(https://img5.pic.in.th/file/secure-sv1/4516c9922c42e81b9cc60dd60645cddf.jpg)
แสงสีฟ้า
แสงสีฟ้า ภัยเงียบที่แฝงอยู่รอบตัวเรา เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ออกแดดเลย! ไม่ว่าจะเป็นจากหน้าจอมือถือ คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่หลอดไฟ ก็สามารถทำร้ายผิวได้แบบไม่รู้ตัว
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับแสงสีฟ้า ว่ามันมาจากไหน ? ส่งผลต่อผิวอย่างไร ? และที่สำคัญเราจะป้องกันผิวจากแสงสีฟ้าได้อย่างไร ? ถ้าไม่อยากให้ผิวพัง รีบอ่านให้จบแล้วดูแลตัวเองก่อนสายเกินไปค่ะ!
แสงสีฟ้าจากไหนทำร้ายผิวมากที่สุด ?
แสงสีฟ้า หรือ Blue Light เป็นคลื่นแสงพลังงานสูงที่ตามองเห็น (HEV - High Energy Visible Light) มีความยาวคลื่นระหว่าง 400-500 นาโนเมตร เนื่องจากมีพลังงานสูง แสงสีฟ้าจึงสามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังและทำลายเซลล์ผิวได้ โดยเราสามารถพบแสงสีฟ้าได้จากหลายแหล่ง ดังนี้
- แสงแดด : เป็นแหล่งแสงสีฟ้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุด
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ : เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และโทรทัศน์
- หลอดไฟ LED และฟลูออเรสเซนต์ : ไฟฟ้าที่ให้แสงสีขาวสว่างจ้า ใช้ในบ้านและออฟฟิศ
(https://img2.pic.in.th/pic/5e5878ab0f2ff0a3e9a176a65fdb84dc.jpg)
แสงสีฟ้าส่วนใหญ่มาจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
แม้ว่าแสงสีฟ้าจากแสงแดดจะมีปริมาณมาก แต่เรามักได้รับแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ใกล้ชิดมากกว่า จากการที่เราจ้องหน้าจอสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ทำให้ผิวได้รับแสงสีฟ้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลเสียต่อผิวพรรณได้
แสงสีฟ้า ส่งผลต่อผิวอย่างไร ?
ผิวหน้าหย่อนคล้อย หมองคล้ำ ดูโทรม
แสงสีฟ้ามีความเข้มข้นสูง จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวหย่อนคล้อยขาดความกระชับ และดูโทรมเร็วกว่าปกติ โดยเฉพาะคนที่เล่นมือถือหรือดูจอคอมพิวเตอร์ในที่มืด จะสังเกตว่าผิวเริ่มหมองคล้ำได้ง่ายขึ้นค่ะ
ผิวหน้ามันง่าย กระตุ้นให้เกิดสิว
งานวิจัยพบว่าแสงสีฟ้ามีส่วนช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำมันของต่อมน้ำมันใต้ผิว ทำให้ผิวมันมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การอุดตันและเกิดสิวอักเสบได้ง่ายขึ้นค่ะ ใครที่เป็นสิวเยอะ ลองสังเกตดูว่าใช้มือถือหรือเล่นคอมเยอะไหมนะคะ
กระตุ้นการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
แสงสีฟ้ามีความสามารถในการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ โดยเฉพาะถ้ารับแสงสีฟ้าเป็นเวลานาน และไม่ป้องกันผิวให้ดี ฝ้าอาจเข้มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัวค่ะ
วิธีการป้องกันแสงสีฟ้าไม่ให้ทำร้ายผิว
อยากมีผิวสวย ไม่โทรมจากแสงสีฟ้า (https://drvsquare.com/knowledge/blue-light/) ต้องดูแลตัวเองให้ดีค่ะ ลองทำตามเคล็ดลับนี้เลย!
(https://img2.pic.in.th/pic/-7b17cc2525f8cc92.jpg)
การทาครีมกันแดดช่วยป้องกันแสงสีฟ้า
- ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป มีค่า PA ระดับสูง ช่วยปกป้องผิวทั้งจากแสงสีฟ้า และรังสี UV
- ใช้สกินแคร์ที่มี Niacinamide วิตามิน A และวิตามิน C ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้าง Skin Barrier
- งดเล่นมือถือก่อนนอน ช่วยลดการรับแสงสีฟ้าโดยตรง และลดปัญหาผิวโทรมจากการพักผ่อนไม่พอ
- ปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม ลดความสว่างของหน้าจอ และใช้โหมดถนอมสายตาเพื่อลดแสงสีฟ้า
- พักสายตาตามหลัก 20-20-20 ทุก ๆ 20 นาที ให้พักสายตา 20 วินาที โดยมองไปที่วัตถุที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต
- ติดตั้งฟิล์มกรองแสงสีฟ้าบนอุปกรณ์ เพื่อลดปริมาณแสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมา
แสงสีฟ้า VS แสง UV รังสีไหนอันตรายกว่ากัน ?
แสงสีฟ้าเป็นภัยเงียบที่ทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว แม้จะมีพลังงานต่ำกว่าแสง UV แต่ก็สามารถกระตุ้นอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดฝ้า กระ และริ้วรอยก่อนวัยได้ ที่สำคัญยังทะลุเข้าชั้นผิวลึก ส่งผลต่อคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแก่เร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ส่วนแสง UV โดยเฉพาะ UVA และ UVB จากแสงแดด มีพลังงานสูงกว่าและทำลายผิวได้โดยตรง ซึ่งรังสี UVA ทำให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ส่วนรังสี UVB เป็นตัวการหลักของผิวไหม้และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง
ถ้าถามว่า แสงสีฟ้า กับ แสง UV อะไรอันตรายกว่ากัน ? คำตอบคือ แสง UV มีพลังงานสูงและทำลายผิวได้ลึกกว่า แต่แสงสีฟ้าก็เป็นอันตรายแบบสะสม ที่ค่อย ๆ ทำร้ายผิวโดยที่เราไม่ทันสังเกต ดังนั้นเราจึงต้องป้องกันผิวจากแสงทั้งสองอย่างควบคู่กันไปค่ะ
สรุปเรื่องแสงสีฟ้า ภัยเงียบทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว
แสงสีฟ้า เป็นตัวการทำร้ายผิวแบบเงียบ ๆ โดยที่เราไม่ทันสังเกตค่ะ ไม่ว่าจะเป็นผิวหมองคล้ำ ฝ้า จุดด่างดำ หรือกระตุ้นการเกิดสิว ล้วนมีผลจากการได้รับแสงสีฟ้าสะสม ทางที่ดีควรป้องกันไว้ก่อน ด้วยการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA เหมาะสม ใช้สกินแคร์บำรุงผิว รวมถึงลดการอยู่หน้าจอเป็นเวลานาน ๆ จะช่วยให้ผิวใส สุขภาพดีขึ้นได้ค่ะ