ThaiFranchiseCenter Webboard

พูดคุยทั่วไป สบายๆ | General Talk => ผู้สนใจแฟรนไชส์ | Investor => ข้อความที่เริ่มโดย: อัญณา ที่ กรกฎาคม 20, 2019, 06:06:58 AM

หัวข้อ: ไมเนอร์ ฟู้ด เติบโตด้วยกลยุทธ์อะไรกันนะ
เริ่มหัวข้อโดย: อัญณา ที่ กรกฎาคม 20, 2019, 06:06:58 AM
หากพูดถึงแบรนด์เดอะพิซซ่า แดรี่ควีน สเวนเซ่นส์ ซิทท์เลอร์ หรือเบอร์เกอร์คิงนั้น แน่นอนว่าหลายๆ คนนั้นก็ย่อมที่จะเคยกินกะนอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ก็จะมีน้อยคนเอสามากๆ ที่จะรู้ว่าแบรนด์ของอาหารที่เราได้กล่าวไปในข้องต้นนั้นมันอยู่ในเครือของการดำเนินธุรกิจเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือ เดอะไมเนอร์ ฟู้ด (https://www.minorfood.com/th)กรุ๊ป นั่นเอง ซึ่งถ้าหากพูดถึงตรงนี้นั้นหลายคนก็คงพอจะเดาออกว่า เดอะไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ที่เราได้กล่าวไปนั้นมีความยิ่งใหญ่ทางด้านธุรกิจอาหารมากแค่ไหน แต่มิใช่แค่นั้นหรอกเพราะทางเดอะไมเนอร์นั้นเขาก็ยังมีความยิ่งใหญ่ในธุรกิจด้านอื่นๆ อีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรงแรมใในระดับชั้นนำแถวหน้าหรือในเรื่องของสินค้าไลฟ์สไตล์ต่างๆ และในวันนี้เราก็จะมาเผยถึงกลยุทธ์ minor food group (https://www.minorfood.com/en) ว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งเราก็ได้คำตอบว่าการเติบโตด้วยการควบรวมกิจการของวิลเลียม ไฮเนคกี้ซึ่งในปัจจุบันนั้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเครือไมเนอร์ กรุ๊ป หรือเรียกได้ว่าอยู่บนสุดของ โครงสร้างองค์กร ไมเนอร์ ฟู้ด (https://www.minorfood.com/th/our-company) นั้นก็ได้มีการเปิดเผยกลยุทธ์ในการทำธุรกิจว่า ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ข้างหน้านั้นการเข้าไปควบรวมกิจการจะเป็นกลยุทธ์หลักที่จะทำให้เครือ ไมเนอร์ ฟู้ด เติบโตตามแผนเดินไปสู่ทั่วโลก (โกลบอล ฟุตปรินต์)
ซึ่งทาง minor food brand (https://www.minorfood.com/en/our-business)นั้นก็จะมีเป้าหมายที่จะเติบโตด้วยผลกำไรโดยเฉลี่ยต่อปีในอัตราร้อยละ 15 – 20 ในอีก 5 ปีข้างหน้า และก็จะมีการเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (Return on Invested Capital) ให้มากกว่าร้อยละ 14 ภายในปี 2564 ซึ่งในปัจจุบันนั้น minor food thailand franchise (https://www.minorfood.com/en/partner) หรือเครือธุรกิจทั้งหมดของไมเนอร์ กรุ๊ปนั้นก็จะมีธุรกิจใน 32 ประเทศ และในการควบรวมกิจการนั้นก็คงจะมองหาในประเทศที่ยังไม่ได้เข้าไปทำธุรกิจเลย
อย่างเช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น หรือประเทศอเมริกาใต้ เป็นต้น ซึ่งก็จะใช้โรงแรมเป็นธุรกิจหลักในการออกไปขยายตัว สำหรับบริษัทที่มีการสร้างผลการดำเนินงานที่ยั่งยืนนั้นแน่นอนว่าก็จะต้องไม่เพียงแต่มุ่งไปในเรื่องของการมุ่งเติบโตหารายได้และผลกำไรในระยะยาวเท่านั้น แต่มันจะต้องรวมไปถึงเรื่องของการลงทุน และการบริหารเงินลงทุนอย่างมีระเบียบวินัยตามแผนกลยุทธ์ 5 ปี ทั้งนี้ก็เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งทางบริษัทนั้นก็ได้มีการวางรากฐานเชิงกลยุทธ์ 3 หลักด้วยกัน ซึ่งก็ได้แก่
-   การเติบโตธุรกิจผ่านเครือข่ายแบรนด์ที่บริษัทเป็นเจ้าของเอง และบางส่วนจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก
-   การเพิ่มมูลค่าและประสิทธิภาพของทรัพย์สินที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
-   และสุดท้านนั้นก็คือ การลงทุนและเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์
และนอกเหนือจากรากฐานเชิงกลยุทธ์ทั้ง 3 หลักดังที่เราได้กล่าวไปแล้วนั้น ทางบริษัทก็ยังมุ่งพัฒนาความสามารถขององค์กรอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับการเติบโตที่รวดเร็วของธุรกิจโดยผ่านกลยุทธ์การขับเคลื่อนขององค์กร ซึ่งก็ได้แก่
-   การพัฒนาศักยภาพขององค์กร
-   การพัฒนาระบบการปฏิบัติงานอันเป็นเลิศและการใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด 
-   การเชื่อมโยงการดำเนินงานของธุรกิจกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน