ThaiFranchiseCenter Webboard
การให้บริการทางธุรกิจ | Business Service => การเงิน | Finance => ข้อความที่เริ่มโดย: ว่านโบตั๋น ที่ กรกฎาคม 12, 2022, 04:49:16 PM
-
การลงทุนในกองทุนรวมช่วยเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยได้เข้าถึงการลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และตลาดเงินได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีเงินเพียง 500 - 1,000 บาทก็สามารถเปิดกองทุน ลงทุนก้อนเล็กได้ ด้วยเหตุนี้กองทุนรวมจึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนตั้งใจสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงทางการเงินมากยิ่งขึ้น บางรายวางแผนและตั้งใจซื้อ กองทุน ssf เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ในขณะเดียวกันก็หวังสร้างความมั่งคั่งผ่านทาง กองทุน ssf เช่นเดียวกัน แต่จะซื้อกองทุนอย่างไรให้ตอบโจทย์ความคุ้มค่าและตรงกับความต้องการ วันนี้เรามีหลักการง่ายๆ มาฝากกัน
ตั้งเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน
ก่อนถามตัวเองว่าจะจะซื้อกองทุนอะไร ควรเริ่มจากคำถามที่ว่า “เป้าหมายการลงทุนของเราคืออะไร” เนื่องจาก กองทุน มีหลายประเภท นโยบายการลงทุนก็มีความหลากหลาย หากไม่สามารถระบุได้ชัดเจนก็อาจจะเสียโอกาสทางผลตอบแทนหรือได้ไม่เท่าที่หวัง เช่น เป้าหมายที่ชัดเจนคือต้องการลงทุนเพื่อรับผลประโยชน์ด้านภาษีควบรวมกับการสร้างความมั่งคั่งระยะยาวประมาณ 10 ปี คำตอบที่ได้จะชัดเจนเช่นกัน นั่นคือการลงทุนในกองทุน ssf ซึ่งผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ และจำเป็นต้องถือครองหน่วยลงทุนมากกว่า 10 ปี ตอบโจทย์ความต้องการได้ตรงจุดพอดีอย่างนี้เป็นต้น
Fund Fact Sheet ตัวช่วยการลงทุน
อย่าซื้อ กองทุน ตามใครให้ศึกษา Fund Fact Sheet ของกองทุนก่อนเสมอ เนื่องจากเนื้อหาที่บรรจุอยู่ใน Fund Fact Sheet จะครอบคลุมรายละเอียดของกองทุนนั้น ๆ อย่างชัดเจน เช่น จำนวนเงินขั้นต่ำในการเปิดกองทุน จำนวนเงินขั้นต่ำในการซื้อหน่วยลงทุนครั้งต่อ ๆ ไป ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ผลการดำเนินงานในอดีต รวมถึงสิ่งสำคัญที่สุดนั่นคือนโยบายการลงทุนของกองทุนนั้น ๆ ดังนั้นผู้ลงทุนจึงควรศึกษา Fund Fact Sheet และเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างกองทุนต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ควรติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนเป็นระยะ
หลายคนซื้อกองทุนทิ้งไว้เฉย ๆ อาจมีเข้ามาดูผลการดำเนินงานบ้างปีละครั้งสองครั้ง แต่ไม่เคยใส่ใจว่าในขณะนี้กองทุนให้ผลตอบแทนน้อยกว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกันจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแห่งอื่น ซึ่งหากผู้ลงทุนใส่ใจที่จะเปรียบเทียบ ติดตามผลการดำเนินงาน และปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมจะช่วยรักษาผลประโยชน์ของตนเองไว้ได้เป็นอย่างดี
การมีมืออาชีพมาดูแลกองทุนให้ไม่ได้แปลว่าผู้ลงทุนจะได้กำไรเสมอไป
ยังมีหลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เนื่องจากมองว่ากองทุนรวมมีผู้บริหารจัดการกองทุนซึ่งเป็นบุคลากรระดับมืออาชีพ จึงเข้าใจว่าเมื่อซื้อกองทุนแล้วผู้บริหารจัดการกองทุนจะมีหน้าที่สร้างกำไรให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมนั้น ๆ ได้ แต่แท้ที่จริงแล้วหน้าที่ของผู้บริหารจัดการกองทุนคือการบริหารกองทุนตามนโยบายของกองทุนเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่สร้างกำไรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยให้กับผู้ลงทุน นี่คือสาเหตุที่เราแนะนำให้ผู้ลงทุนปฏิบัติตามข้อ 3 นั่นคือการติดตามผลเพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมด้วยตนเอง
เนื่องจากการลงทุนมีความเสี่ยงการประเมินตนเองเกี่ยวกับความเสี่ยงจึงกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ หากผู้ลงทุนสำรวจตัวเองแล้วพบว่ารับความเสี่ยงได้น้อย ต้องการรักษาเงินต้นเป็นหลัก และรับผลตอบแทนต่ำได้ควรลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนตราสารหนี้ หรือกองทุนตลาดเงิน หากสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับกลางอาจเลือกกองทุนผสมในอัตราส่วนการลงทุนที่รับได้ เช่น กองทุนผสมซึ่งลงทุนในตลาดเงินมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่เล็กน้อย สำหรับผู้ลงทุนซึ่งรับความเสี่ยงได้สูงและคาดหวังผลตอบแทนสูงเหมาะกับการลงทุนในตลาดหุ้น หรือกองทุนที่ลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ เพราะกองทุนเหล่านี้มีความผันผวนสูงจึงมีโอกาสจะได้ผลตอบแทนสูงกว่ากองทุนความเสี่ยงต่ำนั่นเอง ดูเพิ่มเติมที่ https://krungthai.com/th/content/personal/investment/mutual-funds (https://krungthai.com/th/content/personal/investment/mutual-funds)