ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


“ปัสสาวะเหลือง” สีปัสสาวะบ่งบอกปัญหาสุขภาพ

การวินิจฉันของแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของโรคต่าง ๆ นอกจากการตรวจเลือดแล้ว การตรวจปัสสาวะก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ โดยเฉพาะสีปัสสาวะที่สามารถบ่งบอกความผิดปกติหรือเป็นสัญญาณเตือนเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพได้ เพื่อให้ทุกคนรู้ทันอาการของโรคจากสีปัสสาวะ เรามีความรู้ดี ๆ มาแนะนำเช่นเคยครับ

สีปัสสาวะบ่งบอกปัญหาสุขภาพได้
ปัสสาวะเป็นของเสียที่ร่างกายจำเป็นต้องขับออกมาทุก ๆ วัน ในรูปของน้ำหรือของเหลวโดยไตเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองของเสียจากเลือดและทำการขับออกมาทางท่อปัสสาวะ สีปัสสาวะที่แตกต่างกันเกิดจากยูโรบิ ซึ่งได้มาจากสารฮีม ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง เมื่อเม็ดเลือดแดงตายตามอายุขัย สารฮีมจะสลายตัวให้เป็นสารยูโรบิลิน ซึ่งร่างกายจะกำจัดออกทางปัสสาวะและทางน้ำดีของตับ ปัญหาสุขภาพที่สามารถบ่งชี้ได้ด้วยลักษณะของสีปัสสาวะ คือ โรคไต โรคเบาหวาน โรคตับ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ

ปัสสาวะปกติ เป็นสีอะไร ?
โดยทั่วไป สีปัสสาวะ ของคนปกติจะเป็นสีเหลืองใส แต่สีอาจปรับเปลี่ยนหรือแตกต่างกันได้ หากดื่มน้ำระหว่างวันมากหรือดื่มน้ำแล้วปัสสาวะทันที สีของปัสสาวะอาจมีลักษณะขาวใส ถือเป็นปกติ หรือบางคนอาจปัสสาวะออกมาเป็นสีเหลืองสดหรือสีนีออน อาจเกิดจากการทานวิตามินบีรวม ทานยาบางชนิด หรือการทานอาหารต่าง ๆ ก็อาจทำให้สีและกลิ่นของปัสสาวะเปลี่ยนได้ชั่วขณะเช่นกัน

สีและลักษณะของปัสสาวะที่เป็นสัญญาณบอกโรค
นอกจากสีและลักษณะของปัสสาวะจะเป็นตัวบ่งชี้ปัญหาสุขภาพหรือเป็นสัญญาณเตือนอาการของโรคต่าง ๆ ได้ แต่สีปัสสาวะอาจแตกต่างกันไปจากปัจจัยต่าง ๆ ทำให้การวินิจฉัยโรคด้วยตนเองอาจไม่ชัดเจน จึงควรสังเกตสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ร่วมด้วย ได้แก่

ปริมาณของปัสสาวะ กรณีปัสสาวะมีปริมาณมากหรือน้อยจากปกติ หากไม่มีปัจจัยอื่น ๆ เช่นดื่มน้ำมากหรือน้อย ก็ถือว่าอยู่ในภาวะผิดปกติ
สังเกตจากกลิ่นของปัสสาวะ หากมีกลิ่นเหมือนนมแมว เป็นกลิ่นที่ส่วนใหญ่พบว่าร่างกายอาจมีโรคเบาหวาน หรือกลิ่นเหม็นเน่า ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
ให้สังเกตสีปัสสาวะและลักษณะของความใส ขุ่น โดยปกติทั่วไปสีปัสสาวะจะใสหรือเหลืองอ่อนไม่ควรมีสีเข้มหรือเปลี่ยนสีจากปกติ
จำนวนที่ปัสสาวะในแต่ละวัน หากเป็นช่วงกลางวัน การปัสสาวะที่ปกติจะประมาณ 4–6 ครั้ง ส่วนช่วงเย็นถึงเข้านอน ไม่ควรเกิน 2 ครั้งและระหว่างกลางคืนขณะนอนหลับไม่เกิน 2 ครั้ง

Illustration of urine color chart illustration

สีปัสสาวะ บ่งบอกโรคอะไรบ้าง ?
สีของปัสสาวะไม่ได้มีเพียงสีเหลืองใสเท่านั้น ยังสามารถมีได้หลายสี ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ที่ร่างกายได้รับในช่วงนั่น ๆ เช่น ยาที่รับประทาน อาหาร รวมทั้งการเจ็บป่วย การมีโรคประจำตัว ซึ่งสีของปัสสาวะที่ผิดปกติ ยังสามารถบอกได้ว่าร่างกายอาจมีโรคใดแฝงอยู่  เช่น 

สีเหลืองอ่อน เป็นลักษณะของปัสสาวะในคนปกติทั่วไป 
สีเหลืองเข้ม เป็นลักษณะที่ปกติทั่วไป แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าควรดื่มน้ำให้มากขึ้น
สีเหลืองส้ม อาจเป็นเพราะว่ามีวิตามินหรืออาหารเสริมบางชนิดอยู่ในร่างกาย จนเกินความต้องการของร่างกาย หรือเกิดจากการทานยาวัณโรค ยาลดการระคายเคืองทางเดินปัสสาวะ
สีเหลืองเข้มคล้ำ อาจเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ โรคดีซ่าน มะเร็งตับที่เกิดจากท่อน้ำดีในตับ 
สีขาวใส นั่นหมายถึงในร่างกายกำลังมีปริมาณน้ำมาก แต่กลับมีปริมาณเกลือแร่น้อย ซึ่งอาจมาจากการดื่มน้ำ การยาบางชนิดเช่นยาขับปัสสาวะ หรือกำลังมีโรคไตแฝงอยู่ หากเป็นกรณีนี้ปัสสาวะก็จะใสตลอดทุกครั้งไม่เกิดเป็นครั้งคราวเหมือนกรณีอื่น ๆ
สีขาวขุ่น เป็นเพราะร่างกายเกิดผลึกของสารฟอสเฟต หรือมีโปรตีนอยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาการนี้มักเกิดจากโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคกรวยไตอักเสบ
สีแดง เกิดจากการทานอาหารบางชนิด รวมทั้งอาจมีเลือดปนมากับปัสสาวะซึ่งอาจเป็นอาการของโรคนิ่วในไต ไตอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ มะเร็งกระเพาะ  
สีน้ำตาลเข้ม อาจเกิดจากการทานอาหารบางชนิดเช่นถั่วปากอ้าในปริมาณมาก การทานยาบางชนิด เช่นยาระบาย ยาคลายกล้ามเนื้อ ยารักษาโรคพาร์กินสัน ยาปฏิชีวนะอื่น ๆ
สีดำ เป็นโรคทางพันธุกรรมเช่น โรคแอลแคปโตนูเรีย พบได้ไม่บ่อยนัก
การดูแลตนเองเพื่อให้สีปัสสาวะเป็นปกติ
สำหรับการดูแลตนเองเพื่อให้สีปัสสาวะเป็นปกติ ควรหมั่นสังเกตสีของปัสสาวะบ่อย ๆ จะทำให้ระมัดระวังและดูแลตนเอง เพื่อช่วยให้ปัสสาวะมีสีเหลืองใสเป็นปกติ  โดยการปฏิบัติตัว ดังนี้

ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6–8 แก้ว โดยแบ่งตามช่วงวัน ดังนี้
–  ผู้ที่มีอายุ 4–8 ปี ควรดื่มวันละ 5 แก้ว

–  อายุ 9–13 ปี ควรดื่มวันละ 8 แก้ว 

–  อายุ 14–18 ปี ควรดื่มวันละ 8–11 แก้ว

– อายุ 19 ปีขึ้นไป ควรดื่มวันละ 9 แก้ว

– สำหรับผู้ชายที่อายุมากกว่า 19 ปี ควรดื่มวันละ 13 แก้ว

ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ซึ่งขั้นตอนของแพทย์ จะทำการตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะ เพื่อดูว่าร่างกายมีอาการของโรคแฝงอยู่หรือไม่
หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำตามความเหมาะสมของวัย และควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3–4 ครั้งแต่ละครั้งควรต่อเนื่อง 40 นาที
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่นรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารที่มีเส้นใยสูง เพื่อให้การขับถ่ายและปัสสาวะเป็นปกติ 
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ รวมทั้งไม่ควรอั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน 
รักษาสุขอนามัยส่วนตัวให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ เช่น ชำระล้างด้วยน้ำสะอาดเมื่อต้องขับถ่ายทั้งปัสสาวะและอุจจาระ
การที่สีปัสสาวะผิดปกติ ไม่เหลืองใสบางครั้งก็ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่าร่างกายมีปัญหาสุขภาพเสมอไป หรือพบว่าสีของปัสสาวะเปลี่ยนไป หากเปลี่ยนไปชั่วคราวแล้วกลับมาเป็นสีเหลืองปกติ อาจหมายถึงร่างกายได้รับสารบางอย่างมากเกินไป แต่ถ้าสีของปัสสาวะเปลี่ยนไปบ่อย ๆ ร่วมกับมีความผิดปกติอื่น ๆ เกิดขึ้นกับร่างกาย ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และทำการรักษาได้อย่างถูกต้องตามภาวะของโรค

ขอบคุณบทความจาก https://aufarm.shop/urine-color/