ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Nattapoom Knows

หน้า: [1]
1
การใช้งานเครื่องวัดอุณหภูมิในวงการอาหารถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้หน้าตา สีสัน และรสชาติความอร่อยของเมนูนั้น ๆ ออกมาสมบูรณ์แบบตามสิ่งที่เชฟต้องการ สังเกตว่าร้านอาหารที่มีสูตรชัดเจน รวมถึงตามโรงแรมหลายแห่งนี่คืออุปกรณ์ที่อยู่คู่ครัวไม่แพ้มีด เขียง กระทะ หม้อ และเครื่องครัวอื่น ๆ เลยด้วยซ้ำ ใครที่รักการทำอาหาร หรืออยากกำหนดสูตรให้ชัดเจน อุณหภูมิการใช้ไฟอย่างเหมาะสมอย่ามองข้ามเรื่องนี้เป็นอันขาด

อาหารที่ต้องใช้เครื่องวัดอุณหภูมิเป็นส่วนหนึ่งของการทำ

มีอาหารหลายชนิดที่ต้องอาศัยเครื่องวัดอุณหภูมิเป็นอุปกรณ์สำหรับการวัดอุณหภูมิของวัตถุดิบ น้ำ หรือระดับความสุกให้เหมาะสม เพิ่มเติมรสชาติความอร่อยของเมนูให้กลมกล่อมและตรงตามสูตรอย่างที่คาดหวัง ซึ่งตัวอย่างเมนูอาหารที่ใช้อุปกรณ์ดังกล่าว เช่น

  • เนื้อย่าง สเต๊ก วัดระดับความสุกของเนื้อตามออเดอร์ที่ลูกค้าต้องการ เช่น Rare, Medium Rare, Medium
  • ขนมปัง เบเกอรี่ คุกกี้ เค้ก การทำช็อกโกแลตต่าง ๆ รวมถึงบรรดาขนมและอาหารที่ต้องใช้ไฟในเตาอบ การวัดอุณหภูมิให้เหมาะสมจะช่วยให้อาหารดังกล่าวออกมาหน้าตาสวยงาม ระดับความสุกพอดี อย่าลืมว่าบ่อยครั้งแม้อุณหภูมิจากเตาคุณอาจเปิดไว้ 180 องศาเซลเซียส แต่เมื่อวอร์มเตาไปสักพักอุณหภูมิมีโอกาสสูงขึ้นได้ หากไม่มีการนำเครื่องวัดอุณหภูมิมาวัดอย่างถูกต้องโอกาสที่อาหารเหล่านั้นจะหน้าตาไม่สวยงาม รสชาติผิดเพี้ยนมีสูงมาก
  • อาหารทะเล ต้องเก็บในระดับความเย็นที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดการเน่าเสีย และเมื่อปรุงอาหารหากสุกเกินไปอาจทำให้เนื้อสัมผัสไม่ดี
  • การหมักเบียร์ไวน์ เพื่อให้อุณหภูมิในถังหมักเหมาะสม สัมผัสกับรสชาติความกลมกล่อมตามที่กำหนดไว้
  • การทำเมนูซุป ตุ๋น หรือการชงเครื่องดื่มต่าง ๆ ที่ต้องมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก การวัดอุณหภูมิน้ำให้เหมาะสมจะช่วยเพิ่มเติมความอร่อยของรสชาติอาหารได้ดีขึ้น



มือใหม่ในการทำอาหารควรใช้เครื่องวัดอุณหภูมิ

ใครที่สนใจเข้าวงการทำอาหารแบบจริงจัง นอกจากการฝึกใช้อุปกรณ์เครื่องครัว การคัดสรรวัตถุดิบ หรือเทคนิคต่าง ๆ ในการทำอาหารแล้ว “เครื่องวัดอุณหภูมิ” คืออีกอุปกรณ์สำคัญของเหล่าบรรดาพ่อครัวแม่ครัวมือใหม่ที่อยากรังสรรค์เมนูความอร่อยให้ออกมาดีที่สุด มีประโยชน์อย่างมากทั้งวัดอุณหภูมิความสุกของอาหาร อุณหภูมิความร้อนจากเตา หรืออุณหภูมิเพื่อการจัดเก็บวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยให้คุณได้สูตรของเมนูนั้น ๆ ที่ชัดเจน ปรับความร้อน ความเย็นคงที่ ได้อาหารที่รสชาติสม่ำเสมอในทุกครั้งที่ทำ

เครื่องวัดอุณหภูมิไม่ใช่แค่การใช้งานด้านการแพทย์หรืออุตสาหกรรมทั่วไปเท่านั้น แต่ในวงการอาหารก็จำเป็นและเชฟทุกคนมักให้ความสำคัญไม่แพ้อุปกรณ์อื่น ๆ เลยทีเดียว ยิ่งถ้าคุณเป็นมือใหม่ด้วยแล้วอย่ามองข้ามและเลือกซื้อเครื่องที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานเอาไว้ใช้งานจะดีที่สุด

2
การทำป้ายโฆษณา ประชาสัมพันธ์ในรูปแบบของธงชายหาด (Beach Flag) หรือบางคนจะเรียก ธงปีกนก ธงญี่ปุ่น (J Flag) ก็ขึ้นอยู่กับความคุ้นชิน ถือเป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามด้วยการแข่งขันในยุคนี้จัดว่าสูง การดีไซน์หรือทำแบบทั่วไปจึงอาจไม่สะดุดตาและไม่โดดเด่นมากพอ จึงขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับธงโฆษณาประเภทนี้พร้อมไอเดียในการนำไปใช้งานให้เวิร์ค

รู้จักกับธงชายหาด ธงปีกนก หรือ ธงญี่ปุ่น

ธงชายหาด หรือ Beach Flag (ซึ่งใครจะเรียกว่า ธงญี่ปุ่น ธงปีกนก ก็ไม่ผิด) เป็นรูปแบบของป้ายโฆษณาประเภทหนึ่งที่จะดีไซน์ด้วยการใช้ผ้าร่ม ไวนิล หรือวัสดุอื่น ๆ ตามความเหมาะสมมาพิมพ์เป็นลวดลาย โลโก้ สีสันให้สวยงาม จากนั้นจึงมีการยึดติดกับเสาอะลูมิเนียมหรือเสาคาร์บอนคอมโพสิตด้านเดียว สามารถกำหนดขนาดได้ตามต้องการทั้งตัวป้ายธงและตัวเสา รูปร่างที่ออกมาจึงคล้ายกับป้ายในแนวตั้ง อาจมีทั้งเป็นป้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าทั้ง 4 ด้าน หรือมีการทำมุมโค้งเพื่อสร้างความแปลกตาก็ไม่มีปัญหา โครงฐานส่วนมากทำจากเหล็กเพื่อให้ถ่วงน้ำหนักกับพื้นได้ หรือบางกรณีหากไม่ได้มีการตั้งพื้นอาจใช้วิธีออกแบบฐานที่สามารถสะพายบนไหล่ก็ตามสะดวก



ประโยชน์ในการเลือกใช้งานธงชายหาด หรือ ธงญี่ปุ่น

จากที่ได้ทำความรู้จักกับธงชายหาด หรือ ธงปีกนก กันไปแล้ว คงทำให้หลายคนเริ่มรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากันมากขึ้น ส่วนในเชิงธุรกิจสำหรับใครที่ยังสงสัยว่าอุปกรณ์โฆษณาประเภทนี้มีประโยชน์ในเรื่องใดบ้าง จะขอลิสต์ออกมาทีละข้อให้ชัดเจนเลย

1. มีความโดดเด่น สะดุดตา สังเกตง่าย

สิ่งแรกต้องยอมรับว่าการใช้งานธงชายหาดเมื่อนำไปตั้งวางแล้วจึงเกิดความพลิ้วไหว สังเกตเห็นชัดเจน ยิ่งเมื่อบวกกับการดีไซน์สีสันฉูดฉาด มีการทำโลโก้ขนาดใหญ่ จัดเป็นวิธีโฆษณาที่คาดว่ามีโอกาสได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายมากทีเดียว

2. การเคลื่อนย้ายสะดวกมาก

ในกรณีที่เลือกทำแบบตั้งวางตัวธงกับเสาจะแยกชิ้นได้ ขณะที่ฐานยังไงก็ต้องแยกออกจาก 2 อุปกรณ์นั้นอยู่แล้ว จึงสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย ตั้งวางตามงานอีเว้นท์ในแต่ละวันได้รวดเร็วแม้คนละสถานที่ก็หายห่วง หรือในกรณีเลือกใช้งานธงแบบที่สามารถสะพายหลังได้ก็ยิ่งช่วยให้เคลื่อนย้ายสะดวกมากกว่าเดิม สามารถเดินไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อโฆษณาให้กลุ่มเป้าหมายเห็นชัดเจน และสามารถโฆษณาได้หลายพื้นที่

3. ประหยัดต้นทุน คุ้มค่ากับการจ่ายเงิน

เมื่อเทียบกับการทำโฆษณาประเภทออฟไลน์ด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การสั่งทำบิลบอร์ด การแจกโบชัวร์ โดยรวมต้องยอมรับว่าธงชายหาดมีต้นทุนถูกกว่า จ่ายเงินเพียงแค่หลักร้อยก็สามารถโฆษณาได้ทันที แถมไม่มีระยะเวลาในการทำสัญญาโฆษณาเหมือนกับบิลบอร์ดอีกด้วย

4. ใช้งานได้ยาวนานโดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่บ่อย

อุปกรณ์แต่ละชิ้นที่ถูกนำมาใช้ทำเป็นธงโฆษณาประเภทนี้ไม่ว่าจะเป็นผ้าร่ม อะลูมิเนียมล้วนมีคุณสมบัติทนทานต่อแดดและฝนอย่างดี ขณะที่ฐานเหล็กก็มีการเคลือบกับสนิม ดังนั้นเมื่อสั่งทำ 1 ชิ้น ก็สามารถใช้งานกันได้ยาวนาน ไม่ต้องเสียเงินซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่บ่อย ๆ ซึ่งตรงนี้ยังถือเป็นวิธีเซฟต้นทุนในระยะยาวได้อีกทางหนึ่งด้วย

เทคนิคการนำธงชายหาดหรือ ธงญี่ปุ่น ไปใช้งานให้เวิร์ค

ด้วยการติดตั้งอันแสนง่ายดายใช้เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดยังใช้พื้นที่จำกัดสุด ๆ ขนาดความกว้างแค่ระดับ 30 x 30 เซนติเมตร ก็สามารถทำได้เช่นกัน ไอเดียที่อยากแนะนำคือแม้คุณมีหน้าร้านเล็ก ๆ เป็นร้านตึกแถวก็ใช้ใช้ธงชายหาดตั้งไว้ได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก โอกาสที่คนเดินผ่านไปมาเห็นยังไงก็มีแน่ หรือในงานอีเว้นท์อาจออกแบบให้มีตัวอักษร รูปภาพ สะดุดตา มีการทำทรงโค้งจนคนต้องหยุดยืนอ่านก็เลิศไม่แพ้กัน

จากที่กล่าวมาทั้งหมดต้องยอมรับว่าการเลือกใช้ธงชายหาด หรือจะเรียกธงญี่ปุ่นก็ความหมายเดียวกัน เป็นอีกวิธีโฆษณา ประชาสัมพันธ์ที่คุ้มค่ากับการนำมาใช้เป็นอย่างยิ่งไม่ว่าจะเรื่องต้นทุนระยะสั้น ระยะยาว ความประหยัดในการใช้พื้นที่ เหนือสิ่งอื่นใดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ลูกค้ามองเห็นชัดเจนโดย เคลื่อนย้ายสะดวก ใช้งานอีเว้นท์เดียวกันแต่คนละจุดก็ไม่มีปัญหา ธุรกิจไหนกำลังมองหาทางเลือกชั้นยอดในการโฆษณาแบบออฟไลน์อยู่จัดไปเลย

3
ศูนย์บริการรถยนต์ ถือเป็นอีกประเภทธุรกิจที่ยังคงมาแรงและได้รับความนิยมอยู่ตลอด ด้วยคนไทยกับการมีรถเป็นเรื่องง่าย คนออกรถใหม่กันตลอดทั้งปี ดังนั้นหากใครต้องการทำธุรกิจดังกล่าวให้สำเร็จก็มีข้อควรคำนึงถึงอยู่หลายประเด็น รวมทั้งตอบข้อสงสัยว่าควรเลือกซื้อแฟรนไชส์ดีหรือไม่



ทำธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์ให้สำเร็จต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง


1. บริการคือปัจจัยสำคัญที่สุด

อย่างที่รู้กันว่าธุรกิจด้านนี้มีผู้คนเปิดกันเยอะ คู่แข่งสูงมาก แต่สิ่งที่ลูกค้าคาดหวังมากสุดย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของบริการ ดังนั้นพนักงานทุกคนควรผ่านการอบรมและทำความเข้าใจในงานประเภทนี้อย่างถูกต้อง เมื่อลูกค้าประทับใจโอกาสกลับมาใช้บริการซ้ำหรือบอกต่อก็ไม่ใช่เรื่องยาก
2. ความครบวงจร มาจุดเดียวเบ็ดเสร็จ

เรื่องต่อมาหนีไม่พ้นความครบวงจรในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการใด ๆ ก็ตาม เช่น มีการซ่อมแซมทุกประเภท, บริการล้างรถ, มีรถยนต์รุ่นดัง ๆ ในแต่ละช่วงให้ได้เลือกสรร ความครบครันแบบนี้ถือเป็นอีกจุดที่จะช่วยดึงดูดให้ลูกค้าเข้าหาอยู่ตลอด
3. รวดเร็ว เน้นความพึงพอใจของลูกค้า

อย่าลืมว่าลูกค้าหลาย ๆ คนที่เข้ามาใช้บริการคาดหวังเรื่องความรวดเร็ว ทั้งเรื่องดำเนินการขาย ทำสัญญา ไปจนถึงการซ่อมแซม ยิ่งทำออกมารวดเร็วและคุณภาพดี มั่นใจได้เต็มร้อยว่าศูนย์บริการรถยนต์ของคุณจะได้รับความไว้วางใจมากขึ้นกว่าเดิม
4. ค่าบริการมีมาตรฐาน คุ้มค่ากับการจ่ายเงิน

เรื่องค่าใช้จ่ายก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่อยากให้มองข้าม ลูกค้าทุกคนไม่ได้ต้องการของถูก แต่อยากได้ความคุ้มค่า ดังนั้นจึงต้องพิจารณาในเรื่องนี้ด้วย อย่าให้ลูกค้ารู้สึกแพงเกิน หรือไม่คุ้มที่จะจ่ายเงิน เพราะอาจหมายถึงไม่มีครั้งถัดไปก็ได้
5. บริหารจัดการอย่างมีระบบ

ท้ายที่สุดต้องรู้จักการทำธุรกิจและบริหารจัดการอย่างมีระบบที่สุด ตั้งแต่การดูแลพนักงานให้รักองค์กร บริการลูกค้าด้วย Service Mind มีการอบรมพนักงานเพื่อเพิ่มความรู้ในทุกด้าน ไปจนถึงดูแลต้นทุน ทำการตลาด วางโปรโมชั่นในแต่ละช่วงเวลา แบบนี้จะช่วยให้ศูนย์บริการรถยนต์ของคุณสำเร็จได้ง่ายขึ้น

เลือกซื้อแฟรนไชส์ศูนย์บริการรถยนต์หรือเปิดด้วยตนเอง?


เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนอยากขอเปรียบเทียบความแตกต่างในการทำธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์ระหว่างการซื้อแฟรนไชส์กับการทำด้วยตนเอง
เลือกซื้อแฟรนไชส์ จะมีวิธีบริหารจัดการมาให้เบ็ดเสร็จ เจ้าของแฟรนไชส์เข้ามาช่วยดูแล ลดความเสี่ยงต่อการขาดทุน รวมถึงลูกค้ามั่นใจในชื่อเสียง แต่ก็อาจมีข้อเสียตรงที่ไม่สามารถวางแผนหรือสร้างแนวทางที่ตนเองต้องการได้ชัดเจนนัก

ขณะที่การเปิดด้วยตนเอง สามารถทำได้ทุกสิ่งตามที่คุณต้องการ อยากออกโปรแบบไหนไม่ต้องห่วง แต่ก็มีข้อด้อยคือต้องปั้นแบรนด์ใหม่ สร้างการรับรู้ให้กับลูกค้า เพื่อให้เกิดการรับรู้และตัดสินใจเข้ามาใช้บริการ

อย่างไรก็ตาม ในการเริ่มธุรกิจส่วนตัวก็ต้องลองพิจารณาในหลาย ๆ มุม และลองดูข้อดีข้อเสียของแต่ละตัวเลือก อีกทั้งต้องลองประเมินจุดแข็งและจุดก่อน รวมถึงความพร้อมในทรัพยากรณ์ที่ตนเองมี ไปจนถึงเป้าหมายในการทำธุรกิจด้วยเช่นกัน


4
ปัจจุบันมีบรรดานักธุรกิจจำนวนมากที่สนใจเปิดธุรกิจแฟรนไชส์หลังจากมองแล้วว่าสินค้า / บริการของตนเองประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง พร้อมสำหรับการต่อยอดกระจายสาขาเพื่อให้เกิดการเติบโต และนำมาซึ่งผลลัพธ์ทางธุรกิจที่คาดหวังเอาไว้ อย่างไรก็ตามหนึ่งในสิ่งที่ควรทำความเข้าใจในเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่การจดทะเบียนการค้าเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องการจดสิทธิบัตรหากสินค้าของคุณเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดด้วย



สิทธิบัตรคืออะไร แบ่งได้กี่ประเภท

สิทธิบัตร คือ เอกสารที่ผ่านการรับรองตามกฎหมายระบุถึงการคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้กับเจ้าของผู้นั้นซึ่งจะเป็นผู้ถือครองสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการผลิต ขาย ให้เช่า หรือแจกจ่ายให้กับใครก็ตาม ป้องกันการโดนกีดกัน ลอกเลียนแบบใด ๆ อันทำให้สิ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นมาไม่เกิดประโยชน์ตามที่คาดหวัง

เมื่อถามว่าสิ่งใดที่สามารถจดทะเบียนสิทธิบัตรได้บ้างก็มีตั้งแต่สิ่งประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ ชิ้นงานด้านการออกแบบตกแต่งซึ่งรวมถึงลวดลาย รูปร่าง และสีสัน ซึ่งในกระบวนการจดต้องเปิดเผยข้อมูลและสาระสำคัญต่อสำนักงานสิทธิบัตรเพื่อให้เกิดการคุ้มครองด้วย โดยการจดสิทธิบัตรในเมืองไทยจะแบ่งออกได้ 3 ประเภทหลัก ได้แก่
  • การจดสิทธิบัตรการผลิต ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ การพัฒนาให้ดีขึ้น หรือมีคุณค่าต่ออุตสาหกรรม
  • อนุสิทธิบัตร ได้ทั้งสิ่งประดิษฐ์ใหม่และใช้งานทางด้านอุตสาหกรรม
  • สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ มีทั้งสิ่งประดิษฐ์ใหม่และใช้งานทางด้านอุตสาหกรรม หัตถกรรม

การจดสิทธิบัตรสำคัญต่อธุรกิจแฟรนไชส์อย่างไร

ต้องสร้างความเข้าใจก่อนว่าปกติเมื่อคุณคิดอยากทำสินค้า / บริการใด ๆ ขึ้นมาก็ตาม ย่อมต้องการสร้างสิ่งที่แตกต่างไปจากท้องตลาดเพื่อให้ผู้คนเกิดความสนใจ เมื่อมีผู้ใช้งานแล้วชอบย่อมเกิดการบอกต่อ หรือการซื้อซ้ำส่งผลถึงความสำเร็จในส่วนหนึ่ง

พอเริ่มมีชื่อเสียงจึงไม่แปลกที่ย่อมมีคนให้ความสนใจบางรายก็มองถึงการเลียนแบบ ดังนั้นก่อนที่คุณจะวางแผนไปจนถึงการสร้างแฟรนไชส์ของตนเอง การจดสิทธิบัตรนวัตกรรมที่ตนเองตั้งใจผลิต คิดค้นขึ้นจึงเป็นวิธีชั้นยอดที่จะทำให้ธุรกิจเกิดความสำเร็จระยะยาว ไม่มีใครสามารถเลียนแบบ ทำซ้ำ หรือนำไปดัดแปลงอื่นใดได้ เพราะจะถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายทันที

มากไปกว่านั้นในกรณีที่มีตัวแทนเข้ามาซื้อแฟรนไชส์ของคุณที่มีการจดสิทธิบัตรเอาไว้เรียบร้อย ย่อมสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาว่าจะสามารถต่อยอดสร้างธุรกิจเล็ก ๆ ของตนเองให้มีรายได้จุนเจือครอบครัวโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีคู่แข่งรายอื่น ๆ เกิดขึ้นในรูปแบบของการขายสินค้าประเภทเดียวกัน

นี่จึงเป็นเหตุผลทั้งหมดที่บอกได้อย่างชัดเจนเมื่อคุณพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมแล้วมีผลตอบรับดีเยี่ยม ก่อนขยายธุรกิจแฟรนไชส์อย่าลืมจดสิทธิบัตรให้เรียบร้อยก่อนด้วย

ทั้งนี้ นอกจากการจดสิทธิบัตรในประเทศไทย ผู้ประกอบการควรต้องศึกษาในต่างประเทศษด้วย เช่นการจดเครื่องหมายการค้าจีนที่มีความสำคัญในการทำธุรกิจยุคนี้เช่นกัน


5
ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการจัดฟันกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เพื่อให้ตัวฟันเรียงสวยงาม ปรับรูปหน้า ปรับบุคลิกภาพ พร้อมทำให้คุณดูดีขึ้นได้ แต่กระนั้นก็ใช่ว่าตัดสินใจแล้วทำได้เลย เพราะโดยทั่วไปมักมีให้เลือกหลายประเภท ก่อนทำจึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และเพื่อให้เข้าใจพร้อมเลือกแบบที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด มีแบบไหนบ้างตามมาเลย

การจัดฟันมีกี่ประเภท แล้วแบบไหนเหมาะกับใคร?

1. จัดแบบโลหะธรรมดา




เป็นการจัดแบบใส่ยางสี หรือที่เรียกว่าจัดฟันแบบโลหะ โดยติดอุปกรณ์แน่นด้านบน ที่มักเห็นกันเป็นสีสันนั่นเอง โดยราคาประเภทนี้ไม่สูงมาก ต้องไปหาทันตแพทย์ประจำตามนัดเพื่อปรับเครื่องมือ โดยระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับแต่ละตัวบุคคล เหมาะกับคนที่มีงบน้อย และสะดวกเดินทางไปพบทันตแพทย์

2. จัดฟันใส

เป็นรูปแบบที่ไม่ได้ติดอุปกรณ์ใดอยู่เลย โดยแบ่งออกเป็นอีก 2 แบบหลัก ๆ คือ
  • จัดแบบใสแบบถอดเครื่องมือออกได้ชนิด Clear Aligner โดยจะเป็นการใส่เครื่องมือที่มีชนิดใสไว้บริเวณฟัน ด้วยความใสมากจึงทำให้คนมองหาแทบไม่เห็นว่ากำลังจัดฟันอยู่ หากรับประทานอาหารก็ถอดออกก่อนได้ แต่ต้องพบทันตแพทย์ประจำตามนัดเพื่อตรวจสอบการเคลื่อนที่ของฟัน พร้อมปรับเครื่องมือ เหมาะกับคนที่ฟันไม่ค่อยเรียงตัวเพียงเล็กน้อย และคนที่เคยจัดฟันมาก่อน แต่ไม่ค่อยใส่รีเทนเนอร์
  • จัดฟันใสแบบถอดเครื่องมือออกได้ชนิด Invisalign ถือเป็นเครื่องมือที่ดารานิยมมาก ๆ เพราะคุณแค่ไปพบทันตแพทย์ช่วงวางแผนการรักษาเฉย ๆ สามารถถอดออกมาแล้วทานข้าวได้ ไม่ต้องพบทันตแพทย์เหมือนแบบแรก ลดปัญหาฟันผุ เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลามาพบทันตแพทย์ และไม่ต้องการให้มีเครื่องมือจัดฟันติดที่ผิวฟัน อย่างไรก็ตามราคาก็สูงมากที่สุดกว่าทุกแบบเลยทีเดียว

3. จัดฟันแบบดามอน

เผื่อว่าใครที่ทนความปวดของการจัดฟันแบบโลหะไม่ไหว ก็สามารถเลือกแบบนี้ได้ เพราะมีเทคโนโลยีพิเศษ ตัวเครื่องมือจะเป็นบานพับติดลวดชนิดพิเศษไว้ ทำให้ฟันค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้ารูป ไม่ระคายเคืองช่องปาก และสามารถทำความสะอาดฟันได้ง่ายกว่าเพราะไม่มียางมารัด เหมาะกับคนที่ต้องการลดความเจ็บปวดเวลาทันตแพทย์ปรับเครื่องมือ รวมถึงความสบายของช่องปาก มองเข้ามาแล้วเห็นเครื่องมือติดผิวฟันน้อยกว่าแบบโลหะ

ทั้งหมดนี้ก็เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทของการจัดฟัน คงจะช่วยสร้างความเข้าใจให้คนจำนวนไม่น้อยที่แอบสงสัยกันอยู่ได้ อีกเรื่องที่ต้องเตือนไว้คือ ควรเลือกสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ มีคุณภาพ อย่าไปทำตามร้านเถื่อน หรือจัดแบบแฟชั่นเด็ดขาด เพราะนอกจากจะดูปลอมมากแล้ว ก็ยังส่งผลต่อฟันทำให้ฟันเรียงตัวผิดเพี้ยนและปัญหาสุขภาพช่องปากตามมาอีกเยอะมาก

6


กลุ่มธุรกิจโรงงานถือเป็นอีกวงการที่ได้รับการจับตามองอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันมีบรรดา SME ที่เปิดโรงงานเป็นของตนเองเยอะพอสมควร แม้ทุนยังน้อยก็เลือกใช้วิธีมองหาโรงงานให้เช่าไปก่อน พอธุรกิจเติบโตจะขยับขยายภายหลังก็ค่อยว่ากัน ดังนั้นในปี 2021 ที่กำลังจะถึงนี้ใครกำลังเริ่มต้นอยากวางแผนทำธุรกิจโรงงานเป็นของตนเอง ก็มี 6 ธุรกิจดาวเด่นน่าจับตามองมาฝากไว้เป็นทางเลือก

1. ธุรกิจโรงงานผลิตน้ำดื่ม

หากสังเกตดี ๆ จะพบว่ายุคนี้น้ำดื่มมีหลากหลายแบรนด์โดยไม่จำเป็นต้องโฆษณาหรือวางขายในร้านสะดวกซื้อด้วยซ้ำ นั่นเพราะพนักงานขายสามารถวิ่งเข้าไปหาตามร้านอาหาร หรือร้านชำตามหมู่บ้านได้เลย ซึ่งธุรกิจนี้ยังรวมถึงการออกแบบขวดและการออกแบบโลโก้ชนิดครบวงจรอีกด้วย

2. ธุรกิจโรงงานแปรรูปอาหาร

อาหารยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต และความโชคดีของคนไทยคือมีแหล่งอาหารอยู่เยอะพอสมควร การทำธุรกิจโรงงานกลุ่มนี้จึงถือว่าน่าสนใจและยังคงมีผลตอบรับที่ดีเยี่ยมเสมอมา ทั้งทำในแบรนด์ตัวเองหรือมีลูกค้าจ้างผลิตก็ได้ ซึ่งการแปรรูปอาหารมีเยอะมากสามารถเลือกที่ถนัดได้เลย

3. ธุรกิจโรงงานเครื่องประดับ

แม้อาจถูกมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แต่จริง ๆ แล้วธุรกิจนี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยคนเราต่างก็ชอบความสวยความงามด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุแพง ๆ ในการผลิตเสมอไป เน้นตลาดกลาง ๆ ก็ขายได้เช่นกัน

4. ธุรกิจโรงงานผลิตเครื่องสำอาง อาหารเสริม

หรือถ้าเอาแบบครบสูตรก็คือโรงงาน OEM ซึ่งเป็นผู้รับผลิตเครื่องสำอางและอาหารเสริมแบรนด์ต่าง ๆ ให้กับลูกค้าพร้อมบริการครบวงจรตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์, ออกแบบโลโก้, วางแผนทางการตลาด, ขออนุญาตหน่วยงาน ฯลฯ แม้ต้องใช้เงินลงทุนสูงสักนิดแต่คุ้มมาก เพราะปัจจุบันมีคนต้องการสร้างแบรนด์ตนเองเยอะขึ้นเรื่อย ๆ โดยธุรกิจนี้อาจจะต้องมีโกดัง หากต้องการผลิตใน Scale ที่ใหญ่ แต่หากไม่อยากลงทุนสร้าง Warehouse ขึ้นมาเอง อาจจะลองมองหาโกดังให้เช่าดูก็ได้

5. ธุรกิจโรงงานผลิตน้ำแข็ง

ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัย น้ำแข็งยังเป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน ด้วยสภาพอากาศอันแสนร้อนอบอ้าว การตั้งธุรกิจโรงงานประเภทนี้จึงมีความน่าสนใจเสมอ ซึ่งจะผลิตเป็นแบรนด์ของตนเองหรือรับผลิตแบรนด์ลูกค้าทั่ว ๆ ไปก็ได้

6. ธุรกิจโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย


ในยุคที่ใคร ๆ ต่างก็ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา การเลือกผลิตเพื่อขายด้วยตนเองจึงเป็นอีกช่องทางสร้างรายได้อย่างน่าประทับใจ อีกทั้งยังสามารถรับผลิตแบรนด์ของคนอื่นได้อีกด้วย เพราดูแล้วยังไงก็คงต้องสวมใส่กันอีกนานทีเดียว

บรรดาธุรกิจโรงงานทั้ง 6 ประเภทที่กล่าวนี้ล้วนแต่เป็นธุรกิจน่าลงทุน น่าสนใจและถูกจับตามองอย่างยิ่งว่าในปี 2021 จะช่วยสร้างรายได้ให้กับคนที่เริ่มต้นหันมาทำธุรกิจของตนเองได้มากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง ในการเริ่มต้นควรจะลองศึกษา และทำ SWOT ก่อน ว่าถ้าจะลงทุนแล้ว จุดแข็ง จุดอ่อน ของเรา และมีโอกาสอะไรใหม่ๆ ให้เราเข้าไปเล่นได้หรือเปล่า

7
ธุรกิจสิงคโปร์

ประเทศสิงคโปร์นับว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่อยู่ไม่ไกลจากประเทศไทยมากเท่าไรนัก เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจในด้านการทำธุรกิจ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจทั้งที่พักผ่อนและให้ความรู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะเด็ก ๆ วัยมัธยมช่วงปิดเทอมที่มักจะไปเรียน ซัมเมอร์ สิงคโปร์ แต่ทว่าในช่วงวันหยุดคนที่นี่เขาใช้ชีวิตอย่างไร ทำอะไรกันบ้างนะ? ก่อนลงทุนทำธุรกิจที่ไหน เราต้องรู้จักกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเสียก่อน ใครอยากรู้เดี๋ยวเราขออาสาพาไปส่องชีวิตวันหยุดของคนสิงคโปร์ให้แล้วกัน เผื่อว่าจะเป็นแนวทางสำหรับใครที่สนใจจะทำธุรกิจเกี่ยวกับประเทศสิงคโปร์ หรืออาจจะเป็นธุรกิจที่พาเด็กไทยไปเที่ยวช่วงซัมเมอร์ที่สิงคโปร์

ในวันหยุดคนสิงคโปร์ชอบไปทำอะไรกัน?

ต้องบอกก่อนว่าคนสิงคโปร์มักจะใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ หากเป็นกลุ่มวัยรุ่นก็มักจะตามกระแสสังคมไม่ตกเทรนด์ ช็อปปิ้ง แต่งตัว หรือหากเป็นวัยทำงานก็มักจะดูแลรักษาสุขภาพ กินแต่อาหารออร์แกนิก ถามว่าซัมเมอร์ สิงคโปร์ หรือในช่วงวันหยุดคนสิงคโปร์ชอบทำอะไรกัน เอาจริง ๆ ก็ใช้ชีวิตสบาย ๆ ไปเที่ยวตามเกาะนอกชายฝั่งที่มีมากถึง 62 เกาะ ไม่ว่าจะ เกาะ Sisters’ Islands (ซิสเตอร์ส ไอแลนด์), เกาะเซ็นโตซ่า, เกาะเซนต์จอห์น, เกาะปูเลา อูบิน ฯลฯ

หรือไม่ก็หาสวนสาธารณะ หรือสิ่งสวยงามพักผ่อนสายตา เช่น ที่การ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์ C Gardens by the Bay ดูน้ำตกที่สูงที่สุด คลาวด์ ฟอร์เรสต์ (loud Forest), สวนพฤกษศาสตร์เนินเขาฟอร์ทแคนนิ่ง (Fort Canning Hill) หรือไม่ก็เข้าร้านอาหารพบปะสังสรรค์เพื่อนฝูง อย่าง Lao Zhong Zhong Eating House ร้านของทอดโบราณ, Toa Payoh Rojak สลัดสิงคโปร์สมกับคนรักสุขภาพ หรือร้าน Kok Sen Restaurant ที่เป็นการกินข้าวร่วมกันแบบ Zi Char หรือไปดูหนังฟรีที่ฉายจอใหญ่ยักษ์บริเวณห้างอิออน (ION Orchard) ทุกวันเสาร์สุดท้ายของเดือน ไม่ก็พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์

แต่ใครที่ต้องการทำธุรกิจท่ีสิงคโปร์ โดยเน้นตลาดไปที่เด็กนักเรียนไทยในสิงคโปร์ เราอาจจะต้องมาดูว่าถ้าเป็นคนไทยในสิงคโปร์ เขาไปไหนกันบ้าง

แล้วถ้าเป็นนักเรียนไทยไปซัมเมอร์สิงคโปร์ช่วงวันหยุดจะไปเที่ยวที่ไหนได้?

เรียนสิงคโปร์

ในส่วนของนักเรียนไทยไปซัมเมอร์ สิงคโปร์นั้น เราก็มีสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้ไปเยือนในช่วงวันหยุด ไม่ว่าจะ
  • เขตอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำซันไกบูลอห์ : เป็นความธรรมชาติที่พาให้ร่างกายสดชื่น สดใส ซึ่งนอกจากพรรณไม้ก็มีนกหายาก หรือจระเข้น้ำเค็มให้ได้เห็น ได้ผ่อนคลายจากการเรียน
  • สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ : เป็นสวนที่เต็มไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด ให้ได้ถ่ายรูปเช็คอินสวย ๆ รวมถึงมีวงดนตรีออร์เคสตรามาจัดแสดงฟรี ๆ ให้ได้ฟังเพลิน ๆ ด้วยนะ
  • City Square Mall : มาเดินห้างกันหน่อย มีโซนอาหาร โซนเสื้อผ้า โซนเครื่องสำอางแต่งไปเรียนเบา ๆ ขายเยอะ ที่สำคัญราคาย่อมเยา
  • Universal Studio : สวนสนุกสร้างความบันเทิง เพรียบพร้อมเครื่องเล่น 24 ประเภท มี 7 โซนให้ได้เลือกสนุก

และทั้งหมดนี้ก็เป็นกิจกรรมในวันหยุดของคนสิงคโปร์ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวเพลิน ๆ สำหรับนักเรียนไทยไปซัมเมอร์ สิงคโปร์ได้พักผ่อนช่วงวันหยุด ซึ่งแต่ละประเทศมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ต่างกัน เมื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในประเทศนั้น ๆ แล้วควรเคารพและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีมีสุข

8
เพื่อนๆ หลายคนอาจจะเน้นการตลาดออฟไลน์เป็นหลัก โดยเฉพาะการออกบูธ เพราะเป็นการที่แบรนด์ของเราได้ไปอยู่ในที่ๆ กลุ่มเป้าหมายเราเดิน เป็นประโยชน์ในการให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก ให้ลูกค้าได้จับ ได้ชิม ได้ทดลองใช้สินค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี และควรทำต่อไป เพราะแต่ละธุรกิจก็จะมีกลยุทธ์ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตามฉบับของตัวเองอยู่แล้ว

แต่ในยุคนี้ มีหลายแบรนด์มากมายที่ใช้ช่องทางออนไลน์เข้ามาช่วยเสริมให้ประสิทธิภาพในการทำตลาดของแบรนด์ก้าวกระโดดขึ้นไปอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการทำ โฆษณา Google Ads ทำ SEO หรือจะเป็นช่องทางของการทำ Social Media เช่น Facebook หรือ Instagram เป็นต้น

ไม่ว่าจะ Google Ads, SEO หรือ Facebook ล้วนแต่เป็นเพียง "ช่องทาง" ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และการยิงโฆษณาก็เป็นเพียงการช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ดังนั้น การที่เราจะเลือกช่องทางในการทำการตลาดออนไลน์นั้นสำคัญ เพราะถ้าเราบอกว่า จะเอามันทุกช่องทาง เราก็ต้องเสียงเงินเพิ่มไปอีก ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มากขึ้นบนแต่ละช่องทาง

สิ่งที่ถูกต้องคือ เราต้องเลือกเพียง 1-2 ช่องทางพอ แล้วเอาให้เด่นไปในช่องทางนั้นเลย อย่างเช่นบางร้านก็จะไปจ้าง บริษัทรับทำ SEO หรือจะเป็นโฆษณา Google Ads ให้ช่วยกระตุ้นให้เว็บไซต์ของร้านติดหน้าแรก Google บางคนก็ทำ Content Marketing บน Facebook บางคนก็ทำมันทั้ง 2 ช่องทางเลย

ซึ่งหัวใจสำคัญมันอยู่ที่ความต่อเนื่องนะ อย่างเราจะทำคอนเทนต์บน Facebook เอง บอกเลยว่า 10 คอนเทนต์แรก แทบไม่เข้าถึงใครเลย ยิงโฆษณาไปก็ยังไม่ปัง แต่บางทีพอถึงคอนเทนต์ที่ 12 มันดันปังขึ้นมา จากนั้นก็จะเริ่มมีคนเข้ามาติดตามเรื่อยๆ เพราะฉนั้นต้องไม่ท้อ! และต้องวางแผน มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนนะ เพราะถ้าทำแบบขอไปที เขาว่าคอนเทนต์ที่ 12 จะปัง ก็ทำๆ ไป แบบนี้ทำเป็น 100 คอนเทนต์ก็คงยาก

กลยุทธ์เบื้องต้นเลยคือเราต้องรู้ก่อนว่าจะสื่อสารกับใคร และคนกลุ่มนั้นมีปัญหาอะไร ต้องการรับชม รับฟัง เนื้อหาแบบไหน และเราต้องผลิตคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของเค้า หรือตรงกับสิ่งที่เค้าสนใจ

ซึ่งเมื่อเรามีช่องทางออนไลน์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือ Facebook Page เวลาเราไปออกบูธ สิ่งที่ควรทำคือการให้ลูกค้าเข้ามาชมสินค้าบนเว็บไซต์ หรือบน Facebook Page และพยายามให้ลูกค้าติดตาม เช่นอาจมีโปรโมชั่นส่วนลดถ้ากดติดตาม ที่ต้องทำแบบนี้เพราะ เมื่อเค้าจากบูธเราไป ลูกค้าจะยังสามารถรับข้อความจากทางร้านได้ต่อ ทำให้เรายังสามารถสื่อสารไปยังลูกค้ากลุ่มนี้ได้ ดีว่าปล่อยให้เดิมออกไปจากบูธ พอกลับบ้านไปก็ลืมชื่อแบรนด์ ลืมชื่อแม่ค้าแล้ว

เพื่อนๆ ลองนำวิธีไปปรับใช้กันดูนะ

 ;)

9
หากเราทำธุรกิจที่มีหน้าร้าน เราสามารถเห็นได้ทันทีว่ามีลูกค้าเข้า-ออกร้านของเรา และเราสามารถเข้าไปพูดคุยกับลูกค้าได้แบบตัวต่อตัว แต่สำหรับธุรกิจออนไลน์นั้น กลับไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีลูกค้าเข้าชมร้านบ้างไหม.. ดังนั้น พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ ต่างมองหาช่องทางที่จะช่วยในการให้บริการลูกค้าที่ดีขึ้น นั่นคือการใช้ Website Analytic โปรแกรมแสดงสถิติว่าเกิดอะไรขึ้นกับเว็บไซต์ของเราบ้าง ลูกค้ามาจากช่องทางไหน ซึ่งในธุรกิจออนไลน์ การไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเว็บไซต์ ก็เหมือนการขับเคลื่อนธุรกิจในความมืด อย่างเช่น ธุรกิจไหนที่ใช้บริการบริษัท รับทำ SEO ทำโฆษณา Facebook หรือจะทำ Instagram ด้วย ก็จะมีคนเข้าเว็บไซต์มาจากทั้ง Google Facebook และ Instagram แต่ผู้ใช้ช่องทางไหนสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจของคุณได้มากที่สุด..? เพราะอย่างนี้ จึงต้องนำผลสถิติเกี่ยวกับเว็บไซต์เข้ามาช่วยตรวจสอบด้านการตลาดว่าส่งผลต่อลูกค้ามาก-น้อยแค่ไหน

สำหรับเครื่องมือ Website Analytic ที่ฟรี และเข้าถึงง่าย เราขอแนะนำ Google Analytic โปแกรมที่สามารถทำงานได้ครอบคลุมทุกสถิติที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ ช่วยให้การวางแผนการตลาดออนไลน์ของคุณ ราบรื่นขึ้น ในระยะเวลาทำงานที่สั้นลง

ตัวช่วยทำให้รู้จักผู้เข้าชม
การตลาดที่เหมาะสม จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราทราบว่าลูกค้าคือใคร ซึ่งความสามารถหลักๆของเจ้า Google Analytic ก็คงไม่พ้นการแสดงจำนวนผู้เข้าชม, ช่องทางที่เข้าชม และที่มาของผู้เข้าชม หากผู้ชมส่วนใหญ่เข้าชมร้านค้าออนไลน์ของเราผ่านโทรศัพท์มือถือ การสร้างแอปพลิเคชันหรือสร้างแพลตฟอร์มหน้าร้านสำหรับแสดงบนมือถือ จะช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้สะดวกยิ่งขึ้น หรือ ร้านค้าของเราขายเสื้อผ้า โดยที่ผู้เข้าชมส่วนใหญ่ มาจากภูมิภาคที่มีอากาศหนาวเย็น จะช่วยให้เราทราบว่าควรปรับกลยุทธ์ไปสู่การจัดจำหน่ายเสื้อกันหนาวเป็นหลัก เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ การตลาดแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าเราสามารถตอบรับสิ่งที่ผู้เข้าชมมองหาได้อย่างตรงจุด

จะเห็นได้ว่า แค่เรารู้จักผู้เข้าชม เราก็สามารถดึงพวกเขาให้กลายมาเป็นลูกค้าของเราได้อย่างง่ายดายไม่ต่างจากการขายโดยตรงแบบมีหน้าร้าน Google Analytic จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ได้อย่างดีทีเดียว

ตัวช่วยในการสร้างแคมเปญ
เมื่อเราทราบแล้วว่าผู้เข้าชมร้านของเราเป็นใคร ลูกค้ากำลังมองหาสิ่งไหน เพื่อความประทับใจอีกระดับ การสร้างแคมเปญหรือโปรโมชั่นที่เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย ย่อมช่วยสร้างความภักดีต่อแบรนด์ จนเกิดการบอกต่อ และทำให้ลูกค้าที่เคยใช้บริการ อยากกลับมาอีกครั้ง

ตัวช่วยที่ดีอย่าง Google Analytic สามารถแสดงข้อมูลพื้นฐานของผู้เข้าชมและลูกค้า เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจสร้างประสบการณ์ใหม่ๆในการใช้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถวิเคราะห์ผลการทำงานให้แบบวินาทีต่อวินาทีอีกด้วย

ตัวช่วยตรวจสอบความสำเร็จตามเป้าหมาย
ทุกการดำเนินธุรกิจ ย่อมมีเป้าหมายที่ถูกวางไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ต้น ทั้งนี้ การสร้างร้านค้าออนไลน์ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลอย่าง Google Analytic ที่เราสามารถระบุเป้าหมายของธุรกิจไว้ในโปรแกรมได้เลย ไม่ใช่เพียง 1 เป้าหมาย แต่สามารถใส่เป้าหมายทางเลือกได้หลายรูปแบบ เพื่อสำรวจและเปรียบเทียบว่าวิธีการทำงานใดที่เป็นไปตามเป้าหมายมากกว่ากัน

Google Analytic สามารถประมวลผลการทำงานตามแผนธุรกิจที่ได้ตั้งไว้ และสามารถชี้ได้ว่าการทำงานของเราลุล่วงไปถึงระดับไหนแล้ว ซึ่งช่วยได้มาก ในการปรับการทำงานให้ดำเนินไปตามแนวโน้มที่เหมาะสม

ตัวช่วยสร้างเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์
บนหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจหลายแห่ง มักจัดทำส่วนของบทความ, เกร็ดความรู้ หรือ Infographic ประกอบไว้ด้วยเสมอ นั่นเพราะ วิธีการนี้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดทำเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับตัวธุรกิจ ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และลูกค้าเองก็เข้าใจตัวตนของธุรกิจอย่างชัดเจนเช่นกัน เมื่อลูกค้ารู้จักธุรกิจดี พวกเขาจะคุณค่ากับสินค้าและบริการเหล่านั้น พร้อมทั้ง “แชร์” เนื้อหาผ่านช่องทางต่างๆเป็นการบอกต่อ

เนื้อหาแบบใดที่มีผู้เข้าชมให้ความสนใจมาก หรือส่งต่อมาก Google Analytic จะแสดงจำนวนเหล่านั้นผ่าน page view ให้เราทราบว่าเนื้อหาแบบใดที่ควรรักษาไว้ เพื่อเป็นแนวทางการสร้างธุรกิจตามที่ลูกค้าต้องการ

ตัวช่วยสำรวจช่องทางเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Social Network ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันทุกคนในสังคมไปแล้ว ดังนั้น ช่องทางเหล่านี้จึงเป็นเส้นทางที่ดี ในการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่ง Google Analytic เอง ก็มีความสามารถในการช่วยประเมินว่า แพลตฟอร์มใดที่มีผู้เข้าชม หรือนิยมใช้บริการกันมากในช่วงเวลานี้

เมื่อทราบแล้ว เราสามารถนำตัวธุรกิจลงไปอยู่บนแพลตฟอร์มเหล่านั้น หรือแม้กระทั่งลงโฆษณาใน Social Network นั้นก็ย่อมทำได้ด้วยความมั่นใจ ว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ใช้บริการ เข้ามาเยี่ยมชมธุรกิจของเราได้อย่างแน่นอน

หน้า: [1]