ThaiFranchiseCenter Webboard

พูดคุยทั่วไป สบายๆ | General Talk => ตลาดกลาง COVID-19 ฝากร้าน ฟรี! => ข้อความที่เริ่มโดย: สมหมาย รอคอย ที่ มีนาคม 25, 2025, 05:11:41 AM

หัวข้อ: CT Scan คืออะไร มารู้จักวิธีตรวจหาความผิดปกติภายในร่างกาย
เริ่มหัวข้อโดย: สมหมาย รอคอย ที่ มีนาคม 25, 2025, 05:11:41 AM
CT Scan คืออะไร ทำความรู้จักกับวิธีการตรวจหาความผิดปกติในร่างกาย

(https://img5.pic.in.th/file/secure-sv1/what-is-ct-scan.jpg)

ปัจจุบันวงการแพทย์ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทันสมัยออกมาเสมอเพื่อเป็นตัวช่วยในการรักษาโรคร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ และเครื่องมือตรวจวินิจฉัยโรคได้ตรงจุดที่สุดที่ไม่ควรพลาดก็คือ เครื่อง CT Scan เพราะ CT Scan คือ (https://www.praram9.com/what-is-ct-scan/)ผู้ช่วยมือหนึ่งของแพทย์ที่ใช้ตรวจหารอยโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะหากได้พบในระยะเริ่มต้น ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้คนไข้ที่จะได้รักษาให้หายขาด

CT Scan คือ เครื่องตรวจโรคที่ให้ภาพ 3 มิติละเอียดสูง
Computerized Tomography Scan - CT Scan คือ หนึ่งในวิธีที่แพทย์ปัจจุบันเลือกใช้เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการโรคที่เกิดขึ้นด้วยการใช้เครื่องเอกซเรย์ในการฉายรังสีบนบริเวณร่างกายที่ต้องการตรวจ เพื่อให้เกิดเงาบนฉากที่เตรียมไว้อีกด้านของร่างกาย จากนั้นคอมพิวเตอร์ก็จะทำการสร้างภาพ 3 มิติที่มีความละเอียดสูงกว่าภาพเอกซเรย์แบบธรรมดา วิธีนี้สามารถตรวจเห็นอวัยวะภายในร่างกายได้เกือบทุกส่วน

กล่าวได้ว่า CT Scan คือเครื่องมือที่แพทย์ใช้ในการตรวจวินิจฉัยอาการผิดปกติที่เกิดกับอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย แต่ก็ไม่ควรใช้ในการคัดกรองรอยโรคเบื้องต้น เพราะเป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ลำแสง X-Rays ปล่อยผ่านร่างกายเพื่อสร้างภาพซึ่งจะเป็นการเพิ่มความวิตกกังวลเกินความจำเป็นให้กับคนไข้ แต่ก็เหมาะกับคนไข้ที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคร้าย เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ฯลฯ ก่อนอื่นเราควรจะมาทำความรู้จักเกี่ยวกับประเภทของ CT Scan ที่มีใช้ในวงการแพทย์ปัจจุบันดังต่อไปนี้

Conventional CT Scan - ประเภทภาพตัดขวางพื้นฐาน
รูปแบบการทำงานของเครื่อง CT Scan จะหมุนเป็นวงรอบตัวคนไข้โดย 1 รอบจะได้ 1 ภาพ โดยที่เตียงจะเลื่อนไปทีละตำแหน่งที่ต้องการ หลังจากนั้นคอมพิวเตอร์ก็จะสร้างภาพตัดขวางของอวัยวะทีละภาพ
Spiral/Helical CT Scan - ประเภทภาพแบบเกลียว
เครื่อง CT Scan จะหมุนเป็นวงอย่างต่อเนื่องรอบตัวคนไข้ ดังนั้นเมื่อลำแสง X-Rays ผ่านตัวคนไข้ก็จะได้หลายภาพ เวลาที่ใช้จะน้อยกว่าแบบพื้นฐาน ภาพก็จะมีคุณภาพสูง แม่นยำกว่า

ความแตกต่างระหว่างการตรวจ CT Scan VS การตรวจ MRI

(https://img5.pic.in.th/file/secure-sv1/difference-between-mri-and-ct-scan.png)

เป็นที่รู้กันว่าทั้ง MRI และ CT Scan คือเทคโนโลยีแบบใหม่ของวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคที่แพทย์จะเลือกใช้เพื่อประเมินหาสาเหตุของอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับคนไข้ เช่น ในกรณีที่หมดสติจากอุบัติเหตุรถยนต์, ตกจากที่สูงมากกว่า 3 ฟุต, มีอาการชัก, ปวดหัวรุนแรง, อาเจียนบ่อยครั้ง, มีของเหลวหรือเลือดออกจากหู จมูก, กล้ามเนื้อบนใบหน้าหรือร่างกายอ่อนแรง ฯลฯ

แต่ถึงแม้ CT Scan และ MRI คือเครื่องมือที่ใช้ตรวจหาสาเหตุความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายเหมือนกัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันที่แพทย์จะต้องพิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละเคสของคนไข้ ดังนั้นเราจะมาลิสต์ดูว่า MRI กับ CT Scan ต่างกันอย่างไร

1. กรณีที่พบว่ามีอาการผิดปกติดังกล่าวข้างต้น ผล CT Scan นับเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากว่ามีอาการผิดปกติอย่างต่อเนื่องนานกว่า 48 ชม.หลังได้รับบาดเจ็บ หรือมีอาการแย่ลง ตรวจ MRI จะให้ผลแม่นยำกว่า

2. เครื่องที่ใช้ตรวจ MRI vs CT Scan จะต่างกันคือ

3. MRI เหมาะกว่ามากที่จะใช้ตรวจเนื้อเยื่ออ่อน อย่างนั้น CT Scan ตรวจอะไรได้บ้าง เราจะมาดูกัน


4. เวลาที่ใช้ในการตรวจจะแตกต่างกันมาก เช่น

5. สารที่ใช้ในการตรวจแตกต่างกัน

6. สภาพร่างกายของผู้รับการตรวจที่แตกต่างกัน


ก่อนทำ CT Scan ควรมีการเตรียมตัวให้พร้อมเช่นไร
เมื่อแพทย์ได้ทำการนัดวันทำ CT Scan กับคนไข้แล้ว สิ่งแรกที่คนไข้ควรทำความเข้าใจและปรึกษากับแพทย์เกี่ยวกับ CT Scan คืออะไร, ทำ CT Scan ข้อเสียมีอะไรบ้าง, CT Scan ราคาแพงมั้ย ฯลฯ เพื่อที่คนไข้จะได้เตรียมตัวเบื้องต้นให้พร้อม นอกจากนี้ในวันตรวจ สิ่งที่คนไข้ควรเตรียมตัวก่อนทำ CT Scan มีดังนี้


หลังทำ CT Scan มีวิธีในดูแลตัวเองอย่างไรให้เหมาะสม

(https://img2.pic.in.th/pic/after-ct-scan.png)

หลังผ่านการตรวจจากโรงพยาบาลแล้วคนไข้ที่ทำ CT Scan คือ คนที่ต้องใส่ใจในสุขภาพของตนเอง รับฟังคำแนะนำในการปฏิบัติตนเองหลังการตรวจ ดังนี้


ผลข้างเคียงจากการตรวจ CT Scan เป็นอันตรายไหม
การตรวจ CT Scan คือ การที่ผู้รับการตรวจจะต้องสัมผัสกับรังสี X-Rays หรือ รังสีไอออนไนซ์ (Ionizing radiation) ในช่วงตรวจ รังสีนี้สามารถทำลายเซลล์ถ้าได้รับปริมาณมาก แต่ก็ใช้เวลานานหลายสิบปีกว่าที่จะเกิดมะเร็งได้

และถึงแม้ว่าโดยปกติเราทุกคนจะได้สัมผัสกับรังสีตามธรรมชาติ เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ หรือสารเคมีบางอย่างในร่างกาย ทำให้รังสีจากสิ่งแวดล้อมที่เราได้รับเฉลี่ยประมาณ 3.7 mSv ต่อปี (mSv = millisieverts = หน่วยวัดรังสี) แต่รังสีจากการตรวจ CT Scan จะสูงกว่า ซึ่งทาง American college of radiology แนะนำปริมาณรังสีควรจำกัดที่ 100 mSv ตลอดชีวิตหรือเท่ากับตรวจ CT Scan ช่องอก 25 ครั้ง

และเนื่องจากการตรวจด้วยเครื่อง CT Scan นั้นคนไข้ต้องได้รับการฉีดสี CT Scan ซึ่งเป็นสารทึบแสงที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้นแพทย์อาจให้คนไข้อยู่รอดูอาการประมาณ 1 ชม. ก่อนปล่อยให้กลับบ้าน

การฉีดสี CT Scan อันตรายไหม - แน่นอนว่าอันตรายโดยเฉพาะคนที่มีอาการแพ้ก็จะเกิดผลข้างเคียงของการฉีดสี CT Scan เช่น ผดผื่นคัน, หน้า/ปากบวม, คลื่นไส้ อาเจียน, วิงเวียนศีรษะ/เป็นลม, หายใจลำบาก เป็นต้น หากมีหนึ่งในอาการเหล่านี้ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ทันที

CT Scan แสกนโรคด้วยความสามารถของเทคโนโลยี
สุขภาพดีเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นด้วยการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพราะมันไม่อาจเกิดขึ้นได้เอง ดังนั้นการตรวจสุขภาพประจำปีจะช่วยให้เราได้ตระหนักรู้ว่าเรามีความเสี่ยงหรือมีความจำเป็นที่จะต้องพบแพทย์เพื่อขอคำวินิจฉัยเพิ่มเติมในเชิงลึกหรือไม่ และการทำ CT Scan คือหนทางหนึ่งที่ช่วยป้องกันโรคร้ายด้วยการหาสาเหตุและทำการรักษาให้หายขาดตั้งแต่ระยะเริ่มต้น