ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


รวยรินกลิ่นปลาเผา กับปลาทับทิมตัวโตเนื้อแน่นมากคุณค่า ที่ "หอมปลาเผา"

รวยรินกลิ่นปลาเผา กับปลาทับทิมตัวโตเนื้อแน่นมากคุณค่า ที่ "หอมปลาเผา"




จากคุณแม่คนหนึ่งที่ชื่นชอบการทำอาหารให้ลูกๆ ทาน และมีความสุขในการทานอาหารอร่อยๆ จึงทำให้ร้าน "หอมปลาเผา" ถือกำเนิดขึ้นมาในรูปแบบร้านอาหารไทย - อีสาน สไตล์กันเอง ที่เน้นคุณภาพของวัตถุดิบสุดๆ ทุกอย่างต้องสดใหม่ สะอาด และเครื่องปรุงหลายๆ อย่าง ทางร้านลงมือทำเอง เช่น ถั่วลิสงคั่วและข้าวคั่ว ทำให้มั่นใจได้ว่าอาหารทุกจานของร้าน "หอมปลาเผา" สะอาดได้มาตรฐานจริงๆ



บรรยากาศภายในร้าน

และแน่นอนว่า เมื่อมาที่ร้าน "หอมปลาเผา" เมนู Signature ที่ห้ามพลาดของร้าน ก็ย่อมจะต้องเป็น "ปลาเผา" แน่นอนที่สุด เพราะปลาเผาของร้านนี้แตกต่างจากปลาเผาของร้านอื่นๆ

สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด และเป็นจุดเด่นของร้าน "หอมปลาเผา" คือการเลือกใช้ "ปลาทับทิม" มาทำเมนูปลาเผา ไม่ได้ใช้ปลานิล หรือปลาช่อนแบบร้านอื่น ซึ่งเหตุที่ "หอมปลาเผา" เลือกใช้ปลาทับทิมก็เพราะปลาชนิดนี้เป็นปลาที่มีเนื้อฟูหนาแน่น และมีคุณค่าทางอาหารสูง แถมยังเป็นปลาที่เลี้ยงในกระชัง จึงไม่มีกลิ่นดินโคลนแบบปลาน้ำจืดทั่วไป และปลาท่ี่ได้ก็จะมีเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ นำมาเผาแล้วไม่แห้งเกินไป

เมื่อได้วัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็มีการใส่ใจไม่แพ้กัน นั่นคือ "การล้างทำความสะอาดปลา" ที่ต้องล้างทำความสะอาดอย่างดี เอาเหงือกปลาออกให้เรียบร้อย จากนั้นก็ใส่สมุนไพรลงไปในตัวปลา เพื่อให้ปลามีกลิ่นหอมสมกับชื่อร้าน "หอมปลาเผา"



เมี่ยงปลาทัมทิมเผา


ส่วนขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของเมนูปลาเผา คือ "การเผาปลา" ซึ่งที่ร้าน "หอมปลาเผา" ใช้ถ่านกะลามะพร้าวในการเผาปลา กลิ่นควันไฟที่เผาจึงหอม และให้ความร้อนกำลังดี เมื่อปลาสุกได้ที่  ก็จัดเสิร์ฟมาเป็นชุด "เมี่ยงปลาทัมทิมเผา" (ราคาชุดละ 300 บาท) ที่นอกจากจะมีปลาทับทิมเผาตัวโตๆ เนื้อแน่นๆ แล้ว ยังมีผักสดๆ เคียงมาอีกหลายชนิด เช่น ผักกาดขาว ผักกาดหอม ผักชีฝรั่ง สะระแหน่ โหระพาที่ล้างทำความสะอาดอย่างดีทีละใบๆ

ส่วนน้ำจิ้มก็มีทีเด็ดไม่แพ้ปลาเผา เพราะมีถึงสองรส สองแบบ น้ำจิ้มแบบซีฟู้ด จะใช้แต่มะนาวสดเท่านั้น ไม่มีการใช้มะนาวสังเคราะห์โดยเด็ดขาด ถั่วลิสงคั่วที่ผสมลงไปในน้ำจิ้ม ก็เป็นถั่วลิสงที่ทางร้านคั่วเองใหม่ๆ จึงมั่นใจได้ในความสะอาดและจะไม่มีการใช้ถั่วลิสงคั่วเก่าๆ ที่มีเชื้ออัลฟาท็อกซินแน่นอน

ด้านน้ำจิ้มหวานก็จะมีรสชาติที่นุ่มนวลด้วยส่วนผสมของน้ำมะขามเปียก ที่ต้องแช่มะขามเปียกทิ้งไว้ข้ามคืนกันเลยทีเดียว เพื่อให้มะขามเปียกคลายตัวและนิ่มลง เวลาขยำน้ำมะขามเปียกเพื่อนำมาใช้ทำน้ำจิ้ม ก็จะได้เนื้อของมะขามเปียกติดออกมาด้วย ทำให้ได้น้ำจิ้มที่เข้มข้น จากนั้นก็นำน้ำมะขามเปียกมาเคี่ยวกับน้ำตาลปี๊บจากบ้านแพ้ว และกุ้งแห้ง เพื่อให้น้ำจิ้มมีมิติในรสชาติมากขึ้น คือเปรี้ยวจากน้ำมะขามเปียก หวานจากน้ำตาลปี๊บ เค็มจากกุ้งแห้ง และมีความมันจากถั่วลิสงคั่ว

ใส่ใจทุกขั้นตอนขนาดนี้ ปลาเผาของร้าน "หอมปลาเผา" จึงอร่อยและมีคุณค่าทางอาหารทุกคำจริงๆ

นอกจากเมนูเอกของร้านอย่าง "ปลาเผา" แล้ว ที่ "หอมปลาเผา" ยังมีเมนูเด่นๆ สไตล์ไทย - อีสานที่ปรุงอย่างพิถีพิถันให้เลือกอีกหลายเมนู อาทิ



"ไก่ย่างขมิ้น"

"ไก่ย่างขมิ้น" (ราคา 250 บาท) ที่ใช้ไก่พันธุ์ผสม เนื้อไก่จึงนุ่ม ไม่แห้งและไม่เหนียว และมีเคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่ "การหมักไก่" เพราะใช้เวลาเตรียมการกันข้ามวันข้ามคืนเลยทีเดียว เริ่มจากต้องนำขมิ้น ตะไคร้ และกระเทียม พริกไทยมาโขลกเข้าด้วยกันเสียก่อน แล้วจึงนำมาหมักกับไก่ทิ้งไว้ข้ามคืน เพื่อให้ส่วนผสมต่างๆ ซึมเข้าไปในทุกอณูเนื้อของไก่ จากนั้นจึงนำไปย่างด้วยอุณหภูมิที่พอเหมาะประมาณ 45 นาที แล้วไก่ที่หมักจนเข้าเนื้อก็จะส่งกลิ่นหอม และมีเนื้อที่นุ่มนวลชวนหม่ำ แม้ไม่จิ้มกับอะไรก็อร่อย และทางร้านก็จะกะเวลาย่างไก่ให้พอดีกับเวลาและจำนวนลูกค้าที่เข้าร้าน ลูกค้าจะได้ไม่ต้องรอนาน และเนื้อไก่ก็ยังคงความนุ่มอยู่



"ตำถั่วหมูกรอบ"

ส่วนเมนูเอาใจคนรักอาหารรสแซ่บ ก็มี "ตำถั่วหมูกรอบ" (ราคา 30 บาท) ที่ใช้ถั่วฝักยาวมาตำแบบใส่ปลาร้า และปรุงรสให้จัดจ้าน เปรี้ยวเป็นเปรี้ยว เค็มเป็นเค็ม จากนั้นก็เพิ่มทีเด็ดด้วยการวาง "หมูกรอบ" ชิ้นใหญ่ลงไปด้านบน เวลากิน หากรอให้หมูกรอบซึมซับน้ำของตำถั่วเข้าไปเสียหน่อย จะอร่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว



"ยำปูม้าดอง"

หรือถ้ายังแซ่บไม่พอ ก็ต้องจัดมาอีกจาน กับ "ยำปูม้าดอง" (ราคา 150 บาท) ปูม้าดองเนื้อแน่นสดหวาน ยำมาแบบพริกกระเทียมท่วมจานไม่หวงเครื่อง และรสชาติจัดจ้านซี้ดซ้าดสุดๆ


"น้ำตกคอหมูย่าง"

ตามด้วย "น้ำตกคอหมูย่าง" (ราคา 90 บาท) ที่หอมอร่อยเพราะข้าวคั่วที่ใช้ เป็นข้าวคั่วที่ทางร้านคั่วเองใหม่ๆ จึงหอมและสะอาด ส่วนคอหมูที่ใช้ก็หนานุ่ม หั่นมาชิ้นใหญ่พอดีคำ จานนี้ถ้าจิ้มข้าวเหนียวตามลงไปในจานด้วย จะยิ่งอร่อยลงตัว


"สะตอผัดกุ้ง"

ส่วนคนที่อยากได้เมนูอาหารที่สามารถสั่งมากินกับข้าวได้ แนะนำให้สั่ง "สะตอผัดกุ้ง" (ราคา 120 บาท) ที่ใช้สะตอเม็ดใหญ่ผัดกับกุ้งตัวโตเนื้อแน่น รสชาติเหมือนคนใต้แท้ๆ และ "ปลาหมึกผัดไข่เค็ม" (ราคา 180 บาท) ปลาหมึกตัวโต หั่นเป็นวงหนาๆ ผัดกับซอสไข่เค็มรสชาติเข้มข้น สองเมนูนี้ถ้าสั่งมากินกับข้าวแล้วจะลงตัวเป็นอย่างมาก

"ต้มแซ่บกระดูกอ่อน"

และหากมีแต่เมนูแห้งๆ มากไป ก็สั่ง "ต้มแซ่บกระดูกอ่อน" (ราคา 120 บาท) มาซดให้คล่องคอเสียหน่อย น้ำซุปรสชาติจัดจ้านถึงใจ ทำให้หูตาสว่างได้ดีเลยทีเดียว กระดูกอ่อนก็เคี้ยวกรุบกรับๆ เพลินดีอีกต่างหาก


(สีม่วง) น้ำอัญชันมะนาวโซดา (สีเหลือง) น้ำเก๊กฮวย (สีแดง) น้ำกระเจี๊ยบ

ปิดท้ายด้วยเมนูเครื่องดื่มที่ทางร้านเน้นเครื่องดื่มแบบไทยๆ ดื่มแล้วชื่นใจดับร้อน ดับเผ็ด อาทิ น้ำอัญชันมะนาวโซดา (ราคา 45 บาท) น้ำเก๊กฮวย (ราคา 30 บาท) และน้ำกระเจี๊ยบ (ราคา 30 บาท) เป็นเครื่องดื่มที่หากสั่งมาดื่มระหว่างมื้ออาหารแล้ว ไม่เพียงแต่อร่อยเท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย


เย็นๆ แดดร่มลมตก ลองพาครอบครัว เพื่อนฝูงมาเปลี่ยนบรรยากาศกับอาหารไทย - อีสานรสชาติถึงใจ ในบรรยากาศสบายๆ กันดูสักครั้ง แล้วที่นี่อาจจะกลายเป็นร้านประจำของคุณไปโดยไม่รู้ตัว

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/articles/hom-pla-pao
  emo44 emo44 emo44 emo44 emo44 emo44 emo44