือ แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ ผลิตด้วยเทคโนโลยี FyberTec ที่ช่วยจัดเรียงเส้นใยด้วยเทคนิคพิเศษ ด้วยเส้นใยที่เพิ่มขึ้นทำให้มีความเหนียว และทนไฟได้ดีกว่าแผ่นยิปซั่ม และแผ่นไม้อัดธรรมดา
 
สมาร์ทบอร์ด คือ


แผ่นสมาร์ทบอร์ด (Smart board) เป็นวัสดุมีความแข็งแรงทนทาน และยืดหยุ่นกว่าวัสดุแผ่นซีเมนต์ทั่วไป สมาร์ทบอร์ดไม่มีส่วนผสมของใยหิน โดยผลิตผ่านเครื่องอบไอน้ำแรงดันสูง จนกลายมาเป็นแผ่นไม้สมาร์ทบอร์ดในรูปแบบต่างๆ มีความทนทานต่อความร้อน และความชื้นได้เป็นอย่างดี

เฌอร่าบอร์ด กับ สมาร์ทบอร์ด ต่างกันอย่างไร?


ถ้าหากใครที่กำลังสนใจวัสดุทั้ง 2 ประเภทนี้ วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง เฌอร่าบอร์ด และ สมาร์ทบอร์ด ในด้านรูปลักษณ์ภายนอก คุณสมบัติ รวมถึงแนวทางการเลือกใช้งาน ซึ่งแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันในด้านใดบ้างมาดูกันเลย!

หน้าตา และ ผิวสัมผัส
เฌอร่าบอร์ด มี 2 ลักษณะ คือ แบบมีลวดลาย และ แบบเรียบ ถ้าแบบไม่มีลวดลาย ผิวสัมผัสของเฌอร่าบอร์ดจะมีความเรียบเนียน สามารถทาสีได้ง่ายมากกว่าแผ่นสมาร์ทบอร์ดแบบธรรมดา

สมาร์ทบอร์ด ในส่วนของหน้าตาและผิวสัมผัสของสมาร์ทบอร์ด ผิวสัมผัสจะมีความหยาบมากกว่า และภายในเนื้อของสมาร์ทบอร์ดจะมีการผสมใยไฟเบอร์ในระดับที่น้อยกว่า ทำให้เกิดการแตกหักได้ง่ายกว่าแผ่นเฌอร่าบอร์ด

ความหนา และ ขนาด
เฌอร่าบอร์ด เมื่อพูดถึงความหนาและขนาดของแผ่นเฌอร่าบอร์ด จะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการใช้งาน ดังนี้

  • งานฝ้าหรือเพดาน จะมีความหนาอยู่ที่ 3.2 - 6 มิลลิเมตร และมีขนาด 120 x 240 x 0.4 เซนติเมตร

  • งานผนัง จะมีความหนาอยู่ที่ 6 - 12 มิลลิเมตร มี 4 ขนาดด้วยกัน ได้แก่ 120 x 240 x 0.4, 0.8, 1.0 และ 1.2 เซนติเมตร

  • งานพื้น จะมีความหนาอยู่ที่ 15 - 20 มิลลิเมตร มี 3 ขนาดด้วยกัน ได้แก่ 120 x 240 x 1.5, และ 2.0 เซนติเมตร เหมาะสำหรับงานพื้นที่ใช้สำหรับรองพื้น หรือเพื่อปรับระดับพื้นเดิมก่อนปูวัสดุอื่นๆ ปิดทับ

สมาร์ทบอร์ด หากพูดถึงความหนา และ ขนาด ที่สามารถนำไปใช้งานได้ทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น งานสำหรับฝ้า เพดาน ผนัง และพื้นทุกขนาด มีดังนี้

  • งานฝ้าหรือเพดาน ความหนาอยู่ที่ 4 - 6 มิลิเมตร มี 4 ขนาด ได้แก่ ขนาด 60 x 120, 240 เซนติเมตร ขนาด 120 x 120, 240 เซนติเมตร

  • งานผนัง ความหนาอยู่ที่ 8, 10 และ 12 มิลลิเมตร มีขนาด 120 x 120, 240 เซนติเมตร

  • งานพื้น ความหนา อยู่ที่ 16, 18 และ 20 มิลลิเมตร โดยแต่ละขนาด อยู่ที่ 120 x 240 เซนติเมตร

เปรียบเทียบน้ำหนัก
ถ้าเปรียบเทียบความหนาของ เฌอร่าบอร์ด กับ สมาร์ทบอร์ด ที่ 12 มิลลิเมตร (120 x 240 เซนติเมตร) เฌอร่าบอร์ดมีน้ำหนักอยู่ที่ 53.65 กิโลกรัม ส่วนสมาร์ทบอร์ดมีน้ำหนักอยู่ที่ 52.2 กิโลกรัม จะเห็นได้ว่าเฌอร่าบอร์ดจะมีความหนักมากกว่า ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายและติดตั้งไม่สะดวกเท่าสมาร์ทบอร์ด ส่วนเรื่องความทนทานต้องขอยกให้กับเฌอร่าบอร์ด เพราะถึงแม้ว่าจะมีน้ำหนักมากกว่า แต่สามารถรับแรงกระแทกได้ดีกว่า

การกันเสียง
เฌอร่าบอร์ด หากเป็นความสามารถในการกันเสียง เฌอร่า บอร์ด โปร จะมีความเหนียวมากกว่าสมาร์ทบอร์ดทั่วไปถึง 4 เท่า! มีคุณสมบัติในการกันเสียงได้ดีเยี่ยม เหมาะกับการใช้เป็นผนังเบาสำหรับอาคารทุกประเภท
สมาร์ทบอร์ด ความสามารถในการป้องกันเสียงจะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าเฌอร่าบอร์ด เนื่องจากมีส่วนผสมของเส้นใยเซลลูโลสน้อยกว่า จึงทำให้เนื้อของสมาร์ทบอร์ดมีความบางกว่า

ฉลากรักษาสิ่งแวดล้อม
ทั้งเฌอร่าบอร์ด และ สมาร์ทบอร์ด ได้ใบรับรองจาก Green Label Singapore ที่ออกโดยสภาสิ่งแวดล้อมของประเทศสิงคโปร์ และ IGBC อนุมัติโดยสมาพันธ์อุตสาหกรรมของประเทศอินเดีย นอกจากนี้ยังได้รับ Carbon label หรือฉลากคาร์บอน ที่ออกโดยสถาบันสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ซึ่งรางวัลเหล่านี้ได้ถูกจัดให้เป็นของ "เฌอร่าบอร์ด" เพราะมีคุณสมบัติที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และช่วยลดมลพิษได้อย่างดีเยี่ยม
 
ความเหมาะสมในการใช้งาน


หัวข้อนี้เราจะมาพูดถึงความเหมาะสมในการใช้งานของวัสดุแต่ละประเภท ถ้าหากเลือกใช้สมาร์ทบอร์ดเป็นวัสดุในการก่อสร้าง ควรตกแต่งให้เกิดความสวยงามด้วยวิธีการทาทับ หรือฉาบปิดผิว และไม่ควรนำไปใช้ในพื้นที่เปียกตลอดเวลา นอกจากนี้ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งของสมาร์ทบอร์ดก็คือ รับน้ำหนักได้น้อย และไม่คงทนต่อแรงกระแทก

ส่วนแผ่น เฌอร่า บอร์ด โปร ผลิตขึ้นจากเทคโนโลยี FyberTec ซึ่งเป็นนวัตกรรมสูตรพิเศษ จึงทำให้มีคุณสมบัติในการรองรับน้ำหนักได้ดีกว่าแผ่นสมาร์ทบอร์ดทั่วไป โดยราคาเริ่มต้นของแผ่น เฌอร่า บอร์ด โปร รุ่น ขอบตรง ขนาด 0.6 x 120 x 240 เซนติเมตร มีราคาอยู่ที่ 247 บาท/ชิ้น และหากเป็น เฌอร่า บอร์ด โปร รุ่น ขอบลาด ขนาด 0.6 x 120 x 240 เซนติเมตร มีราคาอยู่ที่ 263 บาท/ชิ้น

นอกจากงานก่อสร้างแล้วแผ่นเฌอร่ายังสามารถนำมาใช้สำหรับงานออกแบบตกแต่งได้ เนื่องจากมีผิวสัมผัสที่เรียบเนียนทำ แต่ทั้งนี้การเลือกใช้วัสดุทั้งสองประเภทควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก โดยดูจากคุณสมบัติ รวมถึงข้อจำกัดต่างๆ ของวัสดุ เพื่อการใช้งานที่เหมาะสม 
 

เลือก เฌอร่าบอร์ด สูตรใหม่ ได้ที่ MTcement!
สำหรับใครที่กำลังมองหาวัสดุก่อสร้างบ้านด้วยเฌอร่าบอร์ด ขอแนะนำ MTcement ธุรกิจจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง วัสดุตกแต่ง ทั้งค้าส่ง และค้าปลีกในระยะเวลายาวนานกว่า 40 ปี เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ารายสำคัญของผู้ผลิตชั้นนำหลายแห่ง มีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับผู้ผลิต ส่งผลให้เรามีอำนาจในการต่อรองราคา และสามารถจำหน่ายสินค้าในราคา  ”กันเอง”

หากลูกค้าท่านใดที่ต้องการใช้สินค้าเป็นจำนวนมาก ทางเราสามารถต่อรองกับบริษัทผู้ผลิตเพื่อนำเสนอ “ราคาพิเศษ” ที่สำคัญมีทีมขนส่งเกือบทุกประเภทจากทั่วพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพ และ ปริมณฑล เพื่อให้ได้รับการบริการที่ทั่วถึง เพราะทางเราใส่ใจความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้า เพื่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
 
 
 
ติดต่อสอบถามข้อมูล และข้อสงสัยต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook: คอนกรีตผสมเสร็จ โดย เมืองไทยซีเมนต์
E-mail: info@mtcement.com
Line: @mtcement
Tel: 088 – 554 – 1555, 02 – 328 – 0684

28


อิฐมวลเบา ได้มีการพัฒนาคุณสมบัติเหมาะกับการใช้งานในสภาพภูมิอากาศ และ สภาพแวดล้อมปัจจุบัน เนื่องจากคุณสมบัติของอิฐมวลเบาไม่อมความร้อน และรักษาอุณหภูมิภายในบ้านได้เป็นอย่างดี ถ้าหากใครที่กำลังวางแผนก่อผนัง หรือสร้างกำแพงด้วยอิฐมวลเบา วันนี้ทาง MTcement จะมาบอกเกี่ยวกับคุณสมบัติ รวมถึงวิธีการคำนวณ เพื่อให้คุณได้ข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนเลือกใช้งาน


อิฐมวลเบา คืออะไร?


"อิฐมวลเบา" ถือเป็นผลิตภัณฑ์คอนกรีตชนิดใหม่ ที่ผลิตขึ้นจากส่วนผสมธรรมชาติ ลักษณะโดยรวมคล้ายกับอิฐบล็อก แต่อิฐมวลเบาจะมีน้ำหนักเบากว่า และเป็นฉนวนกันความร้อนที่ดี ซึ่งประเภทที่นิยมใช้โดยทั่วไปแบ่งตามกระบวนการผลิตได้เป็น 2 แบบ ดังนี้

1. อิฐมวลเบาที่ไม่ผ่านกระบวนการอบไอน้ำภายใต้ความดันสูง (Non – Autoclaved System)

  • ประเภทที่ 1 ใช้วัสดุเบากว่ามาทดแทน อย่างเช่น ขี้เลื่อย ขี้เถ้า ชานอ้อย หรือเม็ดโฟม วัสดุเหล่านี้จะทำให้คอนกรีตมีน้ำหนักเบาขึ้น แต่ข้อเสียคือ มีอายุการใช้งานสั้น และเสื่อมสภาพเร็ว

  • ประเภทที่ 2 ใช้สารเคมี (Circular Lightweight Concrete) เพื่อให้เนื้อคอนกรีตฟู และแข็งตัวเร็ว มีการหดตัวมากกว่าประเภทแรก ข้อเสียคือ ไม่แข็งแรง และทำให้ปูนฉาบแตกร้าวได้ง่าย

2. อิฐมวลเบาระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูง (Autoclaved System)

  • ประเภทที่ 1 ใช้ปูนขาว (Lime Base) มาเป็นส่วนผสมหลักในการผลิต ขั้นตอนในการผลิตควบคุมได้ยาก ทำให้คุณภาพของคอนกรีตที่ได้ไม่สม่ำเสมอ และมีการดูดซึมน้ำในปริมาณที่สูงมาก

  • ประเภทที่ 2 ใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ (Cement Base) มาเป็นส่วนผสมหลักในการผลิต ทำให้เนื้อคอนกรีตที่ได้นั้นมีความแข็งแรง ทนทาน มากกว่าการผลิตด้วยระบบอื่น

คุณสมบัติของอิฐมวลเบา มีอะไรบ้าง



หากพูดถึงอิฐมวลเบา แน่นอนว่าต้องมีจุดเด่นมากมายที่ทำให้อิฐชนิดนี้เป็นที่นิยม แต่เมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสียเช่นเดียวกัน ซึ่งในหัวข้อนี้ทางเราได้นำข้อดี และ ข้อเสีย มาสรุปให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจก่อนเลือกใช้งาน
ข้อดีของอิฐมวลเบา

1. ไม่อมความร้อน เนื่องจากอิฐมวลเบามีรูพรุนในเนื้อคอนกรีต จึงทำให้สามารถกันความร้อนได้ดีกว่าอิฐทั่วไปถึง 8-11 เท่า และช่วยรักษาอุณหภูมิภายในบ้านได้เป็นอย่างดี

2. ช่วยประหยัดโครงสร้าง ด้วยขนาดและน้ำหนักมีความเบา จึงไม่เป็นปัญหาต่อการรับน้ำหนักของคาน เสา ตอม่อ และรากฐาน ทำให้สามารถช่วยประหยัดโครงสร้างได้
 
3. ดูดซับเสียงได้ดี เนื่องจากโครงสร้างของอิฐมวลเบามีฟองอากาศอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก จึงสามารถลดการสะท้อนของเสียงได้ดีกว่าอิฐทั่วไป
 
4. ได้มาตรฐานการผลิต อิฐมวลเบามีขนาดที่ได้มาตรฐานตามการผลิต เมื่อมีการใช้งานกับพื้นที่ อิฐมวลเบาจะถูกออกแบบมาให้พอดีกับพื้นที่ใช้งาน สามารถขึ้นรูป และปรับแต่งได้ง่าย

5. มีอายุการใช้งานยาวนาน เนื่องจากอิฐมวลเบาผลิตจากส่วนผสมจากธรรมชาติที่มีคุณภาพ จึงทำให้มีอายุการใช้งานยาวนาน สามารถรับน้ำหนักและแรงกดได้ดีกว่าอิฐชนิดอื่นๆ

ข้อเสียของอิฐมวลเบา

1. สามารถนำไปปรับแต่งได้น้อย เนื่องจากอิฐมวลมีขนาดใหญ่ และถ้าหากต้องการนำไปประยุกต์ทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่ผนัง อาจจะปรับแต่งได้ค่อนข้างยาก

2. มีผลต่อความชื้น ด้วยลักษณะภายในเนื้อวัสดุมีรูพรุน จึงทำให้อิฐมวลเบาดูดซับน้ำมาก ซึ่งมีผลต่อความชื้น ไม่นิยมนำมาใช้งานภายในห้องน้ำหรือห้องครัว

3. ต้องใช้อุปกรณ์ติดตั้งเฉพาะ ถ้าหากต้องเจาะผนังเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ ต้องใช้พุกที่ออกแบบมาเพื่ออิฐมวลเบาเท่านั้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

4.มีราคาสูงกว่า หากเปรียบเทียบราคาเฉพาะค่าวัสดุ อิฐมวลเบาจะมีราคาสูงกว่าอิฐมอญ แต่ถ้าหากนำค่าวัสดุมารวมกับค่าแรงของช่างก่อสร้างแล้ว อิฐทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีต้นทุนที่ใกล้เคียงกัน

เมื่ออ่านคุณสมบัติเหล่านี้จะเห็นได้ว่าอิฐมวลเบามีทั้งข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าหากคิดค่าใช้จ่ายทั้งระบบแล้ว อิฐมวลเบาจะใช้ปูนก่อที่น้อยกว่า และประหยัดเวลาในการทำได้มากกว่า หวังว่าเหตุผลเหล่านี้จะเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจให้กับคุณได้
 
วิธีการเลือกใช้อิฐมวลเบา ในงานแต่ละประเภท


เมื่อเราทำความรู้จักกับคุณสมบัติของอิฐมวลเบากันไปแล้ว ในหัวข้อนี้เราจะพาคุณไปเรียนรู้วิธีการเลือกใช้อิฐมวลเบาขนาดต่างๆ ให้เหมาะสมกับงานแต่ละประเภท โดยอิงขนาดอิฐมวลเบาตามมาตรฐานที่จำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป อยู่ที่ 20 x 60 x 7.5 – 20 x 60 x 25 เซนติเมตร ในเนื้อหาต่อไปนี้จะมาอธิบายถึงความเหมาะสมในการใช้งานของอิฐมวลเบา ซึ่งแต่ละแบบจะมีวิธีการเลือกใช้งานอย่างไรบ้างไปดูกันเลย!

  • สร้างผนังกั้นห้องไม่มีบานเปิด ควรเลือกขนาดที่บางและเบา อิฐมวลเบาในปัจจุบันจะมีขนาดความหนาเริ่มต้นอยู่ที่ 7.5 เซนติเมตร ถือว่าเป็นสเปคต่ำสุด เหมาะกับใช้งานร่วมกับผนังภายในบ้าน หรือใช้กั้นห้องที่ไม่มีบานเปิด


  • สร้างผนังห้องมีบานเปิด เลือกที่มีความแข็งแรง หากผนังไม่ได้รับการติดตั้งอย่างถูกวิธี เมื่อเปิดหรือปิดจะเกิดแรงกระแทกกลับ แนะนำให้เลือกอิฐมวลเบาที่มีขนาดความหนา 10 เซนติเมตรขึ้นไป โดยขนาดดังกล่าวจะมีความทนทาน และไม่จำเป็นต้องใช้งานร่วมกับเสาคานเอ็น

  • เลือกปิดมุมเสาด้วยอิฐมวลเบาขนาด 20 เซนติเมตร ถ้าหากเป็นบ้าน 1-2 ชั้น โดยทั่วไปจะมีขนาดเสาอยูที่ 20 เซนติเมตร ควรเลือกใช้อิฐมวลเบาที่มีขนาด 20 เซนติเมตรเช่นกัน เพราะจะช่วยให้ผนังห้องต่างๆ มีขนาดเท่ากับเสาพอดี ทำให้ไม่มีมุมเสามาเป็นจุดรบกวนสายตา

  • ทิศใต้ ทิศตะวันตก ยิ่งสร้างผนังหนา ยิ่งกันความร้อนได้ดี ตามหลักภูมิประเทศแล้วทิศใต้ และทิศตะวันตกจะได้รับผลกระทบจากแสงแดดในยามบ่าย หากต้องการให้บ้านเย็นสบายการเลือกใช้วัสดุกันความร้อนกับทิศทางที่กล่าวไปนี้ จึงควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

โดยขนาดของอิฐมวลเบาก่อผนังที่ใช้ในทิศใต้ และทิศตะวันตก ควรมีความหนาอยู่ที่ 10-20 เซนติเมตร ยิ่งมีความหนามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการกันความร้อนได้มากขึ้นเท่านั้น
 
วิธีการคำนวณ พื้นที่ใช้งาน


ถ้าหากคุณต้องการเลือกใช้วัสดุในการก่อสร้างผนัง หรือ กำแพงด้วยอิฐมวลเบา วันนี้ทางเราจะมาแนะนำสูตรคำนวณอย่างง่าย ในการใช้อิฐมวลเบาสำหรับงานก่อสร้างให้เพียงพอต่อพื้นที่ก่อสร้างอย่างเหมาะสม

วิธีที่ 1 คำนวณหาปริมาณอิฐที่ใช้ตามขนาดพื้นที่
โดยจำนวนและขนาดความหนาของอิฐมวลเบา ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 8.33 ก้อน/ตารางเมตร คือ ขนาดพื้นที่ (ตารางเมตร) x 8.33 = ปริมาณอิฐที่ใช้งาน

ยกตัวอย่างเช่น ขนาดพื้นที่มีความสูง 3 เมตร กว้าง 2.5 เมตร (3 x 2.5 = 7.5) จะได้พื้นทั้งหมด 7.5 ตารางเมตร โดยพื้นที่ขนาด 1 ตารางเมตร จะใช้อิฐมวลเบา จำนวน 8.33 ก้อน (7.5 x 8.33 = 62.47) ดังนั้นผนังขนาด 7.5 ตารางเมตร จะต้องใช้อิฐจำนวน 63 ก้อน

วิธีที่ 2 การคำนวณปูนก่อและฉาบอิฐมวลเบา
วิธีการคำนวณปูนก่อและฉาบอิฐมวลเบา ในการคำนวณวัสดุจะยึดการก่อฉาบผนังหนา 10 เซนติเมตร โดยจะต้องคำนวณพื้นที่ของผนัง = ความสูงผนัง x ความยาวผนัง โดยปูนก่ออิฐมวลเบาสำเร็จรูป 1 ถุง เท่ากับ 50 กิโลกรัม ก่อได้ 38-40 ตารางเมตร (ก่อปูนหนา 3 มิลลิเมตร) และสำหรับปูนฉาบอิฐมวลเบาสำเร็จรูป 1 ถุง เท่ากับ 50 กิโลกรัม จะฉาบได้ 2-2.5 ตารางเมตร (ฉาบหนา 1-1.5 เซนติเมตร)
 
 
มองหาอิฐมวลเบาคุณภาพดี ต้องที่ MTcement
สำหรับใครที่กำลังมองหาหนึ่งในตัวเลือกที่ใช้ในการก่ออย่าง "อิฐมวลเบา" ขอแนะนำ MTcement ธุรกิจจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง วัสดุตกแต่ง ทั้งค้าส่ง และค้าปลีกในระยะเวลายาวนานกว่า 40 ปี เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ารายสำคัญของผู้ผลิตชั้นนำหลายแห่ง มีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับผู้ผลิต ส่งผลให้เรามีอำนาจในการต่อรองราคา และสามารถจำหน่ายสินค้าในราคา ”กันเอง”

หากลูกค้าท่านใดที่ต้องการใช้สินค้าเป็นจำนวนมาก ทางเราสามารถต่อรองกับบริษัทผู้ผลิตเพื่อนำเสนอ “ราคาพิเศษ” ที่สำคัญมีทีมขนส่งเกือบทุกประเภทจากทั่วพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพ และ ปริมณฑล เพื่อให้ได้รับการบริการที่ทั่วถึง เพราะทางเราใส่ใจความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้า เพื่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
 
 
 
ติดต่อสอบถามข้อมูล และข้อสงสัยต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook: คอนกรีตผสมเสร็จ โดย เมืองไทยซีเมนต์
E-mail: info@mtcement.com
Line: @mtcement
Tel: 088 – 554 – 1555, 02 – 328 – 0684

29


ก่อนสร้างบ้านเจ้าของบ้านจำเป็นต้องรู้จักส่วนประกอบหลักๆ ที่สำคัญของสิ่งปลูกสร้างทุกชนิด ตั้งแต่การเลือกผู้รับเหมาก่อสร้าง การเลือกใช้วัสดุ รวมถึงกระบวนการก่อสร้าง และสำหรับใครที่เป็นผู้ว่าจ้างมือใหม่ ถ้าอยากรู้รายละเอียดความสำคัญ และส่วนประกอบต่างๆ ของโครงสร้างบ้าน วันนี้ V.K.B มีคำตอบ!

สามารถเข้าไปอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ รู้ไว้ไม่พลาด! โครงสร้างบ้าน มีอะไรบ้าง ? รับเหมาก่อสร้าง สำคัญอย่างไร

สิ่งสำคัญในการสร้างบ้าน
การสร้างบ้านมีหลายสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ทั้งในส่วนการออกแบบตัวบ้าน การดำเนินการก่อสร้างและการเลือกใช้วัสดุ ทั้งนี้ก่อนจะมาคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ข้างต้น มาดูกันว่าก่อนเริ่มต้นสร้างบ้านสักหลัง มีปัจจัยใดบ้างที่ต้องให้ความสำคัญ


  • ที่ดินพร้อมสร้างบ้าน ผู้ว่าจ้างจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่นี้ว่าสามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้หรือไม่ เพื่อความพร้อมในการอยู่อาศัย

  • ที่ดินต้องถมหรือไม่? ควรประเมินที่ดินของตนเองก่อนว่า ควร ถมที่ดิน เพิ่มหรือไม่ ถ้าหากพิจารณาแล้ว เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมก็ควรถมที่ดินเพิ่มเติม แนะนำว่าควรถมให้สูงกว่าถนนประมาณ 50 เมตร

  • วางแผนเรื่องงบประมาณให้พร้อม สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องคำนึงถึง ซึ่งงบประมาณจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าก่อสร้างบ้าน, ค่าถมที่ดิน (ในกรณีที่ต้องถมที่ดินเพิ่ม), ค่าวัสดุ, ค่าแรงงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ เกี่ยวกับการสร้างบ้าน

  • เลือกแบบบ้าน/จ้างเขียนแบบ ในขั้นตอนนี้เป็นการจ้างผู้ออกแบบช่วยออกแบบบ้าน ยกตัวอย่างเช่น หากต้องจ้างผู้ออกแบบ ขั้นตอนแรกที่ผู้ว่าจ้างต้องเตรียม คือ การหาแบบบ้านที่ต้องการ/จ้างเขียนแบบ ควรวางแผนว่าต้องการดีไซน์พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านอย่างไร และภายในบ้านควรมีฟังก์ชันอะไรบ้าง เป็นต้น สิ่งสำคัญในการก่อสร้างหลังจากเลือกแบบบ้าน คือ แบบบ้านของเราจะต้องผ่านการเซ็นแบบรับรองโดยวิศวกรและสถาปนิกก่อน ถึงจะนำไปยื่นขออนุญาตได้

  • การขออนุญาตก่อสร้าง สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างบ้าน การขออนุญาตก่อสร้างเป็นขั้นตอนอย่างหนึ่งที่ทางกฎหมายบังคับไว้อย่างเคร่งครัด เพราะถ้าหากมีการก่อสร้างอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นไปตามหลักวิศวกรรม อาจทำให้เกิดอันตรายทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่นได้

โครงสร้างบ้าน มีอะไรบ้าง
เมื่อวางแผนการสร้างบ้านแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้ว่าจ้างจำเป็นต้องรู้ คือ องค์ประกอบสำคัญของการสร้างบ้าน เพื่อให้บ้านของเราออกมาในแบบที่ต้องการ และป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด V.K.B ได้นำ 4 องค์ประกอบสำคัญของการสร้างอาคาร และบ้านเรือนมาฝากทุกคน ซึ่งจะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย!

ฐานราก
ฐานราก มีหน้าที่ใช้สำหรับรองรับน้ำหนักของตัวอาคาร เพื่อถ่ายน้ำหนักลงสู่ชั้นดิน การเลือกใช้งานต้องดูจากลักษณะของดินหรือชั้นดินในบริเวณก่อสร้าง สำหรับการเลือกชนิดของฐานรากขึ้นอยู่กับขนาด และประเภทของอาคา สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้

1. ฐานรากเสาเข็ม คือ โครงสร้างที่เป็นฐานรากอยู่ใต้ผิวดิน เพื่อรองรับน้ำหนักจากสิ่งปลูกสร้างแล้วถ่ายน้ำหนักลงสู่ตัวเสาเข็ม นิยมใช้เสาเข็มบริเวณก่อสร้างที่เป็นดินเนื้ออ่อน จุดเด่นของฐานรากแบบเสาเข็ม คือ เป็นฐานรากแบบลึก และที่นิยมนำมาใช้ในปัจจุบัน คือ เสาเข็มคอนกรีต หรือเสาเข็มไม้สำหรับบ้านไม้

2. ฐานรากแบบแผ่ คือ ฐานรากที่รองรับน้ำหนักจากตัวอาคารแล้วถ่ายน้ำหนักลงสู่ชั้นดินได้โดยตรง นิยมนำมาใช้กับพื้นที่มีสภาพดินเนื้อแข็ง เหมาะสำหรับอาคารที่ไม่มีน้ำหนักมากจนเกินไป

3. ฐานรากแบบตอม่อ คือ ฐานรากที่ทำจากคอนกรีตตอม่อหล่อลึกลงไปในชั้นดินหรือน้ำ มีความแข็งแรงทนทานค่อนข้างมาก แต่ไม่นิยมใช้ในการสร้างบ้านพักอาศัย

เสา
เสา คือ ส่วนประกอบหลักของโครงสร้างอาคาร ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักจากคานของทุกชั้น เพื่อถ่ายเทน้ำหนักลงสู่ตอม่อและฐานรากต่อไป โดยสถาปนิกกับวิศวกรจะเป็นผู้กำหนดหน้าตัดเสา ตามความเหมาะสมของรูปแบบและลักษณะโครงสร้าง เสาจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. เสาไม้ เสาประเภทนี้โดดเด่นในเรื่องความสวยงามแบบธรรมชาติ แต่มีราคาสูง ไม้ที่นิยมนำทำเสาส่วนใหญ่จะเป็นไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ตะเคียน ไม้เต็ง ไม้ชิงชัน ในปัจจุบันไม้ที่นำมาทำเสาต้องเป็นไม้ขนาดใหญ่ ทำให้ขนย้ายยาก หากนำไปใช้ต้องระวังเรื่องปลวกเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง

2. เสาเหล็ก มีน้ำหนักเบากว่าเสาประเภทอื่น และมีราคาถูก นิยมนำไปใช้งานเกี่ยวกับอาคารจอดรถ และงานโกดังต่างๆ แต่ไม่นิยมนำไปสร้างบ้านเพราะไม่ทนทานต่อไฟ เสาเหล็กจะเป็นรูปแบบสำเร็จรูป 2 ประเภทนั่นคือ

  • เสาเหล็กรูปพรรณ

  • เสาโครงข้อแข็ง

3. เสาคอนกรีตเสริมเหล็ก ทำจากคอนกรีตที่ใส่เหล็กเสริม เพิ่มความสามารถในการรับแรงอัด แรงดึง และแรงดัดได้ดี ทำหน้าที่รับน้ำหนักของตัวอาคาร โดยตัวอาคารจะถ่ายน้ำหนักลงมาในแนวดิ่ง และในบางครั้งอาจจะต้องรับโมเมนต์ดัดด้วย เสาคอนกรีตเสริมเหล็กจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  • เสาคอนกรีตหล่อในที่

  • เสาคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป

ซึ่งเสาคอนกรีตเสริมเหล็กแต่ละรูปแบบ จะมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันไป ทั้งในเรื่องวิธีการก่อสร้าง ความสามารถในการรับน้ำหนัก และโครงสร้างแต่ละประเภท

คาน
คาน คือ หนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างบ้าน มีหน้าที่ในการรองรับน้ำหนัก และถ่ายเทน้ำหนักลงสู่เสา ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้าง หากแบ่งประเภทของคานตามวัสดุที่นิยมใช้ในการสร้างคาน จะคล้ายกับวัสดุที่นำมาทำเป็นเสา มี 3 ประเภท ดังนี้

1. คานไม้ การทำคานไม้จะนิยมใช้ไม้เนื้อแข็งเพราะมีขนาดใหญ่ เช่น ไม้เต็ง ไม้แดง และไม้รัง เป็นต้น มาพร้อมคุณสมบัติในการรับน้ำหนักได้ดี และมีความแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีลวดลายที่สวยงามดูเป็นธรรมชาติ

2. คานเหล็ก เป็นวัสดุที่ทำจากเหล็กรูปพรรณพร้อมใช้งาน นิยมนำมาใช้กับโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่าอาคารขนาดเล็ก เนื่องจากต้องอาศัยช่างก่อสร้างที่มีความชำนาญสูง ข้อเสียคือ สามารถเกิดสนิม และถูกกัดกร่อนได้ง่าย จึงจำเป็นต้องทาสีกันสนิม หรือหุ้มวัสดุกันไฟก่อนใช้งาน
 
3. คานคอนกรีตเสริมเหล็ก คือ คานที่สร้างด้วยคอนกรีต และเสริมความแข็งแกร่งด้วยเหล็กเส้น เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการรับแรงดึง รองรับน้ำหนักได้ดี ที่สำคัญมีราคาไม่สูง จึงทำให้คานประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน

พื้น
พื้น คือ โครงสร้างพื้นฐานตามแนวราบของอาคาร มีหน้าที่รับน้ำหนักโดยตรง แล้วถ่ายน้ำหนักลงสู่คานหรือเสา ซึ่งโครงสร้างของพื้นแต่ละชนิดก็จะแตกต่างกันออกไป ตามลักษณะของดินในพื้นที่ โดยพื้นแต่ละแบบสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ พื้นไม้ พื้นเหล็ก และ พื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

1. พื้นไม้ การทำพื้นไม้จะใช้คานไม้ปูด้วยไม้แผ่นเรียงกันด้วยวิธีเข้าลิ้น และตอกตะปูยึดไว้ ไม้ที่ใช้จะเป็นประเภทไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้สัก ไม้เต็ง หรือไม้แดง มีขั้นตอนการทำง่าย สะดวก และช่วยประหยัดเวลาในการทำได้ดี แต่เนื่องจากไม้ในปัจจุบันหายาก จึงทำให้มีราคาสูง

2. พื้นเหล็ก คือ พื้นที่มีโครงสร้างเป็นเหล็ก ประกอบไปด้วยวัสดุแผ่นเหล็กขนาดมาตรฐาน วางบนตงเหล็ก ในปัจจุบันนิยมทำเป็นพื้นโปร่งมีลักษณะเป็นเหล็กแผ่นเจาะรู หรือ ลายนูนเพื่อกันลื่น เหมาะสำหรับนำมาทำพื้นทางเดินในโรงงาน พื้นสะพานลอย และอาคารโครงเหล็กชั่วคราว

3. พื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นประเภทนี้มีโครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมด้วยเหล็กทั้งระบบ เนื่องจากมีความแข็งแรงทนทานกว่าพื้นทุกประเภท ราคาไม่สูง และมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ จึงทำให้ในปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างมาก นอกจากนี้พื้นคอนกรีตเสริมเหล็กยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ตามลักษณะการผลิตและการใช้งาน ดังนี้

  • พื้นคอนกรีตชนิดหล่อกับที่

  • พื้นสำเร็จรูปแบบแผ่นท้องเรียบ

  • พื้นสำเร็จรูปแบบกลวง

 
โครงหลังคาของ โครงสร้างบ้าน มีอะไรบ้าง
โครงหลังคา ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่กำหนดรูปทรงทั้งหมดของโครงสร้างอาคาร ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักของวัสดุมุงหลังคา เช่น กระเบื้องมุงหลังคา ให้อยู่ในลักษณะที่มั่นคงและเป็นระเบียบ ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ยึดหลังคาบ้านทั้งหมดให้เชื่อมต่อกับโครงสร้างของเสาและคานอย่างแข็งแรง สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามวัสดุที่บ้านเรือนทั่วไปนิยมใช้ ดังนี้

1. โครงหลังคาไม้ ปัจจุบันอาคารและบ้านเรือนส่วนใหญ่นิยมสร้างเป็นตึกสูง เนื่องจากไม้เป็นวัสดุที่หายาก และมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะไม้ที่มีคุณภาพดีและมีความแข็งแรงคงทน
ทั้งนี้สิ่งที่ทำให้โครงหลังคาไม้ไม่เป็นที่นิยมอีกอย่างคือ สามารถทำให้เกิดปัญหาเรื่องปลวก ถ้าไม่ดูแลอาจเกิดการทรุดโทรมได้ในภายหลัง

2. โครงหลังคาเหล็ก เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นวัสดุที่หาง่ายในท้องตลาด ผู้ใช้งานสามารถเลือกขนาด และรูปแบบได้ตามความต้องการ เมื่อทำความรู้จักโครงสร้างหลังคากันไปแล้ว จะมาพูดถึงส่วนประกอบพื้นฐานของโครงสร้างหลังคาทั้ง 2 ชนิดหลักๆ มีดังนี้

  • ระแนง หรือ แป ไม้สี่เหลี่ยมจตุรัสที่วางอยู่บนจันทัน ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักหลังคาประเภทต่างๆ

  • จันทัน เป็นส่วนที่วางเอียงลาดไปตามลักษณะของหลังคา และเป็นโครงสร้างที่รองรับน้ำหนักจากแป

  • อกไก่ อยู่บริเวณส่วนกลางของหลังคา (ทรงจั่ว หรือ ทรงปั้นหยา) วางพาดอยู่บนดั้งบริเวณสันหลังคา ทำหน้าที่แบกรับน้ำหนักจันทันตามแนวสันหลังคา และแบกรับน้ำหนักจากจันทันทุกตัวทั้ง 2 ด้าน

  • ดั้ง โดยปกติจะวางอยู่บนเสาของอาคาร หรือ แต่ถ้าตำแหน่งของอกไก่วางไม่ตรงกับเสาของอาคาร ก็ต้องเสริม “ดั้ง” ขึ้นมารองรับส่วนที่อยู่บริเวณแนวสันหลังคา เพื่อคอยทำหน้าที่รองรับอกไก่ทดแทนเสาจริง

  • ขื่อ หรือ สะพานรับดั้ง วางอยู่บนหัวเสาในทิศทางเดียวกับจันทัน ทำหน้าที่รับแรงดึงและยึดหัวเสาในแนวคาน แล้วถ่ายน้ำหนักลงสู่เสาและช่วยยึดโครงผนัง

  • อเส คือ ส่วนของหลังคาที่พาดอยู่บนหัวเสา มีลักษณะคล้ายคาน ทำหน้าที่ยึดปลายเสาตอนบนรวมทั้งช่วยรับแรงจากโครงหลังคาที่ถ่ายลงสู่เสา


  • เชิงชาย หรือทับเชิงชาย หรือทับปั้นลม หรือปิดกันนก และปั้นลม ไม้เชิงชาย เป็นไม้ที่ใช้ปิดปลายชายคาของจันทันเพื่อความสวยงาม รวมทั้งปกป้องการผุเปื่อยของไม้ที่ปลายจันทันจากแสงแดด หรือฝน

 
วัสดุก่อสร้างสำหรับ โครงสร้างบ้าน มีอะไรบ้าง?
ถ้าหากเปรียบเทียบบ้านเป็นร่างกาย โครงกระดูกคือ เสาและคาน ซึ่งหมายถึงความมั่นคงที่เป็นตัวยึดส่วนต่างๆ ของบ้านเอาไว้ด้วยกัน ดังนั้นการเลือกใช้วัสดุสำหรับโครงสร้างบ้านเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้บ้านของคุณมีความแข็งแรงมากที่สุด ซึ่งโครงสร้างแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างไปดูกัน!


โครงสร้างปูน ถือเป็นโครงสร้างยอดนิยมที่คนเลือกใช้มากที่สุด เพราะโครงสร้างชนิดนี้มีความคงทนต่อสภาพอากาศ และสามารถนำไปหล่อขึ้นรูปได้หลากหลายรูปแบบ ทำให้มีคุณสมบัติเรื่องของการรับแรงดึงได้ดี ส่วนข้อเสีย คือ ต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างนานเพราะต้องรอให้คอนกรีตเซ็ทตัว
 
  • โครงสร้างไม้ โครงสร้างชนิดนี้ถือเป็นโครงสร้างบ้านหลักๆ ของประเทศไทยในสมัยก่อน แต่ในปัจจุบันการหาไม้ที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงลดน้อยลง บวกกับราคาที่สูงขึ้นจึงทำให้ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน โครงสร้างไม้มีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องความแข็งแรงทนทานต่อภัยพิบัติธรรมชาติ หากเกิดเหตุแผ่นดินไหวจะได้รับความเสียหายน้อยกว่าโครงสร้างชนิดอื่นๆ และโครงสร้างไม้สามารถถ่ายเทความร้อนได้ดี

  • โครงสร้างเหล็ก โครงสร้างชนิดนี้เป็นเหล็กรูปพรรณ ในสมัยก่อนมีราคาสูงเพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศเท่านั้น แต่ในปัจจุบันประเทศไทยสามารถผลิตเหล็กรูปพรรณได้เอง
    จะเห็นได้ว่ามีความนิยมอย่างมาก เนื่องจากเหล็กรูปพรรณสามารถสั่งผลิตเตรียมชิ้นส่วนจากโรงงานได้ทันที เมื่อมาถึงหน้างานเพียงแค่เชื่อมประกอบเท่านั้น ส่งผลให้ช่วยลดต้นทุนเรื่องเวลาและลดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ได้

ใช้บริการรับเหมาก่อสร้าง ดีกว่าอย่างไร?


ข้อดีของการเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้าง คือ ทางบริษัทจะให้บริการตั้งแต่การให้คำปรึกษา ดูแล และดำเนินการทุกขั้นตอนจนจบงาน ทุกๆ ขั้นตอนจะผ่านการตรวจเช็กสภาพพื้นที่ในการก่อสร้างผ่านวิศวกร และช่างที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการก่อสร้าง หากคุณเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ดี มั่นใจได้เลยว่าจะมีประสิทธิภาพ และคุ้มค่ามากที่สุด

 
อยากได้งานก่อสร้างคุณภาพดี ต้องที่นี่ V.K.B
ถ้าหากใครกำลังมองหาผู้ให้บริการรับเหมาก่อสร้างมืออาชีพ เต็มที่กับงานทุกรูปแบบ ให้ V.K.B contracting เป็นคำตอบ เพราะเราคือ บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ พร้อมให้บริการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การก่อสร้าง ออกแบบ และให้คำปรึกษาด้านการบริหารโครงการ ดูแลตั้งแต่เริ่มต้นจนจบงาน รับรองได้เลยว่าคุณจะได้งานที่ตอบโจทย์ตามความต้องการ และ มีคุณภาพ

  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ

 
 
สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 081-735-6625 , 097-445-4146 , 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com

30


ผนังกันไฟ สำหรับงานก่อสร้างถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจากเพลิงไหม้ ผนังกันไฟนี้จะเป็นตัวช่วยชะลอและป้องกันการแพร่กระจายของไฟได้ดี ถ้าหากคุณกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับผนังกันไฟ ในวันนี้ทาง V.K.B ได้รวบรวมข้อมูลมาไว้ในบทความนี้แล้ว
 
สามารถเข้าไปอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ ผนังกันไฟ คืออะไร? มีกี่ประเภท ทำไมถึงสำคัญ

ผนังกันไฟ คืออะไร?


ผนังกันไฟ คือ โครงสร้างที่ใช้สำหรับสิ่งปลูกสร้างจำพวกโรงงานอุตสาหกรรม หรือ ตามบันไดหนีไฟในอาคารต่างๆ ถูกออกแบบมาเพื่อชะลอการแพร่กระจายของความร้อนที่เกิดขึ้นจากเปลวไฟในกรณีฉุกเฉิน โดยส่วนประกอบหลักๆ ของผนังกันไฟ คือ อิฐที่มีความหนาไม่น้อยกว่า 18 เซนติเมตร และไม่มีรูหรือช่องที่ทำให้ควันไฟสามารถลอดผ่านได้
 
ทำไมถึงต้องมีผนังกันไฟ?


ความสำคัญของผนังกันไฟสำหรับสิ่งปลูกสร้างถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมี เนื่องจากอุบัติเหตุเพลิงไหม้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม ห้องคลีนรูม รวมถึงพื้นที่ส่วนต่างๆ ของอาคาร ในพื้นที่ลักษณะนี้มักจะนิยมใช้ฉนวนกันไฟที่เรียกว่า "PIR (Polyisocyanurate foam)" ซึ่งมีคุณสมบัติทนความร้อนได้สูงถึง 400 องศา และมีน้ำหนักเบา ที่สำคัญเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าฉนวนชนิดอื่นๆ
 
วัสดุที่กันไฟและเป็นฉนวนกันความร้อน มีกี่แบบ แบบไหนใช้เป็นผนังกันไฟ?
ในหัวข้อนี้ทาง V.K.B จะพาทุกคนไปรู้จักประเภทของวัสดุที่ใช้กันไฟ และ เป็นฉนวนกันความร้อนที่นอกเหนือจากผนังก่ออิฐแบบทั่วไป แล้ววัสดุประเภทไหนจะทนความร้อนได้ดีที่สุด? ตามไปดูกันเลย!


1. ฉนวนอลูมิเนียมฟอยล์ (Aluminium Foil) มีลักษณะเป็นแผ่น มีพื้นผิวเรียบ และมีความเหนียว จึงทำให้คงทนไม่ฉีกขาดง่าย มีคุณสมบัติในการสะท้อนความร้อนได้ดี แต่ไม่ได้ช่วยป้องกันความร้อนที่เข้าสู่ภายในบ้าน ดังนั้นฉนวนชนิดนี้จึงมักจะถูกติดตั้งบริเวณของโครงหลังคา และควรใช้งานร่วมกับฉนวนประเภทอื่นๆ เพื่อเสริมคุณสมบัติกันความร้อน

ข้อดี คือ
  • มีค่าการแผ่รังสีความร้อน (Emissivity) ของผิวอลูมิเนียมต่ำ
  • ประสิทธิภาพในการสะท้อนความร้อนสูงสุด 97%
  • มีค่าความเหนียว จึงทำให้แข็งแรง คงทน
  • เป็นฉนวนกันความร้อนที่ไม่มีสารระคายเคืองต่อมนุษย์
  • ทนทานต่อความชื้นได้ดี
  • ราคาประหยัด หาซื้อง่าย

ข้อเสีย คือ
  • ขาดคุณสมบัติในการป้องกันเสียง
  • ไม่สามารถป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้

2. ฉนวนใยเซลลูโลส (Cellulose) เป็นวัสดุจากกระบวนการรีไซเคิลผสมเคมี ลักษณะของฉนวนใยเซลลูโลสแบบแผ่นจะถูกติดบนแผ่นยิปซัม เพื่อความสะดวกต่อการนำไปใช้งาน โดยทั่วไปแล้วฉนวนใยเซลลูโลสจะถูกนำมาประยุกต์ใช้งานผนังห้อง ผนังของอาคาร รวมถึงใต้หลังคาของอาคาร เป็นต้น

ข้อดี คือ
  • มีคุณสมบัติกันความร้อนได้ดี
  • สามารถลดการก้องหรือสะท้อนของเสียงได้
  • เป็นฉนวนกันความร้อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (รีไซเคิล)
  • ไม่เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง

ข้อเสีย คือ
  • มีโอกาสยุบตัว เพราะเป็นฉนวนรูปแบบพ่น การควบคุมความหนาแน่นอาจไม่ได้ตามมาตรฐาน
  • ไม่ทนต่อน้ำและความชื้นในอากาศ
  • มีโอกาสหลุดล่อนได้
  • เป็นเส้นใยธรรมชาติ สามารถติดไฟได้

3. ฉนวนโพลียูริเทน (Polyurethane) วัสดุกันไฟโพลียูริเทนเป็นเทคโนโลยีการฉีดโฟม เพื่อป้องกันความร้อน ฉนวนชนิดนี้มีความหนาแน่น ภายในมีช่องอากาศเป็นโพรงจำนวนมาก (Air Gap) จึงสามารถแนบไปกับแผ่นใต้หลังคาได้เป็นอย่างดี

ข้อดี คือ
  • ป้องกันความร้อนได้ดีที่สุด หากเทียบกับฉนวนประเภทอื่นๆ
  • ป้องกันการรั่วซึมความชื้น และป้องกันสนิมได้เป็นอย่างดี
  • มีเนื้อที่ละเอียด สามารถแนบไปกับแผ่นใต้หลังคาได้เป็นอย่างดี
  • มีคุณสมบัติในการป้องกันเสียงรบกวน รองรับน้ำหนักได้ดี
  • สามารถหุ้มผนังห้องเย็นได้ทุกด้าน
  • ใช้ได้กับหลังคาทุกประเภท เช่น กระเบื้อง สังกะสี อลูมิเนียม คอนกรีต และ เหล็ก
  • ฉนวนโพลียูริเทนแบบโฟมสำหรับฉีดพ่น สามารถนำไปฉีดพ่นไว้บริเวณใต้หลังคาเก่าได้

ข้อเสีย คือ
  • หากเกิดเหตุไฟไหม้สามารถติดไฟได้ แต่ไม่เกิดการลุกลามของไฟ
  • เมื่อไฟไหม้มีโอกาสเกิดควันพิษ สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
  • หากโดนอุณหภูมิร้อนจัดอาจทำให้เปลี่ยนสภาพ
  • หากช่างที่ฉีดพ่นขาดความชำนาญ ฉนวนสามารถฟุ้งกระจายได้

4. ฉนวนแคลเซียมซิลิเกต (Calcium Silicate) มีลักษณะเป็นผงอัดเป็นแผ่นสำเร็จ วัสดุด้านในประกอบไปด้วย ทราย ซิลิเซียส น้ำปูนขาว และเส้นใยเพื่อเพิ่มการเสริมแรง ไม่มีส่วนผสมของใยหิน (Asbestos) มีความสามารถในการปรับค่าอุณหภูมิได้อย่างรวดเร็วตามสภาพอากาศ

ข้อดี คือ
  • มีคุณสมบัติต้านทานความร้อน และทนไฟ
  • ไม่มีส่วนผสมของใยหิน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • สามารถดูดซับเสียงได้ดี
  • มีความหนาแน่นสูง รับแรงกระแทกได้ดี
  • สามารถตัดต่อ และทาสีทับได้

ข้อเสีย คือ
  • มีการดูดซึมน้ำสูง
  • ไอน้ำสามารถแทรกซึมได้ง่าย
  • มีน้ำหนักมาก

5. ฉนวนใยแก้ว (Microfiber) ทํามาจากวัสดุที่เป็นแก้ว หรือ เศษแก้ว แล้วนํามาหลอมเป็นเป็นเส้นใยไฟเบอร์ละเอียดขนาดเล็ก มีโครงสร้างเป็นรูพรุน จึงสามารถช่วยระบายความร้อนที่ผ่านเข้าสู่ตัวอาคารได้เป็นอย่างดี หากต้องการใช้งานฉนวนใยแก้วแบบผนังจะอยู่ในรูปแบบของผนังสำเร็จรูปไมโครไฟเบอร์ มีคุณสมบัติป้องกันเสียงรบกวน มีน้ำหนักเบา และทนทานต่อแรงดึงได้ดี

ข้อดี
  • มีคุณสมบัติการนำความร้อนต่ำ จึงช่วยลดปริมาณความร้อนที่จะผ่านเข้าสู่ตัวอาคาร
  • สามารถดูดซับเสียงได้ดี
  • มีความยืดหยุ่นสูง เมื่อถูกกดทับจะสามารถคืนตัวได้เร็ว
  • มีน้ำหนักเบา ทนทาน ไม่เสื่อมสภาพ
  • ป้องกันแมลง หรือเชื้อราได้ดี

ข้อเสีย
  • ไม่มีคุณสมบัติกันลามไฟ
  • เส้นใยก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • ไม่เหมาะกับการใช้งานในที่เปิดโล่ง
  • เมื่อวัสดุเสื่อมสภาพ มีโอกาสเกิดละอองขนาดเล็ก เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
  • ตัวเชื่อมประสาน (binder) สามารถติดไฟ และอาจลุกไหม้ได้
  • อัตราการแทรกซึมของไอน้ำสูง จึงควรมีวัสดุหุ้มกันไอน้ำ

หลังจากที่ได้ทำความรู้จักประเภท และ คุณสมบัติของผนังกันไฟกันไปแล้ว ทำให้เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างมากสำหรับอาคารทุกประเภท ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยภายในอาคาร ควรเลือกที่เหมาะสมตามการใช้งาน เพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุน และประสิทธิภาพในระยะยาว
 
 
มองหาผู้รับเหมาก่อสร้างคุณภาพดี เลือก V.K.B
ผนังกันไฟเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับคุณได้ และถ้าหากใครต้องการตัวเลือกที่ดี แนะนำว่าต้องเลือกผู้รับเหมาที่ช่วยให้คำปรึกษา และ วางแผน เกี่ยวกับงานก่อสร้างของคุณให้ออกมามีประสิทธิภาพ อย่าง V.K.B contracting บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่พร้อมให้คำปรึกษา และช่วยเหลือปัญหาด้านการก่อสร้างทุกรูปแบบ ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 30 ปี ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่าทุกบริการจะตอบโจทย์ความต้องการ และ มีคุณภาพอย่างแน่นอน

  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ

 
 
สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 081-735-6625 , 097-445-4146 , 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com

31


เสาเข็ม มีกี่ประเภท ? ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าเสาเข็มมีความสำคัญอย่างไรกับงานก่อสร้าง ซึ่งก่อนที่ทุกคนจะไปศึกษาเกี่ยวกับขั้นตอนการใช้งานนั้น เราต้องไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียด และ ประเภทของเสาเข็มกันก่อน เพื่อเป็นการเลือกใช้งานอย่างเหมาะสม


เสาเข็มคืออะไร ทำไมถึงต้องมี?

“เสาเข็ม” มีความสำคัญต่ออาคาร หรือ สิ่งปลูกสร้างอย่างมาก เพราะ เสาเข็ม (Pile) ช่วยทำหน้าที่ในการยึดเกาะสิ่งปลูกสร้างไว้กับพื้นดิน ช่วยรับน้ำหนัก และ กระจายน้ำหนักของสิ่งก่อสร้างไปยังชั้นพื้นดินให้มีความแข็งแรง และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทรุดตัว 

เสาเข็ม มีกี่ประเภท
ประเภทของเสาเข็มชนิดต่างๆ ที่ใช้กับตัวบ้านและอาคารทั่วไป แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ นั่นก็คือ เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เสาเข็มเจาะ และ เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง ซึ่งรายละเอียดของเสาเข็มแต่ละประเภทจะมีอะไรบ้างไปดูกัน!


เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง
เสาเข็มชนิดนี้มีราคาประหยัด และสามารถผลิตได้ในจำนวนเยอะ ทำมาจากปูนซีเมนต์ชนิดแข็งตัวเร็ว ประกอบไปด้วยโครงเหล็กภายในที่ทำจากลวดเหล็กอัดแรงกำลังสูง มีความสามารถในการรองรับน้ำหนักอยู่ที่ 10-80 ตันต่อต้น

เสาเข็มเจาะ
เสาเข็มชนิดนี้จำเป็นต้องทำในพื้นที่จริง วิธีการคือ ต้องใช้เครื่องมือขุดเจาะขุดดินลึกตามกำหนด จากนั้นใส่เหล็กเสริมและเทคอนกรีตลงไปเพื่อหล่อเป็นเสาเข็ม นิยมนำมาใช้สำหรับการต่อเติมพื้นที่ในอาคาร

เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง
เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง หรือ เสาเข็มสปันจะมีลักษณะเป็นทรงกลมตรงกลางกลวง มีโครงเหล็กอัดแรงอยู่ในเนื้อคอนกรีต โดยวิธีการทำเสาเข็มประเภทนี้ คือ นำคอนกรีตไปปั่นในแบบหล่อด้วยความเร็วสูง แล้วใช้ผงดินเหนียวผสมน้ำลงไปในรูเจาะ ทำให้มีความหนาแน่นสูงกว่าคอนกรีตหล่อทั่วไป เหมาะสำหรับใช้เป็นฐานรากของอาคารสูง เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องลมแรง และ การเกิดแผ่นดินไหว
 
วิธีการเลือกใช้เสาเข็ม
เมื่อรู้จักประเภทของเสาเข็มกันไปแล้ว จากนั้นขั้นตอนต่อไป คือ วิธีการเลือกใช้เสาเข็ม เพื่อความเหมาะสมต่อการใช้งาน และ โครงสร้างของสิ่งปลูกสร้างที่แข็งแรง โดยเสาเข็มที่คนส่วนใหญ่นิยมสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้


1. เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง โครงสร้างภายในทำมาจากปูนซีเมนต์ชนิดแข็งตัวเร็ว และ โครงเหล็กที่ทำจากลวดเหล็กอัดแรงกำลังสูง นิยมนำมาใช้สร้างอาคารพาณิชย์ และ ที่พักอาศัยทั่วไป โดยสามารถแบ่งออกเป็นลักษณะต่างๆ ได้แก่

  • เสาเข็มรูปตัวไอ มีน้ำหนักเบา รองรับน้ำหนักได้เยอะ นิยมนำมาใช้รองรับน้ำหนักของตัวบ้านเรือนและอาคาร และเหมาะสำหรับการสร้างโรงจอดรถ งานก่อสร้างสระว่ายน้ำ งานก่อสร้างบ่อน้ำ รวมถึงการต่อเติมอาคารต่างๆ

  • เสาเข็มรูปตัวที ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับงานที่มีโครงสร้างเล็ก เหมาะสำหรับงานฐานรากของรั้วบ้าน งานต่อเติมอาคาร การเสริมสร้างความแข็งแรงของพื้นถนน และ ทางเชื่อมระหว่างอาคาร เป็นต้น

  • เสาเข็มหกเหลี่ยมหรือแปดเหลี่ยมชนิดกลวง มีลักษณะด้านนอกเป็นหกเหลี่ยม ด้านในเป็นรูกลวงยาว คุณสมบัติเหมือนกับเสาเข็มรูปตัวที เหมาะกับโครงสร้างเล็ก สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี

  • เสาเข็มสี่เหลี่ยมตัน เสาเข็มชนิดนี้ผลิตจากคอนกรีต อัดแรงเสริมด้วยลวดอัดแรง PC wire มีความทนทานเป็นพิเศษ มีให้เลือกใช้งานตามขนาดหน้าตัด และความยาวตามที่ต้องการ เหมาะสำหรับการสร้างบ้านเรือน อาคาร โรงงาน งานสะพาน และ งานรากฐานขนาดกลาง ไปจนถึง งานก่อสร้างขนาดใหญ่ เป็นต้น

2. เสาเข็มเจาะ มีลักษณะการใช้งานแตกต่างจากเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง คือ ต้องทำในสถานที่จริง โดยใช้เครื่องมือขุดเจาะขุดดินลงไปให้ได้ความลึกและได้ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางตามที่กำหนด
ประโยชน์ของการทำเสาเข็มเจาะ คือ รองรับน้ำหนัก และ ป้องกันไม่ให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่อาจเป็นอันตรายต่ออาคารข้างเคียง ซึ่งตามกรรมวิธีเสาเข็มเจาะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่

  • เสาเข็มเจาะขนาดเล็ก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 35-60 เซนติเมตร มีความลึกอยู่ประมาณ 18-23 เมตร กระบวนการที่ใช้เป็นการเจาะแบบระบบแห้ง (dry process)

  • เสาเข็มเจาะขนาดใหญ่ มีขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 80-150 เซนติเมตร มีความลึกประมาณ 25-65 เมตร กระบวนการที่ใช้จะเป็นการเจาะแบบระบบเปียก (wet process) คือ การฉีดสารเคมีเหลวที่เรียกว่า Bentonite slurry ลงไปในหลุมที่ต้องทำการขุดเจาะ

3. เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง หรือ เสาเข็มสปัน มีขั้นตอนการผลิตโดยใช้คอนกรีตปั่นในแบบหล่อด้วยความเร็วสูง เพื่อสร้างมวลความหนาแน่นในเนื้อคอนกรีต ซึ่งประโยชน์ของเสาเข็มสปัน คือ ช่วยลดแรงสั่นสะเทือน และทำให้ฐานรากมีความแข็งแรง
 
การตอก เสาเข็ม มีกี่แบบ?
การตอกเสาเข็ม คือ กระบวนการหนึ่งในงานก่อสร้างที่ทำให้เสาเข็มอยู่ใต้พื้นดิน ตรงตามตำแหน่งที่เราต้องการ เพื่อใช้รองรับน้ำหนักของสิ่งปลูกสร้างนั้นๆ ซึ่งมีอยู่ 4 แบบด้วยกัน ได้แก่


1. Drop hammer การตอกในลักษณะนี้จะประกอบไปด้วยปั้นจั่นขนาดใหญ่ และลูกตุ้มที่สามารถยกขึ้นลงได้ตามระดับที่ต้องการ โดยใช้เส้นลวดสลิงหรือเครื่องกว้านเป็นตัวยกลูกตุ้มขึ้นตามระยะที่กำหนด แล้วปล่อยลงมายังเสาเข็ม

2. Steam hammer การตอกเสาเข็มในลักษณะนี้จะประกอบไปด้วยกรอบเหล็ก วางเป็นรางให้ลูกตุ้มสามารถวิ่งขึ้นวิ่งลง ซึ่งจะใช้วิธีการบังคับลูกตุ้มให้เคลื่อนไหวด้วยการระเบิดของไอน้ำ แรงอัดอากาศ หรือ สร้างแรงดันไฮดรอลิค การตอกในลักษณะนี้สามารถใช้ตอกเสาเข็มได้ทุกประเภท มีประสิทธิภาพสูง
 
3. Water jet คือ การฝังท่อเข้าไปในเสาเข็ม จากนั้นทำการอัดน้ำแรงดันสูงลงไปตามท่อ โดยน้ำจะถูกส่งไปยังปลายของเสาเข็ม เหมาะสำหรับพื้นที่ที่เป็นดินกรวดและดินทราย  หรือเสาเข็มที่ออกแบบให้สามารถรองรับน้ำหนักที่ปลาย
 
4. Jacking การตอกเสาเข็มในลักษณะนี้ ต้องตอกบริเวณที่มีระยะยกไม่สูงมาก วิธีนี้ต้องใช้การตอกแบบ Hydraulic Jack หรือ การกด เสริมเข้าไปด้วย เพื่อกดเสาเข็มให้จมลงในพื้นดิน
 
อยากได้งานก่อสร้างที่มีคุณภาพ ให้ V.K.B เป็นคำตอบ
ประเภทของเสาเข็ม และ วิธีการใช้งาน เป็นสิ่งสำคัญขั้นพื้นฐานที่ผู้ว่าจ้างต้องรู้ เพราะการวางฐานรากของเสาเข็ม คือ ขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญในงานก่อสร้าง ดังนั้นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ว่าจ้างควรทำความเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับงานก่อสร้างอย่างละเอียด เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในภายหลัง

ถ้าไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาด ทางเราขอแนะนำ V.K.B contracting บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการออกแบบ และ ก่อสร้าง รวมถึงให้คำแนะนำ บริหารโครงการ ที่เปิดให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่างานจะออกมาอย่างที่คุณต้องการ และ มีประสิทธิภาพทุกขั้นตอน!

  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ

 
 
สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 081-735-6625 , 097-445-4146 , 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com

32


ปัจจุบันกล้อง Action camera ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สำหรับนักเดินทาง รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรม Extreme Sports เป็นอย่างมาก หลายๆ คนอาจเกิดคำถามว่า แล้วเราควรเลือกกล้องแบบไหน? วันนี้ทาง Aquapro จะมาแนะนำกล้อง Action camera ระหว่าง gopro 11 vs dji action 2 เพื่อให้คุณสามารถเลือกกล้องที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูกันเลย!
 
สามารถอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ gopro 11 vs dji action 2 แบรนด์ไหนใช่สำหรับคุณ!

ดีไซน์ gopro 11 vs dji action 2
อย่างที่รู้กันดีว่ากล้องทั้ง 2 รุ่นนี้ เป็นแอคชั่นแคมยอดฮิต แต่ก่อนที่จะพาไปดูคุณสมบัติการใช้งาน ในหัวข้อนี้เรามาทำความรู้จักกับดีไซน์ของ gopro 11 กับ dji action 2 ว่าแต่ละรุ่นจะมีความโดดเด่นในด้านใดกันบ้าง

GoPro 11

กล้อง GoPro 11 ดีไซน์มาในรูปทรงสี่เหลี่ยม มาพร้อมหน้าจอสีแสดงผล LCD ทั้งด้านหน้า ขนาด 1.4 นิ้ว และด้านหลัง ขนาด 2 นิ้ว มีดีไซน์จับถนัดมือ และมีน้ำหนักเบา สามารถควบคุมการทำงานด้วยปุ่มโหมดด้านข้าง และปุ่มชัตเตอร์ด้านบน
ความพิเศษของ GoPro 11 คือ กระจกป้องกันหน้าเลนส์แบบ Hydrophobic Glass ช่วยป้องกันละอองน้ำ นอกจากนี้ GoPro 11 ยังมาพร้อมกับ Max Lens Mod เลนส์ที่ช่วยป้องกันภาพสั่นไหว และเพิ่มมุมมองภาพให้กว้างยิ่งขึ้น 155 องศา สามารถใช้ร่วมกับโหมด Horizon Lock ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

DJI Action 2

DJI Action 2 มาในรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส (ตัวกล้อง 56 กรัม หน้าจอเสริม 64 กรัม) มาพร้อมหน้าจอ Dual Screen ขนาด 1.76 นิ้ว ส่วนของตัวกล้องจะแยกกับหน้าจอทัชสกรีน มีรูปทรงการใช้งานแบบ Modular
ตัวกล้องมีปุ่มเปิด/ปิดอยู่ด้านข้าง และควบคุมการทำงานด้วยปุ่มชัตเตอร์ด้านบน แม้ว่า DJI Action 2 จะเป็นกล้องขนาดเล็ก แต่ วัสดุของตัวกล้องทำมาจาก Aluminum Alloy  มีความทนทานสูง ส่วนเลนส์ของกล้องทำจากฟิล์ม Gorilla glass ซึ่งมีความแข็งแรงมากกว่าเลนส์ทั่วไป
 
เปรียบเทียบ gopro 11 vs dji action 2 ด้านการใช้งาน

เจาะลึกสเปคการใช้งานระหว่าง gopro 11 กับ dji action 2 ทั้งเรื่องของแบตเตอรี่ ระบบการทัชสกรีน ความละเอียดภาพ และ วิดีโอ รวมถึงฟีเจอร์อื่นๆ ที่สาย Action camera ต้องห้ามพลาด!

แบตเตอรี่
  • GoPro 11 รุ่นนี้เป็น Enduro Battery มีความจุอยู่ที่ 1720 mAh สามารถใช้งานได้นานถึง 120 นาที และสามารถทนต่อสภาพอากาศได้ดี เนื่องจากมีการเคลือบประจุไฟที่ดีกว่ารุ่นก่อนๆ
  • DJI Action 2 แบตเตอรี่ของตัวกล้องมีความจุที่ 1300 mAh สามารถใช้งานได้ 70 นาที แต่ถ้าใช้งานร่วมกับ Power Module ขนาดความจุเพิ่มขึ้นเป็น 5800 mAh สามารถใช้งานได้ถึง 180 นาที โดยแบตเตอรี่ของ DJI Action 2 และ Power Module จะติดอยู่กับตัวเครื่องไม่สามารถถอดออกได้

สัมผัสการทัชสกีนระหว่าง gopro 11 vs dji action 2
  • GoPro 11 รุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอแสดงผล LCD ด้านหน้าขนาด 1.4 นิ้ว และ ด้านหลังขนาด 2 นิ้ว ด้วยขนาดของหน้าจอทำให้สามารถเห็นรายละเอียดชัด แม้ว่าการตั้งค่าจะมีโหมดที่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน
  • DJI Action 2 หน้าจอมีขนาด 1.76 นิ้ว หากต้องการกล้องหน้าสามารถต่อ Front Screen Module ได้ ด้วยขนาดของหน้าจอที่เล็กทำให้มองเห็นรายละเอียดได้น้อยกว่า GoPro 11 ถ้าพูดถึงเรื่องระบบทัชสกรีน DJI สามารถทำงานได้ลื่นไหลกว่า และมีการตั้งค่าโหมดที่ไม่ซับซ้อน

ความละเอียดวิดีโอ สเกลภาพ
  • GoPro 11 มาพร้อม ความละเอียดสูงสุดที่ 5.3K 60FPS, 4K 120FPS และ 2.7K 240FPS ที่ สเกลภาพ 8:7 ออกแบบฟีเจอร์นี้มาเพื่อรองรับผู้ใช้งานบน TikTok และ Instagram ได้เป็นอย่างดี
  • DJI Action 2 การถ่ายวิดีโอมีความละเอียดสูงสุดที่ 4K 120FPS, 2.7K 120FPS และ FullHD 120FPS แม้ว่าความละเอียดสูงสุดจะน้อยกว่าโกโปร แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับดี และรองรับ FPS120 (อัตราเฟรมเรท)

ความละเอียดรูปภาพ
การถ่ายภาพของ GoPro 11 มีความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 27 MP รองรับไฟล์คุณภาพสูงทั้งแบบ Raw, Standard, HDR และ Superphoto หากครอบภาพจากวิดีโอจะได้ความละเอียดภาพอยู่ที่ 24.7 MP ส่วนDJI Action 2 มีความละเอียดภาพอยู่ที่ 12 MP รองรับไฟล์ JPEG และ RAW จะเห็นว่ากล้องรุ่นนี้เก็บรายละเอียดน้อยกว่าโกโปร และไม่มีฟีเจอร์ครอบภาพ ส่วนเลนส์ของ gopro 11 vs dji action 2 มีดังนี้

  • GoPro 11 สามารถถ่ายได้ถึง 4 ระยะ ได้แก่ Hyperview, SuperView, Wide และ Linear
  • DJI Action 2 สามารถถ่ายได้แค่ 3 ระยะ ได้แก่ Normal, Wide และเลนส์ Ultra Wide กว้างถึง 155 องศา


โหมดกันสั่น + Horizontal leveling

  • GoPro 11 ในปีนี้ทางโกโปรได้เพิ่มระบบกันสั่นเป็น HyperSmooth 5.0 มาพร้อมกับระบบ Auto Boost หากเปิดใช้งานควบคู่กัน เมื่อเกิดการสั่น AI จะทำการครอบภาพให้อัตโนมัติ

  • DJI Action 2 รุ่นนี้มีระบบกันสั่น RockSteady 2.0 หากเทียบในส่วนนี้ โกโปรสามารถทำได้ดีกว่า แต่ถ้าใช้งานร่วมกับ HorizonSteady จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานได้ดีกว่าโกโปร

ระดับความลึกของสี
  • GoPro 11 ในปีนี้โหมดวิดีโอมาพร้อมกับ โปรไฟล์สี 10-bit color depth ช่วยให้สีภายในวิดีโอมีความสมูทมากยิ่งขึ้น และในส่วนที่เป็นแสงเงาตกกระทบจะมีความสว่างมากกว่า DJI
  • DJI Action 2 มีความละเอียดของภาพอยู่ที่ 4K พร้อมสีสันของภาพที่สวยสมจริง แต่ไม่สามารถปรับค่า bitrate ได้ เมื่อเทียบกับโกโปรสีของภาพจะจืดกว่า และในส่วนที่เป็นแสงเงาตกกระทบจะมืดกว่า

โหมด Slow motion
  • GoPro 11 สามารถถ่าย Slow Motion ได้สูงสุด 8 เท่าอยู่ที่ 240fps บนความละเอียดที่ 2.7K และสามารถปรับเป็น 4K ที่ 120fps จะได้ความละเอียดเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า
  • DJI Action 2 สามารถถ่าย Slow Motion ได้สูงสุด 8 เท่าที่ 240FPS เช่นเดียวกับโกโปร แต่ถ้าไม่ได้เชื่อมต่อกับหน้าจอเสริมจะทำ Slow Motion ได้ 4 เท่า ส่วนความละเอียดจะอยู่ที่ 4K 240FPS จะเห็นได้ว่าในส่วนนี้ ความละเอียดของ DJI สามารถทำได้ดีกว่า

โหมดถ่ายกลางคืน

  • GoPro 11 มีขนาดเซนเซอร์ 1/1.9 นิ้ว เมื่อลอง Night Mode ในGoPro 11 ภาพมีความสว่างมากกว่า DJI เนื่องจากขนาดของเซนเซอรที่ใหญ่ จึงทำให้มี Noise มาก แต่ทั้งนี้ก็สามารถปรับค่า ISO ลงเพื่อลดการเกิด Noise ได้
  • DJI Action 2 มีขนาดเซนเซอร์ CMOS 1/1.7 นิ้ว กล้องDJI สามารถเก็บรายละเอียดได้น้อยกว่า เนื่องจากมีขนาดเซนเซอร์ที่เล็กกว่า จึงทำให้มี Noise น้อยกว่า แต่เมื่อปรับสีให้ชัดขึ้นกลับเห็น Noise ชัดเจนมากกว่าโกโปร

การ Live Stream ของ gopro 11 vs dji action 2
  • GoPro 11 รองรับความละเอียดสูงสุด 1080p Full HD ให้ภาพที่คมชัดตอบโจทย์การ Live Stream ได้อย่างลงตัว สามารถทำการบันทึก และส่งข้อมูลขึ้น Cloud ได้อัตโนมัติ
  • DJI Action 2 การไลฟ์สตรีมของ DJI ความละเอียดอยู่ที่ 720p Full HD ซึ่งให้ความคมชัดน้อยกว่าทางโกโปร สามารถใช้ DJI Action 2 ในการไลฟ์ได้เลย ด้วยการต่อกับกล้อง Web Cam โดยตัวกล้องจะมีไมค์มาให้ 1 ทิศทาง หากต่อ Module จะสามารถรับเสียงได้ 3 ทิศทางเลยทีเดียว

ความสามารถในการกันน้ำ
  • GoPro Hero 11 Black สามารถกันน้ำได้ลึก 10 เมตร แบบไม่ต้องใส่ Housing


  • DJI OSMO Action 2
    ตัวกล้องสามารถกันน้ำได้ 10 เมตรแบบไม่ต้องใส่ Housing

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของทั้ง 2 รุ่น เป็นอย่างไร?

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของโกโปร Hero 11 และ DJI Action 2 ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ระบบสัมผัสทัชสกรีน แม้ว่าตัว DJI จะมีขนาดหน้าจอที่เล็ก แต่ระบบสัมผัสมีความลื่นไหลพอๆ กับGoPro 11 และความสามารถในการกันน้ำ รวมถึงฟีเจอร์อื่นๆ ที่คุณต้องลอง

หากใครที่สนใจสามารถเลือกกล้องสไตล์ที่ใช่สำหรับคุณ โดยราคาเปิดตัว dji action 2 เฉพาะ Power Combo จะอยู่ที่ 14,990 บาท ถ้าซื้อเป็น Power Dual-Screen Combo อยู่ที่ 18,690 บาท ส่วน GoPro 11 น้องใหม่ล่าสุดจากค่ายโกโปร ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 18,500 บาท โดยกล้องทั้ง 2 รุ่นนี้สามารถเลือกซื้อในราคาสุดคุ้มพร้อมอุปกรณ์เสริมมากมาย ได้ที่ Aquapro
 

เลือกซื้อ Action Camera กับ Aquapro พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษ
สำหรับใครที่กำลังมองหากล้องแอคชั่นแคม สามารถเลือกซื้อ GoPro 11 และ DJI Action 2 ได้ที่ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้มผ่อน 0% นาน 10 เดือน! (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) นอกจากจำหน่ายโกโปรแล้ว ทางเรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคต่างๆ ในการใช้งานกล้องโกโปรเพิ่มเติม อย่าลืมติดตามได้ที่ GoPro Club
 
 

ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro

33

หากใครที่เพิ่งซื้อกล้อง GoPro 11 หรือ กำลังมีแพลนที่จะซื้อในเร็วๆ นี้ แน่นอนว่าอุปกรณ์เสริมก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน เพราะกล้องโกโปรนอกจากจะเปิดภาพในมุมมองกว้าง และได้ภาพที่คมชัดแล้ว อุปกรณ์เสริมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของคุณให้ดียิ่งขึ้น!

สามารถอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ gopro 11 อุปกรณ์เสริม ที่ควรมี ใครไม่มีถือว่าพลาด!!

GoPro 11 อุปกรณ์เสริม ที่ควรมี
เมื่อคุณมีกล้องโกโปร 11 อยู่ในมือ แน่นอนว่าคุณก็จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริม แต่ก่อนอื่นเราจะมาแนะนำอุปกรณ์จำเป็นที่แถมมากับตัวกล้องกันก่อน ได้แก่

  • Enduro Battery

  • microSD card (บางร้านแถมมาให้) แนะนำว่าให้ใช้หน่วยความจำ 32 GB ขึ้นไป

  • Mounting Buckle

  • สายชาร์จ USB Type C

  • Curved Adhesive Mount

  • Thumb Screws

สำหรับใครที่เคยใช้ หรือ มีอุปกรณ์เสริมของ GoPro 10 อยู่แล้ว ก็สามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้ แต่ถ้าหากคุณเป็นมือใหม่ ขอบอกเลยว่าห้ามพลาดเกี่ยวกับอุปกรณ์เสริม GoPro 11 ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้ รับรองว่าการถ่ายภาพนิ่ง และ การบันทึกวิดีโอบนกล้องแอคชั่นของคุณจะสนุกขึ้นอย่างแน่นอน!

Media Mod


Media Mod อุปกรณ์เสริมที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของกล้องโกโปร และเป็นตัวต่ออุปกรณ์เสริมพ่วง สังเกตได้จากด้านขวามือจะมีอยู่ 3 พอร์ต คือ

  • Micro HDMI

  • Type C

  • ช่องต่อไมค์ 3.5 มม.

Media Mod มีลักษณะเป็นเคสครอบกับตัวกล้อง และมีไมโครโฟนภายในตัว ซึ่งการใช้งานสามารถเลือกไมค์ได้ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับหน้า หลัง และสเตอริโอ ซึ่ง Media Mod จะเหมาะกับการใช้งานสำหรับคนที่ต้องการซื้อไมค์แยก หรือ ต้องการเชื่อมต่อภาพกับ HDMI แบบ Live Stream

Light Mod


ตัวช่วยเรื่องแสงสำหรับกล้องโกโปร ต้องยกให้ Light Mod อุปกรณ์ไฟเสริม LED ที่จะช่วยให้การใช้งานกล้องโกโปรของคุณง่ายมากยิ่งขึ้น โดยหน้าตาของ Light Mod ด้านหน้าจะประกอบไปด้วยไฟเสริม LED 10 ดวง สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องนานถึง 6 ชั่วโมง! ส่วนด้านบนคือ ปุ่มเปิด/ปิด การใช้งาน สามารถใช้เป็นปุ่มเปลี่ยนโหมด และ ใช้เป็นปุ่มเพิ่มแสง สามารถปรับระดับความสว่างได้ทั้งหมด 4 ระดับ ส่วนปุ่มเล็กๆ ด้านบนมีไว้สำหรับบอกสถานะแบตเตอรี่

Volta


แนะนำอุปกรณ์เสริมของ GoPro 11 ภายในชุด Creator Bundle ตัวสุดท้ายนั่นก็คือ Volta หรือ กริปด้ามจับสำหรับการใช้งานในโหมดถ่ายรูป บันทึกวิดีโอ หรือ ถ่าย Vlog GoPro Volta สามารถเชื่อมต่อกับกล้องผ่าน Bluetooth การใช้งานของอุปกรณ์เสริมชิ้นนี้เหมาะสำหรับการใช้งานบนบก เพราะไม่สามารถกันน้ำได้ โดยกริปรุ่นนี้รองรับการใช้งานร่วมกับกล้องรุ่น Hero 10 และ Hero 9 แถมยังสามารถชาร์จแบตเตอรี่ ผ่านอุปกรณ์ที่มีช่องเสียบ USB-C ที่รวมไปถึง GoPro MAX ได้อีกด้วย

GoPro 11 อุปกรณ์เสริม Max Lens Mod


แนะนำอีกหนึ่งอุปกรณ์เสริมที่สาวกโกโปรต้องมี นอกเหนือจาก Creator Bundle Set นั่นก็คือ Max Lens Mod เลนส์เสริมตัวนี้ช่วยให้การถ่ายภาพนิ่ง และ การถ่ายวิดีโอ มีความสมูท และได้ภาพในมุมกว้างมากขึ้นถึง 155 องศา!
ในขณะที่ใช้งาน Max Lens Mod พร้อมความละเอียด 2.7k ในการบันทึกภาพ สามารถเปิดโหมด Horizon locked ตัวช่วยล็อคภาพที่กันสั่นได้ดีที่สุด ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานสำหรับสายท่องเที่ยว สายเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม และ สายไบค์เกอร์เป็นอย่างมาก

ทำไมต้องมีอุปกรณ์เสริม
จริงๆ แล้ว หากคุณไม่มีอุปกรณ์เสริมก็สามารถใช้งานได้ แต่สำหรับบางกิจกรรมอย่างเช่น การถ่าย Vlog หรือ เล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม การใช้งานแบบธรรมดาอาจไม่ตอบโจทย์ได้ดีเท่าที่ควร เพราะคุณสมบัติของอุปกรณ์เสริมทุกชนิด คือ ตอบโจทย์ในเรื่องของความสะดวกสบาย จับถนัดมือ ช่วยสร้างสรรค์ภาพถ่าย และ วิดีโอได้อย่างดีเยี่ยม

GoPro 11 อุปกรณ์เสริม ดีอย่างไร?
ถ้าหากคุณมีอุปกรณ์เสริมสามารถเลือกครีเอทภาพถ่าย และ วิดีโอได้หลากหลาย ที่สำคัญยังเพิ่มคุณภาพให้กับไฟล์ของเราได้ดียิ่งขึ้น ขอบอกเลยว่าทั้ง 3 อุปกรณ์ในชุด Creator Bundle นี้รับรองว่าต้องถูกใจสาย Vlog และสายท่องเที่ยวอย่างแน่นอน!
ส่วนเจ้า Max Lens Mod สำหรับใครที่ชอบทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหว อย่างการเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม ก็เก็บบันทึกภาพได้ไม่มีสะดุด ถึงแม้ว่า GoPro 11 จะมีโหมด Hyperview เพิ่มเข้ามา แต่การใช้ Max Lens Mod จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของคุณให้ดียิ่งขึ้น!
 
 
ซื้อ GoPro 11 พร้อมชุด Creator Bundle ได้ที่ Aquapro
สำหรับใครที่เป็นมือใหม่ และกำลังเลือกซื้ออุปกรณ์ แต่ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรบ้าง แนะนำ ชุด GoPro Hero 11 Black Creator Edition ซื้อครั้งเดียวจบได้ครบทุกอย่าง! ทั้ง Volta, Media Mod และ Light Mod นอกจากนี้ทาง Aquapro ยังมีโปรโมชั่น พร้อมอุปกรณ์เสริมอีกมากมายให้คุณได้สร้างสรรค์อย่างไร้ขีดจำกัด
หากใครที่กำลังมองหา GoPro 11 พร้อมชุดอุปกรณ์เสริมที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ แนะนำ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมอุปกรณ์เสริมมากมาย มีให้เลือกแบบครบวงจร ที่สำคัญเรายังมีข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับกล้องโกโปรมาอัปเดตอย่างต่อเนื่อง บอกเลยว่าสาวกโกโปรต้องห้ามพลาด!
 
 
 
ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


34

การเปิดตัวของ GoPro 11 กล้องขนาดพกพา ที่เน้นพัฒนาด้านการใช้งานแบบจัดเต็ม! ด้วยสเปคของโกโปร 11 มีฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามามากมาย ถ้าหากใครที่อยากหัดเล่นกล้อง GoPro ทาง Aquapro ขอแนะนำ GoPro 11 เพราะในปีนี้นอกจากจะพัฒนาสเปค ยังมาพร้อมโหมดที่ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับมือใหม่มากยิ่งขึ้น!

สามารถเข้าไปอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ วิธีใช้ Gopro 11 สำหรับมือใหม่เข้าใจง่ายใน 5 นาที!

โหมดการควบคุมของ Easy / Pro
       
   

วิธีใช้ GoPro 11 มีฟีเจอร์เพิ่มขึ้นมานั่นก็คือ โหมดเลือกระดับการใช้งาน ได้แก่ Easy Mode และ Pro Mode หากใครที่ยังไม่รู้ว่าโหมดนี้อยู่ตรงไหน เปิดหน้าจอ GoPro 11 เลื่อนแถบเมนูลงมา แล้วเลื่อนไปยังด้านซ้ายมือ จะเห็นคำสั่ง Controls เมื่อกดเข้าไปจะมีให้เลือก 2 โหมด ซึ่งทั้ง 2 โหมดนี้มีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป

ทั้ง 2 โหมดใช้งานอย่างไร
เริ่มต้นที่โหมด Easy เป็นโหมดที่กล้องได้ตั้งค่าระบบที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ ทำให้การถ่ายวิดีโอ การถ่ายภาพ และ Time Lapse ของคุณใช้งานง่ายกว่าที่คิด! ส่วนโหมด Pro เป็นโหมดที่ปลดล็อกทุกฟีเจอร์ของกล้อง GoPro 11 ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายวิดีโอ การถ่ายภาพ หรือ Time Lapse ก็สามารถสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างเต็มรูปแบบ

วิธีใช้ GoPro 11 ทั้ง 2 โหมด ต่างกันอย่างไร
Easy Mode


หากตั้งค่าเป็น Easy Mode เมื่อกลับเข้าสู่หน้า Photo ฟีเจอร์การถ่ายภาพของคุณจะมีให้เลือก 2 โหมดนั่นก็คือ SuperPhoto และ Night Photo เมื่อเลื่อนจอไปยังหน้า Video การถ่ายจะถูกล็อคอยู่ที่โหมด Low Light เป็นโหมดปรับค่าสภาวะแสงน้อยอัตโนมัติ ส่วนโหมด Time Lapse จะถูกตั้งค่าอยู่ในโหมด Time Warp คุณสามารถเลือกความเร็วได้เพียง 2 ระดับ คือ Real Speed และ Half Speed ซึ่งการใช้งานในแต่ละโหมดทางโกโปรจะปรับ Preset และเลือกโหมดที่เหมาะสมมาให้อัตโนมัติ

Pro Mode


Pro Mode คือ โหมดที่คุณสามารถเลือกใช้งานได้ทุกฟีเจอร์! และสามารถกำหนดค่า Preset และคุณภาพของไฟล์ได้หลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ มีให้เลือกทั้งโหมด Photo, Burst และ Night Photo ส่วนการถ่ายวิดีโอ สามารถตั้งค่า Framerate และเลือกเปิด/ปิด ระบบกันสั่นได้ ส่วน Time Lapse มีฟีเจอร์ All Night Effect สามารถใช้งานง่ายยิ่งขึ้น

วิธีใช้ GoPro 11 โหมด UI Easy และ Pro เหมาะกับใคร
หากเริ่มต้นใช้งานกล้อง GoPro Hero 11 Black แนะนำให้ใช้ Easy Mode เพราะโหมดนี้จะตั้งค่า Preset ให้เหมาะสมสำหรับสถานการณ์นั้นๆ ถ้าหากคุณเป็นมือใหม่ ที่ต้องการกล้องโกโปรไปใช้ระหว่างออกทริปเดินทาง หรือถ่าย Vlog แนะนำว่าควรเริ่มต้นใช้งานด้วย Easy Mode ถือว่าตอบโจทย์ที่สุด
 
Tip & Trick วิธีใช้ GoPro 11


หลายๆ อาจเกิดคำถามว่าโกโปรใช้งานยากไหม? จริงๆ แล้วการใช้งานกล้องโกโปร Hero 11 รุ่นนี้ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะวิธีการใช้งานไม่แตกต่างจาก GoPro 9 และ GoPro 10 เลย แถมยังมีโหมดควบคุมการใช้งานอย่าง Easy และ Pro มาให้เลือกอีกด้วย

วิธีเปลี่ยนโหมด
เมื่อเปิดกล้องขึ้นมา GoPro จะบังคับให้คุณ Update Firmware เป็นอันดับแรก ขั้นตอนแรกก่อนเริ่มต้นใช้งานให้คุณดาวน์โหลด Quik app ในโทรศัพท์มือถือ จากนั้นทำการ Update Firmware และ เชื่อมต่อเข้ากับกล้องโกโปรของคุณ
มาดูในส่วนของการใช้งานกล้องกันบ้าง ขั้นตอนแรกเมื่อเปิดขึ้นมาหากต้องการเปลี่ยนโหมดการใช้งาน คุณสามารถกดที่ปุ่มโหมด 1 ครั้ง ระบบก็จะทำการเปลี่ยนโหมดให้หรืออีกวิธีก็คือ การทัชสกรีนบนหน้าจอกล้อง

การบันทึกภาพ/วิดีโอ และ ดูไฟล์ภาพ
ถ้าต้องการถ่ายรูป หรือ วิดีโอ ให้คุณกดที่ปุ่มชัตเตอร์ด้านบน 1 ครั้ง กล้องจะทำการบันทึกภาพให้ทันที และถ้าต้องการเลือกดูไฟล์รูปภาพ หรือ วิดีโอ เพียงทำการสไลด์ที่หน้าจอจากล่างขึ้นบน กล้องก็จะแสดงผลไฟล์ที่เราได้ทำการบันทึกไว้

เมนูต่างๆ ภายในกล้อง


เรื่องสำคัญขั้นพื้นฐานที่ควรรู้อีกอย่าง คือ การใช้งานเมนูต่างๆ ภายในกล้อง ซึ่งแต่ละสัญลักษณ์จะทำหน้าที่แตกต่างกันไป ตามรายละเอียดด้านล่างดังนี้

  • สัญลักษณ์รูปคน คือ คำสั่งควบคุมกล้องด้วยเสียง

  • สัญลักษณ์รูปตัวโน้ต คือ เสียงการทำงานของตัวเครื่อง

  • สัญลักษณ์รูปกระต่าย คือ Quick Capture สามารถบันทึกภาพ และ วิดีโอได้ในขณะที่ปิดเครื่อง

  • สัญลักษณ์รูปกุญแจ โหมดสำหรับการล็อคหน้าจอทัชสกรีน

  • สัญลักษณ์จอแสดงผลด้านหน้า มีทั้งหมด 4 รูปแบบ คือ ปิดการแสดงผล, แสดงเฉพาะสเตตัส, จอแสดงผลด้านหน้าแบบสกรีน ได้ระยะเหมือนกล้องด้านหลัง และ จอแสดงผลด้านหน้าเต็มเฟรม 1:1

  • สัญลักษณ์ล็อค คือ การล็อคหน้าจอในแนวตั้ง และแนวนอน

  • สัญลักษณ์ Max Lens Mod ทำงานคู่กับเลนส์เสริมของ GoPro 11 ฟีเจอร์นี้จะช่วยเพิ่มมุมมอง

ถ้าเข้าใจรายละเอียดขั้นพื้นฐานแล้ว แนะนำว่าเพิ่มทักษะการถ่ายภาพและวิดีโอของคุณด้วยการลองปรับตั้งค่า Preference ต่างๆ ภายในกล้อง และเลือกใช้งานด้วยฟีเจอร์ Pro Mode คุณจะพบกับฟังก์ชันเด็ดๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน GoPro 11 อีกเพียบ!
 
อัปเดตการใช้งาน GoPro 11 ง่ายๆ กับ Aquapro
เรียนรู้วิธีการใช้งาน GoPro 11 ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นทริปท่องเที่ยวแบบธรรมดา หรือ เล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม ก็ให้สีสด และ คมชัด พร้อมลูกเล่นหลากหลาย และสำหรับมือใหม่คนไหนที่กำลังมองหาร้านจำหน่ายกล้องโกโปร พร้อมอุปกรณ์เสริม แนะนำ Aquapro  ร้านจำหน่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แบบ One Stop Service! นอกจากนี้ยังสามารถติดตามข่าวสาร และเทคนิคดีๆ ได้ที่ GoPro Club รับรองว่าคุณจะรู้เกี่ยวกับการใช้งานกล้องโกโปรได้ดียิ่งขึ้น
 


ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro

35

รีวิวการเดินทาง 1 วันกับ GoPro 11 รีวิว เริ่มต้นช่วงเช้าของวันที่คาเฟ่ใกล้บ้านย่านลาดพร้าว อย่าง ฌอเฌอ คอฟ แล้วไปต่อช่วงบ่ายกันที่ สวนเบญจกิติ สวนสาธารณะใจกลางเมืองย่านอโศก แล้วเดี๋ยวเรามาดูกันว่าการเดินทาง 1 วันของ Aquapro กับกล้อง GoPro 11 จะได้ภาพถ่ายและวิดีโอออกมาเป็นอย่างไร!

สามารถเข้าไปอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ gopro 11 รีวิว ดีจริงหรือไม่ จากประสบการณ์การใช้งานจริง!

Design ของ GoPro 11


ดีไซน์ของตัวเครื่อง GoPro Hero 11 Black รูปลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างจาก GoPro 10 แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ตัวเลขและตัวอักษรด้านข้าง และ Max Lens Mod ติดมากับตัวกล้อง
ส่วนอุปกรณ์ภายในกล่อง มาพร้อมกับ Bettery Enduro, Mounting Buckle, สาย USB Type C, Thumb Screws และ Curved Adhesive Mount ที่ยึดติดกับหมวกกันน็อค ซึ่งข้อดีของการที่ไม่ได้เปลี่ยนดีไซน์ คือ สามารถใช้อุปกรณ์เสริมอื่นๆ ร่วมกันได้
 
GoPro 11 รีวิว ระบบการทัชสกีน
ขนาดหน้าจอและระบบทัชสกรีนของ GoPro 11 จอด้านหน้า LCD มีขนาด 1.4 นิ้ว จอหลัง 2 นิ้ว สามารถควบคุมระบบสัมผัสทั้งสองจอได้ด้วยเสียง หลังจากที่ได้ลองใช้งานระบบสัมผัสไม่แตกต่างจาก GoPro 10 แต่โกโปร Hero 11 สามารถประมวลผลไฟล์ได้เร็วขึ้น เพราะ ใช้ชิพ GP2 Processer
 
การใช้งาน UI โหมด Easy / Pro

   

ภายในกล้องมีให้เลือก 2 โหมดนั่นก็คือ Easy Mode และ Pro Mode โดยความพิเศษของโหมด Easy คือ คุณสามารถควบคุมการใช้งานได้ง่ายขึ้น ทั้งการถ่ายภาพ และ วิดีโอ เหมาะสำหรับมือใหม่เป็นอย่างมาก
ส่วน Pro เป็นโหมดที่ปลดล็อกทุกฟีเจอร์การใช้งานของกล้อง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ หรือวิดีโอก็มีฟีเจอร์ให้เลือกมากมาย สำหรับใครที่ต้องการใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ แนะนำให้เลือกโหมดนี้เลย!

โหมดการถ่ายวิดีโอ

เริ่มต้นใช้งานกล้อง GoPro 11 รีวิว คาเฟ่ด้วยการถ่ายวิดีโอ หลังจากที่เราได้ลองใช้งานแล้ว รู้สึกได้ถึงความสดของสีที่เพิ่มขึ้น และความสมูทของในวิดีโอ


ส่วนการถ่ายวิดีโอมาพร้อมเลนส์ 4 ระดับ ได้แก่ Hyperview, Superview, Wide และ Linear มีความละเอียดอยู่ที่ 5.3K60 fps, 4K120 fps และ 2.7K 240fps


GoPro 11 รีวิว ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้ก็คือ ขนาดของเซนเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นถึง 1/1.9 นิ้ว และขนาดภาพ 8:7 เป็นไซส์สี่เหลี่ยม เมื่อนำมาครอปเป็นขนาด 9:16 ลงใน TikTok ทำให้เห็นว่าวิดีโอยังคงชัด และไม่หลุดเฟรม


การถ่ายวิดีโอมีโหมด Bit มาให้เลือกปรับ หากไม่ปรับจะอยู่ที่ 8 bit อัตโนมัติ แต่ถ้าหากปรับจะอยู่ที่ 10 bit โดยความแตกต่างระหว่าง 8 bit กับ 10 bit คือ เรื่องของ Color Bit Depth หรือ ความลึกของสี

GoPro 11 รีวิว โหมดการถ่ายภาพ
ถึงแม้วันนี้จะมีอากาศครึ้มฝนแต่ GoPro 11 ก็เอาอยู่! เพราะภาพถ่ายที่ได้จากกล้องยังคงมีความคมชัด และสีสันที่สดใส เพราะโกโปรรุ่นนี้อัพเกรดขนาดเซนเซอร์เป็น 1/1.9 นิ้ว รองรับเก็บเฉดสีได้มากถึง 10-bit พร้อมความละเอียดอยู่ที่ 27 ล้านพิกเซล
 
โหมดถ่ายภาพสามารถปรับได้ 2 ระดับ คือ Wide และ Linear มีคุณภาพของไฟล์ให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ Raw, Standard, HDR และ Superphoto หากครอบภาพจากวิดีโอก็จะได้ความละเอียดภาพอยู่ที่ 24.7 ล้านพิกเซล ในรุ่นนี้มีระดับสีมาให้อยู่ที่ 10 bit คุณสามารถครอบภาพจากวิดีโอได้ ความละเอียดของภาพจะอยู่ที่ 24.7 ล้านพิกเซล

การใช้งาน เลนส์ Hyperview
ช่วงบ่ายพาทุกคนมากันที่สวนป่าเบญจกิติ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนทุกวัย ดีไซน์ของสะพานที่เป็นจุดไฮไลท์ จึงทำให้สวนสาธารณะแห่งนี้มีความน่าสนใจมากทีเดียว ทางเราจึงอดไม่ได้ที่จะเลือกเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำหรับการรีวิว GoPro 11

   

เริ่มต้นเปิดการใช้งานฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดด้วยเลนส์ Hyperview เลนส์ภายในโหมดวิดีโอที่มีระดับความกว้างมากที่สุด ซึ่งทางเราได้ทำการถ่ายวิดีโอเพื่อเปรียบเทียบกับเลนส์ชนิดอื่นๆ อย่าง Superview, Wide และ Linear


ส่วนด้านเทคโนโลยีกันสั่นของรุ่นนี้เป็น HyperSmooth 5.0 ทดสอบโดยการวิ่ง สังเกตได้ว่าไม่เกิดการสั่นภายในภาพเลย เนื่องจาก โกโปร 11 มาพร้อมกับฟีเจอร์ Horizon Lock แม้ว่าตัวกล้องจะขยับหรือหมุน ภาพก็ยังคงสมูท และจับโฟกัสได้อย่างดีเยี่ยม!
 
การถ่าย Night mode


วิดีโอในโกโปร 11 ได้เพิ่มฟีเจอร์ที่เป็นลูกเล่นเข้ามานั่นก็คือ โหมด Night Effect Time Lapse สามารถถ่ายวิดีโอ Star Trails, Light Painting และ Vehicle Light Trails  โดยการรีวิวเราได้ทดลองเปิดใช้งาน 2 โหมด นั่นก็คือ Light Painting และ Vehicle Light Trails วิดีโอที่เราได้ทำการถ่ายมานั้นใช้ความละเอียดอยู่ที่ 4K ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานของ Night Mode เริ่มต้นการรีวิวด้วยโหมด Light Painting เป็นการถ่ายภาพที่ทำให้เกิดเส้นแสงของไฟ


มาต่อกันที่โหมด Vehicle Light Trails ที่สถานีรถไฟฟ้าอโศก ตั้งค่า Setting การถ่ายแสงไฟรถ ให้เหมือนกับโหมดวาดเส้นแสงไฟ และเลือกใช้เลนส์ Wide เพื่อให้ได้มุมมองภาพที่กว้าง
พื้นฐานสำคัญของการใช้ Night Effect คือ การตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ ในขณะถ่ายวิดีโอ ได้ทำการปรับ Shutter เป็น 0.5s และค่า ISO อยู่ที่ 100 แต่ถ้าอยู่ในที่แสงน้อยมากสามารถปรับค่า Shutter และ ISO เพิ่มขึ้นได้
 
แบตเตอรี่


มาพูดถึงแบตเตอรี่ของ GoPro 11 กันบ้าง ก่อนที่โกโปร Hero 11 จะออก แบตเตอรี่ชนิดนี้มีการขายแยกต่างหากอยู่แล้ว ซึ่งแบตเตอรี่ชนิดนี้มีความจุเทียบเท่ากับแบตเตอรี่ของ โกโปร 10 และ โกโปร 9 แต่ข้อแตกต่าง คือ ความทนทานต่อสภาพอากาศได้ดีกว่าแบตเตอรี่รุ่นดั่งเดิม
 
วิธีการใช้งาน Gopro Quik App


การใช้งาน Quik app หรือแอปพลิเคชันที่จะช่วยให้การตัดต่อวิดีโอของคุณเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น สำหรับใครที่เป็นมือใหม่สามารถดูวิธีการเชื่อมต่อโกโปรกับแอปพลิเคชันได้ดังนี้

  • ดาวน์โหลด Quik app สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งใน App Store หรือ Google Play Store

  • ตั้งค่าเชื่อมต่อแอปพลิเคชันบนกล้องโกโปร ปัดหน้าจอโกโปรเพื่อทำการเปิดเมนู > กดเลือก Connections > กดเลือก Wireless Connections > เลือก On จากนั้นไปที่ Connect Device > เลือก GoPro App

  • ตั้งค่าเชื่อมต่อบนโทรศัพท์มือถือ ก่อนอื่นเลย ให้ทำการเปิด Bluetooth และ WiFi > เข้าไปที่ Quik app > แล้วกดเลือก Add Camera > เลือก Connect Camera ซึ่งเราสามารถตั้งชื่อให้กับโกโปรได้ทั้งภาษาอังกฤษ และตัวเลข ด้วยการใช้ 8 ตัวอักษรขึ้นไป > จากนั้นให้กดคำว่า Let’s Go และกดตกลงร่วมเครือข่าย WiFi เพียงเท่านี้ก็สามารถเชื่อมต่อโกโปรกับมือถือของคุณได้เรียบร้อย

สรุป GoPro 11 รีวิว เป็นอย่างไร?
หลังจากที่ได้ทำการรีวิวกล้อง GoPro 11 ทำให้เห็นถึงความสามารถของฟีเจอร์ต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามา ทั้งในเรื่องความละเอียดของไฟล์ภาพ และวิดีโอ ระบบ Hypersmooth 5.0 การทดลองวิ่ง และถ่ายวิดีโอในสวนสาธารณะแบบหมุนกล้อง 360 องศา จะเห็นได้ว่าระหว่างจับภาพวิดีโอยังคงนิ่ง และเคลื่อนที่ในแนวระนาบโดยไม่เกิดการสั่นไหว

ส่วนเรื่องความทนทานของ Enduro Battery หลังจากที่ได้ทดลองใช้งาน พบว่ามีความทนทานต่อสภาพอากาศได้ดีขึ้นจริง แต่เรื่องความอึดของแบตเตอรี่ โดยส่วนตัวคิดว่าขึ้นอยู่กับการใช้งาน หากใครที่กำลังมองหากล้อง Action Camera แบบครบครัน บอกเลยว่า GoPro 11 ตอบโจทย์คุณได้อย่างแน่นอน 
 
ติดตามข้อมูล GoPro 11 ได้ที่ Aquapro
สำหรับทริปการเดินทาง 1 วัน กับ GoPro 11 รีวิว ในครั้งนี้ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์แก่คุณ ถ้าหากใครที่กำลังมองหากล้องขนาดพกพา สามารถตอบโจทย์เรื่องการท่องเที่ยว หรือถ่าย Vlog ต้องห้ามพลาดกับโกโปร 11! ในซีซั่นนี้ทางโกโปรจะปล่อยรุ่นไหนออกมาอีกบ้าง ติดตามข้อมูลได้ที่ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสำหรับแนะนำเทคนิคการใช้งานเพิ่มเติม พร้อมเคล็ดลับต่างๆ ที่สาวกโกโปรห้ามพลาด!
 


ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro


36


GoPro 11 vs GoPro 10 ชวนทุกคนไปเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกล้องทั้ง 2 รุ่น ในเรื่องของ Body สเปคของเครื่อง ความสามารถ รวมถึงราคาหลังจากที่เปิดตัว ทั้ง 2 รุ่นนี้จะมีความโดดเด่น และ ตอบโจทย์การใช้งานในด้านใดบ้าง ? วันนี้ทาง Aquapro ได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ มาให้ทุกคนแล้ว

สามารถเข้าไปอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ บอกหมด gopro 11 vs gopro 10 ต่างกันอย่างไร รุ่นไหนเหมาะกับคุณ?

คุณสมบัติ ระหว่าง GoPro 11 vs GoPro 10


หากพูดถึงคุณสมบัติโดยรวมของโกโปรทั้ง 2 รุ่น อย่างที่รู้กันดีว่าไม่ได้มีความแตกต่างกันในเรื่องของรูปทรง แต่มีความแตกต่างเรื่องของสเปคที่โดดเด่น ทั้งความละเอียดภาพ และ วิดีโอที่เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงระบบกันสั่นที่ดีกว่า กล้องโกโปร 11 ยังคงใช้ CPU ประมวลผล GP2 เช่นเดิม แต่ในโกโปร 11 จะมีขนาดเซนเซอร์ที่ใหญ่กว่า ซึ่งเป็นตัวช่วยเพิ่มคุณภาพของไฟล์ให้สามารถปรับได้หลายระดับ
 
เปรียบเทียบกล้อง Gopro 10 vs Gopro 11
หลังจากที่ประกาศเปิดตัวไปได้ไม่นานกับGoPro Hero 11 Black เชื่อว่าหลายๆ คนคงเกิดคำถามในใจว่าระหว่าง GoPro 10 และ GoPro 11 จะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง? วันนี้ทาง Aquapro ได้ลิสต์ข้อมูลเกี่ยวกับ Body สเปค และ ฟังก์ชันต่างๆ ไว้ในหัวข้อนี้แล้ว
 
ดีไซน์ระหว่าง GoPro 10 และ GoPro 11


ระหว่าง GoPro 10 vs GoPro 11 ในปีนี้ทางผู้พัฒนาโกโปรตั้งใจพัฒนาเรื่องของคุณภาพการใช้งานมากกว่าเรื่องของรูปทรง จึงทำให้ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่ตัวเลข และ ฟอนต์ตัวหนังสือด้านข้างเปลี่ยนไปจาก GoPro 10 ส่วนดีไซน์อื่นๆ ยังเหมือนเดิม สามารถใช้อุปกรณ์ร่วมกับ GoPro 10 ได้

เปรียบเทียบสเปค


  • การถ่ายภาพ กล้องโกโปร 11 นี้ มีความละเอียดการถ่ายภาพอยู่ที่ 27 ล้านพิกเซล (27 MP) รองรับไฟล์ RAW ส่วนโกโปร 10 อยู่ที่ 23 ล้านพิกเซล (23 MP)

  • การถ่ายวิดีโอ โกโปร 11 มีความละเอียดของวิดีโออยู่ที่ 5.3K ที่ 60FPS พร้อมระบบ HyperSmooth 5.0 Horizon Lock ความพิเศษครั้งนี้ คือ สามารถปรับระดับสีได้ถึง 10-bit color depth ให้ความโดดเด่นด้านสีสันที่สวยงามยิ่งขึ้น!

  • ความละเอียดการครอบภาพ สำหรับโกโปร 11 ในกรณีที่ดึงรูปภาพมาจากวิดีโอจะมีความละเอียด อยู่ที่ 24.7 ล้านพิกเซล (24.7 MP) ในขณะที่โกโปร 10 มีความละเอียดสูงสุด อยู่ที่ 19.6 ล้านพิกเซล (19.6 MP)

  • มีสเกลภาพแนวตั้ง อยู่ที่ 8:7 โกโปร 11 ได้เพิ่มฟีเจอร์ถ่ายภาพ และ วิดีโอในขนาด 8:7 รองรับผู้ใช้งาน TikTok และ Instagram ซึ่งมีขนาดของภาพที่กว้าง และ ได้คุณภาพของไฟล์ที่สูงกว่า

  • เพิ่มสี 10 bit ทางโกโปร 11 ในปีนี้ เน้นพัฒนาในเรื่องสีสัน และ ความคมชัดของไฟล์ อยู่ที่ 10-bit color depth

  • ระบบกันสั่น HyperSmooth ทางด้านของGoPro 11 มีการอัพเกรดเวอร์ชั่นเป็น 5.0 มาพร้อมกับระบบ Auto Boost หากเกิดการสั่นจะทำการครอบภาพทันที
    Horizon leveling โกโปร 10 จะมีตัวช่วยลดการสั่นไหว และ ป้องกันการเอียงอยู่ที่ 170 องศา แต่มาในรุ่นนี้เพิ่มเป็น 360 องศา! ทำให้การถ่ายวิดีโอของคุณออกมาสมูทมากยิ่งขึ้น

  • Improve Auto Exposure ในรุ่นนี้ได้พัฒนาระบบให้กลายมาเป็น Improve Auto Exposure ถึงแม้ว่าจะอยู่ในที่แสงน้อย ก็สามารถถ่ายภาพหรือวิดีโอให้ออกมาสวยได้

  • Timewarp และ Time Lapse การถ่ายวิดีโอทั้ง 2 โหมดนี้ ในโกโปร 10 มีความละเอียดยู่ที่ 4K 60FPS ส่วนโกโปร 11 มีความละเอียดอยู่ที่ 5.3K 60FPS ถือว่าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 91%

  • กันน้ำได้ลึก 10 เมตร ความสามารถของโกโปรทั้ง 2 รุ่นนี้ สามารถกันน้ำได้ลึกสูงสุด 10 เมตร

ฟังก์ชันการใช้งาน


มาถึงในส่วนฟังก์ชันการใช้งานของโกโปรทั้ง 2 รุ่นนี้ ถือว่ามีความใกล้เคียงกันมาก ซึ่งจะมีอะไรที่เหมือน และ แตกต่างระหว่าง 2 รุ่นนี้บ้างไปดูกัน!

  • เลนส์ถ่ายภาพนิ่ง และ วิดีโอ เลนส์กล้องโกโปร 10 สามารถเลือกได้ 4 ระยะ นั่นก็คือ Superview, Wide, Linear และ Narrow แต่ในปีนี้ทางโกโปร 11 ได้ตัดเลนส์ระยะ Narrow ออก แต่เพิ่มเลนส์ Hyperview เข้ามา มีคุณสมบัติ คือ สามารถเก็บภาพในมุมมองที่กว้างกว่าเลนส์ Superview

  • Night Effect Time Lapse Night Mode ของโกโปร 11 ที่เพิ่มเข้ามาคือ Star Trail, Light Painting และ Vehicle Light Trail สามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 5.3K60fps และ 4K120fps

  • แบตเตอรี่ หากพูดถึงแบตเตอรี่ของโกโปรทั้ง 2 รุ่นนี้ มีความจุอยู่ที่ 1720 mAp และ มีขนาดเท่ากัน สามารถใช้งานร่วมกันได้ แต่แบตเตอรี่ของโกโปร 11 เป็นสีขาว มีการเคลือบที่ดี และทนต่อสภาพอากาศได้ดีกว่า

ราคาเปิตตัวของทั้ง 2 รุ่น


หากเปรียบเทียบราคาเปิดตัวของทั้ง 2 รุ่นนี้ ถือว่าอยู่ในเรทราคาที่ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ อย่างGoPro Hero 10 Black ราคาเปิดตัววางจำหน่ายในไทยอยู่ที่ 16,500 บาท ส่วนGoPro 11 ราคาเปิดตัววางจำหน่ายในไทยจะอยู่ที่ 18,500 บาท ถ้าหากเทียบกับสเปคที่ได้จากGoPro 11 ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว
 
สรุปตัวไหนคุ้ม ตัวไหนน่าซื้อ
หลังจากที่ได้ทำการเปรียบเทียบ พบว่าโกโปรทั้ง 2 รุ่นมีคุณสมบัติที่โดดเด่นใกล้เคียงกัน สำหรับใครที่มี GoPro Hero 10 Black อยู่แล้วแนะนำว่ายังไม่ต้องเปลี่ยน แต่ถ้าใครที่ยังไม่มี GoPro Hero 10 Black แนะนำให้เลือกซื้อ GoPro Hero 11 Black ไปเลย เพราะรุ่นใหม่นี้มีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่าในหลายๆ ด้าน   

 
เลือกซื้อ GoPro 11 พร้อมโปรโมชั่นดีๆ ต้องที่ Aquapro
เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง GoPro 11 vs GoPro 10 หากใครที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อกล้องโกโปรอยู่ละก็! ขอแนะนำ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์มากมาย นอกจากนี้ทางเรายังมีข่าวสารดีๆ เกี่ยวกับกล้องโกโปรมาอัปเดตอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากคุณติดตาม Aquapro รับรองว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจให้กับทุกคนได้อย่างแน่นอน!



ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro

37


แกะกล่อง Gopro 11 รีวิวการกลับมาอีกครั้งของกล้อง Action Camera มากความสามารถ ทางโกโปรได้ปล่อยวิดีโอเปิดตัวในวันที่ 14 กันยายน 2565 และเปิดตัววางจำหน่ายเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา พร้อมกับราคาเปิดตัวอยู่ที่ 18,500 บาท และถ้าหากใครอยากรู้ว่าโกโปรรุ่นนี้จะมีอะไรใหม่ๆ บ้าง ไปทำการ แกะกล่อง Gopro 11 พร้อมๆ กันกับ Aquapro ได้เลย!
 
กล่องจริงเป็นอย่างไร?


เริ่มต้นการรีวิวเรามาดูกันที่แพ็กเกจกันก่อนเลย โกโปรรุ่นนี้มีแพ็กเกจมาในรูปแบบกล่องทรงสูงสีดำ ด้านหน้ากล่องมีตัวเลข 11 โดดเด่น ประกอบด้วยรูปกล้องโกโปร และ ตัวหนังสือสีฟ้าที่เป็นลายกราฟิกด้านหลัง ส่วนรายละเอียดข้างกล่องเป็นการเขียนบอกสเปคคร่าวๆ โดยรวมแล้วแพ็กเกจยังคงมาในรูปแบบที่เรียบง่าย มีกลิ่นอายความเท่นิดๆ ตามสไตล์ของโกโปร เรียกได้ว่าน่าสนใจมากทีเดียว
 
ตัวกล่องให้อะไรมาบ้าง

     
   
   

   

เมื่อเปิดกล่องออกมาจะพบกับกระเป๋ารูปทรงสี่เหลี่ยมสีดำ ที่ภายในบรรจุตัวกล้องโกโปร และ อุปกรณ์เสริมเอาไว้มากมาย ซึ่งอุปกรณ์ภายในกระเป๋าสีดำมีดังนี้

  • กล้อง GoPro Hero 11 Black
  • สายชาร์จ USB Type – C
  • แบตเตอรี่ – แบตเตอรี่ Enduro 1 ก้อน
  • ฐานรองกล้อง (Base) – ใช้สำหรับยึดกล้องเข้ากับสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นขาตั้งกล้อง หรือ สิ่งของอื่นๆ
  • - ตัวยึดกล้อง (Mount) – ตัวเชื่อมต่อระหว่างตัวกล้องกับฐานรองกล้อง มีแบบเรียบ และ แบบโค้ง
  • สกรู (Screw) – ใช้สำหรับยึดตัวกล้อง GoPro กับสิ่งของ เพื่อทำให้สามารถยึดได้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
  • คู่มือ และ ใบรับประกัน
  • สติ๊กเกอร์ GoPro

 
ตัว Body กล้องเป็นอย่างไร? เหมือนเดิมไหม?

   

เมื่อ แกะกล่อง Gopro 11 พบว่า ตัวกล้องมีดีไซน์ ขนาด รวมถึงน้ำหนัก เท่ากับโกโปร 10 โลโก้บนตัวกล้องยังคงเป็นสีฟ้า มาพร้อมกับแบตเตอรี่ Enduro 1 ก้อน ที่เปลี่ยนจากสีฟ้ามาเป็นสีขาว และคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจของแบตเตอรี่รุ่นนี้ คือ มีการเคลือบที่ดีกว่าจึงทำให้มีความทนทานต่อทุกสภาพอากาศ และ สามารถอยู่ได้นานยิ่งขึ้น

ที่สำคัญมี Max Lens Mod ติดมากับตัวกล้อง แต่สามารถถอดออกได้ คุณสมบัติของเลนส์ชนิดนี้จะช่วยป้องกันภาพสั่นไหว ทำให้ภาพที่ได้นิ่งขึ้น และช่วยเพิ่มมุมมองภาพให้กว้างมากกว่าเลนส์ปกติ

A : ใช้ Interface แล้วเป็นยังไง? เร็วขึ้นไหม?
Q : ใน GoPro 11 รุ่นนี้พบว่าการทำงานของ Interface แบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ Easy Mode และ Pro Mode โดย Easy Mode ระบบกล้องจะจัดโหมด Setting ที่ดีที่สุดสำหรับทุกสถานการณ์ ทำให้สามารถเลือกใช้งานได้ง่ายขึ้น ส่วน Pro Mode คุณจะได้สัมผัสทุกฟีเจอร์ พร้อมการทำงานอย่างเต็มรูปแบบของโกโปร Hero 11
 
ตัวอุปกรณ์ ใช้กับอุปกรณ์ Gopro 10 ได้ไหม?
ในปีนี้ทางโกโปรเน้นพัฒนาเรื่องของคุณภาพภายใน จึงทำให้รูปทรงภายนอกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หากใครมีกล้อง GoPro 10 อยู่แล้วก็สามารถนำอุปกรณ์มาใช้ร่วมกันได้เลย ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่ เลนส์ Hydrophobic Glass รวมถึงอุปกรณ์เสริมชิ้นอื่นๆ อย่างเช่น ไม้เซลฟี่ Mounting Buckle และ Light Mod ก็สามารถใช้ร่วมกันได้
 
สเปคคร่าวๆ ที่น่าสนใจของGoPro 11
สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับ โกโปร 11 ว่าจะมีการพัฒนาไปในทิศทางไหน หรือ มีอะไรใหม่ๆ บ้าง? วันนี้ทาง Aquapro ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสเปคคร่าวๆ ของโกโปร 11 มาไว้ในหัวข้อนี้แล้ว เรามาทำความรู้จักไปพร้อมๆ กันเลย!

  • ถ่ายภาพนิ่งความละเอียด อยู่ที่ 27 ล้านพิกเซล (27 MP)
  • ภาพถ่ายจากวิดีโอความละเอียด อยู่ที่ 24.7 ล้านพิกเซล (24.7 MP)
  • เน้นภาพแนวตั้ง 8:7 มีคุณภาพสูง สร้างมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย
  • ถ่ายวิดีโอด้วยความละเอียดสูงถึง 5K 60FPS และ 4K 120FPS
  • ภาพถ่าย และ วิดีโอ มีความสดของสี อยู่ที่ 10 bit หรือเทียบเท่า 1 พันล้านเฉดสี
  • ถ่ายกลางคืนด้วยโหมด Improve Auto Exposure ตัวช่วยเพิ่มความสว่างแม้อยู่ในที่แสงน้อย
  • TimeWarp และ TimeLapse ความละเอียดอยู่ที่ 5K 30FPS
  • HyperSmooth 5.0 พร้อมโหมด Auto Boost
  • Horizon Leveling Mode 360 องศา

นอกจากคุณสมบัติที่เราได้กล่าวมานั้น ยังมีฟังก์ชันอื่นๆ อีกมากมายที่ทาง GoPro Hero 11 Black สามารถทำได้เหมือนกับรุ่นก่อน อย่างเช่น ความสามารถในการกันน้ำ โหมดถ่ายภาพ รวมถึง Night Effect ต่างๆ อย่างเช่น โหมด Star Trail Light Painting และ Vehicle Light Trail ที่ยังคงเป็นลูกเล่นช่วยเพิ่มให้การใช้โกโปรของคุณสนุกมากยิ่งขึ้น
 
 
ติดตามรีวิวหลังอัพเกรดเฟิร์มแวร์ ได้ที่ Aquapro
วันนี้ทาง Aquapro มีทริคดีๆ มาฝากมือใหม่โกโปรทุกคน ถ้าหากคุณต้องการเชื่อมต่อ GoPro ไปยัง Smartphone เพื่ออัพเกรดเฟิร์มแวร์ หรือ ดาวน์โหลดรูปภาพ และ วิดีโอ เพียงเข้าไปที่ App store หรือ Google play store แล้วเลือก Quik App จากนั้นก็สามารถเข้าไปทำการอัพเกรดเฟิร์มแวร์ได้ทันที

สำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของ GoPro 11 ก่อนใคร เลือกเลย Aquapro แหล่งจำหน่ายกล้องโกโปร และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมอุปกรณ์เสริมมากมาย มีให้เลือกแบบครบวงจรต้องที่นี่เท่านั้น! ส่วน GoPro 11 หลังจากที่เราได้ทดลองใช้งานแล้ว คุณภาพของกล้องจะเป็นอย่างไร ไปติดตามกันต่อได้ที่รีวิวกล้องโกโปร 11 จะมีลูกเล่นอะไรใหม่ๆ บ้าง ต้องรอลุ้น!
 
 
ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro

38


GoPro 11 เปิดตัว แล้ว! กลับมาอีกครั้งกับสุดยอดกล้อง Action Camera ในปี 2022 อย่าง GoPro Hero 11 Black ที่มาพร้อมกับความละเอียด 5.3k 60Video ทางบริษัท เมนทาแกรม จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ GoPro จะเริ่มวางจำหน่าย GoPro Hero 11 Black อย่างเป็นทางการวันที่ 15 กันยายน 2565 ในราคาเปิดตัวอยู่ที่ 18,500 บาท
โกโปรรุ่นนี้ได้พัฒนาต่อยอดจาก GoPro Hero 10 Black ทั้งในเรื่องของ คุณภาพการถ่ายภาพ วิดีโอ รวมถึงฟังก์ชันเด็ดๆ มากมายที่ในปีนี้ทางแบรนด์เน้นตอบโจทย์สาย Activity

สามารถเข้าไปอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ Gopro 11 เปิดตัว พร้อมความละเอียด 5k60 ที่คุณห้ามพลาด!

Body ของ GoPro 11 เป็นอย่างไร?


GoPro 11 เปิดตัว รูปทรงของตัวกล้อง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากGoPro 10 มากนัก เพราะในปีนี้ทางแบรนด์โกโปร เน้นพัฒนาเรื่องของคุณภาพภายในมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก และมีสิ่งที่เป็นฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอย่างเห็นได้อย่างชัดเจนนั่นก็คือ เรื่องของแบตเตอรี่ เป็นแบบ Enduro Battery มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถใช้งานได้นานขึ้น และทนต่อสภาพอากาศร้อนจัด และเย็นจัดได้ดีกว่า เนื่องจากมีการเคลือบที่ดีทำให้ประจุไฟของแบตเตอรี่ออกได้ยากยิ่งขึ้น

การพัฒนาเรื่อง Spec ของ Gopro 11


การเพิ่มสเปคของตัวกล้องGoPro 11 เรียกได้ว่าสร้างความเซอร์ไพร์สให้กับสายท่องเที่ยวมากทีเดียว เพราะในปีนี้ทางแบรนด์โกโปรเขาพัฒนาคุณสมบัติสำหรับสาย Activity โดยเฉพาะ! สำหรับใครที่เป็นสาย Vlog หรือชอบทำกิจกรรมลุยๆ ต้องห้ามพลาดเลย

  • หน่วยประมวลผล GP2 พร้อมเพิ่มขนาดเซนเซอร์ มีการเพิ่มขนาดของระบบเซนเซอร์ ทำให้การถ่ายภาพมีความละเอียดสูงถึง 27 ล้านพิกเซล ถ้าหากต้องการถ่ายแบบ Full HD อยู่ที่ 24.7 ล้านพิกเซล รองรับความละเอียดของวิดีโอได้สูงสุดถึง 5.3K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที


  • รองรับการถ่ายแบบ Vertical ขนาด 8:7 ในปีนี้ทาง GoPro 11 ได้ออกแบบการถ่ายภาพ และ วิดีโอ อยู่ที่ 8:7 ที่มาพร้อมกับความละเอียดสูง สร้างมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะ อย่างเช่น TikTok และ Instagram ที่มีความสามารถในการสร้างเรื่องราวผ่านวิดีโอ



  • HyperSmooth 5.0 ระบบฟีเจอร์กันสั่นที่ดีกว่ารุ่นก่อน เพราะเขาเพิ่มระบบ Auto Boost เข้ามาใน GoPro 11 เพื่อให้ระบบ AI ประมวลผลตามความสั่นของสภาพแวดล้อม ความพิเศษ คือ ระบบ Auto Boost สามารถ เปิด/ปิด อัตโนมัติ

  • Horizon Leveling Mode โหมดรักษาระดับน้ำ หรือ ตัวช่วยกันเอียงเมื่อถ่ายวิดีโอ เพื่อให้การถ่ายวิดีโอของคุณอยู่ในกรอบตรงกับเส้นขอบฟ้า อยู่ที่ 360 องศา!


  • Color reproduction with 10-bit การเปิดตัวครั้งนี้ของGoPro 11 มาพร้อมกับ สีสันที่สด และ คมชัด มากขึ้นกว่าเดิมถึง 10 bit เทียบเท่า 1 พันล้านเฉดสี



  • โหมด timewarp + timelapse Video 5k 30fps โหมดที่เป็นตัวช่วยเพิ่มความสนุกให้การถ่ายของคุณไปอีกขั้น มาพร้อมกับความละเอียด 5K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที และสามารถใช้โหมดนี้ร่วมกับระบบกันสั่น HyperSmooth 5.0 ได้


  • เลนส์ Hyperview คือ สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในโกโปร 11 เป็นเลนส์ Wide ที่มีความกว้างสูงสุด สามารถเก็บภาพบรรยากาศและคนในเฟรมได้ครบ
    สำหรับรายละเอียดของ Spec GoPro 11 ไม่ว่าจะเป็นสายท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ ลุยๆ หรือถ่าย Vlog เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ก็ควรมีกล้องจิ๋วตัวนี้ติดเอาไว้ รับรองว่าได้ไฟล์ภาพออกมาในระดับมืออาชีพแน่นอน

สิ่งที่น่าสนใจ สำหรับ GoPro 11


ความน่าสนใจของ GoPro 11 เปิดตัว ครั้งนี้ บอกเลยว่าคงไม่พ้นคุณสมบัติที่โดดเด่นในเรื่องของความละเอียดการถ่ายวิดีโอที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 5.3K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที! ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวในวิดีโอของคุณออกมาสมูท และทำให้การครอปภาพของคุณไม่เกิดการสูญเสียรายละเอียด
หากใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพบอกเลยว่า GoPro 11 ก็ตอบโจทย์ได้ดีไม่แพ้กัน เพราะความคมชัดสูงถึง 27 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับสีสันที่สด และคมชัด มากขึ้นถึง 10 bit เทียบเท่า 1 พันล้านเฉดสี! นอกจากนี้ยังมีโหมด Improve Auto Exposure ระบบเพิ่มความสว่างอัตโนมัติ ทำให้ทุกการถ่ายภาพของคุณสนุกได้ไม่มีสะดุด
 
 
มองหากล้องGoPro เลือกร้าน Aquapro
สำหรับใครที่เป็นสาวกกล้อง GoPro แล้วกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดของ GoPro 11 อยู่ล่ะก็ ข้อมูลที่ทาง Aquapro แนะนำในวันนี้ ถือว่าเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจได้ดีทีเดียว ถ้าใครกำลังมองหาร้านจำหน่ายกล้องโกโปร เลือกเลย Aquapro แหล่งจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ มากมาย มาพร้อมกับการอัปเดตข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานโกโปรแบบขั้นเทพ สาวกโกโปรต้องห้ามพลาด!
 
 
 
ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro

39


GoPro 11 แนะนำสุดยอดของกล้อง Action Camera นำสมัย ที่กำลังจะมีการเปิดตัวเร็วๆ นี้ แต่ก่อนอื่นทาง Aquapro จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับกล้อง Action Camera ขนาดพกพา ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นที่มาพร้อมกับฟังก์ชันเสริมพิเศษ และ อุปกรณ์อื่นๆ อีกเพียบ!

สามารถเข้าไปอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ คาดการณ์ GoPro 11 จากสื่อต่างประเทศ

คาดการณ์วันที่เปิดตัวGoPro 11


สำนักข่าวจากสื่อต่างประเทศคาดการณ์ว่า โกโปรจะกลับมาอีกครั้งในช่วงเดือนกันยายน 2022 แต่ยังไม่ทราบราคาที่แน่ชัด โดยคาดการณ์ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 499 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17,000 - 18,000 บาทไทย ซึ่งอาจจะสูงกว่านี้ก็เป็นไปได้

คาดการณ์สเปคกล้อง GoPro 11


ถ้าหากลองเปรียบเทียบ GoPro 11 กับฟังก์ชันของ GoPro 10 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2021 นั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าโกโปร 11 จะกลับมาพร้อมกับระบบกันสั่นที่ครอบคลุมมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนเรื่องดีไซน์ของตัวกล้อง คาดว่าไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก โดย YouTube อย่างช่อง Zander Round ได้คาดการณ์เอาไว้ว่ารุ่นล่าสุดนี้จะมีการพัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้น โดยทาง Aquapro ได้นำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ดังนี้

1. สเปคของตัวเครื่อง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังเกตได้ว่าการเปิดตัวของโกโปรแต่ละรุ่นได้พัฒนาไปไกลอย่างก้าวกระโดด วันนี้ทาง Aquapro จึงขอนำข้อมูลจาก Zander Round ยูทูบเบอร์ท่านหนึ่งมาวิเคราะห์ ซึ่งเขาได้คาดการณ์เกี่ยวกับสเปคเครื่องของโกโปร 11 เอาไว้ว่า ดีไซน์ของตัวเครื่องอาจเหมือนเดิม แต่เน้นพัฒนาในเรื่องของคุณภาพ และ ถ้าหากสเปคของโกโปร 11 ไม่แตกต่างจากรุ่นโกโปร 10 มากนัก นั่นก็แปลว่าสามารถใช้อุปกรณ์เสริมร่วมกันได้

2. ฟังก์ชันพิเศษที่เพิ่มขึ้น
มาในส่วนฟังก์ชันพิเศษ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเรื่องของความละเอียดรูปภาพ และ วิดีโอ การเปิดตัวใหม่ในครั้งนี้คาดว่า GoPro 11 ต้องปล่อยกล้องที่มีความละเอียดสูงขึ้นแน่นอน ความพิเศษที่อาจเกิดขึ้นกับโกโปร 11 คาดว่าเป็นเรื่องของระบบกันสั่นที่อาจเพิ่มขึ้นเป็น HyperSmooth 5.0 และโหมดรักษาระดับน้ำ หรือ Horizon Leveling Mode ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้อาจมีเลนส์เจ๋งๆ อย่าง Hyperview ที่มาพร้อมกับระบบเซนเซอร์ขนาดใหญ่ ถ้าเป็นเช่นนั้นล่ะก็รับรองว่าภาพของโกโปร11 นี้ ต้องมีสีสันที่ สด สวย และคมชัดอย่างแน่นอน

3. อุปกรณ์เสริม
เมื่อดูภาพรวมของGoPro Hero 11 แล้ว คาดการณ์ว่าอุปกรณ์เสริมตัวใหม่ของรุ่นนี้ น่าจะมีขายึดติดกับตัวกล้องแบบหมุนได้ เพราะกล้องที่สามารถถ่ายได้ 360 องศา และอีกฟังก์ชั่นที่ต้องมีก็คือ ระบบการชารจ์แบบไร้สาย ตัวช่วยเพิ่มความสะดวกให้คุณสนุกไปกับทุกการเดินทาง

ความน่าสนใจของ GoPro 11 ที่อาจเกิดขึ้น


สำหรับการคาดการณ์วันเปิดตัวของGoPro 11 ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่ามีข่าวลือจากต่างประเทศมากมาย ที่วิเคราะห์ในเรื่องสเปค และ ฟังก์ชันต่างๆ ของตัวกล้อง ส่วนเรื่องของราคาเปิดตัวคาดว่าไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก อาจจะปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นตามสเปค และ รูปแบบของฟังก์ชันที่ดีกว่าเดิม และทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดการณ์จากสื่อต่างประเทศเท่านั้น ยังไม่มีใครรู้ วัน และ เวลาเปิดตัวที่แน่ชัด แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณจะได้พบกับGoPro รุ่นใหม่ล่าสุดในเดือนกันยายนนี้อย่างแน่นอน
 
 
ติดตามข้อมูลข่าวสารโกโปร 11 ได้ที่ Aquapro
สำหรับข้อมูลคาดการณ์การเปิดตัวของGoPro 11 ที่ทางเราได้นำมาวิเคราะห์นั้น จะช่วยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับคุณ หากใครที่กำลังหาตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อกล้อง อย่าลืมติดตามข่าวสารดีๆ ได้ที่ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้อง GoPro ที่มาพร้อมกับโปรโมชั่นสุดคุ้ม พร้อมของแถมอีกเพียบ! หากใครที่เป็นสาย Action Camera เตรียมรอลุ้นการเปิดตัวได้แล้วเร็วๆ นี้ ถ้าอยากรู้ข้อมูล หรือรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม ต้องห้ามพลาดเลย!
 
 
 
ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro

40


ในปัจจุบันพบว่าหลายๆ บริษัทส่วนใหญ่เลือกไม่เช่าพื้นที่ในสำนักงาน แล้วมาเลือกสร้างโฮมออฟฟิศด้วยตัวเอง ส่วนมากจะเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง ดังนั้นการ เปลี่ยนบ้านเป็นออฟฟิศ ถือเป็นไอเดียที่คนกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ก่อนอื่นเราจะต้องรู้อะไรก่อนบ้าง? วันนี้ทาง V.K.B บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง มีคำตอบมาฝาก

สามารถเข้าไปอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่

สาเหตุหลักของการ เปลี่ยนบ้านเป็นออฟฟิศ
สาเหตุที่ทำให้บริษัทรุ่นใหม่เลือกสร้าง โฮมออฟฟิศ เพราะสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้ดีกว่านอกจากนี้ยังมีอีก 3 เหตุผลหลักที่พิชิตใจผู้ประกอบการธุรกิจ จะมีอะไรบ้างไปดูกัน!


1. ช่วยลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น การมีบ้าน และ ออฟฟิศอยู่ในที่เดียวกัน จะช่วยลดต้นทุนไม่จำเป็น และ ค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อนลงได้ ยกตัวอย่างเช่น ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าน้ำ และค่าไฟ เป็นต้น

2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน นอกจากความสามารถในการทำงานแล้ว ความสุขก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าพนักงานรู้สึกผ่อนคลายก็จะทำให้สร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

3. ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง หากมองในมุมเจ้าของกิจการ การมีออฟฟิศและที่อยู่อาศัยในพื้นที่เดียวกันก็จะช่วยลดปัญหาการเดินทางได้

สร้างโฮมออฟฟิศต้องพิจารณาพื้นที่ใช้สอยอย่างไร?
สำหรับใครที่ต้องการ เปลี่ยนบ้านเป็นออฟฟิศ สิ่งที่ต้องคำนึงเป็นหลักเลยก็คือ การพิจารณาพื้นที่ใช้สอยวันนี้ทาง V.K.B ได้รวบรวมลิสต์ข้อมูลเหล่านั้นมาไว้ในหัวข้อนี้แล้ว

จัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมกับธุรกิจ
อย่างแรกต้องแบ่งสัดส่วนพื้นที่อยู่อาศัย และ การทำงานออกจากกันอย่างชัดเจน โดยพิจารณาจากรูปแบบธุรกิจที่ต้องการประกอบกิจการ

พื้นที่สำหรับรองรับพนักงาน
นอกจากต้องแบ่งสัดส่วนตามธุรกิจแล้ว ควรจัดสรรพื้นที่ให้มีความสัมพันธ์กับจำนวนพนักงาน อย่างเช่นการมีพื้นที่ส่วนกลางเพื่อให้พนักงานได้ทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างวัน

สิ่งอำนวยความสะดวก และความปลอดภัย
การทำโฮมออฟฟิศ ควรคำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยสำหรับจัดวางอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้กับผู้ร่วมงาน อย่างเช่น โต๊ะ เก้าอี้สำหรับทำงาน เครื่องถ่ายเอกสาร รวมไปถึงพื้นที่วางตู้หรือชั้นสำหรับจัดเก็บเอกสาร
เมื่อพูดถึงพื้นที่ภายในบ้านแล้ว พื้นที่อำนวยความสะดวกภายนอกก็สำคัญเช่นเดียวกัน ควรมีพื้นที่จอดรถให้เพียงพอต่อจำนวนพนักงาน และหลีกเลี่ยงการจอดรถเลยหน้าบ้าน หรือ ส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้าน

ค้นหาสไตล์ที่ใช่ เลือกปรึกษาผู้ออกแบบที่เชี่ยวชาญ
การเลือกปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการ ออกแบบภายใน ถือเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยังหาสไตล์ของตัวเองไม่เจอ คุณสามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้ได้


  • สายพบปะผู้คน ถ้าคุณทำงานประเภทที่ต้องพบปะผู้คนมากๆ แนะนำว่าควรให้ความสำคัญกับส่วนของพื้นที่ส่วนกลาง หรือ ห้องนั่งเล่นมากที่สุด

  • สายจริงจัง หากคุณเป็นคนทำงานที่ Focus กับงานแบบจริงจัง ควรตกแต่งโซนทำงานให้ดูเรียบง่าย แต่มาพิถีพิถันในการเลือกใช้สี เพราะสีแต่ละสีล้วนมีอิทธิพลต่ออารมณ์ และ ความรู้สึกของผู้อยู่อาศัย

  • สายรักธรรมชาติ ควรหาพื้นที่สีเขียวไว้พักสายตาระหว่างทำงาน อาจจะเป็นสวนหย่อมขนาดเล็ก เพิ่มชีวิตชีวาบนโต๊ะทำงานด้วยการปลูกต้นไม้ หรือการใช้เฟอร์นิเจอร์จากวัสดุธรรมชาติ

  • สายศิลปะ สำหรับคนที่ชื่นชอบในศิลปะ ลองนำสิ่งที่คุณรักมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งาน เพียงเท่านี้คุณก็สามารถทำให้โฮมออฟฟิศที่ดูธรรมดาน่าสนใจขึ้นมาทันที


3 ฟังก์ชันหลักในการ เปลี่ยนบ้านเป็นออฟฟิศ

1. พื้นที่นั่งทำงานเป็นส่วนตัว การนั่งทำงานของแต่ละคนควรมีระยะห่างที่เหมาะสมประมาณ 8 – 12 เมตร และควรจัดสรรให้มีจุดเชื่อมต่อสายไฟหรือปลั๊กให้เพียงพอ

2. การจัดพื้นที่ประชุม หรือ Workspace เมื่อกลายมาเป็นโฮมออฟฟิศ รูปแบบการทำงานจะเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนมากขึ้น ดังนั้นควรเน้นพื้นที่เปิดโล่งให้ทุกคนสามารถแชร์ไอเดียต่างๆ ระหว่างกันได้

3. สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อย่างเช่น มุมพักเบรกทานกาแฟ มุมทานขนม หรือ มุมนั่งเล่น ในพื้นที่นี้ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์อย่างเช่น โต๊ะ หรือ เก้าอี้ ที่มีสีสันสบายตา เพื่อให้การพักเบรกจากการทำงานของคุณเกิดความผ่อนคลาย

การออกแบบโฮมออฟฟิศที่ใช่ไม่ว่าจะสไตล์ไหนก็สามารถสะท้อนตัวตนได้ เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของคุณให้สนุกสนาน เลือกปรึกษา V.K.B ผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบและก่อสร้าง นำโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง วางแผนทุกขั้นตอน และสะท้อนเอกลักษณ์ของคุณได้อย่างลงตัว
 
เลือกบริษัทผู้รับเหมาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง!
การเลือก บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ถือเป็นส่วนสำคัญ จึงจำเป็นต้องเลือกผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์ และสามารถปฏิบัติงานเสร็จได้ตามกำหนด หากเกิดปัญหาอาจต้องมาปรับแก้ทำให้เสียเวลา หรืออาจทำให้อาคารของคุณเสียหายในภายหลัง

 
หลักการคำนวณค่าใช้จ่ายที่คุณต้องรู้


ในการ รีโนเวทบ้าน ให้กลายเป็นโฮมออฟฟิศ ต้องแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน นั่นก็คือ ค่าใช้จ่ายที่สามารถประเมินด้วยตัวเอง และค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถประเมินด้วยตัวเอง แต่ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าในส่วนที่ต้องการรีโนเวทนั้นมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ซึ่งคุณสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายได้ตามรายการด้านล่างนี้

  • ค่าออกแบบโดยสถาปนิก คือ ค่าใช้จ่ายอันดับแรกหากต้องการรีโนเวทเพิ่มเติม ต้องคำนวณจากพื้นที่ และ ขนาดของบ้านเป็นหลัก ซึ่งราคาอาจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสถาปนิกแต่ละราย

  • ค่าผู้รับเหมา / ค่าช่าง ในส่วนนี้เป็นขั้นตอนหลังจากที่สถาปนิกได้นำแบบแปลนไปคุยรายละเอียด เพื่อประเมินราคากับผู้รับเหมาก่อสร้าง แนะนำว่าให้ผู้รับเหมาทำรายการประมาณการค่าก่อสร้าง พร้อมแจกแจงรายละเอียดวัสดุต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหาด้านวัสดุที่ใช้ก่อสร้างในอนาคต



 
อยาก เปลี่ยนบ้านเป็นออฟฟิศ เลือกปรึกษา V.K.B
สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจจะ รีโนเวทบ้านเป็นออฟฟิศ ถ้าไม่วางแผนให้ดีอาจทำให้เสียค่าบำรุงรักษาเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น และอาจจะได้แบบที่ไม่ถูกใจตามที่ต้องการ แต่ถ้าวางแผนครอบคลุมก็จะช่วยย่นระยะเวลา และประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกเยอะเลยทีเดียว เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หากท่านใดที่สนใจแต่ยังไม่มีที่ปรึกษา ทาง V.K.B พร้อมให้คำปรึกษา และช่วยเหลือปัญหาด้านการก่อสร้างทุกรูปแบบ เพราะเราคือผู้ให้บริการทั้งด้านงานออกแบบ และ งานก่อสร้างอย่างครบครัน ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 30 ปี ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่าทุกบริการจะตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณอย่างแน่นอน

  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ

 

 
สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com

41


ถ้าหากต้องการถมที่ดิน เราต้องดูหลายปัจจัยควบคู่กันไป ทั้งในเรื่องระดับความสูงของหน้าดิน การทรุดตัวของดิน รวมถึงการระบายน้ำภายในพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาระยะยาวในภายหลัง แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกันก่อนว่าทำไมผู้ รับเหมาก่อสร้าง ถึงต้องถมที่ดินก่อนสร้างสิ่งปลูกสร้าง?

สามารถเข้าไปอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่


ทำไมต้อง ถมที่ดิน ก่อนสร้างสิ่งปลูกสร้าง?


ก่อนที่เราจะเริ่มต้นสร้างบ้าน สร้างอาคาร หรือ สร้างโรงงาน รวมถึงสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ สักหลัง สิ่งที่ต้องเตรียมอย่างแรก คือ การเตรียมที่ดินให้พร้อม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อพื้นที่ตัวอาคาร สามารถแบ่งออกได้ 2 ส่วนหลักๆ ดังนี้

1. การถมที่ดิน ก่อนสร้างสิ่งปลูกสร้าง เหตุผลที่ต้อง ถมที่ดิน เนื่องจากเป็นการยกระดับความสูงของพื้นที่ เพื่อป้องกันน้ำท่วม หรือวางท่อระบายน้ำให้อยู่สูงกว่าถนน ทั้งนี้สิ่งที่ควรให้ความสำคัญ คือ การปรับระดับพื้นที่ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ คือ

  • ลักษณะพื้นที่ที่จะถมดินเป็นอย่างไร
เบื้องต้นผู้รับเหมาควรตรวจสอบลักษณะของพื้นที่ เพื่อให้รู้ว่าจะต้องมีการถมดินสูงแค่ไหน ถ้าหากเกิดปัญหาเหล่านี้จะส่งผลให้ดินเกิดความอ่อนตัวสูง


  • ระดับความสูงของพื้นที่ที่จะถมดิน
ก่อนเริ่มต้นถมดิน ต้องมีการกำหนดระยะความสูงที่ต้องการจะถม ซึ่งควรพิจารณาจากสภาพแวดล้อมรวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

  • ระยะเวลาในการทิ้งพื้นที่หลังถมดิน
หลังจากที่ถมที่ดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ควรดำเนินการสร้างบ้านทันที แต่ควรทิ้งระยะเวลาไว้ 6 - 12 เดือน เพื่อให้หน้าดินมีการเซตตัว และ ป้องกันไม่ให้เกิดการทรุดเพิ่มขึ้นในระยะยาว

ข้อควรระวังในการถมที่ดิน
สำหรับบ้านที่สร้างจากพื้นที่เดิม เมื่อเกิดการทับถมเพิ่มขึ้น ในกรณีนี้จะทำให้เกิดปัญหาการทรุดตัวของดินมากกว่าปกติ เพราะเศษวัสดุเหล่านั้นไม่สามารถผสมเป็นเนื้อเดียวกันกับดินได้



2. การวางฐานโครงสร้างตั้งแต่เริ่มต้น
วิธีป้องกันการทรุดตัวของดิน คือ การมีเสาเข็มรองรับน้ำหนัก โดยทั่วไปแล้วโครงสร้างบ้านจะถูกกำหนดให้มีเสาเข็มลึกลงไปถึงชั้นทรายประมาณ 18 - 21 เมตร (เป็นความลึกของพื้นที่ กทมฯ)

ข้อควรระวังในการวางเสาเข็ม
ที่ดินบางแปลงที่เราเลือกก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง อาจเคยเป็นคลอง บึง หรือ บ่อทิ้งขยะเก่า ดังนั้นการก่อสร้างบ้านบริเวณนี้ ควรมีการเจาะสำรวจชั้นดิน ไม่ควรใช้วิธีเทียบเคียงจากพื้นที่ข้างๆ



แนะนำข้อควรรู้สำหรับเจ้าบ้านก่อน ถมที่ดิน

ก่อนสร้างบ้านใหม่แต่ละหลัง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือ การถมที่ดิน ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมข้อควรรู้สำหรับเจ้าบ้านก่อนถมที่ดินมาฝากทุกคนกัน!
1. การคำนวณพื้นที่ และ ราคา


ปกติแล้วราคาสำหรับการถมที่ดินจะมีราคาไม่ตายตัว ซึ่งจะวัดจากพื้นที่เป็นหลักว่ามีการใช้พื้นที่เท่าไหร่ ใช้ดินประเภทไหน ส่วนการคิดค่าใช้จ่าย ผู้รับเหมาก่อสร้างบางเจ้าจะคิดเป็นคันรถ โดยวิธีการคำนวณราคาจะวัดจากพื้นที่ที่ต้องการถมดิน และ ปรับหน้าดิน ว่ามีขนาดกี่ตารางเมตร สามารถใช้สูตรคำนวณ 1 ตารางวา เท่ากับ 4 ตารางเมตรได้ เช่น ที่ดิน 100 ตารางวา คูณ 4 เท่ากับ 400 ตารางเมตร เมื่อแปลงค่าแล้ว สามารถคิดปริมาณดินที่ใช้ได้ตามสูตรนี้ [ความสูงถมดิน x พื้นที่ถมดิน (กว้าง x ยาว)] x 1.20 (ปริมาณดินที่เผื่อ) = ปริมาณดินที่ใช้

จากนั้นให้คำนวณความสูงของดินที่ต้องการจะถม หากต้องการถมสูง 80 เซนติเมตร บนพื้นที่ 400 ตารางเมตร ก็จะเป็น 0.8 x 400 =  320 คิว ที่สำคัญต้องเผื่อพื้นที่การอัดบดดินเข้าไปอีกประมาณ 20% - 30% จะอยู่ที่ 80 คิว ดังนั้นการคำนวณในลักษณะนี้จะทำให้รู้ได้ถึงปริมาณดินที่ต้องการ การคำนวณค่าถมที่ดินในเบื้องต้นเป็นราคาที่ไม่ตายตัว ทั้งลักษณะของพื้นที่ ประเภทของดินที่ใช้ ผลกระทบจากสภาพแวดล้อม ซึ่งผู้รับเหมาก่อสร้างต้องประเมินรอบด้านอย่างละเอียด


2. ข้อควรระวังด้าน กฎหมายถมที่ดิน


อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับการถมที่ดินนั่นก็คือ เรื่องของกฎหมาย โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถมดิน คือ พระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 เนื้อหาหลักเกี่ยวกับการถมดิน คือ การถมดินพื้นที่ไม่เกิน 2,000 ตารางเมตร ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต หากเกิดกรณีที่ถมดินเกินกว่า 2,000 ตารางเมตร หรือ 1 ไร่ 1 งาน ต้องจัดให้มีการระบายน้ำตามที่กล่าวมาในเบื้องต้น และต้องแจ้งเจ้าพนักงานท้องถิ่น

3. ขั้นตอนการ ถมที่ดิน


การถมที่ดิน คือ ขั้นตอนแรกของการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็น สร้างบ้าน สร้างอาคาร สร้างโรงงาน หรืออื่นๆ ที่ต้องมีการลงโครงสร้าง โดยวัตถุดิบหลักที่ใช้สำหรับการถมที่ มีดังนี้

ดินทั่วไป – มีราคาไม่สูง นิยมนำมาใช้สำหรับถมที่ดินเพื่อสร้างบ้าน และปรับระดับพื้นที่ ที่สำคัญยังช่วยประหยัดระยะเวลาลงได้

ดินดาน – ลักษณะของดินชนิดนี้มีความแห้ง สามารถบดอัดได้เป็นอย่างดี นิยมใช้ถมที่ดินริมน้ำ ถมทำถนน สร้างบ้านแบบเร่งด่วน หรือ รองรับสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ได้อย่างแน่นหนา

ดินทราย – เป็นดินที่ไม่อุ้มน้ำ ใช้สำหรับรองพื้นก่อนเทปูนทำสิ่งปลูกสร้าง หากนำมาใช้ต้องบดอัดให้แน่นเป็นพิเศษ ข้อดี คือ สามารถป้องกันดินไหลไปยังบริเวณข้างเคียงได้

ดินทรายหยาบ – มีลักษณะเป็นหินแข็ง และ เม็ดใหญ่ ใช้ในขั้นตอนปรับสภาพพื้นผิวชั้นบนสุดของสิ่งปลูกสร้าง เหมาะกับงานก่อสร้างที่ต้องการความแข็งแรงสูง

ดินลูกรัง – ดินที่พบในชั้นลูกรัง ชั้นกรวด หรือชั้นหินพื้น ด้วยลักษณะที่เป็นหินมีความแข็ง จึงมีความหนาแน่นสูง สามารถบดอัดได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับทำถนนคอนกรีต สร้างโรงงาน หรือเน้นงานถมสร้างลานจอดรถ
 
หินคลุก – เป็นประเภทของหินปูนมีขนาดแตกต่างกันไป ทำให้ความสมบูรณ์ของแร่ธาตุไม่มีความสม่ำเสมอ หินคลุกจะมีคุณสมบัติใช้สำหรับเทพื้น ปรับพื้นของถนน รองรับน้ำหนักของสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ได้เป็นอย่างดี



เลือกบริษัทรับเหมา ถมที่ดิน ต้อง V.K.B บริการครบ จบ ในที่เดียว!

การเตรียมพื้นที่ให้พร้อมก่อนสร้างบ้านถือเป็นสิ่งสำคัญ หากเจ้าของบ้านมีการเตรียมพร้อมในส่วนของที่ดินตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้เกิดปัญหาน้อยลง แต่จะดีกว่านั้น ถ้าหากมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา สำหรับใครที่ต้องการใช้บริการรับเหมาก่อสร้าง เลือก V.K.B บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่ให้บริการทั้งงานออกแบบ และก่อสร้าง รวมถึงให้คำแนะนำเรื่อง บริหารโครงการ เปิดให้บริการมายาวนานกว่า 30 ปี ด้วยทีมที่เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ ทำให้คุณหมดกังวลในเรื่องต่างๆ ได้ เพราะ V.K.B ดูแลตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ และให้คำปรึกษาตลอดจนจบงาน ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่างานที่ออกมาจะเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ และ มีคุณภาพ

  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ


สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com

42


ออกแบบออฟฟิศ อย่างไรให้ใช้งานก็คุ้ม แถมอยู่ก็ฟิน! การสร้างออฟฟิศให้มีความเหมาะสมกับการใช้งาน เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์วัยทำงานหลายคน เนื่องจากชาว ออฟฟิศ หลายคน ใช้เวลาอยู่ที่ทำงานมากกว่าที่บ้าน หากเกิดความเครียดอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการทำงานได้ ดังนั้นบรรยากาศในออฟฟิศจึงเป็นเรื่องสำคัญ


สิ่งสำคัญที่ทำให้ออฟฟิศน่าอยู่


อีกหนึ่งสิ่งสำคัญสำหรับชาวออฟฟิศนั่นก็คือ สภาพแวดล้อมในการทำงาน (Working Environment) เมื่อการนั่งทำงานในพื้นที่เดิมๆ อาจส่งผลทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย
ถึงเวลาแล้วที่ต้องหันมาใส่ใจ การออกแบบออฟฟิศ ให้หลุดออกจากกรอบเดิมๆ และสิ่งสำคัญของการออกแบบไม่ได้มีแค่เรื่องความสวยงามเท่านั้น แต่ยังต้องใส่ใจรายละเอียดการจัดสรรพื้นที่ใช้งานให้ชัดเจน เพื่อความคุ้มค่าและทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด


สภาพแวดล้อมที่ดี ต้องเป็นอย่างไร?

การทำงานเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเราทุกๆ คนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการมีสภาพแวดล้อมในที่ทำงานดีจะช่วยให้ชาวออฟฟิศได้รู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้


  • ช่วงเวลางาน ควรคำนึงถึงระยะเวลางาน กับ เวลาที่ได้พักผ่อนว่าเหมาะสมกันหรือไม่ เพื่อการสร้าง Work Life Balance ที่ดี

  • ห้องทำงาน / โต๊ะทำงาน การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ต้องเริ่มจากการสร้างบรรยากาศในพื้นที่ทำงาน ซึ่งการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ภายในที่ทำงาน ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสภาพแวดล้อมให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น

  • หน้าที่ / บทบาทการทำงาน หน้าที่การทำงานถือว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นการทำงานเป็นทีมจะช่วยเติมเต็ม และ เสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีภายในองค์กรได้

  • สิทธิพิเศษ หรือ ผลประโยชน์ตอบแทน สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือ สิทธิพิเศษหรือผลประโยชน์ตอบแทนที่ควรได้รับ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจ และ เป้าหมายในการทำงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นได้เช่นเดียวกัน



หลักการ ออกแบบออฟฟิศ ที่เหมาะสมกับการทำงาน

ความสำคัญของการ ออกแบบออฟฟิศ ที่ดี คือ การจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งออฟฟิศในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นสถานที่เพื่อนั่งทำงานอย่างเดียว แต่ยังเป็นพื้นที่ในการผลิตผลงานที่มีคุณภาพ


Collaboration Space
พื้นที่สำหรับทำงานร่วมกันเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ที่เชื่อมต่อให้ทุกคนในที่ทำงาน สามารถพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือทำงานร่วมกันได้ ส่วนเรื่องการดีไซน์พื้นที่อาจแตกต่างกันไปตามฟังก์ชั่นการใช้งาน

Common Space
พื้นที่ส่วนกลางเป็นพื้นที่สาธารณะทั่วไปที่ทุกคนในออฟฟิศสามารถใช้งานร่วมกัน การตกแต่งของพื้นที่นี้ ควรเข้าถึงง่าย มี Mood & Tone ที่สะท้อนบุคลิกขององค์กรอย่างชัดเจน

Personal Space / Focused Space
พื้นที่ทำงานของแต่ละบุคคล การออกแบบพื้นที่สำหรับการทำงานของแต่ละบุคคล จะช่วยส่งเสริมสภาวะการทำงานแบบจดจ่อ (Focus) เพื่อก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ พื้นที่ในลักษณะนี้ ควรออกแบบในลักษณะปิด มีฉากกั้นบังสายตา และรับแสงสว่างได้เพียงพอ

 
การมี Working Space ที่ดี เป็นอย่างไร?

การออกแบบ Working Space ที่ดี ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น สถานที่ทำงาน บรรยากาศ รวมถึงฟังก์ชันของพื้นที่ใช้สอยใน ออฟฟิศ ดังนั้นการมีพื้นที่ส่วนกลาง จึงเป็นตัวช่วยสำคัญในการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ร่วมงาน


  • สร้างบรรยากาศที่ดีในพื้นที่ทำงาน Working Space ที่ดี ต้องช่วยส่งเสริมให้พนักงานสามารถสร้างสรรค์งานออกมาได้อย่างมีคุณภาพ และช่วยเพิ่มความสุขให้กับพนักงานได้

  • สร้างสังคมการทำงานที่เหมาะสม พื้นที่ ของ Working Space ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ถ้าหากจัดสรรพื้นที่ทำงานได้ดี ก็จะยิ่งช่วยสร้างบรรยากาศ และสังคมการทำงานที่ดีมากยิ่งขึ้น

  • สร้างความประทับใจ หากมีพนักงานใหม่ หรือบริษัทคู่ค้าอื่นๆ สามารถใช้พื้นที่ Working Space จัดกิจกรรมได้

  • แสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ขององค์กร พื้นที่ทำงาน เป็นภาพลักษณ์ที่ทำให้คุณสามารถมองเห็นระบบการทำงาน แนวคิด สไตล์การทำงาน รวมถึงวัฒนธรรมภายในองค์กร

หัวใจหลักของการทำงาน คือ ความสมดุล เราควรให้ความสำคัญกับงาน ชีวิตส่วนตัว และครอบครัวให้มีความสำคัญเท่าเทียมกัน แล้วคุณจะพบว่าทุกคนสามารถสร้าง Work Life Balance ร่วมกันได้




ออกแบบออฟฟิศ ให้ตรงตามสไตล์ที่ใช่ เลือก V.K.B

นอกจากแนวคิดที่เราได้นำเสนอไปข้างต้นแล้ว คุณภาพการทำงานที่ดีก็ต้องประกอบไปด้วยการดีไซน์ที่มีคุณภาพ หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังมองหา การออกแบบออฟฟิศ ในลักษณะ Work Life Balance อยู่ล่ะก็ สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ V.K.B contracting บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ให้บริการออกแบบ และ ก่อสร้าง รวมถึงให้คำแนะนำบริหารโครงการ มายาวนานกว่า 30 ปี ด้วยทีมที่เชี่ยวชาญ และ ประสบการณ์ ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่างานที่ออกมาจะเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ และ มีคุณภาพ

  • งานก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างด้วยทีมงาน บุคลากร และ Outsourch คุณภาพที่พร้อมบริการอย่างเต็มที่
  • งานออกแบบ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ รวมทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่พร้อมออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ตามสไตล์ของคุณ
  • ให้คำปรึกษา และ บริหารโครงการ นอกจากการก่อสร้างแล้ว เรายังให้คำแนะนำ ปรึกษา และ ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดจากการก่อสร้างทุกรูปแบบ

 
 
สามารถสอบถาม V.K.B และ ดูข้อมูลเพิ่มเติมช่องทางอื่นๆ
Facebook : VKB Contracting
Line : @vkbth
Tel : 02-377-6591 , 02-735-1636 , 02-735-1637
Email : vkb.cont@gmail.com

หน้า: [1]