ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


เมื่อการมีที่ปรึกษาที่ไว้ใจช่วยทำให้ธุรกิจเราไปได้ไกลตามที่วางแผนไว้


หากการวางแผนไว้อย่างเดียวแล้วยังทำให้ธุรกิจการค้ายังคงมีปัญหา และหาทางแก้ไขยังไม่ค่อยได้ เราควรปรับเปลี่ยนแผนใหม่ รวมไปถึงปรับกลยุทธ์และติดตามข่าวสารรอบโลก เพื่อรับข้อมูลให้มากขึ้น ศึกษาเรื่องราวใหม่ๆ ที่นำมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจของเรา ต้องมีความสงสัยและใส่ใจอยู่ตลอดเวลา เพราะเทรนด์ต่างๆนั้นหมุนไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเราตามไม่ทันแล้วล่ะก็ เราอาจพลาดกลุ่มลูกค้าและวางแผนด้านการตลาดผิดพลาดเลยก็เป็นไปได้

ถ้าปัญหาเหล่านั้นจะลดน้อยลง หรือแทบจะหมดไป สิ่งที่เราควรมองหาคือ ที่ปรึกษาที่ดี ที่เข้าใจถึงกระบวนการของงานและธุรกิจของเรา รวมไปถึงให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมาว่ามีส่วนไหนต้องมีการแก้ไข ปรับปรุงให้ดีขึ้น อีกทั้งที่ปรึกษาที่ดีนั้นจะมีความเป็นมืออาชีพสูงและมีประสบการณ์โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นให้คำปรึกษาในเรื่องการทำธุรกิจระหว่างประเทศ เพื่อขยายและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ หรือจะทำ patent registration services ที่ทำให้ธุรกิจของเรามีระเบียบแบบแผนมากยิ่งขึ้น จากบทความที่น่าสนใจของเว็บไซต์ swinethailand แชร์ไว้ว่า ธุรกิจยุคใหม่ใครต้องปรับตัว ทุกวันนี้เราได้ยินคำว่า Disrupt หนาหูขึ้นเรื่อย  ๆ ซึ่งจุดเริ่มมันมาจากธุรกิจ Start-Up ของเด็กรุ่นใหม่ ที่ใช้จุดนี้แหละหาช่องโหว่ของตลาด แล้วเปลี่ยนจุดนั้นเป็นโอกาสแจ้งเกิดของธุรกิจ Start-Up ลองดูอย่างธุรกิจแท็กซี่ที่โดน Disrupt ไปเรียบร้อยด้วย Uber และ Grab เพราะอาศัยช่องที่ลูกค้ากับแท็กซี่ไม่โดนกัน แท็กซี่ชอบปฏิเสธลูกค้า Start-Up ก็ตี Pain Point อันนี้เป็นโอกาสธุรกิจได้ทันที ถ้าโอกาสนั้นไม่มีรายใหญ่ครองตลาดอยู่ ยิ่งเกิดง่าย เพราะอย่างแท็กซี่เห็นชัดๆ ว่า ไม่มีรายใหญ่ ..มันต่างกับ ตลาดเช่น ค้าปลีก หรือธุรกิจที่รายใหญ่ครองอันนั้นก็จะเกิดยากขึ้นเป็นทวีคูณ มาดูกันว่าธุรกิจไหนต้องเตรียมปรับตัว 1. ธุรกิจที่ใช้สินทรัพย์เยอะๆ - อนาคตมันจะมีการเช่ามาทดแทน การซื้อและลงทุนในสินทรัพย์ ทำให้ธุรกิจในอนาคตเริ่มง่ายเพราะทุนเริ่มต่ำ แต่เกิดและโตยาก เพราะคู่แข่งเขาก็เริ่มง่ายเหมือนกัน เป็น Low-Barrier to Entry Business 2. ธุรกิจที่พนักงานเยอะๆ - อนาคตธุรกิจจะจ้างคนลดลง แต่ Outsource งานไปให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านทำ เหลือเพียงจุดแข็งที่สุดของธุรกิจ เป็น Business LEGO Model 'ทุกธุรกิจเหมือนตัวต่อ LEGO ที่เชื่อมต่อกัน เปลี่ยนแปลง และปรับเปลี่ยนอย่างยืดหยุ่น รวดเร็ว' 3. ธุรกิจที่มี Fix Cost เยอะๆ จะเปลี่ยนเป็น Variable Cost ต้นทุนผันแปลตามงานที่เข้ามาแทน 4. ธุรกิจที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่จะพังลง - ธุรกิจในอนาคตจะทำงานแบบเครือข่าย ทำงานเป็นทีมขนาดเล็ก แถมเป็น Performance Base 'จ่ายตามผลงานจริงๆ' 5. Cloud Base - ธุรกิจในอนาคตจะใช้ระบบ Cloud เพื่อลดต้นทุนการทำธุรกิจ ดังนั้น online จะมาแทนหน้าร้านในฐานะ จุดติดต่อหลัก ส่วนร้านจริงๆ จะเป็นแค่ส่วนเสริม หรือเป็นแค่ Luxury 'หน้าร้านในอนาคต จะเป็นแค่สิ่งฟุ่มเฟือย เพื่อส่งเสริมการตลาดที่ใช้เพียงธุรกิจบางประเภทเท่านั้น เช่น Luxury Brand'