ดนตรีเป็นสื่อความบันเทิงประเภทหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ตลอดจนนำมาศึกษาหรือประกอบเป็นอาชีพ ซึ่งดนตรีก็มีหลายแนวหลายประเภท แต่
ดนตรีคลาสสิคถือว่าเป็นแนวเพลงที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 จนได้รับการยอมรับให้เป็นดนตรีชั้นสูงประเภทหนึ่ง เพราะมีอิทธิพลส่งผลต่อศิลปะในวงกว้างไปทั่วโลก
ดนตรีคลาสสิก คืออะไรดนตรีคลาสสิก (Classical music) คือ แนวเพลงดนตรีที่เป็นศิลปะของประเทศทางฝั่งตะวันตก นิยมใช้เครื่องดนตรีชนิดเครื่องสาย เมื่อเล่นกันเป็นกลุ่มจะเรียกว่า วงออร์เคสตรา ซึ่งมีการเล่นดนตรีร่วมกันระหว่างเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
ดนตรีคลาสสิคเป็นแนวดนตรีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 18 - 19 โดยคำว่า คลาสสิก หมายถึง รูปแบบดนตรีที่พัฒนามาจากโครงสร้างการประพันธ์ดนตรีในยุคคลาสสิก โดยดนตรีคลาสสิคมีลักษณะการใช้โน้ตที่ซับซ้อน ประกอบกับท่วงทำนองที่หลากหลาย ด้วยการใช้ดนตรีคาสิกประเภทต่าง ๆ เช่น ไวโอลิน, เชลโล, คลาริเนต และทรัมเป็ต
ดนตรีคลาสสิกมีรากฐานในประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน มีการพัฒนาอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 - 20 จึงถือได้ว่า แนวเพลง คลาสสิคเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ทางดนตรีที่ได้รับการยอมรับ ส่งผลต่อการสร้างสรรค์ทางวรรณกรรมและศิลปวัฒนธรรมทั่วโลก จะเห็นได้จากศิลปะในโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ การแสดงคอนเสิร์ต ตลอดจนการศึกษาต่าง ๆ
ประวัติของดนตรีคลาสสิคดนตรีคลาสสิกมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 - 20 จึงเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยประวัติ ดนตรีคลาสสิคได้เริ่มต้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 โดยมีการใช้คอราล, ไนบล์ และออร์แกน เป็นเครื่องดนตรีหลัก
จนดนตรีคลาสสิคได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในศตวรรษที่ 18 - 19 ซึ่งยังมีการแต่งเพลงแบบบาร็อกโก่อยู่ แต่มีความละมุน สดใสในแนวเพลงมากกว่า จนกระทั่งมีการพัฒนาถึงจุดสูงสุดทางด้านการประพันธ์เพลง โดยประพันธ์เพลงให้เครื่องดนตรี ยุคคลาสสิกอย่างออร์แกน เปียโน และไวโอลิน มากขึ้น
ดนตรี ยุคคลาสสิกเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทางดนตรีมากที่สุด เพราะมีการกำหนดกฎเกณฑ์ รูปแบบ และหลักการในการเล่นดนตรีอย่างชัดเจน ซึ่งศูนย์กลางของดนตรีคลาสสิกอยู่ที่กรุงเวียนนา และเมืองมานไฮม์ของประเทศออสเตรีย
เครื่องดนตรีคลาสสิคประเภทต่าง ๆหลายคนอาจจะสงสัยว่า “เครื่องดนตรีคลาสสิค มีอะไรบ้าง” ด้วยดนตรีคลาสสิกมีการใช้เครื่องดนตรีหลากหลายประเภท เพื่อให้สร้างผลงานที่สมบูรณ์ ครบทุกโทนเสียง ดังนั้น เครื่องดนตรี ยุคคลาสสิกแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1.เครื่องดนตรี ยุคคลาสสิกประเภทเครื่องสาย (String) เช่น
- ไวโอลิน (Violin) เป็นเครื่องดนตรีสายที่มีลักษณะทรงยาวและบาง
- เชลโล (Cello) เครื่องดนตรีสายที่มีลักษณะใกล้เคียงกับไวโอลิน แต่มีขนาดใหญ่กว่า และเล่นโดยวางไว้บนพื้น
- ฮาร์พ (Harp) เครื่องดนตรีสายที่ทำให้เกิดเสียงต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับการกดแต่ละเส้น
- เปียโน (Piano) เครื่องดนตรีสาย มีแป้น มีโน๊ตเสียงที่สามารถเปลี่ยนระดับความดังได้
2.เครื่องดนตรี ยุคคลาสสิกประเภทเครื่องเป่าลมไม้ (Woodwind) เช่น
- คลาริเนต (Clarinet) เป็นเครื่องดนตรีเป่าลมทำจากไม้หรือพลาสติก มีท่อในรูปทรงกรวยและใช้ฝาปิดที่จะปรับสูงต่ำของเสียง
- ฟลูท (Flute) เครื่องดนตรีเป่าลมทำจากทองแดงหรือเหล็ก มีรูเดียว
- โอโบ (Oboe) เครื่องดนตรีเป่าลมทำจากไม้ที่มีท่อแบน และมีลิ้นในช่อง ทำให้เสียงที่มีลักษณะเฉพาะ
- ปิคโคโล (Piccolo) เครื่องดนตรีเป่าลมมีขนาดเล็กและเสียงสูง
3.เครื่องดนตรี ยุคคลาสสิกประเภทเครื่องเป่าทองเหลือง (Brass) เช่น
- ทรัมเป็ต (Trumpet) เป็นเครื่องดนตรีเป่าทำจากทองแดงหรือเหล็ก
- เฟรนช์ฮอร์น (French Horn) เครื่องดนตรีเป่ามีรูปร่างโค้ง ใช้เล่นเพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ของเสียงในวง
- ทรอมโบน (Trombone) เป็นเครื่องเป่าที่มีท่อตรงยาว มีลิ้นที่ใช้เปลี่ยนเสียง
- คอร์เนต (Cornet) เป็นเครื่องเป่าที่คล้ายกับทรัมเป็ตแต่มีลักษณะท่อที่มีรูปทรงกรวยแตกต่างกัน
- ทูบา (Tuba) เป็นเครื่องเป่าที่มีท่อขนาดใหญ่ ให้โทนเสียงเป็นเอกลักษณ์ หนักหน่วง
4.เครื่องดนตรี ยุคคลาสสิกประเภทเครื่องกระทบ (Percussion) เช่น
- กลองทิมปานี (Timpani) กลองที่มีขนาดใหญ่เป็นทรงโค้งสามารถปรับเสียงสูง-ต่ำ ทำให้ได้เสียงที่แตกต่างกัน
- ฉาบ (Xylophone) เป็นเครื่องดนตรีที่ทำให้เกิดเสียงโดยการกระทบกัน
- กลองใหญ่ (Drum Kit) ประกอบด้วยกลองต่าง ๆ รวมอยู่ในชุดเดียว
- ไทรแองเกิล (Triangle) เป็นเครื่องดนตรีที่ทำจากเหล็กทรงสามเหลี่ยม มีด้ามใช้ตี
- ไวบราโฟน (Vibraphone) เป็นเครื่องดนตรีที่มีแถบไม้ที่เรียงต่อกัน มีแผ่นโลหะใต้แถบไม้ ทำให้เกิดเสียง
ประเภทแนวเพลงคลาสสิคด้วยประวัติ ดนตรีคลาสสิคมีมาอย่างยาวนาน ทำให้ดนตรีคลาสสิกแบ่งออกเป็นหลากหลายแนวเพลง ซึ่งสามารถสรุปแนวเพลง คลาสสิคได้ 4 ประเภท คือ
1. ซิมโฟนี (Symphony)แนวเพลง คลาสสิคแรก คือ ซิมโฟนี เป็นการประพันธ์ที่มีโครงสร้าง 4 ท่อน (movements) ซึ่งแต่ละท่อนมีลักษณะแตกต่างกัน โดยจะมีความเร็วในแต่ละท่อนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับมีเนื้อหาซ่อนอยู่ภายใต้เสียงเพลง วงดนตรี คลาสสิคอย่างเช่นวงออร์เคสตรา
2. โอเวอร์เจอร์ (Overture)แนวเพลง คลาสสิคอย่างโอเวอร์เจอร์ (Overture) นิยมเป็นการเล่นโหมโรงในคอนเสิร์ต หรือโอเปร่า หรือละครเพลง ก่อนจะเข้าสู่การแสดงหลัก นิยมใช้เนื้อเพลงหรือแนวเพลงที่เป็นที่รู้จัก
3. คอนแชร์โต (Concerto)ดนตรีคลาสสิกแบบคอนแชร์โต นิยมมี 3 ท่อน คือ เร็ว-ช้า-เร็ว เป็นการเล่นประชันกัน ระหว่างเครื่องดนตรีหรือวงดนตรี คลาสสิคอย่างเช่นวงออร์เคสตรา เพื่อประชันเสียงและลีลาดนตรี
4. โซนาตโต (Sonata)ดนตรีคลาสสิคโซนาตโต (Sonata) เป็นการประพันธ์เพลงสำหรับนักดนตรีเดี่ยว กล่าวคือ สำหรับการเล่นเครื่องดนตรีประเภทเดียว โดยไม่ต้องมีเครื่องดนตรีอื่นประกอบ อย่างเช่นเปียโน แต่ถ้าหากเล่นดนตรีประเภทอื่นชิ้นเดียว ก็อาจจะมีเปียโนประกอบด้วย
สรุปดนตรีคลาสสิกเป็นแนวเพลงที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในศตวรรษที่ 18 - 19 มีประวัติ ดนตรีคลาสสิคมาอย่างยาวนาน ทำให้ได้รับความยอมรับจากหลาย ๆ วงการ รวมถึงส่งผลต่อศิลปะทั่วโลก ดั่งปรากฏในโบสถ์หรือพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ